• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 2 ตอนที่ 1

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    1

    รอยเท้าที่อยู่ตรงหน้า

     การแข่งฟู้ดทรักและการกินอาหารในร้านมิชลินสามดาวจบลงจนเวลาล่วงเลยมาหกวันแล้ว ในระหว่างนั้นไม่มีการสั่งให้ทำภารกิจใดๆ เลย อาจเป็นเพราะความลำบากที่ผู้แข่งขันต้องทำงานอยู่ในรถเป็นอาทิตย์เลยได้พักนานหน่อย หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงเพราะว่าตารางงานของกรรมการไม่ว่างก็ได้ แม้จะไม่มีภารกิจ แต่รายการก็ถูกออกอากาศไปอีกหนึ่งตอนเมื่อวานนี้ ตอนที่เจ็ดเป็นเรื่องราวของการทำภารกิจแบบทีม โดยทีมถูกแบ่งเป็นทีมของคาย่าและทีมของเจค็อบซึ่งแน่นอนว่ามีเรื่องที่ปีเตอร์ก่อขึ้น

    มินจุนหันไปมองปีเตอร์ เขากำลังนั่งดูมือถืออยู่ที่โต๊ะอาหารตั้งแต่ครู่ก่อนแล้ว ช่วยไม่ได้เพราะปีเตอร์และคาย่าถูกพูดถึงมากที่สุดหลังจบรายการตอนนี้ มาร์ตินเป็นมืออาชีพมาก เขาไม่ใช่คนที่จะตัดต่อฉากแย่ๆ ให้ออกมาดูดีเพียงเพราะสงสารปีเตอร์

    ทุกคำพูดที่ปีเตอร์เคยพูดถูกนำไปออกอากาศตามนั้น แม้ปีเตอร์จะดูเหมือนคนไม่รู้จักโตสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สมควรถูกโจมตีเรื่องส่วนตัว มินจุนเข้าใจปีเตอร์ดี อีกฝ่ายก็แค่มนุษยสัมพันธ์ไม่ดีนักและควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

    แต่คนดูไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของปีเตอร์…ไม่สิ ถึงจะรู้จักพวกเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคในทีวีก็ทำให้พวกเขาตัดสินไปแล้วว่าปีเตอร์เป็นตัวร้าย หลายคนพุ่งความโกรธเคืองไปที่ปีเตอร์ แต่ก็มีหลายคนที่แย้งขึ้นมาว่าเรื่องนี้คาย่าเป็นฝ่ายพูดจาไม่ดีก่อน

    ไม่ว่าอย่างไรการพูดจาไม่ดีของคาย่าก็กลบความผิดของปีเตอร์ไม่ได้เพราะสุดท้ายแล้วปีเตอร์ก็ทำไก่ทันดูรีไหม้ ยิ่งคนดูอินกับรายการนี้มากเท่าไหร่ความโกรธก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มินจุนถอนหายใจก่อนจะพูดว่า

    “บอกให้เลิกอ่านคอมเมนต์ไง”

    เสียงนั้นคงเบาเกินกว่าที่หูของปีเตอร์จะได้ยิน คาย่าก็เช่นกัน อันที่จริงตัวมินจุนเองตอนแรกก็พยายามจะไม่อ่าน แต่รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังอ่านคอมเมนต์อยู่เหมือนกัน

    เทียบกันแล้วสถานการณ์ของมินจุนถือว่ายังดีกว่ามาก ช่วงแรกที่ออกอากาศมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้เป็นประเด็น แต่หลังจากเรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำถูกออกอากาศ กระแสก็เปลี่ยนไป ทุกคนพากันมองว่าเขาทำทุกอย่างโดยให้เหตุผลมาก่อนเสมอ ความเป็นชาวเอเชียที่แตกต่างจากผู้เข้าแข่งขันอื่นๆ ก็กลายเป็นปีกให้เขา ทุกคนพากันคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ

    พูดตามตรงเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดกระแสพวกนั้น แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ตื่นเต้นและสนุกไปกับมันด้วย การที่คนดูชอบเขา การที่คนที่ไม่รู้จักกันคาดหวังกับชื่อของเขา มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ

    “เดี๋ยวจะเริ่มถ่ายแล้วนะครับ!กรุณาเก็บมือถือด้วย!”

    ทันทีที่เสียงของสตาฟฟ์ดังขึ้นปีเตอร์ก็รีบเก็บมือถือใส่กระเป๋าด้านหน้าของผ้ากันเปื้อน หลังจากนั้นกรรมการก็เดินเข้ามาแล้วพูดเปิดรายการเหมือนทุกครั้ง

    “บนเคาน์เตอร์ของแต่ละคนมีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ ถ้าผมนับถึงสามแล้วให้พวกคุณเปิดฝากล่องออกนะครับ…หนึ่ง สอง สาม!”

    เมื่ออลันพูดจบ ทุกคนก็เปิดกล่องออก บางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก บางคนทำหน้าบูดบึ้ง มินจุนอยู่ในกลุ่มหลัง เพราะเนื้อติดกระดูกชิ้นใหญ่เบ้อเริ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามันเป็นแขกที่ไม่น่ายินดีสักเท่าไหร่ มันเป็นส่วนทีโบนที่มีเนื้อสันนอกและเนื้อสันในปนกันอยู่

    โจเซฟพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

    “ทีโบนไม่ใช่ส่วนของสเต๊กที่อร่อยที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องของความชอบ สิ่งที่สามารถบอกได้แน่ๆ ก็คือทีโบนสเต๊กเป็นสเต๊กที่ทำได้ยากที่สุด ถ้าทำให้สุกด้วยไฟระดับเดียวกันในเวลาเท่ากัน แน่นอนว่าเนื้อสันนอกจะสุกเร็วกว่าเนื้อสันใน แต่พวกเราต้องการให้เนื้อทั้งสองส่วนสุกในระดับที่เท่ากัน”

    มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น นี่เป็นการแข่งขันที่ตัดสินจากเทคนิคล้วนๆ ถ้าทำพลาดแค่นิดเดียว ทุกอย่างก็จบ แต่คำพูดต่อมาของโจเซฟก็ช่วยทำให้สบายใจขึ้นมาได้หน่อย

    “พวกคุณไม่ต้องตื่นเต้นตกใจกันไปครับ เพราะการแข่งขันครั้งนี้เป็นแค่การยืดเส้นยืดสายเท่านั้น คนที่ได้อันดับหนึ่งจะได้สิทธิพิเศษ นั่นคือสิทธิ์ยกเว้นไม่ต้องแข่งรอบคัดผู้ตกรอบ”

    คำพูดนั้นทำให้หลายคนทำตาเป็นประกาย มินจุนเองก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่หวังจะได้อันดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะที่เกาหลีนั้นไม่ใช่จะได้เจอทีโบนได้ง่ายๆ ร้านขายเนื้อจะขายเนื้อสันนอกกับเนื้อสันในแยกกัน ไม่มีที่ไหนขายทีโบนเลย แม้แต่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ ก็ยังหาซื้อทีโบนได้ยาก จึงทำให้ค่าประสบการณ์ของเขาน้อยตามไปด้วย

    พอสังเกตดูก็พบว่าเนื้อมีความหนาประมาณสองเซนติเมตร ไม่สามารถเรียกว่าบาง แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าหนาได้เช่นกัน การทำสเต๊กโดยพื้นฐานแล้วถ้าเนื้อหนาจะทำได้ง่ายกว่า เพราะยิ่งบางเวลาที่เนื้อจะต้องสัมผัสกับไฟก็จะยิ่งน้อย มีหลายครั้งเวลาทำอาหารที่เราอยากจะเซียร์*เฉพาะด้านนอกเพียงเล็กน้อย ผลคือกะเวลาพลาด คุมไฟไม่ได้ ทำให้ด้านในเนื้อโอเวอร์คุกหรือสุกเกินกว่าระดับที่ต้องการ

    “ไม่ให้ใช้ซอสอะไรเลย ให้ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเท่านั้น จำไว้ให้ดีนะว่าสิ่งที่สำคัญคือระดับความสุกจะต้องเท่ากัน และรสชาติก็ต้องอร่อยในระดับมาตรฐาน ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มได้เลยครับ!มีเวลาให้เพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น!”

    มินจุนรีบใช้ความคิด การย่างทีโบนให้สุกทั่วถึงนั้นไม่มีกรรมวิธีอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นการอาศัยประสบการณ์และความรู้สึกล้วนๆ ในร้านสเต๊กเวลาจะจ้างเชฟแค่ดูจากการทำทีโบนก็รู้ได้แล้วว่าเชฟคนนั้นมีความสามารถระดับไหน

    ถ้าไม่คำนึงถึงระดับความสุกที่ต้องเท่ากัน การทำให้สเต๊กออกมารสชาติดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก เนื้อสันนอกสุกระดับมีเดียม เนื้อสันในก็จะสุกระดับมีเดียมแรร์ มีลูกค้าหลายคนที่เพลิดเพลินกับรสชาติของระดับความสุกที่แตกต่างกัน แต่ก็มีลูกค้าหลายคนที่ต้องการให้ทั้งด้านนอกและด้านในสุกเท่ากัน การเป็นเชฟที่ดีต้องทำอาหารออกมาให้ลูกค้าทุกคนพึงพอใจ

    มินจุนเหลือบไปมองคาย่าแล้วก็เห็นว่าเธอกำลังถือตะแกรงย่างอยู่ ดูเหมือนคาย่าตั้งใจจะย่างสเต๊กบนตะแกรง เป็นเพราะเธอมีความสามารถในการควบคุมไฟซึ่งวิธีการนี้คงดีที่สุดสำหรับเธอ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่มินจุนจะเลือก ครั้งแรกที่เห็นเธอย่างปลาไหลนั้นเขาถึงกับตะลึง เพราะรู้ดีว่าการย่างโดยให้ถูกไฟโดยตรงแบบนั้นมันยากมาก ถ้าทำตามโดยไม่คิดให้รอบคอบก็อาจทำให้เนื้อด้านนอกไหม้หมด

    มินจุนตัดมันที่ติดอยู่กับผิวด้านนอกออก จากนั้นก็บดเม็ดพริกไทยใส่ลงไปเพื่อกลบกลิ่น แต่ยังไม่ใส่เกลือ ถ้าต้องการย่างให้ได้ความสุกระดับมีเดียมก็ต้องใช้เวลาประมาณสี่นาที และใช้เวลาในการพักเนื้ออีกหนึ่งนาที รวมแล้วใช้เวลาห้านาทีซึ่งก็ถือว่าเพียงพอ แต่ถ้าใส่เกลือลงไปจะทำให้น้ำที่อยู่ในเนื้อไหลออกมาด้านนอกจนหมด ทำให้การเซียร์ไม่มีประสิทธิภาพ

    มินจุนหันไปมองรอบๆ แต่ทันใดนั้นเองก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเขาเห็นภาพบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ปีเตอร์กำลังวอร์มเตาอบอยู่ และดูเหมือนอลันก็สงสัยแบบเดียวกับเขา อลันเดินเข้าไปหาปีเตอร์แล้วถามว่า

    “คิดว่าจะทำสเต๊กยังไงเหรอครับ”

    “ผมจะนำเข้าเตาอบจนสุก แล้วนำไปเซียร์กับกระทะ จากนั้นก็พักเนื้อครับ”

    “ทำให้ความสุกเท่ากันโดยการใช้เตาอบ?จะทำได้เหรอ”

    “ถ้าวางด้านที่เป็นเนื้อสันในเอาไว้ตรงขอบๆ กระทะแล้วย่างให้สุกอีกนิดก็น่าจะโอเคครับ”

    “จะรอดูแล้วกันนะครับ ว่าจะออกมาเป็นยังไง”

    ปีเตอร์ทำหน้าเจื่อนทันที มันเป็นวิธีที่ตัวเขาคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่พออลันพูดออกมาแบบนั้น ความมั่นใจจึงหดหายไป แต่เขาก็จะไม่เปลี่ยนแนวทางของตัวเองเพียงเพราะคำพูดนั้นหรอก

    ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่หมักเนื้อทิ้งเอาไว้และพากันจ้องมองเข็มนาฬิกาอย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่ครบห้านาทีก็เริ่มขยับตัวพร้อมกัน มินจุนเขี่ยพริกไทยออกไปจากเนื้อแล้วโรยเกลือลงไป จากนั้นก็ทากระทะด้วยน้ำมันจากมันของเนื้อที่ตัดออกไปในตอนแรก เสียงฉู่ฉ่าที่ฟังรื่นหูดังขึ้น แล้วอลันก็เดินเข้ามาถามว่า

    “เคยทำทีโบนมาก่อนมั้ย”

    “ไม่ครับ ไม่เคยเลย”

    “ถ้ารู้ว่าส่วนไหนของกระทะที่สัมผัสกับไฟมากที่สุดก็จะช่วยได้เยอะ”

    แม้อลันจะไม่แนะนำ มินจุนก็คิดที่จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่มินจุนก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่มีนิสัยแย่ๆ ที่จะตอกกลับคนที่แนะนำด้วยความหวังดี

    กุญแจสำคัญคือการควบคุมไฟที่สัมผัสกับกระทะตามที่อลันบอก มินจุนเอียงกระทะขึ้นด้านหนึ่ง แล้ววางเนื้อสันในตรงฝั่งที่ไฟแรง ไม่ควรย่างนานเกินไปเพราะอาจจะทำให้เนื้อสันในโอเวอร์คุกกว่าเนื้อสันนอกก็ได้

    เชฟแต่ละคนมีวิธีย่างสเต๊กที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าไม่ควรกลับด้านไปมาเกินสองครั้ง บางคนบอกว่าต้องกลับด้านทุกๆ หนึ่งนาทีหรือสามสิบวินาที ซึ่งมินจุนกลับด้านทุกๆ หนึ่งนาที การย่างแบบนี้จะทำให้น้ำในเนื้อมารวมกันอยู่ตรงกลางและจะกระจายตัวแผ่ออกไปจนทั่วชิ้นเนื้อในระหว่างพักเนื้อ ไม่ใช่ว่าวิธีไหนถูกต้องกว่ากัน ควรมองว่ามันเป็นความแตกต่างของเทคนิคแต่ละคนมากกว่า

    มินจุนคอยดูเวลาและค่อยๆ กลับด้านเนื้อ เขาไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอย่างอาร์โรเซ่ เพราะน้ำมันที่ราดลงไปบนเนื้ออาจจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ระดับความสุกของเนื้อเปลี่ยนไปก็ได้ เขายังไม่เก่งถึงขนาดที่จะรู้ได้ว่าน้ำมันที่ราดลงไปจะส่งผลกระทบยังไงกับเนื้อบ้าง

    คะแนนโดยประเมินคือหก ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะแค่ย่างเฉยๆ ไม่ใส่ซอสอะไรจะให้ได้คะแนนสูงกว่านี้ก็เป็นเรื่องยาก สิ่งที่ต้องการคือความสุกระดับมีเดียม เขากลับเนื้อไปมาแค่สามครั้ง จากนั้นก็นำเนื้อไปวางลงบนกระดาษซับอาหารแล้วทิ้งไว้หนึ่งนาทีเพื่อให้น้ำในเนื้อกระจายทั่วทั้งชิ้น ไม่รู้ว่าทั้งเนื้อสันในและสันนอกจะสุกในระดับมีเดียมหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่ารสชาติต้องดีแน่นอน

    พอเสียงออดดังขึ้น ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบสองคนก็ยกมือ มินจุนมองดูที่จานของตัวเอง คะแนนของทีโบนสเต๊กหลังจากที่พักเนื้อเสร็จแล้วก็คือหกคะแนน ถือเป็นคะแนนที่ทำได้ตามสูตรอาหาร

    กรรมการเรียกออกไปด้านหน้าทีละคน จากนั้นก็หั่นด้านที่เป็นเนื้อสันนอก ตามด้วยด้านที่เป็นเนื้อสันใน เพื่อดูว่าระดับความสุกเท่ากันหรือไม่ ถ้าสุกไม่เท่ากันก็จะไม่ตักเข้าปากเลย เช่นในกรณีของปีเตอร์

    “ผมถามคุณแล้วใช่มั้ยว่าคุณจะทำได้รึเปล่า แล้วดูผลที่ออกมาสิ”

    อลันให้ปีเตอร์ดูเนื้อที่ถูกหั่นออก ด้านหนึ่งสุกระดับมีเดียม อีกด้านสุกระดับมีเดียมแรร์ที่ยังเห็นเลือดแดงๆ อยู่ข้างใน เอมิลี่ถึงกับถอนหายใจ

    “แม้ว่านี่จะไม่ใช่การแข่งขันคัดเลือกผู้ตกรอบ แต่มันแย่เกินไป คุณไม่รู้เหรอคะว่าไม่ควรลองเสี่ยงกับการทำอาหาร”

    “ขอโทษครับ”

    ปีเตอร์ตอบพร้อมทำหน้าเจื่อน แค่คอมเมนต์แย่ๆ ก็ทำให้เขาอึดอัดมากพออยู่แล้ว ดูเหมือนกรรมการเองก็ลำบากใจที่จะพูดอะไรมากไปกว่านั้นต่อหน้าปีเตอร์ พวกเขาจึงส่งปีเตอร์กลับเข้าไปแล้วเรียกผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปออกมา นั่นคือแอนเดอร์สัน โจเซฟหั่นสเต๊กแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี

    “ทั้งสองด้านเป็นมีเดียมเวลดัน ไม่ไหม้เลย สุกแบบพอดี คุณคงชำนาญสินะแอนเดอร์สัน ที่ผ่านมาดูเหมือนคุณจะไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้คุณกลับมาอยู่จุดเดิมของคุณแล้วนะ”

    “ขอบคุณครับ”

    แอนเดอร์สันตอบออกไปโดยไม่ยิ้ม มันยังไม่ถึงเวลาจะดีใจ เพราะเขายังไม่ได้อันดับหนึ่ง หลังได้ชิมกรรมการก็ประเมินว่าสเต๊กของแอนเดอร์สันรสชาติดีและฉ่ำ แทบไม่พูดถึงเรื่องที่เขาย่างออกมาเป็นแบบมีเดียมเวลดันเลย มินจุนเข้าใจการประเมินนั้นเป็นอย่างดี เพราะสายตาของเขากำลังจ้องมองตัวเลขเจ็ดที่อยู่บนจานของแอนเดอร์สัน การได้คะแนนระดับนั้นจากการย่างโดยปรุงแค่เกลือกับพริกไทยก็หมายความว่าถ้ามีซอสดีๆ เพิ่มเข้ามาสักนิด จานนั้นคงได้ถึงแปดคะแนนแน่นอน

    ต่อไปก็เป็นตามินจุน เขาเดินถือจานออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ เอมิลี่ใช้มีดหั่นลงไปที่เนื้อก่อนจะพยักหน้า

    “มีเดียม ทั้งสองด้านสุกเท่ากัน แม้จะมีความต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่…ถ้าแค่ประมาณนี้แม้จะเป็นแขกที่เรื่องมากก็น่าจะรับได้อยู่ เห็นคุณบอกว่าไม่มีประสบการณ์ในการทำทีโบนเหรอคะ”

    “ครับ”

    “งั้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วล่ะค่ะ รสสัมผัสตอนเคี้ยวก็…อืม ก็ถือว่าโอเค ความฉ่ำของเนื้อก็ทำได้ดีนะคะ ทำได้ดีเลย”

    ถ้าสิ่งที่พูดกับแอนเดอร์สันเมื่อกี้คือคำชม สิ่งที่พูดกับเขาอยู่ในตอนนี้ก็ถือเป็นคำชมเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะแอบหวังอยู่ลึกๆ มินจุนจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ การทำอาหารขึ้นอยู่กับความแตกต่างของค่าประสบการณ์ด้วย

    ผู้เข้าแข่งขันที่จะฟังคำตัดสินเป็นคนสุดท้ายก็คือคาย่า เธอถือจานเดินออกไป โจเซฟมองจานของเธอด้วยสีหน้าตื่นเต้น

    “คุณเป็นคนเดียวที่ใช้ตะแกรงย่างกับไฟโดยตรง คาย่า คุณมั่นใจกับการตัดสินใจของคุณมั้ย”

    “สิ่งที่ฉันถนัดที่สุดก็คือการใช้ไฟนี่แหละค่ะ ถ้าไม่ได้มาทำอาหาร ฉันอาจจะไปเป็นนักวางเพลิงแล้วก็ได้”

    “ผมจะลองเชื่อคุณนะครับ”

    โจเซฟหั่นเนื้อออกอย่างนุ่มนวล แล้วก็เป็นอย่างที่คาย่าพูดไว้ ระดับมีเดียม เนื้อด้านในเป็นสีชมพูสุกอย่างพอดีเห็นเป็นริ้วชัดเจน ทั้งเนื้อสันในและเนื้อสันนอกสุกเท่ากัน โจเซฟค่อยๆ ตักเนื้อใส่ปาก ระหว่างที่เคี้ยวคำแรกแววตาของเขาดูสดใสมาก แต่พอกินคำที่สองและคำที่สามสีหน้าก็เริ่มแปลกไป กรรมการคนอื่นก็เหมือนกัน คาย่าจึงมองด้วยสายตาที่เป็นกังวล

    “ระดับความสุกทำได้ดี แต่เหมือนคุณจะพลาดอะไรไปอย่างนะคาย่า ตอนย่างคุณย่างทุกด้านก่อนแล้วค่อยทำให้เนื้อด้านในสุกรึเปล่า”

    ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะทำให้คาย่าฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง เธอทำท่าราวกับจะร้อง ‘อ๊ะ’ออกมา เธอมัวแต่ให้ความสนใจกับระดับความสุกที่เท่ากันของเนื้อสันในและเนื้อสันนอก แต่กลับลืมให้ความสนใจกับความฉ่ำของเนื้อ ไม่ได้ทำให้เนื้อด้านนอกสุกก่อน มินจุนมองเธอนิ่งๆ สเต๊กของเธอได้ห้าคะแนนซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น แม้เธอจะย่างเนื้อได้ดีจนทำให้ได้กลิ่นไหม้ของไฟอ่อนๆ ออกมาด้วย แต่กลับลืมสนใจเรื่องความฉ่ำของเนื้อ ก็เท่ากับว่าลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดไป

    คาย่าเองก็ทำพลาดได้เหมือนกันสินะ

    นอกจากภาพการปะทะกับสมาชิกในทีมด้วยความใจร้อนแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพนี้ของคาย่า แล้วโจเซฟก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ดูเหมือนคุณจะรู้แล้วว่าตัวเองพลาดตรงไหน ดีมากครับคาย่า เชฟที่รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองจะเป็นเชฟที่ก้าวหน้าแน่นอน เชิญกลับที่ได้ครับ”

    “ค่ะ”

    คาย่าเดินกลับอย่างหมดเรี่ยวแรง ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครจะได้อันดับหนึ่ง คนที่สามารถย่างให้ทั้งสองด้านสุกเท่ากันมีอยู่หลายคน แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์จนได้รับการชื่นชม แอนเดอร์สันนั่นเอง

    สายตาของมินจุนมองไปที่แอนเดอร์สัน แม้ว่าก่อนหน้านี้แอนเดอร์สันจะแสดงฝีมือออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่พอเวลาไปผ่านก็ยิ่งได้เห็นว่าฝีมือของเขาไม่ธรรมดาเลย ถึงสุดท้ายจะพ่ายแพ้ให้กับคาย่าจนได้อันดับที่สอง แต่ก็หมายความว่าถ้าไม่มีคาย่า แอนเดอร์สันก็คงจะสามารถชนะได้ที่หนึ่ง

    “หลังจากปรึกษากันแล้วเราก็ได้จานที่ดีที่สุด แอนเดอร์สัน ยินดีด้วยครับ! คุณได้รับการยกเว้นจากการแข่งขันคัดผู้ตกรอบ เชิญขึ้นไปที่ชั้นสองได้เลยครับ!”

    “ขอบคุณครับ”

    แอนเดอร์สันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเดินขึ้นไปโดยมีผู้เข้าแข่งขันคนอื่นพากันมองตามอย่างอิจฉา อลันพูดว่า

    “ถ้าอย่างนั้นจะขอประกาศการแข่งขันต่อไปเลยนะครับ มันอาจจะเป็นการแข่งขันที่หลายคนไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่”

    อลันพูดพลางมองมาที่มินจุน คิ้วของมินจุนจึงขมวดกันเล็กน้อย เขารู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลย แล้วอลันก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงใจเย็น

    “มันคือการทำของหวานครับ”

    ของหวาน แม้จะได้หัวข้อที่ตัวเองไม่ถนัด แต่สีหน้าของมินจุนก็ไม่แสดงออกถึงความกังวล เพราะมันเป็นอะไรที่เขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้สักวันหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเป็นกังวลมาก แต่ตอนนี้ไม่เลย ความมั่นใจของเขาไม่ได้มาจากการที่เลเวลการทำของหวานขยับขึ้นเป็นเลเวลห้าเมื่อไม่นานมานี้ แต่เพราะคำว่าของหวานไม่จำเป็นต้องเป็นขนมอบเท่านั้น

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook