• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 2 ตอนที่ 1

    ทำอันนั้นดีมั้ยนะ

    มินจุนหรี่ตา สิ่งที่เขากำลังนึกถึงคือของหวานที่เขาเคยกินที่โรสไอส์แลนด์ นอกจากเพสตรี้ช็อกโกแลตแล้วทุกอย่างก็ได้แปดคะแนนทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าเขารู้สูตรการทำทั้งหมดอีกด้วย แน่นอนว่าการรู้สูตรกับการทำมันออกมาเป็นคนละเรื่องกัน แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทำตามรสชาตินั้นได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมนูที่เขานึกถึงก็คือซึดาจิเคิร์ดกับแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ ตกแต่งด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ

    หลังกลับจากร้านนั้นเขาก็ลองทำทุกเมนู ยกเว้นเมนูที่ใช้เทคนิคโมเลกูลาร์*โดยเมนูที่เขาทำออกมาได้ใกล้เคียงมากที่สุดก็คือเมนูนี้ เมื่อวานเขาก็เพิ่งทำและได้เจ็ดคะแนน ถ้าจะมีตัวแปรอื่นก็คงเป็นเวลา เขาจ้องมองปากของโจเซฟด้วยสายตากังวลเล็กน้อย แต่แล้วคนที่พูดขึ้นมากลับเป็นเอมิลี่ ไม่ใช่โจเซฟ

    “พวกคุณทุกคนจะมีสองตัวเลือก ตัวเลือกแรกคือหนึ่งชั่วโมง ตัวเลือกที่สองคือสองชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเลือกเวลาให้นานไว้ก่อนแล้วเลือกเมนูที่ทำเสร็จได้ภายในหนึ่งชั่วโมงนะคะ ถ้าทำแบบนั้นก็คงไม่ต้องบอกว่าคะแนนจะออกมาเท่าไหร่ ขอให้พวกคุณทำของหวานให้คุ้มค่าตามเวลาที่เลือกไว้ และ…”

    เอมิลี่หยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะทำหน้าตาจริงจังแล้วพูดต่อว่า

    “รอบนี้จะมีคนออกสองคน จากคนที่เลือกหนึ่งชั่วโมงหนึ่งคน และจากสองชั่วโมงอีกหนึ่งคน ซึ่งจะไม่มีการให้โอกาสใดๆ แก่ทั้งสองคนนั้นอีก ดังนั้นขอให้รอบคอบกับการเลือกเวลานะคะ ฉันจะให้เวลาพวกคุณคิดสิบนาที คนที่เลือกเวลาหนึ่งชั่วโมงขอให้มายืนทางขวามือของฉัน ส่วนคนที่เลือกสองชั่วโมงขอให้มายืนทางซ้ายมือนะคะ”

    มินจุนต้องเลือกสองชั่วโมงอย่างช่วยไม่ได้ การจะทำเยลลี่ให้ออกมาดีต้องใช้เวลาประมาณนั้น แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือมาร์โค่ผู้ชำนาญในการทำของหวาน เขาคิดว่ามาร์โค่จะเลือกเวลาสองชั่วโมง แต่มาร์โค่กลับเลือกเวลาหนึ่งชั่วโมง นอกจากนั้นก็มีคาย่า โคลอี้ ฮิวโก้ แล้วก็ปีเตอร์ที่เลือกหนึ่งชั่วโมง รวมทั้งหมดห้าคน

    ส่วนคนที่เลือกสองชั่วโมงมีทั้งหมดหกคน มินจุน โจแอน อีวานน่า และอีกสามคน มินจุนเหลือบมอง คนที่ดึงดูดสายตาของเขาที่สุดก็คือผู้หญิงผิวสีที่ชื่อซาช่า อายุน่าจะมากกว่าเขาประมาณห้าปี ซาช่ามีนิสัยเป็นมิตรและอ่อนโยนมากผิดกับรูปร่างที่ผอมแห้งของเธอ ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่เขาสนใจสักเท่าไหร่ แค่นานๆ ทีจะเอาอาหารมาให้ชิมแล้วถามคะแนนจากเขา แต่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป

     

    [ซาช่า เคน]

    เลเวลการทำอาหาร : 6

    เลเวลการทำของหวาน : 7

    เลเวลการชิม : 6

    เลเวลการตกแต่งจาน : 5

     

    เดิมทีคนที่มีเลเวลการทำของหวานระดับเจ็ดมีแค่สองคนก็คือมาร์โค่และแอนเดอร์สัน เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนก็ยังคงเป็นแบบนั้น แม้มินจุนจะไม่ได้คอยนั่งเช็กเลเวลของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้การเปลี่ยนแปลงของซาช่าเอาเมื่อสองวันก่อนจากเค้กแครอตที่เธอนำมาให้เขาชิมเพื่อถามคะแนน มันไม่ธรรมดาเลยเพราะได้ถึงแปดคะแนน เขาตกใจกับคะแนนนั้นมากจึงลองดูเลเวลของเธอ ปรากฏว่าเลเวลของเธอเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

    ในระหว่างแข่งขันยังสามารถพัฒนาได้ ไม่สิ เราเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่…

    เขาไม่สามารถยินดีกับเธอได้อย่างสบายใจนัก จะมีใครในโลกนี้บ้างที่สามารถยินดีกับคู่แข่งได้อย่างบริสุทธิ์ใจ เขามองหน้าต่างสถานะอย่างเสียดาย เลเวลของเขาดูไม่มีวี่แววจะเพิ่มขึ้นเลย พูดให้ชัดก็คือหลังจากมาที่อเมริกา เลเวลก็เพิ่มขึ้นอย่างละหนึ่งระดับ ยกเว้นก็แต่เลเวลการทำอาหาร มีเพียงแค่เลเวลส่วนนี้เท่านั้นที่ไม่เพิ่มขึ้นเลย แม้จะรู้ว่ามันเป็นเลเวลที่สำคัญที่สุด คงไม่มีทางที่จะเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ แต่ความโลภของคนเราก็ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว

    ถ้าเลเวลเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำอาหารจะเพิ่มขึ้นรึเปล่า หรือต้องเป็นความสามารถในการทำอาหารเพิ่มขึ้น เลเวลจึงจะเพิ่มขึ้น แบบไหนกันแน่นะ

    มันเป็นความสงสัยที่เขามีมาตลอด แต่ไม่มีใครมาช่วยตอบได้ ตอนที่เลเวลการทำอาหารเพิ่มเป็นระดับหก น่าตลกที่มันไม่ใช่ตอนที่เขาทำอาหาร แต่เป็นตอนกินอาหารของเจนภรรยาของลูคัส ดูเหมือนว่ามุมมองที่มีต่ออาหารกว้างขึ้นจึงทำให้เลเวลเพิ่ม ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนั้นพอได้ตักอาหารแบบอเมริกันแท้ๆ เข้าปากก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนทันทีว่าอาหารอเมริกันคือแบบไหน คงจะเป็นเพราะประสาทรับรู้รสของเขาเพิ่มมากขึ้น

    อาหารที่ร้านมิชลินสามดาวก็น่าจะเป็นเครื่องวัดได้เป็นอย่างดี

    สิ่งที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เลเวลการทำอาหาร แต่เป็นเลเวลการชิม น่าเสียดายแต่ก็ช่วยไม่ได้ เลเวลเจ็ดคือเลเวลเดียวกันกับคาย่า แอนเดอร์สัน และโคลอี้ การขึ้นไปอยู่เลเวลนั้นง่ายๆ ก็คงเป็นเรื่องที่น่าละอาย ตอนนั้นเองที่อลันเริ่มพูด

    “ดูเหมือนพวกคุณจะเลือกกันเสร็จแล้ว จำไว้ให้ดีนะครับว่าหัวข้อคือของหวาน ขอให้ทำของหวานในแบบที่แม้จะอิ่มจนกินต่อไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องกิน แม้จะอิ่มจนแทบจะอาเจียนออกมา แต่ก็ต้องกิน คนที่เลือกทำของหวานโดยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงจะเริ่มทำทีหลังนะครับ ระหว่างนั้นก็ขอให้อยู่เงียบๆ เอาล่ะครับ เริ่มกันได้เลย!ไปหยิบวัตถุดิบได้ครับ!”

    มินจุนก้าวเท้าทันที เขาไม่คิดจะหยิบวัตถุดิบมาทั้งหมดทีเดียว เอาเวลาไปเริ่มทำแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ดีกว่า ในระหว่างที่ต้มทิ้งเอาไว้ก็มีเวลาว่างอีกเยอะ เขาจึงคิดว่าค่อยไปหยิบวัตถุดิบที่เหลือเอาตอนนั้นก็ได้

    เบื้องต้นเขาหยิบน้ำตาล แอปเปิ้ลเขียว คาราเมลและเพกติน ตอนมาอเมริกาใหม่ๆ เขาทำเยลลี่กับเจสซี่แล้วไม่มีเจลาตินหรือเพกตินเลย จึงต้องใช้ส่วนผสมของเพกตินที่อยู่ในเปลือกแอปเปิ้ลแทน ถ้ามีผงเพกตินอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น โดยปกติมีวัตถุดิบอยู่สองชนิดที่ใช้ในการทำเยลลี่ นั่นคือเจลาตินกับเพกติน หลายคนใช้ผงวุ้น แต่รสสัมผัสตอนเคี้ยวจะคล้ายบุกมากกว่าเยลลี่ ความแตกต่างของเจลาตินกับเพกตินก็ไม่มีอะไรมาก เจลาตินทำจากการแปรรูปคอลลาเจนจากสัตว์ ส่วนเพกตินเป็นการสกัดออกมาจากเปลือกผลไม้พวกส้มหรือแอปเปิ้ล รสชาติแตกต่างพอๆ กับที่มาของมัน เยลลี่ที่ทำจากคอลลาเจนจะแข็งตัวได้ดีกว่าแต่มีแนวโน้มที่รสชาติของส่วนผสมจะดร็อป ส่วนเยลลี่ที่ทำจากเพกตินนั้นเมื่อเทียบกันแล้วจะแข็งตัวได้น้อยกว่า ทว่าให้รสชาติที่ดีกว่า

    เขาไม่ได้นึกเรื่องข้อดีข้อเสียระหว่างเจลาตินกับเพกตินเลย เพราะเยลลี่ที่กินในโรสไอส์แลนด์นั้นใช้เพกติน ในเมื่อตรงหน้าเขามีรอยเท้าที่เห็นชัดๆ อยู่แล้ว เขาก็แค่เดินตามรอยเท้านั้นไปก็พอ

    มินจุนหั่นแอปเปิ้ลเขียวเป็นรูปทรงลิ่มแล้วใส่ลงไปในน้ำเดือดพร้อมน้ำตาลและคาราเมล จากนั้นเขาก็ไปที่ตู้เก็บวัตถุดิบอีกครั้งเพื่อหยิบวัตถุดิบที่ยังไม่ได้หยิบมาในตอนแรก นั่นคือส้มซึดาจิ สาลี่จีน ดอกแนสเตอร์เตียม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง ไข่ไก่ และเนย พอกลับมาที่เคาน์เตอร์ก็เช็กหม้ออีกครั้งซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กรรมการเดินมาพอดี

    “คุณจะทำอะไรเหรอครับ”

    “ผมคิดว่าจะลองทำเมนูที่เคยกินที่โรสไอส์แลนด์ครับ เยลลี่วางบนซึดาจิเคิร์ด และใส่วัตถุดิบอื่นๆ ลงไปอีก”

    “ผมรู้ว่าคุณประทับใจหลายอย่างที่นั่น แต่เมนูนี้ต้องอาศัยความกลมกลืน อัตราส่วนของวัตถุดิบที่จะใช้ทำซอสก็สำคัญ เอ่อ…”

    อยู่ๆ อลันก็ชะงักไป ดวงตาของเขากำลังสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเขาก็ถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ

    “ผมขอถามอะไรสักอย่างนะมินจุน คุณไม่ได้แค่รู้ส่วนผสมและวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังสามารถวิเคราะห์อัตราส่วนของวัตถุดิบได้ด้วยงั้นเหรอ”

    “มีข้อมูลอยู่บนจานมากกว่าที่ใครจะคิดนะครับ”

    มินจุนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คำพูดนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินรวมถึงโจเซฟอ้าปากค้าง ไม่เพียงแค่รู้วัตถุดิบ แต่สามารถรู้ไปถึงอัตราส่วน มันเป็นความสามารถที่ยากจะเชื่อ นี่ถ้าพวกเขารู้ว่ามินจุนสามารถอ่านสูตรการทำได้ด้วย พวกเขาอาจจะโกรธมากกว่าตกใจก็ได้

    “ไม่ว่าคุณจะไปที่ร้านอาหารไหน ผมว่าหัวหน้าเชฟที่นั่นคงจะต้องคอยระวังคุณแน่ๆ”

    “ทำไมล่ะครับ”

    “เพราะคุณอาจเป็นสายลับตัวร้ายแห่งธุรกิจการทำอาหารน่ะสิ”

    คำพูดนั้นทำให้มินจุนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป อลันไม่สามารถละสายตาจากมินจุนได้จึงทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปดูผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ส่วนเอมิลี่ก็แอบพูดทิ้งท้ายว่า

    “ฉันมีเหตุผลที่ต้องสนิทกับคุณเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแล้วสินะคะ”

    “เชฟกับนักชิมอาหารสนิทกันไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ครับ”

    “ทิ้งระยะห่างอีกแล้วนะคะ ข้อเสนอตอนนั้นฉันไม่คิดจะบีบคั้นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องระวังตัวขนาดนี้ก็ได้ค่ะ”

    เอมิลี่พูดจบก็ยิ้มแล้วเดินจากไป ไม่ว่ากรรมการจะอยู่หรือไม่ สิ่งที่มินจุนต้องทำก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือคอยคนไม่ให้แอปเปิ้ลไหม้และต้องเตรียมทำซึดาจิเคิร์ด

    เริ่มจากการล้างส้มซึดาจิโดยนำเบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำเล็กน้อยแล้วถูกับส้มซึดาจิให้เกิดฟอง จากนั้นก็ใช้เกลือแบบหยาบมาทำแบบเดียวกันอีกครั้ง ค่อยใส่ลงไปในน้ำต้มเดือดประมาณสิบวินาทีก็เป็นอันเสร็จ การที่เขาเลือกใช้ส้มซึดาจิทั้งผลแทนที่จะใช้แต่น้ำของมันก็เพราะว่าเขาต้องการผิวส้มด้วย

    เขาหั่นส่วนสีเขียวของเปลือกให้บางแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นก็ตอกไข่ใส่ชาม ส้มซึดาจิหนึ่งลูกต่อไข่ไก่หนึ่งฟอง ใส่เกลือลงไปในไข่หนึ่งหยิบมือ ใส่น้ำตาลลงไปในปริมาณที่เท่ากับไข่ไก่ แล้วตามด้วยน้ำส้มซึดาจิ ส่วนประกอบที่อยู่ในส้มซึดาจิจะช่วยทำให้ไข่ไก่จับตัวกันเป็นครีม

    ทำถึงตรงนั้นเขาก็กลับไปเช็กที่หม้ออีกครั้ง แอปเปิ้ลนิ่มลงมากแล้ว พอใช้กระบวยกดลงไปเนื้อก็แตกออกกำลังดี ระหว่างนั้นเขาหันไปต้มน้ำสำหรับทำโพช*ซึดาจิเคิร์ด แล้วจึงกลับมาบดแอปเปิ้ลให้แตกออกจากกัน เขาใช้ผ้าขาวบางวางลงบนหม้ออีกใบแล้วเทน้ำแอปเปิ้ลลงไป กลิ่นของน้ำตาลกับแอปเปิ้ลแรงจนแสบจมูก ส่วนความร้อนของไอน้ำที่พุ่งออกมาก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเท่าไหร่นัก

    เขาผูกปลายผ้าขาวบางอย่างระมัดระวังแล้วรอให้น้ำแอปเปิ้ลหยดลงช้าๆ ถ้าบิดไปมากากก็จะหลุดลงไป แม้ว่าช่องบนผ้าขาวบางจะถี่ แต่เพื่อให้ได้รสสัมผัสตอนเคี้ยวที่ดีก็ต้องรอให้น้ำแอปเปิ้ลค่อยๆ หยดลงไปจนหมดเอง จากนั้นก็ใส่ผงเพกตินลงไปเคี่ยว นำไปใส่ตู้เย็นเพื่อให้แข็งตัวก็เป็นอันเสร็จ

    ในระหว่างที่เคี่ยวน้ำแอปเปิ้ลผสมเพกตินก็หันกลับไปทำเคิร์ดอีกครั้ง เขานำชามสแตนเลสใส่ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือด ใส่ไข่ไก่ผสมน้ำส้มซึดาจิที่เตรียมเอาไว้ตามลงไป ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปอาจทำให้ไข่ไก่สุกได้ ดังนั้นการโพชแบบนี้จึงเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด

    มินจุนใช้กระบวยคนประมาณสิบนาทีเพื่อไม่ให้เคิร์ดไหม้ ระหว่างนั้นก็หันไปเอาช้อนตักเยลลี่แอปเปิ้ลดู พบว่าตรงขอบเกาะตัวเป็นเยลลี่แล้ว มินจุนจึงวางกระบวยลง เทเยลลี่ลงบนพิมพ์แล้วนำไปใส่ตู้เย็น

    พอกลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้งเขาก็ใช้นิ้วแตะเคิร์ดที่ติดอยู่บนกระบวยจึงรู้ว่าเคิร์ดแข็งตัว หมายความว่าใช้ได้แล้ว เขาจึงนำชามออกจากหม้อแล้วใส่ผิวส้มซึดาจิกับเนยลงไปค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน เนื่องจากยังร้อนอยู่จึงทำให้เนยละลายได้ง่าย ส่วนผิวส้มซึดาจินั้นแม้จะไม่ละลายแต่ก็ถูกสับละเอียดอย่างดี จึงกลายเป็นซึดาจิเคิร์ดที่ผิวเนียนเรียบ เขาลองชิมรสชาติของเคิร์ดสีเขียวด้วยความตื่นเต้น

    “ดีมาก!”

    เขาร้องอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว เปรี้ยวหวานสองพยางค์ที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน รสเปรี้ยวของส้มซึดาจิห่อหุ้มรสหวานของน้ำตาลเอาไว้ และเมื่อเจอกับแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ กลิ่นของคาราเมลที่ละลายอยู่ข้างในรวมไปถึงกลิ่นของแอปเปิ้ลก็มั่นใจได้เลยว่ามันจะเป็นการเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ ความจริงแล้วไม่ต้องชิมก็พอจะเดาผลออก

     

    [ซึดาจิเคิร์ด]

    ความสดใหม่ : 94%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 7/10

     

    ได้เจ็ดคะแนนก็ถือว่าแทบจะเป็นคะแนนสูงสุดเลยก็ว่าได้ เพราะตัวเขาในตอนนี้คงยากที่จะทำเคิร์ดให้ออกมาดีกว่านี้ มินจุนมองนาฬิกาด้วยสีหน้ามั่นใจ ห้าสิบนาที ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมงสิบนาที สิ่งที่เขาจะทำในตอนนี้ก็คือพักหนึ่งชั่วโมง ของหวานที่เขาทำใช้เวลาประกอบร่างกับแต่งจานให้เสร็จเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น

    เมื่อเห็นมินจุนยืนอยู่เฉยๆ กรรมการก็พากันเดินเข้ามาหา

    “มินจุน ทำไมถึงยืนเฉยๆ ล่ะคะ”

    “เพราะว่าต้องรอประมาณห้าสิบนาทีครับ”

    น้ำเสียงของเขามั่นใจมาก เอมิลี่จึงถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย

    “หมายความว่าไม่มีอะไรให้ทำในระหว่างห้าสิบนาทีนี้เหรอคะ”

    “ครับ เอ้อ แต่มันไม่ใช่เมนูที่ควรจะต้องเลือกใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนะครับ เพราะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้เยลลี่แข็งตัว”

    “เรื่องนั้นฉันเข้าใจดีค่ะ แต่คุณตั้งใจจะอยู่เฉยๆ ห้าสิบนาทีโดยไม่ทำอะไรเลยจริงๆ เหรอ”

    “ดูเหมือนไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวนะครับ”

    มินจุนหันไปมองรอบๆ แล้วพูดออกมา ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาพูด ซาช่าก็กำลังว่างอยู่ในระหว่างพักแป้งที่ผสมไว้ อลันจึงถอนหายใจออกมา

    “ดูท่าจะไม่ค่อยมีฉากสนุกๆ เสียแล้ว”

    “ไม่รู้สิครับ มาร์ตินอาจจะได้เห็นสุนทรียศาสตร์แห่งการรอคอยก็ได้นะครับ”

    เอมิลี่ยักไหล่ ส่วนโจเซฟก็ก้มมองซึดาจิเคิร์ดของมินจุนแล้วหยิบช้อนคันเล็กขึ้นมา

    “ขอชิมรสชาติของซึดาจิเคิร์ดหน่อยได้มั้ย”

    “ได้สิครับ”

    ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลี่ยงการประเมิน ซึดาจิเคิร์ดครั้งนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดีที่สุดเท่าที่เขาเคยทำ แม้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยทำได้เจ็ดคะแนนเหมือนกัน แต่เคิร์ดของครั้งนี้แตกต่างออกไป ตั้งแต่ความสวยงามของรูปร่าง การโพชก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี โจเซฟตักเคิร์ดเข้าปากหนึ่งคำแล้วหลับตาลงเพื่อรับรู้รสชาติ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ ออกมา

    “ผมจะคอยดูนะครับ”

    อลันกับเอมิลี่หยิบช้อนขึ้นมาพร้อมทำหน้าตาอยากชิม มินจุนจึงตักเคิร์ดมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาโดยไม่พูดอะไร พอได้ชิมพวกเขาก็ทำหน้าไม่ต่างจากโจเซฟ

    “ผมจำได้ว่าเดฟหมกมุ่นอยู่กับส้มซึดาจิตั้งหลายเดือนเพื่อให้ได้อัตราส่วนนี้มา คุณได้ขโมยช่วงเวลาหลายเดือนของเขาไปแล้ว”

    “เพราะอาหารเป็นของทุกคนครับ”

    มินจุนพูดพร้อมกับยิ้มออกมา อลันจึงมองหน้ามินจุนด้วยแววตาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนเขาจะอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด แล้วเดินจากไป มินจุนหันไปมองรอบๆ สถานการณ์ของคนที่เลือกเวลาสองชั่วโมงนั้นแตกต่างกันไป โจแอนกำลังยุ่งอยู่กับการทำครีมช็อกโกแลตที่จะนำไปวางบนชีสเค้ก ส่วนซาช่าก็กำลังพักแป้งที่ผสมไว้

    คนที่ว่างที่สุดคือมินจุน เขาไม่มีอะไรจะทำจริงๆ ก่อนที่เยลลี่จะแข็งตัวเขาต้องคั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์และหั่นขึ้นฉ่ายฝรั่ง แต่ยิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เวลาเดินไปอย่างช้าๆ พอหันไปมองอีกทีก็เห็นว่าคนที่เลือกเวลาหนึ่งชั่วโมงต่างเริ่มลงมือทำกันแล้ว ซาช่าเองก็เอาแป้งเข้าเตาอบและกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว มินจุนเริ่มขยับตัวขณะที่เวลาเหลือประมาณสิบนาที เขาคั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์บนกระทะที่ไม่มีน้ำมันอย่างรวดเร็ว หั่นขึ้นฉ่ายฝรั่ง แล้วนำลูกสาลี่ที่ปอกเปลือกไว้มาหั่นบางๆ นำไปแช่ในน้ำที่ผสมน้ำตาล ไม่จำเป็นต้องแช่นานเพราะตอนที่ความหวานของลูกสาลี่กับความหวานของน้ำตาลกำลังเริ่มเข้ากันนั้นเป็นตอนที่จะเข้ากับวัตถุดิบอื่นๆ ได้ดีที่สุด

    เวลาเหลือไม่ถึงห้านาทีแล้ว แต่มินจุนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เหลือแค่ทำให้เสร็จอีกนิดเดียวเท่านั้น เขาเดินไปที่ตู้เย็น หยิบเยลลี่ออกมา เยลลี่มีสีเหลืองใสเนื้อเด้งดึ๋งราวกับพุดดิ้ง อันนี้ก็ได้เจ็ดคะแนนเหมือนกัน แอบตักตรงส่วนขอบมาลองชิมก็พบว่ารสสัมผัสตอนเคี้ยวเหนียวหนึบและนุ่มกำลังดีติดไปตามลิ้นและฟันในระดับที่ไม่ทำให้เมื่อยกราม รอยยิ้มจึงปรากฏที่มุมปากของเขา นี่อาจจะเป็นของหวานจานที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำมาเลยก็ได้

    การทำเมนูนี้ ถ้าไม่อยากถูกตัดคะแนน ขั้นตอนการโพชกับขั้นตอนการแช่เย็นนั้นต้องทำออกมาให้ดีอย่างไร้ที่ติ แม้จานที่ทำในวันนี้จะมีข้อจำกัดด้านเวลา แต่เขาก็ทำมันอย่างมีสมาธิมากกว่าครั้งไหนๆ จึงไม่มีข้อผิดพลาด ไม่แน่ว่า…

    อาจจะทำออกมาได้รสชาติเดียวกับที่กินที่นั่นเลยก็ได้

    แววตาของมินจุนเต็มไปด้วยความปรารถนาที่แรงกล้า เขายังไม่ลืมความประทับใจเมื่อครั้งที่ทำริซ็อตโต้ออกมาได้แปดคะแนน การทำอาหารที่ได้มาตรฐานสูงออกมานั้นเป็นเรื่องที่มีความสุขพอๆ กับการที่ลูกค้ากินอาหารที่ตัวเองทำอย่างอร่อย

    มินจุนเทซึดาจิเคิร์ดลงไปบนจานกลมก้นลึก ปาดตรงกลางออกให้เว้าเป็นรูปวงกลม จากนั้นก็นำเยลลี่ที่ตัดแต่งเป็นทรงกลมวางลงไปบนรอยเว้านั้น แล้วนำขึ้นฉ่ายฝรั่งหั่นครึ่งมาวางขดกันเหมือนงู ตามด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คั่วไว้ บดให้แตกก่อนจะโรยหน้า สุดท้ายก็นำสาลี่แช่น้ำผสมน้ำตาลมาวางลงด้านบนสุดพร้อมดอกแนสเตอร์เตียม แล้วในตอนนั้นเอง…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook