• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 3 ตอนที่ 1

    3 of 3หน้าถัดไป

    คาย่าติดต่อมาในเวลาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังจะเอนตัวนอนบนเตียง

    ‘ฉันก็อยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์เหมือนกัน ออกมาได้รึเปล่า’

    พอได้ยินแบบนั้นมินจุนก็ตอบออกไปทันทีว่าไปได้ แล้วก็มาคิดได้ทีหลังว่าเขามาถ่ายรายการ แต่ในเวลากลางคืนแบบนี้เขามีหน้าที่แค่นอน ไม่ต้องถ่ายทำอะไร และโชคดีมาร์ตินเป็นคนที่มีความยืดหยุ่น พออธิบายเรื่องราวและถามว่าจะออกไปข้างนอกได้มั้ย มาร์ตินก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดว่า

    “ปกติแล้วจะต้องมีตากล้องตามไปด้วย แต่ดึกแบบนี้ ผมยอมให้ก็ได้ แต่คุณต้องระวังตัวด้วยนะ ยิ่งดึกยิ่งอันตราย และผมแนะนำให้รีบกลับมาพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เรามีถ่ายทอดสดตอนกลางวัน”

    “ขอบคุณครับ”

    แม้มาร์ตินจะพูดเหมือนกระเซ้าเล่น แต่มินจุนก็อยากจะคิดว่ามันเป็นความหวังดี สถานที่ที่คาย่านัดให้ออกมาเจอคือสะพานเวคคิโอซึ่งเป็นสะพานแห่งเดียวที่ยังคงมีสภาพเหมือนเดิมตั้งแต่สมัยโรมัน ตอนที่ฮิตเลอร์รบกับทหารอังกฤษแล้วถอยกองกำลังออกจากเมืองฟลอเรนซ์ก็ได้ทำลายสะพานทั้งหมดของเมืองนี้ แต่กลับไม่ทำลายสะพานเวคคิโอ เพียงเท่านี้ก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายความสวยงามและคุณค่าของมันเพิ่มเติมอีกแล้ว

    ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาท่ามกลางร้านขายอัญมณีมากมาย แสงไฟสีเหลืองจากหลอดไฟที่ติดอยู่ตามอาคารบ้านเรือนส่องแสงสลัวๆ แสงจันทร์สีขาวสะท้อนเป็นสีเงินบนแม่น้ำ เหล่านี้เป็นภาพที่สวยงามมาก แม้ตอนกลางวันจะเดินชมไปบ้างแล้ว แต่มินจุนมัวแต่สนใจกับของกินจนไม่ได้เพลิดเพลินกับวิวต่างๆ สะพานเวคคิโอยามค่ำคืนมีบรรยากาศแตกต่างจากตอนกลางวันมาก มินจุนมองไปรอบๆ คนส่วนใหญ่เดินกันเป็นคู่ เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเท้าแขนกับราวสะพาน แต่เธอดูไม่เหมือนคาย่า เสื้อมีฮู้ด แจ็กเก็ตหนัง และกางเกงยีนสีดำรัดรูปแม้จะเป็นแฟชั่นในแบบที่คาย่าชอบ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่เหมือนเธอเลย เส้นผมที่โผล่ออกมาจากฮู้ดที่สวมทับหัวเอาไว้ก็เป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ใช่สีดำ

    “หรือจะยังไม่มา”

    ขณะที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาคาย่าก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังมาจากผู้หญิงคนนั้น เขาจึงหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปมอง ผู้หญิงคนนั้นรับสายแล้วพูดว่า

    “อือ”

    พอได้ยินเสียงที่เหมือนกันจากทั้งในโทรศัพท์และจากผู้หญิงคนนั้น มินจุนก็เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงราวสะพานที่ห่างจากเธอไปประมาณสิบก้าว

    “อยู่ไหนเหรอ ไม่เห็นเลย”

    เธอมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ พอเห็นมินจุนเธอก็หยุดจ้อง แล้วหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยิ้มกว้างออกมา พูดโดยแนบมือถือไว้ที่ข้างหู

    “ฉันอยู่ที่สะพานเวคคิโอ ช่วงกลางสะพานใต้เสาไฟ ข้างๆ มีรูปปั้นแกะสลัก ไม่รู้ว่ารูปปั้นใครเหมือนกัน อาจจะเป็นเลโอนาร์โดหรือดันเต้ แล้วนายอยู่ไหน”

    “ฉันก็อยู่ที่สะพานเวคคิโอเหมือนกัน ใส่เสื้อหนาๆ รึเปล่า อากาศเย็นนะ”

    “ก็อย่างที่เห็น ไม่ใช่สิ ใส่มาหนาแล้ว เสื้อฮู้ดกับแจ็กเก็ตคงพอ”

    “มาคนเดียวเหรอ”

    “ฉันไม่ใช่คนใหญ่คนโตถึงจะได้มีบอดี้การ์ดคอยตาม”

    คาย่าพูดแล้วยิ้ม มินจุนจึงถามต่อ

    “ว่าแต่เราจะเล่นกันแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่”

    “ไม่รู้สิ ให้ฉันส่งสัญญาณมั้ยล่ะ”

    “ยังไง”

    “ซินเดอเรลล่าพอถึงเที่ยงคืนระฆังก็จะดัง แล้วเวทมนตร์ก็จะเสื่อมลง พวกเราก็ต้องมีเสียงระฆังบ้าง เดี๋ยวฉันจะทำให้มันดังเอง”

    คาย่ายกมือถือมาไว้ตรงหน้าแล้วค่อยๆ จูบลงไปตรงไมค์ช้าๆ หูของมินจุนจึงได้ยินเสียงหายใจของเธอ เขารู้สึกเหมือนริมฝีปากของเธอสัมผัสอยู่ที่หูจริงๆ หลังจากนั้นก็มีเสียง ‘จุ๊บ’ดังอยู่เสี้ยววินาที แต่เขากลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูราวกับเสียงระฆัง

    “เวทมนตร์เสื่อมแล้วใช่มั้ย”

    คาย่ายิ้มแล้วกดวางสาย การจะทำให้เวทมนตร์เสื่อมลงเร็วที่สุดอาจจะเป็นวิธีนี้ก็ได้ คาย่าเดินเข้ามาเคาะที่หลังมือของมินจุนที่ยังคงเอามือถือแนบไว้ที่หูอยู่

    “มีใครอยู่ข้างในรึเปล่า”

    “มี”

    “ทำไมถึงทำหน้าทึ่มแบบนั้นล่ะ หรือว่าหยอกเล่นแรงเกินไปสำหรับคุณผู้มีประสาทรับรสที่แม่นยำ”

    “เธอทำแบบนี้กับคนอื่นด้วยรึเปล่า”

    “รู้แล้วน่า ไม่ทำหรอก ไม่ทำ อย่าเครียดไปเลย”

    คาย่าพูดเหมือนเขาเป็นเด็กที่กำลังงอน เขาไม่อยากจะเชื่อเลย คาย่าทำตัวสบายๆ แบบนี้ต่อหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาเหลือบมองผมสีน้ำตาลเข้มของเธอแล้วพูดว่า

    “ทำสีผมเหรอ”

    “อือ ช่วงนี้ฉันมีสไตลิสต์คอยดูแล คราวก่อนได้บอกรึเปล่านะ”

    “ไม่ได้บอก ก็สวยดีนะ แต่ฉันชอบสีดำมากกว่า”

    “จริงๆ แล้วถ้าไม่ได้ตั้งใจมองก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรแตกต่างไป ถึงจะเป็นสีน้ำตาลแต่ก็เป็นสีน้ำตาลเข้ม”

    คาย่าพูดพลางใช้นิ้วม้วนผมไปมา มินจุนมองอยู่นิ่งๆ แล้วพึมพำออกมา

    “หรือว่าฉันควรจะทำสีผมบ้างนะ”

    ทันใดนั้นเองคาย่าก็ชักสีหน้าแล้วพูดว่า

    “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ ถ้านายทำแบบนั้นฉันจะไปทำผมเป็นสีทอง”

    “ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ”

    “ฉันไม่ชอบ ฉันชอบที่นายผมดำ”

    การที่คาย่าพูดจาดึงดันแบบนี้ทำให้เขายิ้มออกมามากกว่าที่จะรู้สึกหงุดหงิด หรือเป็นเพราะไม่ได้เจอกันนาน ไม่ว่าเธอทำอะไรจึงดูสวยไปหมด แล้วมือของเขาก็เผลอยื่นออกไปหยิกแก้มของเธอโดยไม่รู้ตัว

    “อะไรเนี่ย มือนี่”

    “ก็เธอชอบทำตัวเป็นเด็กเองนี่นา ความผิดเธอนั่นแหละ”

    “ปล่อยมือก่อนแล้วค่อยพูด”

    พอมินจุนปล่อยมือออก คาย่าก็จ้องเขาอย่างไม่พอใจพลางยกมือขึ้นถูแก้มตัวเอง

    “เจ็บนะ”

    “ขอโทษ”

    “ขอโทษทันทีแบบนี้ตลอดเลย จะโกรธก็ไม่ได้”

    ทั้งสองเถียงกันแบบนี้อยู่พักใหญ่ บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นบทสนทนาที่ไร้ความหมาย แต่การพูดคุยแบบปกติทั่วไปโดยปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการและคิดถึงมันมากที่สุด ถึงขนาดอดทนต่อความง่วงที่กำลังถาโถมเข้ามาได้ รู้สึกเหมือนคำพูดแต่ละคำที่คุยกันอย่างสบายๆ ภายใต้อากาศเย็นในยามค่ำคืนได้โอบกอดร่างกายที่เหนื่อยล้าเอาไว้ แม้คาย่ากับมินจุนจะอยู่ห่างกันประมาณหนึ่ง แต่คำพูดและหัวใจกลับสัมผัสถึงกัน

    “พรุ่งนี้ไปร้านอาหารของอลันเหรอ”

    “ใช่ ไปตอนกลางวัน ไม่ได้ไปตอนเช้า”

    “ดีจัง ฉันก็อยากไปด้วย”

    “ว่างเหรอ”

    “ก็ไม่ว่างน่ะสิ ถึงได้อยากไปไง”

    คาย่ากระโดดขึ้นไปนั่งบนราวสะพานพร้อมทำหน้าหดหู่ มินจุนจึงทำหน้าตื่นตกใจ เตรียมพร้อมที่จะคว้าตัวเธอเอาไว้หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เธอนั่งอยู่อย่างนั้นแล้วยื่นมือออกมา

    “ช่วยจับมือฉันหน่อยได้มั้ย”

    ฟังดูไม่เหมือนกับขอให้จับเพราะกลัวจะตก แต่มินจุนก็จับมือของคาย่าไว้โดยไม่พูดอะไร ผิวที่เย็นเฉียบสัมผัสกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไม่นานเลือดที่ไหลเวียนก็ทำให้ฝ่ามือทั้งสองอบอุ่น คาย่าซึมซับความอบอุ่นนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า

    “ช่วงนี้ฉันได้จับมือคนบ่อยที่สุดตั้งแต่เกิดมา ฉันไม่ค่อยชอบการจับมือสักเท่าไหร่ แต่ที่ตลกก็คือแม้จะจับมือคนมากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีใครเลยที่จับมือฉันเอาไว้ได้แน่นแบบนี้”

    “กลัวเหรอ”

    “ใช่ ฉันอยากจะทำเป็นเก่งต่อหน้านายนะ แต่เอาเข้าจริงก็อยากแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ มากกว่า ฉันกลัว เมื่อก่อนฉันเคยใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเป็นแค่ส่วนหนึ่งของโลก แต่ตอนนี้ทั้งโลกกำลังจ้องมาที่ฉัน ฉันเคยคิดว่ามันเป็นความสำเร็จ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ…”

    คาย่าบีบมือมินจุนแน่น แล้วใช้มือขวาชี้ไปที่มือซ้ายของตัวเอง

    “แม้จะกลัว แต่พอมีใครสักคนจับมือเราเอาไว้แบบในตอนนี้ มันก็ทำให้รู้สึกโล่งใจ ไม่ได้กอด เพียงแค่จับมือไว้เท่านั้นเอง คนเราก็ตลกดีเนอะ ว่ามั้ย”

    “เรื่องที่บอกคราวที่แล้วเป็นยังไงบ้าง ที่ว่าจะมีเรื่องน่ะ”

    “ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

    “ขอถามไม่ได้เหรอว่ามันคือเรื่องอะไร”

    “ก็บอกแล้วไงว่าถ้าบอกฉันก็ต้องพึ่งนายอีก แล้วถ้าพึ่งนายฉันก็จะอ่อนแอ ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น ฉันจะต้องเข้มแข็งขึ้นให้ได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่อยากบอก”

    คาย่าลงมาจากราวสะพานแล้วเอามือข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ด เสื้อที่ถูกรั้งตึงทำให้ฮู้ดแนบกับหัวที่เล็กของเธอ แล้วไม่นานฮู้ดก็ดีดตัวออกราวกับหนังยาง เผยให้เห็นสีผมของเธอชัดๆ

    เช่นเดียวกับสีผมที่เปลี่ยนไป เธอเองก็ดูแปลกตาไปเหมือนกัน

    “ไม่อยากพึ่ง อยากโตเป็นผู้ใหญ่สักที ฉันรู้ว่าฉันยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้ ฉันต้องพยายาม แต่ว่า…”

    คาย่ามองไปที่มือสองข้างที่กำลังจับกันอยู่ ดูเผินๆ แทบแยกไม่ออกว่านิ้วไหนคือนิ้วของเธอ นิ้วไหนคือนิ้วของมินจุน คาย่าสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น

    “การจะปล่อยมือนี่มันยากจริงๆ”

    ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ไม่มีมินจุน พอมาอยู่ตัวคนเดียวบนโลกเธอจึงได้รู้ว่าเขามีความหมายสำหรับเธอมากขนาดไหน ดังนั้นเธอถึงได้จับมือเขา คิดว่าแค่ครู่เดียวก็พอแล้ว แต่มันไม่ใช่เลย พอได้สัมผัสถึงได้รู้ว่าไม่ได้อยากจับเอาไว้เพียงแค่ครู่เดียว แต่มือนี้เป็นมือที่เธอไม่อยากปล่อยให้หลุดไป

    นี่ฉัน…

    คาย่าขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจ ดวงตาทั้งสองกำลังสั่นไหวและรื้นไปด้วยน้ำตา ดวงตาคู่นั้นกำลังมองไปที่มินจุน ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นคนเอเชียหรือเพราะเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว สีหน้าของเขาจึงอ่านได้ยากมาก เธอรู้สึกว่าใบหน้าที่ดูไม่มีความรู้สึกใดๆ ของเขาช่างดูแล้งน้ำใจเหลือเกิน เธอไม่อยากมองหน้าเขา แม้จะสามารถหลับตาหรือหันหน้าไปทางอื่นได้ แต่เธอก็ไม่ทำแบบนั้น ไม่สิ เธอทำแบบนั้นไม่ได้ต่างหาก

    มินจุนทำท่าจะปล่อยมือของเธอ แต่แล้วก็ค่อยๆ ดึงเธอเข้าไปกอด เธอรู้สึกถึงคางของเขาที่สัมผัสอยู่ตรงต้นคอ แล้วเสียงของเขาก็ทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว

    “อย่ากลัวไปเลย”

    พอได้ยินน้ำเสียงที่ใจเย็น คาย่าก็รู้สึกว่าความกระวนกระวายใจและความกลัวได้ละลายหายไปจนหมด รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน แม้ความจริงแล้วบ้านของเธอจะเป็นสถานที่ที่ไม่มีวันไหนเลยที่จะอยู่ได้อย่างสบายใจ เธอยกมือขึ้นกอดเขาเช่นกัน และขณะที่เอาแก้มไปแนบกับต้นคอของเขา เธอก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสแปลกๆ ไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าสัมผัสแปลกๆ นั้นคือรอยแผลเป็นจากน้ำมันลวก เธอจึงผลักไหล่ของเขาออกทันที แสงไฟทำให้เห็นรอยแผลเป็นจุดๆ ที่มีสีไม่สม่ำเสมอกัน

    “คราวก่อนฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่านายสำคัญรองลงมาจากครอบครัวของฉัน”

    “ใช่”

    “ฉันโกหกน่ะ”

    มินจุนไม่มีเวลาได้ตั้งตัวตอนได้ฟังคำพูดนั้น แต่ทันใดนั้นเองคาย่าก็จูบลงไปบนรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมา เขารู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจ และก่อนที่ความร้อนจากลมหายใจจะจางหายไปเสียง ‘จุ๊บ’ก็ดังขึ้น

    “นายสำคัญพอๆ กับครอบครัวฉัน”

    เธอยิ้มกว้าง

    “หัวใจของฉันจะไม่มีทางเปลี่ยนไปเหมือนกับที่รอยแผลเป็นของนายจะไม่จางหาย”

     

    ผู้ร่วมรายการทุกคนรู้เรื่องที่มินจุนออกไปข้างนอกเมื่อคืน แอนเดอร์สันรอจะถามมินจุนตอนกลับมาว่าเป็นยังไงบ้าง แต่สุดท้ายก็เผลอหลับอยู่บนโซฟา พอยามเช้ามาเยือนทุกคนก็รีบตามหาตัวมินจุนกันยกใหญ่

    “เขายังไม่กลับมาอีกเหรอ”

    เซร่าถามด้วยน้ำเสียงตกใจ เจเรมี่จึงหัวเราะอย่างมีเลศนัย

    “ชายหญิงวัยรุ่นออกไปด้วยกันทั้งคืนก็น่าจะเดาได้นะ”

    “เจเรมี่ นายก็อายุปูนนี้แล้ว อย่าพูดอะไรออกมาพล่อยๆ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง…ไม่สิ ถึงแม้ว่าจะใช่ก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ควรเอามาพูดต่อหน้าคนเยอะแยะเหรอไง”

    “ทำไมล่ะ จะเป็นอะไรไป สมัยก่อนเธอเองก็เคยพูดเรื่องนี้เรื่องนั้นไปทั่วนี่ ตอนนี้มาทำเป็นสุภาพ ช่างตลกสิ้นดี”

    “ขอร้องล่ะ ช่วยหุบปากทีเถอะ”

    ขณะที่เจเรมี่กำลังหัวเราะร่วน มินจุนก็เดินเข้ามาพร้อมยิ้มอย่างเคอะเขิน

    “ผมกลับมาช้าไปหน่อยใช่มั้ยครับ”

    “ช้ามากเลย ได้นอนรึเปล่าคะ”

    “ครับ ได้นอนงีบที่ม้านั่งมาหน่อยนึง แต่…ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”

    มินจุนมองเอมิลี่ที่กำลังอ้าปากค้าง ระหว่างนั้นเซร่าก็ยิ้มอย่างยั่วเย้าแล้วกระซิบว่า

    “แค่นอนงีบบนม้านั่งยาว ต้องใช้เวลานานทั้งคืนเลยเหรอคะ”

    “ว่าไงนะครับ”

    เซร่ามองมินจุนด้วยสายตาสงสัย มินจุนก็มองเธอด้วยสายตาแบบเดียวกัน เครื่องหมายคำถามของทั้งสองกำลังพุ่งเข้าหากัน แล้วคนที่หยุดการปะทะนั้นก็คือแอนเดอร์สัน

    “คุยกันทั้งคืนเลยเหรอ”

    “ใช่ พอง่วงก็เลยพิงม้านั่งยาวหลับไป ไม่เจอกันนาน มีเรื่องคุยกันเยอะเลย”

    “อ้อ”

    แอนเดอร์สันพยักหน้ารับ ที่เขาถามไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เพราะอยากให้ความเข้าใจผิดของคนอื่นถูกคลี่คลายด้วยปากของมินจุน ตัวเขาเองไม่เชื่ออะไรแบบนั้นอยู่แล้วเพราะมินจุนกับคาย่าต่างก็เป็นคนใสซื่อและไร้เดียงสากว่าที่เห็น เซร่ากับเอมิลี่มองหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเธอเข้าใจคำพูดระหว่างแอนเดอร์สันกับมินจุนอย่างถูกต้อง เซร่าจึงพูดโพล่งออกมา

    “ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยเหรอคะ”

    “อะไรเหรอครับ”

    “เอ้อ เปล่าค่ะ”

    เซร่ารู้สึกว่าตัวเองคิดไปไกลจึงรีบปฏิเสธ แล้วเจเรมี่ก็กระแอมขึ้นมา

    “นั่นสิ เขาถึงได้บอกไงว่าห้ามคาดเดากันไปเองน่ะ”

    แล้วพวกเขาก็พากันไปกินอาหารเช้าที่ร้านพิซซ่าแถวๆ โรงแรมโดยไม่มีอลันไปด้วย เพราะมื้อกลางวันตกลงกันไว้ว่าจะไปกินกันที่ร้านของอลัน อลันจึงขอตัวไปเตรียมร้าน

    กินพิซซ่าหนึ่งถาดแต่เช้าเลย

    พอมาคิดดูมันก็แปลก เวลากินพิซซ่าเกาหลีหนึ่งแผ่น ไม่สิ ถึงแม้จะกินถึงสามแผ่นมินจุนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป แต่สำหรับพิซซ่าปกตินั้นการกินครึ่งถาดคนเดียวถือว่าเยอะมาก ทั้งที่เป็นแค่พิซซ่าเตาถ่านที่ไม่ได้หนาด้วยซ้ำ

    เซร่ากินพิซซ่ามาร์เกอริต้า*ของตัวเองแล้วพูดว่า

    “เป็นเรื่องปกติที่คนอิตาเลียนแม้จะเป็นผู้หญิงตัวผอมๆ ก็สามารถกินพิซซ่าถาดนึงหมดคนเดียว ก็เหมือนกับการที่เราไม่แบ่งกันกินแฮมเบอร์เกอร์ไง”

    “ก็พอเข้าใจได้ เพราะถ้าเทียบกับพิซซ่าในอเมริกาแล้วมันบางและเล็กกว่า แต่ก็รู้สึกเหมือนกินเยอะเกินไปอยู่ดี ปกติในประเทศเกาหลี พิซซ่าหนึ่งถาดต้องกินกันประมาณสามหรือสี่คน และตอนเช้าๆ แบบนี้ก็ไม่ค่อยกินพิซซ่ากันด้วย”

    “กินพิซซ่าตอนเช้ามันดีกับสุขภาพจะตายไป”

    เมื่อได้ยินเซร่าพูดแบบนั้นมินจุนก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ แต่ละประเทศไม่ใช่แค่ชนิดของอาหารเท่านั้นที่แตกต่าง แต่นิสัยการกินอาหาร ทัศนคติ และการที่ร่างกายตอบสนองต่อวัตถุดิบก็ยังต่างกันด้วย ดูแค่ชีสที่อยู่ในพิซซ่าตรงหน้าก็ได้ ในเกาหลีถ้ากินตอนเช้ามันจะเป็นเมนูที่ทำให้ไม่สบายท้องไปทั้งวัน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พอกินอาหารเช้าเสร็จเขาก็ขึ้นรถด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีอย่างเห็นได้ชัด ชีสไม่เข้ากับร่างกายเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมากินตั้งแต่เช้าจึงยิ่งทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนไม่น้อย

    คาย่าจะกินอาหารเช้ารึยังนะ

    มาคิดๆ ดูเธอก็แทบไม่ได้นอนทั้งคืนเหมือนกัน ไม่ว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็คงจะอยู่ในสภาพที่อ่อนล้าไม่น้อย เขาน่าจะให้เธอกลับไปเร็วกว่านั้น แต่พอไม่ได้เจอหน้ากันมานานต่างฝ่ายก็ต่างไม่สามารถเอ่ยคำลาออกมาได้ ในที่สุดมินจุนก็หยิบมือถือออกมา

     

    ฉัน:เหนื่อยมั้ย

    คาย่า: ได้หลับในรถหน่อยนึงแล้ว ทีมงานบอกว่ากำลังจะไปถ่ายทำที่ร้านอาหารที่ไหนสักที่น่ะ ก็คงต้องกินไปง่วงไป

    ฉัน: ขอโทษนะ ฉันรั้งเธอไว้นานเลย

    คาย่า: นายรั้งฉันไว้ฝ่ายเดียวเหรอไง ฉันก็รั้งนายไว้เหมือนกัน ฉันของีบก่อนนะ ไว้ค่อยส่งข้อความหา

     

    เป็นเรื่องไม่คาดคิดที่เธอตอบข้อความกลับมาทันที แต่ดูเหมือนเธอคงจะเหนื่อยมากจึงหยุดการสนทนาไว้แค่นั้น มินจุนตั้งใจไม่ส่งข้อความตอบกลับไปอีกเพราะเขาเองก็ง่วงเหมือนกัน ขณะที่กำลังจะหลับตาลง แอนเดอร์สันที่กำลังขับรถอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า

    “ชื่อร้านอาหารของอลัน ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนเอามาจากชื่อร้านของคุณเรเชลเลยนะครับ โอลีฟไอส์แลนด์”

    “ก็คงใช่มั้งคะ ฉันเกษียณตัวเองก่อนที่อลันจะได้เป็นระดับหัวหน้าเชฟ จึงไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะมอบหมายให้เด็กคนนั้นดูแลร้านได้ แต่เด็กคนนั้นก็ยังสร้างร่องรอยของฉันกับสามีขึ้นมาในร้านอาหารของตัวเอง ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ”

    “บนโลกนี้คงจะมีแค่เรเชลที่ทำเหมือนอลันเป็นเด็กๆ”

    สิ้นคำพูดของเอมิลี่ รถก็ขับมาถึง‘โอลีฟไอส์แลนด์’ ร้านอาหารของอลัน มาร์ตินขอให้ทุกคนรออยู่หน้าร้านก่อนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า

    “อาหารยิ่งแบ่งปันก็ยิ่งอร่อย แน่นอนว่าแค่พวกคุณหกคนแบ่งอาหารกันก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ถ้ามีส้อมกับมีดเพิ่มมาอีกหน่อยก็น่าจะทำให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้น”

    “จะบอกอะไรก็รีบบอกมาเถอะ ร่ายซะยืดยาวเชียว”

    “วันนี้เรามีแขกพิเศษที่จะมาร่วมรายการกับพวกคุณ”

    คำว่าแขกพิเศษทำให้มินจุนขมวดคิ้ว มีสมมติฐานหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว แต่มันไม่น่าจะเป็นจริง เพราะถ้าเป็นจริงก็จะทำให้การที่เขาไม่ได้นอนทั้งคืนกลายเป็นไร้ความหมายไปเลย ทว่าพอเห็นสายตาที่ขบขันของมาร์ตินเขาก็มั่นใจในสมมติฐานนั้น

    มาร์ตินชี้ไปด้านหลัง เห็นผู้หญิงใส่เสื้อไหมพรมแขนกุดสีเทา แต่งตาแบบสโมกกี้เข้มๆ เธอกำลังมองทุกคนด้วยสีหน้าตื่นตกใจมาก

    “ผู้ชนะรายการแกรนด์เชฟ!คาย่า โลตัส!”

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook