#นิยายแฟนตาซี

‘นักดาบ’ ถือเป็นอาชีพหลักที่เรามักเห็นทั้งในการ์ตูน เกม ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งนิยายแฟนตาซี ซึ่งการออกแบบตัวละครนักดาบในแต่ละเรื่องนั้นจะมีความแตกต่างกันตรงที่ลักษณะของดาบและวิชาในการต่อสู้ซึ่งรูปแบบเหล่านี้ล้วนมาจากลักษณะของบุคคลที่เป็นนักดาบจริงๆ ในประวัติศาสตร์ วันนี้เฮียคัด 3 รูปแบบนักดาบยอดฮิตที่เรามักพบเจอกันอยู่บ่อยๆ มาเจาะรายละเอียดถึงคาแร็กเตอร์นั้นๆ กัน เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่อาจไม่เคยเจาะลึกถึงรูปแบบนักดาบเหล่านั้น

1. ‘ซามูไร’ นักดาบแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ผนึกจิตใจกับคมดาบ เข้าถึงดินแดนแห่งจิตใจ

ซามูไรเป็นชื่อที่ใช้เรียกนักดาบของประเทศญี่ปุ่น นักรบสมัยก่อนต่างถูกเรียกว่าซามูไรด้วยกันทั้งนั้น แต่ในหมู่ซามูไรก็จะแบ่งออกมาได้อีกหลากหลายรูปแบบแล้วแต่จุดยืนของซามูไรคนนั้น บ้างเป็นมือสังหาร บ้างเป็นซามูไรมีนาย  บ้างเป็นซามูไรนอกรีตที่เปรียบเสมือนทหารรับจ้าง หรือบางคนทำหน้าที่เหมือนนายทหารทั่วไป

‘คาตานะ’ อาวุธสังหารแห่งความเร็ว

เป็นดาบที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ใบดาบจะโค้งงอเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวิชาการต่อสู้ของซามูไร ส่วนด้ามจับจะพันด้วยผ้า มีโกร่งดาบเพื่อป้องกันคมของตัวดาบ ลักษณะการใช้จะเน้นไปที่การฟันมากกว่าแทง และจะออกแบบให้มีน้ำหนักเบาเพราะวิชาดาบของซามูไรเน้นไปที่ความเร็วมากกว่าความรุนแรง

Cr. ancientpages.com

วิชาดาบที่ตัดสินด้วย ‘ความเร็ว’ พริบตาแห่งการดับสูญ

วิชาดาบของซามูไรไม่ว่าจะวิชาใดก็ตามล้วนถูกออกแบบการเคลื่อนไหวให้เน้นไปที่ความเร็วและโจมตีต่อเนื่อง ไม่ได้ใช้กำลังเป็นหลัก อาจจะเพราะลักษณะทางกายภาพของคนญี่ปุ่นที่ไม่ได้ตัวใหญ่โตอย่างคนตะวันตก จึงให้ความสำคัญกับความเร็วและการโจมตีต่อเนื่องเพื่อลดข้อเสียเปรียบด้านพละกำลัง ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าในภาพยนตร์หรือในการ์ตูน ตัวละครที่ใช้วิชาดาบหลังจากฟันแล้วมักจะมีกระบวนท่าต่อเนื่องจากนั้นเลย ไม่ค่อยมีการชะงัก ทุกท่วงท่าจะมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องตลอดเวลา นี่จึงเป็นวิชาดาบที่ต้องใช้การจับทางค่อนข้างสูง แม้จะมีพละกำลังมากแค่ไหน แต่ถ้าโจมตีไม่โดนมันก็ไร้ความหมาย

เป้าหมายแห่งวิชาดาบเพื่อเข้าถึงจิตใจที่ว่างเปล่า

ดาบหรือวิชาดาบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อสังหาร แต่อีกทางหนึ่งเหล่าซามูไรผู้กล้าต่างใช้วิชาสังหารนี้ในการฝึกจิตใจเพื่อเข้าถึงสัจธรรมบางอย่าง แต่ละการเคลื่อนไหวล้วนแฝงไปด้วย ‘สมาธิ’ ระดับสูง เรียกได้ว่าผู้ที่เข้าถึงห้วงสมาธินั้นได้ ภาพที่เห็นจะเหมือนหยุดอยู่กับที่ หรืออธิบายในหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ‘สภาวะ The Zone’ ก็คือช่วงที่ประสาทสัมผัสของคนคมกริบถึงขีดสุด เขาคนนั้นจะรับรู้ถึงสิ่งรอบข้างได้ในเวลาเดียวกันและเข้าใจความจริงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับตนเองเข้าสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง

2. ‘มือกระบี่’ ผู้ขจัดมารแห่งยุทธภพ

ถ้าพูดถึงนักดาบจีน ใครๆ ก็ต้องพูดถึง ‘มือกระบี่’ ผู้ที่มักจะมีมาดที่แตกต่างไปตามสังกัดของแต่ละตัวละคร (เรื่องชุดที่ใส่ไม่สีดำก็สีขาว) ตัวละครนี้มักจะอยู่ในนิยายกำลังภายในและถูกพูดถึงในแง่แห่ง ‘ความดี’ หรือในยุคหนึ่งที่นิยายกำลังภายในมีการใช้ตัวละครนี้ในทางตรงกันข้าม กล่าวคือไม่เป็นคนดีก็เป็นคนเลวไปเลย จนมาถึงนิยายกำลังภายในยุคปัจจุบันที่ออกแบบตัวละครแบบนี้ให้มีความคลุมเครือ จะดีก็ไม่ดี จะเลวก็ไม่เลว จนสร้างมิติใหม่ๆ ให้กับตัวละครรูปแบบนี้อย่างมาก

Cr. WeTV

‘กระบี่’ อาวุธสุดเท่ แทนที่จะฟันกลับชอบเอาไปบิน

กระบี่เป็นอาวุธประเภท ‘ดาบ’ ของจีน มีลักษณะใบดาบที่ตรงไม่มีโค้ง มีคมทั้งหมด 2 ด้าน ปลายแหลมสามารถใช้ในการแทงได้ดี นอกจากจะเป็นอาวุธที่ใช้สังหารแล้วยังเป็นอาวุธที่ใช้บ่งบอกฐานะของผู้ถือครองได้ยกตัวอย่างเช่น ‘ฮ่องเต้’ มักจะมีกระบี่ที่ใช้ประดับบารมีและเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกครอง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกรณีที่มีการใช้ ‘กระบี่’ เป็นอุปกรณ์ในการบอกสถานะบางอย่างในสังคม

วิชากระบี่ ไม่ว่าจะบินหรือไม่บิน ต่างใช้สังหารได้เหมือนกัน

ในนิยายกำลังภายในที่มีการปล่อยพลังอลังการ ในการต่อสู้กระบี่ที่อยู่ในมือ ‘นักกระบี่’ ส่วนมากมักไม่ค่อยอยู่ติดมือเท่าไหร่หรอก เพราะการใช้กระบี่ในรูปแบบนิยายแฟนตาซีจีนกำลังภายในจะเป็นการควบคุมกระบี่ระยะไกลเพื่อสังหารและป้องกันในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมีการแยกร่างกระบี่หรือทำให้ลุกเป็นไฟขึ้นอยู่กับสเกลพลังในแต่ละเรื่อง แต่ถ้าในชีวิตจริงนั้นการใช้กระบี่มักจะเป็นวิชาที่เน้นไปที่การแทงมากกว่าการฟันเนื่องจากการออกแบบที่สามารถใช้ได้ทั้งสองแบบ แต่ด้วยตัวดาบที่เป็นเส้นตรงจึงสะดวกกับการแทงมากกว่า วิชากระบี่จึงออกแบบมาเพื่อการบุกทะลวงและหาจังหวะในการพิชิตคู่ต่อสู้ ไม่ค่อยเน้นไปที่การโจมตีต่อเนื่อง แต่จะเจาะจงไปที่จุดสำคัญเพื่อจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด

ศาสนา ความเชื่อ และคำสอน สิ่งที่แฝงอยู่ในวิชากระบี่

วิชากระบี่ถึงแม้จะเป็นวิชาสังหาร แต่กระบวนท่าและความหมายในการต่อสู้ล้วนมีส่วนเชื่อมโยงกับหลักศาสนาและคำสอนต่างๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเหตุผลในการต่อสู้ว่าการปะทะกันในแต่ละครั้งนั้นทำไปเพื่อสิ่งใด การหาความถูกต้องของการต่อสู้ต่างก็เป็นสิ่งผู้คนลืมเลือนเพราะถูกกลบไปด้วยแรงอาฆาตและจิตสังหาร บางคนมีเหตุผลที่จะต่อสู้เพื่อที่จะปกป้องใครบางคน บางคนอาจต่อสู้เพื่อตัวเอง หรือบางคนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ทั้งหมดล้วนเป็นคำสอนที่ปลูกฝังอยู่ในวิชาการต่อสู้จีนทั้งหมด

3. ‘Sword man’ นักดาบแห่งตะวันตกผู้เข้าถึงความจริงของโลก

นักดาบจากนิยายตะวันตกไม่ว่าจะแฟนตาซีหรือไม่แฟนตาซีล้วนมีลักษณะมาจากนักรบในยุคกลางของยุโรป กลุ่มนักดาบพวกนี้เรารู้จักกันในนาม ‘Sword Man’ นักดาบเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์ตรงที่มีรูปร่างใหญ่ มีพละกำลังที่เยอะ บางคนตัวใหญ่จนดูเคลื่อนไหวช้าไปเลย จะสวมเครื่องป้องกันติดตัวไว้ครบสรรพ ตั้งแต่เกราะส่วนขา ถุงมือ ไปถึงส่วนหัว การสวมเครื่องป้องกันเหล่านี้เอาไว้อาจดูเหมือนจะเป็นภาระไม่คล่องตัวอย่างที่คิด แต่มันมีเหตุผลของมันอยู่อ่านต่อในหัวข้อ ‘วิชาดาบ’

Cr. amazon.co.uk

‘Saber’ ดาบแห่งอัศวิน

Saber เป็นอาวุธประเภทดาบมีทั้งขนาดที่ใหญ่และขนาดเล็ก (ส่วนมากจะใหญ่) มีน้ำหนักที่เยอะเหมาะกับผู้ใช้ที่มีพละกำลังมหาศาล มีคม 2 ด้าน ใช้ได้ทั้งการแทงและการฟัน บางครั้งใช้เป็นเครื่องบอกสถานะทางสังคมเหมือนกระบี่ แต่จะก็ไม่สำคัญเท่ากับธรรมเนียมของจีน เพราะแม้แต่คนป่าก็สามารถมีไว้ในครอบครองได้เช่นกัน เพียงแต่ถ้าเป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีฐานะ Saber ของพวกเขามักจะมีการประดับเพชรหรือทองเอาไว้กับตัว Saber ด้วย

วิชาดาบ Saber + โล่  รุกรับในเวลาเดียวกัน

ลักษณะการใช้ดาบประเภท Saber มีอยู่หลากหลายวิธีแต่วิธีที่นิยมมากที่สุดคือการใช้คู่กับโล่ มือข้างถนัดจะถือ Saber ส่วนอีกข้างจะถือโล่ ในการต่อสู้จะใช้สลับกัน เพราะผู้ใช้มักจะเป็นคนตัวใหญ่ ไม่เน้นไปที่ความเร็วในการโจมตี แต่เน้นไปที่พลังทำลายในแต่ละการลงดาบ ผลเสียคือทำให้ไม่มีความคล่องตัวในการหลบหลีกการโจมตีหลังจากนั้น การใช้โล่ถึงเป็นการลบจุดอ่อนของผู้ใช้ Saber ได้อย่างดี

Saber คู่ พลังทำลายคูณ 2 ท่วงท่าที่ไหลไปตามน้ำหนักของดาบ

นักดาบตะวันตกผู้เชี่ยวชาญในการใช้ Saber จะมีอีกประเภทหนึ่งที่เลือกจะไม่ใช้โล่ในการลบจุดอ่อนเรื่องความเร็วในการหลบหลีก แต่จะไปปรับที่กระบวนท่าในการฟาดฟัน น้ำหนักของ Saber ที่ค่อนข้างมากเป็นไปได้ยากมากที่จะกวัดแกว่งไปกลับได้เหมือน ‘คาตานะ’ พวกเขาเลือกที่ใช้ Saber คู่ในการโจมตีต่อเนื่อง หลังจากฟาดดาบที่หนึ่งไปแล้ว ดาบที่สองจะไหลไปตามแรงฟันในครั้งแรกเพื่อโจมตีครั้งที่สอง จากนั้นจะใช้ ‘การหมุนตัว’ ตามแรงฟันของดาบเพื่อแกว่งดาบที่ฟันไปแล้วให้ไหลไปตามกระแสร่างกายต่อไป ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกระบวนท่าโจมตีที่สามารถรุกและรับได้ในเวลาเดียวกัน แต่การจะทำเช่นนี้ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่รู้ทิศทางของการกวัดแกว่งดาบ Saber อย่างเชี่ยวชาญ รู้วิถีของศัตรูในการโจมตีเพื่อใช้การโจมตีสวนกลับแทนที่จะป้องกัน เราจะไม่ค่อยเห็นนักดาบที่ใช้ Saber คู่นักเนื่องจากความยากของกระบวนท่าและความแข็งแกร่งของร่างกายไม่ถึงขั้นที่จะใช้วิชานี้ได้

การเดินทางของนักดาบและความเป็นจริงของโลก

เราจะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่องของนิยายตะวันตกมักจะถ่ายทอดเรื่องราวในยุคสมัยนั้น ความโหดเหี้ยมของสงคราม การเอาตัวรอด และสิ่งที่สัญชาตญาณดิบของมนุษย์กระทำกันอย่างไม่มีจริยธรรม นักดาบบางคนที่เจอเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามล้วนเปลี่ยนแปลงตามสิ่งเหล่านั้นเสมอ นั่นคือสิ่งที่หาได้จากนิยายตะวันตกไม่ว่าจะแฟนตาซีหรือไม่แฟนตาซีก็ตาม อีกสิ่งที่นักดาบในโลกตะวันตกล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากก็คือเรื่องของ ‘การเมือง’ เพราะสงครามส่วนใหญ่ความขัดแย้งที่ต้องทำให้ต่อสู้ล้วนเกิดจากชนชั้นสูงที่แย่งชิงผลประโยชน์กัน จนท้ายที่สุดเหล่านักดาบที่บางครั้งคิดว่าตัวเองสูงส่งด้วยสถานะชนชั้นสูงก็สามารถตกหล่นลงมาสู่จุดที่ต่ำที่สุดของสังคมได้เหมือนกัน จึงไม่แปลกที่การอยู่รอดในโลกแบบนี้ต้องอาศัยไหวพริบและประสบการณ์ในการสู้จริงมากกว่าในตำรา ความจริงหนึ่งเดียวในโลกของนักดาบก็คือ ‘ถ้าเราไม่ฆ่าเขาก่อน เขาก็ฆ่าเรา’ นี่คือแนวคิดที่แฝงมากับตัวละครนักดาบในนิยายตะวันตก

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับการเจาะลึก ‘นักดาบ’ ทั้ง 3 แบบในโลกแห่งนิยาย สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดจากตัวละคร ‘นักดาบ’ ไม่ว่าจะชนชาติใดก็ตาม นั่นคือความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ สมัยก่อนที่การฆ่าคนเป็นสิ่งปกติทั่วไป จิตใจที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดตั้งสมาธิไปที่การทำอะไรบางอย่าง (ในที่นี้คือการฆ่า) ล้วนเป็นสิ่งเราสามารถนำมาปรับใช้ได้กลับยุคที่ข้อมูลทุกอย่างมันรวดเร็วเหลือเกิน ทุกสิ่งที่ดำเนินไปเร็วอาจทำให้ความต้องการของเราถูกกลบไปด้วยกระแสสังคมจนบางครั้งทำให้เราลืมไปจริงๆ ว่าเราต้องการอะไร ความยึดมั่นเด็ดเดี่ยวในเป้าหมายเป็นสิ่งที่ตัวละคร ‘นักดาบ’ ได้มอบให้กับเราและหวังว่าบทความนี้จะทำให้ความมุ่งมั่นในความฝันของคุณๆ ผู้อ่านกลับมาอีกครั้ง