• Connect with us

    Enter Books

    บทความ

    โลกจะเป็นอย่างไร! ถ้านิยายดิสโทเปียเกิดขึ้นจริง

    ก่อนจะเล่าถึงเรื่องทั้งหมดเรามารู้ความหมายของ ‘นิยายดิสโทเปีย’โดยย่อก่อน เผื่อเพื่อนๆ บางคนไม่รู้

    นิยายดิสโทเปีย = นิยายที่ว่าด้วยเรื่องของโลกมนุษย์ในอนาคตที่พังทลายลงจากสาเหตุต่างๆ จบ…

     

    นิยายแนวนี้เป็นที่นิยมของนักอ่านอย่างมากไม่ว่าจะเป็นนิยายที่โด่งดังจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์วิ่งสับเท้าแตกอย่าง‘THE MAZE RUNNER’ หรือโลกที่ทรัพยากรเริ่มหมดไปและมีอยู่อย่างจำกัด จนแต่ละเมืองต้องไล่ล่ากันเองเพื่อความอยู่รอดอย่าง ‘MORTAL ENGINES’ ที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เช่นเดียวกันในชื่อไทย ‘สมรภูมิล่าเมือง’

    ทั้ง 2 เรื่องได้เล่าความเป็นดิสโทเปียของโลกได้อย่างดีเยี่ยมจนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า ‘ถ้าโลกเราเป็นแบบนั้นจริงๆ จะเป็นอย่างไร’ เราคงไม่อาจตอบได้ในเวลานี้เพราะมันคงเป็นเรื่องของอนาคตอันยาวไกล

     

    แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าที่เราได้รับจากนิยายดิสโทเปียนั่นคือ ‘การตั้งคำถามกับโลกที่เราอยู่ในปัจจุบัน’ ว่าหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกรอบตัวเรา   จะส่งผลยังไงต่อโลกในอนาคตบ้าง เราลองมาดูกันว่ามีทฤษฎีอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคต

     

    ปัญญาประดิษฐ์และโลกที่ไร้ซึ่งมนุษย์

    มันคือโลกอะไร อย่างที่หลายคนคงรู้กันดีว่าการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า‘หุ่นยนต์’ เป็นสิ่งที่คนเราพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านแรงงานไปจนถึงด้านสติปัญญาด้วย ซึ่งถ้ามองแบบผ่านๆ ก็เป็นแนวคิดและการพัฒนาที่ดีเลยทีเดียว

    แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้นั้นก็คือ ‘หุ่นยนต์ฉลาดกว่ามนุษย์’ จริงอยู่ว่าหุ่นยนต์นั้นมีต้นแบบมาจากความคิดของมนุษย์ไปจนถึงร่างกาย แต่สิ่งหนึ่งที่หุ่นยนต์ไม่มีนั่นก็คือ ‘ความรู้สึก’ หุ่นยนต์จะทำเพียงสิ่งที่ถูกต้องตามข้อมูลที่ได้รับมาเท่านั้นและก็เป็นที่รู้กันว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตของความผิดพลาดอยู่แล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่าถ้าปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้มองว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีอยู่บนโลกขึ้นมา ด้วยความสามารถที่มากมายของพวกมัน นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบมนุษยชาติก็เป็นได้

     

    โลกแห่งชนชั้นที่ไร้ซึ่งอิสระภาพ

    โลกในรูปแบบนี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงจากการคาดเดาในเรื่องทรัพยากร เห็นได้จากปัจจุบันที่มีการทำสงคราม เกี่ยวกับการแย่งชิงทรัพยากรของเหล่าประเทศมหาอำนาจ ด้วยทรัพยากรของโลกที่หมดไปเรื่อยๆ ปริมาณการใช้ที่มากกว่าการฟื้นฟู เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด

    และเมื่อถึงจุดที่ทั่วโลกต่างต้องแย่งชิงทรัพยากรกันไม่ใช่เพียงประเทศมหาอำนาจอีกต่อไปที่ต้องการจะอยู่รอด และเวลานั้นเองที่โลกจะกลับไปใช้กฎดั้งเดิมคือ ‘ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ผู้อ่อนแอต้องตาย’เมื่อประเทศที่ไม่มีความแข็งแกร่งมากพอก็จะพ่ายแพ้จนต้องอยู่ใต้ประเทศที่แข็งแกร่งกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และตอนนั้นเองที่ระบบชนชั้นจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นส่วนคนที่อยู่ด้านล่างก็จะต้องรักษาชีวิตของตัวเองโดยแลกกับสิ่งที่เรียกว่า ‘อิสระภาพ’

     

     

    ธรรมชาติจะรีเซ็ตโลก

    คงเคยได้ยินทฤฎีรูปแบบนี้กันบ่อยแล้วใช่ไหมไม่ว่าจะ  ทฤษฎีล้างโลก น้ำท่วมโลก  บทลงโทษของพระเจ้า ฯลฯ อย่างที่เรารู้ๆ กันมนุษย์เราสามารถเอาชนะได้ในหลายๆ อย่างในโลกใบนี้แต่คงไม่ใช่ธรรมชาติแน่ มีประโยคหนึ่งจากใครสักคนที่บอกได้น่าสนใจมากว่า ‘เมื่อโลกกำลังจะลงตัวเมื่อไร พระเจ้าก็จะขว้างก้อนหินใส่’ ประโยคนี้ให้ความหมายว่าเมื่อมนุษย์พัฒนาจนถึงจุดหนึ่งโลกก็จะทำการชำระล้างด้วยตัวของมันเองเพื่อกำเนิดสิ่งใหม่หรืออาจจะเป็นสิ่งเดิมที่วนเวียนกันไปไม่รู้ที่สิ้นสุด

    ทฤษฎีนี้บอกอะไรกับเราบ้าง บางทีประโยคต่างๆ อาจไม่เป็นความจริงก็ได้ถ้ามนุษย์รักกันมากพอ ไม่เพียงแค่รักกันเองแต่เราต้องรักษาโลกใบนี้ด้วย มนุษย์เราทำร้ายโลกใบนี้ไปอย่างมากถึงแม้จะมีการรณรงค์เกี่ยวกับการรักษาโลกมากขึ้นแต่มันจะทันเวลารึเปล่านั้นไม่มีใครสามารถรู้ได้

    ท้ายที่สุดถ้าทฤษฎีนี้เกิดขึ้นจริงก็จะมีมนุษย์เพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังเหลือรอดอยู่และก็จะได้ใช้ชีวิตที่เหลือไปกับโลกที่ถูกชำระล้าง

     

     

    โลกตรงข้ามดิสโทเปีย   ยูโทเปีย แห่งความหวัง

    ถ้าดิสโทเปียคือโลกแห่งความสิ้นหวังของมนุษย์แล้วล่ะก็ ยูโทเปียก็คือโลกตรงข้ามแห่งความหวังยูโทเปีย = โลกในอุดมคติ ที่ซึ่งมนุษย์กับธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ทฤษฎีนี้คงเป็นรูปแบบที่ทุกคนอยากจะให้เกิดขึ้นมากที่สุดแต่ก็ทำได้ยากที่สุดด้วยเช่นกัน

    เป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์เราจะเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน นี่คงเป็นสิ่งที่คนเราควรจะทำมากที่สุดไม่เพียงแค่กับมนุษย์ด้วยกันแต่รวมไปถึงธรรมชาติด้วย การที่เรารู้ถึงความสำคัญของโลก ต่อทุกสิ่งรอบตัวให้อภัยเวลามีคนทำผิด พูดคุยกันเวลามีปัญหา เห็นคุณค่าของกันและกันและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เลือกที่จะแบ่งปันแทนที่จะแย่งชิง ถ้าเราสามารถทำสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดได้ โลกยูโทเปียแห่งความฝันของเราก็คงไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป

    ‘โลกที่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ต้องเริ่มจากเราเอง’

     

     

    จากที่เล่ามาทั้งหมดไม่ใช่เพียงแค่ 4 รูปแบบนี้เท่านั้นที่อาจเกิดขึ้นกับโลกของเรา ยังมีทฤษฎีอีกมากมายเลยที่สามารถคาดเดาว่าโลกของเราจะเป็นไปในทิศทางไหนได้อีกในอนาคต

    สุดท้ายไม่ว่าโลกจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่คนที่กำหนดก็คือ‘ตัวเรา’การที่โลกจะหันไปในทิศทางไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะมีโลกแบบไหน มันไม่ใช่เพียงความรับชอบของใครบางคนหรือแค่บางองค์กรแต่มันเป็น ‘ตัวเรา’ เท่านั้นที่จะช่วยกันทำให้โลกนี้มันน่าอยู่มากกว่าเดิม ปลูกจิตสำนึกที่ดีแล้วส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปเพื่อให้โลกยูโทเปียในอนาคตไม่ใช่เพียงความฝัน

     

    ขอขอบคุณรูปภาพจาก

    ปัญญาประดิษฐ์ : https://www.voathai.com/a/digital-revolution/4385783.html

    ชนชั้น : https://www.matichon.co.th/columnists/news_796124

    น้ำท่วมโลก : https://album.sanook.com/files/2432434

    โลกยูโทเปีย : https://board.postjung.com/1090683

     

     

     

     

     

     

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in บทความ

    นิยายยอดนิยม

    Facebook