บทความนี้ว่าด้วย นิยายแนวดิสโทเปีย

ถ้าพูดถึงนิยายหรือวรรณกรรมแปลในยุคนี้ เรื่องที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ถ้าไม่ใช่นิยายแฟนตาซีที่เกี่ยวกับเวทมนตร์แล้วล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องราวที่เล่าถึงโลกดิสโทเปีย ว่าแต่ดิสโทเปียมันคืออะไร แบบไหนจึงใช่ บทความนี้จะมาว่าด้วยเรื่องนี้กัน

ถ้าจะพูดถึง ดิสโทเปีย (Dystopia) ก็คงต้องเท้าความไปถึงคำว่า Utopia ก่อน คำนี้มีขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยกรีกโบราณ อันหมายถึง ดินแดนในอุดมคติที่มีแต่ความสุขสงบเรียบร้อย ไร้สงครามและความขัดแย้ง และคำว่า Dystopia ก็คือแนวคิดตรงข้ามของ Utopia

หลายคนก็อาจจะตั้งข้อสงสัยเหมือนๆ กันว่า มันจะเป็นไปได้ไหมกับการที่สังคมจะไม่มีการทะเลาะกัน ทุกคนต่างเห็นไปในทางเดียวกัน หรือเห็นแตกต่างแต่ตกลงกันได้โดยสันติไร้ความขัดแย้ง

คราวนี้มาถึงดิสโทเปียกันบ้าง คำนี้มีความหมายถึง สถานที่ที่เลวร้าย ไม่น่าอยู่อาศัย ความเลวร้ายนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุสองสามประการ ไม่ก็หลายๆ ประการรวมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้คนที่ไมดี ขยะหรือสิ่งแวดล้อม โรคระบาดที่อาจเกิดจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นแต่กลับทิ้งไว้ซึ่งผลร้ายที่คาดไม่ถึง

ในอีกด้าน สถานที่ที่เลวร้ายก็อาจเกิดจากระบบการปกครองที่กดขี่ กำจัดสิทธิเสรีภาพของผู้คน ได้เช่นกัน

นิยายแนวดิสโทเปียจึงเกิดขึ้นเพื่อตั้งคำถามต่อโลกในแง่มุมต่างๆ เช่นบางเรื่อง อาจจะเล่าถึงโลกอนาคตที่ประชากรเหลือน้อยเพราะเหตุบางอย่าง จนเกิดการปกครองด้วยระบบใหม่ที่ก่อให้เกิดข้อกังขาว่ามันใช่สิ่งที่ควรเป็นหรือไม่ บางเรื่องพยายามจะสร้างโลกในอุดมคติขึ้นหลังจากมนุษยชาติผ่านเรื่องราวมาเนิ่นนานหากแต่เต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง จึงตัดหลายสิ่งหลายอย่างออกไป แต่นั่นก็อาจยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

อย่างนิยายไซไฟแฟนตาซีอย่าง ‘เกมล่าปริศนา The Maze Runner’ ก็เล่าถึงโลกที่ผ่านการระบาดของไข้วาบมา โลกที่เหลือคนอยู่ไม่มาก แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนบางกลุ่ม