• Connect with us

    Enter Books

    ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    ทดลองอ่านนิยายฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 3 ตอนที่ 1

    บทที่สิบเจ็ด

    ปลายยามโฉ่ว

     

    รัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เดือนอ้าย วันที่สิบห้า ปลายยามโฉ่ว

    เมืองฉางอัน ลานพระราชวังซิงชิ่ง มุมตะวันออกเฉียงใต้

     

    หยวนไจ่เป็นคนยึดหลักเหตุผล มันเห็นว่าเรื่องราวทั้งปวงล้วนสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท คือสามารถไขว่คว้ามาเสพสุขได้และไม่สามารถไขว่คว้าได้ ความสุขของชีวิตมนุษย์ก็อยู่ที่การพยายามทำให้ประเภทหลังแปรเปลี่ยนเป็นประเภทแรก

    ดังนั้นแต่ไรมาหยวนไจ่จึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดเหล่าราษฎรของฉางอันจึงคลั่งไคล้ป้ายไผ่แดงยอดโคมที่ตนไร้คุณสมบัติไขว่คว้าตลอดกาล มันทอดตาอย่างเย็นชามองฝูงชนซึ่งกำลังสำเริงสำราญถึงขีดสุดอยู่ในจัตุรัสที่ไกลออกไป ใบหน้าบ้าคลั่งของหญิงชายโง่งมเหล่านั้นทำให้มันรู้สึกสมเพชเวทนา

    เสียงคำรามทุ้มต่ำดังครืนจู่ๆ ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ หยวนไจ่เงยหน้า เห็นหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนลืมตาตื่นแล้ว ทั่วสรรพางค์ของหอยักษ์สั่นไหวครืนครันเป็นอันดับแรก เปล่งเสียงเสียดสีเอียดอาดกับเสียงเบียดอัด จากนั้นแกนหมุนด้านนอกหลายอันก็เริ่มขยับเขยื้อน ห้องโคมทั้งยี่สิบสี่ห้องเริ่มหมุนรอบหอโคมไปช้าๆ

    บัดนี้ผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมกำลังเข้าไปในพระราชวังซิงชิ่ง ด่านป้องกันน่ารำคาญแต่ละด่านยังคงตรวจเข้มงวด คาดว่าต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้หอโคมแม้จะเริ่มทำงานแล้ว แต่ก็ยังมิได้จุดไฟ เงายักษ์ดำทะมึนภายใต้แสงคบไฟที่จัตุรัสหน้าพระราชวังซิงชิ่งไม่คล้ายร่างเซียนบำเพ็ญธรรม แต่กลับแฝงแววน่าสะพรึงกลัว ดุจดั่งคว่าฝู่แห่งยุคบรรพกาลกำลังก้มมองสรรพสัตว์

    หอโคมมหึมานี้ต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเลยกระมัง หยวนไจ่ตาจ้องหอโคม ลอบถอนใจ

    ทันใดนั้นแววตาของมันเครียดเคร่ง เห็นเงาคนผู้หนึ่งกับของสิ่งหนึ่งพุ่งทะลุแพรปิดโครงหอโคมออกมา ตกลงเป็นแนวโค้ง แขนขาทั้งสี่ปะป่ายไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรงก่อนจะร่วงกระแทกหนักหน่วงบนพื้น บังเอิญว่าตกไม่ห่างจากตัวหยวนไจ่

    เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!

    ผู้อื่นยังไม่ทันมีการตอบสนองใด หยวนไจ่กลับรอคอยเนิ่นนานแล้ว ตาวาวพลางพุ่งสวบๆ เข้าไปอย่างว่องไว เห็นคนผู้นั้นนอนทอดร่างแขนขาบิดเบี้ยว เลือดทะลักจากลำคอ อาศัยความไวทะยานประชิดตัว พยุงอีกฝ่ายขึ้นจากพื้น รีบพินิจดูใบหน้าเป็นอันดับแรก พบว่าเป็นชายชราหลังค่อม

    ผู้เฒ่าสติเลอะเลือนแล้ว ชูมือสั่นระริก “ปีกกิเลน…ระเบิด…เครื่องขับเคลื่อน…เพลายักษ์” ก่อนที่จะคอพับตก หยุดหายใจ หยวนไจ่งุนงงมิเข้าใจ ยื่นมือออกไปคิดจะช้อนต้นคอของผู้เฒ่า แต่พบแผลฉกรรจ์กรีดยาวสายหนึ่งกำลังเลือดหลั่งริน

    ก่อนพุ่งออกมาจากหอ คนผู้นี้ก็ถูกปาดคอแล้ว

    ทหารหลี่ว์เปินนำสิ่งที่ร่วงตกลงมาด้วยกันมาให้ หยวนไจ่เห็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดยาวออกแบบเป็นพิเศษ เมื่อทดลองแกว่ง ภายในก็คล้ายมีเสียงน้ำ หลังจากแกะจุกที่อุดปล้องออกของเหลวเหนียวข้นสีดำพลันไหลออกมา

    “นี่คือเหมิ่งหั่วเหลย!” ทหารนายหนึ่งอุทาน มันเคยเข้าร่วมปฏิบัติการล้อมปราบนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยก่อนหน้านี้ ยังหวาดกลัวสิ่งนี้ไม่หาย

    หยวนไจ่ใจหายวาบ โยนของในมือทิ้ง มันเคยอ่านรายงาน เหมิ่งหั่วเหลยที่ผลิตจากน้ำมันดิบเหยียนโจวหนึ่งถังสามารถทำลายฟางครึ่งส่วนราบเป็นหน้ากลอง ของพรรค์นี้หากระเบิดคามือจะเป็นสภาพเยี่ยงใด

    เวลานี้กองกำลังหลงอู่ก็ตื่นตระหนกแล้ว นายกองประจำด่านนำทหารเข้ามาสองสามนาย สอบถามว่าเกิดเหตุอันใด หยวนไจ่แสดงป้ายเอวจิ้งอันซือของตน บอกว่าพวกมันกำลังสืบคดี บังเอิญพบเห็นคนกับของนี้ร่วงลงมาจากหอโคม ผู้ร้ายยังอยู่ด้านใน

    นายกองเข้ามาใกล้ๆ ศพของผู้เฒ่า อุทานว่า “นี่มิใช่อาจารย์เหมา ท่านเหมาซุ่นหรอกหรือ!”

    “เป็นผู้ใด”

    “นายช่างเอกของหอโคม”

    พลันที่หยวนไจ่ได้ยินตำแหน่งนี้ สมองก็หมุนเร็วรี่ เข้าใจกระจ่างทันที มันคว้าแขนนายกองของกองกำลังหลงอู่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกรงว่าคนร้ายแทรกซึมเข้าหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนแล้วคิดทำลาย ดูสิ ในปีกกิเลนล้วนบรรจุเหมิ่งหั่วเหลย ทันทีที่ระเบิด หอโคมจะพังทลายจนสิ้น อาจารย์เหมาน่ากลัวว่าเพราะคิดขัดขวางจึงถูกพวกปลวกโยนออกมาจากหอ”

    เนื้อความนี้มีหลายเรื่อง นายกองฟังแล้วไม่รู้สมควรกระทำอย่างไร จึงรีบบอกว่าจะไปรายงานต่อเบื้องบน

    “ไม่ทันแล้ว!” หยวนไจ่ตวาดตัดบท “อาจารย์เหมาถูกฆ่า พวกปลวกในหอย่อมตระเตรียมลงมือแล้ว!”

    นายกองคุ้นเคยกับการทำตามคำสั่ง เหตุการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้กลับมิรู้จะรับมืออย่างไร หยวนไจ่กล่าวว่า “พวกเราจิ้งอันซือกำลังตามสืบคดีนี้ เรานำกำลังพลมาครบมือ บัดนี้รวมกับคนของท่านด้วย พวกเรารีบเข้าไปในหอ!”

    “แต่…นี่ผิดระเบียบ…”

    “รอให้หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนราบเป็นหน้ากลอง คนแรกที่จะโดนตัดหัวคือท่าน!” หยวนไจ่บีบคั้น นายกองตกใจใบหน้าซีดขาว คนร้ายเข้าไปในหอ มันในฐานะองครักษ์ไม่ว่าอย่างไรก็หนีความรับผิดชอบนี้ไม่พ้น จากการเกลี้ยกล่อมของหยวนไจ่ นายกองได้แต่ต้องร้องบอกให้ทหารช่วยกันยกย้ายเครื่องกีดขวาง

    สมองหยวนไจ่ขณะนี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งกำลังจัดแจงข้อมูลที่ได้รับอย่างสุดกำลัง พยายามหาภาพใหญ่ของแผนจู่โจม อีกส่วนหนึ่งกลับกำลังคำนวณอย่างว่องไว ครั้งนี้จะได้รับผลประโยชน์สักกี่มากน้อย

    ยับยั้งแผนการร้ายทำลายหอโคมของขบวนการปลวก เรื่องนี้หากกระทำสำเร็จ ย่อมสามารถไต่เต้าก้าวขึ้นสูงเสียดฟ้า เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่! ยิ่งกว่านั้นตนอาศัยนายกองเล็กๆ ของกองกำลังหลงอู่ มิเพียงไม่ต้องแบ่งความดีความชอบ ในทางกลับกันเวลาจำเป็นก็ยังสามารถใช้เป็นทั้งโล่กับแพะรับบาป

    หยวนไจ่ดีดลูกคิดรางแก้วแล้วรวบรวมสมาธิ กองกำลังทั้งหลงอู่ทั้งหลี่ว์เปินต่างมีทหารฝ่ายละสิบกว่านาย มันจึงสั่งรวมพลเข้าด้วยกัน วิ่งตรงไปยังอารามพรตใต้หอโคม

    คืนนี้ถูกลิขิตแล้วว่าเป็นค่ำคืนแห่งการสร้างชื่อลือชาของข้าหยวนไจ่!

     

    จางเสี่ยวจิ้งกับพวกปลวกทั้งสองหวนกลับสู่โถงใหญ่อีกครั้ง เวลานี้ทั้งห้องปราศจากผู้คน จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “ข้าคะเนว่าเหมาซุ่นคงปีนขึ้นไปข้างบนแล้ว ด้านบนยามนี้อันตรายเกินไป พวกเจ้าทั้งคู่รอฟังคำสั่งที่นี่”

    ทั้งสองสบตากัน แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเรารับบัญชาให้คุ้มครองท่าน ไหนเลยจะละทิ้งกลางทางได้”

    “เอาเถิด เช่นนั้นก็ตามมา”

    จางเสี่ยวจิ้งไม่เสียเวลาพูดอีก พุ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ปลวกทั้งสองตามติดอยู่ด้านหลัง บนบันไดแคบและชัน คนสามคนเรียงแถวปีนขึ้นไป ชั้นนี้คือหอหลิงกวนที่เคยใช้ขังหลี่ปี้ จางเสี่ยวจิ้งขึ้นบันไดไปก่อน สองคนที่ตามหลังมันยังคงก้มหน้าป่ายปีน ชายตาเดียวพลันหันกลับมา ชักหน้าไม้ยิงขวับๆ สองดอกใส่คนรั้งท้ายก่อน จากนั้นยิงใส่คนที่ปีนต่อจากมันอีกสองดอก

    ลำดับดังกล่าวนี้สำคัญยิ่ง หากยิงคนที่ตามต่อจากตนเองเสียก่อน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเมื่อร่วงตกก็จะกลายเป็นโล่เนื้อป้องกันให้เจ้าคนรั้งท้าย

    ศรสองชุด สี่ดอก ยิงออกหมดสิ้นเกือบในพริบตา ปลวกทั้งสองไม่ทันระวังตัว ร้องโหยหวน หล่นกระแทกตีนบันได จางเสี่ยวจิ้งเล็งอย่างแม่นยำใส่กระหม่อมของพวกมัน ระยะใกล้ถึงเพียงนี้มั่นใจว่ายิงทะลุแน่นอน ต่อให้พวกมันโชคดีไม่ตายก็มิอาจลุกขึ้นมาได้อีก

    “ขออภัย…” ในดวงตาข้างเดียวของจางเสี่ยวจิ้งเต็มไปด้วยความรันทด บรรจุชุดศรสี่ดอกสุดท้ายใส่อาวุธให้พร้อม หันกายปีนต่อจากหอหลิงกวนไปหอยอดอย่างว่องไว ใต้ฝ่าเท้ามันสัมผัสได้ถึงพื้นไม้ที่กำลังสั่น หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนทั้งหลังกำลังหมุนเคลื่อนเต็มรูปแบบ พลังยามขับเคลื่อนช่างยิ่งใหญ่นัก

    เสียงระเบิดจากหอยอดยังคงไม่ดังขึ้น จางเสี่ยวจิ้งกังวลใจมาก เหมาซุ่นใช่นึกเสียดายอีกหรือไม่ นายช่างบัดซบคนนี้ลังเลโลเล หากไม่เฝ้าจับตาย่อมวางใจไม่ได้จริงๆ

    ในที่สุดมันก็ช่วงชิงโอกาสอันดีที่สุดมาได้แล้ว เซียวกุยลงไปโถงกังหันน้ำ เตรียมกระทำภารกิจอื่น ปลวกสองคนก็ถูกกำจัดแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยควบคุมอีก ขอเพียงรีบไปให้ถึงหอยอด บีบให้เหมาซุ่นระเบิดปีกกิเลน ย่อมสมควรมีเวลาพอจะหนีออกมา

    ในไม่ช้าก็มาถึงหอยอด ทันทีที่เตะประตูเปิดออก พบว่าภายในปราศจากคน มีเพียงเครื่องขับเคลื่อนกำลังหมุนส่งเสียงดังกึงกัง เหมาซุ่นไม่อยู่ เหมิ่งหั่วเหลยก็ไม่อยู่

    ร่างจางเสี่ยวจิ้งท่วมเหงื่อเย็นเฉียบในบัดดล คนจะหนีไปที่ใดได้อีก มันหันรอบทิศ ปราดไปด้านนอกหอยอด มองขึ้นไปทางหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวน ด้านในหอโคมที่ยังไม่จุดไฟราวกับปากใหญ่โตของสัตว์ร้ายมหึมาที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมน้อยใหญ่แน่นปรี่

    เท้าของมันคล้ายเหยียบใส่บางสิ่ง เมื่อก้มดูก็พบว่าเป็นชุดไฟกับใยอ้ายหรง ยังมีคราบเลือดปื้นหนึ่ง ดูท่าแล้วเหมาซุ่นมิได้ไม่ยินยอม หากแต่ถูกคนจับโยนออกไปจากหอยอดเสียแล้ว

    “อวี๋ฉาง!” จางเสี่ยวจิ้งเค้นชื่อสองคำนี้ออกจากไรฟัน

    คนที่สามารถกระทำสิ่งนี้ได้มีเพียงอวี๋ฉาง! มันกำลังท้าทายจางเสี่ยวจิ้ง บีบคั้นให้จางเสี่ยวจิ้งต้องไปหาเพื่อตัดสินเป็นตาย

    จางเสี่ยวจิ้งหันกลับไป เห็นข้างเครื่องขับเคลื่อนมีรอยเส้นที่เหมาซุ่นใช้ศิลาหวาสือวาดไว้ นี่คือตำแหน่งระเบิดที่กำหนด หมายความว่าแม้บัดนี้เหมาซุ่นไม่อยู่แล้ว จางเสี่ยวจิ้งก็สามารถกระทำได้ด้วยตนเอง

    ทว่าปีกกิเลนก็ไม่อยู่ด้วย เป็นไปได้มากว่าถูกอวี๋ฉางเอาไปแล้ว

    มองเครื่องขับเคลื่อนซึ่งกำลังขับให้เพลายักษ์เคลื่อนไปช้าๆ จางเสี่ยวจิ้งพยายามสั่งตัวเองให้สงบจิตสงบใจ ทันใดนั้นมันคิดได้ว่าในกระถางเล็กแถวหนึ่งที่ข้างตำหนักใหญ่อารามพรตสมควรมีปีกกิเลนเหลืออยู่สักสองสามท่อน ก่อนหน้านี้เหมาซุ่นก็หยิบจากที่นั่น ยามเซียวกุยจากไปมิได้นำติดตัวไปทั้งหมด กลับไปเอาตอนนี้สมควรยังทัน!

    จางเสี่ยวจิ้งออกจากหอยอด ไปตามบันไดหอที่มันเพิ่งปีนเมื่อครู่กลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ปลวกทั้งสองยังทอดร่างอยู่ที่ตีนบันได จางเสี่ยวจิ้งไม่มีเวลาตรวจสอบดูว่าพวกมันเป็นหรือตาย วิ่งตรงไปหลังตำหนัก ไฟในกระถางเล็กทั้งหกใบถูกดับแล้ว แต่กระถางอีกจำนวนหนึ่งยังคงบรรจุปีกกิเลนที่เหลือหลายท่อน

    จางเสี่ยวจิ้งฉวยสุ่มมาหนึ่งท่อนแบกไว้บนบ่า วิ่งจากหลังตำหนักกลับตำหนักใหญ่ ขณะที่มันกำลังจะปีนบันไดนั้นเอง พลันได้ยินเสียงประตูใหญ่ของอารามพรตถูกทลาย กองกำลังหลงอู่กับกองพลหลี่ว์เปินกรูปะปนกันเข้ามาด้านใน

    นับแต่ที่หยวนไจ่เสียท่าต่อจางเสี่ยวจิ้งก็มิกล้าออกนำหน้าทหารอีก ดังนั้นผู้นำหน้าคือนายกองของกองกำลังหลงอู่ ทันทีที่เห็นจางเสี่ยวจิ้งแบกปีกกิเลนปีนขึ้นไปก็ตวาดลั่น “อย่าคิดหนี!” พุ่งตรงเข้าใส่ทันที

    จางเสี่ยวจิ้งลอบร้องย่ำแย่อยู่ในใจ ท่าทางของมันในเวลานี้ย่อมทำให้เข้าใจผิด ทว่าเวลาคับขันไม่เปิดโอกาสให้อธิบาย มันหยิบหน้าไม้ออกมา ชิงยิงใส่ต้นขานายกองก่อน จางเสี่ยวจิ้งยิงต่อเนื่องอีกสามดอก ทหารล้มลงอีกสามนาย บีบให้แนวหน้าหยุดเท้าลง มันฉวยโอกาสพุ่งไปที่บันได

    “เร็ว! รีบยิง!” หยวนไจ่คำรามก้องอย่างเกรี้ยวกราดอยู่นอกประตู

    เหล่าทหารคล้ายตื่นจากฝันพากันระดมยิง ศรมากมายนับไม่ถ้วนปานฝูงตั๊กแตนปักใส่ผนังฟากนี้ เคราะห์ดีจางเสี่ยวจิ้งปีนขึ้นบันไดไปนานแล้วจึงหลบรอดจากห่าลูกศร ผ่านหอหลิงกวน กลับมาถึงหอยอดอีกครั้ง

    มันวางปีกกิเลนลงบนเส้นที่วาดไว้อย่างรวดเร็ว ล้วงชนวนระเบิดออกมา ตีชุดไฟมือเป็นระวิง ทหารด้านนอกใกล้มาถึงแล้ว เสียงฝีเท้าที่ไต่บันไดขึ้นมาดังก้องกว่าเสียงโห่ร้องด้านนอกเสียอีก จางเสี่ยวจิ้งรู้สึกว่าชะตาชีวิตช่างพิสดารนัก คิดไม่ถึงว่าคนที่ล้อมไล่ล่ามันถึงกับเป็นพวกเดียวกัน

    ทว่าก็มิอาจตำหนิพวกมัน ผู้ใดพบเห็นผู้ร้ายประกาศจับแบกเหมิ่งหั่วเหลยเตรียมระเบิดเครื่องขับเคลื่อนของหอโคมล้วนต้องเข้าใจว่ากำลังคิดทำลาย หากจะให้พวกมันเข้าใจสาเหตุที่ต้องระเบิดเครื่องขับเคลื่อนว่าทำไปเพราะช่วยคนก็จำเป็นต้องอธิบายกันอย่างใจเย็น จางเสี่ยวจิ้งมิคาดหวังว่าคนเหล่านั้นจะให้โอกาส

    ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องระเบิดปีกกิเลนให้ได้!

    จางเสี่ยวจิ้งขมวดคิ้ว ฟังเสียงฝีเท้าด้านนอกที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ข้อมือกระตุกครั้งหนึ่ง ประกายไฟเจิดจ้าสายตาพุ่งออกมาจากชุดไฟ วิ่งเข้าหาชนวนระเบิด ชนวนระเบิดเริ่มลุกไหม้ขึ้น

     

    หลี่ปี้เดินอย่างยากลำบากเป็นเวลานานกลางสายน้ำเย็นเฉียบ ในที่สุดก็มาถึงทางออก ที่นี่ติดตั้งเสาบังคับน้ำเกล็ดมังกรสี่ท่อน บนเสาปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรเรียงซ้อนเป็นชั้นๆ ทว่าที่อยู่บนเสาต้นหนึ่งในบรรดานั้นเกล็ดหักหาย เห็นชัดว่าถูกคนตะไบออก

    ไม่แน่จางเสี่ยวจิ้งอาจเข้ามาทางนี้ หลี่ปี้คาด มันลากร่างเปียกโชกเอียงตัวผ่านเสาบังคับน้ำ คว้าจับไม้น้ำบนฝั่ง คลานขึ้นไปบนตลิ่ง ยามนี้มวยผมแช่น้ำจนหลุดสยายออกหมดสิ้น สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก แช่อยู่ในน้ำเย็นจนซีดเผือดไร้สีเลือด

    ไม่มีเวลาแม้ให้หอบหายใจ บุรุษหนุ่มเงยหน้าแยกแยะทิศทาง คาดเดาว่าตนเองคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในต้าวเจิ้งฟาง

    นี่แยกแยะง่ายมาก เนื่องจากเสียงโห่ร้องครื้นเครงกับเสียงกลองดังกึกก้องมาจากทิศเหนือ หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนที่ใหญ่โตมโหฬารไร้ใดเปรียบหลังนั้นก็เริ่มหมุนเคลื่อนแล้ว หลี่ปี้ใช้มือรวบผมมัดอย่างลวกๆ ปาดหยดน้ำบนใบหน้าทิ้ง วิ่งกะโผลกกะเผลกไปทางฝูงคน มันรู้ว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว

    หากคาดเดาไม่ผิด ปลวกคงกำลังเตรียมลอบเข้าพระราชวังซิงชิ่ง บุกเข้าวังหลวง!

    เหมาซุ่นขุดทางน้ำใต้ดินสายหนึ่งจากคูน้ำของต้าวเจิ้งฟาง ไหลจากใต้สู่เหนือเข้าสู่หอโคม จึงต้องมีทางระบายน้ำออกทางทิศเหนือ แหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุดคือสระหลงฉือภายในพระราชวังซิงชิ่ง

    สระหลงฉืออยู่ภายในบริเวณอุทยานหลวงทางทิศใต้ของพระราชวังซิงชิ่ง น้ำลึกและกว้างจนพายเรือได้ บัวงามไม้น้ำในสระมากมาย รอบรายริมฝั่งน้ำยังปลูกโบตั๋นและต้นหลิว สิ่งก่อสร้างภายในอุทยานหลายหลาก เช่น ศาลาหลงถิง ศาลาเฉินเซียง หอฮวาเอ้อเซียงฮุย หอฉินเจิ้งอู้เปิ่น เป็นต้น ล้วนเรียงรายรอบสระ ได้รับการยกย่องว่าสี่ฤดูสี่ภูมิทัศน์

    น้ำจากคูหลงโส่วของต้าวเจิ้งฟางไหลเข้าสู่คูน้ำของหอโคม จากนั้นระบายลงสระหลงฉือ กลายเป็นเส้นทางลับเลี่ยงด่านป้องกันของราชองครักษ์ สามารถใช้เป็นอุโมงค์เข้าพระราชวังซิงชิ่ง พลันที่หอโคมระเบิด ฟางหลายสิบฟางรอบด้านตกอยู่ในกองเพลิง ปลวกก็สามารถฉวยโอกาสเข้าไปในสระหลงฉือ เล็ดลอดสู่พระราชวังซิงชิ่งได้อย่างสะดวกสบาย ลงมือซ้ำดาบสอง สังหารราชนิกุลขุนนางผู้ใหญ่ หรือกระทั่งองค์จักรพรรดิ ดังนั้นพวกมันจึงเตรียมชุดดำน้ำ

    หากปล่อยให้แผนการนี้ของพวกปลวกสำเร็จ เทศกาลซั่งหยวนครั้งนี้จักกลายเป็นวันที่น่าอัปยศอดสูที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าถัง

    หลี่ปี้วิ่งอย่างทุลักทุเลเลาะมาตามคูน้ำช่วงระยะหนึ่ง ในที่สุดก็พอจะเห็นเลือนรางว่าด้านหน้ามีทหารประจำฟางหลายนายยืนสนทนากันอยู่ที่นั่น พวกมันรับผิดชอบดูแลคูหลงโส่ว ทว่ากำลังจะเริ่มประชันโคมแล้ว ต่างพากันชะเง้อชะแง้แลมองไปด้านนั้น

    หลี่ปี้พุ่งเข้าไป ตะโกนเสียงดัง ทหารประจำฟางเห็นเงาดำผมเผ้าสยายหลุดลุ่ยปรากฏขึ้นจากร่องน้ำอย่างกะทันหัน ต่างตกใจจนสะดุ้ง พากันหยิบหอกยาวกับไม้พลอง

    หลี่ปี้สำแดงป้ายทองแดงที่จางเสี่ยวจิ้งทิ้งไว้ให้ ประกาศว่าตนคือผู้บัญชาการจิ้งอันซือ รีบพาตนไปพบกองกำลังหลงอู่บัดเดี๋ยวนี้ เหล่าทหารออกจะประหลาดใจกับเรื่องกะทันหันนี้อยู่บ้าง สุดท้ายมีทหารที่ค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งรับเอาป้ายทองแดงไปพิจารณา จากนั้นดูผิวละเอียดมือเนียนนุ่มของหลี่ปี้ สองมือไร้ผิวด้าน ชุดยาวที่สวมนั้นแม้เปียกโชก แต่ยังพอมองออกว่าเป็นเครื่องแต่งกายขุนนาง จึงยืนยันมั่นใจ

    ไม่ช้าหลี่ปี้ก็ได้พบกับกองกำลังหลงอู่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูต้าวเจิ้งฟาง ทันทีที่พวกมันได้ยินว่านี่คือผู้บัญชาการจิ้งอันซือที่ถูกลักพาตัวไปก็แตกตื่นระคนยินดียิ่ง หลี่ปี้บอกพวกมันต้องรีบลงมือ สลายฝูงชนที่ชมงานโคมไฟหน้าพระราชวังซิงชิ่งกับในจัตุรัส

    หัวหน้าของกองกำลังหลงอู่แสดงท่าทีลำบากใจ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย บัดนี้ในลานกว้างคนห้าหมื่นคนเบียดเสียดเยียดยัดจนยากขยับเขยื้อน กองกำลังหลงอู่กระจายกำลังออกไปหลายจุด มิอาจเรียกรวมพล หากเวลานี้แข็งขืนออกคำสั่งสลายผู้คน ลำพังชาวบ้านเหยียบย่ำกันก็บาดเจ็บล้มตายหนักหนาสาหัสแล้ว

    หลี่ปี้เองก็ทราบดี หัวหน้าทหารยศระดับล่างเยี่ยงพวกมันเหล่านี้หามีอำนาจตัดสินใจแต่อย่างใด จึงให้มันรีบพาตนไปพบแม่ทัพเฉินเสวียนหลี่ หัวหน้าทหารเห็นหลี่ปี้เคร่งเครียดกระวนกระวายก็มิกล้าชักช้า รีบเตรียมม้าหนึ่งตัว กองกำลังหลงอู่มีช่องทางเฉพาะของตน หลี่ปี้เร่งม้าไปตามเส้นทางนี้ อ้อมผ่านลานจัตุรัสที่แน่นขนัดจนแม้แต่น้ำยังมิอาจลอดผ่าน มาถึงมุมตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชวังซิงชิ่งในอึดใจ

    เฉินเสวียนหลี่เวลานี้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารราชองครักษ์ บัญชาการอยู่หน้าประตูจินหมิง

    ด้านทิศใต้ของพระราชวังซิงชิ่งมีประตูเมืองทั้งหมดสามประตู ตะวันตกเฉียงใต้คือประตูจินหมิง ตรงกับทิศใต้พอดีคือประตูทงหยาง ตะวันออกเฉียงใต้คือประตูชูหยาง รวมเรียกว่า ‘สามหยาง’ หอฉินเจิ้งอู้เปิ่นอยู่ตรงข้ามกับจัตุรัส พอดีตรงกับประตูทงหยาง ผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมจะผ่านทางประตูนี้ขึ้นสู่หอหลวงท่ามกลางสายตาอาณาประชาราษฎร์ ถวายบังคมต่อจักรพรรดิด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ กล่าวขอบคุณต่อผู้สนับสนุนที่จัตุรัส โดยประตูนี้ใช้เพื่องานพิธีการเป็นหลัก

    ส่วนประตูจินหมิงที่ใกล้กับทิศตะวันตกเฉียงใต้ใช้เป็นเส้นทางทำงานของเหล่าเจ้าหน้าที่จัดงาน บรรดาข้าวของเครื่องใช้และเจ้าหน้าที่ประจำงานฉลองเทศกาลซั่งหยวน ทั้งขุนนางทั้งขุนพลที่เมามายเกินพอดี พลส่งสารกับม้าเร็วจากทุกสารทิศ รวมถึงนางขับร้องนางรำและชาวคณะมโหรี ล้วนใช้ประตูนี้เข้าออกพระราชวังซิงชิ่ง

    ดังนั้นด้านความปลอดภัย จุดสำคัญที่สุดอยู่ที่ประตูจินหมิง มิใช่ประตูทงหยาง เฉินเสวียนหลี่อยู่บัญชาการด้วยตนเองจึงมิใช่เรื่องแปลก

    หลี่ปี้ควบม้ามาถึงหน้าประตูจินหมิง เห็นเฉินเสวียนหลี่ในชุดเกราะเปล่งประกายเรืองรองจากระยะไกล ยืนองอาจสง่างามอยู่ที่หอบัญชาการเหนือประตู มันหันไปมองหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนอันยิ่งใหญ่กว่า แม้เริ่มหมุนแล้ว ทว่าบนหอยังคงมืดสนิท มิได้จุดไฟ ยังรอเวลาอีกเล็กน้อย

    “แม่ทัพเฉิน รายงานด่วนจากจิ้งอันซือ!”

    หลี่ปี้บนหลังม้าตะโกนร้องสุดเสียง ทว่าทันใดนั้นมันคล้ายถูกคนบีบคอ เป็นใบ้ไปในบัดดล ม้าที่ขี่รู้สึกว่าเจ้านายกระตุกสายบังเหียนรุนแรง ส่งเสียงร้องอย่างขัดใจ

    ขุนนางหนุ่มเบิกตาโต เห็นประตูบานใหญ่ของประตูจินหมิงเปิดเพียงครึ่ง รถสี่เยี่ยมยลโอ่อ่าหรูหราคันหนึ่งแล่นห้อออกมาจากด้านใน เดิมรถสี่เยี่ยมยลสมควรเป็นจตุรอาชา ทว่าบัดนี้รถเทียมม้ากลับขับเคลื่อนด้วยอาชาเพียงสองตัว ท้ายรถแม้แต่ธงทิวก็มิได้ประดับ หากถูกเหล่าผู้ตรวจการเห็นเข้าต้องไม่แคล้วถูกติติงว่า ‘มิถูกธรรมเนียม’

    หลี่ปี้มองออกในพริบตาเดียวว่าเป็นรถม้าหลวงของรัชทายาท อีกทั้งรัชทายาทเองกำลังประทับอยู่บนรถ หลี่ปี้เคยนั่งรถร่วมกับรัชทายาทมิใช่เพียงครั้งเดียว ทราบว่าหลี่เฮิงกลัวรถม้าที่ปิดทึบ ทุกครั้งเมื่อนั่งรถจึงมักแง้มหน้าต่างข้างรถหนึ่งในสาม มีนิสัยวางมือบนขอบหน้าต่าง

    บนกรอบหน้าต่างทางขวาของรถม้าในเวลานี้ปรากฏมืองดงามสูงศักดิ์ข้างหนึ่งวางพาด นิ้วมือกำลังเคาะเบาๆ บ่งบอกว่าเจ้าของมือกำลังตกอยู่ในอารมณ์ว้าวุ่นใจ

    พิธีเปิดงานเลี้ยงวสันต์ประจำเทศกาลซั่งหยวนเพิ่งจะยุติ หลังประชันโคมยังมีเรื่องปลีกย่อย อาทิ หมู่ขุนนางร่วมชมโคม ร่างโคลงเบื้องพระพักตร์ พระราชทานสุราหลวง เป็นต้น ไฉนรัชทายาทกลับรีบร้อนจากไปในช่วงเวลาเช่นนี้ พริบตานั้นหลี่ปี้ไม่ทราบว่าสมควรกระทำเช่นไร คิดตะโกนเรียกรถม้าให้หยุด ลำคอกลับคล้ายถูกบางสิ่งอุดไว้

    มันดึงม้าหยุดลง เหม่อมองรถม้าหลวงห้อผ่านข้างกายตนเองไป

    ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงโห่ร้องกึกก้องดังมาจากหน้าประตูทงหยางที่ไกลออกไป ผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมขึ้นสู่ด้านบนหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นเรียบร้อยแล้ว เดินขึ้นตำหนักไจซิง (ปลิดดาว) เจ็ดชั้น ยืนบนดาดฟ้าที่ยื่นออก โยนคบไฟติดไฟอันหนึ่งไปยังหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวน

     

    จางเสี่ยวจิ้งเห็นชนวนระเบิดลุกไหม้แล้วก็ระบายลมหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ชนวนนี้ทำจากไส้เถาไม้หมาเถิงแช่น้ำมัน จุดติดง่ายแต่ดับยาก ข้อเสียคือไหม้ช้า กว่าจะไหม้เข้าไปในปล้องไผ่อย่างน้อยต้องใช้เวลาดีดนิ้วเจ็ดแปดครั้ง จะระเบิดอย่างน้อยต้องหลังจากผ่านชั่วเวลาดีดนิ้วสิบครั้ง

    จางเสี่ยวจิ้งโยนชุดไฟทิ้ง ลุกขึ้นปราดไปที่ประตูหอยอด หวังจะสามารถชะลอกลุ่มทหารด้านหลัง ขอเพียงถ่วงได้สักครู่ก็มีเวลาเพียงพอให้ระเบิด

    เป็นที่น่าหัวร่อเยาะหยันยิ่ง ภายในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วยาม นี่เป็นครั้งที่สองที่จางเสี่ยวจิ้งประสบเหตุการณ์คล้ายกันในที่เดียวกัน ที่น่าหยันเสียยิ่งกว่าอีกก็คือกลุ่มคนที่ด้านนอกทั้งสองกลุ่มต่างก็เป็นศัตรูกัน

    ทหารหลงอู่กับทหารหลี่ว์เปินมาถึงหน้าประตูแล้ว หน้าไม้ของจางเสี่ยวจิ้งว่างเปล่าไร้ลูกดอก ในมือปราศจากอาวุธอื่นใดอีก ได้แต่ใช้สองมือเลือดเนื้อต้านทาน มันคำรามลั่น รื้อบานประตูหอยอดมาเป็นโล่ดันออกไป ชั่วเวลาสั้นๆ กดทหารหลายนายล้มลง

    ไม่ว่าจะเป็นพลหลี่ว์เปินหรือว่าพลหลงอู่ล้วนเป็นยอดทหารในนครหลวง คัดจากหนึ่งในร้อย ด้านล่างบันไดมีทหารกรูขึ้นมาไม่ขาดสาย แรงกดเพิ่มมากขึ้นมิหยุดหย่อน เหล่าทหารแม้สู้ตัวต่อตัวมิอาจเทียบจางเสี่ยวจิ้ง ทว่ายามกลุ้มรุมเป็นหมู่กลับต่างออกไป จางเสี่ยวจิ้งได้แต่ใช้มือเปล่าจับบานประตู อาศัยทางเดินแคบเล็ก พยายามยันพวกมันไว้ด้านนอก คมดาบนับไม่ถ้วนฟันลงยังบานประตู เศษไม้กระจัดกระจาย บานประตูกำลังจะกลายเป็นรั้วโปร่ง

    ทหารหลงอู่ผู้หนึ่งเห็นดาบได้ผลไม่เร็วทันใจจึงกางแขนออกโถมทับลงมาทั้งร่าง คนอื่นๆ เห็นแล้วก็พากันทำตาม จางเสี่ยวจิ้งมิอาจต้านทานน้ำหนักคนจำนวนมากปานนี้ ทำให้ถูกบานประตูพลิกกลับมาทับ ขยับเขยื้อนมิได้

    ตั้งแต่ต้นจวบจนกระทั่งบัดนี้ หยวนไจ่จึงค่อยปีนบันไดขึ้นมา จางเสี่ยวจิ้งพอเห็นว่าเป็นขุนนางประจำจิ้งอันซือใหม่ที่ถูกมันข่มขวัญจนขวัญหนีดีฝ่อหน้าประตูบ้านเฉาเฟินผู้นั้นก็ตะโกนดังลั่นว่า “ข้าบอกให้เจ้าไปพระราชวังซิงชิ่ง ข้ามิใช่ปลวก! พวกเดียวกัน! พวกเดียวกัน!”

    หยวนไจ่จ้องหน้าจางเสี่ยวจิ้ง ในใจยิ่งสับสนว้าวุ่น เจ้าคนผู้นี้ฆ่าคนของตนสิบกว่าคนต่อหน้าต่อตา ซ้ำยังขู่ขวัญจนตนปัสสาวะราดกางเกง แต่ก็จริงที่เพราะได้มันเป็นคนบอก ตนจึงมาถึงพระราชวังซิงชิ่งนี้ หรือว่าจางเสี่ยวจิ้งถูกปรักปรำจริงๆ? ทว่าหยวนไจ่ปฏิเสธความคิดนี้อย่างรวดเร็ว เห็นอยู่ว่าชายตาเดียวหอบเหมิ่งหั่วเหลยมาระเบิดหอโคม พฤติการณ์นี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกผู้ทุกนาย ยังมิใช่โจรกบฏอีกหรือ

    พฤติกรรมขัดแย้งสารพันของนักโทษประหารตาเดียวผู้นี้ หยวนไจ่ผู้ฉลาดปราดเปรื่องขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกแม้แต่น้อย หยวนไจ่ตัดสินใจเลิกขบคิด ถึงอย่างไรจับตัวเอาไว้ก่อนย่อมเหมาะสมที่สุด!

    “อย่าฟังคำมัน!” หยวนไจ่กำลังจะกระแอมล้างลำคอถ่ายทอดคำสั่งข้อต่อไป ทว่าเสียงจางเสี่ยวจิ้งกลับดังสวน

    “หอโคมแห่งนี้เต็มไปด้วยเหมิ่งหั่วเหลย กำลังจะระเบิดในไม่ช้า! ต้องรีบส่งคนไปขัดขวาง!” จางเสี่ยวจิ้งตะโกนจากใต้บานประตู วาจานี้ทำให้หยวนไจ่ตัวสั่น รีบเงยหน้ามองหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวน น่าเสียดายด้านในโล่งกว้างเกินไป เห็นสิ่งใดไม่ชัดสักอย่าง

    สวรรค์เอ๋ย หากหอโคมหลังนี้เต็มไปด้วยเหมิ่งหั่วเหลย เช่นนี้แล้วแม้แต่พระราชวังซิงชิ่งทั้งวังก็ต้องขึ้นสวรรค์ไปด้วยหรือ สมองหยวนไจ่พลันมึนงง

    “นะ…นายท่าน! ระวัง!” ทหารหลงอู่นายหนึ่งทันใดนั้นชี้ไปยังหอยอด ร่ำร้องขึ้น บานประตูถูกรื้อออก ดังนั้นคนในทางเดินล้วนมองเห็นฉากที่อยู่ด้านใน

    ปีกกิเลนท่อนหนึ่งอยู่หลังเครื่องขับเคลื่อน ชนวนไหม้เข้าไปถึงในปล้องไผ่แล้ว ลางสังหรณ์แห่งความตายอันเย็นยะเยือกโจนเข้าใส่หัวใจหยวนไจ่ มันไม่พูดไม่จา กุมหัวกลิ้งตัวลงไปด้านล่างบันไดทันที เหล่าทหารที่กดทับบนบานประตูเหนือร่างจางเสี่ยวจิ้งเมื่อเห็นหัวหน้าหวาดกลัวเยี่ยงนี้ก็พากันแตกฮือ

    ชนวนที่ปีกกิเลนไหม้ถึงปลายสุด สะเก็ดไฟพุ่งออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นดับหายไป ทว่าจางเสี่ยวจิ้งรู้ว่านี่มิใช่ดับสนิท หากแต่หายเข้าไปในปล้องไผ่ ก่อนปลุกอสุรกายอัคคีอันน่าสะพรึงกลัวตนหนึ่งตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว

    มันกำหมัดแน่น หลับตารอคอยเวลาที่ตนเองถูกเปลวเพลิงกลืนกินแล้วหลุดพ้น

    ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ดีดนิ้วสองครั้ง ดีดนิ้วสามครั้ง…จนถึงดีดนิ้วครั้งที่ห้า ในหอยอดยังคงเงียบ จางเสี่ยวจิ้งไม่ได้ยินเสียงระเบิดที่คาดคิดไว้ ทว่ากลับรู้สึกใบหน้าร้อนแสบ มันลืมตาข้างเดียว เห็นลูกไฟขนาดใหญ่ร้อนแรงหมุนคว้างอยู่ข้างเครื่องขับเคลื่อน

    เหมิ่งหั่วเหลยลูกนี้ด้าน!

    จางเสี่ยวจิ้งพบสาเหตุอย่างรวดเร็ว การต่อสู้เมื่อสักครู่ทำให้ส่วนหางของปีกกิเลนชิ้นนี้ถูกกระแทกแตกออกเป็นร่อง น้ำมันเพลิงทมิฬเหนียวเหนอะสีดำไหลออกมาบนพื้น

    เคล็ดลับการทำเหมิ่งหั่วเหลยอยู่ที่ด้านในต้องอัดแน่น เก็บพลังน้ำมันไว้ด้านในจึงสามารถระเบิดได้ หากผนึกฉีกขาด พลังรั่วออกมา จะเป็นเพียงไฟลุกไหม้ธรรมดา มีไฟทว่าไม่อาจระเบิด ก่อนหน้านี้เหมิ่งหั่วเหลยบรรจุถังที่พวกนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยนำมากลายเป็นระเบิดด้านหลายลูกก็เพราะปิดผนึกไม่ดี

    เห็นชัดเจนว่าจางเสี่ยวจิ้งโชคไม่ดีพอ ส่วนหางของปีกกิเลนชิ้นนี้เสียหาย พลังรั่วออกมา ทำให้มันกลายเป็นเหมิ่งหั่วเหลยที่ลุกไหม้ได้เท่านั้น ไฟลุกไหม้ย่อมรุนแรง ทว่ามิอาจทำอันใดต่อเครื่องขับเคลื่อนซึ่งหลอมสร้างจากเหล็ก

    เครื่องขับเคลื่อนยังคงหมุนขับเคลื่อนเพลายักษ์ต่อไปอย่างเฉยเมยในกองเพลิงร้อนแรง จางเสี่ยวจิ้งจนปัญญาแล้ว ได้แต่หลับตา มันทุ่มเทถึงที่สุดแล้ว หรือนี่คือเจตนาสวรรค์?

    ทหารกลุ่มนั้นที่หลบอยู่ด้านล่างหอเห็นว่าไม่มีระเบิดก็ตระเตรียมบุกเข้ามาอีกครั้ง ทันใดนั้นเองเสียงกระหึ่มกึกก้องดังสนั่นหวั่นไหวจากภายนอกแผ่เข้ามาในหอ ผู้คนนับไม่ถ้วนในจัตุรัสพากันชูสองมือขึ้น ตะโกนว่า “ประชันโคม! ประชันโคม! ประชันโคม!”

    ขั้นตอนที่ขับให้การประชันโคมขึ้นถึงจุดสนุกสนานสุดยอดคือผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมยืนอยู่บนหอฉินเจิ้งอู้เปิ่น จักรพรรดิพระราชทานกิ่งหลิวที่งอกเป็นกิ่งแรกของปีนี้ในอุทยานหลวง ดนตรีบรรเลง ‘บทเพลงชิงผิง’ มือของผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมถือกิ่งหลิวขึ้นจุดไฟแล้วโยนไปยังหอโคม เปลวไฟลุกพึ่บขึ้น…ที่แท้แล้วมิได้ทำให้เกิดเปลวไฟขึ้นจริงๆ เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ฟากนี้โยนไป คนที่หอโคมฟากนั้นจุดไฟพร้อมกัน เป็นสัญญาณว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง

    เมื่อเสียงตะโกนว่า ‘ประชันโคม’ ดังมาถึง จางเสี่ยวจิ้งเข้าใจแล้ว หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนหลังนี้กำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย อวี๋ฉางจะจุดไฟต้นทางในหอโคมให้เชว่เล่อฮั่วตัวกลืนกินทุกผู้คน

    ทว่ามิใช่ขณะนี้

    เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างดี อวี๋ฉางจะลงมือกระทำสองอย่าง ขั้นแรก มันจะเปิดกลไกปกติให้ห้องโคมยี่สิบสี่ห้องค่อยๆ สว่างทีละห้อง ดึงดูดจักรพรรดิ หมู่เสนาอำมาตย์กับคณะทูตานุทูตนานาดินแดนมาด้านข้างหอฉินเจิ้งอู้เปิ่น หลังจากห้องโคมสว่างทุกห้องแล้วอวี๋ฉางจะจุดระเบิดเหมิ่งหั่วเหลยยี่สิบสี่ลูกที่ซ่อนไว้ก่อนหน้าให้ระเบิดพร้อมกัน จากนั้นจึงระเบิดเชว่เล่อฮั่วตัวที่ซ่อนอยู่ในเพลายักษ์

    และหมายความว่าขอเพียงไฟในห้องโคมยี่สิบสี่ห้องยังไม่ทันสว่างทั้งหมด ก็ยังมีความหวังสุดท้าย

    แววตาจางเสี่ยวจิ้งสาดประกายอันตราย มันดิ้นรนออกจากใต้บานประตูลุกขึ้นยืน เหล่าทหารบุกเข้ามาด้วยท่าทางหวาดกลัวเป็นคำรบสอง จางเสี่ยวจิ้งไม่เอ่ยวาจา สองมือปิดหน้า วิ่งฝ่าเปลวไฟเข้าหอยอดอีกครั้ง

    เหล่าทหารตกใจมาก เห็นชัดเจนว่าทางนั้นมีแต่ทางตายสายเดียว อีกทั้งเพลิงกำลังลุกไหม้รุนแรง หรือว่าคนผู้นี้อยากตาย? หยวนไจ่กลับมิกล้าดูแคลนนักโทษประหารผู้นี้ มันเร่งเร้าให้บริวารรีบบุกเข้าไปดูให้แน่ชัด

    ทหารสองสามนายปราดไปด้านหน้าหอยอด เห็นเปลวไฟยังโหมแรง เครื่องขับเคลื่อนยังคงหมุนราบรื่น คนกลับหายไปแล้ว หยวนไจ่พลันที่ได้ยินรายงานว่าคนหายไปแล้วก็วิ่งเข้ามาดูด้วยตัวเอง เงยหน้ามอง เห็นบนเพดานแตกออกเป็นโพรงใหญ่โพรงหนึ่ง

    เมื่อครู่ตอนจางเสี่ยวจิ้งยิงอวี๋ฉางพบว่าเพดานบางมาก ทำไว้เพียงประดับตกแต่ง ศรของมันเจาะทะลุสี่รูอย่างง่ายดาย มันกลับเข้าหอยอดอีกครั้ง หยิบมีดสั้นของกองพลหลี่ว์เปินบนพื้น ฟันรอบรูทั้งสี่กลายเป็นช่องใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นเหยียบปีนเครื่องขับเคลื่อนที่ร้อนเดือดขึ้นไป เข้าสู่ส่วนในของหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวน

    เสียงหนึ่งดังออกมาจากในโพรง “หอโคมกำลังจะถูกเหมิ่งหั่วเหลยระเบิด รีบไปแจ้งเตือนโดยด่วน!” จากนั้นเป็นเสียงฝีเท้าวิ่งไกลออกไป

    เหล่าทหารจะไล่ตาม กลับถูกหยวนไจ่ห้ามไว้

    “หากคนผู้นี้พูดถูก ตอนนี้ในหอโคมต้องเต็มไปด้วยเหมิ่งหั่วเหลย อันตรายเกินไป” หยวนไจ่หรี่ตา มองด้านในหอโคมอันมืดสนิทของหอโคม ลางสังหรณ์มันยิ่งมายิ่งรุนแรง ตัดสินใจเด็ดขาดว่ามิอาจเข้าไป “พวกเราต้องรีบแจ้งเตือนคนด้านนอก”

    “ท่านเมื่อครู่มิใช่บอกว่าอย่าได้เชื่อถือคำพูดของมันหรอกหรือ” ทหารหัวโตท่าทางโง่งมนายหนึ่งย้อนถาม

    หยวนไจ่ถลึงตาใส่ แต่มิได้อธิบายขยายความ ความจริงนั้นแม้แต่หยวนไจ่เองก็ประหลาดใจ ไม่ทราบว่าสมควรปฏิบัติต่อจางเสี่ยวจิ้งอย่างไรดี หากในหอโคมเต็มไปด้วยเหมิ่งหั่วเหลยจริง มันก็ควรจะรีบหนีมิใช่หรือ บัดนี้มันบุกเข้าไปด้านในแล้ว ไม่แยแสกระทั่งทหารที่ไล่ล่า หรือว่ายังคิดขัดขวาง? แท้จริงแล้วเป็นฝ่ายใดกันแน่

    “ที่พวกเราตามจับแท้จริงแล้วเป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่” ทหารโง่งมหัวโตนายนี้แหงนหน้ามอง สีหน้างุนงง

    ครั้งนี้หยวนไจ่มิได้ตวาดด่า “ข้าไม่ทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือคนผู้นี้เป็นคนบ้า”

     

    พริบตาที่ผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมโยนคบไฟออกไป จัตุรัสหน้าพระราชวังซิงชิ่งพลันแปรเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ คล้ายกับมีนักรบล่องหนเงื้อดาบม่อตาว ใช้ดาบนั้นตัดสะบั้นเสียงอึกทึกครึกโครมทั้งมวลในดาบเดียว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ครึกครื้นหรือนักแสดงบนรถประชันโคมที่คึกคัก ขุนนางเชื้อพระวงศ์รวมถึงเหล่าราชทูตที่ยังคงยืนอยู่ขอบดาดฟ้า ล้วนเงียบงันพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย รอคอยฉากตระการตาปรากฏ

    หอฉินเจิ้งอู้เปิ่นอยู่ใกล้กับหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนมาก คบไฟนั้นฝ่ากลางอากาศเป็นแนวโค้งงดงาม ร่วงตกในฐานมังกรเชิดเศียรที่ตระเตรียมไว้ก่อน

    หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนสงบนิ่งไม่ไหวติง ยังคงตั้งตระหง่านเฉยเมยอยู่ในความมืด ราวกับมิแยแสคบไฟที่เหินหาวมาเคาะประตู เสียงพึมพำระลอกน้อยๆ ดังขึ้นในฝูงชน เหล่าขุนนางบนหอก็พากันกระซิบ พวกมันกังวลใจว่าจะเกิดความผิดพลาดใดขึ้น

    ผ่านไปไม่นานเสียงเอียดอาดคล้ายสัตว์ร้ายมหึมาคำรามแผ่วเบาดังมาจากในหอโคม ขับไล่ความสงสัยของทุกผู้ทุกคน พวกมันแหงนหน้าพร้อมกัน สังเกตเห็นแขนยักษ์ปานแขนของคว่าฝู่เริ่มหมุน ขับเคลื่อนห้องโคมยี่สิบสี่ห้องที่ขอบนอกของหอโคมให้หมุนช้าๆ สลับขึ้นและลงมิขาดตอน

    ที่หมุนขึ้นบนสุดของหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนก่อนคือห้องโคมนิทานเรื่อง ’เมตตาธรรม’ แรกสุดสว่างด้วยเทียนเล่มน้อยไม่กี่เล่ม พอมองเห็นเงาคนในห้องกำลังเคลื่อนไหวเลือนราง จางเสี่ยวจิ้งเคลื่อนตัวเชื่องช้าผ่านยอดหอโคม ลอดใต้แผ่นปัดรูปมังกรซวนหนีหนึ่งในบุตรมังกรทั้งเก้าไป เมื่อห้องโคมเคลื่อนไปด้านหน้า แผ่นปัดที่ยึดติดบนโครงก็ปัดปากกรวยเหลี่ยมที่ส่วนบนของห้องเปิดออก

    ยามปากกรวยเหลี่ยมเปิดออกนั้นเอง น้ำมันตะเกียงด้านในก็ไหลออกมา รินไปตามรางรอบห้องโคม สุดท้ายไหลไปถึงเทียนเล่มน้อยไม่กี่เล่ม เกือบจะในพริบตานั้นน้ำมันตะเกียงในรางกลายเป็นวิถีเพลิงหนึ่งสาย จุดเทียนขาวรูปมังกรใหญ่หลายสิบเล่มที่อยู่ข้างรางติดพึ่บ

    ห้องโคมสว่างไสวทั่วทั้งห้องทันที คล้ายดวงดาวเจิดจ้าเปล่งแสงกลางรัตติกาลมองจากเบื้องสูงลงมายังโลกมนุษย์ด้วยสายตาเหยียดหยาม แสงของมันตัดกับราตรีมืดมิดอย่างเด่นชัด บรรดาผู้ล้อมชมล้วนเห็นชัดเจน ในห้องมีบุรุษผู้หนึ่งยืนมือไพล่หลัง พยักหน้าต่อเนื่อง หมู่สกุณาทั้งนางแอ่น สาลิกา เหยี่ยว อินทรีโบยบินอยู่รอบด้าน ตาข่ายใหญ่ผืนหนึ่งยกขึ้นสามด้าน ปล่อยลงมาเพียงด้านเดียว

    นี่คือเรื่อง ‘เปิดตาข่ายหนึ่งด้าน’ เป็นตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์ทังแห่งราชวงศ์ซางแสดงคุณธรรมเรื่องเมตตาธรรม หุ่นโคมรูปบุรุษคือกษัตริย์ทัง โคมรูปหมู่นกข้างกายประดิษฐ์ได้วิจิตรยิ่งนัก ใช้ขนนกจริงปะติดเป็นตัว ยิ่งกว่านั้นสองปีกของนกแต่ละตัวยังกระพือบินขึ้นลง เหมือนบินออกจากตาข่ายจริงๆ

    หมู่ผู้ชมต่างอ้าปากค้าง ตะลึงไปกับภาพเบื้องหน้า พวกมันหาได้เคยพบเห็นฉากงามล้ำเยี่ยงนี้มาก่อน หมู่หุ่นโคมสูงลิบลิ่วบนนั้นเคลื่อนไหวได้เองราวกับมีชีวิตจริง เคียงคู่ไปกับห้องโคมรอบนอกที่กำลังเคลื่อนช้าๆ แพรหลากสีสี่มุมพลิ้วไสว แสงพรรณรายเลื่อมระยับ ผู้ชมต่างดื่มด่ำ บางคนถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้ เฉกเช่นกราบไหว้เทพเซียนซึ่งจุติลงมายังโลกมนุษย์

    ในอีกครึ่งชั่วยามจากนี้ไปยังมีภาพมหัศจรรย์เช่นเดียวกันนี้อีกยี่สิบสามภาพทยอยสว่างไสว ทุกผู้ทุกคนต่างสะกดความตื่นเต้นยินดีในใจ กลั้นหายใจรอคอยความงดงามที่กำลังจะมาถึง

    จางเสี่ยวจิ้งผู้อยู่ในหอโคมหาได้สนุกสนานเช่นผู้คนด้านนอก มันอาศัยความจำเมื่อสักครู่คลำหาทางไปชั้นเพลายักษ์ อวี๋ฉางสมควรควบคุมกลไกอยู่ที่นั่น มันไม่กังวลว่าทิศทางจะผิดพลาด เพราะว่าเสาของเพลายักษ์ที่เป็นแกนกลางของหอโคมมิอาจเคลื่อนเอียงเด็ดขาด…นี่เห็นชัดเจนมาก

    ทว่าเมื่อหอโคมเริ่มต้นหมุนทำให้ด้านในนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้น เสาหมุน แผ่นไม้แขวนกับเสาไม้ แกนแขวนที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ก่อเกิดเป็นเขาวงกตอันซับซ้อน อีกทั้งเขาวงกตนี้หมุนเปลี่ยนแปลงไม่หยุด จางเสี่ยวจิ้งพยายามเบิกตากระโดดไปตามแผ่นไม้

    เพียงหนึ่งสิ่งที่พอประโลมจิตใจคือเมื่อห้องโคมทยอยสว่างขึ้นทีละห้อง แสงสว่างในหอเพียงพอ มิต้องคลำทางมะงุมมะงาหราในความมืดอีกแล้ว

    จางเสี่ยวจิ้งปีนขึ้นไปไม่หยุด พลันพบว่าร่างกายตนเองน่ากังวล วิ่งหลายก้าวก็มิอาจไม่หยุดพักหอบหายใจ เช้าวันนี้นับแต่ออกจากคุกนักโทษประหารมันก็ยังมิได้หยุด ได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง ได้พักผ่อนช่วงสั้นๆ ที่วัดฉือเปยเท่านั้น แม้เป็นบุรุษหลอมขึ้นจากเหล็ก เกรงว่าก็คล้ายหน้าไม้สิ้นแรงยิงแล้ว

    จางเสี่ยวจิ้งกังวลใจมาก ห่วงว่าจะมิอาจรับมืออวี๋ฉาง คนผู้นั้นเป็นมือสังหารสุดอันตราย ในสภาพซับซ้อนเช่นนี้มันยิ่งได้เปรียบมาก ตนเองมีโอกาสได้ชัยน้อยมากจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์

    มันแหงนหน้ามอง เวลานี้ห้องโคมสี่ห้องสว่างแล้ว ส่วนชั้นเพลายักษ์ยังอยู่ด้านบนสูงขึ้นไปหลายสิบฉื่อ จางเสี่ยวจิ้งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าตะโกนว่า “อวี๋ฉาง เจ้ากับข้ามาสู้ตัดสินกัน!”

    เสียงสะท้อนไปมาในหอโคมยาวนาน ไร้เสียงตอบ จางเสี่ยวจิ้งเดิมคิดใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่ออวี๋ฉางออกมา เห็นชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามไม่แยแส

    จางเสี่ยวจิ้งได้แต่กัดฟัน สงบจิตใจพลางกระโดดขึ้นด้านบน คิดไม่ถึงว่าหอโคมพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในเวลานี้ แผ่นไม้แขวนพลิกเคลื่อน ทันใดนั้นเท้ามันเหยียบถูกอากาศเกือบร่วงตกลงไป ยังดีที่จางเสี่ยวจิ้งสายตาคมมือไวคว้าจับเชือกปอใหญ่ที่ห้อยอยู่ได้ ร่างที่เกือบตกจึงแขวนกลางอากาศ

    มันใช้ปากคาบมีดสั้น ชักสองมือสลับกันเหนี่ยวตัวขึ้นไป ฝืนปีนขึ้นไปได้เล็กน้อย แกว่งร่างไปมา เหวี่ยงร่างไปถึงร่องที่อยู่มิไกลนัก จางเสี่ยวจิ้งเพิ่งเหยียบเท้า เชือกนั้นก็รับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว พลอยดึงเอาแผ่นไม้แขวนด้านบนหลายแผ่นตกลงไปถึงฐานหอโคมเสียงโครมคราม

    เมื่อเป็นเช่นนี้ทางขึ้นสู่ด้านบนจึงขาดสะบั้น จางเสี่ยวจิ้งเหมือนถูกกักตัวอยู่ในร่องแคบเล็กนี้ ขึ้นบนลงล่างล้วนลำบาก

    จุดที่จางเสี่ยวจิ้งอยู่เป็นจะงอยเหยี่ยวที่ยื่นออกไป นี่เป็นช่องตรวจสอบที่นายช่างใช้ปรับแขนหมุนห้องโคม ยื่นหัวออกไปจากจุดนี้สามารถเห็นแขนหมุนเคลื่อนผ่านเบื้องหน้า แกนแขนบิดเอียงหรือไม่ล้วนเห็นชัดเจน สาเหตุที่ตั้งชื่อ ‘จะงอยเหยี่ยว’ หนึ่งเพราะว่าที่ยืนแคบเล็กมาก ลักษณะเหมือนปากนก สองเพราะว่าสายตานกเหยี่ยวแหลมคมที่สุด สามารถมองเห็นสิ่งผิดพลาดที่เล็กที่สุด

    ทางที่แขนหมุนเคลื่อนที่ไปมีช่องจะงอยเหยี่ยวเป็นระยะสม่ำเสมอเท่าๆ กัน หากจางเสี่ยวจิ้งคิดปีนขึ้นต่อไปอีกมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือปีนจากด้านในออกไปที่ช่องด้านนอกหอโคม โหนจับแขนหมุนที่เคลื่อนขึ้นเชื่องช้า แขวนร่างขึ้นไปถึงช่องตรวจสอบที่อยู่สูงกว่า จากนั้นกระโดดเข้าในหอโคมอีกครั้ง

    นี่เป็นเส้นทางอันตรายสุดขีด แขนหมุนของหอโคมเป็นไผ่กลมขนาดใหญ่ ขัดผิวจนเรียบลื่นเป็นประกาย คว้าจับไม่ง่าย หากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อยก็ต้องร่วงตกลงไปด้านล่างหอ กระแทกพื้นกลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเละ ถึงแม้โชคดีคว้าจับได้ แต่จะรักษาสมดุลในขณะหมุนเคลื่อนต่อเนื่องได้หรือไม่ และจะกระโดดออกในเวลาที่เหมาะสมได้หรือไม่ก็ยังมิอาจรู้ได้

    บัดนี้โคมห้องที่ห้าไฟสว่างขึ้นแล้ว เวลากระชั้นกว่าเก่า จางเสี่ยวจิ้งไร้ทางเลือกอื่น ได้แต่ปีนออกไปด้านนอก ตำแหน่งนี้สูงจากพื้นล่างสี่สิบกว่าฉื่อ ผู้คนบนพื้นล่างและสิ่งต่างๆ ดูคล้ายเป็นมดตัวจ้อย ลมราตรีพัดหวีดหวิว แทบจะทำให้มันลืมตาไม่ขึ้น

    แขนหมุนอันหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปกำลังเคลื่อนมาช้าๆ จางเสี่ยวจิ้งจ้องเขม็ง คะเนความเร็วกับระยะห่าง มันปราศจากความมั่นใจแม้แต่น้อย ทว่านี่เป็นทางเลือกเพียงทางเดียวในยามนี้

    ด้านนอกหอโคมมีแขนหมุนแปดอัน แต่ละอันขับเคลื่อนห้องโคมสามห้อง แกนเหล่านี้ทาสีดำ เมื่อเป็นเช่นนี้แขนดำจึงกลมกลืนกับท้องฟ้าราตรี ผู้มาชมโคมไฟมองจากระยะไกลเห็นคล้ายห้องโคมลอยอยู่กลางเวหา สำหรับจางเสี่ยวจิ้งแล้วทำให้คำนวณคลาดเคลื่อนได้ง่าย

    เหวินอู๋จี้เอ๋ย หากเห็นว่าข้าทำถูกแล้วก็ช่วยคุ้มครองข้าด้วยเถิด

    จางเสี่ยวจิ้งภาวนาในใจ จากนั้นเสียบมีดไว้ด้านหลัง ปีนออกไปด้านนอกหอโคม มันมิได้รอคอยและมิได้ลังเล เวลานี้การรอคอยและลังเลคือเรื่องฟุ่มเฟือยที่สุด จางเสี่ยวจิ้งกระโจนออกไปกลางอากาศ เหยียดสองแขนไปหาแขนหมุน มันพบว่าเลือกทิศทางถูกต้อง ทว่าคะเนความเร็วผิดไป ก่อนจะคว้ากอดแขนหมุนไผ่ ร่างก็ปะทะหนักหน่วง

    จางเสี่ยวจิ้งปะทะอย่างแรงครั้งนี้ถึงกับเห็นเดือนเห็นดาว เกือบหมดสติ เคราะห์ดีที่แขนขามันเหยียดออกแล้วงอเข้า เหมือนลิงกอดปลายท่อนไม้ไผ่ใหญ่แน่นสุดชีวิต สุดท้ายจึงไม่ร่วงหล่น แขนหมุนส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆ สั่นสะท้านหลายครั้งแล้วเคลื่อนขึ้นบนต่อไป

    หนึ่งในสามของวงล้อหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนในเวลานี้ทยอยสว่างขึ้นตามลำดับ แต่ละห้องสว่างไสวเจิดจ้า ราษฎรต้าถังชื่นชอบฉากอัศจรรย์เทพเซียนเช่นนี้ที่สุด มิตระหนี่เสียงโห่ร้องชื่นชมของตนแม้แต่น้อย สายตาของทุกคนจับจ้องที่ภาพมหัศจรรย์ในแดนดินอันสุดแสนวิจิตรตระการตาเหล่านี้ หาได้สังเกตเห็นที่แขนหมุนสีดำสนิทว่ามีคนที่พยายามช่วยชีวิตพวกมันกำลังปีนขึ้นกลางเวหาแต่อย่างใด

    ผ่านไปครู่หนึ่งสายตาจางเสี่ยวจิ้งคุ้นเคยขึ้นบ้างแล้ว มันหอบหายใจหนักๆ ทางปาก กล้ามเนื้อปวดรุนแรง ทว่ามิกล้าคลายออก แขวนร่างอยู่บนแขนหมุนคล้ายคนจมน้ำคว้าจับขอนไม้ลอยน้ำ ลมหนาวพัดมา ทำให้มวยผมที่คลายออกแล้วของมันถูกพัดสยาย

    มันเอี้ยวคออย่างยากลำบาก เห็นผนังด้านนอกของหอโคมที่เบื้องหน้ากำลังลดต่ำลงช้าๆ สูงขึ้นไปอีกราวสิบฉื่อมีบางสิ่งคล้ายจะงอยของนกเหยี่ยวยื่นออก

    นั่นก็คือเป้าหมาย

    รออีกเพียงราวชั่วเวลาดีดนิ้วสิบห้าครั้ง แขนหมุนก็จะหมุนมาถึงข้างช่องจะงอยเหยี่ยว เป็นจังหวะกระโดดกลับหอโคมที่ดีที่สุด ทว่าขณะนี้จางเสี่ยวจิ้งกลับพบว่าท่าร่างของตนเองผิดแล้ว ท่าร่างตอนนี้ทำได้เพียงฝืนให้มิถูกสะบัดตกจากแขนหมุน ไม่มีแรงส่งพอสำหรับกระโจนจากกลางอากาศ

    จางเสี่ยวจิ้งแนบร่างกับท่อนไม้ไผ่ เริ่มขยับกาย ค่อยๆ ผ่อนคลายสองเท้า ถ่ายแรงกดไว้ที่สองมือซึ่งกอดแน่น รู้สึกหวาดเสียวยิ่งนัก เกือบร่วงตกหลายครั้ง กว่าจะปรับท่ามาห้อยร่างด้วยสองแขนก็แทบกระอัก คนเริ่มแกว่งไปมาอย่างแรงเหมือนตุ้มน้ำหนักเครื่องชั่ง

    เมื่อระยะห่างระหว่างตัวเองกับจะงอยเหยี่ยวมาถึงระยะสั้นที่สุด จางเสี่ยวจิ้งก็ปล่อยมือ ร่างตกจากแขนหมุน พุ่งไปหอโคม เสียงดังแคว่ก ร่างมันกระแทกแพรปิดโครงแตกออกเป็นรูใหญ่ หลุดเข้าไปในหอโคม จางเสี่ยวจิ้งรีบพลิกร่าง มือขวาคว้าจะงอยเหยี่ยวสุดชีวิต แขวนร่างเอาไว้ได้โดยไม่ร่วงหล่น

    ทางเดินเชื่อมมายังจะงอยเหยี่ยวตัวนี้ยังมิเสียหาย จางเสี่ยวจิ้งถีบสองเท้าไปมาหลายครั้ง คืบเคลื่อนมาถึงขอบ จากนั้นพลิกร่าง เมื่อขึ้นไปได้จางเสี่ยวจิ้งก็หมอบแทบพื้นหอบไม่หยุด

    รู้ดีว่าเวลาเหลือน้อยมาก ทว่าร่างกายของจางเสี่ยวจิ้งถึงขีดสุดแล้ว การเค้นพลังต่อเนื่องรอบนี้เวลาไม่ยาวแต่รีดใช้เรี่ยวแรงไปหมดสิ้น โดยเฉพาะข้อมือขวา เพราะเมื่อสักครู่รับน้ำหนักร่างกายทั้งหมด กล้ามเนื้อใกล้จะกระตุก

    มันเงยหน้านับห้องโคม บัดนี้สว่างถึงห้องที่สิบ ฝูงชนในจัตุรัสหน้าพระราชวังซิงชิ่งรู้จังหวะเวลาที่หอโคมจะสว่าง เมื่อห้องโคมห้องใดสว่างขึ้นพวกมันก็โห่ร้องขึ้นพร้อมกัน จากนั้นเสียงโห่ร้องทยอยเบาลงรอห้องโคมอีกห้องเปล่งแสง ยามนี้ในหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นแทบว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้ว แขกเหรื่อในงานเลี้ยงพากันออกมายังระเบียงสูงด้านนอก มองภาพงดงามตระการตาจากระยะใกล้

    สิบห้า…สิบห้า…ขอเพียงยืนหยัด ลุกขึ้นได้ก่อนโคมห้องที่สิบห้าสว่างก็ยังทัน…ยังทันจางเสี่ยวจิ้งบอกตัวเอง มันเกือบฝืนทนต่อไปมิได้แล้ว จำเป็นต้องพักสักครู่ ทว่าพลันที่ได้พัก ร่างกายก็มิคิดเคลื่อนไหวอีก

    จางเสี่ยวจิ้งหยิบมีดกรีดแถวข้อมือตนเองอย่างดุดัน ความเจ็บปวดคล้ายเหล็กแหลมเผาไฟจนแดง รีดเค้นความเหี้ยมหาญสุดท้ายในร่างออกมา มันกัดฟันฝืนยืน เดินโซเซขึ้นด้านบน

    ที่นี่ใกล้ชั้นเพลายักษ์มาก ทันทีที่จางเสี่ยวจิ้งเงยหน้าก็เห็นพื้นไม้เหนือหัวกำลังหมุนเชื่องช้า

    ชั้นเพลายักษ์เป็นศูนย์กลางของหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวน ลักษณะเด่นชัดที่สุดของมันคือพื้นไม้สีน้ำตาลเหลืองรูปวงแหวนขนาดใหญ่มากซึ่งประกบอยู่รอบเพลายักษ์ กว้างกินเนื้อที่ด้านในหอโคมทั้งหมด มองดูเหมือนพื้นกำลังหมุนเคลื่อน

    จางเสี่ยวจิ้งหยิบมีดมาถือ ชั่งน้ำหนักในมืออีกครั้ง เดินขึ้นบันไดสู่ชั้นบน มันย่องพลางกลั้นลมหายใจพยายามมิให้เกิดเสียง ทว่าพลันที่เหยียบขั้นบันได ประกายแสงเย็นเยือกก็จู่โจมทันที เคราะห์ดีจางเสี่ยวจิ้งเตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว หยิบป้ายไม้บนพื้นต่างโล่ยื่นบังหน้า

    แสงหนาวเหน็บกวาดมา ป้ายไม้สะบั้นแยกสองส่วนทันใด จางเสี่ยวจิ้งฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปในชั้นเพลายักษ์แล้วฟันสวน อวี๋ฉางซุ่มอยู่ปากบันได มีเพียงแขนเดียวที่ใช้การได้ รับมีดไม่ทันจึงกลิ้งถอยหลังหลบคมมีดของจางเสี่ยวจิ้ง

    ทว่าที่น่าประหลาดคืออวี๋ฉางกลับมิได้โต้กลับ หากแต่ถอยหลังไปหลายก้าว เผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจอันโหดเหี้ยม “เจ้ายังไม่ตายก็ประเสริฐ ข้ารอเจ้านานแล้ว” เสียงแหบแห้งดังคู่กับเสียงเอียดอาดในห้องเพลายักษ์

    จางเสี่ยวจิ้งก็หาได้รีบร้อนบุกเข้าไป มันคิดถ่วงเวลาฟื้นคืนกำลังสักเล็กน้อย ดังนั้นสองคนสามตาประสานสบ ทั้งสองห่างกันหลายสิบก้าว ประจันหน้ากัน พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองกำลังหมุนไปช้าๆ ทำให้ฉากหลังของพวกมันเปลี่ยนไปมาคล้ายโคมม้าย่อง บัดเดี๋ยวสว่างบัดเดี๋ยวมืด สีหน้าของทั้งสองก็แปรเปลี่ยนอย่างประหลาด

    ทันใดนั้นจางเสี่ยวจิ้งสังเกตเห็น ด้านหลังอวี๋ฉางมีแท่นไม้สี่เหลี่ยม ภายนอกทาสีดำ ด้านบนมีก้านยาวสะดุดตาสองอัน ก้านหนึ่งสีน้ำเงินแกมม่วง ก้านหนึ่งสีแดงเข้ม นั่นสมควรเป็นที่ตั้งศูนย์กลางควบคุมระเบิดเพลายักษ์ แผนขั้นสุดท้ายของเซียวกุยมิอาจไม่ใช้คนควบคุม ดังนั้นอวี๋ฉางจึงรั้งอยู่ที่นี่ถึงช่วงสุดท้าย ขอเพียงทำลายคนผู้นี้ แผนชั่วร้ายนี้ก็นับว่าล้มเหลว

    “เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเซียวกุย” จางเสี่ยวจิ้งถาม

    “ไม่มีประโยชน์ คนผู้นั้นไม่ฆ่าเจ้าแน่นอน ข้าลงมือเองวางใจกว่า” อวี๋ฉางเลียริมฝีปาก ประกายตาเปี่ยมรังสีสังหาร

    “ดังนั้นเจ้าจึงมิได้เปิดโปงข้า แต่กลับสังหารเหมาซุ่น?”

    “มิผิด เมื่อเหมาซุ่นตาย ไม่มีปีกกิเลน เจ้าคิดขัดขวางก็ปราศจากทางเลือกอื่น มีแต่ต้องขึ้นหอมาหาข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าย่อมควบคุมกลไกในหอโคมอย่างวางใจ ถือโอกาสรอเจ้าขึ้นมาเป็นสหายร่วมทางตายด้วยกัน ภารกิจทั้งสองเรื่องข้าล้วนไม่เสียงาน”

    จางเสี่ยวจิ้งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ เซียวกุยต้องการให้เจ้าตาย”

    แรกเริ่มมันเข้าใจว่าจะทำให้อวี๋ฉางตกใจเคียดแค้น จากนั้นเลิกล้มความคิดระเบิดหอโคม หากอวี๋ฉางกลับตอบอย่างจริงจังว่า “แล้วจะเป็นไร ข้ารับปากมันจะกระทำเรื่องต่างๆ ให้สิบอย่าง นี่ก็เป็นภารกิจสุดท้าย ไม่มีทางล้มเลิกกลางคันเพียงเพราะมันคิดจะฆ่าข้า”

    จางเสี่ยวจิ้งคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอวี๋ฉางจะเป็นคนรักษาคำพูดถึงเพียงนี้ อวี๋ฉางยื่นมือออกมา จ้องมันเขม็งราวกับสัตว์ป่าดุร้าย ตระเตรียมลงมือ จางเสี่ยวจิ้งพยายามลวงล่อ “เจ้าหยุดกลไกเสียก่อน ข้ารับปากจะออกไปประลองกับเจ้า”

    “ไม่ ที่นี่ดีพร้อมทุกสิ่งแล้ว!”

    วาจาเพิ่งจบอวี๋ฉางก็พุ่งเข้ามาปานปีศาจ ท่าร่างมันเร็วมาก จางเสี่ยวจิ้งมิอาจหลบได้ ได้แต่ยกมีดสั้นปะทะตั้งรับโดยตรง บังเกิดเสียงสดใสของโลหะกระทบกันสิบกว่าครั้งในห้องเพลายักษ์

    พลังจู่โจมของอวี๋ฉางอาศัยความรวดเร็ว เน้นจู่โจมฉับพลัน ดังนั้นเมื่อจางเสี่ยวจิ้งสงบใจ ทุ่มสมาธิและกำลังทั้งหมดต้านรับ ภายในเวลาอันสั้นอวี๋ฉางไม่พบช่องว่างทำอันตรายได้ อวี๋ฉางจู่โจมหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ทันใดนั้นมันถอยออก อาศัยจุดเด่นวิชาตัวเบาพลิ้วขึ้นโครงโคมใกล้ชั้นเพลายักษ์

    โครงไผ่บริเวณนี้ประสานถี่ยิบ หนาแน่นเสียยิ่งกว่าผืนป่าในขุนเขาเสียอีก อวี๋ฉางพุ่งไปมาอยู่ในนั้น ไม่ช้าจางเสี่ยวจิ้งก็ไม่พบเห็นร่องรอยมันแล้ว เหลียวซ้ายมองขวา ไม่รู้ว่ามือสังหารตัวอันตรายนี้จะจู่โจมจากตำแหน่งใด

    จางเสี่ยวจิ้งเปี่ยมประสบการณ์ต่อสู้ รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิอาจถูกฝ่ายตรงข้ามควบคุมจังหวะอย่างเด็ดขาด มันคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นถอยหลังเร็วรี่หลายก้าว หลังพิงผนังด้านในของหอโคม สองเท้าเหยียบท่อนไผ่ที่ยื่นออกมา

    ชั้นเพลายักษ์ทั้งชั้นนอกจากตัวแกนเพลายักษ์แล้ว พื้นไม้ล้วนหมุนอย่างเชื่องช้าตลอดเวลา จางเสี่ยวจิ้งหลังพิงผนังหอโคม สองเท้ายืนบนท่อนไผ่ยื่น หนึ่ง มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกจู่โจมจากด้านหลัง สอง ร่างไม่หมุนไปตามพื้น เช่นนี้แล้วเพียงรอคอยสักครู่ แท่นไม้สี่เหลี่ยมควบคุมเครื่องขับเคลื่อนก็จะหมุนเคลื่อนมาถึงเบื้องหน้ามันเอง

    เป้าหมายของมันมิใช่คิดฆ่าอวี๋ฉาง คิดเพียงแต่ทำลายแท่นกลไก จางเสี่ยวจิ้งเลือกยืนตำแหน่งนี้สามารถกุมความได้เปรียบ ใช้หลักการไม่แปรเปลี่ยนรับมือหมื่นแปรเปลี่ยน อวี๋ฉางมีเพียงต่อสู้ปะทะกับมันซึ่งหน้า หรือไม่ก็เบิกตามองแท่นกลไกหมุนมาถึงเบื้องหน้ามัน จากนั้นถูกทำลายเท่านั้น

    จริงดังคาด เมื่อจางเสี่ยวจิ้งยืนตำแหน่งเช่นนี้ อวี๋ฉางก็มองสถานการณ์ออก รู้ว่าตนเองมิอาจไม่ปรากฏตัว มันกระโดดไม่กี่ครั้ง พุ่งจากโครงไผ่มาอย่างดุร้าย เป็นทิศทางอันเหลือเชื่อ จางเสี่ยวจิ้งหลังพิงผนัง แยกแยะทิศทางลอบจู่โจมอย่างง่ายดาย สะบัดมีดสั้น เสียงกระจ่างใสดังขึ้น ต้านรับการลอบจู่โจมได้อีกหนึ่งครั้ง

    อวี๋ฉางชำนาญยุทธวิธีลอบจู่โจม หากพลาดก็ล่าถอยทันที มันกระทำจนเป็นนิสัย มีดในมือจางเสี่ยวจิ้งควงคว้านเร็วรี่ พัวพันฝ่ายตรงข้าม ลากมันเข้าสู่การต่อสู้พัวพัน ทั้งสองต่างมีส่วนได้เปรียบเสียเปรียบ จางเสี่ยวจิ้งเสียเปรียบที่ไร้เรี่ยวแรง พละกำลังไม่พอ ส่วนอวี๋ฉางแขนข้างหนึ่งบาดเจ็บ ยามเฉพาะหน้านี้ถือว่าต่อสู้ก้ำกึ่ง

    “เจ้าจะต้านรับได้นานเท่าไร” อวี๋ฉางต่อสู้พลางตวาด

    “เยี่ยงเดียวกันๆ” จางเสี่ยวจิ้งแยกเขี้ยว

    เวลานี้ห้องโคมด้านบนสว่างสิบห้าห้องแล้ว เหลืออีกเก้าห้องยังมิได้หมุนเคลื่อนขึ้นถึงยอดสุดที่จุดไฟติดสว่าง หากอวี๋ฉางถูกพัวพันอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีคนเปิดกลไก ทำให้ปีกกิเลนของห้องโคมทั้งยี่สิบสี่ห้องระเบิด

    ดังนั้นทั้งสองคนผู้ใดล้วนไม่สามารถลากถ่วงเวลาเนิ่นนาน

    เมื่อเห็นว่าแท่นกลไกกำลังจะเคลื่อนมาถึง อวี๋ฉางเร่งจู่โจมเร็วขึ้น คิดสะกดจางเสี่ยวจิ้งเอาไว้ จางเสี่ยวจิ้งก็ไม่ถอย โต้กลับเช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏช่องว่างขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ปานพายุคลั่ง แขนเสื้อข้างที่บาดเจ็บของอวี๋ฉางพลันสะบัดอย่างมิคาดคิด ‘น้ำกรดเขียว’ หลายหยดพุ่งออกจากปากแขนเสื้อ ตรงเข้าหาจางเสี่ยวจิ้ง

    ผู้ใดจะทราบได้ว่าจางเสี่ยวจิ้งระวังป้องกันกระบวนท่านี้ไว้แต่แรกแล้ว มีดสั้นพลิกขวาง ข้อมือหมุนครึ่งตามท่วงท่า ใบมีดกว้างกระแทกของเหลวสีเขียวที่พุ่งเข้ามาสะท้อนกลับไป มีของเหลวสีเขียวหยดหนึ่งกระทบไหล่ซ้ายอวี๋ฉาง บังเกิดเสียงฉู่ฉ่าบนเนื้อผ้า

    หัวไหล่อวี๋ฉางปวดปลาบอย่างยิ่ง มิอาจไม่หัวคิ้วกระตุก มันเป็นมือสังหารในเงามืด ต่อสู้พัวพันซึ่งหน้ากับศัตรูยาวนานเช่นนี้ไม่บ่อยจึงไม่คุ้นชิน คนที่ตรงหน้านี้ก็ราวกับกาวแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำไป๋จี วิชาฝีมือหาได้ล้ำเลิศสักเท่าใด ทว่าเอาแต่พัวพันมิเลิกรา เหมือนมีพลังไม่หมดสิ้น

    อวี๋ฉางเห็นว่ามิอาจปล่อยเป็นเช่นนี้สืบไป เอียงคอดู เห็นแท่นกลไกเคลื่อนมาใกล้แล้วจึงพุ่งเข้าหาจางเสี่ยวจิ้งอย่างยินยอมตกตายพร้อมกัน

    จางเสี่ยวจิ้งพอเห็นอีกฝ่ายเลือกทางนี้ก็หัวเราะร่า

    มันมองออกว่าอวี๋ฉางใช้แผนลวง มือสังหารผู้หนึ่งไฉนจะยินยอมตกตายพร้อมคนอื่น

    สถานการณ์เยี่ยงนี้ผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่อความตายเท่านั้นจึงจะสามารถกำชัย

    สองเท้าจางเสี่ยวจิ้งยืนมั่นคง สะบัดออกอีกหนึ่งมีด อวี๋ฉางเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่นำพาจึงได้แต่รั้งกลับ ดีดลอยตัวไกลทันที แท่นกลไกห่างจากจางเสี่ยวจิ้งไม่ถึงสามฉื่อแล้ว เห็นก้านไม้ทั้งสองบนแท่นชัดเจน ก้านหนึ่งสีน้ำเงินแกมม่วง ก้านหนึ่งสีแดงเข้ม

    “เจ้ารู้หรือว่าต้องทำลายอันใด” เสียงอวี๋ฉางดังอย่างชั่วร้ายมาจากกลางอากาศ

    มีดของจางเสี่ยวจิ้งเงื้อขึ้นแล้วพลันค้างหยุด

    มันมิเข้าใจวิชาสร้างกลไก มีดนี้ฟันลงไป ผู้ใดจะทราบได้ว่าเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย? จะน้ำเงินหรือแดง? หากฟันผิดอันอาจยิ่งเร่งให้ระเบิดก่อนเวลา สมควรกระทำเยี่ยงไร จางเสี่ยวจิ้งเดิมไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงคิดฟันทำลายเสียให้สาแก่ใจ เมื่อถูกอวี๋ฉางทักเช่นนี้กลับลังเล มิได้ฟันลง

    จังหวะที่จางเสี่ยวจิ้งชะงักค้างนั่นเอง แท่นกลไกก็เคลื่อนผ่านเบื้องหน้ามันไปแล้ว ไกลออกไปทุกขณะ จางเสี่ยวจิ้งรีบโน้มร่างไปด้านหน้า ยื่นมือไปคว้า แผ่นหลังจึงห่างออกจากผนังหอโคม

    เพียงเปิดช่องเล็กน้อย อวี๋ฉางผู้รอคอยฉกฉวยมาเนิ่นนานก็ลงมือทันที มันพลันพุ่งลงจากโครงเสือกแทงออก จางเสี่ยวจิ้งต้องเลือกคว้าแท่นกลไกและถูกมันแทงตาย หรือเลือกดึงมีดกลับมาป้องกันตนและปล่อยแท่นกลไกเคลื่อนจากไป

    บัดนี้ห้องโคมสว่างยี่สิบเอ็ดห้องแล้ว จางเสี่ยวจิ้งไม่เหลือเวลารอมันหมุนย้อนกลับมาอีกรอบ

    จางเสี่ยวจิ้งรู้ดี ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับน้ำเงินและแดงก็ไม่รู้ว่าควรกระทำเช่นไร มันกัดฟันดึงมีดกลับมาต้านรับการจู่โจมของอวี๋ฉางก่อน ทว่าก็ต้องพลาดแท่นกลไกอีก

    พื้นหมุนยังคงพาแท่นกลไกเคลื่อนห่างออกไปช้าๆ และมั่นคง

    อวี๋ฉางไม่ส่งเสียง สองตาเปล่งประกายดีใจ การต่อสู้ครั้งนี้ในที่สุดก็จะปรากฏผลแล้ว ทันใดนั้นมันพบว่าไม่จำเป็นต้องฆ่าคนผู้นี้ ปล่อยให้อีกฝ่ายตกคว้างลงในหุบลึกแห่งความสิ้นหวังจะสาแก่ใจยิ่งกว่าฆ่าเสียอีก

    ทว่าผ่านการต่อสู้พัวพันครั้งนี้ อวี๋ฉางก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ยอมถอดใจโดยง่ายเด็ดขาด

    จริงดังคาด จางเสี่ยวจิ้งเห็นแผนที่เฝ้ารักษาต้องล้มเหลว และรู้ถึงความกดดันจากเวลา มันจึงพุ่งเข้าแท่นกลไก ครั้งนี้มิคำนึงอื่นใดอีก

    ห้องโคมห้องที่ยี่สิบสองสว่างไสวขึ้นที่เหนือยอด

    จางเสี่ยวจิ้งพุ่งตัวราวกับเป็นหมูป่าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งรอบข้าง อวี๋ฉางฉวยโอกาสฟัน แสงหนาวเหน็บวาบขึ้น ฟันสีข้างด้านขวาของมันเป็นแผลยาว เลือดสดสาดกระจาย ทว่าบาดแผลนี้มิได้ลดทอนความเร็วของจางเสี่ยวจิ้งลงเลย

    อวี๋ฉางฟันอีกหนึ่งดาบ ครั้งนี้เฉือนไหล่ซ้าย จางเสี่ยวจิ้งแผดเสียงคำราม ยังคงพุ่งต่อไปท่ามกลางโลหิตสาดกระเซ็น หาได้แยแสบาดแผลบนร่างไม่

    สีหน้าอวี๋ฉางค้างแข็ง ฝ่ายตรงข้ามแผ่อานุภาพชนิดหนึ่งทำให้มันสะพรึงกลัวไร้เปรียบปาน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต อวี๋ฉางมีลางสังหรณ์ว่าแม้เชือดคอหอยคนผู้นี้ขาด คนผู้นี้ก็ยังจะฉีกร่างมันออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะสิ้นใจ

    ความตระหนกที่ฝังลึกในใจเมื่อวัยเด็กแผ่พุ่งทันใด ปีนั้นมันเจ็ดขวบ เร่ร่อนเดียวดายกลางทุ่งหญ้า ถูกสุนัขป่าพเนจรบาดเจ็บไล่ล่า หนึ่งคนหนึ่งสุนัขป่าโรมรันครึ่งราตรี เคราะห์ดีมีคนเลี้ยงสัตว์มาพบ ไล่สุนัขป่าตัวนั้นหนีไป ประกายตาเขียวเรืองรองประทับฝันร้ายยากลืมเลือนให้แก่อวี๋ฉางตลอดมา

    ฝันร้ายนั้นวันนี้แปรร่างเป็นจางเสี่ยวจิ้ง ปรากฏขึ้นต่อหน้าอวี๋ฉาง อวี๋ฉางสูญเสียความเยือกเย็นของตนเองเป็นครั้งแรก มันหวั่นไหวรุนแรงคิดล่าถอยหลบซ่อน

    มันคำรามแผ่วเบา ดิ้นรนสลัดความคิดวุ่นวายเหล่านี้ทิ้งสุดชีวิต แต่จางเสี่ยวจิ้งเข้ามาใกล้แล้ว

    อวี๋ฉางมิคิดปะทะซึ่งหน้ากับจางเสี่ยวจิ้งอีกต่อไป มันสะกดข่มความหวั่นไหวคิดหลบหนี สะบัดดาบฟันโครงไผ่เหลืองที่ด้านข้างท่อนหนึ่ง วงล้อไม้น้ำหนักมากขาดเสาค้ำไปหนึ่งเสาก็เตี้ยต่ำลงหลายช่วง ส่งผลต่อจางเสี่ยวจิ้งที่กำลังกระโจนใส่ อวี๋ฉางตัดโครงไผ่อีกอันหนึ่งต่อทันที วงล้อไม้เบี่ยงเอียงออกอีกหลายช่วง

    จางเสี่ยวจิ้งเห็นทางราบเรียบข้างหน้าพลันกลายเป็นเนินเอียงชัน มันได้แต่เพิ่มความเร็ว อวี๋ฉางเงื้อดาบอย่างคลุ้มคลั่ง สะบั้นเสาต้นที่สาม

    เสียงโครมคราม วงล้อไม้ของชั้นเพลายักษ์ถล่มลงครึ่งหนึ่ง เศษไม้ปลิวกระจัดกระจาย พละกำลังของจางเสี่ยวจิ้งลดฮวบถึงก้นหุบเหวแล้ว อีกทั้งบาดเจ็บสาหัส มิอาจรักษาสมดุล ซวนเซไถลออกไปถึงขอบนอกของวงล้อไม้ มันคิดคว้าสิ่งรอบกาย ทว่าแขนปวดเมื่อยถึงขั้นไร้เรี่ยวแรง ร่างลื่นไถลแขวนลอยกลางอากาศ อาศัยเพียงมือข้างเดียวคว้าจับร่องที่ขอบเอาไว้แน่น มีดสั้นเล่มนั้นหมุนคว้างหลายรอบ ร่วงตกลงสู่ฐานหอโคมซึ่งลึกมาก

    จังหวะเดียวกันนั้นเองห้องโคมห้องที่ยี่สิบสามก็เปล่งแสง

    อวี๋ฉางระเบิดเสียงหัวร่อระรัวอย่างคลุ้มคลั่ง น้อยครั้งที่มันจะสูญเสียความเยือกเย็นของตนเช่นนี้ ทว่าวันนี้แตกต่างออกไป ศึกประลองเป็นตายครานี้สุดท้ายผู้ชนะยังคงเป็นมัน จางเสี่ยวจิ้งสัตว์ป่าตัวนี้ถูกมันเอาชนะจนได้ในที่สุด

    มันเดินไปถึงขอบวงล้อไม้ ใช้รองเท้าเหยียบนิ้วทั้งห้าของจางเสี่ยวจิ้ง ร่างจางเสี่ยวจิ้งแขวนลอยกลางหาวอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าน่าสะพรึง ทว่ายังไม่ยอมคลายนิ้วออก

    “สุดท้ายแล้วเจ้าก็รักษาชีวิตไม่ได้”

    อวี๋ฉางก้มมองศัตรูที่พ่ายแพ้ต่อน้ำมือมัน บัดนี้มันสามารถฆ่าจางเสี่ยวจิ้งโดยง่ายดาย ทว่าพลันเปลี่ยนความตั้งใจ

    เมื่อสักครู่ความบ้าคลั่งของจางเสี่ยวจิ้งทำให้มันรู้สึกถึงความหวาดกลัว ลำพังเพียงฆ่าตัวสารเลวผู้นี้ยังไม่เพียงพอต่อการชำระล้างความอดสูใจ มีเพียงให้ศัตรูผู้นี้ทนทรมานอยู่ในความสิ้นหวังและความเจ็บปวดยาวนานที่สุดก่อนจะสิ้นใจตาย จึงจะสามารถทำให้ความโกรธแค้นของมันทุเลาลง

    อวี๋ฉางเลิกเหยียบนิ้วมือจางเสี่ยวจิ้ง หากแต่ชี้ไปยังแท่นกลไกพลางเดินเข้าไป จางเสี่ยวจิ้งแผดร้อง “เจ้ามาฆ่าข้าเสียสิ! อย่าดึงกลไก!”

    อวี๋ฉางเงี่ยหูฟัง ฝีเท้าช้าลง เสียงอ้อนวอนนี้ไพเราะกว่าเสียงดนตรีในศาสนสถานหรือสถานเริงรมย์เสียอีก มันจะเสพสุขกับขั้นตอนเหล่านี้ จางเสี่ยวจิ้งคว้าจับร่องเพียงมือเดียว สองตาเต็มไปด้วยเลือด เสียงแหบแห้งราวฆ้องแตก “อย่าดึง! เจ้าจะต้องเสียใจ!”

    อวี๋ฉางเดินเชื่องช้าขึ้นไปยืนบนแท่นกลไกพร้อมกับเสียงแผดร้องนี้ ยื่นมือกุมก้านยาวทั้งสองอัน แหงนหน้ามองไปยังเหนือเพดาน

    ห้องโคมเรื่อง ‘ชอบธรรม’ สว่างขึ้นเป็นห้องสุดท้าย

    ในที่สุดห้องโคมยี่สิบสี่ห้องบนหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนก็จุดไฟสว่างครบถ้วน ฉากราตรีขับเน้นให้กลุ่มโคมไฟขนาดใหญ่อันเจิดจ้าสว่างไสวยี่สิบสี่กลุ่มนี้คล้ายเป็นดาราจุติสู่แดนดิน

    พวกมันหมุนเรียงวนด้วยท่วงท่ายิ่งใหญ่โอ่อ่าตระการตา เห็นเป็นดวงกลมสว่างไสวอยู่กลางอากาศ มองจากเบื้องสูงลงมายังหนึ่งร้อยแปดฟางของฉางอันด้วยสายตาเหยียดหยาม หุ่นโคมในห้องแต่ละตัวล้วนเคร่งขรึมคล้ายหมู่ทวยเทพสถิตชุมนุม

    ณ ยอดหอโคมหลังนี้มีเชือกปอยาวมากสิบกว่าเส้นเกาะเกี่ยวเฉียงเอียงจากทิศทางต่างๆ แขวนกลางอากาศ บนเชือกเต็มไปด้วยผ้าโปร่งบางสีต่างๆ กับธงหลากสี เมื่อโคมยังไม่ได้จุดให้สว่างขึ้น เครื่องประดับเหล่านี้ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย เวลานี้ห้องโคมสว่างพร้อมกัน ผ้าโปร่งบางเหล่านี้สะบัดพลิ้ว ย้อมแสงโคมให้เป็นสีสันนานา สีแดงเลือดนก สีม่วงองุ่น สีเขียวยอดชา สีเหลืองฝุ่นดิน เป็นเงาหลากสีอันวิจิตรพิสดารครอบคลุมทั้งในและนอกหอโคมดั่งภาพมายาแดนเซียน

    ไม่ว่าชาวบ้านสามัญหรือราชนิกุลขุนนางสูงศักดิ์ จะมีสักกี่คนเคยเห็นเทพเซียนมาปรากฏกับตาตนเอง วันนี้ความฝันของทุกคนกลายเป็นความจริงตรงหน้าสายตา นี่เป็นประสบการณ์อันควรค่าแก่การพูดคุยไปอีกหลายปี เสียงโห่ร้องยินดีปานระลอกคลื่นยักษ์ถาโถมจากทั่วสารทิศ คณะนักดนตรีทั้งในและนอกพระราชวังซิงชิ่งที่เตรียมตัวรอนานแล้วเริ่มบรรเลงเพลง ‘เทวาสัญจร’ โดยพร้อมเพรียง ความสนุกสนานยินดีปรีดาของเทศกาลซั่งหยวนเมืองฉางอันพุ่งถึงจุดสูงสุดแล้ว

    อวี๋ฉางเหลือบมองจางเสี่ยวจิ้ง เจตนาเบี่ยงร่างออกให้มันเห็นความเคลื่อนไหวของตนเองชัดเจน ข้อมือออกแรงดันก้านยาวสีแดงเข้มไปจนสุด

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    นิยายยอดนิยม

    Facebook