• Connect with us

    Enter Books

    ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    ทดลองอ่านนิยาย ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 2 ตอนที่ 3

    บทที่สิบเอ็ด

    ปลายยามซวี

     

    รัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ ปลายยามซวี

    เมืองฉางอัน อำเภอวั่นเหนียน ผิงคังฟาง

     

    เทียบกับฟางอื่นๆ ที่ผู้คนเบียดเสียดชมโคมไฟแล้ว ผิงคังฟางซึ่งปกติครึกครื้นที่สุดเวลานี้กลับเงียบสงบมาก เนื่องจากบรรดาแม่นางทั้งหลายในผิงคังฟางล้วนถูกคนมีเงินหรือชนชั้นสูงจองตัวเป็นเพื่อนเที่ยว หอนางโลมพลอยว่างเปล่า ราวยามสองแม่นางและนายท่านเหล่านั้นจึงจะทยอยกลับมา กินดื่มสำเริงสำราญต่อไป

    ทันทีที่เข้าไปด้านในฟาง ถานฉีก็ย่นจมูกอย่างรังเกียจ ท้องถนนเวลานี้กลิ่นซูเหอเซียงลอยล่องในอากาศ นี่คือกลิ่นที่หลงเหลือหลังจากรถของเหล่านักเที่ยวพากันออกเดินทางไปชมโคมไฟ กลิ่นหอมนี้ปรุงเข้มข้นเย้ายวนเกินไป ติดเสื้อผ้าทนทานยิ่ง เพียงติดแขนเสื้อ พัดโบกเท่าใดก็ไม่จางหาย นางไม่ปรารถนาจะถูกผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเป็นคณิกาเพื่อนเที่ยว

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “วางใจเถิด ไม่มีคนเข้าใจผิดหรอก คืนนี้พวกโฉมสะคราญที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างล้วนไปอยู่ด้านนอกหมดแล้ว” ถานฉีฟังคราแรกก็โล่งใจ ก่อนจะสะดุดหยุดฉุน นี่คือการเสียดสีนางใช่หรือไม่! ขณะกำลังเตรียมบันดาลโทสะใส่ จางเสี่ยวจิ้งยกแส้ขึ้นชี้กล่าวว่า “ที่นั่นคือคฤหาสน์ของเสนาบดีหลี่”

    ถานฉีมองตาม ที่แท้จวนเสนาบดีของหลี่หลินฝู่ก็อยู่ตรงข้ามกับผิงคังฟาง กำแพงสูงกระเบื้องเขียวเข้ม ด้านในเกรงว่าลึกถึงสิบชั้นลาน หน้าประตูประดับขวานศึกสิบสองเล่ม ด้านซ้ายและขวาเป็นเสาเชิดชูเกียรติพร้อมอักษรประกาศเกียรติคุณ ยอดประดับกระเบื้องโค้งปิดหัวด้วยลายปักษี สำแดงอำนาจเหนือคนสามัญ ว่าแล้วก็แปลก ใต้ชายคาเห็นชัดๆ ว่าแขวนโคมกระดาษแดงเป็นแผง แต่แสงสว่างกลับจำเพาะอยู่เพียงระยะไม่กี่จั้งจากหน้าประตูเท่านั้น บริเวณอื่นยังคงมืดสนิทไปทั้งแถบ เมื่อมองจากระยะไกลราวกับสัตว์ร้ายสีดำกำลังอ้าปากขนาดใหญ่ที่อาบด้วยเลือด

    ขุนนางผู้ตั้งตัวเป็นอริกับคุณชายมาเนิ่นนานอาศัยอยู่ที่นี่เอง…ถานฉีหนาวสะท้านโดยมิทราบสาเหตุ รีบเร่งม้าเดินเร็วหลายก้าวคล้ายหากรั้งอยู่นานจะถูกจับกิน

    “สังฆานุกรอีซือเล่า” ถานฉีจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีคนผู้หนึ่งติดตามมาด้วย จางเสี่ยวจิ้งหันกลับไป กวาดตามองแวบหนึ่ง บนถนนใหญ่ไม่พบแม้แต่เงา คนผู้นี้นับตั้งแต่ข้ามถนนจูเชวี่ยมาแล้วก็ไม่เห็นอีกเลย อาจจะพลัดหลงไปแล้วกระมัง

    “ช่างเถิด สุดแท้แต่มัน”

    จางเสี่ยวจิ้งคุ้นเคยกับละแวกนี้มาก ทั้งสองเดินข้ามสองสี่แยก เห็นมุมตะวันออกเฉียงเหนือมีคฤหาสน์กระเบื้องสีดำเรียงรายเป็นพืด

    คฤหาสน์ใหญ่เหล่านี้ราวกับสร้างจากฝีมือของช่างในกองทัพ รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างดุจเดียวกัน เรียงรายเป็นระเบียบ ล้วนเป็นประเภทสามลานเจ็ดห้อง จุดเดียวที่สามารถแยกแยะพวกมันออกจากกัน คือธงรูปสัตว์ที่โบกสะบัดสูงกลางลานของเรือนแต่ละหลัง มีทั้งรูปหมี รูปพยัคฆ์ รูปเหยี่ยวและรูปมังกรวารีไม่ซ้ำกัน นี่ก็คือสำนักตรวจการหลิวโฮ่วทั้งสิบประจำฉางอันของสิบแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อ ธงทิ้งชายของคฤหาสน์แต่ละหลังล้วนเหมือนกับธงสัญลักษณ์ประจำกองทัพของเจี๋ยตู้สื่อ เพียงแลดูก็ทราบได้ว่าหลังใดคือที่ว่าการของแม่ทัพคนใด

    ถนนตรงข้ามสำนักตรวจการหลิวโฮ่วคือร้านรวงต่างๆ นานา มีร้านขายสินค้านานาชนิดไม่ว่าจะเป็นร้านไข่มุกอัญมณี ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องทองเครื่องเงิน ร้านแพรไหม ร้านเครื่องเคลือบ ทุกปีสำนักตรวจการหลิวโฮ่วในนครหลวงจะคัดเลือกซื้อหาของขวัญของกำนัลจำนวนมหาศาล คนทำการค้าย่อมไม่พลาดโอกาสอันดีเช่นนี้

    อย่างไรก็ตามร้านค้าบัดนี้ปิดทำการแล้ว ทั้งเจ้าของทั้งลูกจ้างในร้านล้วนออกไปชมโคมไฟกันหมด ถนนทั้งสายแทบร้างผู้คน จางเสี่ยวจิ้งและถานฉีแยกแยะทิศทาง เลี้ยวเจ็ดเลี้ยวแปดมาถึงร้านหนังสือหลิวจี้ที่อยู่ก้นตรอก หน้าร้านนี้มีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ดูราวกับกว้างเพียงสองบานประตู ขนาบซ้ายขวาด้วยร้านรถม้าและร้านช่างเหล็ก เวลานี้ร้านหนังสือปิดไปนานแล้ว กระทั่งบานประตูก็ยกปิด

    ตามที่มือสังหารสารภาพ ร้านหนังสือหลิวจี้เป็น ‘หั่วเตี่ยน (ชนวนเพลิง)’ ของโส่วจัวหลาง หั่วเตี่ยนเป็นคำเรียกสถานที่ติดต่อของพวกมัน หมายถึงจุดกระจายภารกิจ ผู้ดูแลรับผิดชอบหั่วเตี่ยนเรียกว่า ‘หั่วซือ (มือเพลิง)’ และเป็นบุคคลสำคัญที่จางเสี่ยวจิ้งมาหาครั้งนี้

    ตามหลักต้องให้มือสังหารเป็นคนเรียกเปิดประตู บอกเล่าสถานการณ์แล้วจึงเข้าไปเจรจากับหั่วซือ แต่จางเสี่ยวจิ้งก่อนเข้าตรอกได้รับคำยืนยันจากหอสังเกตการณ์มาแล้ว รถม้าที่คุมตัวมือสังหารยังอยู่ระหว่างทาง ต้องรออีกสักพักกว่าจะมาถึง

    จางเสี่ยวจิ้งมิอาจรั้งรออีกต่อไป นับตั้งแต่รู้ข่าวว่าจิ้งอันซือถูกโจมตีเป็นต้นมา ความจริงมันร้อนรนใจยิ่งกว่าถานฉีเสียด้วยซ้ำ ในใจบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลแรงกล้ายิ่งขึ้นทุกขณะจิต มันต้องยึดกุมเวลาทุกชั่วขณะให้เป็นประโยชน์

    ชายตาเดียวมิได้ตบบานประตู แต่เดินไปที่ผนังของบานประตูซีกซ้าย นี่เป็นผนังดินอัดสีเหลือง อัดดินหยาบง่าย ผนังมีรูเล็กรูใหญ่มากมาย จางเสี่ยวจิ้งนับไปถึงแถวที่สามรูที่สิบจากขวา สอดนิ้วเข้าไป ล้วงเชือกเล็กออกมาจากก้นรู

    ปลายเชือกผูกกับห่วง ปลายอีกด้านร้อยผ่านรูผนัง จางเสี่ยวจิ้งสอดนิ้วเข้าไปดึงเชือกเบาๆ ห้าครั้ง หยุดชั่วครู่ ดึงอีกสามครั้ง สุดท้ายกระตุกสองครั้ง

    นี่คือวิธีติดต่อที่มือสังหารบอก ถ้าไม่ดึงเชือกเส้นนี้หรือวิธีดึงไม่ถูกต้อง ร้านหนังสือร้านนี้จะไม่เปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงต่อผู้ใดตลอดกาล

    ดึงเชือกเสร็จไม่นาน บานประตูส่งเสียงดังแกรกแง้มจากด้านในเปิดออกเป็นช่อง ดวงตาระแวงภัยข้างหนึ่งส่องประกายจากในช่อง “ธาราวสันต์?”

    “แผ่นผืนเมฆาขาวลอยล่องไป”

    นี่คือวรรคที่สิบเจ็ดจากบทกวี ‘คืนจันทราบุปผาธาราวสันต์’ เป็นรหัสยืนยันตัวผู้มา ในร้านเงียบไปชั่วขณะก่อนพูดว่า “เจ้ามิใช่หลิวสือชี และมิใช่หมัวจยาหลัว”

    จางเสี่ยวจิ้งแสดงป้ายทองแดง “ข้าคือผู้บัญชาการทหารประจำนครหลวงแห่งจิ้งอันซือจางเสี่ยวจิ้ง หลิวสือชีแนะนำให้ข้ามาเอง มีเรื่องเร่งด่วนต้องการเจรจา”

    “เช่นนั้นหลิวสือชีอยู่หนใด”

    “กำลังอยู่ระหว่างทางหย่งเล่อฟาง อีกสักครู่จะตามมาสมทบ” จางเสี่ยวจิ้งหันไปมองทางหอสังเกตการณ์แวบหนึ่ง

    หอสังเกตการณ์ส่งรหัสมาพอดี รถม้ากำลังผ่านหย่งเล่อฟาง ห่างจากที่นี่อีกเพียงสองสามแยกเท่านั้น

    “รอพวกมันมาถึงแล้วค่อยสนทนา” ฝ่ายตรงข้ามพูดจบก็จะปิดบานประตู จางเสี่ยวจิ้งใช้มือกดบานประตูเอาไว้ ท่าทีกระด้างอย่างยิ่ง

    “งานของราชสำนักมิอาจรอ จะให้ข้าเข้าไปตอนนี้ หรือจะรอนายกองประจำอำเภอนำกำลังมาเอง”

    คำขู่ดังกล่าวคล้ายมีประสิทธิภาพ ในร้านเงียบไปชั่วอึดใจ บานประตูอีกบานปลดลงทันที เผยให้เห็นช่องกว้างขนาดครึ่งบานประตู จางเสี่ยวจิ้งและถานฉีตะแคงตัวเข้าไปด้านใน มือข้างหนึ่งจุดเชิงเทียนบนโต๊ะสว่างขึ้น ถืออยู่ในมือ

    หั่วซือเป็นผู้อาวุโสผมขาวโพลน ผิวหนังเหี่ยวย่นสีคล้ำราวกับผลพุทรา ดูไม่ออกว่าเป็นคนเผ่าใด ที่ด้านหลังมันเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือไม้ไผ่ บนชั้นหนังสือเต็มไปด้วยม้วนหนังสือผ้าไหมลือชื่อราคาแพงสารพัดชนิด แต่ละม้วนใช้แกนงาช้างสีขาว ห่วงแก้วผลึก ใช้ผ้าหลากสีทำป้ายแยกประเภท กลิ่นการบูรจางๆ ล่องลอย ช่วยกระตุ้นสมองให้แจ่มใส ทั้งยังช่วยกันมอดแมลง

    หนังสือเหล่านี้มิได้ใช้สำหรับอ่าน หากแต่ใช้เป็นของขวัญมอบแด่ผู้สูงศักดิ์หรือขุนนาง หั่วเตี่ยนทุกวันต้องจัดการหนังสือติดต่อต่างๆ นานา ใช้ร้านหนังสือปกปิดโฉมหน้าเหมาะสมยิ่งกว่าอื่นใด

    จางเสี่ยวจิ้งไม่โอภาปราศรัย เข้าไปก็ถามทันที “ข้าต้องการรู้ว่าใครจ้างหลิวสือชีกับหมัวจยาหลัวไปลอบสังหารนักบวชเฒ่าผู่เจอที่วัดปอซือ”

    ผู้อาวุโสถือเชิงเทียน แสงเทียนสาดส่องริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า แสงเงาทับซ้อนทำให้ไม่อาจเห็นสีหน้าอารมณ์ที่แท้จริงของมันได้

    “ท่านแม่ทัพสมควรรู้ พวกเราโส่วจัวหลางรักษาความลับของผู้จ้างวาน ความประสงค์นี้ขออภัย ยากกระทำตาม”

    จางเสี่ยวจิ้งแค่นเสียงอย่างเย็นชา “บัดนี้การจ้างวานให้ลอบสังหารพัวพันกับคดีใหญ่ วิกฤตเมืองฉางอันทั้งเมือง ราชสำนักต้องการคำตอบ ผู้คิดปิดบังถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!”

    ผู้อาวุโสยิ้มอย่างไม่แยแส “โส่วจัวถือสัจจะเป็นต้นทุน หาไม่แล้วไหนเลยจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทั่วหล้า อย่าว่าแต่แม่ทัพ ต่อให้เป็นเจ้าเมืองมาเองก็บอกไม่ได้”

    จางเสี่ยวจิ้งเดือดดาลยิ่งนัก ทุบกำปั้นอย่างหนักหน่วงลงบนผนัง ชั้นหนังสือในห้องสั่นสะเทือนไปหมด หากเชิงเทียนในมือผู้อาวุโสกลับถือนิ่งมั่นคง “เราผู้เฒ่าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง แม่ทัพสามารถคุมตัวสอบถามทรมาน ไม่ขัดขืนต่อต้านเด็ดขาด แต่อย่าได้หมายสั่งให้ผู้น้อยเอ่ยปากอันใด”

    จางเสี่ยวจิ้งล้วงหน้าไม้ออกมา เล็งตรงไปที่กลางหน้าผากของอีกฝ่าย เปรยเหี้ยมเกรียม “หลิวสือชีทีแรกก็บอกไว้เช่นนี้”

    มันมิได้เอ่ยสืบต่อ ทว่าการกระทำชัดเจนมาก สามารถใช้รหัสลับของหลิวสือชีเข้ามาที่นี่ ย่อมมีวิธีเค้นคำสารภาพของมัน ผู้อาวุโสหัวคิ้วขวากระตุกเล็กน้อย “หลิวสือชีกระทำผิดกฎ ให้ร้ายถึงครอบครัว ข้าช่วยมันมิได้ โส่วจัวหลาง โส่วจัวหลาง บุญคุณต้องตอบแทน หนี้ต้องสะสาง”

    นี่คือคติพจน์ของโส่วจัวหลาง ยามที่โส่วจัวหลางออกปฏิบัติภารกิจต่างพื้นที่ ลูกเมียต้องรั้งอยู่ในเมืองโส่วจัว หลิวสือชีเปิดเผยความลับของหั่วเตี่ยน ต่อให้มันหนีรอดไปได้ แต่คนในครอบครัวต้องตายแน่นอน

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “ไฉนตกตายเพียงมันลำพัง? หากฉางอันมีอันเป็นไป ทุกคนในโส่วจัวหลางต้องตาย!”

    ผู้อาวุโสเห็นจางเสี่ยวจิ้งอำมหิตน่าสะพรึงกลัวสุดขีดพลันทอดถอนใจ “ชื่อแซ่และสถานะของผู้จ้างวาน เราผู้เฒ่ามิอาจเปิดเผยเป็นอันขาด แต่หากท่านแม่ทัพคิดถามเรื่องอื่นในขอบเขตอำนาจเราผู้เฒ่า หากรู้ย่อมไม่ปิดบัง”

    เป็นถึงหั่วซือประจำเมืองฉางอันย่อมมิใช่ชนชั้นสามัญธรรมดา มันรู้ว่าเบื้องหลังของจางเสี่ยวจิ้งคือทางการ ไม่พึงล่วงเกินจนเกินไป จึงเสนอวิธีอื่นทดแทน โส่วจัวหลางมีตาข่ายข่าวสารในนครหลวงเฉพาะตน ไม่แน่ว่าอาจมีข่าวที่จิ้งอันซือไม่มี

    จางเสี่ยวจิ้งเล่าเรื่องนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยและเรื่องเชว่เล่อฮั่วตัวรอบหนึ่ง ถามมันว่าได้ยินเรื่องใดมาหรือไม่ เมื่อผู้อาวุโสฟังจบก็ตกใจมาก “เราผู้เฒ่าวันนี้มิได้ออกพ้นประตู ไม่ทราบเรื่องภายนอก…เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยตรวจสอบสักครู่”

    มันถือเชิงเทียน ผันกายเดินไปในหมู่ชั้นหนังสือลึก

    จางเสี่ยวจิ้งวางหน้าไม้ลงบนโต๊ะ รอคอยอย่างหงุดหงิด กังวลเรื่องจิ้งอันซือถูกจู่โจมถึงขีดสุด กำปั้นเมื่อสักครู่หากจะเอ่ยว่าเป็นการขู่ขวัญหั่วซือ มิสู้บอกว่าเป็นการระบายความคับข้องใจจะถูกต้องกว่า

    จังหวะนี้เองถานฉียุดชายแขนเสื้อจางเสี่ยวจิ้ง “เฒ่าผู้นี้บนตัวมีกลิ่นซูเหอเซียง แต่ไม่มีกลิ่นการบูร” จางเสี่ยวจิ้งร้องอือ ไม่มีท่าทีใด ถานฉีร้อนใจเล็กน้อย บุรุษไฉนประสาทช้ากันเช่นนี้ “มันบอกว่าวันนี้ทั้งวันอยู่แต่ในร้านหนังสือ แล้วเหตุใดแม้แต่กลิ่นการบูรติดกายสักนิดก็ไม่มี กลับเป็นกลิ่นซูเหอเซียงของภายนอก”

    ม่านตาจางเสี่ยวจิ้งหดลง มันผลักโต๊ะพ้นตัวดังโครม ทะยานเข้าไปด้านในของชั้นหนังสืออย่างกราดเกรี้ยว เชิงเทียนนั้นแขวนกับตะขอทองแดงข้างชั้นไม้ไผ่ ด้านข้างว่างเปล่าไร้คน

    ไม่ พูดให้ถูกต้องคือยังมีหนึ่งคน บุรุษร่างอ้วนหนวดเคราสั้นอายุราวห้าสิบกว่าปีผู้หนึ่ง คลุมร่างด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอก นอนอยู่ระหว่างชั้นหนังสือ คอหอยถูกกรีดจนเปิดอ้าเหมือนปากเรียวบาง ดวงตากลมโตเหลือกลาน

    จางเสี่ยวจิ้งเข้าใจในพริบตา นี่ต่างหากเล่าที่เป็นหั่วซือตัวจริง ชายชราผู้นั้นเกรงว่าจะเป็นคนที่กองกำลังลึกลับส่งมาฆ่าปิดปาก พวกมันจ้างโส่วจัวหลางไปสังหารคน ผู้เป็นนายหน้าคือหั่วซือนี้เอง เมื่อสังหารทิ้ง เบาะแสย่อมขาดสะบั้น

    ผู้ใดจะทราบได้ว่าเพิ่งลงมือ จางเสี่ยวจิ้งก็มาตบประตู มือสังหารทั่วไปเมื่อลงมือลอบสังหารแล้วก็จะจากไป ไม่แยแสว่าภายนอกมีคนเคาะเรียก แต่เจ้าผู้นี้เฉลียวฉลาด ใจกล้าเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ในเวลากระชั้นถึงกับคิดปลอมตัวสวมรอยเป็นหั่วซือเสียเอง ลวงเอาข่าวคืบหน้าของจิ้งอันซือ

    เมื่อครู่แม้แต่นักเลงยุทธจักรเยี่ยงจางเสี่ยวจิ้งก็ยังถูกหลอกได้ หากมิใช่ถานฉีเอะใจเรื่องกลิ่นหอม เกรงว่าทั้งคู่คงยังหลงงมงายอยู่ในที่นี้

    จางเสี่ยวจิ้งเพิ่งคิดได้ ยังมิทันหันร่างออกไปเตือน ทันใดนั้นเสียงบุรุษแผดร้องโหยหวนดังมาจากในร้านหนังสือ ตามด้วยชั้นหนังสือข้างกายล้มครืนเรียงกันต่อเนื่องราวกับไพ่ไผจิ่วที่ชนกระแทกกัน กดทับจางตาเดียวกับศพหั่วซือไว้ด้านล่าง จางเสี่ยวจิ้งตะโกนสั่งถานฉีให้ออกจากร้านหนังสือ ป้องกันมิให้มือสังหารผู้นั้นจู่โจมซ้ำ สองแขนมันผลักชั้นหนังสือตั้งขึ้นดังเดิม

    เคราะห์ดีที่เป็นชั้นไม้ไผ่ บนชั้นวางแต่ม้วนหนังสือ ไม่จัดว่าหนักมาก แต่เมื่อถูกทับเช่นนี้บาดแผลที่คอของหั่วซือก็พ่นเลือดออกมาอีก อาบย้อมเสื้อตัวสั้นของจางเสี่ยวจิ้ง

    จางเสี่ยวจิ้งลุกขึ้นยืน โจนเข้าไปจนสุดในร้าน พบว่าหน้าต่างหลังบ้านเปิดออก มันชะโงกหน้าออกไป เห็นบนหลังคาไกลออกไปมีเงาดำหนึ่งทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว ท่าร่างคล่องแคล่วแข็งแรง มิใช่ชายชราเป็นอันขาด

    ขณะที่จางเสี่ยวจิ้งกำลังจะไล่ตามนั้นเอง พลันได้ยินเสียงร้องแหลม ครั้งนี้ดังมาจากด้านนอกประตูหน้าของร้านหนังสือ เป็นถานฉี!

    จางเสี่ยวจิ้งได้แต่ต้องยอมละทิ้งทางนี้ชั่วคราว กลับหลังหันวิ่งไปทางด้านนอกประตูอย่างว่องไว ทันทีที่ออกพ้นประตู ภายนอกสว่างด้วยโคมไฟราวเจ็ดแปดดวง ช่างตีเหล็กสิบกว่าคนกับชายที่มีท่าทางคล้ายคนขับรถม้ากำลังล้อมถานฉีด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร พวกมันเห็นจางเสี่ยวจิ้งวิ่งออกมาก็ชูค้อนตีเหล็กกับพลองเหล็ก

    “หั่วซือเล่า!” คนที่ท่าทางคล้ายหัวหน้ากลุ่มตะคอกเสียงเดือดดาล

    คนเหล่านี้ก็เป็นโส่วจัวหลาง ทำหน้าที่คุ้มครองหั่วเตี่ยน ยามปกติเร้นกายอยู่ในร้านรถม้ากับร้านช่างเหล็กที่ขนาบสองข้างของร้านหนังสือ ไม่ปรากฏตัวโดยง่าย เมื่อครู่ได้ยินเสียงร้องอนาถ พวกมันจึงรู้ว่าเกิดเรื่อง

    จางเสี่ยวจิ้งสีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน ที่แท้เสียงโหยหวนนั่นมิใช่เสียงร้องจริงๆ แต่ชายชราจงใจเลียนเสียงหั่วซือเพื่อให้ผู้คุ้มครองเหล่านี้ได้ยิน เฒ่าร้ายกาจผู้นั้นใคร่ครวญลึกล้ำถึงขั้นน่าประหวั่น ประมือเพียงครั้งเดียวสั้นๆ ถึงกับใช้แผนลวงหลายแผน

    บัดนี้ถูกพวกผู้คุ้มครองล้อมอยู่ จางเสี่ยวจิ้งไม่อาจตามไล่ล่า พวกมันสองสามคนผลักจางเสี่ยวจิ้งออกแล้วกระโจนเข้าห้อง ในไม่ช้าก็กลับออกมาพร้อมด้วยรังสีอำมหิตพลุ่งพล่าน

    พวกมันเมื่อครู่ได้ยินเสียงต่อยผนังหนักหน่วง ย่อมต้องเป็นอาคันตุกะนี้มีปากเสียงกับหั่วซือ ไม่นานก็ตามด้วยเสียงร้องน่าอนาถของหั่วซือ แล้วคนผู้นี้ที่ร่างโชกเลือดก็วิ่งออกมา บัดนี้พบศพของหั่วซือในห้อง มิหนำซ้ำยังพบหน้าไม้ของมันอยู่ข้างโต๊ะที่ล้มระเนระนาดอีก

    ชัดเจนจนมิอาจชัดเจนยิ่งไปกว่านี้

    “โส่วจัวหลาง โส่วจัวหลาง บุญคุณต้องตอบแทน หนี้ต้องสะสาง” คนที่ท่าทางคล้ายหัวหน้ากลุ่มท่องคติพจน์พลางเงื้อค้อนตีเหล็ก ที่นี่มีคนสิบกว่าคน อีกทั้งยืนปิดตรอกแคบ จางเสี่ยวจิ้งต่อให้มีสามเศียรหกกรก็มิใช่คู่ต่อสู้

    ถานฉีร้องโวยวายด้วยโทสะ “หั่วซือมิใช่พวกเราสังหาร”

    เหล่าผู้คุ้มครองแค่นยิ้มเย็นชา มิเชื่อคำโต้แย้งไร้น้ำหนักนี้แม้แต่น้อย จางเสี่ยวจิ้งชูป้ายเอวทองแดง ตะคอกว่า “ข้าเป็นแม่ทัพประจำจิ้งอันซือ จางเสี่ยวจิ้ง เป็นหลิวสือชีพาข้ามาสอบถามหั่วซือ ข้ามิได้ลงมือแต่อย่างใด ฆาตกรเป็นผู้อื่น”

    หัวหน้าขมวดคิ้ว หากเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนักย่อมรับมือด้วยไม่ง่าย มันส่งสัญญาณให้บริวารหยุดชั่วคราว “หลิวสือชีที่เจ้าว่าเล่า มันอยู่ที่ใด”

    “อีกไม่ช้าก็จะมาถึง”

    หัวหน้ากล่าวว่า “ดี เช่นนั้นรอมันมา ค่อยพิพากษาความเป็นความตายของเจ้า” มันโยนค้อนเหล็กในมือขึ้นลง เส้นเอ็นปูดโปนออกจากกล้ามเนื้อ รังสีอำมหิตในดวงตาไม่ลดลงแม้สักนิด

    ห่างออกไป เงาดำหนึ่งกระโดดทะยานร่างไม่กี่ครั้งก็ออกพ้นผิงคังฟาง

     

    เมื่อได้ยินประกาศของจี๋เวิน เหยาหรู่เหนิงยืนตะลึงอยู่กับที่ กลายเป็นรูปปั้นศิลา

    ลักพาตัวหวังอวิ้นซิ่ว? สมคบศัตรูภายนอกโจมตีจิ้งอันซือ?

    เอาโทษสองโทษนี้ครอบหัวจางเสี่ยวจิ้ง เหยาหรู่เหนิงคิดว่าเหลวไหลสิ้นดี ทว่าในสายตาของผู้บัญชาการจิ้งอันซือคนใหม่เห็นว่านี่คือข้อคาดเดาอันสมเหตุผลที่สุด

    ตามทัศนะของคนทั่วไป นักโทษคือปีศาจยักษ์มารซึ่งมิควรไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด ดังเช่นที่จี๋เวินกล่าวเมื่อครู่ นักโทษประหารผู้สังหารผู้บังคับบัญชา อาศัยอันใดรับรองว่าจะไม่กระทำซ้ำสอง มิเพียงแค่จี๋เวิน แรกเริ่มเมื่อหลี่ปี้เลือกใช้งานจางเสี่ยวจิ้ง เหยาหรู่เหนิงเองก็เคยมีอคติเช่นเดียวกัน เห็นว่าคนผู้นี้ต้องมีแผนอื่นในใจ

    อย่างไรก็ตามครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งก่อนชุยชี่กระทำโดยพลการ บังคับคุมตัวจางเสี่ยวจิ้ง หาได้ระบุโทษใดๆ ดังนั้นในหนังสือแจ้งจากกองทหารม้าราชองครักษ์ขวา แม้แต่ชื่อก็มิได้ระบุ ทว่าประกาศจับจางเสี่ยวจิ้งครั้งนี้ลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันจะไร้ที่ยืนในนครหลวง

    ไม่ได้! ข้าต้องรีบชี้แจงกับผู้บัญชาการจี๋ให้กระจ่าง!

    เหยาหรู่เหนิงผลักสหายที่อยู่ด้านข้างออก วิ่งไปหน้าวัดฉือเปย จี๋เวินกำลังสั่งงานแก่หัวหน้าฝ่ายงานหลายคนที่รอดชีวิต เหยาหรู่เหนิงมิคำนึงถึงมารยาทแข็งขืนสอดแทรก “จี๋ฟู่ตวน ท่านผิดแล้ว!”

    “อ้อ?”

    “ผู้…ผู้บัญชาการจี๋…” เหยาหรู่เหนิงเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างมิใคร่พร้อมใจ

    “ว่ามา” จี๋เวินอนุญาตให้มันกล่าว

    “ผู้น้อยคือมือปราบเหยาหรู่เหนิงแห่งจิ้งอันซือ ติดตามแม่ทัพจางสืบคดีมาตลอด มันสืบหาตัวคุณหนูสกุลหวัง หยุดยั้งนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ย เป็นความชอบที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน จะสมคบศัตรูได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องเข้าใจผิดแล้ว!”

    จี๋เวินลูบเครา ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเปรยว่า “คุณชายเหยา ข้าก็มีเรื่องสงสัย ทว่าผู้บัญชาการหลี่เคยว่าไว้ นักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยเป็นเพียงหมากล่อ เบื้องหลังยังมีผู้บงการ จางเสี่ยวจิ้งกำจัดนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ย เกรงว่าเป็นการใช้กลยุทธ์พรางตาของพวกมัน”

    จี๋เวินผลักชื่อหลี่ปี้บังหน้า ยามเฉพาะหน้าเหยาหรู่เหนิงมิอาจโต้แย้งกะทันหัน ทันใดนั้นจี๋เวินตบมือเป็นทีนึกขึ้นได้ “ข้าเพิ่งรู้ว่าแม่นางที่พบตัวในชางหมิงฟางชื่อเหวินหรั่น เป็นท่านพบใช่หรือไม่”

    “ถูกต้อง”

    “แต่ข้าได้ยินว่าจางเสี่ยวจิ้งเจตนาหลอกใช้จิ้งอันซือ ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าพบเบาะแสของหวังอวิ้นซิ่ว จนกระทั่งผู้บัญชาการหลี่ใช้กำลังคนจำนวนมากออกช่วยเหลือ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าคนที่ช่วยออกมาคือชู้รักของจางเสี่ยวจิ้ง”

    วาจานี้ร้ายกาจเหลือแสน เร้นซ่อนการคาดเดาชั่วร้ายอันตรายที่สุด ทว่าเนื้อหาโดยรวมก็เป็นความจริง หลี่ปี้ไม่พอใจเรื่องนี้ เหยาหรู่เหนิงเองก็รู้ดี แต่…เรื่องนี้กับเรื่องจางเสี่ยวจิ้งเป็นไส้ศึกมิได้สัมพันธ์กันเลย

    เวลานี้เอง ขุนนางผู้อ่านคำสั่งราชสำนักเมื่อครู่ที่อยู่ด้านข้างก็สอดคำ “จางเสี่ยวจิ้งยามอยู่อำเภอวั่นเหนียนมีฉายาว่าห้าพญายม ดุร้าย โฉดชั่ว อำมหิต หัวรั้น ไร้น้ำใจ ชนทมิฬเยี่ยงนี้มิใช่ทุกคนจะสามารถควบคุมได้”

    วาจานี้หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับหัวข้อสนทนา ทว่าคนส่วนใหญ่ฟังแล้วกลับกลายเป็นคำพิพากษาตัดสินจางเสี่ยวจิ้ง ซ้ำยังลากหลี่ปี้เข้าไปรวมด้วย

    เหยาหรู่เหนิงกำหมัดแน่น คิดโต้แย้ง แต่จู่ๆ มันพลันได้คิด

    จี๋เวินรับบัญชามาจากสำนักราชเลขาธิการ เป็นคนของอัครเสนาบดีหลี่หลินฝู่ เชื่อว่ามันย่อมตั้งใจจะพิสูจน์ว่าหลี่ปี้ทำผิดพลาด รัชทายาททำผิดพลาด ดังนั้นไม่ว่าจะโต้แย้งอย่างไร จางเสี่ยวจิ้งก็ยังคงต้องเป็นไส้ศึก เหยาหรู่เหนิงมองจี๋เวินอีกครั้ง ในที่สุดจึงเห็นความเจ้าเล่ห์หลายส่วนบนใบหน้าวิญญูชนผู้อารี

    ในใจเหยาหรู่เหนิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นกับความสิ้นหวัง ฉางอันกำลังแขวนอยู่เหนือกระทะน้ำมันเดือดพล่าน คนเหล่านี้กลับเฝ้าแต่คิดหาวิธีกำจัดบุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถดับไฟได้! มารดามันเถอะ นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!

    หากเป็นก่อนหน้าเหยาหรู่เหนิงเลือดขึ้นหน้าก็คงออกปากโต้เถียง ไม่คำนึงถึงอื่นใดเสียแต่แรกแล้ว อย่างมากก็เพียงลาออก ทว่าไม่กี่ชั่วยามมานี้มันประสบพบพานความโสมมใต้เสื้อผ้าอาภรณ์งดงามมามากมายเหลือเกิน รู้ว่าลำพังเพียงอาศัยเหตุผลกับความกล้าหาญ เลือดระอุร้อน มิอาจกระทำการในฉางอันสำเร็จ

    มันต้องรักษาตัวที่ยังมีประโยชน์เอาไว้ เช่นนี้จึงจะสามารถช่วยเหลือแม่ทัพจางได้

    จี๋เวินเห็นเหยาหรู่เหนิงไม่มีอันใดจะพูดอีกจึงหันไปกล่าวกับหัวหน้าฝ่ายงานหลายคนนั้นต่ออีกว่า “บัดนี้ผู้บัญชาการหลี่ร่องรอยไม่ปรากฏ เบาะแสเดียวก็อยู่ที่ตัวจางเสี่ยวจิ้ง ข้าได้ส่งคนสี่สิบกว่าคนตระเวนส่งประกาศจับให้แต่ละฟางทั่วเมืองแล้ว พวกเจ้าต้องรีบซ่อมแซมหอสังเกตการณ์ใหญ่ให้คืนสู่สภาพเดิม สามารถใช้ควบคุมตรวจตรานครหลวงดังเดิม นี่คือภารกิจสำคัญชิ้นแรก”

    หัวหน้างานหลายคนล้วนปรากฏสีหน้ายุ่งยากใจ หนึ่งในนั้นเอ่ยว่า “ระบบหอสังเกตการณ์เป็นผู้บัญชาการหลี่สร้างด้วยตนเอง ซับซ้อนยิ่งนัก พวกข้าอยู่ฝ่ายข้อมูลม้วนหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องนี้…เป็นเพียงฝ่ายใช้งาน”

    จี๋เวินไม่ใคร่จะพอใจ “หรือว่าผู้ที่เข้าใจเรื่องหอสังเกตการณ์แม้แต่คนเดียวก็ไม่เหลือ? ล้วนตายหมดสิ้นหรือ”

    หัวหน้าเหล่านั้นต่างขลาดเขลามิกล้ากล่าวอันใด เหยาหรู่เหนิงที่ด้านข้างพลันยกมือบอกว่า “ผู้น้อยพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”

    “อ้อ?”

    “ก่อนหน้านี้หน้าที่ของผู้น้อยคือรับผิดชอบเรื่องรหัสธงของหอสังเกตการณ์ แปลรหัสโคม”

    เหยาหรู่เหนิงมิได้พูดเท็จ พวกหัวหน้าเองก็พากันรับรอง จี๋เวินจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องนี้ก็จะมอบหมายให้กระทำ ภายในหนึ่งชั่วยาม หอสังเกตการณ์ต้องกลับสู่สภาพใช้การได้”

    เหยาหรู่เหนิงนึกกระหยิ่มใจ ขอเพียงควบคุมหอสังเกตการณ์ใหญ่ได้ ย่อมมีโอกาสช่วยแม่ทัพจางด้วยเหตุนี้มันมิอาจไม่ฝืนใจตนเอง ลวงล่อผู้บัญชาการใหม่จิตใจจอมปลอมผู้นี้ นี่เป็นเรื่องที่ก่อนหน้านี้มันชิงชังที่สุด

    บัดนี้มันเข้าใจถ่องแท้แล้ว ที่จางเสี่ยวจิ้งเคยกล่าวว่า ‘เรื่องผิดใดที่สมควรกระทำ’ นั้นหมายความว่าอย่างไร

    มือข้างหนึ่งตบบ่าเหยาหรู่เหนิง มันหันไปมอง ที่แท้เป็นขุนนางผู้อ่านคำสั่ง

    “ข้านามหยวนไจ่ ชื่อรองกงฝู่ เป็นผู้ช่วยตุลาการศาลต้าหลี่ ขณะนี้เป็นผู้ช่วยของผู้ตรวจการจี๋” หยวนไจ่แนะนำตัวพลางยิ้มตาหยี แกว่งสมุดในมือ “เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อเหยาหรู่เหนิงใช่หรือไม่ ข้าพอดีมีเรื่องต้องการสอบถาม”

    “ผู้ช่วยหยวนเชิญกล่าว”

    “เมื่อสักครู่ข้าตรวจสอบดูบันทึกแล้ว มีสตรีนางหนึ่งนามเหวินหรั่น ถูกเจ้านำตัวไปขังคุก สถานที่คุมตัวอยู่ละแวกนี้ใช่หรือไม่”

    “อา ใช่…” เหยาหรู่เหนิงพอหลุดปากก็สำนึกเสียใจ สายตาที่หยวนไจ่มองคนแปรเปลี่ยนไปมา ยากระวังป้องกัน ยามมิทันระวังก็ถูกมันมองทะลุ

    หยวนไจ่ประกายตาเจิดจ้า “หญิงผู้นี้เกี่ยวพันลึกซึ้งกับจางเสี่ยวจิ้ง คิดจับจางเสี่ยวจิ้งได้แต่ต้องอาศัยนาง คุมตัวนางไว้ที่ใด”

    “ข้าจะไปพานางมาเดี๋ยวนี้” เหยาหรู่เหนิงเลี่ยงคำถามหยวนไจ่ กำลังจะเดินออกไป นึกไม่ถึงว่าหยวนไจ่พลันกลอกตาเอ่ยห้ามมันไว้

    “เจ้าต้องไปซ่อมแซมหอสังเกตการณ์ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อย บอกที่อยู่ให้ข้ารู้ก็พอ”

    มันบีบคั้นคนยิ่งนัก ไม่ปล่อยให้เหยาหรู่เหนิงมีเวลาคิดแม้แต่น้อย เหยาหรู่เหนิงคิดหาวิธีปลีกตัวหนีจากมันไม่ได้…แต่มิอาจยอมให้นางตกอยู่ในมือคนผู้นี้เป็นอันขาด หาไม่แล้วแม่ทัพจางย่อมจบสิ้น

    กิริยาอาการของหยวนไจ่ยังคงยิ้มแย้ม ทว่าน้ำเสียงกลับอดรนทนไม่ได้แล้ว “รีบบอก หรือเจ้ามีใจคิดปกป้องนาง?”

    เหยาหรู่เหนิงรู้ว่าหากทำให้หยวนไจ่ระแวง จี๋เวินย่อมไม่ปล่อยตนไปซ่อมหอสังเกตการณ์ใหญ่แน่นอน และนั่นก็จะช่วยจางเสี่ยวจิ้งไม่ได้

    บัดนี้ตนจำเป็นต้องเลือกระหว่างจางเสี่ยวจิ้งกับเหวินหรั่น

    เหยาหรู่เหนิงกัดฟัน ยินยอมให้ตนเองไร้ทางเลือก

     

    รถม้าคันหนึ่งพลิกตะแคงอยู่บนถนน เสียหายไปกว่าครึ่ง

    รถชนกับโครงโคมไฟใหญ่มหึมาโครงหนึ่งจนพลิกคว่ำ เดิมทีที่จักรโคมมีนางขับร้องเยาว์วัยจำนวนมากร่ายรำขับขานบทเพลงต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ รถคันนี้เสียการควบคุมกะทันหันพุ่งเข้าชนปะทะ กวาดเอาดรุณีที่น่าเวทนาเหล่านี้ไปด้วยเป็นแถบ เสียงสตรีร้องครวญครางดังระงมไปทั่ว มงกุฎบุปผาเสื้อคลุมร่วงตกกระจัดกระจายทั่วพื้น สถานที่นี้สับสนอลหม่านทันที

    ชาวบ้านร้านถิ่นผู้ชมโคมไฟมุงดูอย่างเห็นอกเห็นใจ เข้าใจผิดว่าสารถีฉวยโอกาสงานโคมไฟ ดื่มสุรามากจนเมามายทำให้เกิดอุบัติเหตุ

    ทหารนายหนึ่งคลานอย่างทุลักทุเลออกมา ลากมือสังหารหลิวสือชีตามออกมาด้วย แต่ฝ่ายหลังกลับหมดลม สิ้นใจตายเสียแล้ว บนคอปรากฏเส้นสีแดงเส้นหนึ่ง

    เมื่อสักครู่รถเทียมโคแล่นผ่านสี่แยกเซวียนหยางฉางซิง ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งทะยานข้ามหลังคารถ ลงมือรวดเร็วมาก สังหารสารถีก่อน ทำให้รถม้าพลิกตะแคง จากนั้นอาศัยจังหวะสับสนวุ่นวายพุ่งเข้าไปในรถม้า วิชาดาบของคนผู้นี้น่าอัศจรรย์ พลันที่เข้าไปภายในรถม้า มีดสั้นปาดคอหลิวสือชีอย่างแม่นยำ ทหารกระทั่งโอกาสชักดาบยังไม่มี เงาดำก็ถอยออกไปแล้ว กระโดดลงจากรถอย่างว่องไว ก่อนจะปีนขึ้นไปตามโครงโคมกระโดดข้ามกำแพงฟางหายลับไป

    แต่ว่าที่ข้าเห็นคือเงาดำสองเงา หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง…นี่คือสำนึกสุดท้ายของทหารก่อนหมดสติ

     

    หยวนไจ่เดินมุ่งหน้าไปร้านยาสมุนไพรเซิงสูข้างวัดฉือเปย มันเบิกบานใจอย่างยิ่ง แม้แต่ฝีเท้าก็พลอยเปลี่ยนเป็นเหยาะย่างอย่างสบายอารมณ์

    ไม่มีเหตุผลที่มันจะไม่เบิกบาน เรื่องราวทั้งหมดล้วนดำเนินไปในทิศทางดีงาม ตามที่มันพึงพอใจเป็นที่สุด ไม่สิ เทียบกับที่มันคาดหวังยังน่าพอใจยิ่งกว่า

    แรกสุดมันเพียงถูกขอให้ออกหนังสือนำตัวหนึ่งฉบับเท่านั้น หลังจากพบว่าเฟิงต้าหลุนลักพาตัวหวังอวิ้นซิ่วเพราะเข้าใจผิด มันก็เป็นฝ่ายเสนอวิธีหนึ่งศิลาสองวิหค จากนั้นมันตรงไปสำนักตรวจการ พอดีจี๋เวินเข้าเวร มันสนิทสนมกับคนผู้นี้ หยวนไจ่เพิ่งโอภาปราศรัยจบ ยังมิทันได้กล่าวอันใด จี๋เวินก็ได้รับจดหมายลับจากเสนาบดีหลี่ สั่งให้มันรีบไปแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการจิ้งอันซือ

    จี๋เวินไร้ความมั่นใจต่อเรื่องนี้จึงปรึกษากับหยวนไจ่ เมื่อหยวนไจ่ได้ยิน สมองที่มิคำนึงถึงฐานะตนเองก็เริ่มทำงานทันที ค้นพบโอกาสอันเลิศล้ำอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงแผนของตนเองเป็นครั้งที่สอง

    จากนี้ไปมันใช้ฐานะ ‘ผู้ช่วย’ ติดตามจี๋เวินมาถึงหน้าวัดฉือเปย ประกาศว่าจางเสี่ยวจิ้งคือผู้บงการบุกจู่โจมจิ้งอันซือ รวมทั้งลักพาตัวหวังอวิ้นซิ่ว

    นี่เป็นการตัดสินใจที่ง่ายดายกระไรปานนั้น ทั้งยังเป็นการจัดแจงอย่างเลิศล้ำยิ่ง หย่งอ๋องจะต้องขอบคุณมัน เพราะว่าจางเสี่ยวจิ้งจะถูกไล่ล่าทั่วเมืองจนตาย เฟิงต้าหลุนจะต้องขอบคุณมัน เพราะมีคนยอมแบกหม้อก้นดำเรื่องลักพาตัวหวังอวิ้นซิ่วแทน หวังจงซื่อกับหวังอวิ้นซิ่วก็จะต้องสำนึกขอบคุณมัน เพราะมันทุ่มกำลัง ‘ช่วย’ นางออกมา จี๋เวินและหลี่หลินฝู่ที่อยู่เบื้องหลังก็จะต้องมองมันใหม่ เพราะมันช่วยจี๋เวินครอบครองจิ้งอันซืออย่างรวดเร็ว อีกทั้งตบหน้ารัชทายาทอย่างหนักหน่วง

    แรกสุดเป็นเพียงการค้าหนังสือราชการรายเล็กเท่านั้น ด้วยเวลาไม่นานบัดนี้ถูกหยวนไจ่กระทำจนกลายเป็นกระดานหมากยักษ์อันแยบยล มอบน้ำใจให้ผู้คนมากมายปานนี้ หากมิใช่เป็นเรื่องลับมิอาจบอกต่อภายนอกแล้ว หยวนไจ่ให้นึกอยากเขียนบันทึกสักบทหนึ่ง บันทึกวีรกรรมไม่ธรรมดาของตนไว้เป็นที่ระลึก

    เมื่อครู่นี้หยวนไจ่ตรวจสอบรายงาน พบร่องรอยของเหวินหรั่นพลันนึกขึ้นได้ เฟิงต้าหลุนเคยบอกว่าหย่งอ๋องคล้ายถูกใจเหวินหรั่น หากส่งตัวนางให้หย่งอ๋อง ย่อมเป็นน้ำใจใหญ่อีกรายหนึ่ง!

    ดังนั้นหยวนไจ่ชั่งน้ำหนักไปมา ในที่สุดก็ตัดสินใจไปจับตัวเหวินหรั่นด้วยตนเองเพื่อจะได้เป็นที่ระลึกถึงห้วงเวลาอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ ทว่ามันมิได้ชะล่าใจ เมื่อเข้าใกล้หน้าร้านได้สั่งปู้เหลียงเหรินที่ข้างกายปิดล้อมบริเวณเสียก่อน หยวนไจ่กระทำเรื่องราวใดก็ตามล้วนศรัทธาการกระทำอันรอบคอบ น้ำสักหยดก็ไม่รั่ว รูรั่วเล็กปานใดก็ต้องระวังป้องกัน

    แม้แต่ด้านเหยาหรู่เหนิง หยวนไจ่ก็ยังลอบวางหูตาเอาไว้ผู้หนึ่ง ขอเพียงพบเห็นเหยาหรู่เหนิงส่งสารหรือกระซิบกระซาบคนใกล้ตัวก็ให้รีบมาแจ้งหยวนไจ่ทันที ไม่มีทางผิดพลาดแม้แต่น้อย!

    ทุกสิ่งอย่างล้วนจัดแจงพร้อมสรรพ หยวนไจ่จึงเดินช้าๆ ไปถึงหน้าประตูร้านยา มันมองตะพาบในไหที่น่าเวทนาเหล่านี้ ยกมือขวาขึ้น กำลังจะสะบัดลงล่าง ใช้สัญญาณมืออันเฉียบขาดดำเนินขั้นตอนสุดท้ายของสุดยอดผลงานให้เสร็จสิ้นบริบูรณ์

    ทว่าแขนของมันขณะกำลังวาดมือกลับค้างกลางอากาศ

    เสียงโครมคราม ม้าหนึ่งตัวพุ่งทลายประตูร้านออกมา โจนทะยานอย่างรุนแรง ปู้เหลียงเหรินรอบๆ ถูกชนกระเด็นหลายนายในพริบตา คนอื่นๆ มิกล้าเข้าใกล้ได้แต่ล้อมวงร้องตวาด ม้าเหยาะวนไปมาที่หน้าร้านหลายรอบ ทว่ามิได้รีบวิ่งหนีทันที ปู้เหลียงเหรินยามนี้จึงเห็นชัดว่าที่หมอบบนหลังม้าคือหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษ

    หยวนไจ่หาได้แตกตื่นกับเหตุแปรเปลี่ยน ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมตวาดเสียงดังว่า “รักษาตำแหน่ง!”

    มันดูออกแล้ว ม้าตัวนี้น่าตกใจเพียงชั่วเวลาที่พุ่งออกมาเท่านั้น ผู้ขี่เองยังไม่รู้ว่าควรไปทางใด ขอเพียงล้อมพวกมันไว้ให้ดี ทั้งสองย่อมไม่มีโอกาสหลบหนีได้ ปู้เหลียงเหรินทั้งหลายเองก็พลันมีท่าทีตอบสนอง ชักบรรทัดเหล็กออกมาทั่วถ้วน ค่อยๆ ประชิดเข้าใกล้จากทั้งสามทาง เช่นนี้แล้วมิว่าม้าตัวนั้นดุร้ายปานใดก็ย่อมมีหน่วยหนึ่งจู่โจมด้านข้างอันเป็นจุดเปราะบางที่สุด

    ผู้ขี่ม้าเองก็รับรู้ถึงสถานการณ์คับขัน มันมองไปรอบด้าน พลันกระตุกสายบังเหียน ชักม้าไปทางที่ไร้ศัตรู

    หยวนไจ่ยิ้มอย่างเย็นชา มองดูอีกฝ่ายดิ้นรนปานสัตว์ร้ายติดจั่น

    ทางที่ม้าวิ่งไปเป็นช่องว่างหนึ่งเดียวของวงล้อม ตำแหน่งของมันพอดีเป็นประตูใหญ่ของจิ้งอันซือ เวลานี้ตำหนักใหญ่ยังคงตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิง ไร้วี่แววจะดับลง

    และเนื่องเพราะสาเหตุดังกล่าว หยวนไจ่จึงมิได้ปิดล้อม สถานที่แห่งนี้คนที่หลบหนีเข้าไปย่อมถูกไฟขวาง มีแต่ทางตายสถานเดียว

    ทันใดนั้นรอยยิ้มบนหน้าของหยวนไจ่กลับชะงัก

    ประตูใหญ่ของจิ้งอันซือแคบมาก ม้าหนึ่งตัวไม่อาจผ่านไปได้ ทว่าเพื่อสกัดไฟลาม พลดับเพลิงทลายกำแพงข้างเคียงออกเป็นแนวกันไฟสายหนึ่ง ม้าตัวนั้นกระโจนข้ามซากกำแพงขาดไปอย่างง่ายดาย หนึ่งอาชาสองคนไม่ช้าก็หายลับไปในกองเพลิงใหญ่

    พวกมันกำลังทำอะไร อับจนหนทางคิดฆ่าตัวตายเช่นนั้นหรือ

    ไม่ถูกต้อง!

    หยวนไจ่เค้นสมองเร็วรี่ ร้องสั่งปู้เหลียงเหริน “เร็วเข้า! ไปด้านนอกกำแพงฟางของศาลว่าการจิงจ้าวและอุทยานด้านหลัง!”

    หยวนไจ่เคยศึกษาแผนผังที่ตั้งของจิ้งอันซือ ตึกภายในเว้นระยะห่างกว้างมาก หากคนผู้หนึ่งตัดสินใจเสี่ยงภัยและมีความเร็วเพียงพอ สามารถฝืนทนฝ่าทะลวงระหว่างตำหนักใหญ่กับตำหนักปีกซ้ายขวาที่ลุกเป็นไฟ จะไปถึงสวนด้านหลังหรือประตูข้างของศาลว่าการจิงจ้าวได้

    ตราบจนขณะนี้หยวนไจ่ยังคงไม่ลนลาน หนีเข้าไปภายในจิ้งอันซือ? ยอดเยี่ยม แล้วต่อจากนั้นเล่า

    สวนด้านหลังกับศาลว่าการจิงจ้าว ทั้งสองที่นี้ล้วนล้อมรอบด้วยกำแพง ทหารม้าอาจขี่ม้ากระโจนข้ามได้ แต่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีถูกล้อมจับเช่นนี้จะหนีได้ไกลเพียงไร

    ปู้เหลียงเหรินเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านายก็กระจายกำลังออกหลายทาง หน่วยหนึ่งเข้าไปทางประตูข้างของที่ทำการศาลว่าการจิงจ้าว อีกหน่วยหนึ่งอ้อมไปนอกกำแพงสวนด้านหลัง แม้แต่คูน้ำร่องน้ำก็ควบคุมแน่นหนา ยังมีอีกหน่วยหนึ่งคลุมชุดกันไฟฝืนทะลวงเข้าในกองเพลิง

    ทั้งสองหน่วยรายงานกลับมาอย่างรวดเร็วว่าไม่พบความเคลื่อนไหวใด ผ่านไปครู่ใหญ่หน่วยที่สามก็บุกฝ่ากองเพลิงกลับมาอย่างทุลักทุเล พวกมันเห็นเพียงม้าตัวนั้นถูกทิ้งไว้ในสวน คนกลับไม่พบเห็นแม้แต่เงา

    หยวนไจ่เดือดดาล คนทั้งคู่จะหนีไปที่ใดได้ หรือว่าบินหนีขึ้นฟ้าไปเสียแล้ว?! มันกดฝ่ามือลง ให้ปู้เหลียงเหรินตรวจค้นให้ละเอียดอีกครา จะต้องหาตัวเหวินหรั่นให้พบ มิอาจมีรอยราคีทิ้งไว้บนราตรีอันเลิศล้ำนี้ ปู้เหลียงเหรินบอกอย่างลำบากใจว่าหากแข็งขืนฝืนฝ่าเข้าไปอีกเกรงจะถึงบาดเจ็บหรือตาย หยวนไจ่มองหน้ามัน “เจ้าไม่เข้าไป ตอนนี้ก็จะบาดเจ็บล้มตายทันที”

    ปู้เหลียงเหรินหน้าดำคร่ำเครียด ได้แต่รวบรวมกำลังพลอีกครั้ง เตรียมฝ่ากองไฟ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เองหยวนไจ่พลันร้องเรียก “ช้าก่อน”

    หยวนไจ่แหงนหน้า เห็นด้านหลังของตำหนักใหญ่ยังมีสิ่งปลูกสร้างสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ ทันใดนั้นพลันคิดออกถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง

    หอสังเกตการณ์ใหญ่!

    หอสังเกตการณ์ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในสวนด้านหลังตำหนักจิ้งอันซือ หากพวกมันทิ้งม้าคิดหนี เพียงไต่บันไดขึ้นไปยอดหอ หลบซ่อนอยู่ด้านบน รอให้สถานการณ์สงบค่อยลงมาแล้วหนีต่อ มิผิด เหยาหรู่เหนิงตัวบัดซบผู้นั้นมิใช่กำลังซ่อมหอสังเกตการณ์ใหญ่หรอกหรือ

    หยวนไจ่คิดได้ดังนี้สีหน้าพลันเย็นชา มือปราบอันต่ำต้อยของจิ้งอันซือกล้าตบตามันหรือ! มันตะโกนระดมพลปู้เหลียงเหริน นำกำลังไปด้วยตัวเอง คิดจับตะพาบในไห

    พวกเจ้าขึ้นไปได้ แต่คิดจะลงมาก็ยากแล้ว!

    เพื่อซ่อมแซมคืนสภาพหอสังเกตการณ์ใหญ่ พลดับเพลิงจึงเปิดทางเข้าที่ค่อนข้างปลอดภัยสายหนึ่ง ผู้ซ่อมไม่ต้องฝ่าผ่านสามตำหนักใหญ่ที่กำลังลุกเป็นไฟ ไปตามช่องที่ทุบกำแพงศาลว่าการจิงจ้าวฟากนี้ เข้าสู่คุกของจิ้งอันซือที่อยู่ติดกัน จากนั้นข้ามสวนเล็กหน้าคุกเข้าสู่สวนดอกไม้

    หยวนไจ่นำคนเข้าสู่สวนด้านหลังจากทางน้อยสายนี้ มันนำหน้า ใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนขึ้นบันไดไม้ ขึ้นถึงยอดในอึดใจเดียว

    ด้านยอดของหอสังเกตการณ์ใหญ่กว้างมาก เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวราวสิบสองจั้ง พื้นปูพรมหนาชั้นหนึ่ง สี่ด้านเป็นราวระเบียงล้อม เสาตรงกลางต่อหลังคาออกเพื่อกันแดดฝน

    บนยอดหอเวลานี้ศพของพลเฝ้าระวังแปดนายนอนทอดร่างกองอยู่ที่พื้น เครื่องมือส่งรหัสอย่างกลองหนังตะกวดยักษ์ ธงห้าสี โคมม่วงกองเรียงราย ยังมีหม้อข้าว ถุงหนังบรรจุน้ำ เตาอุ่น ผ้าคลุมและของใช้ในชีวิตประจำวันเกลื่อนกลาดไปทั่ว เหยาหรู่เหนิงกับเจ้าหน้าที่งานเบ็ดเตล็ดอีกสองนายนั่งยองอยู่ที่นั่น ไล่ตรวจทีละศพ นอกจากนี้แล้วปราศจากผู้อื่น

    เห็นหยวนไจ่ปีนขึ้นมาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ เหยาหรู่เหนิงก็ประหลาดใจมาก หยวนไจ่กวาดตามองรอบหนึ่ง พบว่าด้านบนไม่มีที่ซ่อนคนก็ตะคอกถามเหยาหรู่เหนิง “เอาเหวินหรั่นไปซ่อนที่ใด บุรุษผู้นั้นเป็นผู้ใด”

    เหยาหรู่เหนิงตอบอย่างผู้บริสุทธิ์ “ทันทีที่ผู้น้อยรับบัญชาก็รีบรุดมาซ่อมแซมหอสังเกตการณ์ใหญ่ นี่มิใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรอกหรือ ไหนเลยจะมีเวลาไปซุกซ่อนผู้คนอีก”

    หยวนไจ่ร่างโน้มไปด้านหน้า หน้าผากแทบจะโขกใส่ใบหน้าของเหยาหรู่เหนิง “หากมิใช่เจ้าลอบส่งข่าว พวกมันไหนเลยจะหลบหนีจากร้านยาได้ทัน” มันสะบัดหน้าไปอีกทางที่เจ้าหน้าที่งานเบ็ดเตล็ดยืนอยู่ “เจ้าว่ามา! เจ้าเห็นหรือไม่!”

    เจ้าหน้าที่ผู้นี้คือหูตาที่มันเตรียมเอาไว้นั่นเอง เห็นเจ้านายมีโทสะ ได้แต่ตอบอย่างหวาดหวั่น “เรียนท่านผู้ช่วย ผู้น้อยติดตามเหยาหรู่เหนิงระยะประชิด มัน…มัน…มันไม่ได้ส่งข่าวสารถึงผู้ใดจริงๆ ขอรับ”

    “เป็นไปไม่ได้! เพราะเจ้ามองไม่ออกต่างหาก เจ้าว่ามา มันสนทนาอันใดกับใคร กระทำสิ่งใด เล่าให้ข้าฟังทั้งหมด!” หยวนไจ่ถูนิ้วมืออย่างหงุดหงิด มิกล้าเชื่อว่าใต้หนังตาของตนแท้ๆ กลับปล่อยเหวินหรั่นหนีไปได้

    เจ้าหน้าที่งานเบ็ดเตล็ดความจำดีมาก เหยาหรู่เหนิงเริ่มแรกสนทนากับหัวหน้าที่ปรึกษาสองสามคน เนื้อหามิได้นอกเหนือจากเรื่องตระเตรียมวัสดุซ่อมแซมและกำลังคน ถอดโคมไฟใหญ่หลายดวงจากหน้าประตูวัดฉือเปยมาใช้ ต่อจากนั้นขอให้พลดับเพลิงเปิดทางปลอดภัยสายหนึ่ง นำวัสดุส่วนหนึ่งปีนขึ้นมาบนหอใหญ่ ประเมินสภาพความเสียหาย

    เหยาหรู่เหนิงพบปะผู้ใดบ้าง เจ้าหน้าที่จำรายละเอียดต่างๆ ได้ครบถ้วน ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีจุดน่าสงสัยใด หยวนไจ่ยังไม่วางใจ ซักถามว่าโคมไฟเหล่านั้นอยู่ที่ใด มันก็ชี้บอกว่าแขวนอยู่บนชายขอบยอดหลังคาของหอใหญ่ เป็นการแจ้งเตือนหอสังเกตการณ์รอบด้านว่าที่นี่ขัดข้อง กำลังซ่อมแซม

    หยวนไจ่ปีนขอบระเบียง ชะโงกออกไปลูบโคมทีละใบ เกือบร่วงตกลงไปหลายครั้ง ทว่าที่สร้างความผิดหวังคือบนโคมไฟนอกจากอักษรคำว่า ‘วั่น’ ก็ไม่พบเห็นอักษรอื่นใด หยวนไจ่ถอยกลับเข้ามา มองลงไป จิ้งอันซือเบื้องล่างมืดสนิท

    ครั้งนี้มันคิดไม่ออกจริงๆ แล้วว่าเหวินหรั่นกับบุรุษลึกลับผู้นั้นจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดได้

    “รีบซ่อมให้เสร็จโดยไว มิฉะนั้นจะลงโทษสถานหนัก!”

    หยวนไจ่สะบัดแขนเสื้อ ไต่ลงจากหอสังเกตการณ์ใหญ่อย่างเคืองแค้น มันยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายต้องกระทำ ไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่

    เห็นคนปีนลงไปไกลแล้ว เหยาหรู่เหนิงครานี้ค่อยปาดเหงื่อ ลอบร้องโชคช่วยอยู่ในใจ มันสั่งเจ้าหน้าที่เบ็ดเตล็ดสองคนนั้นให้พลิกศพตรวจสอบ จากนั้นหันหลังกลับมาหมุนโคมไฟดวงหนึ่งในบรรดานั้น

    กระดาษครอบโคมไฟดวงนี้แบ่งเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเป็นกระดาษบาง อีกครึ่งเป็นกระดาษหนา หากหมุนโคมไฟจะมีเพียงหนึ่งทิศทางที่สามารถเห็นแสงโคมวับแวม สว่างสลับมืด เหยาหรู่เหนิงหมุนโคมไฟตามกฎเกณฑ์ลำดับ ในไม่ช้าดงไม้มืดมิดแห่งหนึ่งใกล้หอสังเกตการณ์ใหญ่พลันวาบแสงเล็กมากจุดหนึ่ง แสงไฟกะพริบสองสามครั้ง คล้ายกำลังสื่อสารกับหอสังเกตการณ์ใหญ่ก่อนจะดับวูบ

    ในที่สุดเหยาหรู่เหนิงค่อยวางใจได้

    หลังจากที่ถูกหยวนไจ่เค้นซักถามเอาที่ตั้งของร้านยา มันก็รีบแจ้งจี๋เวินว่าขณะนี้ทั้งเมืองกำลังชมโคมไฟ ขนย้ายวัสดุซ่อมแซมจากภายนอกยากมาก มิสู้ใช้วัสดุรอบกายเช่นกลุ่มโคมไฟใหญ่ที่แขวนหน้าประตูวัดฉือเปย

    นี่สมเหตุสมผลยิ่งนัก ได้รับอนุมัติทันที จากนั้นเหยาหรู่เหนิงอ้างว่าจะตรวจสอบ ปีนขึ้นไปถึงโคมไฟดวงหนึ่งในหมู่โคมราวนั้นเอง

    มันรู้ว่าในร้านยาไกลออกไป เฉินเซินกำลังมองดูโคมไฟดวงนี้พลางเล่นเปลี่ยนอักษรรหัส เหยาหรู่เหนิงหมุนโคมส่งสัญญาณรหัสออกไป ภาวนาในใจ ขอให้เฉินเซินสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้และถอดรหัสได้ทันเวลา

    เวลากระชั้นบีบคั้น เหยาหรู่เหนิงทำได้เพียงแจ้งเฉินเซินให้รีบพาเหวินหรั่นหลบหนี ฝ่าเข้ากองไฟ ไปที่กำแพงข้างตำหนักปีกด้านขวาของจิ้งอันซือ

    ก่อนนี้หลี่ปี้จัดแจงให้ใช้กระท่อมหญ้าวัดฉือเปยที่อยู่ติดกันเป็นห้องประชุมชั่วคราว ใช้บันไดไม้สองอันพาดข้ามกำแพงเพื่อความสะดวก กระท่อมหญ้ามีเพียงหลี่ปี้ จางเสี่ยวจิ้ง เหยาหรู่เหนิง ถานฉีกับสวีปิน ห้าคนเท่านั้นที่รู้

    เฉินเซินมิเสียแรงที่เป็นกวี รับข่าวนี้ได้ชัดเจน มันชิงม้ามาได้หนึ่งตัว พาเหวินหรั่นบุกทะลวงกองเพลิง จากนั้นรีบปีนข้ามกำแพง ถอนบันไดออก หลบซ่อนในกระท่อมหญ้า แม้นหยวนไจ่เก่งกาจอีกสักปานใดก็คิดไม่ถึงว่าจิ้งอันซือจะยังมีรังลับอยู่ในวัดฉือเปย

    บัดนี้เหวินหรั่นปลอดภัยชั่วคราวแล้ว เหยาหรู่เหนิงในที่สุดก็สามารถรวบรวมสมาธิกลับมายังหอสังเกตการณ์ใหญ่

    หอใหญ่มีพลเฝ้าระวังประจำแปดนาย ส่งและรับทั้งสี่ด้าน ตอนนี้ทั้งแปดคนตายอยู่บนนี้ ล้วนถูกแทงหัวใจหนึ่งแผล เห็นได้ว่าขบวนการปลวกจู่โจมหอสังเกตการณ์ใหญ่ก่อน ทำให้จิ้งอันซือตาบอดเสียก่อนแล้วค่อยดำเนินแผนขั้นต่อไป

    ไม่มีร่องรอยต่อสู้ เหยาหรู่เหนิงไม่เชื่อว่าในโลกจะมีคนสามารถสังหารแปดคนพร้อมกันในที่คับแคบอย่างนี้โดยไร้สุ้มเสียง มันตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าหม้อข้าวใบนั้นคว่ำอยู่บนพื้น น้ำแกงเนื้อแพะในหม้อหกกระจายบนพื้น มันใช้ปลายนิ้วแตะวางใต้จมูก ทดลองดมแต่ดมอะไรไม่ออก มันเปิดถุงหนังบรรจุน้ำ น้ำสะอาดภายในหกหมดสิ้นไปแต่แรกแล้ว

    เหยาหรู่เหนิงคาดเดา เป็นไปได้หรือไม่ว่าในน้ำแกงเนื้อแพะหรือในน้ำจะถูกคนลอบแพร่พิษ หลังจากพลเฝ้าระวังถูกพิษ ทุกคนจึงมิอาจตอบโต้แม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ค่อยถูกผู้ร้ายลงมือสังหาร ที่แท้เกิดเรื่องอะไร เกรงว่ามีเพียงต้องรอเจ้าหน้าที่ชันสูตรมาผ่าท้องพิสูจน์

    หากการคาดเดานี้ถูกต้อง ผู้แพร่พิษจะต้องเป็นไส้ศึกที่พวกปลวกจัดวางไว้ในจิ้งอันซือแน่นอน ยิ่งกว่านั้นไส้ศึกผู้นี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ายังมีชีวิตอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เหยาหรู่เหนิงก็กังวลใจมาก

    สามารถจินตนาการได้ว่าขบวนการปลวกก็คือผู้อยู่เบื้องหลัง หลอกใช้นักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ย พวกมันโจมตีจิ้งอันซือ ย่อมต้องมีเป้าหมายใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน

    เหยาหรู่เหนิงสั่งการให้เจ้าหน้าที่เบ็ดเตล็ดเรียกระดมคนจำนวนหนึ่งมา แบกร่างผู้ตายเหล่านี้ลงไปด้านล่าง เจ้าหน้าที่ปากเออออรับคำ มือกลับลากขาของศพหนึ่งโยนลงไปจากหอสูง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงดังตุบสะท้อนมา เหยาหรู่เหนิงเดือดดาลยิ่ง ตบหน้ามันฉาดหนึ่ง “หัดเคารพผู้วายชนม์บ้าง! คนเหล่านี้ล้วนเป็นวีรชนที่พลีชีพเพื่อบ้านเมือง!”

    เจ้าหน้าที่เบ็ดเตล็ดได้แต่ถือว่าอีกฝ่ายแก้แค้นที่ถูกลอบจับตา กุมหน้าอย่างหวาดกลัว เหยาหรู่เหนิงไม่แยแสมันอีก ประเมินความเสียหายของหอสังเกตการณ์ใหญ่ต่อไป

    ธงสัญญาณ กลอง เขาเป่าสัญญาณ และโคม ข้าวของที่ใช้สื่อสารล้วนยังอยู่ ไม่เสียหาย ทว่าคิดหาพลเฝ้าระวังที่รู้รหัสธงแปดคนยากมาก ฝึกฝนคนกลุ่มนี้สิ้นเปลืองสูง ดังนั้นหอสังเกตการณ์ใหญ่จึงมีเพียงเจ้าหน้าที่สองชุดผลัดเวร บัดนี้แปดคนนั้นกระจายออกไปทั่วเมือง ในเวลากระชั้นมิอาจเรียกตัวมาทันท่วงที

    ทั่วเมืองโคมไฟสว่างไสว กล่าวได้ว่าเป็นวันที่สภาพแวดล้อมย่ำแย่มากในรอบปี หอสังเกตการณ์แจ้งข่าวลำบาก แม้ฟื้นฟูระบบได้ ทว่ามิอาจส่งข่าวสารที่ซับซ้อนเกินไป

    จุดที่ยุ่งยากยิ่งกว่าก็คือหอสังเกตการณ์อื่นๆ รอบหอใหญ่ล้วนไร้แสงโคม เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเหล่าทหารบนหออาจประสบเหตุการณ์เลวร้ายไม่ต่างกัน หรือพูดอีกอย่างว่าหอสังเกตการณ์ใหญ่ได้แต่ต้องละทิ้งหอโดยรอบ ข้ามไปส่งรหัสให้หอที่ไกลยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดความผิดพลาดสูง

    ต้องซ่อมหอใหญ่ให้คืนสภาพเดิมภายในหนึ่งชั่วยาม แทบเป็นไปไม่ได้

    เหยาหรู่เหนิงฟาดหมัดเข้ากับราวลูกกรง ทันใดนั้นรู้สึกทดท้อใจ จิ้งอันซือล่มสลาย ผู้บัญชาการหลี่หายสาบสูญ ขุนพลเพียงหนึ่งเดียวอย่างจางเสี่ยวจิ้งบัดนี้ถูกใส่ไคล้จนกลายเป็นคนทรยศ ทั้งหมดที่ตนกระทำล้วนไร้ประโยชน์ จะเพียรพยายามอีกเท่าใดก็มิอาจยับยั้งแผนร้ายเชว่เล่อฮั่วตัว

    เหยาหรู่เหนิงค่อยๆ อิงพิงเสาหลังคา เหม่อมองฟ้าราตรีมืดมิดด้านนอกอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังท้อแท้ ฉางอันในที่สุดก็เผยสัญชาตญาณสัตว์ร้ายให้เห็นแล้ว ค่อยๆ กลืนกินผู้คนที่ปฏิเสธจะเข้าพวกกับมัน

    แม้แต่ผู้บัญชาการหลี่กับแม่ทัพจางยังไร้แรงยับยั้ง นับประสาอะไรกับทหารใหม่เยี่ยงข้า สิ่งเดียวที่ข้าสามารถกระทำได้ก็คืออยู่ที่นี่ เป็นประจักษ์พยาน ดูการล่มสลายของมหานครแห่งนี้เถิด

    ทว่าหลังผ่านไปราวหลายชั่วดีดนิ้ว ทันใดนั้นเองมันกลับเบิกตาโพลงด้วยเห็นความเคลื่อนไหวพิสดารบางอย่าง เหยาหรู่เหนิงรวบรวมสมาธิทั้งหมด พิจารณาหมู่หอที่อยู่ไกลออกไปอย่างละเอียด สังเกตเห็นว่าระหว่างหอสังเกตการณ์เหล่านั้นกำลังสื่อสารกันอย่างเป็นระบบ โคมม่วงกำลังกะพริบประดุจส่งสารไปสถานที่ห่างไกลมาก

    หอย่อยสมควรยึดหอใหญ่เป็นศูนย์กลาง ไฉนจึงส่งข่าวสารถึงกันโดยตรงเช่นนี้ เหยาหรู่เหนิงเพ่งดูอย่างละเอียดอีกครา พวกมันมิเพียงส่งข่าวสารถึงกันโดยตรงเท่านั้น หากแต่เป็นทิศที่กำหนดแน่นอน มาตรว่าทิศทางนั้นเป็นที่ใดยังไม่ทราบ แต่เหยาหรู่เหนิงตัดสินได้ทันที ที่นั่นสมควรก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางใหม่

    เป็นแม่ทัพจาง!

    บุรุษหนุ่มพลันฮึกเหิม มันคิดออกแล้ว ผู้มีอำนาจสั่งการหอสังเกตการณ์ทั้งระบบ นอกจากหอใหญ่แล้วมีเพียงผู้ได้รับมอบอำนาจอย่างจางเสี่ยวจิ้ง

    ควรรู้ว่าการทำงานของระบบหอสังเกตการณ์เป็นเอกเทศจากที่ว่าการหน่วยงานอื่น ต่อให้จางเสี่ยวจิ้งถูกออกประกาศจับ ขอเพียงหอใหญ่ยังไม่ถอดถอนการมอบอำนาจ หอย่อยอื่นๆ ก็ยังคงฟังคำสั่งของมัน

    แม่ทัพจาง! มันยังมิได้ถอดใจ! มันยังไล่ล่า!

    เมืองฉางอันยังมิได้สูญเสียความหวังริบหรี่ดวงสุดท้ายนี้!

    ในอกเหยาหรู่เหนิงพลันประดังไปด้วยความปลาบปลื้มยากควบคุมตนเอง มันจับราวลูกกรง ทันใดนั้นรู้ตัวว่าตำแหน่งที่มั่นของตนสำคัญต่อแม่ทัพจาง…มิใช่สิ สำคัญอย่างยิ่งต่อฉางอันทั้งเมือง

    ขอเพียงตัวมันยังควบคุมหอสังเกตการณ์ใหญ่นี้ได้ จางเสี่ยวจิ้งย่อมสามารถใช้ระบบหอสังเกตการณ์ไล่ล่าต่อไป เช่นนี้แล้วยังพอจะมีความหวังหยุดยั้งเชว่เล่อฮั่วตัว ชะตากรรมของฉางอันขึ้นอยู่กับว่ามันจะยืนหยัดอยู่บนหอใหญ่ได้นานเท่าใด

    สถานการณ์มาถึงขั้นยากลำบากเช่นนี้แล้ว หากข้าละทิ้งไปอีกคน นั่นก็เท่ากับไร้ความหวังโดยสิ้นเชิง!

    แววตาเหยาหรู่เหนิงเด็ดเดี่ยว มันชูโคมม่วง ส่งข่าวสารชัดเจนชุดหนึ่งออกไปด้านทิศนั้น ส่งซ้ำสามรอบก่อนจะวางโคมไฟ แล้วกำหมัดแน่น

    จากนี้ไปมันจะปักหลักเฝ้าอยู่ที่นี่ เอาชีวิตเข้าแลก ให้เหมือนครั้งนั้นที่แม่ทัพจางเคยเฝ้ารักษาป้อมส่งสัญญาณควันของเมืองปัวฮ่วนชายแดนประจิม แม้นต้องเป็นศัตรูกับทั้งจิ้งอันซือก็มิเสียดาย

     

    จางเสี่ยวจิ้งกับถานฉียืนอยู่ในตรอกหน้าร้านหนังสือ ชะเง้อชะแง้ไปนอกตรอกอย่างร้อนรน ที่ปากตรอก โส่วจัวหลางสิบกว่าคนปิดถนน แต่ละคนจับจ้องมาอย่างมุ่งร้าย

    นอกตรอกเงียบมาก บนถนนใหญ่มีคนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ไกลออกไปยังพอมีเสียงดนตรีแว่วมา ทว่าขบวนรถที่จางเสี่ยวจิ้งรับปากว่าจะมาถึงอย่างรวดเร็วกลับยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

    “คิดให้พวกข้ารอถึงเมื่อใด ขบวนรถเล่า? หลิวสือชีเล่า?” หัวหน้าหน่วยโส่วจัวหลางก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ค้อนเหล็กในมือชูสูง แววตาไม่เป็นมิตร พวกโส่วจัวหลางที่เป็นบริวารของมันก็หมดความอดทนแล้ว ขยับอาวุธเคลื่อนใกล้เข้า

    “เทศกาลชมโคมวันนี้ ถนนติดขัดย่อมไม่แปลก” จางเสี่ยวจิ้งยื่นป้ายทองแดงออก กล่าวเสียงเครียด “พวกเจ้าอย่าเคลื่อนไหววู่วาม ไม่เช่นนั้นเท่ากับโจมตีราชสำนัก”

    หัวหน้าหน่วยแค่นหัวเราะเย็นชา “ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตของราชสำนัก ฆ่าคนตายก็ใช่จะสามารถลอยนวลได้ง่ายๆ” เมื่อเห็นว่าคนลวงโลกผู้นี้กำลังอวดอ้าง มันจึงสะบัดแขนสั่งให้ลงมือ

    กลุ่มคนรุมล้อมเข้าไป แต่ละคนคิดบุกอยู่หน้าสุด

    หั่วซือถูกฆ่า ผู้คุ้มกันเหล่านี้ย่อมถูกลงทัณฑ์หนัก มีเพียงจับฆาตกรได้จึงพอจะบรรเทาโทษ จางเสี่ยวจิ้งเห็นว่ามิอาจสะกดไว้ได้แล้วก็ชักดาบประจำกายเสียงดังขวับ ปลายดาบชี้ยังด้านหน้า “ผู้เข้าใกล้ ตาย!”

    “บุญคุณต้องตอบแทน หนี้ต้องสะสาง”

    พวกโส่วจัวหลางท่องคติพจน์แผ่วเบา ขยับประชิดอย่างช้าๆ จางเสี่ยวจิ้งยังคิดพยายามตวาดเพื่อสะกดความเคลื่อนไหว ทว่าฝ่ายตรงข้ามยังคงท่องเสียงเบา ไม่สนใจตอบคำแม้แต่น้อย อาวุธมากมายฟาดฟันลงมายังจางเสี่ยวจิ้งกับถานฉี

    จางเสี่ยวจิ้งไม่อาจหลบเนื่องจากถานฉีอยู่ด้านหลังมัน มันได้แต่รับมือซึ่งหน้า พลันที่เริ่มปะทะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับอาวุธเหล่านี้ ถึงกับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

    อาวุธของโส่วจัวหลางส่วนใหญ่คือเครื่องมือช่าง มีทั้งค้อนเหล็ก เคียว แส้ม้า สิ่ว คราด และหลากหลายสารพัน ที่เมืองโส่วจัวไม่มีหน่วยสรรพาวุธที่ทำหน้าที่ผลิตอาวุธสำหรับใช้ในการศึกสงครามโดยเฉพาะ ราษฎรทั้งหลายจึงใช้เครื่องไม้เครื่องมือใกล้ตัวแทนอาวุธ ยามสงบใช้ประกอบอาชีพ ยามศึกใช้ต่างอาวุธสงคราม เวลาผ่านไปนานวันเข้าก็กลายเป็นวิชาต่อสู้เฉพาะตน

    เคราะห์ดีที่ตรอกแคบ โส่วจัวหลางมิอาจกลุ้มรุมเข้ามาทั้งหมดในคราวเดียว จางเสี่ยวจิ้งกัดฟันแน่น พยายามใช้ชัยภูมิได้เปรียบเล็กน้อยนี้ต้านทานสุดกำลัง

    สองสามคนด้านหน้าล้มคว่ำไปแล้ว ศัตรูด้านหลังยังหนุนเนื่องไม่ขาดสาย จางเสี่ยวจิ้งรู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่เข้าที ล้วงระเบิดควันสามลูกจากเอวโยนออกไป

    ควันกระจายออก ทั้งตรอกมืดมัวมองไม่เห็นสิ่งใด แสงโคมไฟภายใต้ควันกลายเป็นวงแสงเลือนราง เงาคนซับซ้อนแยกแยะมิได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด จางเสี่ยวจิ้งคว้ามือถานฉี วิ่งออกมาด้านนอกสุดชีวิต ถานฉีรู้ว่าบัดนี้คือห้วงเป็นห้วงตาย มิได้ตำหนิแม้คำเดียว สุดแท้แต่จางเสี่ยวจิ้งจะลากจูง

    ขณะที่คนทั้งคู่วิ่งมาใกล้ออกปากตรอก พวกโส่วจัวหลางพอจะมองเห็นแล้ววิ่งไล่ตามมา จางเสี่ยวจิ้งผลักถานฉีออก ชี้ไปด้านหน้า “มุมฟางมีพลทหาร รีบไปแจ้งเรื่อง!”

    “แล้วท่านเล่า”

    “ข้าจะสกัดพวกมัน!” จางเสี่ยวจิ้งหันร่างกลับ ชักดาบประจำกายขวางอก

    ถึงอย่างไรโส่วจัวหลางก็เป็นกองกำลังใต้ดิน แม้ทางการแสร้งมองไม่เห็นก็ไม่อาจยอมให้พวกมันก่อเรื่องในฉางอัน ขอเพียงสามารถแจ้งพลทหาร โส่วจัวหลางก็ย่อมเกรงกลัวล่าถอยไปเอง

    “จำไว้! บอกชื่อข้า!” จางเสี่ยวจิ้งตะโกน

    ถานฉีผันกายวิ่งเร็วรี่ เสียงอาวุธคมดาบกระทบกันดังแว่วมาจากข้างหลัง นางไม่หันหน้ากลับแต่อย่างใด วิ่งร่วมสองร้อยกว่าก้าวในอึดใจเดียวจนรู้สึกราวปอดจะระเบิด ที่ด้านหน้าเห็นโคมระวังเหตุแกว่งไปมาบนประตูของพลเฝ้าระวังมุมฟางแล้ว

    เทียบกับทหารประจำฟางของแต่ละฟาง งานของพลเฝ้าระวังประจำผิงคังฟางค่อนข้างสบาย ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนออกไปข้างนอกหมด ภายในฟางกลับไร้เรื่องราวอันใด ทหารหน่วยเฝ้าระวังหลายคนนั่งล้อมหม้อเหล็กใบหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ภายในหม้อกำลังตุ๋นกีบอูฐสองสามชิ้น น้ำแกงเหนียวสีน้ำตาลเต้นระอุ กลิ่นหอมอบอวลทั่วห้อง

    ตุ๋นได้เวลาพอประมาณแล้ว พลเฝ้าระวังร่างอวบอ้วนนายหนึ่งก็ล้วงถุงแพรประณีตใบน้อยออกมาอย่างระมัดระวัง มันป้ายพริกไทยติดปลายนิ้วแล้วขยี้เบาๆ โปรยลงไปทีละน้อยคล้ายกลัวจะใส่มากเกิน

    เวลานี้เอง ประตูใหญ่พลันเปิดออกดังปัง ทหารพลันมือลื่น เทพริกไทยทั้งหมดลงหม้อ กลิ่นหอมเข้มข้นลอยมาจากในหม้อ ทำเอาพลเฝ้าระวังปวดใจจนหน้าซีด

    “ผู้ใดบังอาจบุกที่พักพลเฝ้าระวัง” มันตะคอกอย่างเดือดดาล มองดูอีกครั้ง ผู้บุกรุกเป็นสตรีสวมเสื้อผ้าราคาแพง

    หญิงผู้นี้ทันทีที่เข้ามาก็ร่ำร้องว่า “ข้าเป็นคนของจิ้งอันซือ! ถูกคนร้ายจู่โจม สหายข้ากำลังต้องการความช่วยเหลือ!”

    เหล่าพลเฝ้าระวังมองหน้ากันไปมา ไม่ว่าผู้ใดก็มิคิดย้ายบั้นท้าย กีบอูฐกำลังสุกได้ที่พร้อมกิน ใครเลยจะยินดีจากไป

    ถานฉีเห็นพวกมันไม่ขยับก็บันดาลโทสะ ขึ้นเสียงเร่งอีก “รีบไปเร็วสิ! ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า!”

    พลเฝ้าระวังร่างอ้วนเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เป็นผู้กล้าจากที่ใด ชื่อแซ่อันใด เกิดเหตุร้ายที่ใด เจ้าเขียนรายละเอียดมาก่อน พวกข้าจึงจะออกปฏิบัติงานได้” คนรอบด้านหัวเราะเหอะหะ คว้าตะเกียบคีบเนื้อในหม้อ

    “พวกเจ้าคิดตรองให้ดี คนที่ถูกล้อมอยู่ด้านนอกผู้นั้นคือจางเสี่ยวจิ้ง!” เสียงถานฉีแฝงความเฉียบกล้าอยู่หลายส่วน

    ชื่อนี้เมื่อเอ่ยออกมา พวกพลเฝ้าระวังในห้องพลอยตัวแข็งทื่อ พลเฝ้าระวังร่างอ้วนถามอย่างหวาดๆ “จางเสี่ยวจิ้งคนใด”

    ถานฉียิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วตอบว่า “ห้าพญายม ยังจะมีผู้ใดอีก”

    ชื่อนี้คล้ายมีพลังเทพมารพิสดาร พลเฝ้าระวังเหล่านี้รีบร้อนวางชามวางตะเกียบในพริบตา ที่ใช้สองง่ามก็หยิบสองง่าม ที่ถือดาบก็ถือดาบ พากันติดตามถานฉีออกไป

    ถานฉีพาพลเฝ้าระวังที่ย่อหย่อนกลุ่มนี้วิ่งตรงไปตรอกร้านหนังสือ พอดีเห็นจางเสี่ยวจิ้งวิ่งสวนมา บนร่างมันคล้ายเพิ่มรอยเลือดมากกว่าเดิมไม่น้อย โส่วจัวหลางข้างหลังน้อยไปหลายคน ทว่ายังไล่ล่ามิลดละ

    คนสองกลุ่มประจันกันกลางสี่แยกเล็ก ด้านนี้เป็นพลทหารสีหน้าค่อนข้างหวาดหวั่น ด้านนั้นเป็นโส่วจัวหลางท่าทางดุร้าย ตรงกลางจางเสี่ยวจิ้งกำลังหอบหายใจ มันได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก ยืนแทบไม่มั่น มีถานฉีช่วยประคองไว้

    เวลาคล้ายหยุดนิ่งชั่วขณะ ทั้งสองฝ่ายจ้องเขม็ง ต่างฝ่ายต่างมิกล้าลงมือวู่วาม พลเฝ้าระวังร่างอ้วนหยั่งเชิงกล่าวว่า “หัวหน้าจาง…ท่านรีบมา”

    ถานฉีมองพวกโส่วจัวหลางแวบหนึ่ง ประคองจางเสี่ยวจิ้งเดินมาด้านนี้ โส่วจัวหลางขยับกาย ทว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงทหารของทางการ จึงมิกล้าอาละวาดเกินเหตุ เหล่าพลเฝ้าระวังชูอาวุธทั้งดาบทั้งสองง่ามสีหน้าเคร่งเครียด พวกมันรู้ว่าโส่วจัวหลางโหดเหี้ยม หากคิดจู่โจม พวกมันหลายคนมิอาจต้านได้

    ทันใดนั้นความเงียบขณะประจันหน้าได้ถูกเสียงฝีเท้าที่วิ่งตะบึงมาแต่ไกลทำลายลง ไม่ช้าก็ปรากฏพลส่งสารน้อยคนหนึ่งฝ่าเข้ามา มันเห็นคนสองกลุ่มกำลังประจันหน้ากันเช่นนี้ก็ตกใจมาก พลเฝ้าระวังร่างอ้วนสั่งคนอื่นๆ เฝ้าคุมเชิงต่อไป จากนั้นถอยหลังครึ่งก้าวแล้วถามพลส่งสารว่ามีเหตุอันใด

    พลส่งสารน้อยบ่นอย่างไม่พอใจ “พวกท่านไฉนไม่อยู่ประจำฐานให้ข้าตามหาง่ายๆ! จิ้งอันซือมีคำสั่งสามขนนก!”

    หนึ่งขนนกคำสั่งปกติ สองขนนกคำสั่งด่วน สามขนนกคำสั่งด่วนที่สุด ปฏิบัติทันที อย่างไรก็ดีคำสั่งฉบับนี้ถึงกับเป็นของจิ้งอันซือส่งมา เหล่าพลเฝ้าระวังไม่รู้สึกผิดปกติ ทว่าไหล่จางเสี่ยวจิ้งที่อิงอยู่ในอ้อมอกถานฉีกลับสะท้านเฮือก

    พลส่งสารน้อยกางสารในมือออก บอกต่อพลเฝ้าระวังร่างอ้วนว่า “รีบฟังให้ดีล่ะ ข้าจะอ่านแล้วนะ อ่านจบข้ายังต้องไปที่อื่นอีก” พลเฝ้าระวังส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ดังนั้นมิอาจส่งสารถึงทุกนายได้ แต่ใช้วิธีให้พลส่งสารไปแจ้ง อ่านออกเสียงให้ฟังกันหนึ่งเที่ยว

    พลส่งสารน้อยกระแอมให้คอโล่ง แล้วร่ายออกมาว่า “บัดนี้มีนักโทษร้ายแรงชื่อจางเสี่ยวจิ้ง หน้ายาวหนวดสั้น ตาซ้ายบอด สูงประมาณหกต้าฉื่อสองเฟิน หากพบเห็น จับสังหาร…”

    พลส่งสารน้อยยังประกาศไม่จบ จางเสี่ยวจิ้งก็ผลักถานฉีออกอย่างแรง พุ่งผ่านระหว่างโส่วจัวหลางกับพลเฝ้าระวัง ขณะที่พวกทหารรวมถึงถานฉียังมิได้สติ ทำอันใดไม่ถูกไปครู่หนึ่ง มันก็วิ่งหนีไปไกลแล้ว

    “ตาม!” หัวหน้าหน่วยโส่วจัวหลางบัดนี้ค่อยรู้สึกตัว พากันวิ่งไล่ตาม เหล่าพลเฝ้าระวังยืนเหม่ออยู่กับที่มองหน้ากันไปมา ก่อนมองไปยังพลเฝ้าระวังร่างอ้วน

    บุรุษร่างอ้วนมีใจคิดพาทหารกลับ ทว่ามันพบว่าพลส่งสารน้อยยังยืนอยู่ด้านข้าง เห็นทุกสิ่ง จึงได้แต่กัดฟันออกคำสั่ง “ตาม!”

    พลเฝ้าระวังนายหนึ่งเอ่ยอย่างอึกอัก “แต่นั่นคือหัวหน้าจางเชียวนะ…” มิทราบว่าประโยคนี้ของมันคืออาลัยไมตรีเก่า หรือว่ายังขวัญผวากับความเหี้ยมโหดของพญายมจาง

    พลเฝ้าระวังร่างอ้วนขึงตาใส่มันทันที “ถึงกระนั้นก็ต้องตาม!”

    ไล่ตามทันหรือไม่ทัน เป็นปัญหาเรื่องความสามารถ แต่ตามกับไม่ตาม นี่กลายเป็นปัญหาเรื่องท่าทีที่มีต่อคำสั่ง

    เหล่าพลเฝ้าระวังจึงวิ่งไล่กวดไปทางนั้น ทว่าวิ่งกันอย่างมิได้กระตือรือร้นสักเท่าใด คล้ายมีเจตนาและคล้ายไร้เจตนา ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่แยแสสนใจถานฉี ถึงกับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ซักถาม เพียงทิ้งนางไว้ตามลำพังที่นั่น

    ถานฉียืนเหม่อลอยอยู่ที่สี่แยกซึ่งว่างเปล่าในพริบตา มิทราบว่าควรกระทำเช่นไร นางเข้าใจดี จางเสี่ยวจิ้งเกรงจะสร้างความลำบากให้นาง ดังนั้นจึงหนีไปเพียงผู้เดียว เพราะถึงอย่างไรบนประกาศจับก็มีเพียงชื่อเดียว

    แต่คำสั่งประกาศจับนี่เป็นเรื่องใดกัน จางเสี่ยวจิ้งไฉนจึงกลายเป็นผู้ร้ายอุกฉกรรจ์ที่ต้องออกประกาศจับทั่วเมือง นี่เกี่ยวข้องอันใดกับการที่จิ้งอันซือถูกจู่โจม หากคุณชายยังอยู่จะไม่มีวันอนุญาตให้เกิดเรื่องเยี่ยงนี้…ถานฉีคิดถึงตรงนี้ ใจพลันหนาวสะท้าน นี่มิใช่หมายความว่าบัดนี้คุณชายไม่อยู่แล้วหรือ

    ถานฉีมองไปทางกวงเต๋อฟางในม่านดำแสนห่างไกล มองถนนที่ร่างจางเสี่ยวจิ้งเลือนลับหาย นางเชื่อถือเพียงบุรุษสองคนนี้ แต่พวกมันล้วนจากนางไปหมด ไม่อยู่เป็นที่พึ่งแก่นางอีกแล้ว ความสิ้นหวังกับความสงสัยมากมายดุจธารสมุทรหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงคำนึงของถานฉี ทำให้นางรู้สึกหน้ามืดตาลายคล้ายจะยืนไม่อยู่ ถานฉีค่อยๆ ทรุดกายลง รู้สึกถึงความหวาดกลัวและความเดียวดายที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

    ไม่มีคุณชายแล้ว จิ้งอันซือวอดวายแล้ว บัดนี้จางเสี่ยวจิ้งยังกลายเป็นผู้ร้ายถูกออกประกาศจับไปทั่ว ไม่มีผู้ใดห่วงใยใส่ใจว่าฉางอันจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว

    ประสบการณ์เยี่ยงนี้ราวกับย้อนกลับไปสมัยนางยังเยาว์ ยามถูกบิดาทอดทิ้ง เร่ร่อนไปตามท้องถนน ความกลัวที่เร้นซ่อนในความทรงจำนานปีกลับลอยผุดขึ้นบนผิวน้ำอีกครั้ง ทำให้ถานฉีตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

    นางยืนนิ่งงันไปครู่ใหญ่ คิดแผดเสียงร่ำไห้ ทว่าพริบตาที่น้ำตากำลังเอ่อคลอ ประโยคหนึ่งของจางเสี่ยวจิ้งลอยเข้ามาในสมอง

    ‘คุณชายของเจ้าตกลงใจให้เจ้ามากับข้า เพราะมันเชื่อใจว่าเจ้าสามารถกระทำเรื่องมีประโยชน์ได้มากกว่าเพียงเป็นคนรับใช้’

    ถานฉียกหลังมือปาดน้ำตาที่หางตา ยืนขึ้นอีกครั้งพลางสูดหายใจอย่างแรง

    ใช่แล้ว ความสามารถของข้ามิใช่มีเพียงการรับใช้คุณชาย ข้าสามารถทำประโยชน์ได้ยิ่งกว่านี้! ไม่อาจถูกเติงถูจื่อผู้นั้นดูแคลน ยิ่งไม่คิดทำให้คุณชายผิดหวัง

    สถานการณ์มาถึงขั้นยากลำบากเช่นนี้ หากข้าละทิ้งไปอีกคน นั่นก็เท่ากับไร้ความหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว!

    แววตาของถานฉีเด็ดเดี่ยว เวลานี้นางเห็นหอสังเกตการณ์ที่อยู่ไกลออกไปกำลังส่งรหัสโคมม่วงมาด้านนี้ ราวกับดารานำทางดวงหนึ่งกำลังลอยเด่นขึ้นกลางฟ้ารัตติกาล

    รหัสง่ายมาก เพียงสองคำ ถานฉีแม้จะไม่คุ้นเคยกับสารรหัส แต่ก็ยังสามารถอ่านความหมายได้

    ‘ไม่ถอย’

     

    หลังตกอยู่ในความมืดเป็นเวลายาวนาน เบื้องหน้าสายตาหลี่ปี้พลันสว่างวาบ

    มิใช่ฟ้าสว่าง หากแต่ถุงที่ครอบหัวมันถูกดึงออก ที่ปรากฏเบื้องหน้าหลี่ปี้คือลานสวนคฤหาสน์อันงดงามภายใต้แสงโคมสว่างไสว ลานสวนนี้กินเนื้อที่กว้างใหญ่มาก มีทั้งภูเขาจำลอง เถาดอกเถิงหลัว ลดหลั่นงามตา ยังมีต้นไม้ต่างแดนสูงค่า เช่น สาละ ผลท้อสีเหลืองทองประดับที่ว่าง โครงไม้หอม ราวลูกกรงไม้จันทน์ กระทั่งราวรอบบ่อน้ำล้วนประดับอัญมณีสะท้อนสีทองเจิดจ้า บนระเบียงทางเดินรอบบริเวณห้อมล้อมด้วยค้างปลูกต้นจื่อเถิง กล่าวได้ว่าประดับตกแต่งฟุ่มเฟือยมากเหลือเกิน

    กลางลานมีศาลาชายคางอนโค้ง ตัวศาลากลับมิมีอันใดพิเศษ ทว่าเมื่อหลี่ปี้มองไปยังเสาศาลาทั้งสี่ต้นนั้น พบว่าแต่ละต้นใหญ่ถึงห้าคนโอบ ลำพังเพียงค่าขนไม้ท่อนมาก็เพียงพอให้ครอบครัวชาวบ้านสามัญสิบกว่าบ้านต้องล้มละลาย

    “ผู้บัญชาการหลี่สายตาเฉียบแหลม ศาลาจื้ออวี่ (พิรุณร่าย) นี้มิใช่ของสามัญ” หลงปัวยืนอยู่ด้านข้างพลางยิ้มกริ่ม ยกแขนขึ้นทำท่าราวกับเจ้าบ้านที่เปี่ยมไมตรีกำลังโอ้อวดต่ออาคันตุกะ “ดูสิ สันเก็บน้ำที่ชายคาถอดเคลื่อนได้ ยามฝนตกเก็บกักน้ำ ยามฤดูแล้งเพียงยกสันขึ้นเปิดช่องว่างเล็กน้อย น้ำสะอาดจะไหลออกจากชายคารอบด้าน โปรยลงมาดุจม่านน้ำ ให้ความเย็นสบาย คนมีเงินรู้จักเสพสุขจริงหนอ จุ๊ๆ”

    หลี่ปี้พิจารณาทุกสิ่งอย่างละเอียด แววตาเปล่งประกาย

    เบื้องหลังของนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยสมควรเป็นองค์กรที่เรียกว่าปลวกพวกนี้นี่เอง ฐานะในฉางอันของผู้บงการหลังฉากมิใช่ต่ำต้อย หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีลานสวนคฤหาสน์กว้างใหญ่หรูหราเช่นนี้ ตระกูลมันย่อมทรงอำนาจน่าตื่นตกใจ มิฉะนั้นคงไม่อาจสร้างกองกำลังที่ฝีมือรบห้าวหาญและอาวุธเพียบพร้อมเช่นนี้

    คหบดีเศรษฐีในฉางอันที่สามารถกระทำได้มีจำนวนไม่มาก แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดเล่า

    หลงปัวสังเกตเห็นหลี่ปี้กำลังพิจารณา ก็ชี้ปลายจมูกงองุ้มดั่งเหยี่ยวของตนเองพลางหัวเราะหึๆ “ผู้บัญชาการหลี่เป็นคนชะตาทุกข์ยากเหน็ดเหนื่อยโดยแท้ บัดนี้ไร้สิ้นหนทางแล้ว เหตุใดจึงคิดมากมาย มิสู้ชื่นชมทิวทัศน์งดงามจะดีกว่า”

    หลี่ปี้ยืดอกตั้งตรง หาได้ขลาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคงองอาจเช่นยามอยู่ในตำหนักใหญ่ของจิ้งอันซือ “พวกเจ้าไม่สังหารข้าเสียที่จิ้งอันซือ กลับต้องยากลำบากจับตัวข้ามาที่นี่ หรือว่าคิดพามาชมศาลานี้”

    “อา! ผู้บัญชาการสายตาแหลมคมนัก สมแล้วที่เป็นทารกเทพร่ายหมาก” หลงปัวทำท่าเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน ล้วงเอาม้วนใบสะระแหน่มวนหนึ่งจากเอวส่งให้หลี่ปี้ “รับสักมวนหรือไม่”

    หลี่ปี้นิ่งเฉย “ผู้บงการเบื้องหลังของพวกเจ้าคือใคร”

    หลงปัวใช้เล็บมือแคะเศษใบสะระแหน่ในร่องฟันออกมา ดีดลงพื้น “ผู้บัญชาการเหตุใดจึงรู้สึกว่าเบื้องหลังของพวกข้าจำเป็นต้องมีคนมีอำนาจ”

    “องค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้ ใช้วิธีการเช่นนี้ มิใช่คนธรรมดาสามัญสามารถกระทำได้”

    หลงปัวคล้ายยิ้มคล้ายบึ้ง “ผู้บัญชาการเป็นผู้สูงศักดิ์เหนือล้ำผู้อื่น ชาติกำเนิดตระกูลสูงส่ง แม้พ่ายแพ้ก็ขอยอมพ่ายต่อศัตรูผู้มีฐานะเสมอกัน คนต่ำต้อยตระกูลยากจนไร้ชื่อเสียงเยี่ยงพวกข้าไม่คู่ควรชนะท่าน ข้ากล่าวถูกต้องกระมัง”

    หลี่ปี้ไม่ตอบ มันรู้สึกว่าปัญหานี้โง่เขลายิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องตอบ

    หลงปัวกลับกล่าวสืบต่อ “นี่ยากตำหนิผู้บัญชาการ ระหว่างเดินทางย่อมระวังป้องกันหมีเสือ จะมีผู้ใดก้มหัวสนใจแมลงตัวเล็กเล่า” มันพลันกระทืบเท้า เมื่อยกเท้าออก บนพื้นศิลาลวดลายปรากฏซากมดแบนราบหลายตัว “พวกมันเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับว่าผู้สูงศักดิ์คิดเหยียบย่ำหรือไม่ ยังจะมีสิ่งใดให้กังวล”

    สีหน้าของหลี่ปี้เรียบเฉย คิดค้นหาแรงจูงใจของอีกฝ่ายจากวาจาเปี่ยมความเคียดแค้นนี้

    หลงปัวโบกมือ “แต่มิใช่มดแมลงทั้งหมดจะมีชะตากรรมถูกรองเท้าเหยียบย่ำจนตายเสมอไป ในหมู่มดแมลงมีสัตว์ชนิดหนึ่งเรียกว่าปลวก เกิดมาสีขาวบริสุทธิ์ ขนาดเท่าเมล็ดข้าว ตัวเล็กจนน่าเวทนา ทว่าพวกมันมีปากทรงพลังดุจเหล็กกล้า กัดแทะไม้เป็นอาหาร ชื่นชอบเจาะจันทันขุดเสา กินผนังแทะคานเป็นพิเศษ ต่อให้เป็นหอสูงร้อยจั้งหรือเขื่อนยาวพันลี้ ล้วนถูกสัตว์เล็กจ้อยนี้กัดแทะทลายสิ้น”

    ราวกับจะยืนยันวาจาของมัน ปลวกน้อยสีขาวงอกปีกแล้วหลายตัวบินออกจากช่องแตกของตัวตึก บินไล่ตามกันไปกลางอากาศ ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว เป็นฤดูปลวกผสมพันธุ์

    หลี่ปี้น้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้ามีความกล้าลอบโจมตีจิ้งอันซือกลางเมือง ทว่าไม่มีความกล้าบอกความจริงกับเชลย?”

    “นี่ก็เป็นความจริง พวกข้าอาศัยชื่อปลวกย่อมเป็นคนต่ำต้อย เพียงแต่มิใคร่ยินยอมเท่าไรนัก” เมื่อหลงปัวเอ่ยถึงคำนี้ ท่วงท่าแฝงความภาคภูมิใจกับแดกดันเล็กน้อย “ผู้คนรู้เพียงว่ายามมังกรพิโรธ สังหารร้อยหมื่น แต่กลับไม่รู้ว่าความพิโรธของปลวกก็สามารถโค่นต้นไม้ทำลายเมือง”

    ในสมองหลี่ปี้ปรากฏภาพปลวกบินมืดฟ้ามัวดิน กัดแทะทุกสิ่งก่อสร้างของฉางอัน

    หลงปัวสั่งบริวารปลดเชือกที่มัดหลี่ปี้ จากนั้นทำสัญญาณมือสั่งอย่างนอบน้อม “โปรดตามข้ามา ข้าจะพาท่านไปชมปลวกตัวเล็กๆ เหล่านี้ของพวกข้า ดูว่าจะย้ายเมืองนี้อย่างไร”

    รอบด้านล้วนเป็นป้อม หลี่ปี้รู้ว่าไร้ทางหลบหนีแม้แต่น้อย มันนวดไหล่ที่ถูกมัดจนปวด ส่งเสียงพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา และเชิดหน้าก้าวเดิน หลงปัวเดินเคียงคู่มันลึกเข้าไปในลาน

    พวกมันเดินผ่านศาลา อ้อมภูเขาจำลอง ระหว่างทางเห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำมากมายถือหน้าไม้เดินลาดตระเวนไปมา มีทั้งคนฮั่นและชาวหู ควบคุมเข้มงวด คาดว่าบุรุษเหล่านี้คือกลุ่มคนที่ติดตามหลงปัวโจมตีจิ้งอันซือ บนร่างพวกมันมีกลิ่นอายต่างจากโจรทั่วไป

    คนร้ายทั่วไปอาจโหดเหี้ยมมาก ทว่ามักไร้ระเบียบ ส่วนคนเหล่านี้เคลื่อนไหวเป็นระเบียบ เข้มงวดรัดกุม คนมากมายเฝ้าอยู่ในลานสวน ถึงกับไม่มีเสียงดังวุ่นวาย มิพักกล่าวถึงเหล่าโจร กระทั่งทหารราชองครักษ์แห่งนครหลวงที่สามารถรักษาวินัยเช่นนี้ก็มีไม่มาก

    นี่มิใช่ลำพังมีเงินทองก็สามารถรวบรวมมาได้ ผนวกกับคำเปรียบเปรยถึงปลวกของหลงปัว หลี่ปี้กังวลใจมาก

    หลงปัวเดินพลางผิวปากพลาง ไม่ใส่ใจที่หลี่ปี้กวาดสายตามอง

    พวกมันมาถึงบริเวณต้นสาละสีน้ำตาลดำที่มุมสวนด้านหนึ่ง ต้นไม้เหล่านี้นำมาจากเทียนจู๋ย้ายมาปลูก แต่ละต้นราคาไม่ใช่น้อยๆ บนกิ่งก้านคลุมห่อด้วยผ้าป่านเพื่อป้องกันความหนาวของภาคเหนือ หลงปัวหยุดที่ข้างบริเวณนั้น “ผู้บัญชาการหลี่ ถึงแล้ว มองดูให้ดี”

    หลี่ปี้มองไปรอบด้าน “เจ้าต้องการให้ข้าดูอันใด”

    หลงปัวหัวเราะร่วนตอบว่า “แน่นอนว่าเป็นของเล่นที่พวกท่านค้นหามาหลายชั่วยาม”

    “เชว่เล่อฮั่วตัว?”

    หลี่ปี้รำพึงเบาหวิว นักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยลอบนำน้ำมันดิบเหยียนโจวเข้ามา ผลิตเหมิ่งหั่วเหลยที่ชางหมิงฟาง สิบห้าถังในจำนวนทั้งหมดนั้นระเบิดไปแล้ว ที่เหลืออีกสองร้อยกว่าถังจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบร่องรอย ที่แท้ซ่อนอยู่ในลานสวนแห่งนี้!

    หลงปัวส่งเสียงจุปากอย่างขัดเขิน “เชว่เล่อฮั่วตัวเป็นฉายาที่พวกทูเจวี๋ยเรียก พูดตรงๆ แล้วช่างด้อยอารยะเสียนี่กระไร คนทูเจวี๋ยเหล่านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าของสิ่งนี้มีวิธีใช้งานที่แท้จริงอย่างไร รู้เพียงแค่ขับรถม้าวิ่งพล่านระเบิดวุ่นวาย ป่าเถื่อนไม่ต่างกับชื่อนี้เลย”

    หลี่ปี้กวาดตามองทั่วทุกมุม แต่ไม่พบวัตถุน่าสงสัย ตามหลักแล้วเหมิ่งหั่วเหลยสองร้อยกว่าถังไม่อาจเร้นซ่อนลึกลับมากได้

    หลงปัวชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าแล้วร้องเสียงดัง “ต้องมีแสงสว่าง!”

    ในเวลาอันรวดเร็ว ที่ห่างออกไปไม่ไกลนักปรากฏแสงเทียนระยิบระยับ แรกสุดเพียงหนึ่งถึงสองจุด จากนั้นเป็นแผ่นผืน เป็นวง ต่อเชื่อมเป็นจานกลมสมบูรณ์งดงามอย่างรวดเร็ว

    บัดนี้หลี่ปี้จึงเห็นชัดเจน ไม่ไกลนักถึงกับมีจักรโคมไผ่ขนาดใหญ่สูงเกินห้าจั้ง เพียงแต่เมื่อครู่นี้ไม่มีแสงสว่าง ยามราตรีไม่อาจสังเกตเห็น ตอนนี้คบไฟหลายสิบอันส่ายไหวพร้อมกัน ภายใต้แสงไฟสวนนี้สว่างไสวราวกับกลางวัน สามารถเห็นรายละเอียดชัดเจน

    จักรโคมใช้ไผ่ท่อนใหญ่ผูกต่อเป็นโครง ด้านนอกติดกระดาษน้ำมัน ทำเป็นวงล้อหมุนเช่นกังหันน้ำ ช่องตรงกลางแต่ละช่องตั้งเทียนไข กระดาษที่ด้านนอกแบ่งสิบสองส่วนเป็นรูปสิบสองนักษัตร มุมห้อยพู่ทองพู่เงินกับแพรต่วนทอลายอักษรมงคลคำว่าฝู (สุขี) ด้านล่างมีร่องน้ำ สายน้ำขับเคลื่อนจักรโคมหมุนช้าๆ สิบสองนักษัตรหมุนถอยหลัง หมายถึงเวลาผ่านพ้นไป กลางจักรโคมเป็นภาพวาดชุมนุมดาวไตรเทพฝูลู่โซ่ว

    จักรโคมโครงนี้ขนาดเล็กกว่าหอโคมที่สูงถึงสิบกว่าจั้งของตลาดตะวันออก ตลาดตะวันตกและพระราชวังซิงชิ่ง ทว่าผู้ออกแบบความคิดแยบยลยิ่งนัก ถึงกับใช้การหมุนของกังหันน้ำแทนเวลาที่เคลื่อนไป ลักษณะพิเศษล้ำเลิศ

    สิ่งนี้ออกแบบอย่างแยบยลเช่นเดียวกับศาลาจื้ออวี่ในลานสวน หากปราศจากเวลาว่างและเงินทองมั่งคั่งเหลือเฟือย่อมมิอาจกระทำได้

    หลี่ปี้แหงนหน้ามองครู่หนึ่ง “นี่มีความเกี่ยวข้องใดกับเชว่เล่อฮั่วตัว” หลงปัวตบไหล่มัน เป็นสัญญาณว่าอย่าใจร้อน

    จักรโคมหมุนเงียบๆ ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นที่ตำแหน่งมะโรงบังเกิดไฟลุกไหม้ ไม่…มิใช่ไฟลุกไหม้ หากแต่เป็นไฟพะเนียงระเบิดขึ้น หลี่ปี้เห็นชัดเจน ระเบิดออกจากในท่อนไผ่ จักรโคมยังหมุนต่อไป ลูกไฟนี้ลามไปถึงตำแหน่งเถาะกับมะเส็งข้างกัน ท่อนไผ่ทั้งสองก็ระเบิดตามเกือบจะในพริบตานั้นเอง หนึ่งในสี่ของจักรโคมลุกไหม้รุนแรง

    หลี่ปี้ตาโต ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง มันเห็นชัดเจนยิ่ง เหตุที่ไฟลุกลามเร็วเช่นนี้เป็นเพราะว่าหลังจากท่อนไผ่ระเบิด ของเหลวสีดำที่บรรจุอยู่ด้านในไหลออกมา ของเหลวนั้นสัมผัสเปลวไฟก็ติดเชื้อทันที ลุกไหม้อย่างรุนแรงยิ่งนัก

    ของเหลวสีดำนำพาเปลวไฟไหลลามไปทั่วทั้งจักรโคม กลายเป็นคบไฟเจิดจ้า ไฟลามอย่างรวดเร็วไปถึงท่อนไผ่ที่กลางจักรภายในชั่วเวลาดีดนิ้วไม่กี่ครั้ง หลี่ปี้เห็นเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งระเบิดรุนแรงออกจากท่อนไผ่ ร่างสามดาวเทพแปรเปลี่ยนเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วนทันใด ต่อจากนั้นสิบสองนักษัตรก็กลายเป็นผุยผงด้วยฤทธิ์อัคคี โครงโคมอันประณีตก็ถล่มลงเช่นนี้เอง

    เสียงระเบิดนั้นหลี่ปี้คุ้นเคยมาก เหมือนกับการระเบิดที่ตลาดตะวันตกก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ขนาดเล็กกว่า

    “ทดลองครั้งสี่ สำเร็จ” เสียงผู้สังเกตการณ์ดังมา

    หลงปัวได้ยินแล้วก็ปรบมือด้วยท่าทางดีอกดีใจ หันมาเอ่ยกับหลี่ปี้ “เป็นอย่างไร ท่านชมดูแล้วเข้าใจหรือยัง นี่เป็นฉากสวยงามปานใด”

    หลี่ปี้ยื่นมือจับต้นสาละ เข้าใจกระจ่างแล้ว

    มิน่าเล่าจิ้งอันซือถึงไม่พบร่องรอยเหมิ่งหั่วเหลยสองร้อยกว่าถังนั้นเลย ที่แท้ปลวกกรอกน้ำมันดิบกลั่นแล้วใส่ท่อนไผ่ตั้งแต่ที่ชางหมิงฟาง จากนั้นขนท่อนไผ่ออกไปอย่างไม่เกรงกลัวอันใด หอสังเกตการณ์กับพลเฝ้าระวังทุกแห่งค้นหาเพียงรถขนถังไม้อย่างเอาเป็นเอาตาย ย่อมหลงทางโดยสิ้นเชิง มิอาจค้นพบ

    ถ้าติดตั้งกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำมันดิบเหล่านี้เข้ากับโครงโคม ท่อนไผ่เล็กจุดไฟทำให้ท่อนไผ่ใหญ่ระเบิด เมื่อระเบิดขึ้น ราษฎรนับไม่ถ้วนที่มาชมเทศกาลโคมในฉางอัน เบียดเสียดเยียดยัด แออัดหนาแน่น เกรงว่าจะต้องบาดเจ็บล้มตายเหลือคณานับ

    หลงปัวยังคงแหงนหน้าอย่างสะท้อนใจ “ทัศนียภาพงดงามปานนี้ น่าเสียดาย คนทูเจวี๋ยเหล่านั้นมิได้เห็นเสียแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน ท่านว่าพวกมันจะคุกเข่ากราบไหว้หรือไม่”

    “ข้าไม่เข้าใจว่า…” หลี่ปี้พึมพำ “โครงโคมเริ่มติดตั้งก่อนวันงานหลายวัน พวกเจ้าเหตุใดจึงไม่บรรจุน้ำมันเสียตั้งแต่ยามติดตั้ง แต่กลับรอเทศกาลซั่งหยวนจุดโคมแล้วจึงติดตั้ง”

    หลงปัวลูบจมูกเหยี่ยวงุ้มของตัวเองอย่างขุ่นใจ “ช่วยไม่ได้ ของจำพวกน้ำมันดิบหากไม่ทำให้ร้อนเสียก่อนก็จะไม่ระเบิด หลังจากอุ่นร้อนแล้ว หากภายในครึ่งชั่วยามไม่ระเบิดก็จะเย็นตัว จำเป็นต้องทำให้ร้อนซ้ำ”

    หลี่ปี้เข้าใจแล้ว คุณสมบัติดังกล่าวของเหมิ่งหั่วเหลยทำให้จำเป็นต้องติดตั้งแล้วรีบจุดระเบิด ไม่สามารถติดตั้งล่วงหน้าได้ มันรู้ว่าหลงปัวมิได้พูดเท็จ เริ่มแรกเมื่อครั้งนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยขับรถม้าพุ่งชน น้ำมันดิบในถังไม้เหล่านั้นก็ถูกต้มให้ร้อนมาแล้ว

    ทว่าปริมาณงานเช่นนี้…มากมายเกินไปมิใช่หรือ

    ในสมองหลี่ปี้คิดทบทวนภาพการระเบิดซ้ำอีกครั้ง พลันพบว่าจักรโคมโครงเมื่อสักครู่ ที่ติดไฟแท้จริงมีเพียงส่วนประกอบไม่กี่ชิ้นเท่านั้น หรือกล่าวอีกอย่างคือโครงโคมหนึ่งโครงเพียงเปลี่ยนไผ่สามสี่ท่อนก็จะกลายเป็นเหมิ่งหั่วเหลยขนาดยักษ์

    โครงโคมสร้างจากไผ่ในฉางอันส่วนใหญ่ใช้เชือกปอผูกท่อนไผ่หลายท่อนเข้าด้วยกัน โครงสร้างคลายง่าย ดังนั้นไม่ว่าถอดออกหรือเปลี่ยนใหม่ล้วนสะดวกมาก คนเหล่านี้เพียงอ้างว่าจะซ่อมแซม ใช้กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำมันดิบเปลี่ยนแทนไม่กี่อัน ปริมาณงานไม่มาก เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว

    วิธีนี้เลิศล้ำกว่าที่ชาวทูเจวี๋ยใช้เหมิ่งหั่วเหลยพุ่งชนมากนัก อีกทั้งตบตาแยบยล บาดเจ็บล้มตายก็รุนแรงใหญ่หลวงกว่า นี่จึงเป็นเชว่เล่อฮั่วตัวที่แท้จริง! หากไม่รู้ล่วงหน้าย่อมปราศจากวิธีป้องกันแม้แต่น้อย

    ฉางอันทั้งเมืองอย่างน้อยมีโครงโคมหลายหมื่นโครง หากไล่ตรวจทีละโครง…ช้าก่อน มิถูกต้อง น้ำมันดิบมีเพียงสองร้อยกว่าถัง ไม่อาจครอบคลุมทั้งเมือง หรือว่า…หรือว่าปลวกมิได้คิดถึงวงกว้าง หากแต่ลงมือเฉพาะจุด!

    เหงื่อเย็นทะลักอาบแผ่นหลังหลี่ปี้ในบัดดล

    ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องให้เหมิ่งหั่วเหลยระเบิดภายในครึ่งชั่วยาม มีน้ำมันดิบสองร้อยถัง คิดย้อนกลับไปตามเงื่อนไขสองเรื่อง แสดงว่าเป้าหมายของปลวกมิใช่การสังหารในอาณาบริเวณกว้าง หากแต่จะโจมตีสถานที่ที่กำหนดเฉพาะเจาะจง ภายในเวลาที่กำหนดเฉพาะเจาะจงเช่นกัน

    หรือว่า…การคาดคะเนสุดสยดสยองน่าสะพรึงกลัวฉีกกระชากสมองของหลี่ปี้ แหวกออกจากร่างมัน แผดร้องต่อโลกอันแท้จริง ทำให้สองขาพลอยสั่นเทาไม่รู้ตัว

    แม้หลี่ปี้ไม่ทราบว่าพวกมันลักพาตัวตนมาด้วยเหตุใด แต่ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับแผนร้ายสะท้านฟ้านี้แน่ แววตาหลี่ปี้เคร่งเครียด ทันใดนั้นมันเกร็งพลังสุดตัว พุ่งเข้าชนกำแพงสวน รู้เพียงว่าวิธีเดียวที่จะทำลายแผนร้ายนี้ได้มีเพียงความตาย

    ขณะที่กระหม่อมกำลังจะกระแทกกำแพงนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็คว้าสาบเสื้อของหลี่ปี้เอาไว้ แล้วลากตัวกลับมา

    “ผู้บัญชาการหลี่มิเสียดายชีวิต เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก น่าเสียดาย ร่างกายช้ากว่าการตัดสินใจไปหนึ่งก้าว” หลงปัวเย้ยหยัน

    คนจำนวนหนึ่งกรูออกมาจับตัวหลี่ปี้ ป้องกันมันคิดฆ่าตัวตายอีก หลี่ปี้หลับตาด้วยความผิดหวัง ความรู้สึกสิ้นเรี่ยวแรงเฉกเช่นเชือกเส้นหนึ่งมัดทั่วร่าง

    หลงปัวก้าวมาที่เบื้องหน้า “สิ่งที่ข้าชมชอบที่สุดก็คือสีหน้าของคนฉลาดเยี่ยงท่านยามมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่ง ทว่าท้อแท้ไร้สิ้นความหวังกอบกู้”

    หลี่ปี้ลืมตาขึ้น เน้นทีละคำ “ถึงแม้ข้าไม่อยู่ก็ย่อมมีคนขัดขวางพวกเจ้าเช่นเดียวกัน”

    หลงปัวหัวร่อ “จิ้งอันซือน่าหวาดหวั่นก็จริง ทว่าที่นั่นถูกเผาเป็นที่ว่างเปล่าแล้ว จะอาศัยอันใดมาขัดขวาง”

    หลงปัวสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าหลี่ปี้กำลังยิ้ม หลังจากได้ประจักษ์พลังอำนาจของเชว่เล่อฮั่วตัวแล้ว ขุนนางหนุ่มผู้นี้ยังสามารถยิ้มออกมาได้อีก หลงปัวพบว่าตนเองรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นี่ทำให้ให้มันไม่สบายใจสุดขีดทันที

    ผัวะ!

    หลงปัวสะบัดแขนตบหน้าหลี่ปี้อย่างหนักหน่วง “อาวุธพิสดารใดในมือท่านล้วนไม่มีแล้ว ไฉนยังยิ้มได้”

    มุมปากหลี่ปี้มีเลือดซึมเล็กน้อย แต่รอยยิ้มมันมิแปรเปลี่ยน “เพราะบุคคลอันตรายที่สุดที่พวกเจ้าพลาดปล่อยหลุดมือไปผู้นั้น”

    “จางเสี่ยวจิ้ง?” หลงปัวถึงกับรู้จักชื่อนี้

    หลี่ปี้สังเกตเห็น ท่าทียั่วเย้าของฝ่ายตรงข้ามพลันปลาสนาการไปสิ้น ที่มาแทนคือความกังวลใจซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 2 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    นิยายยอดนิยม

    Facebook