• Connect with us

    Enter Books

    ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    ทดลองอ่านนิยาย ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 1 บทที่ 3

    บทที่สาม

    ปลายยามอู่

     

    รัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ ปลายยามอู่

    เมืองฉางอัน อำเภอฉางอัน กวงเต๋อฟาง

     

    เฮ่อจือจางยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ของจิ้งอันซือ มือประคองลัญจกรสี่เหลี่ยมทองแดงชิ้นหนึ่ง ท่วงท่าสงบ หลี่ปี้ยืนตรงข้าม ประกายตาคมแหลมปานธนู ทว่าไร้ผลอันใดต่อผู้อาวุโสท่านนี้

    คนอื่นๆ ในหน่วยงานต่างก้มหน้าแสร้งว่ากำลังง่วนกับงานในมือ ไม่ว่าผู้ใดก็มิกล้าส่งเสียง

    ทันใดนั้นเอง พลส่งสารที่ด้านนอกวิ่งเข้ามา มองหลี่ปี้ก่อน จากนั้นมองลัญจกรในมือเฮ่อจือจาง ลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงประสานมือคารวะเฮ่อจือจาง ร้องเสียงห้าว “หอสังเกตการณ์ของไหวหย่วนฟางรายงานกลับ แม่ทัพจางถูกคุมตัวแล้ว นำตัวกลับทันที”

    แม้มันเจตนาลดเสียงเบาลง ทว่าผู้คนรอบข้างยังคงได้ยินชัดเจน

    ที่เฮ่อจือจางต้องการก็คือผลเช่นนี้ มันพึงพอใจมาก พยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างจริงใจหนักแน่นต่อหลี่ปี้ “ฉางหยวน อย่าได้ตำหนิเราผู้เฒ่าใช้ลัญจกรนี้สะกดท่าน ความจริงเพราะว่าท่านกระทำเรื่องหุนหันนัก…แต่งตั้งนักโทษประหารเป็นผู้บัญชาการทหารประจำนครหลวงเช่นนั้นหรือ ซ้ำยังเป็นคนต้องโทษ ฐานฆ่าผู้บังคับบัญชา โทษที่ไม่อาจอภัยได้ หากแพร่ออกไป วันพรุ่งนี้หนังสือทูลขอให้ถอดถอนจากเหล่าผู้ตรวจการสามารถกลบฝังท่านได้!”

    หลี่ปี้โอบแส้ปัด แค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “วันพรุ่งนี้? ไม่ทราบฉางอันแห่งนี้ยังจะมีวันพรุ่งนี้อีกหรือไม่”

    “อา ฉางหยวนเอย…กระทำการกล้าหาญ เราผู้เฒ่ารู้อยู่แก่ใจ ทว่าบัณฑิตหรือปราชญ์เมธีจะเข้าใจได้หรือ เสนาอำมาตย์ทั้งหลายจะเข้าใจหรือ หากแม้พวกมันสามารถเข้าใจ ทว่าจะใส่ใจหรือไร” เอ่ยถึงตรงนี้ เฮ่อจือจางเจตนาเน้นเสียง “รู้หรือไม่ว่าข้าไฉนรีบร้อนย้อนกลับมา เสนาบดีหลี่ได้ข่าวว่าปฏิบัติการล้มเหลวแล้ว คิดชิงอำนาจ ควบคุมจิ้งอันซือ! ยามนี้เราผู้เฒ่ายังทัดทานเอาไว้ได้ หากมันรู้ว่าถึงกับเอาความอยู่รอดของฉางอันผูกไว้กับนักโทษประหาร ถึงตอนนั้นเสียงตำหนิรุนแรง แม้ข้าเองก็มิอาจแบกรับไหว!”

    เห็นหลี่ปี้นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา จึงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน “ในท้องพระโรงชิงดีชิงเด่น พลาดพลั้งเพียงน้อยอาจนำมาซึ่งเคราะห์ภัยใหญ่หลวง…เราผู้เฒ่าปีนี้อายุแปดสิบหกแล้ว มิมีอันใดอาวรณ์ ท่านยังเยาว์วัย ควรระมัดระวัง”

    เฮ่อจือจางร่ายยาวในอึดใจเดียว นับว่าแสดงความจริงใจโดยแท้ ทว่าหลี่ปี้กลับไม่ซาบซึ้งแต่อย่างใด “ท่านอยู่ที่นี่ขณะสั่งสอนวิถีขุนนางแต่ละคำนั้น คนทูเจวี๋ยเหล่านั้นก็ใกล้จะลงมือเหี้ยมโหดทุกขณะเช่นกัน” มันมองทางมุมตำหนักแวบหนึ่ง น้ำในนาฬิกาน้ำยังคงหยดลงมาอย่างไร้เมตตา

    เฮ่อจือจางกล่าวว่า “ข้ามิได้บอกว่าไม่จับชาวทูเจวี๋ย! เพียงแต่ได้ยินว่าคนผู้นั้นแสดงความเคียดแค้นราชสำนักออกมาชัดแจ้งยิ่ง แล้วท่านยังจะเชื่อใจมันอีกหรือ”

    “ข้าไม่เชื่อใจมัน แต่ตอนนี้มันเหมาะสมที่สุด…ไม่สิ เป็นตัวเลือกหนึ่งเดียวเท่านั้น”

    “นครหลวงตะวันตกเต็มไปด้วยยอดฝีมือทั่วหล้า หรือว่าไม่มีผู้ใดเทียบนักโทษประหารผู้นั้นได้แม้สักคนเดียว?” น้ำเสียงเฮ่อจือจางตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง “ท่านผิดพลาดไปแล้วหนึ่งครั้ง ทำให้จิ้งอันซือแบกรับความกดดันใหญ่หลวง สถานการณ์เฉพาะหน้านี้มิยินยอมให้ผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง!”

    หลี่ปี้ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ประกายตาคมเจิดจ้า “ท่านเพียงคิดรักษาจิ้งอันซือ ส่วนข้าต้องการรักษาฉางอัน!”

    จู่ๆ พลส่งสารก็เข้ามาในตำหนักครั้งที่สอง รายงานด้วยเสียงกระด้าง “รายงาน พวกแม่ทัพจางมาถึงด้านนอกแล้ว”

    เฮ่อจือจางโบกแขนเสื้อ “ไม่ต้องเข้ามาแล้ว ริบป้ายเอวของมัน คุมตัวกลับอำเภอฉางอันทันที”

    ทว่าหลี่ปี้กลับตวาดเสียงดัง “ช้าก่อน!”

    “ฉางหยวน” น้ำเสียงเฮ่อจือจางแฝงแววไม่พอใจหลายส่วนแล้ว

    หลี่ปี้กลับไม่แยแส พูดต่อไปด้วยเสียงกังวาน “เมื่อสักครู่ทั้งตลาดตะวันตกและไหวหย่วนฟางปล่อยควันเหลืองขึ้นต่อเนื่อง ย่อมมีเหตุสำคัญเกิดขึ้น มิสู้เรียกมันเข้ามารายงานก่อนแล้วค่อยพิจารณาโทษก็มิสาย” เฮ่อจือจางแม้รู้ว่าหลี่ปี้กำลังถ่วงเวลา ทว่าก็เข้าใจสถานการณ์เฉพาะหน้าว่าคับขันยิ่ง ดังนั้นถอนใจแผ่วเบาครั้งหนึ่งก่อนโบกมือ

    มันจัดพลหลี่ว์เปินสี่นายไว้ข้างกาย รอจางเสี่ยวจิ้งรายงานจบสิ้น จะเข้าไปจับตัวทันที

    เฮ่อจือจางมิก้าวก่ายการงานภายในโดยง่าย ทว่าหากหลี่ปี้ฝ่าฝืนระเบียบ มันจะขอเป็นสายบังเหียน ลากรั้งอีกฝ่ายกลับมา จับนักรบสุนัขป่าย่อมต้องจับแน่นอน แต่มันไม่สามารถปล่อยให้เหล่าศัตรูในราชสำนักมีข้ออ้างใส่ร้ายป้ายสีจิ้งอันซือเด็ดขาด

    ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ท่านผู้นั้นปลอดภัย

     

    เสียงฝีเท้าดังขึ้น จางเสี่ยวจิ้งเดินอาดๆ เข้าด้านในตำหนัก ไม่ตื่นกลัวเพราะถูกถอดตำแหน่งกะทันหันแม้แต่น้อย แรกสุดมันหลิ่วตาให้ถานฉีก่อน จากนั้นหันมามองผู้เฒ่าหนวดเคราเส้นผมขาวล้วนด้วยสายตาใคร่รู้

    คนผู้นี้นามกระเดื่องในราชสำนัก เชี่ยวชาญตำราและกวี ชื่อเสียงเลื่องลือผ่านรัชศกไคหยวนและเทียนเป่านานกว่ายี่สิบปี เมื่อสิบวันก่อน เฮ่อจือจางประกาศเกษียณลากลับบ้านเกิด จักรพรรดิพระราชทานเลี้ยงที่ประตูชิงเหมินเป็นกรณีพิเศษ ร้อยขุนนางร่วมส่งเดินทาง นับเป็นเรื่องใหญ่ลือลั่นทั่วฉางอัน ทว่าจางเสี่ยวจิ้งคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าบัณฑิตลือนามผู้นี้ถึงกับลอบกลับนครหลวง กินตำแหน่งหัวหน้าจเรกองจิ้งอันซือที่มิได้เกี่ยวข้องกับตำราและกวีแม้แต่น้อย

    ปีนี้ชายชราอายุแปดสิบกว่าแล้ว ยามเกษียณตำแหน่งสูงถึงที่ปรึกษาอิ๋นชิงกวงลู่ต้าฟู ขุนนางขั้นสาม ควบตำแหน่งราชเลขาเจิ้งโซ่วมี่ซูเจี้ยน…นี่คือเหตุที่ผู้คนเรียกขานมันว่าผู้ตรวจการเฮ่อ มากินตำแหน่งอันต้องลงมือลงแรงเช่นการเป็นหัวหน้าจเรนับว่าลดตัวมาก เห็นชัดเจนว่าเจตนาของผู้แต่งตั้งมิคาดหวังให้เฮ่อจือจางกระทำการยิ่งใหญ่อันใด เพียงหวังอาศัยประวัติการรับราชการและชื่อเสียงของมันค้ำตำแหน่ง เป็นตราประทับอำนวยความสะดวกแก่หลี่ปี้ที่เป็นผู้ช่วยปฏิบัติการเบื้องล่างโดยสะดวก

    จางเสี่ยวจิ้งพลันยิ้ม เมื่อเฮ่อจือจางปรากฏตัวก็คลายข้อสงสัยที่ผ่านมานานให้ตนทันที

    หน้าที่รักษาป้องกันเมืองฉางอันแบ่งกระจายหลายกรมกอง เช่น กองกำลังจินอู๋ ศาลว่าการจิงจ้าว สำนักตรวจการ กองกำลังรักษาประตูเมือง ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ขัดแย้งแย่งชิง จิ้งอันซือนี้กำเนิดขึ้นกะทันหันยิ่ง อยู่เหนือกรมกองทั้งหลาย หากไร้ผู้เปี่ยมอำนาจหนุนหลังย่อมมิอาจกระทำการใดได้

    ฐานะของเฮ่อจือจาง นอกจากที่ปรึกษาอิ๋นชิงกวงลู่ต้าฟูและราชเลขาเจิ้งโซ่วมี่ซูเจี้ยนแล้ว ยังมีสถานะเป็นพระอาจารย์รัชทายาทอีกตำแหน่งหนึ่ง ส่วนหลี่ปี้นั้นรับใช้วังตะวันออกในนามไต้จ้าวแห่งสำนักบัณฑิตหลวงฮั่นหลิน ผู้อยู่เบื้องหลังจิ้งอันซือเป็นผู้ใด ย่อมเห็นชัดแจ้งแล้ว

    แม้ว่าบัดนี้รัชทายาทมิได้ประทับยังวังตะวันออก ทว่าดูจากกลุ่มขุนนางที่รับใช้อยู่นี้ย่อมบ่งชี้ความนัยบางอย่างอยู่บ้าง

    เฮ่อจือจางสังเกตเห็นสายตาไร้มารยาทของจางเสี่ยวจิ้ง แต่มันหาได้ออกปากเกรี้ยวกราด เพียงหลุบคิ้วหลับตาพักผ่อน

    หลี่ปี้ก้าวมาด้านหน้า สั่งมันรายงานเหตุการณ์ จางเสี่ยวจิ้งลูบคาง บอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียดตามจริง สีหน้าหลี่ปี้เปลี่ยนไป “เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวทูเจวี๋ยได้แผนที่ฟางไปแล้วหรือ”

    นี่เป็นเบาะแสเดียวที่พวกมันมี หากขาดสะบั้นไป นอกจากวิธีค้นหาทั่วทั้งเมือง จิ้งอันซือก็ไร้ทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “ยังไม่อาจยืนยันเช่นนี้ ข้ามอบให้เหยาหรู่เหนิงปิดล้อมวิหารเซียนเจี้ยว กำลังตรวจค้นบ้านในละแวกนั้นไล่ไปทีละบ้าน…”

    วาจามิทันขาดคำ เฮ่อจือจางพลันลืมตา น้ำเสียงเกรี้ยวกราด “บังอาจยิ่งนัก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าปิดล้อมวิหารเซียนเจี้ยวโดยพลการจะวุ่นวายเดือดร้อนใหญ่หลวงปานใด”

    “ไม่รู้ และไม่สนใจ งานของข้าเพียงจับตัวนักรบสุนัขป่าเท่านั้น” จางเสี่ยวจิ้งตอบกลับ ทั้งไม่หวาดเกรงและไม่ลำพอง

    “เจ้าจับได้หรือยัง”

    “หากพวกท่านมัวแต่เรียกข้ากลับมาไต่ถามเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้ข้าย่อมจับไม่ได้”

    หลี่ปี้รู้สึกสาสมใจอยู่บ้างเล็กน้อย จางเสี่ยวจิ้งยามเอ่ยวาจามักแฝงเจตนาเหน็บแนม บัดนี้ถึงคราวตาเฒ่าเฮ่อประสบเข้าเองบ้างแล้ว

    เฮ่อจือจางขมวดคิ้ว นักโทษประหารผู้นี้ไร้มารยาทเกินไปแล้ว มันชูลัญจกร คิดสั่งคนจับตัวจางเสี่ยวจิ้งฟาดสักยี่สิบกระบองก่อนแล้วค่อยว่ากล่าวกัน แต่พลส่งสารกลับวิ่งเข้ามาในตำหนักอีกเป็นครั้งที่สาม

    “รายงาน ต้าซ่าเป่าจากนิกายเซียนเจี้ยวขอเข้าพบ”

    ในที่แห่งนี้ ผู้ที่พอจะคุ้นเคยกับวงการขุนนางฉางอันอยู่บ้างล้วนตระหนกตกใจ ชาวหูในฉางอันส่วนมากนับถือนิกายเซียนเจี้ยว ลำพังเพียงสาวกเดือดแค้นก็ย่อมโกลาหลวุ่นวายมาก ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาทางการจึงติดต่อกับวิหารเซียนเจี้ยวอย่างระมัดระวัง ต้าซ่าเป่าปกครองนิกายและวิหารเซียนเจี้ยวทั่วเขตนครหลวงและเขตจิงจี อำนาจล้นพ้น คนมาถึงนี่อย่างกะทันหันย่อมมาตำหนิกล่าวโทษแล้ว

    เฮ่อจือจางยิ้มอย่างไร้ไมตรี นักโทษที่ไม่รู้การหนักเบาผู้นี้มิเพียงทำลายเบาะแสเพียงหนึ่งเดียว หากแต่ยังสร้างเรื่องเดือดร้อนใหญ่หลวงปานนี้ขึ้นอีกด้วย มันมองหลี่ปี้แวบหนึ่ง “ฉางหยวน วันนี้ท่านกระทำผิดเป็นครั้งที่สองแล้ว”

    เฮ่อจือจางกล่าวแผ่วเบาเพียงประโยคเดียวก่อนจะหันกลับไป “จับมันมัด! เอาตัวไป!”

    หลี่ปี้ขัดเขินยิ่งนัก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ประกายตากะพริบวาบ หากล่วงเกินนิกายเซียนเจี้ยว สร้างเรื่องเดือดร้อนใหญ่หลวงขึ้นจริงๆ มันก็ไม่อาจยื่นมือปกป้อง พลันที่องครักษ์ผู้ดุร้ายราวสุนัขป่าราวพยัคฆ์ร้ายหลายคนนี้ได้รับคำสั่งก็จับตัวจางเสี่ยวจิ้งมัดมือไพล่หลัง พันธนาการขนานใหญ่ ขณะกำลังจะพาออกไปนั้นเอง เสียงแหลมเสียดหูจากขาโต๊ะไม้เสียดสีกับพื้นดังก้องโถงตำหนัก ทุกคนมองไปยังต้นเสียง เห็นสวีปินลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เจ้าหน้าที่รอบข้างล้วนกำลังคุกเข่า ร่างมันจึงยิ่งเด่นชัด

    เฮ่อจือจางหรี่ตาทั้งสอง จ้องมองมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจบีบคั้นจากหัวหน้าจเรกองจิ้งอันซือ สวีปินท่าทางหวาดกลัว มันคิดแก้ต่างให้สหายสนิทสักหลายคำ ทว่ายามร้อนรนยิ่งติดอ่างรุนแรงกว่ายามปกติ เหงื่อท่วมศีรษะ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว มันอ้าปากหุบปากอยู่เป็นนาน สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่พูด ก้าวเดินออกจากหมู่เจ้าหน้าที่ไปถึงข้างกายจางเสี่ยวจิ้ง สวีปินไม่มีแผนซับซ้อนอันใด คราแรกนั้นเป็นมันที่ส่งสหายสนิทเข้ามาจิ้งอันซือ ก็จำเป็นต้องให้มันส่งออกไปจึงถูกต้อง

    ผู้ตรวจการเฮ่อเป็นขุนนางผู้ใหญ่ สมควรไม่คิดแค้นข้าเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้หรอกกระมัง…สวีปินคิดเช่นนี้ ยื่นมือขวาไปประคองแขนจางเสี่ยวจิ้งพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบาคำหนึ่ง “ขออภัย”

    จางเสี่ยวจิ้งที่ถูกมัดมือไพล่หลังสีหน้ายังปกติ สำหรับนักโทษประหาร นี่ไม่ใช่สถานการณ์ย่ำแย่ที่สุด อย่างมากกลับเข้าคุกรอความตาย ไม่ต่างกับก่อนหน้า เพียงแต่แรกเริ่มมามอบความหวังริบหรี่ให้มันแล้วพลิกกลับทำลายแหลกละเอียดทันที นี่โหดเหี้ยมกว่าสังหารกันโดยตรงเสียอีก

    เฮ่อจือจางไม่สนใจคนจนตรอกนี้แล้ว ที่มันครุ่นคิดอยู่ในใจคือ อีกสักครู่ควรรับมือต้าซ่าเป่าเช่นไร เรื่องนี้คิดดูแล้วประหลาดนัก ไฉนนิกายเซียนเจี้ยวจึงรู้เรื่องนี้รวดเร็วปานนี้ ฟากนี้เพิ่งเกิดเรื่อง ฟากนั้นก็มาถึงประตูบ้านแล้ว หรือว่ามีผู้จับตารอดูความขัดแย้งของจิ้งอันซืออยู่เบื้องหลัง?

    พลันที่คิดเรื่องแก่งแย่งในราชสำนัก สมองของชายชราก็ตื่นตัวทันที

    คิดไม่ถึงว่าจางเสี่ยวจิ้งคล้ายอ่านจิตใจมันกระจ่าง หัวเราะหึๆ ก่อนจะพูดว่า “ผู้ตรวจการเฮ่อมิต้องหลับตาคาดเดาวุ่นวายไป เป็นข้าให้เหยาหรู่เหนิงแจ้งมันเอง”

     

    นิ้วมือของเหวินหรั่นยาวและคล่องแคล่ว สามารถเลือกสรรธูปไม้กฤษณาจันทน์หอมที่เล็กละเอียด และก็สามารถปักดุนลวดลายโบตั๋นอันวิจิตรประณีต บัดนี้นางหลังพิงผนังห้องรถ นิ้วมือขวาสองนิ้วแทรกเข้าช่องว่างของแผ่นไม้ หนีบหัวตะปูที่คลายออกเล็กน้อย บิดช้าๆ พร้อมกันนั้นยังจดจำทิศทางและจำนวนครั้งที่รถม้าเลี้ยวอีกด้วย

    รถแล่นไปด้านหน้าอย่างมั่นคง ในห้องโดยสารยังคงมืดมิด อันธพาลคุมรถทั้งสี่คนแยกอยู่ฝั่งละสองคน เอาแต่สนทนาเหลวไหล รถม้าอบอวลด้วยกลิ่นหอม เป็นกลิ่นหอมที่แผ่ออกจากชั้นวางเครื่องหอมที่วางเอียงอยู่ด้านข้าง แต่ไรมาเครื่องหอมของร้านเหวินจี้ลือชื่อด้วยมีกลิ่นหอมเข้มข้น หอมคงทนยาวนาน

    อาจเพราะกลิ่นหอมนี้ เหล่าผู้คุมจึงสนทนาเลยล่วงมาถึงเรื่องหอคณิกาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าแต่ละคนตื่นเต้น หนึ่งในนั้นหันหน้ามา สายตาหื่นกระหายเปี่ยมราคะจ้องอกอวบอูมของเหวินหรั่น เหวินหรั่นอับอายกลายโทสะ หวีดร้องเสียงแหลม ผู้คุมจึงจำเป็นต้องตบหน้าเพื่อให้นางหยุดร้อง รอเมื่อพวกมันกลับประจำที่ เหวินหรั่นดึงมือขวากลับมาช้าๆ เมื่อสักครู่นางฉวยโอกาสร้องเสียงดังกลบเกลื่อน ทุ่มแรงสุดกายฝืนดึงตะปูออกจากร่องทันที

    ในความมืด นางกำหมัดแน่น ปลายตะปูแหลมคมยื่นผ่านร่องนิ้วออกมา

    ผ่านไปครู่ใหญ่ สารถีที่อยู่ด้านหน้าร้องตะโกนขอทาง รถชะลอความเร็ว วันนี้เทศกาลซั่งหยวน ผู้คนบนถนนมากมายเกินไป รถม้าจึงวิ่งๆ หยุดๆ

    สองตาของเหวินหรั่นพลันเบิกโต ทะยานร่าง ต่อยหมัดไปยังคนที่เมื่อสักครู่ทำร้ายนาง หมัดพุ่งตรงเข้าเบ้าตาฝ่ายตรงข้าม มันแผดร้องโหยหวน เมื่อเหวินหรั่นดึงหมัดกลับมา ปลายตะปูที่ร่องนิ้วก็อาบเต็มไปด้วยเลือดแดงสด

    ผู้คุมอีกสามคนต่างตกตะลึง มืออีกข้างของเหวินหรั่นคว่ำชั้นวางเครื่องหอมจนกระจายทั่วพื้น ในห้องโดยสารอันแคบเล็กนี้ช่วยขัดขวางได้อย่างดี นางฉวยโอกาสพุ่งไปด้านหน้าของห้องโดยสาร ดึงม่านออก ทุบท้ายทอยสารถีอย่างสุดกำลัง

    สารถีถูกตะปูแทงหัวกะทันหัน ความเจ็บปวดทำให้มันกระชากสายบังเหียนทันที…รถม้ากำลังเลี้ยว ม้าที่จู่ๆ ถูกกระชากตกใจดิ้น ตัวรถเสียหลักเอียงวูบ คนในห้องโดยสารที่ด้านหลังกลิ้งไปคนละทิศ เหวินหรั่นกัดฟัน เบี่ยงร่างกลิ้งลงจากตัวรถ ร่างนางตกถึงพื้น กลิ้งหมุนหลายรอบ มิกล้ารอช้าแม้เสี้ยวเวลา ลุกวิ่งโร่ไปทางตะวันออกทันที

    ก่อนหน้านี้นางคะเนเส้นทางวิ่งของรถม้าตลอดเวลา คาดว่าละแวกนี้เป็นถนนสายตัดขวางระหว่างจื๋อเยี่ยฟางกับเฟิงเล่อฟาง ทั้งสองฟางนี้ล้วนอยู่ฟากตะวันตกของถนนจูเชวี่ย เพียงวิ่งเลียบตามถนนไปทางตะวันออกก็จะเห็นถนนจูเชวี่ย

    ผู้คุมสองคนทั้งตกใจทั้งเดือดดาล พากันกระโดดลงจากห้องโดยสาร ไล่ตามเหวินหรั่น พวกมันร่างกายแข็งแรง วิ่งก้าวใหญ่กว่ามาก ไล่ตามเข้าใกล้เหวินหรั่นอย่างรวดเร็ว คนนำหน้าวิ่งเร็วที่สุด ไล่ตามไปหนึ่งร้อยก้าว ห่างจากนางเพียงก้าวเดียวแล้ว เหล่าอันธพาลแสยะยิ้มชั่วร้าย ยื่นมือออกคว้าเส้นผม คิดไม่ถึงว่าเหวินหรั่นหันหน้ากลับทันใด ขว้างแป้งหนึ่งห่อกระแทกสันจมูกมัน ห่อแป้งแตกกระจาย

    นี่เป็นถุงกำยานที่นางคว้าติดมือก่อนกระโดดออกจากรถ ด้านในเป็นอวิ๋นเซียงสยบเทพที่ทำเป็นพิเศษแก่คุณหนูสกุลหวัง สิ่งนี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายคน แต่ร้านเครื่องหอมเหวินจี้ฝีมือประณีต ผงหอมต่างๆ ล้วนบดละเอียดยิ่ง อันธพาลร้ายถูกแป้งสาดใส่ตากะทันหัน มิอาจไม่หยุดขยี้ตา

    ฉวยโอกาสนี้ เหวินหรั่นพุ่งออกไปถนนจูเชวี่ยทันที

    นางเงยหน้า เห็นยอดเจดีย์สีทองของวัดเจี้ยนฝูที่อยู่อีกฟากถนนอยู่ลิบๆ ในใจบังเกิดความหวังขึ้น ที่นั่นก็คืออันเหรินฟาง!

     

    ในขณะที่เหวินหรั่นพุ่งเข้าไปถนนจูเชวี่ยนั้นเอง ต้าซ่าเป่าพอดีย่างเท้าก้าวผ่านประตูใหญ่เข้าไปในจิ้งอันซือ

    ปีนี้ต้าซ่าเป่าอายุหกสิบกว่า นักบวชสวมชุดยาวสีขาวตัดเย็บด้วยผ้าต่วนลายแบบคอปกตั้ง ห้อยผ้าแถบปักลายวิจิตรเป็นลวดลายเปลวเพลิงสองสายไขว้ทับกัน นี่เป็นชุดพิธีการที่สวมเฉพาะงานทางการเท่านั้น แสดงว่าสำนักซ่าเป่าให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาก

    เซียนเจิ้งรูปหนึ่งถูกสังหารต่อหน้าธารกำนัลกลางวิหาร นี่อัปยศถึงระดับใดแล้ว

    มันมาถึงจิ้งอันซือ มีผู้เชิญไปห้องเดี่ยวด้านข้างตำหนัก ที่นี่ไม่มีหญิงรับใช้ มีเพียงทหารร่างกำยำใหญ่ไม่กี่คน ยกน้ำชามาจอกหนึ่ง เป็นชาโซ่วมู่ของอำเภอเจี้ยนเก๋อแห่งซื่อชวน ไม่เลวนัก เพียงแต่ที่กรองชาค่อนข้างใหญ่ไป เห็นฟองชาที่กระจายเต็มจอกก็รู้ว่าคนชงมิได้ใส่ใจ

    เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสท่านหนึ่งผลักประตูเข้ามา

    ต้าซ่าเป่าอยู่ในฉางอันนานปี เพียงมองป้ายรูปปลากับสีชุดยาวก็รู้ว่าคนผู้นี้ฐานะสูงส่งยิ่ง ทั้งสองกระทำคารวะต่อกัน แจ้งนามต่อกัน ต้าซ่าเป่าค่อยทราบว่าเป็นเฮ่อจือจางผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่วงท่าเคร่งเครียดขึ้นไม่น้อย

    เฮ่อจือจางสองมือประสานคารวะ เอ่ยปากกล่าวช้าๆ “ข้าตกใจมากเมื่อฟังว่าคนร้ายบุกเข้าในวิหาร สังหารนักบวช ในเมื่อจิ้งอันซือมีหน้าที่ป้องกันโจรผู้ร้ายในนครหลวง ย่อมไม่เพิกเฉยเด็ดขาด เราได้ส่งเจ้าหน้าที่มือดีออกสืบสวนเต็มกำลังแล้ว มิละเว้นเด็ดขาด!”

    ช้าก่อน! ต้าซ่าเป่ารู้สึกมิใคร่ถูกต้อง ฟังความหมายของเฮ่อจือจางนี้ พอเอ่ยปากก็คิดผลักความรับผิดชอบออกพ้นจิ้งอันซือเสียสิ้น มิอาจไม่เลิกคิ้วอย่างโกรธเกรี้ยว ท้วงด้วยภาษาฮั่นอันแปร่งแข็งว่า “เห็นชัดแจ้งว่าคนของท่านไล่ล่าโจรร้ายเข้ามาในวิหารของพวกข้า…”

    เฮ่อจือจางแทรกขัดกลางคัน “เคราะห์ดีที่หมู่สาวกท่านกล้าหาญมิดูดาย กลุ้มรุมสังหารคนร้าย ข้าย่อมกราบทูลชี้แจงต่อเบื้องบน เพื่อพระราชทานรางวัลชมเชย”

    วาจาสองตอนนี้ของเฮ่อจือจางทั้งปลอบทั้งตี ทั้งผลักภาระออกสิ้น ทั้งเอื้อสิ่งดีให้ อีกทั้งยังลอบบอกเป็นนัยว่าฝ่าบาทเชื่อถือตนเอง ทว่าต้าซ่าเป่ากลับไม่ยอมรับไมตรี ใช้ไม้เท้ากระแทกพื้น “พวกจิ้งอันซือของท่านไล่ล่าจับคนร้าย เป็นเหตุให้เซียนเจิ้งเสียชีวิต เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย หาไม่แล้วหากหมู่สาวกไม่ยินยอม ข้าก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมพวกมัน”

    ในฉางอัน นิกายเซียนเจี้ยวนับเป็นนิกายเล็ก แพร่หลายเฉพาะในหมู่พ่อค้าต่างแดน ราชสำนักควบคุมผ่านทางสำนักซ่าเป่า ทว่าเหล่าสาวกสามัคคีร่วมใจพร้อมเพรียง หากบังเกิดเรื่องขัดแย้งอันใดมักชักนำกลายเป็นเหตุวุ่นวายใหญ่โต ดังนั้นเมื่อมีเรื่องเกี่ยวพันถึงนิกายเซียนเจี้ยว ขุนนางต้าถังล้วนระมัดระวังยิ่ง มักเลือกประนีประนอม วิธีการนี้ต้าซ่าเป่าไม่พอใจมานานแล้ว

    คิดไม่ถึงว่าท่าทางเฮ่อจือจางแปรเปลี่ยนทันทีทันใด “ต้าซ่าเป่าท่านรู้หรือไม่ว่าโจรร้ายเป็นผู้ใด” ต้าซ่าเป่าได้ยินก็ตะลึงนิ่งงัน เฮ่อจือจางพูดต่อทันที “คนผู้นี้เป็นนักรบสุนัขป่าของข่านทูเจวี๋ย ลอบเข้าฉางอันช่วงเทศกาลซั่งหยวน คิดก่อเภทภัยต่อเบื้องบน”

    พอต้าซ่าเป่าได้ยิน จอกชาในมือพลันร่วงตกลงพื้น

    “พวกทูเจวี๋ย? ก่อเภทภัยต่อเบื้องบน? เทพหม่าซือต๋าบนสวรรค์เอ๋ย…” มันได้รับข่าวเพียงว่ามีเซียนเจิ้งรูปหนึ่งถูกสังหาร แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องพัวพันถึงนักรบสุนัขป่า หากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับทูเจวี๋ย น้ำหนักของเหตุการณ์ก็เปลี่ยนผันโดยสิ้นเชิง ต้าซ่าเป่ารู้ดี นี่เป็นเส้นอันตรายที่มิอาจแตะต้องล่วงเกินราชสำนัก

    เฮ่อจือจางเฉียบแหลมยิ่ง มันฉกฉวยห้วงจังหวะที่ต้าซ่าเป่าสีหน้าแปรเปลี่ยน กล่าวว่า “แม้ว่าคนผู้นี้ถูกรุมทำร้ายตายที่ด้านหน้าวิหารเซียนเจี้ยว ทว่าของสำคัญชิ้นหนึ่งบนตัวมันถูกคนเอาไป ยังไม่พบเห็นร่องรอย…เรื่องนี้หากไม่สืบให้รู้แน่ชัดก็จะเป็นเรื่องร้ายใหญ่หลวง”

    นัยลับอันชัดแจ้ง หากนำของกลับมาไม่ได้ นิกายเซียนเจี้ยวย่อมหนีไม่พ้นว่าสมคบกับนักรบสุนัขป่า หากต้าซ่าเป่ายังคิดดึงดัน ยุยงเหล่าสาวกก่อเรื่องวุ่นวาย นั่นย่อมมีโทษสมคบกบฏทูเจวี๋ย

    ต้าซ่าเป่ารีบแก้ต่างเสียงดังว่า “เซียนเจิ้งของนิกายเราถูกโจรร้ายฆ่าตาย ไม่มีเรื่องสมคบพวกทูเจวี๋ยเป็นอันขาด”

    เดิมทีเป็นมันมาตำหนิ พอวาจานี้กล่าวออก สถานการณ์พลิกผันทันที ทว่าเฮ่อจือจางกลับหาได้รุกไล่บีบเค้น เพียงยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้ดีว่านิกายเซียนเจี้ยวรู้สิ่งควรมิควร สัตย์ซื่อจริงใจ ย่อมไม่สมคบคนเลว หนุนช่วยพวกมัน”

    ต้าซ่าเป่าระบายลมหายใจครั้งหนึ่ง เฮ่อจือจางพูดสืบต่อ “วิสุทธิเทพหม่าซือต๋าตรัสไว้ว่า คิดชอบ วาจาชอบ ปฏิบัติชอบ ล้วนเป็นบุญ พวกท่านละทิ้งสามเลว เทิดทูนสามชอบ ไฉนจะส่งเสริมโจรร้ายได้เล่า”

    พลันที่ต้าซ่าเป่าได้ยิน สองตาเปล่งประกายเจิดจ้า หม่าซือต๋าคือพระนามของเทพเจ้าแห่งนิกายเซียนเจี้ยว สามชอบสามเลวต่างๆ ล้วนเป็นคำสอนในนิกาย…เฮ่อจือจางล่วงรู้ได้อย่างไร

    ควรรู้ว่าคำสอนนิกายเซียนเจี้ยวลึกล้ำ ผ่านเวลามายาวนานก็ยังไม่สามารถรุ่งเรืองขึ้นในฉางอัน ขุนนางในราชสำนักมักเรียกเป็น ‘สวรรค์ของคนนอกด่าน’ หรือ ‘เทพเจ้าของพวกหู’ หามีผู้ใดคิดค้นคว้าลึกซึ้ง ต้าซ่าเป่าเดินทางจากปอซือมาฉางอันยี่สิบกว่าปี ยากพบพานผู้เข้าใจ มันเศร้าใจมาตลอด วาจาของเฮ่อจือจางนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินขุนนางใหญ่ต้าถังชักนำกล่าวอ้างคำสอนของนิกายมัน

    เฮ่อจือจางเห็นว่าได้การพอเหมาะแล้วก็คารวะอย่างสำรวม เอ่ยอย่างจริงใจยิ่ง “วันนี้ฉางอันเกิดเรื่อง พอดีจำเป็นต้องขอให้ท่านอำนวยความสะดวกแก่จิ้งอันซือของข้า ท่านและข้าร่วมบูชาไฟบริสุทธิ์ กำจัดโจรร้าย”

    พลันที่ได้ยิน ‘บูชาไฟบริสุทธิ์’ ขอบตาต้าซ่าเป่าก็เปียกชื้นแล้ว นิกายเซียนเจี้ยวเทิดทูนไฟ คำนี้ทะลุกลางใจมันแล้วจริงๆ ร่างชราสั่นเทา ลุกขึ้นยืน ปล่อยไม้เท้า สองมือรวมเข้าเป็นรูปเปลวเพลิงขวางอยู่หน้าอก คารวะเฮ่อจือจางอย่างลึกซึ้ง

    “เหล่าสาวก ยินดีรับใช้ผู้ตรวจการเฮ่อ!”

     

    ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนสายกว้างใหญ่ วางตัวแนวทิศใต้ทิศเหนือเป็นแกนกลางของทั้งเมืองฉางอัน กลางถนนนูนสูงเล็กน้อย สองฝั่งถนนมีร่องน้ำลึก จากฝั่งตะวันออกไปถึงฝั่งตะวันตกกว้างราวหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว ผิวถนนเททับด้วยทรายแม่น้ำฉ่านเหอหนามากหนึ่งชั้น ดูคล้ายแม่น้ำใหญ่สีเขียวขาว แบ่งฉางอันออกเป็นสองอำเภอคืออำเภอฉางอันกับอำเภอวั่นเหนียน สองฟากถนนปลูกต้นไหวและต้นอวี๋สูงใหญ่มาก ทุกระยะหนึ่งร้อยก้าวยังมีรูปสลักหินตั้งประจันหน้าแนวตะวันออกตะวันตก ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม

    นี่เป็นทางส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ ราษฎรต้องอ้อมไปข้ามที่ทางแยกเก้าแห่งซึ่งกำหนดไว้ ห้ามล้ำเส้น อีกทั้งห้ามวิ่งเร็ว เมื่อเหวินหรั่นเหยียบลงบนถนนสายนี้จึงได้แต่เดินตามไปในแถวฝูงชน เคลื่อนไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ดีที่อันธพาลสองคนซึ่งไล่ตามมาก็ไม่กล้าก่อเรื่องบนทางเสด็จ ได้แต่ตามมาในฝูงชน ห่างออกมาระยะไกลพอควร

    เหวินหรั่นเดินด้วยใจหวาดหวั่นแต่ก็ไปถึงทางแยกฝั่งตรงข้ามอย่างปลอดภัย ระบายลมหายใจยาวมากครั้งหนึ่ง ในอันเหรินฟางมีผู้สูงศักดิ์มากมาย ทั้งจวนทั้งคฤหาสน์ต่างๆ สามารถเปิดประตูสู่ถนนใหญ่โดยตรง มิจำเป็นต้องผ่านทางประตูฟาง ดังนั้นมองผ่านกำแพงฟางไปก็เห็นแนวแถวประตูสีชาดที่เหนือคานเป็นบานแกะสลักใหญ่โตสิบกว่าประตู ประตูใหญ่ของคฤหาสน์คุณหนูสกุลหวังก็คือที่สามจากขวา ใต้ประตูมีต้นอวี๋สี่ต้น ตั้งสัตว์ศิลาจงรักภักดีสองตัวกับง้าวใหญ่สิบสองเล่ม จดจำง่ายดายมาก

    บิดาของคุณหนูสกุลหวังเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก มาถึงคฤหาสน์คุณหนูสกุลหวัง ตนเองก็น่าจะปลอดภัยแล้ว

    เหวินหรั่นคิดเช่นนี้ รีบเดินเข้าไป ขณะที่นางใกล้ถึงประตูสีชาดของจวนสกุลหวังนั้นเอง ประตูใหญ่พลันส่งเสียงเอียดอาด เปิดออกสู่ด้านข้างทั้งสองบาน รถประหลาดคันหนึ่งแล่นออกมาจากด้านใน

    สัตว์ที่ลากรถคันนี้มิใช่ม้ามิใช่วัว หากแต่เป็นอูฐขาวสองหนอก ซ้ายขวาของห้องโดยสารเป็นลูกกรงเตี้ยทำจากไม้อวิ๋น ไม่มีหลังคาชายคา มองดูเหมือนกำลังลากตั่งหลัวฮั่น สตรีร่างสูงผอมนางหนึ่งกำลังเกาะลูกกรงหน้า มองไปเบื้องหน้า ศีรษะนางใช้ด้ายเงินผูกเป็นมวยสูง สวมเสื้อยาวสีมรกตพับคอเสื้อ เท้าสวมรองเท้าหุ้มข้อสีแดง ดูองอาจห้าวหาญยิ่งนัก

    เหวินหรั่นยืนอยู่ข้างสัตว์ศิลาตะโกนเรียก “คุณหนูหวัง!”

    สตรีนั้นโน้มร่างลง ทักอย่างยิ้มแย้มว่า “อ้อ เหวินหรั่นหรอกหรือ ตัวเจ้าหอมยิ่งนัก อยู่ห่างสิบลี้ยังได้กลิ่น นำอวิ๋นเซียงสยบเทพที่ข้าสั่งทำมาด้วยหรือไม่”

    เหวินหรั่นกำลังจะตอบ คุณหนูสกุลหวังพลันโบกมือ “มาสิ ขึ้นรถเสียก่อน แล้วค่อยว่ากล่าวกัน”

    เหวินหรั่นยกชายกระโปรง จากนั้นเหนี่ยวตัวขึ้นบนรถ ในลูกกรงรถปูพรมกำมะหยี่หนามาก วางกล่องอาหารลงรักมันวาวแถวหนึ่ง ในนั้นบรรจุขนมหลากหลายชนิด ที่มุมยังมีเตากำยานหกเหลี่ยมเล็กกะทัดรัดตั้งอยู่ หญิงรับใช้คนหนึ่งกำลังเฝ้าระวังเครื่องใช้เหล่านี้…มองดูคล้ายจะออกท่องชนบทยามฤดูใบไม้ผลิ

    คุณหนูสกุลหวังมีนามว่าหวังอวิ้นซิ่ว นิ้วมือปานหยกงามของนางชี้ออก อวดว่า “เจ้ามาได้พอดีนัก ข้าเพิ่งได้รถเทียมอูฐใหม่กำลังจะออกไปเที่ยว นี่เป็นของเล่นชิ้นใหม่จากดินแดนทุ่งหญ้าเชียว ทั้งเมืองฉางอันมีเพียงหนึ่งคันเท่านั้น ผู้อื่นยังหามีไม่…มา คลุมเสื้อคลุมชาวหูตัวนี้ มิเช่นนั้นนั่งบนนี้จะไม่เข้าบรรยากาศ”

    เดิมทีเหวินหรั่นคิดบอกเรื่องของตนเอง ทว่าเห็นชัดเจนว่าหวังอวิ้นซิ่วไม่สนใจเรื่องของนาง มัวแต่บรรยายความวิเศษเลิศเลอของรถคันนี้ไม่หยุดปาก เหวินหรั่นรู้ว่าคุณหนูผู้นี้นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ชมชอบธรรมเนียมชาวหู จึงไม่กล้าขัดความสุขของนาง ได้แต่รับเสื้อมาคลุมไว้ อดทนรอนางพร่ำจนจบ

    ระหว่างรับฟังอยู่นั้นเอง รถเทียมอูฐออกจากคฤหาสน์แล้ว รถเลี้ยวลงใต้ ผ่านหลายฟาง ทั้งอันเหรินฟาง กวงฝูฟาง จิ้งซั่นฟาง อันธพาลสองคนนั้นเห็นนางขึ้นรถเทียมอูฐของสกุลหวังก็มิกล้าเข้าไปใกล้ แต่ก็ไม่อาจถอยกลับ ได้แต่ตามอยู่ห่างๆ ดีที่อูฐเดินไม่เร็ว พวกมันเดินเท้ายังตามทัน

    หลังจากรถเทียมอูฐพ้นจิ้งซั่นฟาง คนเดินถนนรอบข้างน้อยลงมาก เมืองฉางอันตอนใต้ไม่คึกคักสู้ตอนเหนือ บ้านเรือนวัดวาอารามไม่หนาแน่นนัก แลดูรกร้างว่างเปล่าอยู่หลายส่วน รถมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง สารถีรั้งอูฐหยุดกะทันหัน หวังอวิ้นซิ่วถามอย่างไม่พอใจว่ามีเรื่องอันใด สารถีตอบว่าคนของกองช่างหลวงกำลังซ่อมถนน ให้พวกเราอ้อมหลบ

    ด้านหน้าตั้งป้ายไม้หลิวเขียนว่า ‘งานหลวงนอก’ จริงๆ ไกลออกไปมีชาวบ้านเปิดอกเสื้อหลายคนปิดหน้าด้วยผ้าขาว กำลังใช้คราดไม้เกลี่ยดินทราย หวังอวิ้นซิ่วหัวเราะเย็นชา “กองช่างหลวงอันต่ำต้อยก็กล้าขวางรถของข้าหรือ ฝ่าตรงออกไป!”

    เหวินหรั่นกำลังคิดว่าสมควรเล่าเรื่องของนางเมื่อไรดี ทันใดนั้นได้ยินเสียงกระหึ่มรุนแรง นางหันไปดู ม่านตาถึงกับหดตัวทันที ที่นี่เป็นที่ต่ำมาก บนเนินสูงที่ทางแยกด้านขวา รถขนของไร้ม้าลากคันใหญ่คันหนึ่งบรรทุกหินเต็มคันกำลังพุ่งตรงลงมายังรถเทียมอูฐที่ด้านล่างเนิน

    รถขนของน้ำหนักมาก พุ่งลงมาจากเนินก็เหมือนสัตว์ร่างมหึมาบ้าคลั่งไร้การควบคุม เสียงล้อดังสนั่น พลังรุนแรงมิอาจต้านได้ เหวินหรั่นกรีดร้องเสียงแหลม สารถีรีบร้อนเร่งอูฐ ทว่ายามฉุกละหุกเยี่ยงนี้ไฉนจะทันท่วงที รถขนของพุ่งลงมาพร้อมกับเสียงลมปานพายุร้าย ชนด้านข้างรถเทียมอูฐอย่างรุนแรง

    เสียงไม้แตกหักกระจัดกระจายดังไม่ขาดสาย รถเทียมอูฐทั้งคันถูกชนพลิกหงายชี้ฟ้าไปทันที จากนั้นก็ถูกหินกลบทับ

    เหตุไม่คาดหมายนี้ทำให้พลเฝ้าระวังที่ตรอกข้างเคียงตกใจ พวกมันพากันรีบรุดมาตรวจดู คนงานจากกองช่างหลวงพลันเหยียดร่างตรง ดึงดาบสั้นที่ฝังอยู่ในดินออกมา กระโจนเข้าหากลุ่มพลเฝ้าระวัง คนเหล่านี้วางแผนมานาน ลงมือเหี้ยมโหด พลเฝ้าระวังเหล่านั้นถูกฆ่าตายสิ้นเกือบจะในทันที หญิงขายผลไม้คนหนึ่งบังเอิญผ่านมาทางนี้ นางหันหลังคิดวิ่งหนี คนงานคนหนึ่งขว้างมีดปักกลางหลังนาง ล้มจมกองเลือด

    คนงานเหล่านี้จัดการพลเฝ้าระวังเสร็จสิ้นก็ปราดเข้าห้อมล้อมรถเทียมอูฐที่แตกหักเสียหาย ล้อรถสองล้อของรถเทียมอูฐชี้ขึ้นฟ้า ตัวรถครอบคนโดยสารทั้งหมดไว้ข้างใต้ เคราะห์ดีที่รถนี้ลูกกรงเตี้ยท้องลึก เป็นเหมือนกล่องใบหนึ่งครอบพวกนางเอาไว้ ไม่ได้ทับลงไปตรงๆ สารถีกลับมิได้โชคดีเยี่ยงนั้น มันถูกอูฐสองหนอกทับทั้งตัว เอ็นขาดกระดูกแตก ดูท่าไม่อาจรอดชีวิต

    กลุ่มคนงานเตะแผ่นไม้ข้างตัวรถออก ลากทั้งสามคนข้างในออกมา พบว่าสตรีในชุดหญิงรับใช้ตายแล้ว อีกสองคนสลบไสลเพราะแรงกระแทก คนงานผู้หนึ่งดึงผ้าปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าเคร่งเครียดของเฉาพั่วเหยียน

    “คนไหนคือลูกสาวของหวังจงซื่อ” มันถาม คนอื่นๆ ต่างพากันส่ายหน้า แยกแยะไม่ออกเช่นกัน สตรีที่สลบไปทั้งสองล้วนสวมเสื้อคลุมชาวหู เฉาพั่วเหยียนเงยหน้า มองไกลออกไปเห็นคนเดินถนนกำลังรวมตัวกันมากขึ้นจึงโบกมือ

    “ไม่มีเวลาแล้ว ตัดแขนกับหัวของพวกนางเอากลับไปแล้วค่อยแยกแยะ”

    เฉาพั่วเหยียนเงื้อดาบ กำลังจะฟันลง แต่กลับถูกนักรบสุนัขป่านามว่าหมาเก๋อเอ๋อร์ที่ด้านข้างห้ามไว้ หมาเก๋อเอ๋อร์ร่างสูงใหญ่มาก ยังสูงกว่าเฉาพั่วเหยียนเสียอีก “ท่านโย่วซาผู้สูงศักดิ์สั่งไว้ให้จับเป็น หวังจงซื่อฆ่าบุตรชายของท่าน ท่านต้องการเห็นลูกหลานศัตรูตายด้วยตาตนเอง”

    เฉาพั่วเหยียนตวาด “นี่เวลาใดกันแล้ว ยังเฝ้าคิดเรื่องความแค้นส่วนตนอยู่อีก! พาคนเป็นไปด้วยอีกสองคนเป็นภาระมาก! จะขังไว้ที่ใด!”

    หมาเก๋อเอ๋อร์ตอบ “ท่านโย่วซาผู้สูงศักดิ์บอกว่าจัดเตรียมบ้านไว้หลังหนึ่งแล้ว สามารถ…”

    “นั่นก็ยังต้องสิ้นเปลืองคนและเวลา! ที่นักรบสุนัขป่าจงรักภักดีคือท่านข่าน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของท่านโย่วซา!” เฉาพั่วเหยียนสะบัดข้อมือฟันลงไป คิดไม่ถึงว่าหมาเก๋อเอ๋อร์ก็ชักดาบออกรับบังเกิดเสียงเคร้ง

    เฉาพั่วเหยียนโกรธมาก มันเป็นคนสนับสนุนหมาเก๋อเอ๋อร์ผู้นี้เข้าเป็นหนึ่งในหน่วยสุนัขป่า บัดนี้ถึงกับกล้าขัดคำสั่ง! ขณะมันจะด่าว่าสั่งสอนก็พลันเห็นแววตาของกลุ่มนักรบสุนัขป่ารอบข้างประหลาดไป มันเข้าใจทันที อำนาจของตนเองจบสิ้นไปแล้ว หากกล่าวให้ตรงยิ่งขึ้น ตอนนี้ฐานะของตนเองยังต่ำต้อยกว่าทาสเลี้ยงสัตว์ในดินแดนทุ่งหญ้าเสียอีก

    ตอนนี้ที่นักรบสุนัขป่าเหล่านี้ยังติดตามมันก็เพราะว่ามีคำสั่งของโย่วซาผู้สูงศักดิ์ หากมันกระทำขัดแย้งกับคำสั่งของโย่วซาผู้สูงศักดิ์ พวกมันย่อมไม่คำนึงถึงน้ำใจเหล่าพี่น้องเด็ดขาด เนื่องจากโย่วซาเป็นตัวแทนของท่านข่าน

    ใจเฉาพั่วเหยียนคิดภักดีต่อท่านข่าน ทว่าที่น่าขันคือคนที่ขัดขวางมันกลับเป็นนักรบสุนัขป่าอื่นๆ ซึ่งจงรักภักดีต่อข่านโดยไร้ความเคลือบแคลง

    ประจันหน้าเยี่ยงนี้เพียงไม่นาน เฉาพั่วเหยียนพ่นลมหายใจเฮือกยาว ลดดาบลง หมาเก๋อเอ๋อร์ดั่งปลดภาระหนักอึ้งทิ้งออก มันรู้จักหัวหน้าเก่าผู้นี้ดียิ่งนัก หากอีกฝ่ายคิดอาละวาด คนในที่นี้ไม่ว่าผู้ใดก็ขัดขวางไม่สำเร็จ

    “สินค้าจากเหยียนโจวใกล้มาถึงแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ข้าจำเป็นต้องไปรับด้วยตนเอง ตัวประกันพวกเจ้านำไปเองเถอะ” เฉาพั่วเหยียนหันกายจากไป ไม่หันกลับมาอีก

    หมาเก๋อเอ๋อร์ก็ไม่กล้าขวางทาง รีบสั่งคนอื่นๆ ลากเหวินหรั่นกับหวังอวิ้นซิ่วขึ้นรถคันใหญ่ล้อมม่านสี่ด้านที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว ออกไปจากทางแยกนี้อย่างรวดเร็ว

    ที่ไกลออกไปอีก อันธพาลทั้งสองยืนตะลึงอยู่กับที่ เบื้องหน้าเป็นถนนที่นองด้วยเลือดสดๆ ไปครึ่งถนน พวกมันทำอันใดไม่ถูกแล้ว

     

    เฮ่อจือจางเดินกลับเข้ามาในตำหนักใหญ่อีกครา ใบหน้ามันปรากฏแววขัดเขินพิสดารนัก บนคอคล้องผ้าปักรูปเปลวเพลิงเพิ่มมาผืนหนึ่ง ภาพน่าขบขันเช่นนี้ทำให้ผู้คนคิดหัวร่อ ทว่าก็มิกล้าหัวร่อออกมา

    เฮ่อจือจางมองจางเสี่ยวจิ้งแวบหนึ่ง ไม่กล่าวมากความอันใด เดินตรงไปยังหลี่ปี้ ยื่นสมุดรายชื่อเก่าคร่ำม้วนหนึ่งออกมาให้ หลี่ปี้เพียงพลิกดูคร่าวๆ แล้วรีบส่งต่อแก่สวีปินทันที บรรดาเจ้าหน้าที่ของจิ้งอันซือเริ่มค้นอ่านม้วนหนังสือม้วนบันทึกต่างๆ อีกครั้ง วงจรการระดมสรรพกำลังเริ่มหมุนเคลื่อนขึ้นอีกครา

    จางเสี่ยวจิ้งสองมือกอดอก ยืนอยู่ปากประตูตำหนัก จ้องถานฉีด้วยแววตาค่อนข้างซุกซน นางรู้สึกทั้งรังเกียจทั้งจนปัญญา คิดขว้างเคียวไม้ใส่มัน แต่ก็กระทำมิได้ เนื่องจากคนเจ้าชู้หน้าตาน่าเกลียดผู้นี้เพิ่งสร้างเรื่องมหัศจรรย์

    ที่เฮ่อจือจางพบสนทนากับต้าซ่าเป่า เป็นแผนของจางเสี่ยวจิ้งแต่ผู้เดียว

    ตามที่มันคะเนนั้น พวกทูเจวี๋ยน่าจะมีสายลับแฝงตัวปลอมเป็นสาวกอยู่ในวิหารเซียนเจี้ยวที่ไหวหย่วนฟาง นักรบสุนัขป่าเจตนาหนีไปยังที่แห่งนี้เพราะวางแผนส่งต่อแผนที่ฟางให้คนของพวกมันไว้ก่อนแล้ว

    นิกายเซียนเจี้ยวค่อนข้างแคบ เหล่าสาวกคุ้นหน้ากันดี ด้วยเหตุนี้สายลับผู้นี้คงมิได้เพิ่งเข้ามา เกรงว่าแฝงตัวอยู่ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว

    สาวกนิกายแต่ละคนต้องกำหนดวันมาที่วิหารเพื่อบูชาไฟเป็นที่แน่นอน ไม่ว่าบริจาคเครื่องหอม น้ำมันและเงินทองล้วนมีลงบันทึก หากคิดรู้ตัวคนผู้นี้ วิธีอันดีที่สุดคือได้สมุดรายชื่อผู้บริจาคของนิกายเซียนเจี้ยว มีสมุดรายชื่อนี้แล้วนำมาเทียบกับทะเบียนบ้านฉางอัน ด้วยความสามารถค้นหาข้อบันทึกอันเยี่ยมยอดของจิ้งอันซือ ย่อมพบความจริงได้ง่ายดายมาก

    นี่ก็คือสาเหตุที่จางเสี่ยวจิ้งเจตนาแจ้งต้าซ่าเป่า หากมันไม่ร่วมมือ ย่อมมิอาจได้สมุดรายชื่อเล่มนั้นโดยง่าย

    ต่อจากนั้นปัญหาก็คือจะโน้มน้าวให้ต้าซ่าเป่าร่วมมือได้อย่างไร เห็นชัดเจนว่าให้เฮ่อจือจางผู้มีชื่อเสียงบารมีเปี่ยมล้นออกหน้าเจรจาย่อมเหมาะสมกว่าหลี่ปี้

    แม้ไม่ชอบจางเสี่ยวจิ้ง ทว่าเพื่อความปลอดภัยของฉางอัน เฮ่อจือจางก็ได้แต่ฝืนใจทำตามแผนของนักโทษประหารผู้นี้ วาจาที่ทำให้ต้าซ่าเป่าซาบซึ้งใจเหล่านั้นล้วนเป็นจางเสี่ยวจิ้งแนะต่อเฮ่อจือจาง

    คนของนิกายเซียนเจี้ยวไม่ใส่ใจเงินทองหรืออำนาจสักเท่าไร หากแต่ชื่นชอบผู้เข้าใจคำสอนของนิกาย เกลี้ยกล่อมตามวิธีนี้มิเพียงเหล่าสาวกไม่ก่อความวุ่นวาย ต้าซ่าเป่ายังยินดีออกปากให้ความร่วมมือเอง รีบสั่งคนนำสมุดรายชื่อผู้บริจาคของไหวหย่วนฟางมามอบให้ทันที

    ถานฉีมองไปยังจางเสี่ยวจิ้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย บุรุษผู้นี้คล้ายคำนวณทุกสิ่งอย่างไว้แต่แรกแล้ว กระทั่งบุคคลเยี่ยงเฮ่อจือจางยังมิอาจไม่กระทำตามแผนมัน…ตอนนี้น่าสนุกนัก ถานฉีนึกสนุกสนานคิดไปถึงว่าผู้ตรวจการเฮ่อจะจัดการมันเช่นไร ยกเลิกคำสั่ง? หรือว่ายังคงยืนยันขับไล่?

    ทว่าที่เคลื่อนไหวก่อนหาใช่เฮ่อจือจาง แต่กลับเป็นจางเสี่ยวจิ้ง มันปล่อยแขนลง ปัดฝุ่นในเบ้าตา จะเดินออกนอกตำหนัก หลี่ปี้ขมวดคิ้ว ถามมันว่าไปที่ใด จางเสี่ยวจิ้งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “คำถามนี้ไม่สมควรถามข้ากระมัง” ในตำหนักเงียบไปฉับพลัน กระทั่งบรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังก้มหน้าค้นอ่านก็ยังรามือช้าลงหลายส่วน

    เฮ่อจือจางส่งเสียงกระแอม “จิ้งอันซือมีกฎระเบียบของตนเอง ไม่อาจให้นักโทษประหารอยู่ แต่ข้าหามีอคติต่อเจ้าไม่ วันนี้เจ้ามีความชอบย่อมต้องตอบแทนเจ้า อยู่ในคุกมีข้อเรียกร้องใด จงบอกมา”

    “เช่นนั้นก็มอบกระดาษเงินกระดาษทองเถอะ”

    “อ้อ?” ข้อเรียกร้องนี้นอกเหนือความคาดหมายของเฮ่อจือจางยิ่งนัก

    “ข้าจะเซ่นไหว้ล่วงหน้าให้เมืองฉางอันกับราษฎรที่กำลังจะตาย”

    ได้ยินคำตอบนี้ ลมหายใจเฮ่อจือจางติดค้างกลางคอหอย มันถูกคำพูดนี้ตอกจนมือสั่นเทา จางเสี่ยวจิ้งหัวเราะหึๆ เชิดหน้าจะเดินออกไปด้านนอก ทันใดนั้นหลี่ปี้ยื่นมือคว้าตัวมันไว้ พูดอย่างใส่อารมณ์ต่อเฮ่อจือจาง “ผู้ตรวจการเฮ่อ! วันนี้คนผู้นี้ยังมีประโยชน์มากนัก หรือว่าไม่อาจอะลุ่มอล่วย”

    เฮ่อจือจางส่ายหน้า ช้าๆ แต่หนักแน่น นี่เป็นปัญหาเรื่องหลักการ

    คิ้วเรียวเล็กของหลี่ปี้ชี้ชัน ล้วงตราลัญจกรของตนเองออกจากในอกเสื้อ จะวางลงบนโต๊ะ ถานฉีตื่นตกใจ นี่คุณชายจะแตกหัก บีบบังคับด้วยการลาออกหรือ เพื่อนักโทษประหารเพียงคนเดียว สมควรกระทำถึงเยี่ยงนี้เชียวหรือ

    ขณะตรานี้ยังไม่ถึงพื้นโต๊ะ เจ้าหน้าที่ผู้น้อยคนหนึ่งที่มุมตำหนักพลันร้องเสียงดัง “ผู้บัญชาการหลี่ ท่านดูนี่!” จากนั้นส่งเอกสารให้ หลี่ปี้มองแวบหนึ่ง รีบส่งต่อให้เฮ่อจือจาง เฮ่อจือจางกวาดตาผ่านรอบหนึ่ง ทันใดนั้นไหล่ทั้งสองสั่นเทา ทั่วร่างคล้ายถูกอสนีฟาด

    นี่เป็นรายงานเบ็ดเตล็ดชิ้นหนึ่ง มาจากพลลาดตระเวนถนนของเหยียนโซ่วฟาง

    พลลาดตระเวนถนนมีประจำอยู่ทุกฟาง หมู่ราษฎรเกิดความขัดแย้งหรือพบเห็นสิ่งผิดปกติมักแจ้งพลลาดตระเวนประจำฟางก่อน เรียกว่ารายงานเบ็ดเตล็ด เพื่อให้จิ้งอันซือรู้ความเคลื่อนไหวทั้งฉางอันอย่างทันท่วงที หลี่ปี้สั่งต่อทุกหน่วยกำลังพล ไม่ว่าข่าวใหญ่ข่าวเล็กล้วนต้องส่งมาหนึ่งสำเนา มีคนคัดแยกโดยเฉพาะ

    รายงานเบ็ดเตล็ดฉบับนี้เนื้อความว่า มีราษฎรพบศพชายผู้หนึ่งที่ใต้สะพานใกล้เหยียนโซ่วฟาง ตรวจสอบเบื้องต้น ผู้ตายถูกหักคออย่างแรง เสื้อผ้าถูกขโมย มีคนดื่มสุราอยู่ละแวกใกล้เคียงจำได้ว่าคนผู้นี้คือ…เจียวซุ่ย

    ชาวฉางอันชื่นชอบดื่มสุราจนกลายเป็นธรรมเนียม ในจำนวนนี้มีแปดคนชื่อเสียงเลื่องลือมาก ได้ฉายา ‘แปดเซียนเมรัย’ ผู้นำคือเฮ่อจือจาง คนอื่นๆ อีกเจ็ดคนประกอบด้วยหลี่ไป๋ หลี่ซื่อจือ หลี่จิน ชุยจงจือ ซูจิ้น จางซวี่ เจียวซุ่ย…เจียวซุ่ยเป็นผู้เดียวในแปดเซียนที่มิได้รับราชการ เฮ่อจือจางคบหาเป็นสหายสุรากับมันตั้งแต่รัชศกไคหยวนปีที่หนึ่ง ทั้งสองมีไมตรีลึกซึ้ง

    เฮ่อจือจางคิดไม่ถึงว่าถึงกับได้รับข่าวสหายเก่าตายในเวลานี้

    หลี่ปี้พูดเสียงเฉียบขาด “ห่างเหยียนโซ่วฟางไม่ไกลนักคือคูเหนือหย่งอัน ซึ่งก็คือตำแหน่งที่พวกเราสงสัยว่าเฉาพั่วเหยียนขึ้นฝั่ง ลักษณะการตายของเจียวซุ่ยเช่นเดียวกับชุยลิ่วหลาง เกรงว่านี่ก็คือฝีมือโหดเหี้ยมของพวกทูเจวี๋ย” วาจานี้ยิ่งทำร้ายรุนแรง เฮ่อจือจางหน้ามืดวิงเวียนทันที

    “รีบประคองผู้ตรวจการเฮ่อ” หลี่ปี้บอกสีหน้าเรียบเฉย

    ถานฉีรีบก้าวเท้าเข้าไปประคองแขนเฮ่อจือจาง นางรู้สึกถึงแขนชายชราสั่นเบาๆ ร่างโงนเงน ที่ผ่านมามันก็มักป่วยเป็นลมจับมานานแล้ว ได้รับข่าวร้ายกะทันหันจึงกำเริบรุนแรง

    เคราะห์ดีที่ในจิ้งอันซือตระเตรียมสุราอินอวี้ไว้ รีบกรอกให้มันหนึ่งจอก สุรายาชนิดนี้เป็นตำรับของซุนซือเหมี่ยว เฮ่อจือจางดื่มแล้วอาการดีขึ้น ทว่าร่างกายคล้ายถูกสูบเอาวิญญาณออกไป เพราะถึงอย่างไรมันก็อายุแปดสิบกว่าแล้ว ร่างกายจิตใจล้วนอ่อนแอ สหายสนิทเสียชีวิตยิ่งกระทบกระเทือนจิตใจมัน

    เฮ่อจือจางดิ้นรนคิดลุกขึ้น ทว่ากลับวิงเวียนรุนแรงกว่าเดิม มันถอนใจยาวมากครั้งหนึ่ง รู้ว่าเมื่อโรคนี้กำเริบย่อมไม่อาจดูแลงาน มันเรียกหลี่ปี้เข้ามา “ที่แห่งนี้…ต้องอาศัยฉางหยวนท่านแล้ว” มันหยุดครู่หนึ่งแล้วลดเสียงเบา “จางเสี่ยวจิ้งผู้นี้สามารถใช้งาน มิอาจไว้วางใจ รอเมื่อเรื่องนักรบสุนัขป่าสะสางสิ้นแล้วจะต้องจัดการทันที ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัยร้ายแรงไม่สิ้นสุดในภายหลัง…ศัตรูของจิ้งอันซือ หาใช่มีเพียงคนทูเจวี๋ยเท่านั้น…”

    วาจาหลายคำนี้ก็สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของชายชราเสียสิ้นแล้ว ถานฉีรีบส่งคนไปตระเตรียมรถเทียมวัว สั่งหมอคนหนึ่งติดตามไปด้วย ส่งมันกลับจวนตนเองไปพักผ่อน หลี่ปี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กอดแส้ปัดแนบอก

    รอเมื่อเฮ่อจือจางจากไปแล้ว จางเสี่ยวจิ้งหรี่ตา กล่าวแฝงเลศนัยขึ้นคำหนึ่ง “ผู้บัญชาการหลี่ยึดกุมห้วงเวลาดีเยี่ยม” น้ำเสียงครึ่งหนึ่งชมเชยครึ่งหนึ่งเสียดสี

    “สถานการณ์คับขันสมควรพลิกแพลง” หลี่ปี้ใบหน้าไร้ความรู้สึก

    ทั้งสองคล้ายเล่นทายปริศนา ถานฉีอยู่ด้านข้างฟังจนงุนงง นางเก็บรวบรวมม้วนบันทึกย้ายออกจากบนโต๊ะจนหมดสิ้น รายงานเบ็ดเตล็ดของเจียวซุ่ยไว้บนสุด นางถือโอกาสมองอีกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นสังเกตเห็นเรื่องแปลกเล็กน้อย ปกติมุมบนขวาของรายงานเบ็ดเตล็ดมีเวลาที่หลี่ปี้ลงนามรับ ฉบับนี้ลงนามรับเวลาปลายยามอู่สองเค่อ พอดีเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าเฮ่อจือจางย้อนกลับเข้าจิ้งอันซือ

    คิ้วโค้งเรียวยาวของนางขมวดเข้าหากัน คุณชายเห็นข่าวนี้แต่แรกแล้ว ทว่าไฉนทอดเวลาจนถึงเมื่อสักครู่จึงค่อยบอกต่อผู้ตรวจการเฮ่อ หรือว่าคิด…

    นี่ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ถานฉีสะบัดศีรษะ ขับไล่ความคิดเหลวไหลออกไปจากหัว

    ในเวลานี้สวีปินอุ้มม้วนหนังสือวิ่งเข้ามา อาศัยการระดมสรรพกำลังของเจ้าหน้าที่ทุกคน เทียบประกอบกับทะเบียนของสาวกเซียนเจี้ยว มันค้นพบคนน่าสงสัยหนึ่งคน

    คนผู้นี้ชื่อหลงปัว มาจากชิวฉือ รัชศกไคหยวนปีที่ยี่สิบย้ายมาตั้งรกรากเข้าทะเบียนในนครหลวง เข้าสู่นิกายเซียนเจี้ยวในปีเดียวกัน พำนักอยู่ในไหวหย่วนฟางนั่นเอง เป็นโสด ในบันทึกการบริจาคนี้เห็นชัดเจนว่าครึ่งปีมานี้มันบริจาคให้วิหารเซียนเจี้ยวมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ได้รับคำยกย่องเป็นพิเศษ รัชศกเทียนเป่าปลายปีที่สอง ทางเจ้าหน้าที่ประจำเมืองชำระทะเบียนครั้งใหญ่ ทว่าทะเบียนของหลงปัวยังคงเป็นรัชศกไคหยวนปีที่ยี่สิบ เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายทะเบียนราษฎร์คนหนึ่งสายตาเฉียบแหลม สังเกตเห็นเรื่องพิรุธเล็กน้อยนี้ ในทะเบียนต้องเขียนบันทึกละเอียดชัดเจน หากเล่มเก่าไม่มีรายละเอียดก็อาจเป็นได้ว่าทำปลอมแทนขึ้น

    ตอนนี้เหยาหรู่เหนิงยังอยู่ละแวกวิหารเซียนเจี้ยว หลี่ปี้ให้หอสังเกตการณ์แจ้งมันรีบไปตรวจค้นบ้านหลงปัว

    จิ้งอันซือเข้าสู่ภาวะว่างทันทีทันใด หลี่ปี้บัดนี้พลันนึกขึ้นได้ “อ้อ เจ้าเด็กบัดซบที่ชื่อเฉินเซินคนนั้นเล่า” ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เจ้าหนุ่มผู้นี้ทำลายเรื่องของจิ้งอันซือจนย่อยยับ จะเป็นคนที่พวกทูเจวี๋ยจ้างมาหรือไม่ มิอาจไม่สอบสวนให้ชัดเจน

    ชุยชี่ที่ด้านข้างรีบตอบว่า “ตรวจสอบฐานะชัดแจ้งแล้ว เป็นบัณฑิตที่ผ่านการคัดเลือกระดับท้องถิ่นจากเซียนโจว บ้านเกิดหนานหยาง มานครหลวงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อจะเข้าสอบบัณฑิตจิ้นซื่อ” มันเอ่ยต่ออีกว่า “บรรพบุรุษของตระกูลเฉินเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีถึงสามชั่วคน รัชสมัยรุ่ยจงตระกูลนี้ประสบเคราะห์ครั้งใหญ่ถูกเนรเทศ บิดาคือเฉินจื๋อ เคยกินตำแหน่งข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณที่เซียนโจวและจิ้นโจว น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับคนทูเจวี๋ย…นิสัยค่อนข้าง…เอ่อ ไร้เดียงสา”

    เป็นลูกหลานขุนนางตกต่ำผู้หนึ่ง มิน่าในถุงข้าวของจึงบรรจุบทกวีมากมายปานนั้น คิดจะแสดงความสามารถแสวงหาชื่อเสียงก่อนเริ่มสอบกระมัง

    ตอนนี้สมาธิของหลี่ปี้ล้วนจดจ่ออยู่ที่นักรบสุนัขป่า เมื่อได้ยินความเป็นมาของเฉินเซินก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง “ฮึ ทำลายการใหญ่ของข้า อย่าได้คิดหนีความผิด ขังไว้ก่อนแล้วจึงค่อยว่ากล่าว” ผู้คนรอบข้างล้วนเข้าใจชัดแจ้ง หากพวกทูเจวี๋ยก่อเหตุร้ายแรงใดขึ้นจริงๆ นี่ก็คือแพะรับบาปที่ตระเตรียมพร้อม บัณฑิตที่น่าสงสารคนนี้เดินทางมาสอบถึงนครหลวง ทว่าครั้งนี้มิพักกล่าวถึงสอบจิ้นซื่อได้ เกรงว่าชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรักษารอด

    จางเสี่ยวจิ้งพึมพำคำหนึ่ง “เด็กน้อยนั่นฝีมือกลับไม่เลว” จากนั้นไม่พูดสิ่งใดอีก เวลาบีบคั้นเข้าทุกขณะจิต เรื่องไม่เกี่ยวข้องพวกนี้พักไว้เสียก่อน ทั้งสองขยับเข้าใกล้โต๊ะทราย มองเขตจำลองที่เขียนว่า ‘ไหวหย่วนฟาง’

    บัดนี้ภายในไหวหย่วนฟางสถานที่จริง เหยาหรู่เหนิงเตะประตูไม้ออกอย่างแรง ปราดเข้าไปในบ้าน ยกหน้าไม้ส่ายกราดไปรอบๆ พบว่าในห้องไม่มีแม้สักคน

    บ้านหลงปัวเป็นเรือนยาวไม่มีลานบ้าน เข้าประตูไปมีเพียงห้องโถงหนึ่งห้องกับห้องปีกข้างหนึ่งห้อง ปู้เหลียงเหรินกรูกันเข้าไปเบียดเสียดเต็มบ้าน คนผู้นี้อยู่ลำพัง เครื่องเรือนเครื่องใช้ไม่มาก มิเปลืองเรี่ยวแรงเท่าใดก็ค้นเอาเครื่องใช้แบบทูเจวี๋ยออกมาจากใต้เตียง มีเครื่องทองเครื่องเงิน มีกระดาษหนังแกะ ยังมีน้ำมันม้าข้นอีกหลายกล่อง

    ดูท่าหลงปัวสมคบกับพวกทูเจวี๋ย ไม่มีข้อกังขาแล้ว เพียงน่าเสียดายคนผู้นี้ไม่อยู่ในบ้าน ไม่รู้ว่าไปที่ใด เหยาหรู่เหนิงส่งคนไปสอบถามเพื่อนบ้าน บรรดาเพื่อนบ้านพากันบอกว่าหลงปัวไม่คบหากับเพื่อนบ้าน ก็ไม่รู้ว่ามันทำการค้าใด มักไปที่ใด

    เหยาหรู่เหนิงไม่ละความพยายาม เดินวนไปมาในบ้านหลายรอบ ทันใดนั้นพบจุดน่าสงสัย ในโถงมีแท่นเตา เหนือแท่นติดรูปเทพเจ้าเตาหนึ่งใบ นิกายเซียนเจี้ยวบูชาไฟเป็นเทพ เหล่าสาวกต้องเซ่นไหว้ไฟวันละสามครั้งในบ้าน จะติดรูปเทพเจ้าเตาของชาวฮั่นไว้ข้างบนได้อย่างไร มันปราดเข้าไป เห็นผิวกระดาษสะอาดไร้ร่องรอยเขม่าควัน ยื่นมือไปลูบ พบว่าผนังใต้กระดาษเป็นร่องเว้าเล็กน้อย เหยาหรู่เหนิงฉุกคิด ดึงรูปเคารพเทพออกดู ข้างในเป็นร่องอิฐวางป้ายไม้สี่เหลี่ยมหนึ่งป้าย

    ป้ายไม้นี้ใหญ่ราวฝ่ามือ มุมทั้งสี่แกะสลักลงสีเป็นลายโบตั๋นกับกล้วย ด้านหน้าสลักอักษรข่ายซูอ่อนช้อยสามคำว่า ‘ผิงคังฟาง’ ด้านหลังสลักอักษร ‘ตรอกหนึ่ง’

    เหยาหรู่เหนิงนิ่งงัน ผิงคังฟางอยู่ด้านตะวันออกของเมืองฉางอัน เป็นย่านนางโลมชั้นสูง ในนครหลวงมิมีผู้ใดไม่รู้จัก ป้ายไม้นี้เรียกว่า ‘แขกผู้มีอุปการคุณ’ มอบให้เฉพาะแขกประจำ อาศัยป้ายนี้สามารถเข้าด้านในโดยตรง อย่าเห็นว่าหลงปัวผู้นี้ดำเนินชีวิตเรียบง่าย คนกลับทุ่มเทเงินทองให้ที่แห่งนั้นมิใช่น้อยๆ

    หลงปัวแฝงตัวเข้ามาเป็นสาวก ยามปกติต้องระมัดระวังตัว จิตใจยากหลีกพ้นความตึงเครียดกดดันอ้างว้าง มีเพียงไประบายออกที่ผิงคังฟาง ที่นั่นแขกไปมามากมาย ล้วนไม่จริงจัง จึงสามารถผ่อนคลายจิตใจได้ชั่วคราว เหมาะแก่ชีวิตสายลับ

    ทว่าแม่นางที่ผิงคังฟางมากมายล้วนมีแม่เล้าควบคุมดูแล ป้ายนี้ออกโดยแม่เล้าคนไหน ต้องรอตรวจสอบ

    เหยาหรู่เหนิงรีบแจ้งข่าวนี้กลับจิ้งอันซือ หลี่ปี้พูดกับจางเสี่ยวจิ้ง “ผิงคังฟางอยู่ในเขตของอำเภอวั่นเหนียน นั่นเป็นเขตดูแลในอดีตของท่าน หากย้อนกลับไป ยามออกทำงานสมควรชำนาญลู่ทาง”

    “ชำนาญลู่ทางหรือ…” จางเสี่ยวจิ้งหัวเราะหึๆ เหล่าขุนนางเจ้าหน้าที่รอบด้านต่างยิ้มอย่างเข้าใจเลศนัย ถานฉีมองมันอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง บุรุษทั่วหล้าล้วนเป็นเช่นนี้ เห็นเหล่าสตรีในผิงคังฟางก็ก้าวขาไม่ออก เปรียบเทียบกันแล้ว คุณชายดำรงตนบริสุทธิ์สูงส่งกว่าพวกมันมากมายนัก

    จางเสี่ยวจิ้งเรียกเหยาหรู่เหนิง หันกายเดินออก ทว่าหลี่ปี้กลับเรียกมันไว้ “อืม…เรื่องก่อนหน้าหวังว่าท่านอย่าได้เก็บใส่ใจ บัดนี้ผู้ตรวจการเฮ่อมอบอำนาจแล้ว คำสัญญาของข้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง” สำหรับคนเยี่ยงหลี่ปี้แล้ว นี่นับเป็นการขอโทษโดยอ้อม

    “ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลารับคำขอโทษ”

    จางเสี่ยวจิ้งตอบห้วนๆ จากไปเร็วรี่

    หลี่ปี้มองเงาหลังจางเสี่ยวจิ้ง สะทกสะท้อนใจยิ่ง คนผู้นี้กระทำการห้าวระห่ำ ทว่าความคิดอ่านละเอียดรอบคอบ ยามมันรับงานต่อนั้น เบาะแสทุกอย่างขาดสะบั้น ทว่ากลับถูกมันปั้นอากาศเป็นวัตถุ แหวกทางออกมาเองสายหนึ่ง ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ สาวกนิกายเซียนเจี้ยวเคืองแค้นนับเป็นภัยใหญ่หลวง ทว่ากลับถูกมันพลิกกลับในฝ่ามือเดียว หนึ่งศิลาสามวิหค ทั้งดับความเดือดดาลของต้าซ่าเป่า ทั้งได้เบาะแสใหม่ ซ้ำยังปิดปากเฮ่อจือจางด้วย

    ทหารแดนประจิมสิบปี หัวหน้าปู้เหลียงเหรินแห่งฉางอันเก้าปี ร้ายกาจสมคำเล่าลือจริงแท้

    ทันใดนั้นพลันหลี่ปี้รู้สึกว้าวุ่นอย่างน่าพิศวง คนเยี่ยงนี้เต็มใจรับใช้ตนเองจริงหรือ ชีวิตราษฎรทั้งเมือง คำอันยิ่งใหญ่นี้สามารถผูกมัดมันได้จริงหรือ

    หลี่ปี้ลองเทียบกับตนเอง หากสลับมันเป็นจางเสี่ยวจิ้ง เรื่องเมื่อสักครู่ตนเองต้องเคียดแค้นอยู่ในใจแน่นอน บากบั่นทุ่มเททำงานเหนื่อยยาก แต่ถึงกับถูกระแวงและเหยียดหยาม ผู้ใดยังมีใจทุ่มเทรับใช้อีกเล่า เมื่อคิดถึงแววแดกดันที่แฝงอยู่มุมปากมันตลอดเวลานั้น หลี่ปี้ค่อนข้างปวดหัวอยู่บ้าง ความรู้สึกหลุดพ้นการควบคุมนี้ไม่ดียิ่ง

    ดูท่าที่ผู้ตรวจการเฮ่อกล่าวไว้ก็มิใช่ไร้เหตุผล กับคนผู้นี้จำเป็นต้องระวังป้องกันล่วงหน้า เหยาหรู่เหนิงอ่อนประสบการณ์เกินไป ส่วนชุยชี่นิสัยหยาบกระด้าง สองคนนี้คงไม่อาจรับมือ

    ทว่าก่อนกระทำเรื่องนั้น ยังมีเรื่องตึงมือยิ่งกว่าอีกเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องจัดการ

    หลี่ปี้คิดถึงตรงนี้ รู้สึกว่าความอ่อนล้าประดังขึ้นกลางใจโดยไม่รู้ตัว มันแนบแส้ปัดเข้าแขน เรียกเสียงดัง

    “ถานฉี ตามข้ามา!”

     

    หลี่ปี้เรียกนางมาในห้องส่วนตัวที่หลังตำหนักแล้วปิดประตู หลังจากแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคนอื่นแล้ว หลี่ปี้จึงเอ่ยว่า “ข้าจะออกไปสักครู่”

    “เอ๊ะ ท่านจะไปที่ใด ไปนานเท่าไรเจ้าคะ”

    ถานฉีค่อนข้างงุนงง สถานการณ์กำลังตึงเครียดสุดขีด กลับจะจากไปในเวลาเช่นนี้หรือ

    หลี่ปี้ยกมือบีบสันจมูก “ผู้ตรวจการเฮ่อพักหน้าที่ เรื่องมากมายต้องจัดแจงใหม่ ข้าจำเป็นต้องเข้าวังรายงานต่อท่านผู้นั้น ราวครึ่งชั่วยามก็กลับมา เจ้าบอกผู้อื่นว่าข้าพักผ่อนอยู่ในห้องพัก ห้ามทุกคนเข้ามารบกวน”

    ถานฉีคิดถึงรายงานเบ็ดเตล็ดพิสดารฉบับนั้น เผลอหลุดปาก “ผู้ตรวจการเฮ่อ…ที่แท้เป็นคุณชายท่าน…” เมื่อโพล่งออกมานางก็สำนึกเสียใจแล้ว คุณชายกระทำการใดย่อมมีเหตุผลแน่นอน ไฉนต้องเปิดโปง

    ทว่าหลี่ปี้กลับไร้โทสะ เพียงถอนใจยาวครั้งหนึ่ง “เรื่องนี้ข้าหาได้เสียใจไม่ เพียงแต่ผู้ตรวจการเฮ่อตำแหน่งสูงส่งชื่อเสียงเกริกไกร เกี่ยวพันฝ่ายนอกมากเกินไป ข้าจำเป็นต้องเล่าต้นสายปลายเหตุตามตรงต่อท่านผู้นั้น เพื่อมิให้เพลี่ยงพล้ำ”

    “ทว่า…หากคุณชายไม่บอก ย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

    หลี่ปี้ส่ายศีรษะ น้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าหลี่ปี้ไม่โป้ปดต่อท่านผู้นั้นเด็ดขาด”

     

    จางเสี่ยวจิ้งกระตุ้นม้าเร่งเร็วรี่มาตลอดทาง มุ่งหน้าไปผิงคังฟาง เหยาหรู่เหนิงก็ไล่ตามมาติดๆ

    มาถึงเวลานี้ เหยาหรู่เหนิงจึงมีเวลาพูดกับจางเสี่ยวจิ้ง ตอนที่มันไปถึงร้านหย่วนไหล ยังไม่ทันเข้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องดังระงมมาจากในโรงม้าที่ด้านข้าง ต่อจากนั้นก็มีม้าพ่วงพีสิบกว่าตัวแตกฮือออกมา มันหลบไม่ทัน ถูกม้าตัวนำหน้าชนล้มลงกับพื้น หน้าผากกระแทกบาดเจ็บ รอเมื่อมันลุกขึ้นมาแสดงตน คนงานในร้านกลับคิดว่ามันปลอมตัวมา โต้เถียงไปมาก็ต่อยตีกัน มันจึงมิอาจไม่ปล่อยควันขอคนมาช่วย

    “โรงม้าอยู่ตำแหน่งใดของร้าน” จางเสี่ยวจิ้งถาม

    เหยาหรู่เหนิงตอบว่า “ร้านนี้ไม่ขายปลีก ดังนั้นไม่มีหน้าร้าน โรงม้าอยู่ด้านขวาของร้าน มีทางม้าเชื่อมมาในร้าน”

    “ตอนนั้นประตูโรงม้าเปิดหรือปิด”

    เหยาหรู่เหนิงย้อนคิดครู่หนึ่ง “น่าจะแง้มไว้ ข้าจำได้ว่าบนประตูมีกุญแจทองแดง แต่แขวนอยู่บนดาลประตู”

    “ข้าเห็นควันสองสาย หนึ่งดำหนึ่งเหลือง ควันดำมาจากที่ใด ปล่อยเวลาใด”

    เหยาหรู่เหนิงตอบ “ควันดำออกมาหลังจากฝูงม้าตื่นวิ่งออกไปแล้ว ข้าไม่เห็นจุดก่อไฟ แต่น่าจะจุดที่หลังโรงม้า คงพวกม้าเตะถาดไฟล้มคว่ำกระมัง”

    จางเสี่ยวจิ้งฟังแล้วหัวเราะหึๆ ในโรงม้าเก็บกองฟาง ไหนเลยจะกล้าวางถาดไฟ ที่ผ่านมาร้านหย่วนไหลซื้อขายสัตว์ ละเลยเยี่ยงนี้เป็นไปไม่ได้ มันคิดพูดบางสิ่งแต่กลับหยุด สุดท้ายยังคงส่ายหน้าพึมพำ “ช่างเถอะ เรื่องพรรค์นี้ให้ผู้บัญชาการหลี่ปวดหัวเองเถิด”

    เหยาหรู่เหนิงสนใจใคร่รู้มาก ทว่าก็ไม่สะดวกถามต่ออีก

    ผิงคังฟางอยู่ในอำเภอวั่นเหนียน พวกมันออกจากกวงเต๋อฟาง รีบรุดมุ่งทิศตะวันออกผ่านทางแยกห้าแห่งรวดเดียวโดยไม่หยุดรั้งรอ ทั้งหมดใช้เวลาเกือบสองเค่อจึงมาถึงดินแดนประโลมวิญญาณที่รุ่งเรืองคึกคักที่สุดในนครหลวง

    ยังไม่เข้าไปในฟาง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วออกมา บทเพลงเสนาะโสตดังที่ฟากนี้บ้างฟากนั้นบ้าง เสียงเครื่องดนตรีหลากชนิดโหมประโคมพร้อมกัน ผสานเสียงขับร้องลอยล่อง ยังไม่เห็นภาพ ฉากอันหรูหราอลังการพลันปรากฏขึ้นในใจแล้ว ตอนนี้เพิ่งเที่ยงวันก็คึกคักเยี่ยงนี้ หากเข้าสู่ยามราตรี เกรงว่าจะทวีเป็นสิบเท่า

    ผิงคังฟางมาตรว่าชื่อเป็นฟาง ทว่าภายในกลับแตกต่างจากฟางทั่วไปมาก พวกจางเสี่ยวจิ้งเข้าทางประตูเหนือ จากนั้นเลี้ยวไปด้านซ้าย ด้านหน้าเป็นตรอกโค้งเหนือ กลาง และใต้สามสาย ประตูโค้งสามแห่งเรียงรายถัดกันไป ขอบประดับแพรพรรณ ชายคาแดงผนังขาว วาดรูปทั้งโบตั๋น ดอกท้อกับกิ่งหลิว

    แม้เรียกเป็นตรอกโค้ง ความจริงนั้นกว้างมาก รถม้าสองคันแล่นพร้อมกันได้ ยามนี้รถม้าเข้าออกมากมาย ส่วนใหญ่บนรถเป็นสาวงามในเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ผ้าโพกผ้าคลุมงดงามหลากหลายชวนให้ผู้คนตาลาย กระทั่งธุลีดินที่ถูกล้อรถบดทับล้วนโชยกลิ่นแป้งหอมจางๆ…เทศกาลซั่งหยวนเต็มไปด้วยงานเลี้ยงสุรามากมาย คนจำนวนมากคิดหาโฉมสะคราญคู่เคียง ร่วมท่องเที่ยวชมโคม ดังนั้นจึงรีบรุดมานัดหมายแต่เนิ่นๆ

    ป้ายไม้ที่เหยาหรู่เหนิงค้นเจอนี้สลักคำว่าตรอกหนึ่ง ตรอกทั้งสามในผิงคังฟางนับตรอกใต้ ตรอกกลางเป็นนางคณิกาชั้นเยี่ยม ผู้มาส่วนใหญ่เป็นขุนนาง เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ ตรอกเหนืออยู่ใกล้กำแพงฟาง เรียกอีกชื่อว่าตรอกหนึ่ง ผู้มาส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดา พ่อค้า บัณฑิตยากจนที่เดินทางมาสอบยังนครหลวง หรือขุนนางเจ้าหน้าที่รอบรรจุเข้ารับตำแหน่ง สภาพแวดล้อมด้อยกว่า ดูจากสภาพผังหมู่อาคารก็มองออก ตรอกใต้เป็นหองามเรียงราย ตรอกกลางเป็นหมู่คฤหาสน์ ยังมีลำธารสายหนึ่งคดเคี้ยวไปมา ส่วนตรอกเหนือเป็นหองามสูงๆ ต่ำๆ หลายสิบหลังเรียงรายสับสน มองแวบเดียวก็เห็นว่าสามตรอกนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน

    จางเสี่ยวจิ้งยืนอยู่ทางเข้าแหงนหน้ามองครู่หนึ่ง กล่าวต่อเหยาหรู่เหนิง “เข้าไปแล้วอย่าเคลื่อนไหววู่วาม” เหยาหรู่เหนิงค่อนข้างประหลาดใจ ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้อาละวาดที่ตลาดตะวันตก ไฉนมาที่นี่พลันสงบเสงี่ยมทันใด จางเสี่ยวจิ้งชี้ไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่มีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่ไกลออกไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคฤหาสน์หลังนั้นผู้ใดเป็นเจ้าของ”

    เหยาหรู่เหนิงส่ายศีรษะ มันเป็นคนอำเภอฉางอัน ไม่คุ้นเคยเมืองฟากตะวันออก

    จางเสี่ยวจิ้งหัวเราะหึๆ “นั่นเป็นคฤหาสน์ของหลี่เว่ยกง ตอนนี้ผู้พำนักคืออัครเสนาบดีฝ่ายขวา”

    “หลี่หลินฝู่?” ในใจเหยาหรู่เหนิงหนาวเยือก เหลียวมองสัตว์ประดับเชิงชายหลังคาบนคฤหาสน์หลังนั้นให้รู้สึกลี้ลับขึ้นหลายส่วน ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักถึงกับพำนักใกล้ผิงคังฟางเช่นนี้ ชื่นชมโฉมสะคราญเช้าค่ำ นับเป็นข่าวพิสดารนัก

    พวกมันก้าวเท้าเข้าตรอกหนึ่ง จางเสี่ยวจิ้งไม่มองซ้ายขวา เดินดุ่มตรงไปด้านหน้าอย่างชำนาญทาง เสียงตวาดหลายครั้งดังมาจากตึกสองข้างทาง จากนั้นไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เหล่าแม่นางสายตาเฉียบแหลม สองคนนี้ฝีเท้ามั่นคง ท่าทางเคร่งเครียด เพียงมองก็รู้ว่ามิใช่มาเที่ยวหาความสำราญ

    ทั้งสองเลี้ยวไปมาเจ็ดครั้งแปดครา มาถึงกึ่งกลางของตรอกหนึ่ง จางเสี่ยวจิ้งบิดเท้า เลี้ยวเข้าซอยเล็กด้านข้าง สองฟากมีเพียงบ้านเพิงไม้ซอมซ่อไม่กี่หลัง สร้างติดกันเป็นแถวยาวดำสกปรก ซอกบ้านกองเต็มด้วยขยะ

    สองฝั่งถนนในผิงคังฟางสร้างร่องน้ำไว้ด้วย ปิดด้วยกระเบื้องดำเพื่อสะดวกแก่การระบายน้ำและชำระล้างถนน…นอกจากที่นี่แล้ว เมืองฉางอันมีเพียงถนนหลักหกสายที่สร้างเป็นพิเศษเช่นนี้…ร่องน้ำเหล่านี้ไหลมารวมกันในซอยลุ่มสายนี้ก่อนจึงค่อยระบายออกไปคลองด้านนอกฟาง ดังนั้นในซอยเล็กจึงมีน้ำเสียมากมาย กลิ่นประหลาดตลบอบอวล

    เหยาหรู่เหนิงแปลกใจมาก คิดในใจว่าเหตุใดไม่ไปสืบหาต้นตอที่มาของป้ายไม้ แต่กลับมาสถานที่สกปรกเช่นนี้ ทว่าฝีเท้าจางเสี่ยวจิ้งไม่ลังเลแม้แต่น้อย ย่อมมิใช่เพิ่งคิดกระทำเด็ดขาด เห็นชัดเจนว่าวางแผนไว้ก่อนแล้ว มันจึงได้แต่ตามไปเงียบๆ

    จางเสี่ยวจิ้งเดินไปถึงหน้าเพิงหลังหนึ่ง เคาะเรียกสามครั้ง คนผู้หนึ่งเปิดประตูยื่นหน้าออกมาดู พอเห็นจางเสี่ยวจิ้งก็คล้ายถูกตะขาบต่อย จะปิดประตูตามสัญชาตญาณ จางเสี่ยวจิ้งยื่นไหล่ขวางวงกบประตู “ไม่ต้องกลัว เสี่ยวอี่ วันนี้ไม่ได้มาจับพวกเจ้า” คนที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวอี่ถอยอย่างหวาดกลัวหนึ่งก้าว ไม่กล้าขัดขวาง

    ด้านหลังบ้านเพิงเป็นโลกงดงามอีกโลกหนึ่ง ถึงกับเป็นบ่อนพนัน ที่นี่ใช้ปัญญาในการตกแต่งอย่างยิ่ง ดูภายนอกเป็นเพียงเพิงซอมซ่อหลายหลัง ด้านในกลับเชื่อมต่อเป็นห้องกว้างใหญ่ มีโต๊ะมีเก้าอี้ เพียงแต่แสงมืดมัว

    เวลานี้ นักพนันหลายสิบคนกำลังรุมล้อมอยู่รอบโต๊ะสูงสามตัว จ้องมองเจ้ามือสามคนทอยลูกเต๋าด้วยใจจดจ่อ รอบด้านมีเหรียญทองแดงวางกองเต็มไปหมด พอจางเสี่ยวจิ้งเข้าไป สายตาทั้งหมดล้วนจ้องมาที่มัน ในบ่อนพนันเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหมู่นักพนันแตกฮือกระจัดกระจาย ครึ่งหนึ่งหนีออกนอกหน้าต่าง อีกครึ่งหนึ่งมุดซ่อนใต้โต๊ะ แต่ยังไม่ลืมยื่นมือขึ้นไปกวาดเอาเงิน เป็นภาพวุ่นวายและน่าขบขัน

    นายบ่อนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ท่าทางดุร้ายอยากรู้ว่าผู้ใดมาก่อกวน มันเห็นจางเสี่ยวจิ้งยืนอยู่ที่นั่นก็คล้ายเห็นปีศาจร้าย อ้าปากค้าง ยามกะทันหันกระทั่งปลอบใจนักพนันก็ยังลืมเสียสิ้น

    “หัว…หัวหน้าจาง”

    จางเสี่ยวจิ้งสีหน้าเรียบเฉยทักว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่แล้ว?” นายบ่อนสีหน้าละอายใจ ไม่กล้าเอ่ยวาจา จางเสี่ยวจิ้งสั่ง “พาข้าไปหาเจ้าของบ่อนของพวกเจ้า” นายบ่อนลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่กล่าวอันใด มันย้อนกลับเข้าในห้อง รายงานครู่หนึ่ง จากนั้นออกมาพาพวกมันเดินไปด้านหลัง

    ทั้งนายบ่อนหรือเจ้าของบ่อนล้วนเป็นคำเรียกขานพวกคนที่มิอาจพบเจอแสงสว่าง เหยาหรู่เหนิงสังเกตท่าเดินของคนผู้นี้ว่าคล้ายคลึงจางเสี่ยวจิ้ง คะเนว่าคงเคยรับราชการมาก่อน ไม่รู้ว่าตกต่ำจนมาอยู่ในที่เยี่ยงนี้ได้อย่างไร

    เพิงไม้เหล่านี้ต่อกันเป็นแนวยาว ด้านในมีห้องมากมายแบ่งย่อยด้วยผนังดิน มืดสลัวคล้ายขุดอุโมงค์เขาวงกต ยามเดินอยู่ในนี้ยังพอได้ยินเสียงร้องไห้กับเสียงคร่ำครวญโศกเศร้าราวกับมีใครถูกกักขัง

    เหยาหรู่เหนิงรู้สึกตึงเครียด รู้ว่าตนเองกำลังสัมผัสเมืองฉางอันอีกเมืองหนึ่ง ฉางอันเมืองนี้มิอาจพบเห็นแสงสว่าง ในเมืองเต็มไปด้วยคาวเลือดและความละโมบ ไม่มีกฎหมายและไม่มีมโนธรรม โหดเหี้ยมสับสนดุจตาปนมหานรกที่สามารถมีชีวิตอยู่ในนี้ล้วนเป็นจอมชั่วช้าจอมสามานย์ แม้คนของทางการ หากไม่จำเป็นก็มิคิดลงมาในที่แห่งนี้

    ลำคอมันแห้งผาก หัวใจเต้นถี่เร็วกว่าเดิม มิอาจไม่มองไปด้านหน้า เห็นจางเสี่ยวจิ้งฝีเท้ามั่นคงหนักแน่น ไม่ลุกลนแม้แต่น้อย เงาหลังคนผู้นั้นเส้นร่างเลือนรางคล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฉากหลังอันมืดมัว

    อดีตหัวหน้าปู้เหลียงเหรินผู้นี้คงเข้าถ้ำเสือหลายครั้ง ต่อสู้กับอธรรมไม่น้อย หากได้ติดตามมันย่อมเป็นเรื่องดี ยิ่งกว่านั้น คนร้ายกับมือปราบเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ หากตนเองแม้เพียงมองสถานที่นี้แวบเดียวก็อกสั่นขวัญแขวน ภายภาคหน้าจะต่อสู้กับมันได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้เหยาหรู่เหนิงปลุกปลอบความกล้าหาญขึ้นอีกครา กำหมัดแน่น แววตาฮึกเหิม

    มันพลันบังเกิดความเสียดาย หากจางเสี่ยวจิ้งมิใช่นักโทษประหาร ไม่แน่ว่ายามนี้อาจเป็นเจ้านายของตนก็ได้ คนผู้นี้แม้มีกลิ่นอายยุทธจักรมากไปสักหน่อย ทว่าย่อมเรียนรู้จากมันได้ไม่น้อยเลย

    ทั้งสองเดินเป็นนานสองนาน เบื้องหน้าพลันเจิดจ้า ห้องด้านในดั่งอีกโลกหนึ่ง ถึงกับเป็นลานสวนอิฐ สวนไม่ใหญ่ ค่อนข้างสะอาด บนเตาที่กลางสวนตั้งกาต้มยาสีดำหนึ่งกา อบอวลไปด้วยกลิ่นยา คนผู้หนึ่งห่อร่างด้วยเสื้อหนังสีแดงสดตัวใหญ่นั่งขัดสมาธิข้างเตา กอดแมวเหลืองตัวน้อยไว้ในอ้อมอก

    จางเสี่ยวจิ้งทักทาย “เก่อเหล่า จากมาสบายดีหรือ”

    เสื้อหนังตัวใหญ่เคลื่อนไหว เสียงเฒ่าชราดังออกมาจากด้านใน “จางเหล่าตี้ (น้องแซ่จาง)? คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีก” น้ำเสียงราบเรียบ มิใช่คำถาม หากแต่กำลังบอกเล่าเรื่องราว

    “ข้าก็คิดไม่ถึง” จางเสี่ยวจิ้งไม่คิดอธิบาย

    “กลับมาครั้งนี้ก็ก่อกวนจนบ่อนพนันของข้าไก่บินสุนัขกระโดด นับว่าพยัคฆ์วายปราณกระดูกดำรง พลังอำมหิตยังคงอยู่…มาหาข้าด้วยเรื่องอันใด” ผู้เฒ่าถาม

    เสื้อหนังตัวใหญ่เลื่อนลง ตอนนี้เหยาหรู่เหนิงจึงพบว่าที่ห่ออยู่ข้างในเป็นชายชราผอมแห้ง ผิวของมันดำดั่งถ่านหิน เส้นผมหยิกม้วน ริมฝีปากค่อนข้างหนา ไม่ใช่คนภาคกลาง เห็นชัดเจนว่าเป็นทาสคุนหลุน! ทาสคุนหลุนเฒ่าผู้นี้ประกายตาเจิดจ้าและเลือดเย็น พูดจาภาษาทางการคล่องแคล่ว สำเนียงไม่เพี้ยนแม้แต่น้อย ฟังที่สนทนากัน ทั้งสองคนรู้จักกันมานาน ทว่าความสัมพันธ์ไม่ดีนัก

    น่าประหลาด ที่ตลาดตะวันตกกับในวิหารเซียนเจี้ยว จางเสี่ยวจิ้งล้วนลงมือหยาบกระด้างป่าเถื่อนรุนแรง มาถึงที่นี่ประจันหน้ากับคนชั่วที่แท้จริง กลับมีมารยาทสุภาพมาก เหยาหรู่เหนิงตระเตรียมต่อสู้เสี่ยงชีวิตแล้ว แต่ทั้งสองคนที่เบื้องหน้ามันนี้มิว่าผู้ใดล้วนไร้เจตนาลงมือ

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “เก่อเหล่า ท่านยังติดค้างน้ำใจข้าเรื่องหนึ่ง”

    เก่อเหล่าทำเสียงจุปาก ลูบแมวในอ้อมอกเบาๆ “ติดหนี้ชดใช้เงิน ฆ่าคนชดใช้ชีวิต นี่คือวิถีแห่งชีวิตของข้า ว่ามา”

    จางเสี่ยวจิ้งล้วงป้ายไม้ โยนลงตรงหน้า “นี่เป็นของคนชิวฉือ ชื่อหลงปัว ข้าต้องการรู้ว่าตึกใดมอบให้มัน มันสนิทกับแม่นางใด ตอนนี้พวกนางอยู่ที่ใด ต้องการรู้ทันที”

    เก่อเหล่าใช้มือผอมแห้งหนีบป้ายไม้ขึ้นมา พิจารณาครู่หนึ่ง ยื่นมือหยิบฝากายา เคาะข้างกาหลายครั้ง คนรับใช้ร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามาในลานสวน เก่อเหล่าสั่งไปหลายคำ คนรับใช้รีบออกไปทันที

    เก่อเหล่าจ้องมองจางเสี่ยวจิ้ง “นี่คงไม่ใช่คดีของอำเภอวั่นเหนียนกระมัง” จางเสี่ยวจิ้งแสดงป้ายเอว ‘จิ้งอันพิทักษ์’ แกว่งไปมาสองสามครั้ง จากนั้นเก็บกลับคืน เก่อเหล่าลุกขึ้นช้าๆ “ที่นี่ไม่สะดวกยกน้ำชาให้คนของทางการ พวกท่านตามสะดวกเถอะ” จากนั้นหันร่างเดินกลับเข้าห้อง

    เห็นใบหน้าเปี่ยมแววสงสัยของเหยาหรู่เหนิง จางเสี่ยวจิ้งเพียงอธิบายสั้นๆ เก่อเหล่าผู้นี้เดิมเป็นทาสจากโพ้นทะเลแถบเซิงฉี ราวปีเสินหลงถูกขายมาถึงฉางอัน แรกเริ่มเป็นทาสในจวนเสนาบดีแซ่เก่อผู้หนึ่ง ต่อมาถูกขายเป็นคนรับใช้ในหอคณิกา ทาสคุนหลุนส่วนใหญ่นิสัยสัตย์ซื่อเชื่อฟัง สมองไม่ใคร่ฉลาด ทว่าเก่อเหล่าแตกต่างไป มันวาจาคล่องแคล่ว อีกทั้งชะตาไม่เลว ความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ ไม่นานนักก็โน้มน้าวนายทาสปล่อยมันพ้นจากความเป็นทาส

    หลายปีมานี้มันเป็นพ่อเล้ารับตามหาคนประจำหอคณิกาตรอกสาม หากมีแม่นางใดกระด้างกระเดื่องหรือหลบหนี มันยังเกลี้ยกล่อมหรือตามจับตัวอีกด้วย นานวันเข้า เก่อเหล่าอาศัยจิตใจโหดฝีมือเหี้ยมกลายเป็นพ่อค้ามนุษย์เจ้าใหญ่ที่สุดของผิงคังฟาง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในฟางโดยปริยาย ย่านบ้านเพิงก็คืออาณาเขตของมัน หมู่แม่นางล้วนรู้ว่า ยินยอมล่วงเกินแขกเหรื่อ มิยอมล่วงเกินเก่อเหล่า

    สมัยที่จางเสี่ยวจิ้งยังอยู่ในอำเภอวั่นเหนียนนั้น สืบคดีจับคนธรรมดาไปขายหลายคดี น่าเสียดายเก่อเหล่าเจ้าเล่ห์มาก มิเคยพลาดพลั้ง ถึงบัดนี้ยังสุขสบายอยู่ในบ้านเพิง ครั้งนี้มาผิงคังฟาง จางเสี่ยวจิ้งรู้ว่าหากตรงไปหาแม่เล้า พวกนั้นย่อมบ่ายเบี่ยง เสียเวลาโดยเปล่า มิสู้ขอให้เก่อเหล่าออกหน้า

    “นี่ไม่ใช่สมคบกับคนชั่วหรอกหรือ” เหยาหรู่เหนิงไม่เข้าใจ

    เนื่องเพราะญาติผู้ใหญ่ในบ้านมันหลายคนตายด้วยน้ำมือโจรร้าย เหยาหรู่เหนิงจึงมิอาจทนเห็นพวกโจรกำเริบเสิบสาน ในความคิดมันมีเพียงพบหน้าฆ่าทันที ไร้ความลังเลโดยสิ้นเชิง มันคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจางเสี่ยวจิ้งมีฐานะเป็นคนของทางการ ถึงกับต่อรองเงื่อนไขกับพวกมัน

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าว “มุสิกมีทางของมุสิก อสรพิษมีวิถีของอสรพิษ คนชั่วมีวิธีของคนชั่ว มีบางเรื่องทางการไม่อาจกระทำได้”

    “แต่เห็นชัดเจนว่าเขตบ้านเพิงอยู่ในผิงคังฟาง มือปราบหลายสิบนายก็สามารถทลายเรียบ ทางการไฉนยอมทนให้พ่อเล้าหรือพ่อค้ามนุษย์กำเริบเสิบสานอยู่ที่นี้ นี่ผิดต่อกฎหมายต้าถังชัดแจ้ง!”

    “เจ้าขบคิดเองเถอะ คำตอบของปัญหานี้ก็คือบทเรียนที่สองของเจ้า” จางเสี่ยวจิ้งตอบ

    เหยาหรู่เหนิงกัดริมฝีปากอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ เห็นว่าตอบเหมือนไม่ตอบ ทันใดนั้นมันคิดได้ว่า จางเสี่ยวจิ้งเป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินในนครฉางอันเก้าปี เกรงว่าเรื่องต้องปกปิดย่อมมากปานขุนเขา เก่อเหล่าบอกว่าติดค้างน้ำใจมัน หรือว่าก่อนหน้านี้พวกมันเคยสมคบกัน?

    เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีการของจางเสี่ยวจิ้งย่อมไม่สะอาด ไม่แน่ว่าต้องเข้าคุกเป็นนักโทษประหารเพราะเหตุนี้ คิดถึงตรงนี้เหยาหรู่เหนิงสีหน้าเรียบเฉย ยืนห่างออกไปหนึ่งก้าว คิดถึงอีกหน้าที่หนึ่งของตน

    ไม่นานนักเก่อเหล่าก็มาส่งข่าว ป้ายไม้นี้ออกให้โดยสำนักคณิกาจ้าวถวนเอ๋อร์แห่งตรอกหนึ่ง ครึ่งปีก่อนหลงปัวเริ่มมาเที่ยวหาความสำราญที่นี่ สิบวันมาหนึ่งครั้ง ทุกครั้งล้วนเรียกแม่นางที่ชื่อถงเอ๋อร์ มันแม้ไม่ใช้เงินมือเติบแต่ก็ไม่เคยติดค้างชำระ

    “จูงม้าหรือว่าพักร้อน” จางเสี่ยวจิ้งถาม นี่เป็นคำในวงการของตรอกคณิกาผิงคังฟาง จูงม้าคือพานางคณิกาออกนอก พักร้อนคือพักค้างในหอ

    “บางครั้งพักร้อน ส่วนมากจูงม้า”

    จางเสี่ยวจิ้งตาวาว ไหวหย่วนฟางห่างจากที่นี่ไกลมาก อีกทั้งชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นสาวกอันเคร่งครัดของนิกายเซียนเจี้ยว หลงปัวย่อมไม่อาจพาถงเอ๋อร์กลับไป…นี่หมายความว่ามันยังมีที่พักอีกแห่งหนึ่ง

    “ตอนนี้ถงเอ๋อร์อยู่ที่ใด”

    “ดรุณีใจแตก หนีตามลูกค้าคนหนึ่งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

    จางเสี่ยวจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ในมือเก่อเหล่าไหนเลยจะมีนกบินหนีตามอำเภอใจ” ได้ยินวาจานี้ รอยย่นบนใบหน้าดำของเก่อเหล่าพลันคลายออก ริมฝีปากหนาแยกเผยอ เห็นฟันขาวคล้ายกระดูกคนสีขาวนอนเรียงรายขวางกลางราตรี

    มันกระดิกนิ้วมือ บอกให้ตามไป

    เก่อเหล่าดึงเสื้อหนังตัวใหญ่แน่นกระชับ พาพวกมันเดินเข้าในบ้านเพิงที่เหมือนเขาวงกต หลังคาบ้านเพิงปูหญ้าหนาบ้างบางบ้างไม่สม่ำเสมอ ขณะกำลังเดินนั้น แสงแดดลอดผ่านรำไร ทำให้สีหน้าทุกคนดูค่อนข้างหม่นมัว สองฟากของทางเดินเป็นห้องเล็กหลายห้อง บางห้องประตูไม้ลงกลอนแน่นหนา บางห้องเปิดกว้าง แต่สิ่งหนึ่งเหมือนกันคือทุกห้องอบอวลด้วยกลิ่นหญ้าเน่า ในห้องมีเงาร่างคนมัวสลัว ไร้สุ้มเสียง ไม่ต่างจากศพเดินได้

    ขณะเหยาหรู่เหนิงกำลังเดินอยู่นั้น พลันมีมือที่มีแต่กระดูกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในความมืด มันร้องตกใจ หลังจากเพ่งมองจึงพบว่าเป็นแม่นางที่ผอมเหมือนท่อนฟืนเกาะติดกับประตู เก่อเหล่าตวาด หญิงผู้นั้นหดมือกลับไปทันที

    เก่อเหล่าเดินมิหยุดเท้า เสียงเย็นเยียบดังขึ้นในสถานที่ดั่งโลกปีศาจนี้ “คนภายนอกต่างกล่าวว่าผิงคังฟางเป็นดินแดนประโลมวิญญาณบนสรวงสวรรค์ แต่ละนางล้วนเป็นนางฟ้านางเซียน แต่กลับไม่รู้ว่าเบื้องหลังสกปรกโสมมปานใด แม่นางเหล่านี้บ้างถูกกามโรคแทะกิน โฉมงามที่เสียโฉม ทารกคลอดออกมาพิการบิดเบี้ยว…ไร้ที่ไป ไร้คนต้องการ ทั้งหมดเหมือนน้ำเน่าเสียไหลมารวมกันที่นี่ รอไปเกิดใหม่ เราผู้เฒ่ากระทำเรื่องชั่วเหลือคณานับ ไม่เกรงกลัวอเวจีมหานรกอันใดนั่น…เฮอะ ในเมื่อก่อกรรมทำเข็ญอยู่ในนั้น ก็ไม่รู้สึกอันใดเนิ่นนานแล้ว”

    เหยาหรู่เหนิงฟังด้วยใจสะท้าน คาดคิดไม่ถึงว่าด้านมืดของผิงคังฟางถึงกับสกปรกโสมมเช่นนี้ มันเอียงคอ เห็นจางเสี่ยวจิ้งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แสดงว่ารู้แต่แรกแล้ว

    ในที่สุด พวกมันมาถึงห้องเก็บฟืนมืดชื้น เปิดประตู ด้านในเห็นคนสองคนถูกแขวน หนึ่งชายหนึ่งหญิง ใบหน้าเปื้อนเต็มด้วยคราบเลือด ท่าทางไร้ชีวิตชีวา กระโปรงสีเหลืองไข่ห่านของสตรีผู้นี้ขาดวิ่น เผยให้เห็นผิวกายขาวกว่างาช้าง บุรุษก็ผิวกายอ่อนนุ่มละเอียด ท่าทางเป็นบัณฑิตอ่อนแอ หัวห้อยลง คล้ายสลบไป คนแคระใบหน้าพิกลพิการคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง มือถือแส้หนัง

    จางเสี่ยวจิ้งจะเดินเข้าไป ทว่าเก่อเหล่ากลับยื่นมือขวาง พาพวกมันไปห้องถัดไป “จางเหล่าตี้ น้ำใจที่ติดค้างท่านหมดสิ้นเพียงนี้แล้ว” ความหมายของมันชัดแจ้งมาก… ‘ข้าบอกท่านว่าสตรีนางนี้อยู่ที่ใด ชดใช้น้ำใจแล้ว จากนี้ไป คิดใช้นางทำสิ่งใดก็ตีราคาใหม่’

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “ข้าติดค้างน้ำใจท่าน”

    เก่อเหล่าหลุดหัวเราะ “น้ำใจของคนตาย น้ำหนักไม่พอ เปลี่ยนสิ่งอื่นเถอะ”

    เหยาหรู่เหนิงรีบร้อนแทรกว่า “จิ้งอันซือสามารถจ่ายค่าตอบแทนแก่ท่านอย่างสาสม”

    เก่อเหล่าเหลือบมองมันแวบหนึ่ง ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย คล้ายมองตัวตลก

    เหยาหรู่เหนิงใจร้อนรุ่มปานเพลิงเผา ไฉนต้องมาสูญเสียเวลาไปกับทาสคุนหลุนเฒ่าที่นี่ มันชักดาบประจำกายออก ร้องเสียงดัง “ขัดขวางงานจิ้งอันซือ เชื่อหรือไม่ว่าพวกข้าจะทลายบ้านเพิงเจ้าราบในหนึ่งชั่วยาม!”

    เก่อเหล่ายักไหล่ เกรงว่าคำข่มขู่ที่มันได้ยินมาชั่วชีวิตจะมากกว่าที่เจ้าหนุ่มผู้นี้เคยพูดออกเสียอีก จางเสี่ยวจิ้งตบบ่าเหยาหรู่เหนิง ให้มันถอยหลังไป จากนั้นมองเก่อเหล่า “ท่านต้องการสิ่งใด”

    เก่อเหล่าหรี่ตาพิจารณา คล้ายกำลังคิดว่าจะรีดอันใดได้จากตัวนักโทษประหารผู้นี้ ทันใดนั้นใบหน้ามันยิ้มออก รอยเหี่ยวย่นสีดำสั่นไหว ยื่นนิ้วมือออกสองนิ้ว “สอง”

    คิ้วสั้นทั้งสองของจางเสี่ยวจิ้งพลันขมวดแน่น ลังเลครู่หนึ่ง ตอบด้วยนิ้วมือหนึ่งนิ้ว เก่อเหล่าคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหัวเราะ “ตกลงเยี่ยงนี้” สีหน้าจางเสี่ยวจิ้งไม่ดีนัก ทว่ายังคงพยักหน้า

    เหยาหรู่เหนิงงุนงงมาก พวกมันทั้งสองคล้ายเป็นใบ้ จริงๆ แล้วมีความนัยใด

    เก่อเหล่าประสานมือบอกขอลาไปสักครู่ จากนั้นหายตัวไปในความมืด จางเสี่ยวจิ้งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ยืนเอียงพิงเสา นิ้วมือปัดฝุ่นในเบ้าตา ลำแสงอ่อนจางลอดผ่านหลังคาเพิงลงมา กระทบด้านข้างมันเป็นเส้นเงาขอบดำเทา

    “แม่ทัพจาง ท่านต่อรองเงื่อนไขใดกับมัน”

    “เมื่อสักครู่ข้ารับปากมัน จะบอกชื่อสายลับของทางการแก่มันหนึ่งคน” จางเสี่ยวจิ้งตอบราบเรียบ

    สองไหล่เหยาหรู่เหนิงสั่นสะท้าน สองตาเบิกกว้าง มิอาจไม่โพล่งว่า “ท่าน…ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

    จางเสี่ยวจิ้งเคยเป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินของอำเภอวั่นเหนียน ขุมกำลังที่ทางการวางไว้เช่นไรมันรู้ชัดแจ้ง ยิ่งกว่านั้นอาจเคยควบคุมสั่งการ ไม่ว่าอย่างไรเหยาหรู่เหนิงก็คาดคิดไม่ถึงว่า คนผู้นี้จะขายเพื่อนร่วมงานให้แก่โจรชั่วเพียงเพื่อทำงานสะดวกขึ้นเท่านั้น! นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

    จางเสี่ยวจิ้งบอกสั้นๆ “นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำให้เก่อเหล่าร่วมมือ”

    เหยาหรู่เหนิงเลื่อนมือขวาเล็กน้อยเข้าใกล้ด้ามดาบ คำกำชับของหลี่ปี้ที่สั่งมันก่อนออกมาผุดขึ้นในสมอง

    ก่อนออกมาหลี่ปี้เรียกมันสนทนาตามลำพัง ถ้ามันพบว่าจางเสี่ยวจิ้งคิดหลบหนีหรือทรยศ ก็ตักเตือนทันที หากอยู่ในสถานการณ์ไม่อาจตักเตือนได้แล้วก็สังหารด้วยมือตนเอง เหยาหรู่เหนิงเห็นว่า บัดนี้จางเสี่ยวจิ้งเผยให้เห็นพิรุธแล้ว มันไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่ารับมือโจรสักคนจำเป็นต้องอ้อนวอนถึงเพียงนี้ นี่ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน จำเป็นต้องขัดขวางก่อนที่จะทรยศต่อผลประโยชน์ของทางการมากกว่านี้

    คิดไม่ถึงว่าจางเสี่ยวจิ้งเห็นมันจะลงมือ ชิงเตะเหยาหรู่เหนิงอย่างรุนแรงล้มแทบพื้น ในดวงตาข้างเดียวรังสีสังหารแผ่ซ่าน “อยู่เฉยๆ!” เหยาหรู่เหนิงดิ้นรนคิดลุกขึ้นยืน ทว่าถึงกับลุกไม่ขึ้น เห็นได้ว่าเตะครั้งนี้ใช้กำลังรุนแรงมากปานใด มันงอตัวอย่างเจ็บปวด ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ

    อาศัยการขายสายลับของทางการแลกข่าวนับว่าน่าละอายถึงขีดสุด! เหยาหรู่เหนิงดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้นยืนมั่นคง ตวาดถาม “ทำไมต้องขายพวกเดียวกัน!”

    จางเสี่ยวจิ้งกวาดตามองมันแวบหนึ่ง พูดอย่างเย็นชา “คำสั่งของผู้บัญชาการหลี่คือขัดขวางชาวทูเจวี๋ยโดยไม่คำนึงว่าต้องสูญเสียอันใด เข้าใจหรือไม่ ไม่คำนึงว่าต้องสูญเสียอันใด”

    “เพื่อบรรลุเป้าหมาย หรือว่ากระทั่งความเป็นคนกับคุณธรรมก็ไม่ต้องการแล้ว” เหยาหรู่เหนิงเห็นว่าคำพูดนี้เหลวไหลสิ้นดี

    “ข้าสนใจเพียงว่าจะรักษาชีวิตราษฎรหลายสิบหมื่นคนของเมืองฉางอันไว้ได้หรือไม่”

    เหยาหรู่เหนิงถูกวาจานี้โต้กลับจนหน้าแดงก่ำ มันโต้แย้งว่า “ท่านอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเอง วิญญูชนบ้างพึงกระทำ บ้างมิอาจกระทำ หากโจรชั่วพวกนี้ให้ท่านกระทำเรื่องชั่วช้าสามานย์…เอ่อ เช่น…ทรยศเบื้องสูง หรือว่าท่านก็จะรับปาก”

    จางเสี่ยวจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “หนึ่งชีวิต ย่อมไม่อาจเทียบหมื่นชีวิต”

    ได้ยินวาจากบฏเช่นนี้ เหยาหรู่เหนิงได้แต่ตกตะลึง “ท่านกล้า…” มันยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นถูกคว้าลำคออย่างรุนแรง แผ่นหลังกระแทกผนังหนักหน่วงดังพลั่ก ตาข้างเดียวของจางเสี่ยวจิ้งเกือบแนบปลายจมูก เสียงแหบแห้งเลือดเย็นดังที่ข้างหู

    “ฟังให้ดี ตอนนี้เหลือเพียงสามชั่วยาม ฉางอันก็จะล่มสลาย แต่พวกเรายังไม่เข้าใกล้ชาวทูเจวี๋ย เจ้าไม่ช่วยงานก็จงไสหัวไป!”

    เหยาหรู่เหนิงเกร็งคอ ไม่แสดงความอ่อนแอ “ไม่ต้องเสแสร้ง! ท่านไม่แยแสความอยู่รอดของฉางอันแม้แต่น้อย ท่านเป็นนักโทษประหาร ท่านต้องเคยทำความผิด ท่านเคียดแค้นราชสำนัก!” ภายใต้ความมืด สีหน้าจางเสี่ยวจิ้งแปรเปลี่ยนอย่างมีเลศนัย แค่นยิ้มที่ยากบรรยายด้วยวาจา ทั้งเสียดสี ทั้งโศกเศร้า

    “มิผิด ข้าเคียดแค้นราชสำนัก ทว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมัน”

    ในเวลานี้นี่เอง เสียงฝีเท้าคนหมู่หนึ่งดังมา คนยี่สิบกว่าคนทยอยเข้ามา เป็นชายล้วน มีสูงมีเตี้ย อายุก็แตกต่างกัน ล้วนสวมชุดขาวและเสื้อคลุมตัวสั้น ในหมู่คนเหล่านี้เหยาหรู่เหนิงจำหน้าได้หลายคน ล้วนเคยเห็นในบ่อน เก่อเหล่าให้พวกมันยืนเรียงหนึ่งแถว จากนั้นทำสัญญาณมือแก่จางเสี่ยวจิ้ง

    ทั่วร่างเหยาหรู่เหนิงชาแข็ง แม้มันไม่เข้าใจภาษาลับก็รู้ความหมายของเก่อเหล่า คิดไม่ถึงว่าทาสคุนหลุนผู้นี้จะเหี้ยมเกรียมเช่นนี้ ไม่เพียงต้องการให้จางเสี่ยวจิ้งบอกชื่อสายลับออกมา แต่ยังต้องการให้มันชี้ตัวต่อหน้าอีกด้วย เรื่องต่อจากนี้ไม่ต้องคิดก็ย่อมรู้ ย่อมต้องให้จางเสี่ยวจิ้งฆ่าสายลับผู้นี้ด้วยมือตนเองอย่างแน่นอนจึงนับว่าครบถ้วนตามข้อตกลง…นี่คือการพิสูจน์สัจจะในวงอันธพาลนักเลง

    เหยาหรู่เหนิงจิตใจเครียดเขม็ง มองหน้าจางเสี่ยวจิ้ง ขณะกำลังจะเอ่ยปากถามคาดคั้น ทันใดนั้นต้นคอถูกจางเสี่ยวจิ้งใช้สันมือฟันอย่างแรง สลบไปทันที

    เก่อเหล่าหัวเราะหึๆ “เอ็นดูเจ้าลูกเหยี่ยวคนนี้มากสินะ มันเหมือนกับท่านในอดีตไม่มีผิด” จางเสี่ยวจิ้งไม่ต่อความ เดินเข้าหายี่สิบกว่าคนนั้น กวาดตามองรอบหนึ่ง

    กล้ามเนื้อบนใบหน้าจางเสี่ยวจิ้งกระตุกเบาๆ แม้เป็นนักโทษประหาร เพื่อช่วยศัตรูในอดีตชี้ตัวสหายศึกก็ยังต้องข่มใจเอาชนะความรู้สึกพลุ่งพล่าน แขนของมันยกขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นเก่อเหล่าพลันกล่าวขึ้น “จางเหล่าตี้ ความจริงนั้นท่านยังมีทางเลือกที่สอง”

    “อ้อ?”

    “สองตาของข้าพอจะมองออก ทางการใช้เงื่อนไขยกเว้นโทษตายแก่ท่านใช่หรือไม่”

    จางเสี่ยวจิ้งยังคงสงบนิ่ง ทว่าก็ไม่ปฏิเสธ

    “หึๆ พวกมันชอบกระทำเช่นนี้” นิ้วมือของเก่อเหล่าประสานเข้าหากันด้วยท่วงท่างดงาม “พวกเราแลกเปลี่ยนกันอีกอย่างเป็นอย่างไร ข้าไม่บีบท่านชี้ตัวคน เพียงท่านบอกเรื่องฉางอันต่อข้า ข้าก็จะส่งท่านออกนอกเมืองอย่างปลอดภัย นับจากนี้ไปทะเลกว้างมัจฉาทะยานอิสระ ฟ้าสูงวิหคโบยบินเสรี นี่ไม่ดีหรอกหรือ”

    มิอาจไม่กล่าวว่าข้อเสนอของเก่อเหล่ายั่วยวนใจมาก เพียงออกพ้นเมืองฉางอัน จางเสี่ยวจิ้งก็เป็นอิสระอย่างแท้จริง จิ้งอันซือกับหลี่ปี้ไม่มีเวลามาตามล่ามันแต่อย่างใด…พวกมันสามารถมีชีวิตผ่านคืนนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้…ส่วนค่าตอบแทนที่จางเสี่ยวจิ้งต้องจ่าย นับว่าน้อยกว่าน้อย

    ทางสายนี้ง่ายกว่าการที่มันจะฆ่าอดีตสหายศึกแลกข่าว จากนั้นแบกความระแวงสงสัยไปไล่ล่าคนโฉดทูเจวี๋ย

    ในห้องเงียบกว่ายามปกติ ได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของหญิงห้องข้างเคียงแว่วมา จางเสี่ยวจิ้งยืนอยู่ในเงามืด หลับตาชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ถึงชั่วเวลาดีดนิ้วหนึ่งครั้งก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ยกมือปัดฝุ่นในเบ้าตา “ขออภัย เก่อเหล่า ครั้งนี้ข้ายังไปไม่ได้”

    “ท่านยินดีเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนักมากปานนี้หรือ”

    “ไม่ ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับราชสำนัก” จางเสี่ยวจิ้งแหงนหน้า ลำแสงอ่อนจางทะลุผ่านช่องหลังคามุงหญ้าลงมา

    “งมงายเลอะเลือนนัก” เก่อเหล่าวิจารณ์อย่างแหลมคม จากนั้นเหยียดเอวเกียจคร้านครั้งหนึ่ง “ช่างเถอะ ข้าทำดีด้วยถึงที่สุดแล้ว ท่านก็ชี้ตัวสายลับเถิด จะให้ดีก็เป็นคนที่ก่อนหน้านั้นท่านส่งเข้ามาด้วยตัวท่านเอง ข้าชมชอบดูละครเยี่ยงนี้”

    จางเสี่ยวจิ้งกวาดตามองคนทั้งหมดอีกครั้ง ประกายตาแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว ทันใดนั้นมันคุกเข่าข้างเดียวลงกับพื้น ประสานมือเคร่งเครียด “เรื่องวันนี้เนื่องเพราะสถานการณ์คับขันบีบบังคับ มิอาจไม่กระทำ รอเมื่อถึงยมโลก หวังให้รับคำขออภัยด้วย”

    คนผู้หนึ่งในแถวสีหน้าแปรเปลี่ยน ถีบเท้าถอยหลังทันใด จางเสี่ยวจิ้งลุกขึ้นลงมือฉับพลัน ประกายดาบวาบขึ้น ตัดผ่านคอหอยคนผู้นั้น ขณะที่คนอื่นๆ ยังไม่ทันมีปฏิกิริยา มันก็ระทวยลงกับพื้น ลมหายใจขาดห้วงตายไป เป็นเสี่ยวอี่ที่เมื่อครู่มาเปิดประตู

    นายบ่อนของบ่อนพนันยืนอยู่ในแถว สองขาสั่นเทา

    “จุ๊ๆ น่าเสียใจเล็กน้อย ไม่ควรให้ท่านลงมือด้วยตนเองเลย” เก่อเหล่าเลียริมฝีปากอย่างไม่ยินยอมนัก “หากตกอยู่ในมือพวกข้า เกรงว่าสามวันก็ยังมิอาจตาย”

    จางเสี่ยวจิ้งสีหน้าเขียวคล้ำ เงื้อดาบขึ้นอีกครั้ง คนของบ่อนพนันคุกเข่าเสียงดังโครมกับพื้น อ้อนวอนไม่หยุด “ข้าอยู่กับทางการไม่ได้แล้วจึงมาขอพึ่งเก่อเหล่า ข้ามาเพื่อเงิน ไม่ใช่สายลับ!” ขณะมันกำลังเอาแต่ร่ำร้อง ทันใดนั้นเห็นนิ้วมือชุ่มเลือดหนึ่งนิ้วตกลงที่เบื้องหน้า นายบ่อนงุนงง เงยหน้ามองไป เห็นนิ้วก้อยมือซ้ายของจางเสี่ยวจิ้งถูกตัดเสมอโคน เลือดสดๆ ไหลไม่หยุด

    ที่แห่งนี้พลันเงียบสุดขีด ได้ยินเพียงเสียงจางเสี่ยวจิ้งดังขึ้น “เสี่ยวอี่เป็นคนที่ข้าส่งเข้ามาเอง และเป็นคนที่ข้าทรยศด้วยตนเอง เพื่อสถานการณ์ใหญ่ข้าไม่สำนึกเสียใจ บาปกรรมฆ่าคนครั้งนี้ช้าเร็วข้าต้องชดใช้…แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ดังนั้นสะบั้นนิ้วเป็นหลักฐาน ทุกท่านเป็นพยานให้ข้า”

    เก่อเหล่าส่ายหน้าพลางหัวเราะร่วน “งมงายเลอะเลือน ชีวิตเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ทรยศแล้วก็ทรยศไป จำเป็นต้องตำหนิตนเองหรือ” จางเสี่ยวจิ้งไม่แยแสมัน ล้วงผ้าแถบชิ้นหนึ่งออกจากในอกเสื้อ พันบาดแผลด้วยมือเดียว นายบ่อนของบ่อนพนันมองเก่อเหล่าอย่างขลาดกลัว เห็นมันไม่มีปฏิกิริยา รีบลุกขึ้นช่วยจางเสี่ยวจิ้งพันบาดแผลอย่างประจบประแจง

    งานเยี่ยงนี้มันชำนาญนัก ครั้งอดีตเมื่อยังอยู่ในราชการนั้นมันทำแผลให้หัวหน้าจางบ่อยครั้ง จัดแจงบาดแผลเสร็จสิ้นแล้ว จางเสี่ยวจิ้งคว้าชายเสื้อชุดยาวขึ้นมาเช็ดคราบเลือดบนดาบจนแห้งสะอาด กล่าวเน้นทีละคำต่อเก่อเหล่า สีหน้าเจ็บปวดและน่าสยดสยอง

    “เก่อเหล่า ถึงคราวท่านแล้ว”

    ยามนี้บนร่างมันแผ่รังสีสังหารรุนแรงกระทั่งทาสผิวดำผู้นั้นก็เงียบงัน ทาสชราขยับริมฝีปากไม่เอ่ยวาจาแดกดันอีกต่อไป

    …เหยาหรู่เหนิงฟื้นขึ้นมา พบตนเองนอนอยู่ในห้องสอบสวน หนึ่งชายหนึ่งหญิงที่เบื้องหน้าถูกมัดแน่นหนา มันพอดีเห็นเก่อเหล่าดีดนิ้วครั้งหนึ่ง คนแคระส่งแส้หนังให้จางเสี่ยวจิ้ง

    หรือว่าจางเสี่ยวจิ้งชี้ตัวเสร็จสิ้นแล้ว? สังหารสายลับแล้ว? มันกำลังจะเอ่ยถามพลันถูกคนจับกดกับพื้น เก่อเหล่าหันหน้ามา ส่งเสียงชู่ปราม

    จางเสี่ยวจิ้งกุมด้ามแส้ สายตากวาดมองไปมาระหว่างทั้งสองคน จากนั้นหยุดที่ร่างสตรี มันพูดกับถงเอ๋อร์ “ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าเกี่ยวกับหลงปัว หวังว่าเจ้าจะตอบตามจริง”

    ถงเอ๋อร์พลันเงยหน้าตวาด “นอกจากพวกท่านจะปล่อยข้ากับหานหลาง ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าข้าจะเอ่ยปาก!” นางกับชู้รักถูกขังหนึ่งวันหนึ่งคืน ความหวังจวนหมดสิ้น พลันคว้าฟางช่วยชีวิตได้จึงคว้าแน่นไม่ยอมปล่อย จางเสี่ยวจิ้งพิจารณาครู่หนึ่ง บนร่างหญิงผู้นี้รอยแส้มากมาย เห็นชัดเจนว่าถูกโบยไม่รู้กี่ครั้งแล้ว การโบยตีใช้กับนางไม่ได้

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “บอกมา ข้าสามารถขอร้องเก่อเหล่ามอบน้ำใจสักครั้ง ปล่อยเจ้าไป”

    ถงเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา “อย่าคิดทำพวกเราแตกแยก! พวกเราสาบานแล้ว อยู่ร่วมตายร่วม ไม่พรากจากกันเด็ดขาด!”

    จางเสี่ยวจิ้งส่ายหน้า จากนั้นเดินไปหาหานหลาง หานหลางเงยหน้า เห็นเป็นคนของทางการ คิดร้องขอให้ช่วยก็ถูกด้ามแส้อุดปาก ถงเอ๋อร์ร่ำร้องเสียงดัง “ไม่มีประโยชน์! ท่านฆ่าหานหลาง ข้าก็ตายตามมัน!”

    จางเสี่ยวจิ้งไม่แยแส เอ่ยกับหานหลาง “ข้าช่วยพวกเจ้าให้ออกไปได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น เจ้าเลือกเอง แต่จำไว้ว่าเลือกได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น”

    เมื่อกล่าวจบ จางเสี่ยวจิ้งถอยหลังหลายก้าว มองด้วยสายตาเย็นชา แรกสุดหานหลางยังระแวง จากนั้นลิงโลด ปากพึมพำไปมา ทว่าเมื่อหันไปมองถงเอ๋อร์ก็ลังเล ไม่ยินยอมบอกชื่อ ทันใดนั้นจางเสี่ยวจิ้งขยับเข้าไปใกล้ แนบหูใกล้มัน จากนั้นพยักหน้า

    “ได้” จางเสี่ยวจิ้งลดแส้ลง ตวัดดาบตัดเชือกบนร่างหานหลาง

    หานหลางกลิ้งอยู่บนพื้น มันชะงัก ตนเองไม่ได้พูดอันใด ทว่าเมื่อขยับปากจะพูดก็ลังเล มันทดลองขยับหลายก้าว เห็นคนดุร้ายพวกนั้นไม่มีความเคลื่อนไหว แววตาลิงโลดมาก…มีคนตัดสินใจแทนมันก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจแล้ว มันมองซ้ายมองขวา ไม่มีคนขัดขวาง ใช้ชายเสื้อปิดใบหน้า วิ่งหน้าตื่นออกไป

    รอมันหนีออกไปแล้ว จางเสี่ยวจิ้งเดินกลับไปที่ด้านหน้าถงเอ๋อร์อีกครั้ง นางเหม่อมองเชือกที่ขาดสองท่อนบนพื้น ใบหน้างดงามก้มต่ำคล้ายไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง

    “ท่านโกหก มันยังไม่ได้พูดอะไร!” ถงเอ๋อร์พลันเงยหน้า ตะโกนเสียงเคียดแค้น

    “กับบุรุษผู้หนึ่ง มิควรฟังสิ่งที่มันพูด ควรดูสิ่งที่มันกระทำ หากเดิมมันไม่คิดหนี ข้าจะบังคับสองขาของมันได้อย่างไร” น้ำเสียงจางเสี่ยวจิ้งราบเรียบ คล้ายกำลังเล่าความจริงอันเรียบง่าย

    ถงเอ๋อร์มิอาจไม่แผดเสียงร่ำไห้ เหยาหรู่เหนิงไม่อาจทนดู หันหน้าไปอีกด้าน จางเสี่ยวจิ้งทดสอบนิสัยมนุษย์เล็กน้อยเท่านั้น เพียงชักฟืนใต้หม้อ ทำลายความหวังของแม่นางนี้จนสิ้น ทว่าเมื่อคิดดูให้ดีแล้ว กระทั่งทรยศสหายศึกมันยังไม่แยแสแม้แต่น้อย เรื่องเช่นนี้นับเป็นอันใดได้เล่า

    จางเสี่ยวจิ้งใช้ด้ามแส้เชยคางถงเอ๋อร์ขึ้น “บัดนี้สามารถตอบคำถามของข้าได้แล้วหรือไม่” นางไม่ปฏิเสธอีกแล้ว นางไร้เหตุผลจะยืนหยัดต่อไป

    ตามคำบอกของนาง หลงปัวมาผิงคังฟางครั้งแรกก็เลือกนาง จากนั้นมาไม่เคยเลือกคนอื่น คนผู้นี้พูดน้อยมาก ไม่เคยเปิดเผยฐานะตนเอง ขณะร่วมหลับนอนก็ไม่ค่อยส่งเสียง มันพานางออกไปหลายครั้ง ไปคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่งที่ซิวเจิ้งฟางทางตะวันตกเฉียงใต้ของถนนสี่แยก คฤหาสน์นี้ใหญ่มาก นางเคยถามหลงปัวว่าเป็นของผู้ใด หลงปัวตอบเพียงว่าดูแลแทนผู้อื่น ไม่บอกว่าผู้ใด

    จางเสี่ยวจิ้งหันมากล่าวต่อเก่อเหล่า บอกว่าปล่อยคนไปหนึ่งคนโดยพลการ ยังต้องขออภัย เก่อเหล่าหัวเราะ “พวกข้าไม่ใช่พวกบ้าคลั่งทารุณ จัดฉากเช่นนี้ขึ้นเพียงเพื่อสั่งสอนเหล่าแม่นางให้สงบจิตใจ วาจาเดียวของจางเหล่าตี้ก็ทำให้ถงเอ๋อร์รู้สันดานชั่วของบุรุษ นับว่าไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงพวกข้า สามารถส่งนางคืนแม่เล้าได้”

    คนเตี้ยพิกลพิการนั้นแก้มัดถงเอ๋อร์ ลากนางออกไปจากห้อง

    เหยาหรู่เหนิงฝืนทนจนมิอาจฝืนทนต่อไป ในที่สุดออกปากด่าทอ “แม่ทัพจาง ข่มเหงสตรีอ่อนแอเช่นนี้ใช่ไร้คุณธรรมหรือไม่…ใช่แล้ว! กระทั่งสหายศึกของตนเองท่านยังฆ่า นี่นับเป็นอันใดได้” มันคล้ายก้างปลาติดคอ หากไม่พูดคงอึดอัดยากทานทน

    จางเสี่ยวจิ้งเงยหน้า ในดวงตาเปี่ยมแววแดกดัน “อ้อ เจ้าหมายความว่าให้นางติดตามคนเยี่ยงนี้กลับบ้าน ชีวิตนางจะดีกว่านี้หรือ”

    เหยาหรู่เหนิงเพียงพึมพำเอ่ออ่าไม่อาจโต้ มันเคยสัมผัสคดีทำนองนี้ มักไม่ใคร่มีบั้นปลายอันดี จางเสี่ยวจิ้งพูดอย่างเย็นชา “คนทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเลือก นางเลือกทางสายนี้เองก็สมควรตาสว่างโดยเร็ว หากเจ้าเห็นว่าน่าสงสาร ก็ตบแต่งพานางกลับบ้านไป”

    เหยาหรู่เหนิงหน้าแดงหูแดง ไร้วาจาโต้ตอบ ได้แต่หุบปาก ทว่ามันตัดสินใจแล้ว ออกพ้นจากผิงคังฟางเมื่อใดก็จะรายงานจิ้งอันซือทันที พฤติกรรมของจางเสี่ยวจิ้งล้ำเกินเส้นต่ำสุดไปแล้ว

     

    ศอกของเฉาพั่วเหยียนเจ็บแปลบปลาบตลอดเวลา นี่ทรมานมาก ทว่าอย่างน้อยยังทำให้มันรักษาความตื่นตัวไว้ตลอดเวลา ในเมืองที่อันตรายรายล้อมรอบด้านนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่าประสาทที่แหลมคมฉับไว

    บัดนี้มันยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในย่านรกร้าง จ้องมองขบวนรถวิ่งเข้าไปช้าๆ ขบวนนี้มีรถใหญ่มากถึงสิบคัน ล้วนเป็นรถเทียมม้าสองตัว ทั้งสี่ด้านแขวนม่านดำหนามาก หลังคารถโค้งสูง จากรอยลึกของล้อรถ ดูออกว่าสินค้าที่บรรทุกมาในรถหนักมาก รถทุกคันเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่นกับดินโคลน ชัดเจนว่าไม่ว่าม้าหรือสารถีล้วนอ่อนล้า

    จากธงสามเหลี่ยมเดินลายขอบเขียวที่ปักอยู่หน้ารถทำให้รู้ว่าพวกมันเป็นรถม้าของร้านซูจี้ ร้านรถม้านี้ขนส่งสินค้าราษฎร วิ่งเส้นทางตอนเหนือของฉางอัน มีชื่อเสียงมาก

    หัวหน้าสารถีที่นำขบวนกระโดดลงจากรถม้าคันแรก ตบฝุ่นดินบนร่าง ระบายลมหายใจอย่างแรงครั้งหนึ่ง

    การค้าจากเหยียนโจวมาฉางอันครั้งนี้ไม่เลว ผู้ว่าจ้างชำระเงินง่ายดาย สินค้าไม่ใช่สิ่งของราคาแพงอันใด ระหว่างทางไม่ต้องกังวลใจ ผู้ว่าจ้างมีเงื่อนไขยากลำบากเพียงประการเดียวคือเวลา…ไม่ว่าอย่างไรต้องส่งสินค้าถึงที่หมายก่อนเทศกาลซั่งหยวน ตอนนี้ขบวนรถเร่งเดินทางจนถึงปลายทาง สินค้าเข้าโรงเก็บอย่างราบรื่นก่อนยามอู่ มันไม่ต้องกังวลอันใดแล้ว

    ความจริงนั้นตามกฎระเบียบ พวกสินค้ารายใหญ่ต้องส่งเข้าตลาดตะวันออกตะวันตกเท่านั้น จากนั้นจึงทยอยแบ่งปลีกขนออก ประตูฟางอื่นๆ สร้างธรณีประตูมังกรผ่านเอาไว้ รถม้าขนาดกว้างเข้าไม่ได้ ทว่าสถานที่ตั้งของคฤหาสน์แห่งนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ผู้คนน้อย อีกทั้งทางเข้าเปิดออกสู่ถนนโดยตรง ธรณีประตูมังกรผ่านถูกถอดทิ้งไปแต่แรก

    พวกลักลอบหลบหนีภาษีนี้ หัวหน้าสารถีพบเห็นมามาก ไม่คิดว่าประหลาดแต่อย่างใด

    ต่อจากนี้เพียงตรวจนับสินค้ากับฝ่ายผู้รับของ รับมอบตั๋วแลกเงิน งานก็เป็นอันเสร็จสิ้น หัวหน้าสารถีคิดตระเตรียมเรื่องกระทำยามบ่ายไว้แล้ว หาโรงอาบน้ำแช่ให้สบาย ผ่อนคลายร่างกายเสียก่อน จากนั้นไปตลาดตะวันตกซื้อสินค้าต่างแดนให้ภรรยา ตกกลางคืนหาสุราซานเล่อเจียงชั้นเยี่ยมสักกระปุก หาที่สูงสักแห่งจิบพลางชมงานโคมไฟไปพลาง นับเป็นวันอันดีงาม!

    หัวหน้าสารถีมองไปรอบด้าน เพียงมองก็แยกแยะออกว่าเฉาพั่วเหยียนเป็นหัวหน้า มันเดินเข้าไปหา ปั้นรอยยิ้มเต็มใบหน้า “นายท่านผู้นี้ ดีที่เราทำสำเร็จตามคำสั่ง สินค้าไม่ขาดแม้ชิ้นเดียว เวลาก็พอดีพอเหมาะ” มันส่งใบสะระแหน่ที่ม้วนสำเร็จให้ ใบสะระแหน่มีสรรพคุณกระตุ้นสมองกระปรี้กระเปร่า ใช้ระหว่างเดินรถ มีปลูกเฉพาะเจียงไหว

    เฉาพั่วเหยียนไม่มีเจตนารับแต่อย่างใด กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ยามเข้าเมืองมีอุปสรรคใดหรือไม่”

    สินค้ารายใหญ่เช่นนี้เข้าเมืองฉางอัน เจ้าหน้าที่ประตูเมืองต้องตรวจสอบลงทะเบียนจึงสามารถปล่อยออก ทว่าสินค้ามากเจ้าหน้าที่น้อย ปกติต้องใช้เวลาตรวจหลายวัน ร้านรถม้าซูจี้ขนส่งสินค้าตลอดปี มีสัมพันธ์อันดีมากกับเจ้าหน้าที่ สามารถย่นเวลารายงานด่าน…พวกมันอาศัยความสัมพันธ์นี้จึงกล้าขนส่งมาฉางอัน

    ได้ยินคำถามเรื่องนี้ หัวหน้าสารถีตบหน้าอก ท่าทางโอ้อวด “พวกข้ามีคนรู้จักช่วยดูแล ไม่มีปัญหาใดๆ ยามเฉินรายงานด่าน ไม่ถึงสองชั่วยามก็ปล่อยสินค้าแล้ว หนังสือต่างๆ ทั้งหมดอยู่ที่นี่ ไม่ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว”

    กล่าวจบมันยื่นหนังสือราชการปึกหนึ่งให้เฉาพั่วเหยียน เฉาพั่วเหยียนพลิกดูคร่าวๆ ถามอีกว่า

    “พวกมันตรวจสินค้าหรือไม่”

    หัวหน้าสารถีหัวเราะประจบตอบว่า “นอกจากท่านมีบรรดาศักดิ์ ไม่เช่นนั้นนี่ไม่อาจยกเว้น แต่ว่าขั้นตอนทั้งหมดข้าร่วมดูอยู่ พวกมันเพียงสุ่มตรวจเพียงสองชิ้น เอาหอกยาวแทงหนึ่งครั้งก็ปิดกลับคืน…กล่าวไปแล้วสิ่งที่ท่านขนมา หนึ่งไม่ใช่สิ่งต้องห้าม สองไม่ผิดกฎ จะเกิดปัญหาอะไรได้เล่า ท่านก็กังวลเกิน…”

    เฉาพั่วเหยียนไม่คิดฟังมันพล่ามยืดยาว ส่งสัญญาณมือเดียว “ลงของ”

    หัวหน้าสารถีเอาหน้าอุ่นแนบก้นร้อนก็ไม่เสียเวลาสอพลอเอาใจอีก มันหันกลับไปออกคำสั่ง พวกสารถีตวาดสั่งม้า หันรถม้ากลับทิศ ท้ายรถถอยเข้าหาทางเข้าคฤหาสน์ช้าๆ

    ที่แห่งนี้ถูกแปลงเป็นโรงเก็บสินค้าอย่างง่าย มีลานลงสินค้ายกสูง รถม้าเหล่านั้นเทียบจอดอย่างงดงาม ประตูท้ายแนบติดกับขอบลาน เกือบจะไม่มีช่องว่าง คนงานที่ด้านในรุมล้อมเข้ามา เปิดประตูท้ายออก ในรถแต่ละคันมีถังขนาดใหญ่ทำจากไม้ไผ่จำนวนสิบใบ ด้านใต้ปูหญ้ากว้างสามชุ่น พวกมันพาดแผ่นไม้ยาวหลายแผ่น กลิ้งถังไม้ลงมาทีละใบ หัวหน้าสารถีสังเกตเห็นว่าพวกคนงานเหล่านี้ล้วนหน้าตาเยี่ยงคนนอกด่าน ไม่มีชาวฮั่นสักคนเดียว

    ทว่าที่มันไม่สังเกตเห็นคือมีคนงานหลายคนเดินไปลั่นดาลประตูใหญ่ของโรงเก็บสินค้า

    ถังใหญ่แต่ละใบถูกขนลงมายังลาน เฉาพั่วเหยียนเดินไปหน้าถังไม้ใบหนึ่ง งัดฝาถังออก ยื่นมีดสั้นลงไปคน จากนั้นดึงขึ้นมาดูคราบน้ำมันที่ปลายมีด หลังจากตรวจหลายใบ เฉาพั่วเหยียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ สินค้าชุดนี้ไม่มีปัญหา เป็นของชั้นดีเลิศ ห่อแน่นหนา ระหว่างทางไม่แตกรั่วแม้แต่น้อย

    สารถีที่น่าสงสารกลุ่มนี้เข้าใจว่าที่ตนเองขนมาเป็นสินค้าธรรมดา แต่กลับไม่รู้ว่านั่นคือวิญญาณของเชว่เล่อฮั่วตัวอันยิ่งใหญ่

    วางมีดสั้นลง เฉาพั่วเหยียนถามหัวหน้าสารถีว่า “หลังจากเจ้าเข้าเมืองก็ตรงมาที่นี่เลยหรือ”

    “แน่นอน พวกข้าไม่ทำเสียเวลาลูกค้าเด็ดขาด”

    “เช่นนี้แล้วในเมืองฉางอันยังมีคนอื่นๆ รู้ว่าพวกเจ้ามาถึงแล้วหรือไม่”

    “ไม่มี ต้องรักษาความลับให้แก่ลูกค้า รอลงสินค้าให้ท่านเสร็จสิ้น เก็บเงินส่วนที่เหลือ พวกข้าจึงจะไปส่งมอบงานต่อคนกลาง”

    พริบตาต่อมา เฉาพั่วเหยียนแทงมีดสั้นที่น้ำมันกำลังหยดลงปักอกหัวหน้าสารถี อีกทั้งยังบิดด้ามมีด หัวหน้าสารถีซวนเซถอยหลังหลายก้าว คิดหันหลังหนี ทว่าภาพที่มันเห็นภาพสุดท้ายบนโลกนี้คือภาพสารถีอื่นๆ ตายอย่างอนาถท่ามกลางกองเลือด

    นี่เป็นการสังหารอันรวดเร็วและเงียบงัน เพียงกลอกตาก็จบสิ้น สารถีที่ฝ่าลมต้านฝุ่นมานานวันเหล่านี้กระทั่งพักผ่อนยังไม่อาจกระทำได้ ก็ตายอนาถข้างรถม้า ทั้งขบวนรถปราศจากผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

    เสียงอึกทึกเงียบลงอย่างรวดเร็ว โรงเก็บกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เหตุการณ์วุ่นวายเล็กน้อยนี้มิได้ทำให้ผู้ใดตื่นตกใจ เฉาพั่วเหยียนสั่งบริวารปลดม้าออกจากรถม้าของซูจี้ ลบรอยนาบที่ตะโพกม้า ถอนธงสัญลักษณ์ออก ลบร่องรอยทุกอย่างของซูจี้ทิ้ง

    ยามนี้ด้านนอกโรงเก็บสินค้า เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังขึ้น เฉาพั่วเหยียนขมวดคิ้ว เดินไปหลังบานประตู มองผ่านรูออกไป ที่ยืนหน้าประตูเป็นบุรุษผู้หนึ่ง คลุมร่างด้วยหมวกปีกกว้างที่มีผ้าสีลายพร้อยเก่าๆ ขาดๆ หมวกบนศีรษะขาดเก่ามาก เผยให้เห็นผ้าโพกผมด้านใน ชาวบ้านธรรมดาละแวกซานฝู่ส่วนใหญ่แต่งกายเช่นนี้

    “อาชาน้อยในทุ่งหญ้าคิดตะบึงสู่ทิศใด” เฉาพั่วเหยียนใช้ภาษาทูเจวี๋ยถามผ่านบานประตู

    “ทิศอันศรชี้ย่อมเป็นศีรษะอาชาผินสู่” ผู้มาตอบเสียงแหลมเล็กคล้ายสตรี

    รหัสลับถูกต้อง เฉาพั่วเหยียนดึงดาลประตูออก ให้มันเข้ามา ผู้มาเยือนเลิกหมวกสานขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าผอมซูบ จมูกเหยี่ยวแหลมเล็ก

    “ข้าคือหลงปัว” มันแยกเขี้ยว ยิ้มอย่างเบิกบาน

    เฉาพั่วเหยียนขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยพบหน้าหลงปัว รู้เพียงมันมาจากชิวฉือ เร้นกายอยู่ในฉางอัน โรงเก็บสินค้าที่ห่างไกลรกร้างนี้รวมถึงฐานลับล้วนเป็นมันจัดแจงตระเตรียม ความจริงนั้นหลงปัวเป็นคนที่โย่วซาหามา เฉาพั่วเหยียนไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย

    คิดไม่ถึงว่า มันถึงกับเป็นชาวฮั่น

    “ข้ายังต้องการหลักฐานยืนยันฐานะของเจ้า” เฉาพั่วเหยียนกุมมีดสั้นแน่น เต็มไปด้วยความระแวง

    ทันใดนั้นหลงปัวนั่งยองๆ เฉาพั่วเหยียนปราดถอยหลังหนึ่งก้าว แววตาโหดเหี้ยม หลงปัวหัวเราะ “โธ่ ไยต้องตื่นตกใจ ข้าจับท่านกินได้หรือ” มันกล่าวพลางถอดรองเท้าบุนวมส้นเตี้ยข้างซ้าย แยกพื้นรองเท้าออกเสียงดังแควก ดึงห่อกระดาษสีเหลืองสดใสหนึ่งห่อออกมาจากด้านใน

    เพื่อป้องกันกระดาษชื้นเปียก กระดาษนี้จึงแช่น้ำมันมาแล้ว เมื่อจับกับมือรู้สึกลื่นมัน เฉาพั่วเหยียนเปิดออกอย่างระมัดระวัง เป็นแผนที่ฟางของเมืองฉางอันจริงๆ สัญลักษณ์บนนั้นบันทึกละเอียดมาก ถนนแต่ละฟาง หน่วยพลเฝ้าระวัง ซุ้มประตู ค่ายทหาร หน่วยราชการ หอสังเกตการณ์ สะพาน กระทั่งทิศทางทางน้ำใต้ดินของแต่ละฟางกับตึกใหญ่คฤหาสน์ต่างๆ ล้วนบันทึกไว้ เห็นฉางอันทั้งเมืองชัดเจน

    แผนที่ฟางชิ้นนี้ร้านเครื่องทองเครื่องเงินซีฝู่ลักลอบทำขึ้นเอง จากนั้นถูกนักรบสุนัขป่านำไปถึงไหวหย่วนฟาง ในวิหารนิกายเซียนเจี้ยวหลงปัวฉวยโอกาสขณะชุลมุนวุ่นวายคว้าเอาไป เมื่อมีแผนที่ฟางย่อมเป็นหลงปัวตัวจริงไม่ต้องสงสัย

    เฉาพั่วเหยียนจับมุมหนึ่งของแผนที่ฟาง ร้อยอารมณ์สับสน เพื่อสิ่งนี้มันสูญเสียยอดฝีมือไปถึงสิบห้านาย บัดนี้ได้แผนที่ฟางมาแล้ว ในที่สุดห่วงทองแดงชิ้นสุดท้ายก็เชื่อมต่อเข้าในแผนลูกโซ่เก้าชั้นของโย่วซา

    “เพื่อสิ่งของผีสางชิ้นนี้ ข้าไม่อาจอยู่ในฉางอันอีกต่อไป ท่านโย่วซาต้องเพิ่มเงินให้ข้าสักเล็กน้อย” หลงปัวเรียกร้อง

    พอได้ยินคำนี้ เฉาพั่วเหยียนขมวดคิ้ว “จิ้งอันซือมาหาเจ้าแล้วหรือ”

    “เกรงว่าเวลานี้ครึ่งเมืองฉางอันกำลังตามหาข้า แม้แต่จอหงวนคนใหม่ยังไม่มีการต้อนรับเยี่ยงนี้เลย” หลงปัวถึงกับภาคภูมิใจอยู่บ้าง

    ใบหน้าเฉาพั่วเหยียนเครียดคล้ำทันที “ถ้าเช่นนั้น คฤหาสน์เหล่านั้นกับโรงเก็บแห่งนี้ที่เจ้าจัดแจงไว้จะถูกพวกมันตรวจค้นหรือไม่”

    หลงปัวเอียงคอ “สถานที่พวกนี้ข้าจัดแจงผ่านคนกลางหลายแห่ง ใช้ชื่ออื่นติดต่อ ที่พักก็ไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ ไว้ นอกจากพวกมันเป็นเทพ ไม่เช่นนั้นไม่อาจหาพบแน่นอน…เอ๊ะ มัวเหม่ออันใดอยู่เล่า รีบให้ข้าเข้าไปสิ” หลงปัวเร่งเร้า เฉาพั่วเหยียนจึงละทิ้งความคิดสับสน เบี่ยงกายให้มันเข้ามา จากนั้นปิดประตูอีกครั้ง

    หลงปัวเข้ามาในลานสวน เห็นศพเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงปะทะจมูก มันไม่ตกใจแม้แต่น้อย แต่กลับเหลียวมองซ้ายขวา “เช่นนี้สินค้าจากเหยียนโจวส่งมาถึงแล้วกระมัง”

    “เข้าโรงเก็บแล้ว คนที่สมควรจัดการก็ล้วนจัดการเสร็จสิ้น”

    “จุ๊ๆ สารถีพวกนี้น่าสงสารเหลือเกิน นับว่ามาส่งชีวิตไกลถึงพันลี้จริงๆ” หลงปัวพูดพร่ำไปพลางเดินไปพลาง มาถึงลานลงสินค้าก็ตบถังไม้ใบใหญ่ “ที่บรรจุอยู่ข้างในก็คือวิญญาณของเชว่เล่อฮั่วตัวที่พวกท่านกล่าวถึงกระมัง แล้วร่างเนื้อของเชว่เล่อฮั่วตัวเล่า”

    เฉาพั่วเหยียนไม่พอใจท่าทีเหลาะแหละของมันมาก ฝืนใจตอบว่า “ด้านร้านเครื่องไผ่ตระเตรียมพร้อมแล้ว รอเมื่อดัดแปลงขบวนรถเสร็จสิ้น ข้าก็จะรับร่างเนื้อมาที่นี่ ถึงเวลานั้นก็ต้องอาศัยเจ้ามาประกอบขั้นสุดท้าย”

    เหมือนเสียดสี เชว่เล่อฮั่วตัวเป็นตัวแทนความโกรธแค้นของข่านทูเจวี๋ย ทว่ากลับมีเพียงหลงปัวช่างฝีมือชาวชิวฉือผู้นี้เท่านั้นที่รู้วิธีประกอบพวกมัน

    หลงปัวเดินวนหลายรอบ ปากคล้ายท่องบทกลอน “ยามวิญญาณแลร่างเนื้อรวมเป็นหนึ่ง เชว่เล่อฮั่วตัวอันยิ่งใหญ่จะฟื้นคืนชีพ แผนที่ฟางนี้จะชี้นำมันทำลายฉางอันทั้งเมือง” ขาดคำ มันทนขบขันไม่ได้ ต้องพ่นลมออกจมูก พึมพำคำหนึ่ง “ฉายาที่ข่านทูเจวี๋ยของพวกท่านตั้งนี้ น่าสนุกจริงๆ!”

    เฉาพั่วเหยียนมุมปากกระตุก รู้สึกเหมือนต้าข่านถูกลบหลู่ มันกุมมีดสั้นแน่น งอขาขวาเล็กน้อย ท่วงท่าพร้อมจู่โจมทันที ตัดสินใจสั่งสอนเจ้าคนผู้นี้สักเล็กน้อย หลงปัวเดินไปด้านหน้าหลายก้าว ก้มร่างลงทันใดคล้ายคิดหลบหลีกมีดสังหารของมัน ร่างเฉาพั่วเหยียนโยกเล็กน้อย กล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง เหมือนเข้าใจว่าความคิดของตนเองถูกเปิดโปง

    ดีที่หลงปัวเพียงคิดก้มเก็บสิ่งของชิ้นหนึ่งจากบนพื้น นี่เป็นถุงผ้าไหมดิ้นทองอันงดงามประณีต คงตกพื้นขณะหัวหน้าสารถีดิ้นรน ในนั้นเรียงใบสะระแหน่ที่ม้วนสำเร็จไว้สิบกว่ามวน ดวงตาสามเหลี่ยมของหลงปัวแผ่ประกาย หยิบมวนหนึ่งใส่เข้าปาก เคี้ยวหลายครั้ง พ่นลมแห่งความพึงพอใจออกจมูก

    เฉาพั่วเหยียนวางมีดสั้นลงเงียบเชียบ บอกตนเอง ช่วงเวลานี้มิควรบังเกิดปัญหาอื่นขึ้น

    หลงปัวเคี้ยวใบสะระแหน่หยับๆ นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายวับวาว “ร่างเนื้อจะขนมาเมื่อใด”

    “ขบวนรถจะออกเดินทางในหนึ่งเค่อ ครึ่งชั่วยามกลับ หวังว่าประกอบเสร็จภายในสองชั่วยาม”

    หลงปัวมองไปรอบด้าน “ในโรงเก็บสินค้ามีคนทำงานน้อยนัก พวกหมาเก๋อเอ๋อร์เล่า”

    “ข้าเพียงรับบัญชามาทำหน้าที่ พวกมันอยู่ที่ใด เจ้าไปถามท่านโย่วซาเอง” เฉาพั่วเหยียนหัวเราะเย็นชา

    หลงปัวทำสัญญาณมือจนปัญญา “เรื่องมิอาจชักช้า เอาเครื่องมือกับวัตถุดิบออกมา ข้าจะเริ่มประกอบแล้ว” มันสะบัดข้อมือ ปากเคี้ยวไม่หยุด

     

    ไท่ผิงฟางอยู่ที่ปลายเหนือสุดของถนนสายที่สองของถนนจูเชวี่ยตะวันตก ตรงกับประตูหานกวงของวังหลวงพอดี อยู่ใกล้กับกองงานต่างๆ ของเขตพระราชฐานมาก ในวัดสือจี้ซึ่งอยู่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของไท่ผิงฟางมีสวนจิ้งถู่อันได้ฉายาว่า ‘ยอดอัศจรรย์นครหลวง’ ในสวนมีเจดีย์มากมาย ป่าไผ่ยังมีพระพิมพ์ดินเผาหนึ่งร้อยแปดองค์ กล่าวได้ว่าเปี่ยมบรรยากาศแห่งฌาน

    ที่ส่วนลึกของป่าไผ่ เวลานี้ คนสองคนยืนเคียงกันในศาลาหลังน้อยชายคางอนโค้งขึ้น คนหนึ่งสวมชุดสีครามผ้าโพกขาว คือหลี่ปี้ผู้เพิ่งออกมาจากจิ้งอันซือ อีกคนกลับดูเหมือนขุนนางใหญ่ ราศีเทียมฟ้า หากมีบุคคลที่สามอยู่ในที่นี้ย่อมจดจำได้ทันทีว่า ผู้สูงศักดิ์ใบหน้าผอมผู้นี้ก็คือรัชทายาทหลี่เฮิง ทั้งสองคนพิงระเบียงมองไกลออกไป คล้ายต่างกำลังชื่นชมโลกแห่งฌานที่ด้านนอก ทว่าที่สนทนากันกลับมิเกี่ยวข้องกับหลักพุทธธรรมแม้ครึ่งน้อย

    “กล่าวเช่นนี้หมายความว่าเจ้าบีบให้ผู้ตรวจการเฮ่อไปหรือ” หลี่เฮิงกับหลี่ปี้วัยไล่เลี่ยกัน ใบหน้าหลี่เฮิงวิตกกังวล

    หลี่ปี้น้อมร่างเล็กน้อย ทว่าท่าทางกลับเด็ดเดี่ยวยิ่ง “ถูกต้อง เป็นไปตามที่กระหม่อมเพิ่งเล่าเมื่อสักครู่ ผู้ตรวจการเฮ่อไม่ไป ยากกวาดล้างทูเจวี๋ย เรื่องนี้กระหม่อมมิได้กระทำผิด”

    หลี่เฮิงชี้ขึ้นเหนือหัว ทอดถอนใจ “ผู้ตรวจการเฮ่อก็เป็นเช่นศาลานี้ มีมันกำบัง พวกเราจึงสามารถดำเนินแผนได้สะดวก เจ้ารื้อออกไป มีที่เพียงพอวาดมือเท้าก็จริง แต่หากวันใดลมฝนพายุร้ายพัดมาจะทำเช่นไร…ฉางหยวน เจ้าวู่วามเกินไปแล้ว”

    “ข้างกายมีเสือจ้องขบคน ย่อมมิอาจคำนึงถึงลมฝน” หลี่ปี้ย้อน โต้ในวาจาเดียว ท่าทีเยี่ยงนี้ทำให้หลี่เฮิงค่อนข้างลำบากใจ มันคิดปั้นหน้าเครียดสั่งสอนหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเมื่อวาจามาถึงริมปาก มองหลี่ปี้แวบหนึ่ง ก็ได้แต่ฝืนข่ม

    ระหว่างมันกับหลี่ปี้เกินกว่าคำว่าเจ้ากับข้าไปนานแล้ว หลี่ปี้เข้าวังตะวันออก เล่าเรียนร่วมกันตั้งแต่เล็ก ทั้งสองคนสนิทกันมานานปี มิตรภาพลึกซึ้ง เปิดใจต่อกันทุกเรื่อง น่าเสียดายหลี่ปี้แม้ความสามารถเลิศล้ำทว่าจิตใฝ่ทางพรต ไม่ปรารถนาอำนาจขุนนาง ครั้งนี้ก่อตั้งจิ้งอันซือ หลี่เฮิงเกลี้ยกล่อมยาวนาน จึงค่อยสามารถเชิญหลี่ปี้ลงเขามาช่วย

    แต่ไรมาหลี่ปี้กล่าววาจาต่อหลี่เฮิงไม่เคยอ้อมค้อม หลี่เฮิงรู้นิสัยมัน ได้แต่โบกมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงปรึกษา “จะให้ข้าว่าอย่างไรดีเล่า ไปเชิญผู้ตรวจการเฮ่อกลับมาเถิด”

    “ไม่ไป ไม่มีเวลาเช่นนั้นแล้ว” หลี่ปี้สีหน้าเครียด “ตอนนี้ห่างจากงานโคมไฟไม่ถึงสามชั่วยาม เรื่องชาวทูเจวี๋ยยังไร้ความคืบหน้า หากมิใช่คำนึงว่าพระองค์จะคิดมาก กระหม่อมก็ไม่มาสวนจิ้งถู่เสียด้วยซ้ำ”

    หลี่เฮิงส่งเสียงจุปากพลางตบบ่ามัน “ข้าไม่มีทางคิดมากหรอก เพียงแต่…จะว่าอย่างไรดี ผู้ตรวจการเฮ่อเป็นดาวกำกับทิศ มีกับไม่มีมัน ฐานะของจิ้งอันซือในราชสำนัก ในสายตาของเสด็จพ่อย่อมต่างกัน”

    ก่อนหน้านั้นในช่วงรัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เฮ่อจือจางได้รับเลือกเป็นราชครูของรัชทายาท สอนหนังสือ ความเป็นศิษย์อาจารย์ของทั้งสองยาวนานนับยี่สิบกว่าปี น้ำใจผูกพันระหว่างหลี่เฮิงกับเฮ่อจือจางหาได้น้อยกว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับหลี่ปี้ไม่

    ในสายพระเนตรจักรพรรดิ เฮ่อจือจางมีความสำคัญมาก คราแรกเมื่อหลี่เฮิงเชิญมารับตำแหน่งหัวหน้าจเรกองจิ้งอันซือ เพราะหวังให้ช่วยสยบขุนนางใหญ่น้อย หลี่ปี้จะได้ทำงานอย่างวางใจ คาดไม่ถึงว่าสองคนนี้กลับเข้ากันไม่ได้ ที่ยิ่งคิดไม่ถึงคือเดิมทีหลี่ปี้ที่นิสัยสุภาพอ่อนโยนถือสันโดษ ถึงกับบีบคั้นให้เฮ่อจือจางออกไป…เมื่อมันไปแล้ว สถานการณ์ย่อมเลวร้าย

    จิ้งอันซือเป็นไพ่ใบสำคัญที่สุดในมือหลี่เฮิง หากถูกศัตรูทางการเมืองจับถูกจุดอ่อน เรื่องราวย่อมร้ายแรง

    หนึ่งนั้นมันไร้วังหลังปกป้อง สองนั้นไร้หัวเมืองภายนอกสนับสนุน สามนั้นมิกล้าคบหาขุนนางรอบกาย กระทั่งแรกก่อตั้งจิ้งอันซือนี้ คนที่สามารถเรียกเป็นคนสนิทแท้จริงมีเพียงหลี่ปี้ผู้เดียว

    “เจ้าก็รู้ แต่ไรมารัชทายาทต้าถังเป็นไม่ง่าย…” หลี่เฮิงถอนใจ เอ่ยอย่างขมขื่น

    “พระองค์กลัวคำติฉินในราชสำนัก หรือว่าไม่กลัวเบื้องสูง” หลี่ปี้เปรยแผ่วเบาคำหนึ่ง

    สีหน้าหลี่เฮิงเปลี่ยนทันที นี่…นี่เป็นวาจาใด

    หลี่ปี้ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ลดเสียงเบา “พระทัยหวาดระแวงมาก แต่ถึงกับมอบเรื่องป้องกันเมืองฉางอันให้แก่พระองค์ดูแล นี่เป็นเหตุผลใด” หลี่เฮิงนิ่งเงียบมิตอบคำทันที

    จักรพรรดิระแวงหมู่ราชโอรส ทุกผู้ทุกนามล้วนรู้ดี มีทั้งรัชทายาทถูกถอด มีทั้งเหตุการณ์องค์ชายทั้งสามถูกถอดยศเป็นสามัญชนและพระราชทานความตาย หลังจากหลี่เฮิงขึ้นเป็นรัชทายาท กระทั่งวังตะวันออกล้วนไม่เข้า ครั้งนี้จักรพรรดิทรงให้รัชทายาทก่อตั้งจิ้งอันซือ มอบฉางอันให้ทั้งเมือง มีอำนาจเหนือกรมกองทั้งปวง เป็นเรื่องมิเคยปรากฏมาก่อน เห็นชัดเจนว่ามีเจตนาทดสอบ

    นี่ทั้งทดสอบจิตใจรัชทายาท และทั้งทดสอบความสามารถรัชทายาท

    เรื่องมอบหมายเยี่ยงนี้ หลี่ปี้เห็นเจตนาชัดแจ้ง เฮ่อจือจางก็เห็นเจตนาชัดแจ้ง ทว่าทั้งสองคนคิดเห็นต่างกันมาก เฮ่อจือจางยินยอมงานบกพร่อง ทว่ายืนหยัดรักษาจิตใจสัตย์ซื่อ ส่วนหลี่ปี้กลับตรงข้าม ทุ่มเททำงานไม่บกพร่อง แม้ล่วงเกินก็มิหวั่น

    “บางทีศัตรูทางการเมืองอาจรุกในสามวัน แต่ชาวทูเจวี๋ยจะลงมือในสามชั่วยาม!…ดังนั้นอย่าได้มองจุดสำคัญผิดไป หากฉางอันปลอดภัย พระองค์ยิ้มแย้มพอพระทัย ฐานะก็มั่นคงดุจขุนเขาไท่ซาน แต่หากรักษาฉางอันไว้ไม่ได้…” วาจามันช้าลง สงบใจ “อืม ก็ไม่มีจากนั้นอีกแล้ว”

    น้ำเสียงนี้ทำให้หลี่เฮิงตระหนก ทว่ายังคงไม่ยินยอมพร้อมใจ “ผู้ตรวจการเฮ่อจะจับโจร เจ้าก็จะจับโจร หรือว่าพวกเจ้าไม่สามารถสามัคคีร่วมงานกัน”

    “ไม่สามารถ หามีเวลาเยี่ยงนั้นไม่! จิ้งอันซือจำเป็นต้องมีผู้นำเพียงหนึ่ง!” หลี่ปี้สะบัดแส้ปัด ในน้ำเสียงราบเรียบแฝงแววตัดพ้อ “กระหม่อมหวนคืนโลกิยะ ละจิตทางธรรม คิดเร่งขจัดภัยร้ายให้ราษฎร หรือพระองค์เข้าใจว่ากระหม่อมกำลังแย่งอำนาจ”

    “เหลวไหล! ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น” หลี่เฮิงรีบอธิบาย

    หลี่ปี้ไม่ส่งเสียง มันแหงนหน้า สายตามองผ่านชายคาของศาลา มองท้องฟ้า ทันใดนั้นถอนหายใจ

    หลี่เฮิงแค่นยิ้ม เดินเข้าไปดึงแขนมัน “ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า ข้ามิใช่ระแวงหรอกนะ เพียงแต่ความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสับสน มิอาจไม่กระทำการอย่างระมัดระวัง…เออ ช่างเถอะๆ ในเมื่อผู้ตรวจการเฮ่อป่วยและพักไปแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเช่นนี้ไปพลางก่อน” มันยังคิดย้ำอีกหลายคำ ทว่าหลี่ปี้กลับประสานมือ “ครบกำหนดเวลาแล้ว จำเป็นต้องกลับจิ้งอันซือแล้ว”

    หลี่เฮิงตัดพ้อว่า “เช่นนี้แล้วยังต้องการให้ข้ากระทำอันใดอีก”

    “ภายในสามชั่วยามนี้ พระองค์ต้องยืนอยู่ฝั่งกระหม่อมอย่างหนักแน่น สนับสนุนทุกแผนของกระหม่อม ไม่มีเวลาระแวงสงสัยกับถกเถียงแล้ว จำเป็นต้องทำตามกฎของกระหม่อม”

    “กฎของฉางหยวน? คืออันใด” หลี่เฮิงประหลาดใจมาก

    “ไม่ยึดกฎใด”

     

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 1 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    นิยายยอดนิยม

    Facebook