ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นาโนมาชิน ภาค มารสวรรค์ข้ามเวลา เล่ม 1 ครั้งที่ 2
บทที่ 2
ชายนิรนาม (1)
สถานการณ์อยู่ในขั้นวิกฤต พอกระสุนถูกยิงออกมาประชาชนที่มุงดูสถานการณ์อยู่บนถนนอย่างน่าหวาดเสียวก็พากันตื่นตระหนกและถอยไปดูอยู่ห่างๆ
“จับตำรวจสันติบาลเป็นตัวประกันสองนายเลยเหรอ”
“อาชญากรหัวรุนแรงเลยนะเนี่ย”
ตำรวจสันติบาลถือเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลจีนและยังเป็นที่พึ่งของประชาชนอีกด้วย เมื่อเห็นชอนยออุนทำร้ายตำรวจสันติบาล ผู้คนจึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนร้ายที่อันตรายมาก และพากันเฝ้าดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ
[ระ…รองหัวหน้า ทำอย่างไรดีครับ]
[หากเป็นแบบนี้หัวหน้าอาจเป็นอันตรายได้นะครับ]
น้ำเสียงเป็นห่วงของเหล่าพลซุ่มยิงดังมาผ่านหูฟังของวิทยุสื่อสารไร้สาย
“โธ่เว้ย! รอก่อน”
โซพยองรองหัวหน้าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สองแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี เขาไม่คิดเลยว่าหัวหน้าจะถูกจับเป็นตัวประกัน ตอนนี้พลซุ่มยิงกว่าสามสิบนายกำลังเล็งปืนไปยังคนคนเดียว อีกทั้งยังมีหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วกว่าสี่สิบนายยืนล้อมพื้นที่เอาไว้
“หน่วยจู่โจม! ถอยห่างออกมามากกว่าห้าสิบเมตร”
หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วซึ่งล้อมพื้นที่อยู่รีบขยับตามคำสั่งของโซพยองราวกับกลัวว่าหากอยู่ใกล้ก็อาจถูกจับเป็นตัวประกันเหมือนหัวหน้า
นี่ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเราแล้ว ต้องเรียกหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้า
หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าเป็นหน่วยพิเศษภายใต้สำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยางซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อรับมือกับอาชญากรที่มีฝีมือพิเศษอย่างเช่นเหล่าจอมยุทธ์ ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ควรเรียกพวกเขามา
ทำไมเวลาแบบนี้หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าต้องติดภารกิจอื่นด้วยนะ
มันเป็นเรื่องบังเอิญที่หน่วยนั้นเพิ่งถูกสั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจอื่นเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สองจึงต้องมาจัดการ
[ทำยังไงดีครับ]
[ตอบโต้ตามคู่มือดีไหมครับ]
มีคู่มือสำหรับการปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่แนวร่วมถูกจับเป็นตัวประกันเช่นนี้ ตามคู่มือบอกว่าแนวร่วมต้องเสียสละเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
ปัดโธ่
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาทำงานร่วมกับหัวหน้ามาไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่เป็นหลายปี การจะสั่งให้สละหัวหน้าจึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อย
หัวหน้า…
ขณะโซพยองกำลังลังเล วียางที่ถูกชอนยออุนบีบคออยู่ก็รวบรวมสมาธิ
ใจเย็นไว้ ในเวลาแบบนี้ยิ่งต้องตัดสินใจให้ดี
การยั่วยุผู้ที่หมายจะเอาชีวิตนั้นไม่มีอะไรดี และหากโน้มน้าวใจไม่สำเร็จก็ต้องยอมให้กระสุนเจาะเข้าร่างของทั้งคู่
“อึก คะ…คิดว่า…จับพวกเรา…เป็นตัวประกันแล้ว…จะควบคุมสถานการณ์ได้เหรอ”
การยั่วยุคนร้ายไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่อีกฝ่ายที่กำลังมองตนอยู่ตอนนี้ดูเยือกเย็นจนน่ากลัว ดวงตาของเขานิ่งและไม่ว่อกแว่กเลยแม้แต่น้อย ในเมื่ออีกฝ่ายเยือกเย็นได้ขนาดนี้การอธิบายสถานการณ์ออกไปตามตรงอาจจะได้ผลมากกว่า
“ต่อให้…จับ…หัวหน้าอย่างฉันไว้…ก็ไม่มีทางรอดจากกระสุน…ของพลซุ่มยิงไปได้หรอก”
“…”
ยิ่งไม่มีการตอบสนองใดๆ ก็ยิ่งน่าอึดอัด แต่เขาจะแสดงความอ่อนแอออกมาตรงนี้ไม่ได้
“พวกเรา…เป็น…ตัวประกัน…ไม่ได้หรอก เพราะคู่มือบอกไว้ว่า…ยิงให้หมด”
ผลลัพธ์น่าจะเป็นที่พึงพอใจ เพราะเขาบอกออกไปแล้วว่าตัวประกันไม่มีความหมายใดๆ แม้จะไม่รู้ว่าชายผู้นี้จะทำอย่างไรต่อ แต่อีกฝ่ายน่าจะมองสถานการณ์ออก ทว่าคำพูดเหนือความคาดหมายกลับออกมาจากปากของชอนยออุน
“เจ้าเชื่อใจคนทั้งสามสิบคนนั่นรึ”
“อะไรนะ”
“ก็ไอ้พวกที่เล็งอาวุธใส่ข้าอยู่ไกลๆ โน้นน่ะ”
!?
สองตาของวียางเบิกกว้าง
รู้เรื่องนั้น…ได้ยังไง
เขาตกใจมากจนเกือบเผยความตื่นตระหนกออกไป ถ้าเป็นหน่วยจู่โจมที่กำลังยืนล้อมบริเวณนี้ แค่มองไปรอบๆ ก็รู้จำนวนได้ แต่พลซุ่มยิงไม่เหมือนกัน แม้เลเซอร์จะเล็งมาจากรอบทิศ แต่ถ้าไม่มีตาข้างหลังก็จะมองเห็นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
อะ…ไอ้นี่…
ไม่อาจเรียกว่าจอมยุทธ์ได้แล้ว เพราะชอนยออุนเหนือไปกว่านั้นมาก
ตื๊ด!
รูม่านตาทั้งสองข้างของชอนยออุนขยับไหวและเกิดเป็นเส้นแสงสีขาว โหมดความจริงเสมือนถูกเปิดใช้งาน ในตัวของชอนยออุนมีนาโนแมชชีนรุ่นที่เจ็ดติดตั้งอยู่จึงใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคตได้มากมาย
ปี๊บ! ปี๊บ! ปี๊บ! ปี๊บ!
โหมดความจริงเสมือนในสายตาทำให้ชอนยออุนมองเห็นตำแหน่งของเหล่าพลซุ่มยิงได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการคำนวณมุมของแสงเลเซอร์
ยิงมาจากที่สูงเพื่อลดความเสียหายสินะ
ความจริงแม้ไม่มีการวิเคราะห์ของนาโน แค่ดูวิถีการเล็งก็รู้ถึงตำแหน่งทางกลยุทธ์แล้ว
กำจัดเลยดีไหมนะ
สำหรับชอนยออุนแล้วเรื่องเช่นนี้ง่ายดายยิ่ง คนพวกนั้นคงรู้สึกวางใจเพราะอยู่ห่างไกล แต่มันยังอยู่ในขอบเขตของเขา ทว่าถึงจัดการคนเหล่านั้นจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาก็มีสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณพิเศษ
อาจจะยิ่งน่ารำคาญมากขึ้นไปอีก
ชอนยออุนไม่เคยลังเลหากคิดจะลงมือ แต่ตอนนี้มีคนจับตาดูเยอะเกินไป และเขาก็ไม่เคยฆ่าคนที่เข้ามารบกวนตนเองโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน
ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน เพราะงั้นจะแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาท่ามกลางสายตานับร้อยคู่เช่นนี้ไม่ได้
คนอย่างเขาสามารถใช้ปราณหยุดกระสุนปืนได้โดยไม่ต้องใช้ดาบหรือขยับตัว แต่เขาตั้งใจเก็บซ่อนความสามารถของตนเองเอาไว้ระดับหนึ่ง แต่ขณะกำลังกลุ้มใจอยู่นั้นเอง
[ได้ยินไหมครับ]
?
ดวงตาของชอนยออุนหรี่ลง เสียงที่ได้ยินในหูเขาไม่ใช่เสียงที่ดังอยู่รอบตัว แต่มันคือเสียงวายุซึ่งเป็นการใช้กำลังภายในทำให้กล่องเสียงสั่นเพื่อพูดคุยกับเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง
ขวับ!
สายตาของชอนยออุนหันไปมองจุดหนึ่งทันที ตรงนั้นเป็นหน้าต่างที่ถูกเปิดอ้าไว้เล็กน้อยบริเวณโถงบันไดชั้นห้าของตึกฝั่งตรงข้าม
เงาคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นชะงักงันเล็กน้อย
ชายคนนี้รู้ที่มาของเสียงวายุทันทีทั้งที่มีคนอยู่เยอะขนาดนี้ได้ยังไง
เงานั้นไม่อาจซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ เขาจับตาดูอีกฝ่ายมาตลอดและคาดเดาว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจคนหนึ่ง แต่ทักษะที่ชอนยออุนเผยออกมากลับเหนือความคาดหมาย หากเป็นเช่นนี้ก็ควรค่าแก่การเจรจา
[เจ้ารึ]
หูของเงานั้นก็ได้ยินเสียงวายุจากชอนยออุนจึงพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบว่า
[ยอดเยี่ยมเหลือเกินครับ ไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้ตำแหน่งของผมได้ในทันที]
[ต้องการอะไร]
[ผมชื่อโชยูซอง ตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลา ขออนุญาตไม่ทักทายกันยาวๆ และเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ผมมีข้อเสนอครับ]
[ข้อเสนอรึ]
ชอนยออุนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เขาเห็นอีกฝ่ายมองมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วจึงคิดว่าต้องมีอะไรแน่และก็ไม่ผิดคาด
[ท่านคิดว่าจะหนีออกไปจากสถานการณ์นี้ได้หรือครับ ในเมื่อเผชิญหน้ากับตำรวจสันติบาล แถมยังมีคนเห็นเยอะขนาดนี้ ท่านลำบากแน่ๆ]
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเก่งเรื่องเจรจา เขาพูดถึงสถานการณ์ของชอนยออุนโดยไม่ทำให้รู้สึกหัวเสียได้
[ท่านใช้เวลากับตำรวจสันติบาลตรงนี้นานเกินแล้ว ตัวท่านอาจจะปรากฏในสื่อได้ แม้จะมีการขัดขวางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไว้ก็ตาม]
สื่อ?
ชอนยออุนไม่รู้จักคำว่าสื่อ
มันคืออะไรรึ นาโน
สื่อคือการนำเสนอประเด็นในสังคมเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ผ่านหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรืออินเตอร์เน็ต แต่ชอนยออุนไม่รู้จักหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรืออินเตอร์เน็ต นาโนจึงต้องคัดเลือกและแปลงข้อมูลให้เขาเข้าใจได้ง่าย
[ข้อมูลเกี่ยวกับสื่อถูกโอนถ่ายไปยังสมองของผู้ใช้งานแล้ว]
ซ่า!
แล้วสมองของชอนยออุนก็ได้รับคำนิยามเกี่ยวกับสื่อพร้อมอาการปวดแปลบในหัว
ข่าวหรือข่าวลือชนิดหนึ่งนี่เอง
เมื่อเข้าใจชอนยออุนก็พลันชักสีหน้า หากเป็นไปตามที่นาโนบอก ยุคนี้คือยุคที่ข้อมูลถูกเปิดเผยออกมามากมาย
ช่างน่ารำคาญเสียจริง
การปกปิดข้อมูลในโลกเช่นนี้ดูท่าจะยุ่งยากมาก จากนั้นหูของชอนยออุนก็ได้ยินเสียงของโชยูซองอีกครั้ง
[ถ้าท่านอนุญาต พวกเราอยากจะช่วยครับ]
พวกเรา?
แสดงว่าไม่ใช่คนเดียว อาจจะเป็นคนมีสังกัด แต่ชอนยออุนไม่อาจเชื่อใจคนที่เข้าหาโดยไม่เปิดเผยจุดประสงค์ออกมา
[ต้องการอะไร]
เขาถามกลับไปสั้นๆ
[ผมเข้าใจว่าท่านกำลังคลางแคลง ผมขอพูดตามตรงเลยก็แล้วกัน ผมอยากสเกาต์ (Scout) และมอบความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะจอมยุทธ์เหมือนกัน เพราะผมรู้สึกอัศจรรย์ในวรยุทธ์ของท่านมากครับ]
[สเกาต์?]
โชคดีที่ชอนยออุนเคยได้รับการถ่ายโอนข้อมูลทางด้านภาษาอังกฤษมาบ้างตอนยังอยู่ในยุทธภพจึงรู้ว่าคำนี้ใช้กับการทาบทามคัดเลือกคน
[ถ้าปฏิเสธล่ะ]
เอ่อ…
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ชอนยออุนกลับพูดจาตรงไปตรงมาจนโชยูซองถึงกับทำหน้าบึ้ง เขาอุตส่าห์รอจนถึงจังหวะที่ชอนยออุนน่าจะต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่การตอบสนองที่ได้กลับเหนือความคาดหมาย ทว่าเขาเคยเจรจาแบบนี้มาหลายสิบครั้งแล้วจึงเชี่ยวชาญการรับมือพอตัว
[ผมไม่ได้บอกให้ท่านตัดสินใจในตอนนี้ ลองมาพูดคุยตกลงกับหัวหน้าผมก่อน แล้วค่อยคิดอีกทีก็ได้ครับ]
เขายื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดออกไปอย่างนอบน้อม เพราะคิดว่าแผนนี้น่าจะดีพอให้ชอนยออุนยอมพิจารณา
ยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์ขนาดนี้ ควรต้อนรับขับสู้ให้เต็มที่
เขาตั้งใจเช่นนั้นตั้งแต่เห็นชอนยออุนแสดงฝีมือด้วยวิชาพลังจิตเคลื่อนย้ายแล้ว แต่หากแผนนี้ถูกปฏิเสธ เขาก็ไม่มีแผนอื่นอีก เขาจึงมองชอนยออุนอย่างลุ้นระทึก
อืม…
ชอนยออุนครุ่นคิด มีหลายวิธีสำหรับแก้สถานการณ์ตอนนี้ โดยเริ่มจากปกปิดตัวตนแล้วจัดการคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด แต่คนมากมายเห็นเขาแล้ว หากทำเช่นนั้นก็น่าจะมีเรื่องยุ่งยากอีกมหาศาลรอเขาอยู่ หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งชอนยออุนจึงส่งเสียงวายุกลับไป
[จะช่วยอย่างไร]
มุมปากของโชยูซองยกยิ้ม
สำเร็จ!
นี่เป็นก้าวแรกของความสำเร็จในฐานะสเกาต์ โชยูซองส่งเสียงวายุเกี่ยวกับรายละเอียดการช่วยเหลือของเขาไปหาชอนยออุนด้วยใบหน้าพึงพอใจ แต่สีหน้าของชอนยออุนที่ได้ฟังกลับดูแปลกๆ
อีกด้านหนึ่ง วียางหัวหน้าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สองซึ่งถูกชอนยออุนบีบคอเอาไว้ก็ตัดสินใจหลังครุ่นคิดมานาน เนื่องจากมีสายตามองอยู่เยอะจึงต้องคำนึงความปลอดภัย แต่ขืนเลี้ยงสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพราะห่วงชีวิตตัวเอง ประชาชนก็จะไม่เชื่อถือในตำรวจสันติบาล วียางจึงค่อยๆ ส่งสัญญาณมือไปหาโซพยอง แล้วสิ่งที่นิ้วอันสั่นเทาของเขาบอกก็คือ
หัวหน้า!
ดวงตาของโซพยองสั่นไหว เพราะสัญญาณนั้นหมายความว่าให้ยิงได้เลยโดยไม่ต้องสนใจเขา เขารู้อยู่แล้วว่าพลซุ่มยิงมีอยู่เท่าไร หากยิงกระสุนจากปืนสามสิบกระบอกยิงออกมาพร้อมกันผลจะเป็นเช่นไร
หัวหน้า…ผมจะไม่ลืมการเสียสละของหัวหน้าเลย หัวหน้าคือตำรวจที่แท้จริง
โซพยองตัดสินใจทำตามความต้องการของวียางพลางทอดสายตามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสั่นไหว
กึก!
เมื่อเขายกมือขึ้นขณะขอบตาเริ่มแดงก่ำ พลซุ่มยิงก็ยกนิ้วขึ้นแตะไกปืนแล้วเล็งไปยังเป้าหมายด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
หัวหน้า!
ฮือ!
หากโซพยองลดมือลง ปืนทั้งหมดก็จะเหนี่ยวไกพร้อมกัน และตอนนั้นเอง
ผลุบ!
“แค่กๆ!”
“อึก!”
ขณะโซพยองกำลังจะสั่งให้ยิง มือทั้งสองข้างของชอนยออุนที่กำลังบีบคอวียางและอีมยองอยู่ก็คลายออก
ฉึบ!
เขาเก็บดาบมังกรขาวที่ปักอยู่บนพื้นกลับเข้าฝักแล้วพูดราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น
“แค่นี้ก็แล้วกัน ข้ายอมให้ความร่วมมือแล้ว”
หา!?
โซพยองผู้ต้องตัดสินใจทั้งน้ำตาถึงกับพูดไม่ออก ไม่กี่วินาทีก่อนสถานการณ์ยังวิกฤตอยู่เลย แต่นั่นก็ทำให้ร่างกายที่กำลังตึงเครียดผ่อนคลายลงในทันที
มีแผนตุกติกอะไรรึเปล่านะ
บทที่ 2
ชายนิรนาม (2)
ห้านาทีก่อน
[ก่อนอื่นท่านต้องยอมจำนนต่อตำรวจสันติบาลก่อนครับ]
?
ตอนนั้นชอนยออุนเกือบโมโห ตั้งแต่เป็นชาวพรรคมารจนกระทั่งขึ้นเป็นประมุขพรรคและได้รับฉายาว่าเทพมารซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุด เขาไม่เคยทำสิ่งที่เรียกว่า ‘ยอมจำนน’ เลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะเสแสร้งแกล้งทำ
ให้ยอมจำนนงั้นรึ
เพียงตัดสินใจชอนยออุนก็สามารถกำจัดหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วและพลซุ่มยิงทั้งหมดให้หายวับไปในชั่วพริบตาได้ แต่เนื่องจากเขายังไม่รู้จักโลกยุคนี้จึงยอมถอยหลังมาก้าวหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าสื่อ
[นั่นเรียกว่าช่วยเหลือรึ]
[อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ ผมคงใช้คำไม่ถูก ผมไม่ได้หมายถึงยอมจำนนจริงๆ]
[หมายความว่าอย่างไร]
[ตำรวจสันติบาลเป็นตัวแทนของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลคอยจับตามองเหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่ลงทะเบียนอยู่ครับ]
จะว่าไปเมื่อครู่คนที่เขาบีบคออยู่ก็เรียกเขาว่าจอมยุทธ์เถื่อน คำพูดนั้นน่าจะหมายความว่ายุทธภพยุคนี้ถูกขุนนางควบคุม
อ้อ…
ชอนยออุนก็นึกถึงคำพูดของชอนมูซองทายาทจากโลกอนาคต ชอนมูซองก็เคยบอกว่าในโลกอนาคตนั้นไม่มีสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกันระหว่างยุทธภพกับราชสำนัก อนาคตที่ทายาทของเขาเดินทางมานั้นอยู่ไกลออกไปนับร้อยปี ชอนยออุนคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกลงมาในโลกอนาคตเช่นนี้จึงยังไม่เข้าใจสถานการณ์
เพราะถูกขุนนางกดขี่ ยุทธภพก็เลยเสื่อมถอยหรือเปล่านะ
ตอนนี้เขาไม่อาจคาดเดาไปทางอื่นได้เลย เพราะจนถึงตอนนี้เขาเพิ่งเห็นร่องรอยของจอมยุทธ์ของยุคนี้เพียงสองอย่าง ฉะนั้นจึงไม่ควรด่วนตัดสินใจ
[ดูจากด้านบนนี้ดูเหมือนท่านจะยังไม่ได้ลงทะเบียนตัวตนใช่ไหมครับ]
ในเมื่อไม่ใช่คนยุคนี้จะไปลงทะเบียนได้อย่างไรกัน ชอนยออุนแสดงสีหน้ายอมรับ
ว่าแล้วเชียว
ในมือของโชยูซองมีกล้องส่องทางไกลอยู่ เมื่อครู่นี้เขาแอบดูโซพยองหาตัวตนของชอนยออุนด้วยแท็บเลตแล้ว
แบบนี้ยิ่งเหมาะ
หาตัวตนไม่เจอแสดงว่าเป็นจอมยุทธ์เถื่อนจริงๆ ทั้งที่มีฝีมือขนาดนี้ก็น่าจะเคยเห็นหน้าหรือได้ยินชื่อมาบ้าง แต่กลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
อาจจะเป็นสายถือสันโดษ
ในสมัยนี้ยังมีจอมยุทธ์ที่ปกปิดตัวตนและปลีกวิเวกถือสันโดษอยู่บ้าง โชยูซองมั่นใจว่าชอนยออุนต้องเป็นเช่นนั้นแน่
[อย่าคิดว่าเป็นการยอมแพ้ แค่ให้ความร่วมมือกับตำรวจสันติบาลแล้วรอเท่านั้นครับ]
[เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะรึ]
[ใช่แล้วครับ ในเมื่อถูกเห็นหน้าหมดแล้ว ยิ่งขัดขืนต่อไปสถานการณ์ก็จะยิ่งบานปลาย ฉะนั้นทำเป็นให้ความร่วมมือกับตำรวจสันติบาลแล้วรอสักหน่อย พวกผมต้องการเวลาเตรียมการช่วยเหลือท่านครับ]
[อืม]
การเตรียมการที่พูดถึงอาจหมายถึงปัญหาเรื่องตัวตน แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะช่วยได้มากแค่ไหน แต่นอกจากการใช้กำลังหรือหลบซ่อนแล้ว ชอนยออุนก็ไม่อาจทำอะไรได้เลยในตอนนี้
[ต้องรอนานแค่ไหน]
โชยูซองตอบชอนยออุนที่มองด้วยสายตาราวกับไม่อยากจะเชื่อ
[ผมจะแก้ปัญหาให้เสร็จภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงครับ]
ยี่สิบสี่ชั่วโมงรึ
นาโนแปลงหน่วยเวลาแล้วบอกให้ชอนยออุนที่กำลังสงสัยได้รู้
[หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ยี่สิบสี่ชั่วโมงจึงเท่ากับสิบสองชั่วยาม]
คำพูดของนาโนทำให้ชอนยออุนเข้าใจหน่วยเวลาของยุคนี้อย่างคร่าวๆ เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างข้องใจ
[ช้าไป]
[ครับ?]
โชยูซองไม่อาจซ่อนความงุนงงเอาไว้ได้ อีกเดี๋ยวก็จะเย็นแล้ว การจัดการเรื่องตัวตนอาจใช้เวลานาน อีกทั้งเขายังต้องรายงานต่อเบื้องบนด้วย
แค่นี้เวลาก็น้อยจะตายแล้ว
เขาจำเป็นต้องใช้เวลาจัดการระยะหนึ่ง แต่ฟังจากน้ำเสียงหรือท่าทีของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกได้ว่าคงไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
เรื่องมากพอๆ กับความสามารถเลย
กระนั้นเขาก็อยากแสดงให้ชอนยออุนได้เห็นศักยภาพขององค์กรตน โชยูซองจึงส่งเสียงวายุกลับไป
[ได้ครับ ผมจะแก้ปัญหาให้ภายในสิบสองชั่วโมง ผมขอสัญญาด้วยเกียรติของผมครับ]
เขาลดเวลาจากยี่สิบสี่ชั่วโมงลงมาครึ่งหนึ่ง มันเป็นกำหนดเวลาที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขาจะรักษากำหนดเวลานี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสามารถแก้ปัญหาได้เร็วแค่ไหน
[ดี]
คำตกลงหลุดออกจากปากของชอนยออุน โชยูซองเคยกังวลว่าชอนยออุนจะหยิ่งยโสไม่ยอมอ่อนข้อ แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็โล่งใจ แต่แล้วหูของเขาก็ได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นของชอนยออุนดังต่อ
[แต่! ข้าไม่เอาเกียรติ ข้าขอแขน]
[ครับ?]
[หากช้าแม้เพียงนิด เจ้าต้องสละแขนให้ข้า]
ช่างเป็นคำเตือนที่น่าหวาดกลัวจริงๆ แม้จะตกใจ แต่โชยูซองก็เข้าใจว่าชอนยออุนรีบจึงตกปากรับคำ
[รับทราบครับ เอาอย่างนั้นก็ได้]
หลังโน้มน้าวชอนยออุนสำเร็จ โชยูซองก็กำชับอะไรอีกสองสามอย่างก่อนรีบออกจากตึกนั้น เพราะเขาต้องออกจากพื้นที่รบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตำรวจสันติบาลสร้างขึ้นมา
วียางหัวหน้าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สองแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลพลันทำหน้าบึ้งตึง ตอนแรกชอนยออุนทำท่าเหมือนไม่มีทางยอม แต่พอเขายอมร่วมมือให้ตำรวจสันติบาลตรวจสอบ วียางก็ค่อยหายใจทั่วท้อง จากตอนแรกที่แสนสิ้นหวัง ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะเมื่อครู่เกือบจะถูกยิงตายไปแล้ว ทว่ายังมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นอีก
ไม่ได้การล่ะ
ตอนแรกเขาคิดว่าชอนยออุนยอมโอนอ่อนต่อการโน้มน้าวใจของเขา เพราะไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หากเป็นเรื่องที่อันตรายถึงชีวิตก็ย่อมอ่อนลงได้ไม่ต่างจากตัวเขาเอง แต่นี่ไม่ใช่ท่าทีของคนยอมจำนน
“หะ…หัวหน้าครับ”
เมื่อลูกน้องมองมายังเขาผู้เป็นหัวหน้าด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี สุดท้ายเขาจึงต้องออกหน้า
“ไม่ยอมปลดอาวุธหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความอย่างที่ได้ยินนั่นล่ะ”
ชอนยออุนไม่ยอมให้ยึดอาวุธ และยังขู่ด้วยว่าหากแตะต้องดาบของตนแม้แต่นิดเดียวจะโดนฟันทันที
“นี่ ไหนว่ายอมเข้ารับการตรวจสอบที่สำนักงานตำรวจสันติบาลแล้ว แต่กลับไม่ยอมให้ปลดอาวุธ หมายความว่ายังไง”
“สำหรับจอมยุทธ์ อาวุธหมายถึงชีวิต เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้รึ”
“เรื่องแค่นี้?”
คำพูดนั้นทำเอาวียางเหลือเชื่อจนถึงกับพูดไม่ออก เพราะเหล่าจอมยุทธ์ที่ครอบครองดาบหรือกระบี่ เมื่อเข้ารับการตรวจสอบในสำนักงานตำรวจสันติบาลหรือถูกจับเพราะทำความผิดก็ต้องถูกปลดอาวุธ
อยากจะบ้า
นอกจากชุดจะดูโบราณแล้ว ยิ่งได้ฟังคำพูดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังดูละครย้อนยุค
เฮ้อ จะว่าเป็นคนโบราณนั่งไทม์แมชชีนหลงมาในยุคนี้ก็ไม่น่าใช่…
ความคิดของเขาเกือบแม่นยำจนน่าตกใจ ทว่าสมัยนี้ไม่มีไทม์แมชชีน และเมื่อเขาเหลือบมองไปรอบด้าน
“เฮ!!!”
ประชาชนที่คิดว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้วก็พากันส่งเสียงร้องออกมาอย่างโล่งใจ
โธ่เว้ย
แต่ตอนนี้หากปลดอาวุธ ใส่กุญแจมือ และพาตัวออกไปไม่ได้ พวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน หรืออาจพูดได้ว่าเสียหน้าอย่างยิ่ง ครั้นจะเปิดฉากสู้ตรงนี้ก็ไม่ได้
ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ใช่จอมยุทธ์นะ…
เขาคงเอากระบองฟาดให้สลบแล้วลากตัวไปแล้ว และตอนนั้นเองเสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นในหูฟังของวิทยุสื่อสารไร้สาย
[หัวหน้า!]
เสียงของโซพยองนั่นเอง เขาเคลื่อนย้ายอีมยองที่ถูกยิงถึงสองนัดจนเสียเลือดมากไปยังรถพยาบาลแล้ว และตอนนี้ในมือของเขาที่อยู่ห่างออกไปนั้นกำลังถือบางอย่างอยู่
อ๊ะ!
วียางมองสิ่งนั้นออกทันที โซพยองยิ้มแล้วส่งเสียงมาบอกว่า
[ใช้นี่สิครับหัวหน้า]
มันคือของที่ยืมมาจากหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าซึ่งรับผิดชอบกลุ่มคนที่มีฝีมือพิเศษเมื่อไม่กี่วันก่อนและยังไม่ได้เอาไปคืน เมื่อครู่ตอนอยู่บนรถบัส เขายังดุที่ลูกน้องไม่เอาไปคืนอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้มันอีกครั้ง
ดีล่ะ ถ้างั้น…
วียางหันไปพูดกับชอนยออุนอย่างนุ่มนวลเพื่อโน้มน้าว
“นี่ พวกเรามีหน้ามีตาให้รักษา อีกอย่างการพาตัวแกไปสำนักงานตำรวจสันติบาลก็ถือเป็นการคุ้มครองตัวแกเองนะ”
“ข้าแค่ยอมร่วมมือให้ตรวจสอบ แต่ไม่ได้ยอมจำนน”
ใบหน้าของวียางบูดบึ้งทันที มันก็ไม่ต่างกันจริงๆ เพราะชอนยออุนยังไม่ได้พูดคำว่ายอมจำนนออกมา แม้ในใจจะเดือดดาล แต่เขาก็ไม่อาจใช้กำลังบีบบังคับจึงได้แต่พยายามสงบจิตสงบใจตัวเองแล้วพูดว่า
“ชาวบ้านกำลังจับตามองอยู่ แล้วพวกเราก็เป็นผู้รักษากฎหมายของรัฐ ช่วยรักษาหน้าพวกเราหน่อยเถอะนะ”
“ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
ชอนยออุนไม่มีท่าทีจะอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
“เฮ้อ…ก็ได้ เอางี้ ไม่ปลดอาวุธก็ได้ แต่ช่วยใส่กุญแจมือไปจนถึงรถบัสส่งตัวได้ไหม พอถึงรถบัสแล้วจะถอดให้ทันที ช่วยแสดงละครเพื่อรักษาหน้าตาตำรวจสันติบาลของพวกเราหน่อยนะ”
วียางทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดและพูดราวกับอ้อนวอน
“ขอร้องล่ะ”
เมื่อมองเห็นความจริงจังและจริงใจจากดวงตา ชอนยออุนจึงยื่นสองมือออกไปพลางพูดว่า
“อย่าเล่นลูกไม้ล่ะ”
“นะ…แน่นอน!”
ได้การล่ะ
วียางนึกดีใจแต่ไม่แสดงออก เพียงพูดกล้อมแกล้มไปว่าขอบใจและเรียกโซพยอง โซพยองก็เข้ามาจัดการใส่กุญแจมือเข้าที่ข้อมือทั้งสองข้างของชอนยออุนราวกับรออยู่แล้ว
แกรก!
แต่กุญแจมืออันนี้ต่างจากกุญแจมือที่เหล่าตำรวจสันติบาลพกติดตัว เพราะมันหนากว่าเล็กน้อยและมีกล่องเครื่องกลเล็กๆ อยู่ระหว่างห่วงสองข้าง ทันทีที่ใส่บนข้อมือ โซพยองก็กดปุ่มบนกล่องเครื่องกล
ทันใดนั้น
หมับ!
กุญแจมือพลันรัดข้อมือของชอนยออุนอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังมีคลื่นพิเศษออกมาจากกล่องเครื่องกลระหว่างกุญแจมือสองข้างด้วย
[คลื่นสลายพลังงานกำลังถูกปล่อยออกมาจากกุญแจมือ]
เมื่อเสียงนาโนดังขึ้นในหัว ดวงตาก็ชอนยออุนก็หรี่ลง คลื่นที่ออกมาจากกล่องเครื่องกลของกุญแจมือนั้นทำให้กำลังภายในสลายไปเหมือนพิษสลายกำลังภายในของยุทธภพ
ว่าแล้ว
ชอนยออุนส่ายหน้า แม้จะคาดเอาไว้แล้วว่าต้องมีลูกไม้ แต่ก็ยังไม่รอด
น่าแปลก
เขานึกสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือนาโนที่มีเทคโนโลยีแห่งอนาคตไม่รู้จักกุญแจมือนี้ตั้งแต่แรกได้อย่างไร วียางยิ้มละไมพลางพูดออกมา
“ขอบใจที่ยอมใส่กุญแจมือนะ ทีนี้ก็ไปขึ้นรถบัส แล้วพบกับความสนุกสนานได้ หึๆๆ”
แกรก!
“เอ้า เดินไปที่รถบัสตรงโน้นได้แล้ว”
โซพยองจ่อปากกระบอกปืนกลไปยังแผ่นหลังชอนยออุนแล้วพูดขึ้น ท่าทีและคำพูดของพวกเขาเปลี่ยนไปเหมือนพูดอยู่กับอาชญากรคนหนึ่ง
กึก!
ชอนยออุนก้าวเดินไปยังจุดจอดรถบัสของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วตามที่พวกเขาชี้บอก ซึ่งมันเป็นรถบัสติดกรงเหล็ก พอเห็นชอนยออุนทำตามโดยง่าย วียางก็ย่ามใจ
ใช้ได้ผลจริงๆ หึๆ แบบนี้คงต้องร้องขอเบื้องบนให้จัดหาอุปกรณ์เหมือนหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้ามาใช้บ้างแล้ว
กุญแจมือที่ใส่ให้ชอนยออุนเป็นกุญแจมือสำหรับจับกุมจอมยุทธ์ เพราะมันสามารถสลายกำลังภายในจนทำให้จอมยุทธ์อยู่ในสถานะอ่อนแรงได้
ครืด!
“ขึ้นไป”
ทันทีที่ประตูรถบัสเปิด โซพยองก็สั่งให้ขึ้นไปโดยยังคงเอาปืนจ่ออยู่เช่นเดิม ซึ่งชอนยออุนก็เดินขึ้นบันไดรถบัสไปแต่โดยดี
“เอาล่ะ ถอนกำลังได้”
“ครับผม”
แล้วเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วก็ขึ้นรถบัสตามพวกเขามาตามลำดับ พอวียางขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายประตูรถบัสก็ปิดลง จากนั้นวียางก็กดปุ่มบนแผงหน้าปัดบริเวณคอนโซลรถบัส
แกรก!
ทันใดนั้นกระจกหน้าต่างรถบัสที่เคยใสก็พลันทึบลงจนด้านนอกมองเข้ามาไม่ได้ เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น วียางและเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วก็เก็บปืนไว้ตรงช่องเก็บอาวุธส่วนตัวใต้เบาะของใครของมันแล้วหยิบกระบองสีดำออกมาจากเอว
ขวับ!
พอสะบัดอย่างแรงกระบองก็ยาวขึ้น นั่นคือกระบองที่เหล่าตำรวจสันติบาลใช้สำหรับจู่โจม จากนั้นโซพยองก็ดึงสายบางอย่างออกแล้วพูดว่า
“ดึงสายไฟแบล็กบ็อกซ์ออกแล้วครับ”
“อืม ดีมาก”
ตึกๆ!
หัวหน้าวียางตีกระบองลงบนฝ่ามือของตัวเองพลางเดินอย่างช้าๆ มาหาชอนยออุนที่ยืนอยู่กลางรถบัสด้วยสายตาข่มขู่ เขายิ้มมุมปากแล้วพูดกับชอนยออุนว่า
“นี่ ไหนลองทำท่าหยิ่งยโสอย่างเมื่อกี้อีกทีซิ จอมยุทธ์เหรอ หึ! เรียนศิลปะการต่อสู้กระจอกๆ แล้วมาทำเป็นอวดดี คนอย่างแกมันต้องโดนกระบอง…”
แกรก!
เฮ้ย
วียางถึงกับหยุดพูดทันทีเมื่อเห็นเรื่องไม่น่าเชื่อด้วยสองตา
แกรก! ตึง!
กุญแจมือที่ควรจะรัดอย่างแน่นหนากลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วหล่นลงบนพื้นรถบัส ชอนยออุนส่ายหน้าพลางพูดว่า
“เชื่อไอ้ของเล่นนี่มากนักรึถึงได้กล้าปากดี”
น้ำเสียงของชอนยออุนฟังดูเย็นยะเยือก ทำเอาหัวหน้าวียางถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก
กะ…เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เครื่องเสียเหรอ
น่าเสียดายที่กุญแจมือยังทำงานได้ดี แต่กำลังภายในของชอนยออุนแข็งแกร่งเกินกว่าจะถูกสลายได้ และต่อให้ไม่มีกำลังภายใน แค่กำลังกล้ามเนื้อของเขาเพียงอย่างเดียวก็เหนือกว่ามนุษย์แล้ว แค่กุญแจมือจึงทำลายได้ไม่ยาก
แย่แล้ว…
ตอนนี้สถานการณ์กลับกลายเป็นเลวร้ายที่สุด ก่อนหน้านี้วียางเชื่อในประสิทธิภาพของกุญแจมือจึงตั้งใจจะใช้กระบองแก้เผ็ดชอนยออุนให้น่วม
“คะ…คือว่า…”
“ข้าเตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่าเล่นลูกไม้”
ชอนยออุนยื่นมือออกไป ทันใดนั้นร่างของวียางที่อยู่ห่างไปสี่ห้าก้าวก็ถูกดึงเข้ามา
“มะ…ไม่นะ!”
แม้วียางพยายามคว้าเบาะทั้งสองข้างของรถบัสด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ไร้ผล เขาถูกลากตัวเข้าไปหาจนอยู่ตรงปลายจมูกอย่างไม่อาจต้านทาน
หมับ!
ชอนยออุนจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ วียางรีบตะโกน
“ดะ…เดี๋ยวก่อน! ยิ่งทำร้ายตำรวจสันติบาล…”
“เจ้าหาเรื่องเองนะ”
กร๊อบ!
แขนทั้งสองข้างของวียางถูกบิดจนผิดรูปพร้อมเสียงน่าหวาดกลัว เศษกระดูกหักทิ่มออกมาจากตรงโน้นตรงนี้
“อ๊าก!”
วียางส่งเสียงร้องราวกับคนบ้าเพราะเจ็บปวดเหลือทน
“หัวหน้า!”
“หะ…โหดเหี้ยมชะมัด!”
แม้จะรู้ว่าควรเข้าไปช่วย แต่เหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วกลับขลาดกลัวจนตัวไม่กระดิกทั้งที่มีกระบองถืออยู่ในมือ ชอนยออุนพูดกับวียางที่กำลังเจ็บปวดด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่ใส่ใจคนเหล่านั้น
“สนุกอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ”
บทที่ 2
ชายนิรนาม (3)
วี้หว่อ วี้หว่อ
ณ ห้องฉุกเฉินภายในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเมืองเสิ่นหยาง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นจึงมีจุดเดียวที่เปิดให้บริการ ซึ่งก็คือห้องฉุกเฉิน
เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันย้ายร่างของอีมยองหัวหน้าหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สามแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลบนรถเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน เขาเสียเลือดมากจึงต้องรีบห้ามเลือดและให้เลือดตั้งแต่อยู่ในรถฉุกเฉิน แม้เจ็บปวด แต่อีมยองกลับไม่สลบ
อึก…
ตลอดเวลาบนรถฉุกเฉินในหัวเขามีแต่คำถามว่าทำไมชายที่ดูเหมือนไม่มีวันยอมแพ้ถึงได้เปลี่ยนท่าทีกะทันหันราวกับว่าวางแผนอะไรอยู่
ตึก! ตึก!
ศัลยแพทย์กับเหล่าพยาบาลที่เข้าเวรอยู่รีบวิ่งออกมารอตรงทางเข้าเพราะได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาก่อนแล้ว
“อื้อหือ คนที่สามแล้ว”
ก่อนอีมยองจะมาถึง ตำรวจของสถานีตำรวจท้องที่ถูกส่งตัวมาก่อนแล้วสองนาย ดังนั้นอีมยองจึงเป็นคนไข้จากสำนักงานตำรวจสันติบาลรายที่สาม
“ช่วยย้ายมาทางนี้ครับ”
ศัลยแพทย์ชี้เตียงตรวจที่ว่างอยู่ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัย จากนั้นเหล่าพยาบาลก็ช่วยกันยกเปลที่วางรองอยู่บนเตียงเพื่อย้ายอีมยองไปบนเตียงตรวจพร้อมกับเหล่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ช่วยส่งสัญญาณ
“หนึ่ง สอง!”
ตึง!
“อึก!”
แม้ระมัดระวังที่สุดแล้ว แต่บริเวณบาดแผลยังเจ็บมาก อีมยองจึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
โธ่เว้ย ว่าแล้วทำไมฝันร้าย เพราะไอ้บ้านั่นแท้ๆ เฮ้อ แต่ก็ยังดีกว่าตาย
ศัลยแพทย์ใช้กรรไกรที่เป็นเวชภัณฑ์ตัดเสื้อและกางเกงที่อีมยองสวมใส่อยู่
“ห้ามเลือดได้ดีมากครับ”
ศัลยแพทย์เอ่ยชมเจ้าหน้าที่กู้ภัย หลังดึงผ้าก๊อซและผ้าพันแผลออกจากบริเวณบาดแผลแล้วก็หันไปสั่งพยาบาลที่อยู่ข้างๆ
“ช่วยเตรียมยาปฏิชีวนะให้หน่อยครับ”
“ค่ะคุณหมอ”
เมื่อถอดผ้าพันแผลที่รัดอยู่ออก ความเจ็บปวดก็แล่นปลาบจนอีมยองต้องกัดฟันและร้องแสดงความเจ็บปวดออกมา โดนกระสุนปืนเจาะร่างมาจะไม่เจ็บได้อย่างไร
หลังจากใช้ผ้าก๊อซฆ่าเชื้อเช็ดเลือดที่แห้งติดบริเวณบาดแผลตรงไหล่ออกมาแล้ว ศัลยแพทย์ก็พยักหน้าแล้วย้ายไปดูตรงต้นขา
กึก!
“อ๊าก!”
พอศัลยแพทย์กดจุดที่โดนยิง อีมยองก็ดันท่อนบนขึ้นมาจากเตียงตรวจและถลึงตาใส่ด้วยสีหน้าราวกับจะถามว่ากดทำไม
“หนักมากรึเปล่าครับ”
เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วที่ขึ้นรถฉุกเฉินมากับอีมยองเอ่ยถามพร้อมมองด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ศัลยแพทย์กลับตอบด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ได้ยินว่าโดนกระสุนปืนยิงมาใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“ได้ยินว่าเป็นหัวหน้าหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงด้วย สมกับเป็นมืออาชีพจริงๆ ยอดเยี่ยมมากเลยครับ”
“เอ๋?”
ทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วและอีมยองต่างทำหน้าสงสัย แล้วศัลยแพทย์ก็ตอบให้หายสงสัยว่า
“อืม…ขั้นแรกคงต้องขอตรวจอย่างละเอียดอีกทีจึงจะรู้แน่ชัด แต่เท่าที่ดูตอนนี้กระสุนเจาะทะลุอย่างประณีตมากทั้งไหล่และต้นขา กระสุนเจาะผ่านแค่เนื้อไม่โดนกระดูกเลยครับ”
เหตุผลที่ศัลยแพทย์กดต้นขาก็เพื่อดูว่ากระดูกเสียหายหรือไม่
“ถ้าตรวจเสร็จแล้วตรงตามที่ผมคาดเดาก็นอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอาการติดเชื้อกับเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายสักสัปดาห์ จากนั้นก็ออกโรงพยาบาลกลับไปทำงานแบบนั่งโต๊ะได้เลยครับ”
คำพูดของศัลยแพทย์ทำให้อีมยองมองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แม้การแพทย์ยุคใหม่จะพัฒนาไปมากแล้ว แต่เขาก็คิดว่าหากบาดเจ็บจนกล้ามเนื้อหรือกระดูกถูกทำลายน่าจะต้องนอนโรงพยาบาลหลายสัปดาห์
อะไรกันเนี่ย
เขาคิดว่าตัวเองโดนจอมยุทธ์ชุดโบราณใช้เป็นโล่ แต่คำพูดของศัลยแพทย์หมายความว่าจอมยุทธ์ชุดโบราณนั่นไม่ได้ใช้เขาเป็นโล่กำบังกระสุนปืนเฉยๆ แต่ยังพยายามให้เขาบาดเจ็บน้อยที่สุด
เรื่องแบบนี้…มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ
แม้จะบอกว่าเป็นจอมยุทธ์ แต่กลับเก่งมากจนน่าตกใจ และตอนนั้นเองโทรศัพท์ห้องฉุกเฉินก็ดังขึ้น
ปี๊บ! ปี๊บ!
พยาบาลห้องฉุกเฉินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรับสาย
“อีอาร์ค่ะ”
ดูเหมือนจะเป็นสายจากภายใน เธอจึงตอบกลับไปด้วยคำศัพท์ที่ใช้ในโรงพยาบาล
คำว่าอีอาร์ (Emergency Room) นั้นหมายถึงห้องฉุกเฉินนั่นเอง และท่าทางจะเกิดเหตุใหญ่ขึ้น พยาบาลจึงยืนนิ่งฟังเสียงจากสายโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนรีบหันมาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“คุณหมอคะ! มีผู้ป่วยฉุกเฉินถูกส่งมาจากสำนักงานตำรวจสันติบาลอีกสิบรายค่ะ!”
!?
คำว่าสำนักงานตำรวจสันติบาลทำให้อีมยองและเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหันไปสนใจพยาบาลผู้นั้นทันที ส่วนศัลยแพทย์ก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“สันติบาลอีกแล้วเหรอ”
ในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวกลับมีผู้ป่วยจากสำนักงานตำรวจสันติบาลถูกส่งตัวมาอย่างต่อเนื่อง แถมครั้งนี้ยังมากถึงสิบราย แบบนี้ก็หมายความว่าเจ้าหน้าที่หนึ่งทีมบาดเจ็บกันหมดไม่ใช่หรือ ศัลยแพทย์หันไปถามพยาบาลที่รับโทรศัพท์เมื่อครู่
“รู้ไหมว่ามาจากหน่วยไหน”
“ดูเหมือนจะเป็นหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สองค่ะ เวลาไม่ห่างจากเหตุเมื่อกี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกคุณรึเปล่าคะ”
“หือ?”
คำพูดนั้นทำให้อีมยองและเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วถึงกับตาโต เพราะพวกเขาคิดว่าในเมื่อจอมยุทธ์คนนั้นยอมร่วมมือแต่โดยดี ทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่กลับมาได้ยินอะไรแบบนี้เสียได้
เกิดอะไรขึ้นนะ
สองทุ่มครึ่ง
รถเก๋งสีดำแล่นตรงไปยังสำนักงานตำรวจสันติบาล ชายวัยกลางคนผู้ไว้เคราและนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงเบาะหลังด้านซ้ายของรถคือโฮอิลกยอง รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาล เขาคือบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นหมายเลขสองของสำนักงานตำรวจสันติบาล ซึ่งตลอดเส้นทางมาสำนักงานตำรวจสันติบาล เขาได้บ่นใส่คนขับรถไม่เลิกราวกับกำลังไม่พอใจอย่างมาก
“นี่ คนเรามีตาก็ต้องรู้จักมองไม่ใช่เหรอ รู้ก็รู้ว่าวันนี้ฉันมีนัดสำคัญก็ควรจะจัดการไปตามสมควรสิ ไอ้พวกไม่ได้เรื่องจะเรียกหัวหน้าที่เลิกงานแล้วกลับมาเพื่ออะไร”
จะเพื่ออะไรล่ะ ก็มาทำงานน่ะสิ แล้วการทิ้งคุณนายคนสวยไปเจ้าชู้ใส่สาวน้อยนั่นสำคัญตรงไหน นี่น่ะหรือผู้นำสำนักงานตำรวจสันติบาล
คนขับรถเถียงอยู่ในใจ แต่เขายังต้องการเงินเดือนอยู่จึงไม่อาจเอ่ยปากออกไป ได้แต่ยิ้มเอาใจและเออออตามไป
“นั่นสิครับ แบบนี้ท่านรองต้องจัดการเลยนะครับ”
คะแนนของเขาขึ้นอยู่กับการประจบเอาใจเจ้านาย นิสัยแบบนี้ไม่ต่างจากต้นอ้อล้อไปตามลม แต่คำพูดของคนขับรถกลับทำให้โฮอิลกยองตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“จะบ้าหรือไง เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้จะไปจัดการได้ยังไง เพราะแบบนี้ไงคนอย่างแกถึงได้เป็นแค่คนขับรถ”
ไอ้โง่เอ๊ย! เอาใจไม่ดูตาม้าตาเรือเลย
เขาเกือบจะพลั้งปากออกไปแล้ว แต่ก็ถึงทางเข้าสำนักงานตำรวจสันติบาลพอดี
สำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยางประกอบด้วยสามตึกหลัก ตึกด้านซ้ายเป็นฝ่ายจราจร ตรงกลางเป็นสำนักงาน หน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรง และหน่วยงานเล็กๆ ตึกด้านขวาเป็นของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วและหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ตึกๆๆ!
ชายวัยสี่สิบต้นๆ ที่อยู่หน้าตึกสำนักงานวิ่งลงบันไดมาราวกับกำลังรออยู่ เขาคือซงวีกัง ผู้บังคับการหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรง โฮอิลกยองบ่นพึมพำระหว่างจ้องมองเขาผ่านหน้าต่าง
“ถ้าไม่ใช่ช่วงพิจารณาเลื่อนขั้นนะ หึ”
อีกไม่นานจะมีการพิจารณาเลื่อนขั้นแล้ว ซึ่งถ้าเขาผ่านก็จะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการ แต่ต้องไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเสียก่อน
แกรก!
“สวัสดีครับ”
ซงวีกังเดินเข้ามาเปิดประตูรถให้แล้วทำความเคารพโดยไม่รีรอราวกับคุ้นเคยเรื่องแบบนี้ดี โฮอิลกยองลงรถแล้วเปลี่ยนสีหน้าก่อนพูดว่า
“อืม ไอ้บ้าตัวไหนบังอาจมาทำให้สมาชิกสันติบาลของเราตกอยู่ในสภาพนั้นได้”
เขาถามเหมือนเป็นห่วงเป็นใยคนในครอบครัว ทันทีที่ประตูรถปิดลงคนขับก็แลบลิ้นและยกนิ้วกลางผ่านกระจกเคลือบฟิล์มกันแดดให้โฮอิลกยอง
ระหว่างลงลิฟต์ไปชั้นใต้ดินที่ห้าของตึกสำนักงาน ซงวีกังก็รายงานตามขั้นตอน โฮอิลกยองรับฟังอย่างเหลือเชื่อ
“อะไรกัน เป็นอย่างนั้นได้ยังไง หัวหน้า รองหัวหน้า แล้วก็เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วกว่าสิบนายในรถบัสคันนั้นถูกหักแขนทั้งสองข้างทุกคนเลยเหรอ”
“แพทย์ห้องฉุกเฉินบอกว่าต้องผ่าตัดจัดการกระดูกที่หักก่อน แล้วค่อยเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสามสัปดาห์จึงจะหายดีครับ”
“หา!?”
การรักษายาวนานเช่นนี้เกินกว่าที่คนในปี ค.ศ. 2047 คาดคิด เพราะการฟื้นฟูร่างกายที่ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศเยอรมนีเป็นการเร่งฟื้นฟูร่างกายจากระดับเซลล์ หลังนำเทคนิคนี้มาใช้ นอกจากโรคทางพันธุกรรมแล้ว การรักษาไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในจะเสร็จสิ้นไม่เกินสองสัปดาห์ หากต้องใช้เวลาถึงสามสัปดาห์กว่าจะหายดีก็แปลว่าอาการหนักมาก
“แล้วปล่อยไอ้นั่นไปเฉยๆ เหรอ”
ในเมื่อกล้าแหย่ตำรวจสันติบาล ทำไมถึงไม่จัดการอะไรเลย ซึ่งผู้บังคับการก็ส่ายหน้าราวกับสิ้นหวังแล้วพูดว่า
“มันเป็นจอมยุทธ์เลยทำอะไรไม่ได้ครับ ขนาดลูกน้องของอีมยองหัวหน้าหน่วยที่สามออกหน้าก็ยังบาดเจ็บกลับมาเลยครับ”
ผู้บังคับการได้เห็นเต็มสองตา แค่ชายผู้นั้นขยับมือเบาๆ ตำรวจในหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงก็พากันกระเด็นไป หลังจากนั้นพวกเขาจึงปล่อยชายผู้นั้นไว้ในห้องสอบสวนโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งอีก
“ลูกน้องไอ้โง่อีมยองไม่ได้เรื่องเลย ชิ งั้นก็เรียกหน่วยปฏิบัติการพิเศษหรือหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้ามาสิ เป็นจอมยุทธ์ไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ…ท่านรองครับ ทีมนั้นกำลังทำภารกิจจับขบวนการซื้อขายยาเสพติดของแก๊งจอมยุทธ์ที่สันนิษฐานว่าเป็นการร่วมมือกันของพรรคอธรรมกับองค์กรลับแถวๆ นอกกำแพงป้องกันภัยฝั่งเหนือทั้งหมด…”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้บังคับการค่อยๆ เอ่ยอย่างระมัดระวัง โฮอิลกยองก็ยกมือตีหน้าผากตัวเองราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วพูดว่า
“อ้อ…จริงสิ แต่เห็นว่าเริ่มลงมือตอนสี่โมงใช่ไหม ตอนนี้ก็น่าจะเรียบร้อยและกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เท่าที่คุยทางวิทยุ ตอนนี้จับคนร้ายในสถานที่เกิดเหตุได้หมดแล้วและกำลังกลับมา อีกไม่นานคงถึงครับ”
คำพูดนั้นทำให้โฮอิลกยองยิ้มอย่างพอใจ เพราะปัญหายาเสพติดถูกพูดถึงในข่าวตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ผลงานวันนี้จึงถือว่าเป็นความสำเร็จระดับหนึ่ง
“โอ้ จบลงด้วยดีสินะ”
ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรเป็นพิเศษในช่วงนี้จะดีมาก โฮอิลกยองเปลี่ยนมาทำหน้าบึ้งตึงแล้วถามว่า
“แล้วไอ้บ้านั่นอยู่สังกัดที่ไหน ถ้าไม่ใช่พวกนอกรีตก็คงเป็นพรรคอธรรมสินะ”
“เรื่องนั้น…”
“มีอะไร ไม่ใช่งั้นเหรอ”
“เราหาข้อมูลเขาไม่เจอก็เลยหาต้นสังกัดไม่ได้ครับ”
คำพูดของซงวีกังทำให้โฮอิลกยองชักสีหน้าพลางเอ่ยว่า
“จะบอกว่านิรนามงั้นรึ”
ตั้งแต่ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการ เขาไม่เคยเจอจอมยุทธ์นิรนามมาก่อน แม้จะได้ยินเรื่องเล่าว่าในเมืองอื่นมีจอมยุทธ์เช่นนั้น แต่พอเรื่องแบบนี้เกิดในพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง หัวเขาก็ปวดตุบๆ
“แล้วมันไม่มีปากหรือไง”
“ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ”
“เฮ้อ…อะไรๆ ก็ไม่ยอมพูด ได้ยินว่ามันตกลงมาจากฟ้าด้วยเหรอ หรือจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มอำนาจไหนสักแห่ง”
เขาไม่ได้หมายถึงกลุ่มอาชญากรอย่างพรรคอธรรม เพราะในบรรดากลุ่มจอมยุทธ์มีบางกลุ่มที่มีบริษัทขนาดใหญ่อยู่ในครอบครอง แต่กลุ่มเหล่านั้นไม่มีทางสิ้นคิดถึงขั้นมาแหย่หนวดตำรวจสันติบาลอย่างแน่นอน
น่าอึดอัดใจจริงๆ
แม้จะพาตัวมาได้ แต่กลับไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ชื่อ
“ตรวจสอบลายนิ้วมือและม่านตาก็ไม่ได้อะไรครับ เลยเรียกหมอโชจากหน่วยแพทย์มาตรวจเลือด เขาเพิ่งมาถึงก่อนท่านรองไม่นาน ตอนนี้น่าจะตรงไปที่ห้องสอบสวนเพื่อเตรียมการตรวจสอบ”
“อืม ไปดูกัน”
หลังจากพูดคุยกันอยู่ตรงหน้าลิฟต์ใต้ดินชั้นห้า พวกเขาก็ตรงไปยังห้องสอบสวน สถานที่ที่ชายผู้นั้นอยู่คือห้องสอบสวนสี่ พวกเขาเดินเข้าไปยังประตูที่อยู่ข้างห้องสอบสวน
“สวัสดีครับ!”
ชายตัวโตกับหญิงผมสั้นในห้องรีบลุกขึ้นทำความเคารพ พวกเขาคือตำรวจในสังกัดหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สาม
“เงียบก่อน”
โฮอิลกยองยกนิ้วแตะริมฝีปากและบอกให้เงียบ ที่นี่คือห้องสังเกตการณ์ที่สามารถมองดูห้องสอบสวนที่อยู่ติดกันผ่านกระจกพิเศษได้ คนที่อยู่ในห้องนี้จะมองเห็นภายในห้องสอบสวนได้ แต่คนภายในห้องสอบสวนจะมองเห็นเหมือนกระจกเงา
ภายในห้องสอบสวนที่มองเห็นผ่านกระจกนั้นมีโต๊ะสูงถูกวางเด่นอยู่ตรงกลางตัวหนึ่ง ตรงนั้นมีชายหนุ่มใบหน้าขาวและผมดำยาวนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ เขาคือชอนยออุนนั่นเอง
[เราจะเก็บแค่ตัวอย่างเลือดเพียงเล็กน้อยไปตรวจหาข้อมูล ไม่ได้จะทำอันตรายอะไรเลยครับ]
เสียงภายในห้องสอบสวนดังขึ้นจากลำโพงในห้องสังเกตการณ์ ภายในห้องสอบสวน โชเซจงหมอจากหน่วยแพทย์ของสำนักงานตำรวจสันติบาลกำลังยืนถือเข็มเก็บตัวอย่างเลือดและโน้มน้าวชอนยออุนมาพักใหญ่แล้ว
“เจ้านั่นเหรอ”
“ใช่ครับ”
“อย่างกับออกมาจากละครย้อนยุคเลย ยึดอาวุธแล้วใช่ไหม”
“ขอโทษครับ”
นอกจากเสื้อผ้าจะขัดหูขัดตาแล้ว พอรู้ว่าอาวุธยังไม่ถูกยึดโฮอิลกยองก็เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ และเดินเข้าใกล้หน้าต่างเพื่อจ้องดูให้ชัดเจน และตอนนั้นเอง
โอ๊ะ
ชอนยออุนที่นั่งนิ่งก็หันมาจ้องเขา ถ้ามองจากทางโน้นก็ควรจะเห็นเพียงภาพสะท้อนตนเอง แต่ชอนยออุนกลับมองมาตรงจุดที่เขายืนอยู่อย่างแม่นยำจนน่าตกใจ โฮอิลกยองจึงถามซงวีกังที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“มองจากทางโน้นมาจะไม่เห็นใช่ไหม”
“ถึงจะหันมามองเขาก็จะมองเห็นแต่ตัวเองครับ”
เพราะภายในห้องสอบสวนจะมองเห็นกระจกนี้เป็นเพียงกระจกเงา
หรือจะคิดไปเองนะ
แล้วชอนยออุนก็หันไปมองหมอโชเซจงอีกครั้ง แม้เมื่อครู่จะทำเอาสะดุ้ง แต่โฮอิลกยองคิดว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญจึงกลับมาตั้งอกตั้งใจมองชอนยออุน
“ไม่ยอมให้เก็บเลือดไปตรวจเหรอ”
“เขาคงคิดว่าเราจะทำอันตรายเขา เลยไม่ยอมท่าเดียวค่ะ”
ตำรวจหญิงที่อยู่ด้านหลังตอบ แต่อยู่ๆ ชอนยออุนก็ยื่นแขนขวาออกมาแล้วเอ่ยปากว่า
[ถ้าทำได้ก็เอาไป]
เสียงที่ได้ยินผ่านลำโพงทำให้โฮอิลกยองส่ายหน้าราวกับไม่อยากเชื่อ
“มีปัญหาทางจิตรึเปล่า”
แค่จะเก็บเลือดไปตรวจกลับทำเหมือนตัวเองวิเศษวิโสนักหนา หมอโชเซจงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกระจกก็คงจะคิดไม่ต่างกันจึงถอนหายใจ แล้วใช้สายยางรัดแขนขวาของชอนยออุนก่อนยกเข็มขึ้น
“ไม่ต้องเกร็งแขนนะครับ เจ็บนิดเดียว”
หมอโชเซจงจ่อจะเสียบเข็มลงไปที่เส้นเลือดของชอนยออุน แต่ว่า…
แก๊ก!
“อ๊ะ”
เข็มกลับหักแทนที่จะเสียบเข้าไปในเนื้อ แต่เขาไม่ใช่หมออินเทิร์น* ที่เพิ่งทำงานมาไม่กี่ปี ฉะนั้นไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้พลาดได้ หมอโชเซจงบ่นพึมพำแล้วก็เปลี่ยนเข็มใหม่ จากนั้นก็ขอร้องชอนยออุน
“อย่าเกร็งแขนนะครับ ปล่อยแขนสบายๆ”
“ข้าไม่ได้เกร็ง”
“เอ่อ…รับทราบครับ ห้ามเกร็งแขนเลยนะครับ ไม่งั้นเส้นเลือดอาจจะเสียหาย”
หมอโชเซจงเช็กดูว่าชอนยออุนกำหมัดและเกร็งแขนหรือเปล่า พอเห็นว่าไม่ ก็จ่อเข็มตรงเส้นเลือดที่ข้อมือเพื่อเสียบเข้าไปอีกครั้ง
แก๊ก!
เมื่อเข็มหักเป็นรอบที่สองหมอโชเซจงก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของเขา เข็มหักเพราะเหมือนทิ่มลงไปในวัตถุแข็ง
เนื้อคนทำไมถึงได้แข็งแบบนี้
ไม่ว่าจะสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมามากแค่ไหนหรือจะเกร็งแขนอย่างไร แค่เสียบเข็มผ่านผิวหนังชั้นนอกเข้าไปได้ก็จบ หมอโชเซจงจึงยังรั้นและหยิบเข็มที่สามมาเปลี่ยน
หมับ!
“เฮ้ย! จะ…จะทำอะไรครับ”
ชอนยออุนจับแขนของเขาแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ให้โอกาสสองครั้งแล้วยังไม่พออีกรึ”
“อึก! ปะ…ปล่อยนะครับ”
ข้อมือที่ถูกจับเจ็บปวดเหมือนจะหัก หมอโชเซจงจึงขึ้นเสียงบอกให้ปล่อย ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากตำรวจที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์
“โธ่เว้ย!”
ตำรวจสองนายในห้องสังเกตการณ์ตั้งท่าจะวิ่งไปที่ห้องสอบสวนด้วยความตกใจ แต่ชอนยออุนกลับหันมา แล้วพูดเหมือนมองเห็นพวกเขาผ่านกระจก
[หากทำอะไรเหลวไหลอีก ข้าจะหักแขนเจ้านี่]
!?
ตำรวจสองนายที่กำลังจะวิ่งออกจากห้องสังเกตการณ์ถึงกับชะงัก แม้จะรู้สึกอยู่สองสามครั้งว่าชอนยออุนจ้องมองพวกตนอยู่ แต่พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ
พึ่บ!
ชอนยออุนลุกจากที่นั่ง
“เฮ้ยๆๆ! ดะ…ได้โปรด ปล่อยเถอะ!”
แม้หมอโชเซจงจะร้องอย่างเจ็บปวด แต่ชอนยออุนกลับไม่สนใจและลากเขาเดินไปจนถึงกระจกของห้องสอบสวน
เฮ้ย
จุดที่เขาเดินมาคือตรงหน้ารองผู้บัญชาการโฮอิลกยอง พอรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอย่างชัดเจนกว่าเมื่อครู่ ใบหน้าโฮอิลกยองก็ซีดเผือด จากนั้นชอนยออุนก็พูดกับเขาว่า
[เจ้าคงตำแหน่งสูงกว่าเจ้านี่สินะ]
หา!?
เสียงที่ดังขึ้นผ่านลำโพงทำให้โฮอิลกยองเสียวสันหลังวาบจนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
* อินเทิร์น คือแพทย์ฝึกหัด ภายหลังจบการศึกษาได้แพทยศาสตรบัณฑิตแล้วจะต้องฝึกปฏิบัติงานก่อนหนึ่งปี เมื่อจบและผ่านการประเมินแล้วจะได้ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
Related
Comments
