• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

     

    บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย

     

     

    เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในนิยายเสียแล้ว

    ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ คือมหากาพย์แห่งความทรหดซึ่งมีตัวเอกเป็นวีรบุรุษผู้เย็นชาดุจน้ำแข็งอย่างฮาเวียร์ อัซราฮาน และตัวผมได้หลุดเข้ามาอยู่ในโลกอันยิ่งใหญ่ที่ว่า ซ้ำยังเป็นร่างของคุณชายขี้เมาที่ฮาเวียร์เคยรับใช้ในสมัยที่เขายังเป็นเพียงอัศวินนิรนามอีก

    ตอนนั้นผมยังไม่รู้จริงๆ ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่นักศึกษาวิศวกรรมโยธาแสนธรรมดาอย่างผมจะได้เกิดใหม่ในฐานะผู้พิทักษ์อาณาจักร

     

    [RP (คะแนนความสัมพันธ์ = Relationship Point) ระบบถูกเปิดใช้งาน]

    [คุณสามารถรับ RP โดยการพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครหลัก]

    [คุณสามารถเพิ่มพูนสกิลโดยการลงทุนด้วย RP ที่คุณได้รับ]

    [RP ที่ใช้ได้ในปัจจุบัน : 0]

     

    ในหัวมีข้อความประหลาดโผล่ขึ้นมาพร้อมเสียงสัญญาณเตือน

    RP คืออะไร แล้วการเพิ่มพูนสกิลนั่นมันอะไรอีกล่ะ

    เพลียจัง ง่วงนอนด้วย

    ซูโฮขมวดคิ้วขณะพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

    ไม่อยากขยับตัวไปไหนเลย แต่ก็ไม่แปลกหรอก ตอนกลางวันต้องไปนั่งเรียน ตกกลางคืนก็ต้องไปทำงานพาร์ตไทม์อาบเหงื่อต่อ พอกลับมาก็ยังอยากคลายเครียดด้วยการอ่านนิยายทั้งคืนอีก มันก็ต้องรู้สึกเพลียเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่สิ แทบจะรู้สึกว่าเป็นวิบากกรรมเลยทีเดียว

    แต่อย่างน้อยก็ทำการบ้านเสร็จแล้วล่ะนะ ตื่นสายกว่าปกติสักครึ่งชั่วโมงคงไม่เป็นไรหรอก

    รอยยิ้มพึงพอใจแย้มกว้างเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น

    ทว่ารอยยิ้มของซูโฮกลับอยู่ได้ไม่นาน

    “…ตื่นได้แล้วขอรับ”

    ซูโฮได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูลอยมา น้ำเสียงนั่นฟังดูเย็นชาทว่าชัดถ้อยชัดคำ

    ฝันเหรอ

    คงเป็นเสียงที่ได้ยินช่วงสะลึมสะลือล่ะมั้ง

    ซูโฮพลิกตัวไปอีกด้าน ทว่าแม้แต่การขยับตัวก็ไม่อาจหยุดเสียงเร่งเร้าที่ลอยมาอีกครั้งได้

    “สายมากแล้ว ได้เวลาตื่นแล้วขอรับ คุณชายลอยด์”

    …หืม? ไม่ใช่ความฝันนี่ เห็นได้ชัดว่าเสียงนั่นดังอยู่ข้างตัว

    เป็นไปได้ยังไง

    ซูโฮได้สติขึ้นมาท่ามกลางความงุนงง เขาอยู่ในห้องเช่าขนาดกว้างแค่สองพยอง* กว่าๆ แล้วก็ไม่เคยลืมล็อกประตูห้องด้วย จะบอกว่ามีคนเข้ามาพูดคุยอยู่ในห้องของเขาอย่างนั้นหรือ

    ซูโฮลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวัง แต่แล้วร่างของเขาก็แข็งทื่อไปโดยไม่รู้ตัว

    “ตื่นแล้วหรือขอรับ แต่ก็ถือว่าวันนี้ตื่นเร็วกว่าปกติล่ะนะ”

    “…”

    ชายหนุ่มรูปงามผมสีเงินนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างอ่อนน้อม ดูแล้วน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบปี ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มแม้สักเสี้ยว รูปลักษณ์ที่ว่านั้นดูเข้ากันได้ดีราวกับคมดาบที่ลับมาจากน้ำค้างแข็งนิรันดร์ไม่มีผิด

    “ฮาเวียร์…อัซราฮาน?”

    ซูโฮพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว

    ไม่ผิดแน่ อัศวินเลือดเหล็ก นิยายที่เขาอดหลับอดนอนอ่านเมื่อคืน ภาพประกอบของฮาเวียร์ อัซราฮาน ตัวละครหลักของมหากาพย์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่สิ เหมือนกันเป๊ะเลยต่างหาก แม้แต่การแสยะยิ้มมุมปากข้างหนึ่งก็ยังดูเหมือนภาพวาดอันสง่างาม

    “ในที่สุดก็จำชื่อข้าได้เสียที ขอบคุณนะขอรับ”

    แต่ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนเขาจะไม่รู้สึกขอบคุณเลยสักนิดมากกว่า

    “ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงมาโผล่ตรงนี้ได้ล่ะ”

    เขาหลุดปากโพล่งออกไป ทันใดนั้นรอยยิ้มมุมปากของฮาเวียร์ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

    “นายท่านให้ข้ามาคอยคุ้มกันคุณชายขอรับ”

    “นายท่าน? คุ้มกัน?”

    “ขอรับ”

    “เพราะอะไรล่ะ”

    “เพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุการณ์เฉกเช่นเมื่อคืนอีกขอรับ”

    “เมื่อคืนงั้นหรือ ข้า…”

    “คุณชายเมามากจนแทบจะเดินไม่ไหว แต่ก็ยังไปอาละวาดทำลายข้าวของในร้านเหล้าจนทำให้โต๊ะสามตัว เก้าอี้ห้าตัว จานสิบเก้าใบ และเชิงเทียนหกอันได้รับความเสียหายขอรับ อ้อ คุณชายยังไปทำลายแท่นเขาควายที่เจ้าของร้านเหล้าหวงนักหวงหนาจนพังไม่มีชิ้นดีด้วยขอรับ”

    …ผมบริสุทธิ์นะ พูดจากใจจริงเลย ผมแค่อ่านหนังสืออยู่ในห้องเช่าเฉยๆ แต่ตอนนี้ดันเริ่มรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาแล้ว นี่ผมต้องมาเมาค้างเพราะเหล้าที่ตัวเองไม่ได้ดื่มงั้นเหรอ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

    “ฮู่ว งั้นก่อนอื่น ข้าขอน้ำหน่อยสิ”

    เริ่มจากตั้งสติให้ได้ก่อนแล้วกัน

    ซูโฮดื่มน้ำที่ฮาเวียร์นำมาให้พลางมองไปรอบๆ ห้องนอน มันทั้งแปลกตา สะอาดสะอ้าน และกว้างขวางโอ่โถง ต่างจากห้องเช่าขนาดสองพยองที่วอลล์เปเปอร์เก่าจนกลายเป็นสีเหลืองหม่น

    เจ๋งดีเหมือนกันแฮะ

    นี่ผมเข้ามาอยู่ในร่างตัวละครเหมือนในนิยายจริงๆ เหรอ แถมยังเป็นร่างของชนชั้นสูงซะด้วย

    ซูโฮพอจะยอมรับความจริง (?) ได้แล้ว เมื่อเทียบกับชีวิตที่ต้องกระวนกระวายใจอยู่ในห้องเช่าโดยไม่มีครอบครัวอยู่ด้วยสักคน ที่นี่ถือเป็นสรวงสวรรค์โดยแท้จริง

    แต่แล้วกลับมีบางอย่างสะดุดตาเขา

    “นั่นอะไรน่ะ”

    ซูโฮชี้ไปทางตู้ที่อยู่อีกฝั่งของเตียง มีกระดาษสีแดงซึ่งดูไม่เข้ากันเสียเลยติดอยู่ และไม่ใช่แค่ตรงนั้น แม้แต่บนชั้นหนังสือขนาดใหญ่ โต๊ะน้ำชา เก้าอี้ที่ฮาเวียร์นั่ง หรือแม้กระทั่งเตียงที่ตนกำลังนอนอยู่ เครื่องเรือนทุกชิ้นเรียกได้ว่าล้วนมีกระดาษสีแดงติดอยู่ทั้งสิ้น

    นี่อย่าบอกนะว่า

    ซูโฮเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอดังเอื๊อก แล้วคำตอบของฮาเวียร์ก็ช่วยยืนยันการคาดเดาของเขา

    “ลืมไปแล้วหรือขอรับ ใบยึดทรัพย์ที่เพิ่งมีคนมาติดเมื่อวานอย่างไรล่ะ”

    “…”

    เป็นคำตอบที่กระชับดีเสียจริง จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ ตระกูลของบารอนที่ฮาเวียร์เคยรับใช้ล่มสลายตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง บารอนและภรรยาพากันฆ่าตัวตายหลังถูกนักต้มตุ๋นวายร้ายหลอกลวงจนเสียทรัพย์สมบัติและที่ดินทั้งหมดไป ส่วนลอยด์ บุตรชายคนโตของบารอนก็ติดเหล้าจนป่วยตาย

    หลังจากนั้นฮาเวียร์ได้สร้างหลุมฝังศพให้ลอยด์ก่อนจะออกจากแคว้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ที่ตัวละครหลักอย่างฮาเวียร์ อัซราฮานได้ก้าวเท้าออกไปสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก

    สรุปว่าผมเข้ามาในร่างของคุณชายกุ๊ยที่ตายด้วยโรคพิษสุราเรื้อรังตั้งแต่ตอนต้นเรื่องงั้นเรอะ ผมเนี่ยนะ

    ความปีติยินดีที่ตัวเองได้เป็นชนชั้นสูงหายวับไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว

     

    “ฮู่ว จริงแฮะ จริงด้วย”

    หลายชั่วโมงต่อมาซูโฮ ไม่สิ ลอยด์กำลังยืนอยู่หน้ากระจก บนกระจกยาวเต็มตัวมีใบยึดทรัพย์สีแดงติดอยู่เช่นเดียวกับเครื่องเรือนชิ้นอื่นๆ ในเงาสะท้อนมีชายผมดำรูปร่างผอมบางคนหนึ่งยืนอยู่

    เขาคือลอยด์นั่นเอง

    ตอนนี้เจ้าหมอนั่นคือผมสินะ

    อันที่จริงซูโฮก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถึงกับไม่ชอบหรอก ไม่สิ ถ้าให้พูดตามตรงเขารู้สึกถูกใจด้วยซ้ำ เพราะการใช้ชีวิตที่สาธารณรัฐเกาหลีหนักหนาเกินกว่าจะทนไหว

    ก็มันมีแต่เรื่องที่โคตรจะลำบากเลยนี่นา

    เดิมทีเขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวธรรมดาทั่วไป สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ จนได้กลายเป็นนักศึกษาวิศวกรรมโยธา แต่เรื่องกลับมาเกิดขึ้นตอนที่เขาไปเกณฑ์ทหารได้เพียงสี่เดือน เมื่อเงาทมิฬของการหลอกลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เข้ามารัดคอพ่อแม่ของเขา ทำให้พวกท่านทั้งสองต้องจากไปพร้อมทิ้งหนี้สินไว้มหาศาล ส่วนบ้านและทรัพย์สินก็ถูกยึดไปจนหมด เขาจึงต้องขอสละมรดกเพื่อให้ไม่ต้องใช้หนี้ที่เหลืออยู่

    ถ้าไม่ได้ทุนการศึกษาสำหรับผู้มีรายได้น้อย ผมคงไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว

    อย่างน้อยเขาก็ตั้งใจเรียนจนมีผลการเรียนที่ดี แต่ปัญหาคือค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนนั้นถือเป็นคนละเรื่องกัน เขาจึงต้องหางานพาร์ตไทม์ทำอยู่เรื่อยๆ ไม่ง่ายเลยที่จะทำงานและรักษาผลการเรียนให้ดีไปพร้อมกัน

    ห้องเช่าคับแคบเท่ารูหนู มีพื้นที่แค่สองพยองกว่าๆ นั่น เขายังต้องอยู่โดยเลือดกำเดาไหลกระฉูดอย่างน้อยเจ็ดครั้งต่อสัปดาห์ ข้าวสวยและกิมจิที่ทางห้องเช่ามีให้ฟรีคือปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยประคับประคองร่างกายของเขาไว้ ซึ่งซูโฮก็ดิ้นรนจนสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงเมื่อวานราวกับคนหัวดื้อ

    แต่พอได้หายใจหายคอสักหน่อย กลับต้องกลายมาเป็นชนชั้นสูงในนิยายแฟนตาซีที่เพิ่งอ่านไปเนี่ยนะ

    อีกทั้งชนชั้นสูงที่ว่าไม่ใช่พวกยศใหญ่อย่างดยุกหรือเอิร์ล แต่เป็นเพียงบารอนผู้ปกครองแคว้นในชนบทแห่งหนึ่ง ทว่าลอยด์กลับรู้สึกชอบเช่นนี้มากกว่า

    คงไม่มีเรื่องให้ไปพัวพันกับเรื่องราวใหญ่โตโดยไม่จำเป็นหรอกมั้ง อย่างการก่อกบฏอะไรพวกนี้น่ะ

    เวลาดูละครย้อนยุคหรือละครยุคกลางก็มักจะมีปัญหาโผล่มาเสมอ ต่อให้เป็นชนชั้นสูงที่มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน แต่ถ้าเข้าไปพัวพันกับการก่อกบฏเข้า ชีวิตเป็นอันต้องจบเห่แน่ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับการถูกรางวัลถูกตัดศีรษะในฉับเดียว ไม่มีโอกาสให้ได้แย้มปากแก้ตัวด้วยซ้ำ

    ถ้าต้องพบเจอเรื่องแบบนั้น ผมขอเป็นบารอนอยู่ในเขตทุรกันดารจะดีกว่า จะมองว่าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มก็ได้

    ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์สำคัญอย่างการก่อกบฏ แล้วก็ได้นอนตีพุงอยู่ในชนบทแบบคนมีอันจะกินไปวันๆ อย่างน้อยเขาก็น่าจะใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น แค่ต้องคอยรักษาหม้อข้าวหม้อแกงเก่าแก่ไว้เท่านั้น

    แต่แน่นอนว่าคงต้องจัดการหนี้สินของครอบครัวบารอนให้ได้ก่อน

    ซึ่งนั่นแหละปัญหา

    ดันมาเข้าร่างเอาช่วงนี้ซะด้วย

    เขานึกถึงคำอธิบายของฮาเวียร์ขึ้นมา เห็นว่าวันที่มีคนมาติดใบยึดทรัพย์คือเมื่อวานนี้ หมายความว่าถ้าได้มาเข้าร่างตั้งแต่เมื่อหนึ่งหรือสองเดือนก่อน เขาอาจจะขัดขวางนักต้มตุ๋นที่เข้าหาบารอนได้ทัน คิดแล้วก็อยากจะกระโดดไปกระชากคอเสื้อนักเขียนนิยายเสียจริง

    แต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ยังไงก็ต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ได้

    ไม่อย่างนั้นบารอนและภรรยาได้ฆ่าตัวตายในปีหน้าแน่ แล้วคฤหาสน์กับแคว้นแห่งนี้ก็จะถูกขายจนเขาต้องกลายเป็นยาจกในที่สุด

    ซึ่งไม่ต่างจากตอนอยู่ที่เกาหลีเลย

    มันคือฝันร้ายสำหรับเขา ขอแค่ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้นก็พอ เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความยุ่งเหยิงเช่นนั้นอีกแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาเงินมาให้ได้ จะได้ช่วยชำระหนี้สินให้ครอบครัวของบารอน

    เขาจ้องมองกระจกอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออก ลอยด์จึงเอ่ยปากถามฮาเวียร์ที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ

    “นี่”

    “ขอรับ คุณชายลอยด์”

    “แคว้นของเราน่ะ มีเงินเยอะหรือไม่”

    “ขอรับ?”

    “ถ้าเก็บเงินจากชาวบ้านในแคว้นจะได้เยอะแค่ไหนกัน”

    “หมายถึงเก็บภาษีหรือขอรับ”

    “เปล่า ไม่ใช่อันนั้น”

    “ถ้าเช่นนั้น?”

    “เหมือนแคมเปญบริจาคทองคำตอนไอเอ็มเอฟ*…เฮ้อ ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ”

    ลอยด์ส่ายศีรษะ เขาคิดว่าถ้ารวบรวมเงินจากชาวบ้านก็อาจจะพอช่วยแก้ปัญหาได้ แต่เมื่อลองคิดดูอีกทีนั่นก็ไม่น่าจะใช่ทางออกที่ดี เพราะถ้ามีการรวบรวมเงินโดยปราศจากเหตุผลอันควร ผู้คนอาจพากันลุกฮือต่อต้านครั้งใหญ่

    ต่อให้รวบรวมเงินได้ขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ใช่จำนวนที่จะจ่ายคืนได้ในคราวเดียว

    เขาพลันนึกถึงเนื้อหาในบทนำของนิยาย กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คือสองปี แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นบารอนและภรรยาก็ฆ่าตัวตายเสียแล้ว เนื่องจากมีการตามทวงหนี้อย่างต่อเนื่อง ดอกเบี้ยเองก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเรียกมันว่าห้วงเหวแห่งหนี้สินที่ไร้หนทางชำระคืนหมดก็ไม่ผิด สองสามีภรรยาถูกหนี้สินกองโตล้มทับจนไม่เหลือความหวังอีกแล้ว

    ช่วงเวลานั้นก็คือหนึ่งปีนับจากนี้พอดี

    ส่วนลอยด์ก็จะกระอักเลือดตายในห้องเล็กๆ ของร้านเหล้าเจ้าประจำในอีกห้าเดือนต่อมา นั่นคือเนื้อหาที่กล่าวไว้ตอนต้นของนิยายอัศวินเลือดเหล็ก

    ให้ตายสิ นี่ไม่ใช่เดคัลโคมานี** สักหน่อย

    มันช่างคล้ายกับสถานการณ์ที่ครอบครัวของเขาต้องเจอในสาธารณรัฐเกาหลีราวกับลอกแทตทูติดแขน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่

    จิ๊ ไปเดินเล่นก่อนดีกว่า

    ว่ากันว่าเวลามีเรื่องยุ่งยากตีกันในหัว การออกไปเดินเล่นคือวิธีที่ดีที่สุด เขาทำสิ่งนี้เป็นกิจวัตรตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคิมซูโฮแห่งสาธารณรัฐเกาหลีแล้ว ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นเครื่องปลอบใจเพียงอย่างเดียวของเขาก็ได้ เพราะการเดินเล่นไม่จำเป็นต้องใช้เงิน

    ลอยด์เดินออกจากห้องพร้อมฮาเวียร์ จนกระทั่งมาถึงโถงทางเดินในคฤหาสน์ เขาก็บังเอิญพบกับสตรีคนหนึ่งที่เดินสวนมาจากฝั่งตรงข้าม กิริยาท่าทางดูสุขุมและผึ่งผาย เธอคือหญิงวัยกลางคนที่งดงามตามอายุที่มากขึ้น

    อย่าบอกนะ

    เขานึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาทันที

    มาร์เบญ่า ฟรอนเทรา บารอนเนสผู้เป็นมารดาของลอยด์ ฟรอนเทรา

    ในคฤหาสน์แห่งนี้หญิงวัยกลางคนที่จะมีภาพลักษณ์เช่นนั้นได้ก็มีแค่เธอเท่านั้น ลอยด์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอดังเอื๊อก

    ดันบังเอิญมาเจอถูกคนซะด้วย มีพ่อแม่ที่ไหนจำลูกตัวเองไม่ได้บ้าง ผมคงไม่ถูกจับได้ว่าเป็นตัวปลอมหรอกใช่ไหม

    แต่ยังถือว่าโชคดี (?) ที่ความกังวลนั้นเป็นแค่ความตื่นตระหนกไปเอง เพราะเมื่อบารอนเนสมองมาทางเขา เธอก็เดาะลิ้นทันที

    “จะออกไปดื่มเหล้าอีกแล้วรึ”

    ขณะที่สายตามองมา สีหน้าของเธอก็ฉายแววกังวลระคนเป็นห่วง ในบ้านกำลังเดือดร้อนจนจะพังพินาศอยู่แท้ๆ บุตรชายยังเอาแต่เมาหัวราน้ำแล้วก่อเรื่องไปวันๆ นี่ทำให้เธอรู้สึกว่ามองแล้วก็รำคาญลูกตาอย่างนั้นหรือ เขาไม่อาจรู้สาเหตุได้เลย

    “สนุกแค่พอประมาณเถอะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”

    เมื่อเธอถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินผ่านไป ลอยด์ก็แอบยกมือขึ้นมาลูบอกคนเดียว

    ไม่โดนจับได้แฮะ จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าเนี่ย

    ลอยด์ ฟรอนเทรา เจ้าคนที่ลืมตาขึ้นมาก็เอาแต่เมาจนหัวราน้ำ เพราะอย่างนี้แม้แต่มารดาของลอยด์เองก็ดูเหมือนจะเป็นกังวลเพราะอคติในใจ

    ถึงจะชวนให้รู้สึกแย่ไปหน่อยก็เถอะ

    เขาพลันนึกถึงช่วงที่ตนเป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย มันเป็นช่วงที่ครอบครัวของเขายังคงมีอันจะกิน ส่วนเขาในฐานะน้องใหม่ก็ยังไม่รับรู้สถานการณ์ใดๆ จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองเอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน ทั้งในงานปฐมนิเทศและกิจกรรมต่างๆ แต่ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้นแม่ก็จะเตรียมซุปปลาแห้งเอาไว้ให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นความหลังครั้งเก่าที่ไม่มีวันย้อนกลับมาได้แล้ว

    จิ๊

    ลอยด์กัดริมฝีปากล่างแน่น เขาสืบเท้าก้าวออกจากคฤหาสน์ด้วยความหนักแน่นยิ่งขึ้น คงเป็นเพราะอย่างนี้ เมื่อชาวบ้านที่สัญจรอยู่บนถนนมองมา พวกเขาก็พากันถอยร่นไปข้างถนนทันที ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาหลบ สตรีคนหนึ่งถึงขั้นยืนตัวสั่นพลางกำมือแน่นทั้งสองข้าง ชาวนาอีกคนก็หน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้เขาจึงตระหนักถึงสภาพ (?) ของตัวเองขึ้นมาได้

    จริงสินะ ลอยด์ก็เป็นคนแบบนี้

    เขาหวนนึกถึงเนื้อหาในนิยาย อันธพาลแห่งแคว้นบารอนฟรอนเทราก็คือลอยด์ ฟรอนเทรานั่นเอง

    เวลาเมาก็มักทำลายหรือขว้างปาข้าวของอยู่เป็นประจำ การกระทำและคำพูดที่หยาบคายแสลงหูต่อผู้น้อยถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา หรือพูดสั้นๆ ว่าเขาคือมนุษย์สวะไร้ค่าที่ชั่วช้าเลวทรามหาใดเปรียบ

    คงเพราะอย่างนี้สินะ ทุกคนถึงได้ทำท่ารังเกียจขนาดนั้น นี่ผมคงถูกเกลียดเข้าไส้แล้วแน่ๆ

    เขายิ้มแหยออกมาทันที

    “นี่”

    เขาถามเป็นเชิงบ่นกับฮาเวียร์ที่เดินตามมาข้างๆ

    “พวกเขาเป็นอะไรกันน่ะ ปกติเขาไม่ปฏิบัติตัวต่อบุตรชายของเจ้าเมืองเช่นนี้กันไม่ใช่หรือ”

    นี่เป็นเรื่องของสามัญสำนึก บุตรชายของเจ้าเมืองถือเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่แล้ว

    ฉะนั้นหากบุตรชายของเจ้าเมืองไม่ได้เป็นพวกเศษเดนสังคมเกินเยียวยา อย่างน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าก็น่าจะยิ้มและแสร้งทำเป็นเคารพกันบ้าง หรือไม่ก็พยายามที่จะทำอย่างนั้น เหมือนกับเจ้าของร้านไก่ทอดที่ให้บริการลูกชายเจ้าของตึกที่แวะมาอย่างนอบน้อม หรือหัวหน้าแผนกวัยดึกที่กลายเป็นเยสแมน* ต่อหน้าลูกชายประธานบริษัทที่เพิ่งเข้ามาในฐานะพนักงานธรรมดา บุตรชายของเจ้าเมืองก็น่าจะเป็นอย่างนั้นสำหรับชาวบ้านในแคว้นไม่ใช่หรือ

    “ปกติก็เป็นอย่างนั้นขอรับ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่”

    “ปกติใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่งั้นหรือ”

    “ขอรับ”

    “แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ”

    ฮาเวียร์ตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่เป็นสถานการณ์คับขันขอรับ”

    “คับขัน?”

    “โดยทั่วไปสถานการณ์คับขันในแคว้นหมายถึงการที่ภัยคุกคามบางอย่างปรากฏขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิต ความสงบสุข และความปลอดภัยของชาวบ้านอย่างใหญ่หลวงขอรับ”

    “…ซึ่งหมายถึงข้าหรือ”

    “ขอรับ”

    “เจ้านี่มันช่างแซะจริงๆ”

    “แซะคืออะไรหรือขอรับ”

    “อ้อ ก็การพูดแบบเอาแฟ็กต์* มาฟาดหน้ากันไงล่ะ”

    “…”

    ฮาเวียร์จ้องมาทางนี้อย่างไม่วางตา เป็นสายตาที่คล้ายจะถามว่ากำลังพูดเรื่องพิลึกอะไรอยู่

    แม้แต่ท่าทีที่ว่าก็ยังดูเยือกเย็นและสง่างามดุจภาพวาดไม่มีผิด

    ก็ใช่แหละ เจ้าฮาเวียร์เป็นคนแบบนี้นี่นา

    อัศวินผู้สูงศักดิ์และมีเกียรติ บุรุษผู้ไม่ยอมประนีประนอมให้กับความอยุติธรรม เรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษต้นแบบของอัศวินอย่างแท้จริง เนื้อหาในนิยายกล่าวว่าภายภาคหน้าฮาเวียร์จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปลอเรเชีย แม้ตอนนี้เขาจะยังเป็นเพียงอัศวินนิรนาม แต่บุคลิกคงไม่ต่างกันสักเท่าไร

    “ข้าทนกับการสรุปเอาเองเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ ขอรับ ขอสาบานว่าข้าไม่เคยพูดจาให้ร้ายคุณชายลอยด์เลย”

    “เคยนะ”

    “ไม่เคยขอรับ”

    “เจ้าไม่รู้จักการพูดทำร้ายจิตใจด้วยแฟ็กต์หรือไง”

    “ไม่รู้จักขอรับ”

    “แล้วข้าเคยเป็นคนที่เจ้าเกลียดขี้หน้าบ้างหรือไม่”

    “ไม่เคยแน่นอนขอรับ”

    …เดี๋ยวก่อน ดูจากสีหน้าแล้วเจ้าควรตอบว่า ‘เคยแน่นอน’ มากกว่านะ ลอยด์เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว หมอนี่เองก็เกลียดผมเหมือนกันสินะ

    ฮาเวียร์เป็นอัศวินผู้สูงศักดิ์ที่ให้ความสำคัญกับเกียรติยศ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ชอบอันธพาลเศษเดนอย่างลอยด์ แต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็ยังคอยปกป้องอยู่ข้างกายลอยด์ไปจนวันตาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขาจงรักภักดีต่อบารอนผู้เป็นนายอย่างถึงที่สุด

    เจ้าหมอนี่มันแน่สุดๆ ไปเลย

    นักดาบฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ทวีปลอเรเชีย สุดยอดปรมาจารย์แห่งประวัติการณ์

    เขาอาจเป็นได้ถึงขั้นนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับยอมมาเป็นผู้คุ้มกันแสนซื่อสัตย์ของผมงั้นเหรอ

    ลอยด์รู้สึกชอบกลอยู่สักหน่อย แต่ยังคงเดินต่อไปจนมาหยุดอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างโทรมๆ แห่งหนึ่ง

    “ที่นี่คือที่ไหน”

    “ร้านเหล้าขอรับ”

    “ร้านเหล้า?”

    “ขอรับ สถานที่ที่คุณชายลอยด์ใช้เวลาอยู่ในนั้นมากกว่าคฤหาสน์น่ะขอรับ”

    “ร้านเหล้าประจำของข้าคือที่นี่หรือ”

    “ขอรับ เว้นแต่คุณชายลอยด์จะแอบไปอุดหนุนร้านเหล้าร้านอื่นโดยที่ข้าไม่รู้น่ะขอรับ”

    “…”

    ให้ตายเถอะ ลอยด์เดาะลิ้นในใจ แค่ออกมาเดินเล่นอย่างไร้จุดหมาย แต่ปลายทางที่เดินมากลับเป็นร้านเหล้าเจ้าประจำเสียได้ ปกติแล้วเจ้าของร่างเข้าๆ ออกๆ ที่นี่บ่อยแค่ไหนกัน ขนาดถูกสลับวิญญาณแล้วตัวยังเดินมาถึงที่นี่เองได้อีก

    นี่ไม่ใช่สัญชาตญาณกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดสักหน่อย นายเป็นลูกหมาเรอะ หรือเป็นปลาแซลมอนในฤดูวางไข่ หรือเป็นแม่ทัพคิมยูชิน* กันแน่ฮะ

    เขาตำหนิบุตรชายคนโตของบารอนผู้เป็นเจ้าของร่าง ก่อนจะหันหลังกลับ

    จะมาดื่มเหล้าตั้งแต่กลางวันแสกๆ มันก็ยังไงอยู่นะ

    ลอยด์อาจจะสนุกกับมัน แต่สำหรับเขามันไม่น่าสนุกเลย แค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดมากมายอยู่แล้ว ยังจะมาดื่มเหล้าอีกหรือ เขาไม่คิดอยากทำอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

    “จะกลับเลยหรือขอรับ”

    “ก็ใช่น่ะสิ”

    เขาโต้ฮาเวียร์กลับไปทันที ทว่าคำตอบของฮาเวียร์กลับผิดไปจากที่เขาคาดไว้

    “เช่นนั้นก็น่าผิดหวังนะขอรับ”

    “…ว่าไงนะ”

    “อย่างที่เรียนให้ทราบ ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวคุณชายลอยด์ขอรับ”

    “นี่เจ้าคาดหวังให้ข้าจัดเหล้าชุดใหญ่ตั้งแต่กลางวันแสกๆ หรือไง”

    “ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ”

    “แล้วอะไรล่ะ”

    “ข้านึกว่าคุณชายลอยด์มาที่นี่เพื่อขอโทษและชดใช้ค่าเสียหายจากเหตุการณ์ที่ทำเอาไว้เมื่อคืน”

    “แต่พอข้าหันหลังกลับ เจ้าเลยผิดหวังสินะ”

    “ขอรับ ความรับผิดชอบตามบรรดาศักดิ์เป็นหน้าที่ของชนชั้นสูงนี่ขอรับ”

    “…”

    เจ้าหมอนี่ รู้สึกมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะว่าเป็นคนช่างแซะไม่ใช่เล่น แถมความเร็วในการแซะยังน่าจะทำสถิติหนึ่งร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกต่างหาก

    กล่าวคือฮาเวียร์มีความสามารถอันแปลกประหลาด คำแนะนำหรือคำตักเตือนที่ออกมาจากปากเขาด้วยความทุ่มเทล้วนทำให้เจ็บแสบไปถึงกระดูก

    “ร้านเหล้าแห่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าของร้านพากเพียรสร้างมาทั้งชีวิตนะขอรับ แม้สถานที่จะทรุดโทรมไปบ้าง แต่เมื่อคืนคุณชายลอยด์ได้ก่อเรื่องในสถานที่อันมีค่าเช่นนี้ ซ้ำยังทำลายเครื่องเรือนจนพังเสียหายอีก”

    “…”

    “และอย่างที่คุณชายลอยด์ทราบดี เขาต้องดูแลมารดาที่แก่ชราเพียงลำพังด้วยนะขอรับ”

    “ดูแลมารดางั้นหรือ”

    “ขอรับ ไม่นานมานี้สุขภาพของท่านก็มาแย่ลงไปอีก ทำให้เจ้าของร้านต้องเป็นกังวลมากขึ้นขอรับ”

    “หมายความว่าข้าไปรังแกคนที่น่าสงสารขนาดนั้นเชียวรึ”

    “ขอรับ”

    “…”

    มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อด้วยซ้ำ แต่คำพูดตามแบบฉบับคนช่างแซะของฮาเวียร์ยังคงลอยมาอย่างต่อเนื่อง

    “แท้จริงแล้วเมื่อคืนนี้เจ้าของร้านเขามาระบายกับข้าน่ะขอรับ ว่าแค่การที่มารดาของเขาต้องทุกข์ทนเพราะอากาศหนาวเย็นในช่วงปลายฤดูหนาวก็ทำให้เขากังวลใจมากพออยู่แล้ว ยังต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก มันทำให้เขาอยากตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยขอรับ”

    “…”

    “คุณชายลอยด์ไม่ควรละเลยเรื่องนี้นะขอรับ ตราบใดที่คุณชายยังเป็นผู้ปกครองแคว้นในอนาคต…”

    “เดี๋ยว พอแค่นี้ก่อน”

    ลอยด์พูดขัดฮาเวียร์ ถามว่าทนฟังต่อไปไม่ไหวหรือ ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอก แต่เป็นเพราะคำพูดของฮาเวียร์เมื่อครู่ทำให้เขามีคำถามผุดขึ้นมาในหัวต่างหาก

    “เจ้าบอกว่ามารดาของเจ้าของร้านเหล้าทุกข์ทรมานเพราะอากาศที่หนาวเย็นในช่วงปลายฤดูหนาวกระมัง”

    “ขอรับ”

    “งั้นแค่เผาฟืนก็ทำให้พื้นอุ่นขึ้นมาได้แล้วไม่ใช่หรือ”

    “ขอรับ?”

    “อย่าบอกนะว่าคนที่นี่…ไม่รู้จักระบบการทำความร้อนแบบคูดึล* น่ะ”

    “…”

    ไม่รู้สินะ ดูจากแววตาก็ชัดเลย ทันทีที่ตระหนักเรื่องนั้น ลอยด์ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

    จะว่าไป แม้แต่ในห้องนอนของผมที่คฤหาสน์ของบารอนก็ยังไม่มีคูดึลหรืออะไรแบบนั้นเลย

    เขาเป็นนักศึกษาวิศวกรรมโยธา การสังเกตโครงสร้างอาคารในทุกที่ที่ไปย่อมกลายเป็นความเคยชิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองโครงสร้างคฤหาสน์ของตระกูลบารอนออกอย่างรวดเร็ว ที่นั่นไม่มีระบบทำความร้อนอย่างคูดึลหรืออนดล* ก็จริง แต่เหมือนจะมีเตาผิงติดผนังอยู่มุมหนึ่งของห้องนอน ถ้าอย่างนั้นในบ้านของเจ้าของร้านเหล้าก็คงคล้ายๆ กัน…ไม่สิ ในบ้านทั้งหลังคงมีเพียงเตาในครัวที่ช่วยทำความร้อน ต่างจากบ้านของชนชั้นสูงที่มีเตาผิงติดผนังทุกห้อง

    แบบนั้นก็ต้องหนาวอยู่แล้วสิ เพราะถ้าเทียบกับคูดึลหรืออนดล โครงสร้างของเตาผิงสูญเสียความร้อนได้ง่ายกว่าหลายเท่า

    แต่ก็ใช่ว่าอนดลจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะถ้าจะทำให้ระบบทำความร้อนแบบอนดลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เขาคงต้องเปลี่ยนหรือสร้างพื้นของอาคารใหม่ทั้งหมด ต้องเสริมประสิทธิภาพฉนวนกันความร้อนของอาคารทั้งหลัง ไหนจะต้องรับมือกับการสิ้นเปลืองฟืนอย่างหนักอีก แต่ข้อเสียทั้งหมด…

    ล้วนจัดการได้ ไม่สิ บางทีเราน่าจะใช้ประโยชน์จากมันได้ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผมต้องทำได้อยู่แล้ว

    ถ้าอาศัยความรู้จากวิชาเอกล่ะก็ ท่ามกลางความเป็นจริงอันมืดมิดไร้หนทางที่จะชำระหนี้ก้อนโตได้เช่นนี้ เขาคิดแผนการที่จะระดมเงินจำนวนมหาศาลขึ้นมาได้แล้ว

    พอมองเห็นหนทาง ภาพอันยิ่งใหญ่ก็ถูกวาดขึ้น

    วิธีนี้แหละ มันจะไม่จบแค่บ้านเจ้าของร้านเหล้า แต่จะต้องยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วยธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่ เรื่องนี้ย่อมมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว

    เขาเกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า และเพื่อทำให้ภาพอันยิ่งใหญ่ในหัวเป็นจริง เขาจึงรีบตรงเข้าไปในร้านเหล้าทันที

    * พยอง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของเกาหลี 1 พยอง เท่ากับประมาณ 3.3 ตารางเมตร

    * แคมเปญบริจาคทองคำ เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินเอเชีย (ปี 1997-1998) ในช่วงเวลานั้นประเทศเกาหลีใต้ต้องทำงานกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เพื่อนำเงินมากอบกู้เศรษฐกิจ ภายหลังจากนั้นรัฐบาลได้ออกแคมเปญบริจาคทองคำขึ้นเพื่อให้ประชาชนช่วยกันใช้หนี้สาธารณะนี้

    ** เดคัลโคมานี คือรูปลอกหรือภาพทาบสี เป็นเทคนิคทางศิลปะการลอกหรืออัดภาพจากกระดาษลงบนผิววัตถุเกลี้ยง เช่น แก้ว กระเบื้อง หรือไม้

    * เยสแมน (Yes Man) คือคนที่เห็นด้วยหรือยอมรับคำขอจากผู้อื่นตลอด แม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองลำบากก็ตาม

    * แฟ็กต์ (Fact) หมายถึงข้อเท็จจริง

    * คิมยูชิน เป็นแม่ทัพยอดฝีมือของอาณาจักรชิลลา มีบทบาทสำคัญในการรวมแผ่นดินเกาหลี และเป็นผู้จงรักภักดีต่ออาณาจักรจนวาระสุดท้าย

    *คูดึล เป็นวิธีทำความร้อนแบบดั้งเดิมของเกาหลี โดยจะจุดไฟใต้ถุนบ้านและใช้หินเป็นตัวนำความร้อนเพื่อทำให้พื้นห้องอุ่นขึ้น

    * อ่านว่า อน-ดล คือวิธีการทำความร้อนแบบดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันของเกาหลีที่ทำให้ทั่วพื้นห้องอบอุ่นขึ้นด้วยการสุมไฟที่ใต้ถุนบ้าน

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook