• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน นาโนมาชิน ภาค มารสวรรค์ข้ามเวลา เล่ม 1 ครั้งที่ 3

    บทที่ 3

    เวลาสิบสองชั่วโมง (1)

     

    PM 09 : 03

    ความเงียบไหลเวียนไปทั่วห้องสังเกตการณ์ข้างห้องสอบสวน ทุกคนไม่ว่าจะตำแหน่งไหนต่างมองกระจกพิเศษนั้นด้วยดวงตาสั่นไหวและไม่อาจละสายตา โฮอิลกยองตกใจมาก เขาพูดกับซงวีกังที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่หันหน้าไปมอง

    “ผู้บังคับการซง กระจกนี่มองไม่เห็นจริงๆ ใช่ไหม”

    “จะ…จะเห็นได้ยังไงครับ นอกจากจะมีกล้องรังสีทรรศน์…”

    ถ้าต้องการมองทะลุผ่านกระจกพิเศษของห้องสอบสวนที่เป็นกระจกเคลือบอย่างดีก็ต้องใช้กล้องรังสีทรรศน์ที่ใช้ในหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหรือในกองทัพจึงจะมองเห็น แต่ดูเหมือนชอนยออุนจะมองทะลุกระจกได้เอง

    “ถ้ามองไม่เห็น เจ้านั่นจะจ้องฉันถูกได้ยังไง!”

    โฮอิลกยองเต้นเร่า เมื่อซงวีกังตอบไม่ได้ ตำรวจหญิงผมสั้นที่ตั้งท่าจะไปห้องสอบสวนก็เอ่ยปากขึ้น

    “ท่านรองคะ บางทีเขาอาจจะแค่แสร้งทำเพื่อให้เราหวาดหวั่นก็ได้นะคะ”

    “แสร้งทำเหรอ”

    “เดี๋ยวนี้เรื่องราวในห้องสอบสวนมีให้เห็นในหนังในละครเยอะแยะไปค่ะ คนคงรู้กันหมดแล้วว่าหลังกระจกมีคนอยู่”

    คำพูดและท่าทีสงบของเธอทำให้โฮอิลกยองส่ายหน้าอย่างผิดหวัง มันไม่ใช่การแสร้งทำแน่นอน เพราะชายผู้นี้จับจ้องมายังเขาที่อยู่หลังกระจกได้อย่างแม่นยำและยังบอกด้วยว่าตัวเขามีตำแหน่งสูง

    เจ้านั่นเป็นจอมยุทธ์ จะมองในมุมมองของคนธรรมดาไม่ได้

    แม้เมื่อครู่จะตกใจมาก แต่โฮอิลกยองก็พยายามสงบจิตใจตัวเอง กว่าจะขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้ได้ เขาไม่ได้คอยแต่เอาใจคนระดับสูงที่ทำตัวน่าปวดหัวเท่านั้น โฮอิลกยองจึงลองเห็นด้วยกับคำพูดของตำรวจหญิง

    บางทีเจ้านั่นอาจจะทำแบบนั้นเพื่อให้เราหวาดหวั่น

    ฉะนั้นต้องไม่หวั่นไหว ถ้าตกหลุมพรางของคนร้าย การสอบสวนก็จะยิ่งยาก ถึงจะมองผ่านกระจกพิเศษเข้ามาได้ แต่การกันกระสุนและเก็บเสียงน่าจะไม่มีปัญหา โฮอิลกยองกดปุ่มข้างกระจกแล้วพูดผ่านไมค์อย่างสุขุม

    “เห็นทางนี้เหรอ”

    แม้จะแน่ใจ แต่ก็ต้องยืนยัน

    [แล้วใครบอกว่ามองไม่เห็น]

    !!!

    เสียงของชอนยออุนที่ดังผ่านลำโพงทำให้โฮอิลกยองขมวดคิ้ว ชายผู้นี้มองเห็นพวกเราผ่านกระจกได้จริงๆ ทั้งยังพูดด้วยท่าทีสงบนิ่งราวกับไม่สนใจว่าใครอยู่ในห้องสังเกตการณ์บ้าง

    อวดดีนัก

    ไม่รู้ทำไมท่าทีเช่นนั้นถึงได้ดูน่าหงุดหงิดนัก แต่โฮอิลกยองยังคงรักษาท่าทีสงบเอาไว้และกดปุ่มพูดอีกครั้ง

    “ปล่อยหมอก่อน”

    โฮอิลกยองร้องขอให้ปล่อยหมอโชเซจงแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาล เพราะการโดนจับข้อมืออยู่อย่างนั้นทำให้เขาดูไม่ต่างจากตัวประกันสักเท่าไร

    อึก ดะ…ได้โปรด!

    หมอโชเซจงนึกอ้อนวอนชอนยออุนอยู่ในใจด้วยความกลัว แล้วโฮอิลกยองก็พูดต่อด้วยท่าทีสงบ

    “ถ้ายอมปล่อยหมอแต่โดยดี โทษจะไม่หนักนะ”

    เขาพยายามเจรจา

    “ผมคือรองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาล สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้”

    รองผู้บัญชาการรึ

    “ที่นี่มีเพียงท่านผู้บัญชาการคนเดียวที่สูงกว่าผม แค่นี้พอจะยอมเชื่อผมได้ไหม”

    อืม

    แน่นอนว่านั่นเป็นคำโกหกเพื่อให้การเจรจาลุล่วง เพราะภายในหัวเขาเต็มไปด้วยโทษหนัก

    ฉันต้องจัดการแกให้อยู่หมัด

    เนื่องจากในห้องสอบสวนและห้องสังเกตการณ์มีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพอยู่ อีกทั้งยังมีลูกน้องจ้องมองอยู่ด้วย เขาจึงต้องแสดงการเจรจาให้ปล่อยตัวประกันอย่างดีที่สุด

    “เจรจากับคนร้ายแบบนั้น…”

    “เดี๋ยวฉันรับผิดชอบเอง”

    “ท่านรอง…”

    เหล่าตำรวจที่ไม่รู้เรื่องต่างพากันคิดว่าเขากำลังพยายามช่วยชีวิตหมอโชเซจงอยู่ แต่โฮอิลกยองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฉาก

    หึ คิดว่าคนอย่างฉันจะเจรจากับคนร้ายงั้นเหรอ

    ดวงตาของโฮอิลกยองจ้องมองไปที่ไหนสักแห่ง มันคือมืออีกข้างหนึ่งของหมอโชเซจงที่กำลังส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ในมือที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าครึ่งหนึ่งกำลังกำเข็มยาสลบอยู่ เมื่อได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ประจำสำนักงานตำรวจสันติบาล เขาจึงไม่อาจเข้ามาในห้องสอบสวนโดยไม่มีการเตรียมตัวเผื่อไว้

    ฉันมีหน้าที่แค่ดึงความสนใจเท่านั้น

    มุมปากของโฮอิลกยองยกยิ้ม สิ่งที่เขาต้องทำคือดึงความสนใจจากชอนยออุนไม่ให้รู้ตัว

    แกรก!

    โฮอิลกยองกดไมค์พูดอีกครั้ง

    “ไม่ต้องตรวจเลือดก็ได้ แต่ช่วยปล่อยตัวประกัน…”

    กร๊อบ!

    [อ๊าก!]

    เสียงร้องของหมอโชเซจงดังผ่านลำโพงห้องสังเกตการณ์ก่อนโฮอิลกยองจะพูดจบ จากนั้นเขาก็ลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับข้อมือที่ถูกหัก

    “ไอ้บ้านั่นทำอะไรน่ะ!”

    สถานการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นก่อนหมอโชเซจงจะเอาเข็มยาสลบปักชอนยออุนเสียอีก จากนั้นชอนยออุนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

    [โง่เง่าเสียจริง คิดว่าข้ามองไม่เห็นภาพสะท้อนบนกระจกรึ]

    โธ่เว้ย…

    ถึงตอนนี้โฮอิลกยองก็ได้แต่อึ้ง ท่าทีของชอนยออุนที่ดูเหมือนมองทะลุกระจกพิเศษได้ทำให้เขาลืมไปว่าหากมองจากห้องสอบสวนจะเห็นเป็นกระจกเงา

    อึก!

    หากเขาคำนึงถึงเรื่องนั้นก็คงห้ามหมอโชเซจงไปแล้ว ขณะโฮอิลกยองกำลังอึ้งในข้อผิดพลาดของตัวเองอยู่นั้น ชอนยออุนก็พูดออกมา

    [เหตุใดข้าต้องจับคนเช่นนี้เป็นตัวประกันด้วย]

    “อะไรนะ”

    [อย่าคิดทำอะไรเหลวไหล แล้วอย่าเข้าใจผิดคิดว่าข้ายอมมาที่นี่แต่โดยดีเพราะกลัวพวกเจ้า]

    คำเตือนของชอนยออุนทำเอาโฮอิลกยองกำหมัดทุบกระจก

    ปัง!

    “ไอ้…บ้านี่!”

    เขาถึงกับสบถคำด่าออกมาและลืมการสร้างภาพไปเสียสนิท ส่วนซงวีกังและตำรวจสองนายต่างพากันเกรงใจเจ้านายจนพูดอะไรไม่ได้

    กล้าดียังไงถึงข่มขู่รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาลอย่างฉัน ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

    นั่นไม่ใช่ท่าทีของคนถูกกักตัวอยู่ในห้องสอบสวน แม้จะต้องรักษาภาพลักษณ์ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจสะกดนิสัยเดิมเอาไว้ได้ แต่หลังทุบกระจกแล้วยืนตัวสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบเรื่องแปลกบางอย่าง

    เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ฉันกดปุ่มปิดไมค์รึยังนะ

    เรื่องไม่คาดคิดเมื่อครู่ทำให้เขามัวแต่หัวเสียและลืมตัว จนด่าออกไปทั้งที่ยังไม่ได้ปิดไมค์ โฮอิลกยองถามซงวีกังที่อยู่ด้านหลัง

    “เมื่อกี้ฉันกดปิดไมค์หรือยังนะ”

    “เอ่อ…”

    แค่ดูจากอาการตกใจหลังจากถามไปก็รู้ได้ทันที ตอนหมอโชเซจงถูกหักข้อมือ เขาละมือออกจากปุ่มไมค์แล้ว

    ละ…แล้วมัน?

    ห้องสังเกตการณ์นั้นเก็บเสียงได้ แม้จะส่งเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีทางเล็ดลอดเข้าไปในห้องสอบสวน แต่ตอนนี้ชอนยออุนได้ยินเสียงเขาผ่านไมค์แล้ว โฮอิลกยองจ้องมองชอนยออุนผ่านกระจกพิเศษ

    “กะ…แก…เป็นใครกันแน่”

    ชอนยออุนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

    [ข้าไม่จำเป็นต้องบอกให้เจ้ารู้ ระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ อย่ามากวนใจข้าอีก ข้าขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย]

    “หึ!”

    โฮอิลกยองส่งเสียงออกจมูกด้วยความอึ้ง เพราะชอนยออุนพูดเหมือนกับว่าอีกไม่นานจะได้ออกจากห้องสอบสวนทั้งที่ยังไม่เห็นวี่แววว่าใครจะมาช่วยเลย โฮอิลกยองพยายามสะกดความโกรธเอาไว้จนตัวสั่น เขาเอ่ยถามซงวีกังโดยไม่หันไปมอง

    “ห้องสอบสวนสี่กับห้าเป็นห้องพิเศษสำหรับคนมีฝีมือใช่ไหม”

    “ชะ…ใช่แล้วครับ พอดีเห็นว่าเป็นจอมยุทธ์ก็เลย…”

    “ช่างเถอะ”

    เขาถามเพื่อยืนยันข้อมูล ห้องสอบสวนที่ชอนยออุนอยู่เป็นห้องสำหรับผู้มีฝีมือพิเศษ เพราะบางครั้งก็มีพวกที่เชื่อในพลังหรือความสามารถของตัวเองอย่างเช่นจอมยุทธ์ก่อเรื่องขึ้นมาจึงต้องมีห้องสอบสวนที่สร้างจากโลหะผสมเอาไว้ด้วย กระจกพิเศษที่อยู่ตรงหน้าก็กันกระสุนได้แม้จะถูกยิงปืนกลใส่อย่างต่อเนื่องสิบห้านาที

    แกรก!

    โฮอิลกยองเปิดกล่องอุปกรณ์ที่อยู่ข้างไมค์ ข้างในมีปุ่มกดอยู่สองปุ่ม หากกดปุ่มสีเขียวด้านซ้ายแก๊สยาสลบผสมยาระงับประสาทจะถูกปล่อยออกมา หากกดปุ่มสีแดงด้านขวาแก๊สน้ำตาอย่างแรงจะถูกพ่นออกมา มันเป็นอุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อระงับเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นขณะการสอบสวน

    “เฮ้อ”

    โฮอิลกยองถอนใจยาวก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาจ้องมองไปอีกฟากหนึ่งของกระจกพลางสัมผัสปุ่มเหล่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายได้ยินอยู่แล้ว เขาจึงไม่ต้องกดปุ่มไมค์อีก

    “ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกจะมีใครอยู่เบื้องหลัง”

    […]

    “แต่ฉันเป็นตำรวจสันติบาลมายี่สิบสี่ปี เคยเห็นคนที่เชื่อในพลังความสามารถของตัวเองแล้วมาทำท่าหยิ่งผยองแบบนี้หลายสิบ…ไม่สิ หลายร้อยคนแล้ว”

    แม้จะพูดด้วยท่าทางสงบ แต่น้ำเสียงของเขากลับสั่น มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ นิ้วชี้ขวาของเขาเลื่อนไปยังปุ่มสีแดง ซงวีกังเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลำบากใจ

    “ทะ…ท่านรอง หมอโชยังอยู่ในห้องสอบสวนนะครับ”

    “อยู่เฉยๆ!”

    เขายกมือเป็นเชิงบอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ ขณะจ้องมองชอนยออุนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกระจก

    “อย่ายุ่งกับแกก่อนที่แกจะได้ออกไปงั้นเหรอ หึ! ท่าจะบ้าไปแล้ว ฉันขอเอาตำแหน่งรองผู้บัญชาการเป็นประกันเลยว่าแกไม่มีทางได้ออกจากห้องสอบสวนนี้แน่ ถ้าได้ออกจะต้องออกไปในฐานะคนร้ายคดีพิเศษ ซึ่งต้องไปกินข้าวแดงในคุกหลายสิบปี…”

    ปัง!

    ชอนยออุนใช้ฝ่ามือตีกระจกพิเศษบานนั้น เขาแค่ใช้ฝ่ามือ แต่บานกระจกกลับสั่นไหวราวกับโดนกำปั้นหนักๆ กระนั้นก็ไม่เกิดรอยร้าวใดๆ แม้จะตกใจ แต่พอเห็นว่ากระจกยังอยู่ดี โฮอิลกยองก็พูดเย้ยหยัน

    “ฮ่าๆ! ไม่รู้เหรอว่านี่คือกระจกกันกระสุน แค่ฝ่ามือมันจะ…”

    เปรี๊ยะ!

    !?

    แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ กระจกพิเศษก็เริ่มร้าวโดยเริ่มจากจุดที่ถูกฝ่ามือของชอนยออุนตีทั้งที่เขาไม่ได้ยกมือตีกระจกอีกรอบด้วยซ้ำ

    ครืน

    กระจกพิเศษสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหวโดยมีฝ่ามือของชอนยออุนเป็นศูนย์กลาง การสั่นไหวนั้นแรงขึ้นจนดูน่ากลัว

    บะ…บ้าไปแล้ว!

    โฮอิลกยองตกใจจนเกือบกดปุ่มสีแดงปล่อยแก๊สน้ำตา แต่ตอนนั้นเอง

    เพล้ง!

    “เฮ้ย!”

    “อ๊าก!”

    กระจกพิเศษแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะพังทลายลงไปทางห้องสังเกตการณ์ คลื่นเศษกระจกทำให้คนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์ ไล่ตั้งแต่รองผู้บัญชาการโฮอิลกยอง ผู้บังคับการซงวีกัง และตำรวจอีกสองนายต้องกระโดดหนีไปด้านหลัง

    โครม!!

    “แค่กๆ!”

    “โอ๊ย…”

    โชคดีที่เศษกระจกแตกเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่เช่นนั้นคงพวกเขาถูกเศษกระจกแหลมแทงไปทั่วร่าง แต่การกระโดดหลบก็ทำให้ร่างไปชนผนังจนล้มลง แรงปะทะที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาได้แต่กระแอมไออย่างไร้สติ

    ตึก!

    หูของโฮอิลกยองได้ยินเสียงฝีเท้า แม้จะยังตั้งสติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกถึงอันตรายจึงพยายามดึงปืนจากซองตรงอก ทว่าตัวเขากลับลอยละลิ่วออกไป

    “เฮ้ย!”

    ปัง!

    “อึก!”

    ร่างของเขาก็ถูกตรึงในสภาพแผ่หลาอยู่บนผนังห้องสังเกตการณ์ แม้จะพยายามขยับตัวที่กำลังถูกตรึงไว้ด้วยพลังบางอย่าง แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย ถึงมีปืนคาดอยู่ที่อกก็ไร้ประโยชน์

    “ท่านรอง!”

    “แค่ก!”

    ตำรวจร่างใหญ่กระแอมไอพลางหยิบปืน ตำรวจหญิงผมสั้นพยุงตัวลุกขึ้นและดึงปืนออกจากซองตรงเอว ทว่า…

    กริ๊ก!

    “อ๊ะ!”

    “ปะ…ปืน!”

    ปืนสองกระบอกที่อยู่ในมือพวกเขาลอยเข้าไปอยู่ในมือคนผู้หนึ่ง เขาคือชอนยออุนที่ก้าวข้ามมายังห้องสังเกตการณ์นั่นเอง เขากำปืนที่แย่งมาไว้ในสองมือก่อนจะบดขยี้มัน

    กร๊อบแกร๊บ!

    ปืนสองกระบอกงอพับยับย่นราวกับเป็นปืนพลาสติก สภาพยามตกลงบนพื้นไม่ต่างอะไรจากเศษเหล็ก

    เป็น…ไปได้ยังไง…

    ภาพน่าเหลือเชื่อทำให้ซงวีกังพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่อ้าปากค้างอย่างสติหลุดลอย พลังไม่รู้ที่มานั้นทำเอาตำรวจหญิงหวาดหวั่นจนทรุดนั่งลงกับพื้น แต่ตำรวจหนุ่มอีกนายมองเห็นแล้วว่าสถานการณ์กำลังแย่จึงคิดทำอะไรบางอย่างด้วยการวิ่งเข้าหาชอนยออุน

    “แก!”

    ขวับ!

    ชอนยออุนขยับนิ้วเบาๆ ไปทางตำรวจนายนั้น

    ฟิ้ว!

    “เฮ้ย!”

    โครม!

    ตำรวจหนุ่มร่างใหญ่ปลิวไปกระแทกผนังอย่างแรงราวเศษทิชชูบางเบา ศีรษะเขาถูกกระแทกจนเลือดไหลออกมาและหมดสติไป

    มะ…มัน…เป็นใคร…กันแน่

    ความกลัวเข้าครอบงำโฮอิลกยองที่ถูกตรึงอยู่บนผนัง ตลอดชีวิตตำรวจสันติบาล เขาพบเห็นจอมยุทธ์มามาก แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเป็นอาชญากรที่ก่อคดีต่างๆ แต่คนพวกนั้นไม่อาจเทียบชายผู้นี้ได้เลย

    ตึก! ตึก!

    ชอนยออุนเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ แค่เดินเข้ามาแรงกดดันก็บีบรัดหัวใจโฮอิลกยองอย่างหนัก

    ได้โปรด! ได้โปรด!

    เขาควรจะพูดอะไรออกมา แต่ทำได้เพียงขยับปากโดยไม่เสียงใดๆ

    ซ่า!

    ขากางเกงสแล็กส์เปียกอุ่น พอเห็นสภาพนั้นชอนยออุนก็หัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ

    “ข้าเตือนแล้วนะ”

    เขาเอ่ยถึงคำเตือนอีกครั้งแล้วทอดสายตามองโฮอิลกยองที่ได้แต่ขยับปากโดยไร้เสียงใดๆ จากนั้นก็ยกมือลูบคางและยกริมฝีปากยิ้มก่อนพูดว่า

    “ตัวประกันงั้นรึ…ใช่แล้ว ต้องอย่างนี้สิ”

    !!!

    สองตาของโฮอิลกยองเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา


    บทที่ 3

    เวลาสิบสองชั่วโมง (2)

     

    PM 11 : 45

    “แฮก…แฮก…”

    ในห้องสอบสวนสี่ซึ่งเงียบลงไปแล้วนั้นมีเสียงใครคนหนึ่งพ่นลมหายใจออกมา เขาคือรองผู้บัญชาการโฮอิลกยองแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยางที่ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางอึดอัด สองแขนถูกปล่อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ไหล่หลุดจนห้อยลงไปข้างล่าง

    หึ ไอ้บ้าเอ๊ย ถึงกับถอดกระดูกฉันเลยรึ

    โฮอิลกยองนึกด่าอยู่ในใจ ดูเหมือนกระดูกไหล่จะหลุดอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วกระดูกข้อศอกของเขาก็หลุดด้วย แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บใช่เล่น

    ทำไมคนเป็นถึงรองผู้บัญชาการอย่างฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วยนะ

    ฝั่งตรงข้ามเขา ชอนยออุนกำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าดูสงบนิ่งราวกับนั่งสมาธิ

    ไอ้เวร คิดว่าจับฉันเป็นตัวประกันแล้วไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วหรือไง

    ใช่แล้ว เขาคือตัวประกันของชอนยออุน ผู้ที่เป็นถึงรองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาลอย่างเขาถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ในห้องสอบสวนของสำนักงานตำรวจสันติบาลและไม่อาจกระดุกกระดิกตัวทำอะไรได้เลย

    บ้าเอ๊ย!

    เขาพลาดที่เปิดเผยตำแหน่งของตนเองไปตอนแรกจึงกลายเป็นตัวประกันที่เหมาะเหม็ง ทำให้ชอนยออุนจับเขาเป็นตัวประกันเพียงคนเดียว แล้วไล่ผู้บังคับการซงวีกังและตำรวจสองนายออกจากห้องสังเกตการณ์พร้อมเตือนว่าอย่ามาทำให้ตนรำคาญอีก

    เมื่อกระจกพิเศษแตกไปแล้ว ห้องสอบสวนกับห้องสังเกตการณ์จึงไม่ต่างจากห้องเดียวกัน

    ทำอะไรกันอยู่นะ

    โฮอิลกยองจ้องไปที่กล้องวงจรปิดบนเพดาน เมื่อห้องสังเกตการณ์ไม่อาจทำหน้าที่ของมันได้ จุดเดียวที่จะมองเห็นสถานการณ์ภายในห้องสอบสวนได้ก็คือห้องควบคุมกล้องวงจรปิด

    ควรจะทำอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ แล้วไอ้พวกที่บอกว่ากำลังมา ทำไมถึงเงียบไปหมด

    เขานึกเดือดดาลในใจ ซงวีกังบอกเอาไว้ว่าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าเสร็จภารกิจแล้วและกำลังเดินทางกลับมา ถ้าเดินทางจากพื้นที่นอกกำแพงป้องกันภัยฝั่งเหนือ ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีก็น่าจะถึง แต่ตอนนี้กลับไม่มีข่าวใดๆ กระดูกที่หลุดออกจากเบ้าทำให้เขาเจ็บปวดมาก ซ้ำยังต้องคอยสังเกตท่าทีของชอนยออุนอีก ทำให้ตอนนี้เขาทรมานเหลือเกิน

    หึ อย่าให้ฉันออกไปได้นะ ฉันจะส่งไอ้ผู้บังคับการซงนั่นไปเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจย่อยแถวชานเมืองใกล้เกต

    เขานึกโทษซงวีกังที่เรียกเขากลับมาทั้งที่เลิกงานไปแล้ว และแอบมองชอนยออุนด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวระหว่างรอความช่วยเหลือ

    ดึกแบบนี้ อย่าบอกนะว่าหลับอยู่

    ชอนยออุนไม่ขยับเลย เมื่อเห็นดังนั้นโฮอิลกยองก็ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้

    ฟึ่บ!

    “ก้าวเท้าแค่ก้าวเดียว ข้าจะหักกระดูกให้เดินไม่ได้”

    เฮ้ย!

    หัวใจเขาตกลงไปอยู่ตาตุ่มทันที แค่ลุกขึ้นนิดเดียวกลับมีคำเตือนถูกเอ่ยออกมาทั้งที่ตายังไม่ลืม

    ผลุบ!

    โฮอิลกยองรีบนั่งลงอย่างเรียบร้อยราวกับกุลสตรี แม้จะหลับตาอยู่ แต่ชอนยออุนกลับรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ

    “หากรู้เช่นนี้หักขาตั้งแต่แรกเสียก็ดี”

    เมื่อชอนยออุนพึมพำออกมาราวกับรำคาญ โฮอิลกยองก็เลิกฝันถึงการแอบหนีและลอบบ่นอยู่ในใจ

    ไอ้บ้านี่ไม่ได้หลับ แค่หลับตาหรอกเหรอ จะบ้าตายอยู่แล้ว

    เหตุผลที่ชอนยออุนต้องทำสมาธิก็เพื่อจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับเข้ามาในหัว

    ช่างเป็นโลกที่น่าตกใจและน่าอัศจรรย์เหลือเกิน

    โลกแห่งอนาคตที่พึ่งพาไฟฟ้าแห่งนี้สร้างความประหลาดใจแก่ชอนยออุนอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่นั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือแม้แต่โครงสร้างทางสังคมก็ยังแตกต่างจากโลกที่เขารู้จักลิบลับ

    โลกที่ไร้ราชสำนักงั้นรึ…

    นี่คือสิ่งที่ชอนยออุนตกใจที่สุด เพราะในยุคที่เขาอยู่นั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่าจักรพรรดิเป็นผู้ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาด แต่ในโลกอนาคตแห่งนี้กลับไม่มี แม้จะยังมีประเทศที่มีราชสำนักอยู่ แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ทำให้ชอนยออุนผู้สุขุมอดตกใจไม่ได้

    นี่คือการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยงั้นหรือ

    แค่นาโนก็มีเทคโนโลยีต่างๆ มากมายอยู่ในนั้น และสาเหตุที่ชอนยออุนยังนิ่งอยู่ได้ก็เพราะมีนาโนที่เหนือกว่าเทคโนโลยีในยุคนี้

    แต่นาโน ข้อมูลที่ส่งมาให้ข้าเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเท่านั้นรึ

    [หลังจากเข้ามาในตึกของสำนักงานตำรวจสันติบาล การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สายถูกขัดขวางจึงเรียบเรียงข้อมูลได้เท่านี้]

    นาโนได้รวบรวมข้อมูลเหล่านั้นมาจากอินเตอร์เน็ต ทว่าข้อมูลในโลกยุคปัจจุบันมีมาก แต่นาโนมีเวลาน้อยจึงสามารถส่งมอบได้เพียงส่วนหนึ่ง

    ภายในสำนักงานตำรวจสันติบาลเต็มไปด้วยความลับจึงไม่มีการใช้อินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย อีกทั้งระหว่างนั่งรถบัสของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วมาที่นี่ คลื่นรบกวนสัญญาณสื่อสารก็ถูกปล่อยออกมาอยู่ตลอดจึงไม่มีเวลาให้รวบรวมข้อมูลนัก มีช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ระหว่างลงจากรถบัสเข้าไปในตึกสำนักงานเท่านั้น

    ชอนยออุนร้องขอนาโนผ่านทางสมองให้รวบรวมข้อมูลมาให้อีก

    นาโน ข้ามีเรื่องอยากถามตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ยุคที่เจ้าถูกสร้างขึ้นมันนับจากนี้ไปอีกหลายร้อยปี ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็น่าจะมีข้อมูลอยู่แล้วโดยไม่ต้องรวบรวมข้อมูลจากที่นี่เพิ่มก็ได้ ไม่ใช่รึ

    นี่คือข้อสงสัยของเขา เขาคิดว่านาโนไม่จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลมากมาย หากเป็นเขาคนเดิมก็คงไม่ถามอะไรเช่นนี้ แต่พอได้รับข้อมูลของยุคนี้ และได้รู้ข้อมูลของอินเตอร์เน็ตหรือสิ่งที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์แล้ว เขาก็นึกสงสัยขึ้นมา

    [มีส่วนที่ต่างจากข้อมูลในบันทึก]

    อะไรนะ

    [ข้อมูลเกี่ยวกับสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีมีจุดแตกต่างจากข้อมูลที่บันทึกเอาไว้บางส่วนจึงต้องใช้เวลาคัดแยก]

    ชอนยออุนไม่เข้าใจคำพูดของนาโนเลย เหมือนนาโนกำลังบอกว่ายุคนี้แตกต่างจากโลกอนาคตที่นาโนรู้จัก ชอนยออุนจึงทำหน้ามุ่ยทั้งที่ยังคงหลับตา

    มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร

    แล้วนาโนก็ตอบในสิ่งที่น่าจะถูกต้องที่สุด

    [เป็นไปได้มากว่าจะเป็นแกนเวลาอื่น]

    แกนเวลาอื่นรึ อา…!

    คำพูดนั้นทำให้ชอนยออุนนึกถึงคำพูดของชอนมูซอง ทายาทของเขาอธิบายว่าการที่ตัวเขาไม่หายไปแม้อดีตจะเปลี่ยนไปนั้นข้องเกี่ยวกับแกนเวลา เมื่อเกิดพฤติกรรมหรือเหตุการณ์แตกต่างกัน มิติของอวกาศจะถูกแบ่งและแกนเวลาก็จะเปลี่ยนแปลงไป

    เช่นนั้นโลกนี้ก็เหมือนเป็นคนละโลกเลยน่ะสิ

    ข้อมูลเกี่ยวกับยุคนี้ที่นาโนมีอยู่เท่ากับไร้ความหมาย ถ้าเทียบเป็นตัวเลขแล้วก็เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์เลยทีเดียว

    แล้วจะกลับไปโลกเดิมได้อย่างไร

    เขามีเหตุผลให้ต้องกลับไป ทั้งพรรคมารที่เขาเป็นประมุขอยู่และมุนคยูกับลูกที่ยังไม่เกิด ทุกอย่างในโลกอดีตทำให้เขาไม่อาจหลงทางอยู่ในยุคนี้ได้นาน เขาเอ่ยถามนาโนอย่างกลุ้มใจ

    นาโน เครื่องที่ช่วยให้เคลื่อนย้ายผ่านกาลเวลาได้…เอ๊ะ?

    ระหว่างถามนาโน ชอนยออุนกลับชะงัก เขาลืมตาขึ้นแล้วจ้องมองขึ้นไปบนเพดาน

    หือ? เป็นอะไรของมันน่ะ

    ท่าทางอันไร้สาเหตุนั่นทำให้โฮอิลกยองที่ลอบสังเกตอยู่นึกสงสัย

    ชั้นสองของตึกสำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยาง

    บรรยากาศภายในหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงที่อยู่ชั้นสองดูแย่มาก แม้จะเรียกหน่วยที่สามรวมทั้งตำรวจหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงที่เข้าเวรอยู่ทั้งหมดมารวมตัวกันก็ยังหาทางออกไม่ได้

    ตอนนี้รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาลถูกจับเป็นตัวประกัน พอตำรวจหญิงผมสั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำเดินเข้าห้องมา ผู้บังคับการหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงก็ขมวดคิ้วถาม

    “ที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

    “ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยค่ะ ท่านรองก็ยังปลอดภัยดี”

    ที่แท้ตำรวจหญิงก็ไปเช็กห้องควบคุมกล้องวงจรปิดมาว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่

    ปัง!

    ผู้บังคับการซงวีกังกำหมัดแล้วทุบโต๊ะ

    “ปลอดภัยงั้นเหรอ สภาพอย่างนั้นเรียกว่าปลอดภัยได้ยังไง”

    เขาเห็นกับตาว่าท่านรองถูกดูแคลนขนาดไหน ทั้งกรีดร้องเพราะถูกถอดกระดูกไหล่และข้อศอก แถมยังปัสสาวะราดอีกด้วย

    “แต่ว่า…ดูไม่มีท่าทีว่าจะทำอันตรายอื่นเลยนะคะ”

    ตำรวจหญิงตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ ซงวีกังไม่กล้าสบตากับเธอ เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวในห้องสังเกตการณ์ที่ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ ที่เขาไม่ตำหนิเธอก็เพราะกลัวว่าตำรวจนายอื่นจะรู้ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย

    “โธ่เว้ย! แล้วหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าล่ะ”

    ซงวีกังถามตำรวจนายอื่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ตำรวจผู้รับหน้าที่เฝ้าวิทยุไร้สายจึงค่อยๆ เอ่ยปาก

    “ตั้งแต่ปิดวิทยุไปเมื่อชั่วโมงก่อนก็ไม่ติดต่ออะไรมาอีกเลยครับ”

    “เฮ้อ…”

    ซงวีกังถอนใจยาว หากเป็นไปตามแผน หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าควรมาถึงสำนักงานตำรวจสันติบาลแล้ว แต่พวกเขากลับประสบปัญหาไม่คาดฝัน พวกจอมยุทธ์ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ถูกจับอยู่ในรถบัสโจมตี ส่งผลให้พวกที่อยู่ตรงนี้ไม่อาจลงมือทำอะไรได้และเดินวนไปเวียนมาเท่านั้น ซงวีกังยิ่งว้าวุ่นใจ

    อีกไม่นานจะมีการพิจารณาความดีความชอบแล้ว

    ใครจะไปคิดว่าจะโดนบททดสอบหนักหนาขนาดนี้ รองผู้บัญชาการถูกจับไปเป็นตัวประกันต่อหน้าต่อตา ถ้าไม่รีบจัดการมีหวังถูกลดตำแหน่งแน่

    “โธ่เว้ย ทำไมเราต้องมาตกที่นั่งลำบากเพราะไอ้คนเถื่อนนั่นด้วย แบบนี้เท่ากับว่าเรากลายเป็นความอัปยศของสำนักงานตำรวจสันติบาลเลยนะ”

    “เอ่อ…”

    ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยปากขัดซงวีกังที่กำลังโมโห ซงวีกังจึงถามอย่างหงุดหงิด

    “อะไร”

    “เราลองติดต่อสมาคมจอมยุทธ์สาขาเมืองเสิ่นหยางดูดีไหมครับ”

    คำถามของตำรวจนายนั้นทำให้ซงวีกังชักสีหน้าด้วยเหตุผลที่ทุกคนต่างรู้กันดี ถ้าเป็นหน่วยงานราชการอย่างกระทรวงจอมยุทธ์คงไม่มีใครว่า แต่สมาคมจอมยุทธ์เป็นองค์กรเอกชน หากหน่วยงานราชการอย่างพวกตนติดต่อเอกชนไปเพราะแก้ปัญหาไม่ได้ก็เท่ากับเสียหน้า

    กรอด!

    ซงวีกังกัดฟันก่อนจะปรี่เข้าหาตำรวจนายนั้น

    “พูดอะไรให้มันมีประโยชน์หน่อย ถ้าเกิดใครเขารู้ว่าสำนักงานตำรวจสันติบาลไปขอความช่วยเหลือ…”

    “ผู้บังคับการครับ เราแค่สอบถามข้อมูลของเจ้านั่นนิดหน่อยก็น่าจะได้นะครับ”

    “ข้อมูล?”

    “ตอนนี้สมาคมจอมยุทธ์กำลังผลักดันสิทธิ์ดูแลตัวเองโดยที่กระทรวงจอมยุทธ์เข้าแทรกแซงไม่ได้อยู่นี่ครับ”

    “จริงสินะ”

    ซงวีกังหันมาสนใจความคิดเห็นที่ปัดตกไปแทบจะทันที ในเมื่อตอนนี้ไม่มีทางออกที่ดีกว่า

    “พวกเขาพยายามจัดการเรื่องเกี่ยวกับจอมยุทธ์ด้วยศักยภาพของพวกเขาเองเสมอ บางทีพวกเขาอาจจะสนใจจอมยุทธ์เถื่อนนี่ก็ได้นะครับ”

    “พูดง่ายๆ คือลองล่อเหยื่อดูสักหน่อยสินะ”

    “ใช่แล้วครับ ถ้าทำได้ดีเราก็จะได้รู้ว่าเจ้านั่นเป็นจอมยุทธ์ที่ได้รับการลงทะเบียนหรือยัง แล้วถ้าพวกเขาสนใจ…”

    “ไอ้พวกนั้นก็จะออกหน้าโดยที่เราไม่ต้องร้องขอเลย ทำไมเพิ่งมาบอกอะไรดีๆ แบบนี้ ไม่รีบบอกก่อนหน้านี้”

    คำพูดของซงวีกังทำให้ตำรวจนายนั้นขมวดคิ้วเพราะคำชมนี้ฟังดูไม่เหมือนคำชมเลย ซงวีกังคิดว่าคำพูดของตำรวจนายนั้นถูกต้องจึงค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของสมาคมจอมยุทธ์สาขาเมืองเสิ่นหยางแล้วกดโทรศัพท์ พอกดเสร็จเสียงเชื่อมต่อสัญญาณที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น

    [พวกเราคือลูกหลานของเหล่าจอมยุทธ์ที่น่าภาคภูมิใจ นับเป็นเกียรติที่บรรพบุรุษของพวกเราพัฒนาฝีมือจนแกร่งกล้า…]

    แล้วก็ได้ยินเนื้อเพลงประกอบดนตรีสไตล์เรโทรเหมือนเพลงจากภาพยนตร์เรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร* ซงวีกังชักสีหน้าพลางบ่นพึมพำ

    “ไม่อายบ้างเลยหรือไง นี่ไม่ใช่เมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนนะ แม้แต่หน่วยงานราชการยังไม่ทำเพลงแบบนี้เลย”

    แล้วเสียงต่อสัญญาณก็จบลงพร้อมเสียงที่เอ่ยขึ้นก่อนเขาจะบ่นจบ

    [สมาคมจอมยุทธ์สาขาเสิ่นหยาง]

    “ฮัลโหล ผมโทรจากสำนักงานตำรวจ…”

    [ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำการจึงไม่ให้สามารถให้บริการท่านได้ หากต้องการรับคำปรึกษาทางโทรศัพท์สามารถโทรเข้ามาได้ตั้งแต่เก้านาฬิกา…]

    “เวรเอ๊ย!”

    ปัง!

    ซงวีกังเดือดดาลอย่างหนักจึงปาหูโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงาน ตอนนี้คือเวลายี่สิบสามนาฬิกาห้าสิบห้านาที ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เวลาทำงาน นอกจากหน่วยงานรับเหตุฉุกเฉินและสำนักงานตำรวจสันติบาลแล้ว หน่วยงานเอกชนทั่วไปย่อมไม่มีใครนั่งทำงานอยู่ แต่การติดต่อครั้งนี้เปรียบเสมือนเชือกแห่งความหวังเส้นสุดท้าย เขาจึงส่งเสียงออกมาด้วยความผิดหวังอย่างหนัก

    “ให้ตายเถอะ! ไม่ว่าจะเป็นสมาคมฟุตบอลหรือสมาคมจอมยุทธ์จะไม่มีใครช่วยเราจัดการงานนี้เลยเหรอ”

    ขณะกำลังบ่นอยู่นั้น

    เอี๊ยด!

    เสียงห้ามล้อดังเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้ หนึ่งในตำรวจของหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สามโผล่หน้าออกไปดูด้านนอกก่อนจะรีบพูดด้วยสีหน้าสดใสว่า

    “ผู้บังคับการครับ! หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้ามาถึงแล้วครับ!”

    ซงวีกังรีบผุดลุกขึ้น เพราะตอนนี้หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าหรือทีมรับผิดชอบผู้มีฝีมือพิเศษที่เฝ้ารอมาถึงแล้ว


    บทที่ 3

    เวลาสิบสองชั่วโมง (3)

     

    รถบัสของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วห้าคันแล่นต่อแถวกันมายังตึกด้านขวาของสำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยาง บางส่วนของรถบัสเหล่านั้นอยู่ในสภาพพังยับ บ้างหลังคาทะลุ บ้างกระจกหายไปครึ่งบาน เรียกว่าต้องรีบซ่อมโดยด่วน ยังดีที่เป็นรถออกแบบมาเพื่อใช้กับผู้มีฝีมือพิเศษ หากเป็นรถบัสธรรมดาคงกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว

    “ค่อยๆ ต่อแถวเดินเข้าไปตรงนั้น อย่าเหยียบเชือกล่ามนักโทษ!”

    เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วลงมาจากรถบัสแล้วนำตัวผู้กระทำผิดจากรถเข้าไปในตึกช้าๆ ทั้งข้อมือและข้อเท้าของเหล่าผู้กระทำผิดถูกใส่กุญแจพิเศษเอาไว้ ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ต่างบาดเจ็บจึงค่อยๆ เยื้องย่างเดินเข้าไปในตึกราวกับไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน แต่ใช่ว่าทุกคนจะยอมแต่โดยดี

    “ปล่อย! ไอ้พวกบ้า! บอกให้ปล่อยไง!”

    ชายหัวล้านกล้ามใหญ่แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำพยายามขัดขืน ชื่อของเขาคือซนแมงดัล เขาเป็นหัวหน้าระดับกลางของแก๊งไฟเออร์เฮดแห่งพรรคอธรรมสายตรง ซึ่งมีเพียงสี่กลุ่มในเมืองเสิ่นหยาง ในอดีตพวกเขาเป็นสำนักปราชญ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นกลุ่มนักเลงมาเฟีย แม้จะมีสถานะเป็นองค์กร แต่รากของพวกเขาก็คือจอมยุทธ์ ถึงใช้กำลังภายในไม่ได้เพราะถูกใส่กุญแจมือพิเศษอยู่ แต่ร่างกายก็ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีจึงไม่อาจเลินเล่อ เพราะแม้จะถูกเจ้าที่ประกบถึงสองนายก็ยังขัดขืนได้อยู่ดี

    แล้วอยู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวและเตะเข้าที่ท้องเขา

    พลั่ก!

    “อ่อก!”

    แม้จะมีเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วล็อกแขนอยู่ทั้งสองข้าง แต่ฝีเท้าของคนคนนั้นก็ทำให้ชายหัวล้านกระเด็นถอยหลังไปพร้อมกระอักเลือดออกมาจากปาก เขาเช็ดเลือดที่ริมฝีปากและตะโกนอย่างเดือดดาลราวกับคนเสียสติ

    “หึ! ไอ้เวร ใส่กุญแจมือไม่ให้คนอื่นใช้กำลังภายใน แต่ตัวเองกลับใช้ซะเอง”

    เพราะถ้าเป็นการเตะแบบไม่ใช้กำลังภายในก็จะไม่มีการกระอักเลือดออกมา ชายในชุดหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วผู้เตะชายหัวล้านถอดหมวกนิรภัยออก ชายผมสั้นเหมือนนักกีฬาวัยสามสิบปลายคนนี้คือหัวหน้าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้านามว่ายอมชัน

    “ค้ายาแล้วยังจะปากดีอีก ซนแมงดัล ไม่โดนยิงตายคาที่ก็น่าจะขอบใจกันบ้างนะ”

    รัฐบาลจีนไม่มีนโยบายผ่อนปรนให้กับคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพราะเคยปวดหัวกับปัญหาฝิ่นในแผ่นดินจงหยวนมาแล้ว

    “พวกพรรคอธรรมอย่างแก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสินะ ถึงได้เข้าไปยุ่งกับยาเสพติดน่ะ”

    พอพูดจบหัวหน้ายอมชันก็ทำท่าเหมือนจะเตะซนแมงดัลที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นอีกรอบ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็เข้ามาขวาง

    “หัวหน้ายอม พอเถอะ ยังไงก็ถูกจับมาแล้ว”

    “ผู้บังคับการอี”

    ผู้ที่เข้ามาห้ามคืออีแทกยุนผู้บังคับการหน่วยอาชญากรรมพิเศษ เขาเองก็เป็นจอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญวรยุทธ์สมกับตำแหน่งผู้บังคับการหน่วยงานดูแลอาชญากรที่มีฝีมือพิเศษอย่างเช่นเหล่าจอมยุทธ์

    “ก็ไอ้นี่มันไม่ยอมสำนึก…”

    “เราเป็นตำรวจสันติบาลนะ ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดี แต่งานของเราคือจับพวกมันยัดเข้าคุกให้เร็วที่สุดไม่ใช่เหรอ”

    “รับทราบครับ”

    อีแทกยุนมีตำแหน่งสูงกว่า ยอมชันจึงยอมสงบสติอารมณ์

    “ลากตัวไป”

    “ครับผม”

    เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วที่รออยู่รีบเข้ามาจับซนแมงดัลแขนคนละข้างและพาตัวออกไป ซนแมงดัลหันมาจ้องมองผู้บังคับการอีแทกยุนที่ยืนกอดอกอยู่แล้วพูดเย้ยหยัน

    “ท่าทางจะเล่นเกมตำรวจดีตำรวจร้ายอยู่สินะ ยังไงพวกแกก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ”

    “หือ?”

    “แม้พวกเราจะขนยาเสพติด แต่พวกเราไม่ใช่หมาของรัฐบาลอย่างพวกแก ขาก! ถุย!”

    แผละ!

    เสลดเหนียวๆ ของซนแมงดัลติดบนเสื้อแจ็กเก็ตของอีแทกยุนที่อยู่ตรงหน้าพอดี มุมปากของอีแทกยุนพลันยกยิ้มอย่างยียวน

    โธ่เว้ย!

    ใบหน้าของยอมชันถึงกับบูดบึ้ง เขาคิดจะเข้าไปห้าม แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะมือของอีแทกยุนกำลังขยำใบหน้าของซนแมงดัลอยู่

    “อุ๊บ!”

    สะ…สายตาแบบนี้

    สายตาของอีแทกยุนเต็มไปด้วยความดูแคลน แล้วเขาก็กลายร่างเป็นอีกคนทันที

    “หมาของรัฐบาลเหรอ อุตส่าห์ยอมปล่อยไปแล้วก็รู้จักจบสิ ทำแบบนี้มันหยามกันเกินไป คนอย่างแกมันเป็นได้แค่ขยะสังคม”

    เขาปล่อยกำลังภายในออกมาแล้วยกซนแมงดัลลอย ก่อนจะทุ่มลงพื้น

    ตึง!

    “อั้ก!”

    เลือดก็ไหลออกจากศีรษะที่กระแทกพื้น เพราะถูกสลายกำลังภายในซนแมงดัลจึงป้องกันตัวเองไม่ได้

    “อย่าพยายามยกตัวเองให้ดีกว่าคนอื่นเลย เพราะยังไงคนอย่างพวกแกก็เป็นอาชญากรที่ประชาชนรังเกียจ ส่วนพวกเราคือข้าราชการที่ทุกต่างอิจฉา”

    ผัวะ!

    “แค่ก!”

    อีแทกยุนยังไม่หายโกรธจึงเตะใส่ศีรษะของซนแมงดัลที่ยังคงบิดตัวไปมา เมื่อสิ้นเสียงครางด้วยความเจ็บปวด ซนแมงดัลก็ไม่ขยับอีกเลย

    โอ้โห…

    พอเห็นดังนั้นยอมชันก็นึกทึ่งอยู่ในใจ ในเวลาปกติอีแทกยุนจะดูงามสง่าเสมอ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าอย่าให้เขาโกรธ เพราะเขาไม่รู้จักการยั้งมือ

    “เฮ้อ…”

    เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วเข้าไปตรวจดูอาการซนแมงดัลก่อนถอนหายใจ เพราะท้ายทอยถูกกระแทกอย่างแรง สมองจึงกระทบกระเทือนทำให้สลบไป

    ไอ้โง่ ไปแหย่ผู้บังคับการเองนะ

    ยอมชันนึกเยาะอยู่ในใจ ผู้กระทำผิดที่ต้องตายเพราะอีแทกยุนควบคุมอารมณ์ไม่ได้นั้นมีมากกว่าสิบราย เท่าที่เคยได้ยินมาอีแทกยุนนั้นเคยอยู่พรรคอธรรม หากลงมือเมื่อไรก็จะโหดเหี้ยมไร้ใครเทียม

    “พาตัวไป”

    “ครับผม”

    เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วพยุงร่างซนแมงดัลที่สลบไสลเข้าไปในตึก เมื่อการนำตัวผู้กระทำผิดเข้าไปในตึกดำเนินไปอย่างราบรื่น คนหน้าตาคุ้นเคยก็ปรากฏตัวต่อหน้าอีแทกยุน

    “ส่งตัวเสร็จหรือยัง”

    “อ้าว…ผู้บังคับการซง”

    ซงวีกังแห่งหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงลงมาตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อน พอเห็นว่ากำลังเกิดปัญหาบางอย่าง เขาก็หยุดนิ่งดูก่อน

    ณ ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดบนชั้นหนึ่งของตึกสำนักงานตำรวจสันติบาล

    ผู้บังคับการอีแทกยุนมองดูมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่เปิดขยายภาพจากห้องสอบสวนสี่ซึ่งอยู่ลึกลงไปในชั้นใต้ดินที่ห้าพลางยกมือลูบคางตัวเอง ภาพที่เขากำลังดูคือเหตุการณ์เมื่อสองชั่วโมงก่อน เหล่าหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษไล่ไปจนถึงยอมชันหัวหน้าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้ากันต่างมีสีหน้าไม่ดีเลย

    ดงจูมยองหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าทีมเอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    “ผู้บังคับการครับ ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไป…”

    “แปรสภาพ!”

    ผู้บังคับการอีแทกยุนพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง เหล่าหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่างรู้จักระดับขั้นของจอมยุทธ์เป็นอย่างดี หากมีฝีมือถึงขนาดใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายได้แสดงว่าเป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพแน่นอน

    ฝีมือขนาดนี้ แต่กลับไม่มีข้อมูลงั้นเหรอ

    สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือทำไมไม่มีใครรู้จักคนแบบนี้ ซงวีกังเฝ้ามองพวกเขาอยู่ข้างๆ อย่างกระวนกระวายใจ ก่อนเอ่ยปากถาม

    “ผู้บังคับการอี คนนี้ยากเหรอ”

    ความหวังของเขามีเพียงผู้บังคับการอีแทกยุนแห่งหน่วยอาชญากรรมพิเศษกับลูกทีมเท่านั้น ถ้าช่วยรองผู้บัญชาการที่ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ออกมาไม่ได้ นอกจากจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แล้วเขาต้องโดนลดตำแหน่งอย่างแน่นอน

    “เราต้องรีบช่วยท่านรองออกมาให้เร็วที่สุด”

    ซงวีกังทำให้อีแทกยุนถามต่อว่า

    “เมื่อกี้บอกว่าตรวจสอบจากลายนิ้วมือกับม่านตาไม่ได้เลยใช่ไหม”

    “ใช่แล้ว สุดท้ายก็เลยคิดว่าจะตรวจเลือด แต่ก็ขัดขืนอย่างหนัก…”

    ซงวีกังไม่ยอมพูดต่อให้จบ เพราะให้ทุกคนดูภาพจากกล้องวงจรปิดไปแล้ว

    “อืม…กลิ่นแปลกๆ แฮะ”

    “รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม”

    “ถ้าเป็นระดับทั่วไปก็ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงการเก็บข้อมูลได้ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับคนระดับสูง”

    ซงวีกังพยักหน้าราวกับเห็นด้วย ตั้งแต่จอมยุทธ์คนนี้ตกลงมาจากท้องฟ้า จนกระทั่งยอมเข้ามาอยู่ในสำนักงานตำรวจสันติบาล ไม่มีอะไรที่ไม่น่าสงสัยเลย อีแทกยุนลุกจากที่นั่ง

    “เฮ้อ…ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบกันหน่อย”

    “ไม่มีเวลาเหรอ”

    “เราต้องจัดการเจ้านี่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง”

    “หมายความว่ายังไง”

    อีแทกยุนชี้ชอนยออุนในมอนิเตอร์ให้ซงวีกังที่กำลังสงสัยดู

    “มันบอกว่าอย่าไปรบกวนมันจนกว่ามันจะออกจากที่นี่ไปใช่ไหม”

    “ใช่ อวดดีชะมัด”

    กรอด!

    แค่คิดก็โมโห ซงวีกังจึงกัดฟันแน่น

    “ถ้าเป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพ ไม่ว่าจะใช้เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วกี่นาย ยังไงก็หนีไปได้ เหตุผลที่มันยอมเข้ามาในสันติบาลด้วยตัวเองก็เพื่อจะออกไปอย่างชอบธรรมยังไงล่ะ”

    “อย่างชอบธรรมเหรอ”

    “ถ้ามันเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงจริงก็จะต้องถูกพาตัวออกไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนการสอบสวนและพิพากษาโทษตามกระบวนการจะเกิดขึ้น”

    “อ้อ!”

    ซงวีกังพยักหน้าหงึกหงักพลางนึกชื่นชมความตาแหลมมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งของอีแทกยุน เขามัวแต่ห่วงความปลอดภัยของรองผู้บัญชาการเพียงอย่างเดียวจึงไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นเลย ก่อนจะมาเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อีแทกยุนเคยเป็นตำรวจสันติบาลที่มีฝีมือโดดเด่นมาก ซงวีกังเชื่อถือในตัวเขา สีหน้าจึงสดใสขึ้นระดับหนึ่ง แต่แล้วอีแทกยุนก็ถามเขาว่า

    “ถ้าจับตายจะเป็นไรไหม”

    “หา?”

    เมื่อครู่สีหน้าของซงวีกังเพิ่งแสดงอาการโล่งอก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นงุนงง เพราะทางศาลาว่าการเมืองเสิ่นหยางสั่งให้จับเป็นคนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเพื่อนำมาสอบสวน เขาจึงกำลังจะร้องขอให้จับเป็น

    “จับเป็นไม่ได้เหรอ”

    “การต่อกรกับจอมยุทธ์ระดับแปรสภาพถือว่าหนักหนาเกินกำลัง ถ้าอยากเห็นเจ้าหน้าที่กว่าครึ่งต้องเสียสละ จะเอาอย่างนั้นก็ได้”

    หัวหน้าทีมของหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่างพยักหน้ารับคำพูดของอีแทกยุน ตอนนี้แม้แต่ซงวีกังที่ไม่ค่อยรู้เรื่องระดับของจอมยุทธ์ยังรับรู้ถึงบรรยากาศอันตราย

    ใช่แล้ว ถึงจับเป็นได้ก็คงจะยิ่งปวดหัว ถ้าเกิดหลุดไปก็ยิ่งอันตราย ยังไงเสียสิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือการช่วยท่านรองออกมา

    แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือชีวิตของตน ซงวีกังตัดสินใจ แต่ยังถามต่อว่า

    “จับตายได้ใช่ไหม”

    AM 03 : 20

    หลังจากเตรียมตัวจนพร้อมแล้ว เหล่าหัวหน้าทีมของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่ห้าและหน่วยอาชญากรรมพิเศษก็แบ่งกำลังเป็นหน่วยละสิบนาย ไปรวมตัวกันตรงหน้าลิฟต์และบันไดซ้ายขวา แม้ปากจะบอกให้รีบ แต่กว่าพวกเขาจะเริ่มภารกิจได้ก็เกือบเช้ามืด ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผน

    ผู้บังคับการอีแทกยุนได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารที่ส่งมาจากหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษหน่วยที่สอง

    [ผู้บังคับการครับ! เจ้านั่นเป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพ เสียงขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ตื่นจากการนอนได้นะครับ]

    “ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเก่งแค่ไหน ภาวะขณะตื่นตัวกับภาวะไม่พร้อมนั้นต่างกัน กลยุทธ์ของเราคือลดพละกำลังของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นจงจดจ่ออยู่กับภารกิจ”

    [รับทราบ!]

    น้ำเสียงของอีแทกยุนฟังดูสั่นอยู่พอสมควร แม้จะเตรียมตัวพร้อมแล้ว แต่พอคิดว่าต้องรับมือกับยอดฝีมือระดับแปรสภาพ เขาก็ไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้ แน่นอนว่าลูกทีมคนอื่นก็เช่นกัน

    “เปิดแคมคาเมร่า”

    [รับทราบ!]

    เมื่อพวกเขากดปุ่มกล้องที่ติดอยู่กับหมวกนิรภัย กระจกด้านหน้าหมวกนิรภัยของอีแทกยุนก็ปรากฏภาพจากกล้องของลูกทีม กระจกด้านหน้าหมวกนิรภัยของลูกทีมคนอื่นก็เช่นกัน และยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดที่เชื่อมต่อเอาไว้ก่อนด้วย

    ฮึ่ม

    ภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องสอบสวนเผยให้เห็นว่าเป้าหมายอย่างชอนยออุนยังคงนั่งหลับตาอยู่ แต่ไม่อาจรู้อย่างแน่ชัดว่าเขาหลับจริงหรือไม่ ฝั่งตรงข้ามของชอนยออุนมีรองผู้บัญชาการโฮอิลกยองนั่งอยู่ แค่ดูศีรษะที่พับไปด้านข้างก็รู้ได้ว่ากำลังหลับ

    “เราอาจลืมมองได้ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ประจำห้องควบคุมกล้องวงจรปิดต้องรายงานสถานการณ์ทันทีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น”

    [รับทราบ!]

    เพราะตรงกระจกหน้าหมวกนิรภัยแสดงภาพจากกล้องจำนวนมากจนกลายเป็นจอเล็กๆ เขาจึงอาจลืมมองภาพสำคัญได้

    “ทีม A และทีม B เข้าทางบันไดซ้ายขวา”

    [รับทราบ!]

    เมื่อผู้บังคับการอีแทกยุนสั่งการผ่านวิทยุไร้สาย เจ้าหน้าที่ที่รออยู่ตรงบันไดฝั่งซ้ายและฝั่งขวาก็ค่อยๆ เดินลงบันไดไป ซึ่งแม้จะมีคนเดินลงบันไดไปกว่ายี่สิบคน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย นั่นเพราะพวกเขาใส่รองเท้าเก็บเสียงที่ถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ

    [ตอนนี้ทีม A อยู่บันไดฝั่งซ้ายชั้นสอง]

    [ตอนนี้ทีม B อยู่บันไดฝั่งขวาชั้นสอง]

    พวกเขาค่อยๆ ก้าวลงบันไดไปทีละขั้นโดยพยายามเดินให้เงียบที่สุด อีแทกยุนเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วนึกโล่งใจจึงสั่งให้เคลื่อนพลอีกครั้ง แล้วเหล่าลูกทีมก็ค่อยๆ เดินลงไปอีกชั้นด้วยแววตาระแวดระวัง หากวิ่งลงไปแค่สองสามนาทีก็คงถึงแล้ว แต่พวกเขาใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะมาถึงโถงหน้าบันไดของชั้นห้า

    [ตอนนี้ทีม A อยู่บันไดฝั่งซ้ายชั้นห้า]

    [ตอนนี้ทีม B อยู่บันไดฝั่งขวาชั้นห้า]

    ระหว่างเคลื่อนพลอีแทกยุนไม่ละสายตาไปจากภาพของกล้องวงจรปิดเลย ริมฝีปากเขาจึงปรากฏรอยยิ้ม ดูเหมือนเขาคิดถูกที่ตัดสินใจปฏิบัติการในเวลาเกือบเช้ามืด เพราะชอนยออุนในภาพยังคงนั่งหลับตาไม่เคลื่อนไหวใดๆ

    “ทีม A และทีม B โยนแก๊สยาสลบสลายกำลังภายในเข้าไป”

    [รับทราบ!]

    แก๊สยาสลบสลายกำลังภายในเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อต่อกรกับจอมยุทธ์ เมื่อสูดดมแก๊สเข้าไปมันจะทำหน้าที่เหมือนพิษสลายกำลังภายใน ส่งผลให้กำลังภายในแตกซ่าน อีกทั้งยังส่งผลให้รู้สึกชาด้วยจึงมีประโยชน์มากในการปราบจอมยุทธ์

    ผลุบ!

    ทีม A และทีม B แง้มประตูฉุกเฉินแล้วกลิ้งลูกระเบิดขนาดเท่ากำปั้นเข้าไปด้านละห้าลูก ปกติแค่สองสามลูกก็ครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินชั้นห้าได้ทั้งหมดแล้ว แต่เพราะต้องจัดการยอดฝีมือระดับแปรสภาพจึงต้องเอาให้แน่ใจ เลยใช้แก๊สราคาแพงทีเดียวถึงสิบลูก

    กลุกๆ!

    แก๊สสลายกำลังภายในนี้สามารถเก็บเสียงได้ด้วย เมื่อกลิ้งมาถึงจุดหนึ่งพวกมันจะหยุดนิ่งแล้วแก๊สก็จะถูกปล่อยออกจากรูรอบลูกระเบิด

    ฟู่!

    แก๊สค่อยๆ แทรกเข้าไปในอากาศ เพราะเป็นแก๊สไร้สีไร้กลิ่น ดังนั้นถึงจะเป็นจอมยุทธ์ก็ยากจะรับรู้ เมื่อเวลาผ่านไปราวห้านาทีเหล่าเจ้าหน้าที่ที่รอสถานการณ์อยู่เงียบๆ ตรงหน้าประตูก็คลายความระแวงลงระดับหนึ่ง

    เฮ้อ เห็นว่าเป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพเลยตื่นเต้นไปหมด

    แบบนี้น่าจะจับเป็นได้นะ

    แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่พวกเขาที่คิดเช่นนั้น อีแทกยุนที่จ้องมองแต่ภาพกล้องวงจรปิดอยู่หน้าลิฟต์จนภาพแทบทะลุก็รู้สึกว่าน่าจะจบภารกิจนี้ได้ไม่ยาก หากดมแก๊สยาสลบสลายกำลังภายในไปนานกว่าห้านาที ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพ แต่กำลังภายในก็ย่อมแตกซ่าน ร่างกายจะชาจนขยับไม่ได้

    “ทีม A และทีม B พวกเรากำลังลงลิฟต์ไป ถ้าได้รับสัญญาณแล้วจู่โจมเข้าห้องสอบสวนพร้อมกัน”

    [รับทราบ!]

    เมื่อได้รับคำตอบแล้วอีแทกยุนก็หันไปพูดกับหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็ว

    “เปิดประตูลิฟต์เราจะลงไปตามสายลิฟต์ขนของ”

    “รับทราบ”

    พวกเขาวางแผนเปิดเพดานของลิฟต์แล้วค่อยๆ โรยตัวลงไปตามช่องลิฟต์ แม้สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะดูเหมือนลงลิฟต์ไปเลยก็ได้ แต่ระมัดระวังตัวเผื่อไว้ก่อนน่าจะดีกว่า เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วจึงกดปุ่มลิฟต์เพื่อให้ประตูเปิดออก

    ครืด!

    แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น

    !?

    ภายในลิฟต์มีชายหนุ่มผมยาวยืนพิงผนังกระจกอยู่ เขาคือชอนยออุนผู้เป็นเป้าหมายนั่นเอง

    เกิดอะไรขึ้น

    เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อภาพจากกล้องวงจรปิดตรงหมวกนิรภัยยังเห็นชอนยออุนนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ในห้องสอบสวนราวกับนั่งสมาธิ แล้วเขามาอยู่ในลิฟต์ได้อย่างไร

    “ธะ…โธ่เว้ย!”

    แกรก!

    เจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วรีบขยับมือหมายจะหยิบปืนขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ร่างของชอนยออุนกลับขยับจนมาอยู่ตรงหน้าผู้บังคับการอีแทกยุนแล้ว

    เฮ้ย!

    อีแทกยุนขยับตัวไปด้านหลังหมายจะหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว

    หมับ!

    มือของชอนยออุนคว้าลำคอของเขา มือข้างนั้นมีเรี่ยวแรงเยอะมากจนรู้สึกเหมือนคอแทบจะหัก

    “แค่กๆ!”

    ชอนยออุนพูดกับอีแทกยุนที่กำลังเจ็บปวดและหายใจไม่ออกด้วยน้ำเสียงรำคาญ

    “จะให้รอจนถึงเมื่อไร”

    * กระบี่เย้ยยุทธจักร คือภาพยนตร์ชุดที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของกิมย้ง

    ติดตามความสนุกกันต่อได้ใน นาโนมาชิน ภาค มารสวรรค์ข้ามเวลา เล่ม 1

    เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ ทั้งแบบรูปเล่ม และ E-book

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook