ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า
ทดลองอ่าน ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า เล่ม 3 บทที่ 1
บทที่ 1
ดาบวิเศษออกจากเตา
รัชศกหย่งซิงปีที่สามแห่งราชวงศ์หรั่นเว่ย เดือนหกวันที่หนึ่งตามปฏิทินจันทรคติ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทัพใหญ่ของแม่ทัพมู่หรงเค่อแห่งแคว้นเยียน กองกำลังทหารปิงโจวที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของจางผิงแม่ทัพอาวุโสแห่งแคว้นโฮ่วจ้าวก็ไม่อาจทำอะไรได้
ไม่ว่าทัพเยียนจะเคลื่อนไปถึงที่ใด กองกำลังทหารปิงโจวก็ได้แต่ทิ้งอาวุธยอมแพ้อยู่ตลอด เพียงไม่กี่วันป้อมสกุลนับร้อยบนดินแดนปิงโจวก็ตกเป็นของแคว้นเยียน จูเก่อเซียงแม่ทัพเจิงซี (พิชิตประจิม) ของจางผิงถึงขนาดยกป้อมหนึ่งร้อยสามสิบแปดป้อมให้แคว้นเยียนทั้งที่ยังไม่ทันได้ออกรบ มู่หรงเค่อไม่เพียงมอบเงินบำรุงขวัญให้บรรดาแม่ทัพและทหารที่ยอมสวามิภักดิ์เหล่านั้น แต่ยังให้ทหารชั้นสูงพวกนั้นมียศมีตำแหน่งเช่นเดิม การกระทำของเขาซื้อใจชาวบ้านละแวกปิงโจวได้มากโข
ด้วยเหตุนี้จางผิงที่ปักหลักอยู่ที่ปิงโจวจึงล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้าน หลังนำกองกำลังทหารสามพันกว่านายถอยไปอยู่ที่ผิงหยางได้ไม่นานก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อมู่หรงเค่อ กองกำลังแคว้นเยียนไม่เพียงแทบไม่เสียหาย แต่ยังได้ปิงโจวมาไว้ในกำมือง่ายดาย
มู่หรงเค่ออาศัยจังหวะนี้นำกองกำลังที่ได้รับชัยชนะของตนเข้าปิดล้อมเยี่ยเฉิงเมืองหลวงของหรั่นเว่ย ทว่าเพราะกำแพงเมืองเยี่ยเฉิงแข็งแกร่ง ทัพเยียนเองก็ไม่ชำนาญในการเข้าโจมตีเมือง หลังบุกโจมตีอยู่เป็นนานแต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล สุดท้ายจึงได้แต่คุมเชิงกันอยู่อย่างนั้น
ในเวลาเดียวกันต้วนคานที่ครอบครองดินแดนชิงโจว เพราะสูญเสียใหญ่หลวงจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของแม่ทัพใหญ่อูเหมิงปิดล้อมเส้นทางเชื่อมต่อเขาไท่ซานกับจี่หนาน หมายขังตายถังอี้หมิงไว้บนเขา
ทัพเยียนยังไม่บรรลุภารกิจสยบดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำหวงเหอ ต้วนคานเองก็ยังไม่โจมตีรุกคืบเข้ามา ทำให้ถังอี้หมิงมีโอกาสพัฒนากองกำลังของตน ภายใต้การนำของถังอี้หมิง พวกทหารกับชาวบ้านบนเขาต่างร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่ง หลังพยายามกันอยู่สิบกว่าวัน ในที่สุดพวกเขาก็สร้างเตาหลอมเหล็กเตาแรกได้สำเร็จ
หลังเตาหลอมสร้างเสร็จ ถังอี้หมิงก็ให้คนขนแร่เหล็กกับถ่านหินมาจากเหมือง ลงมือหลอมเหล็ก
วันแรก ตะวันฉายแสงร้อนแรง งานต่างๆ บนเขาต่างหยุดลงเป็นการชั่วคราว หวังเหมิ่งตั้งเครื่องสักการะภูตผีและเทพเจ้าไว้รอบๆ เตาเผา มีเด็กผู้ใหญ่จำนวนมากเข้ามาห้อมล้อมมุงดู
ถังอี้หมิงไม่สนใจพิธีกรรมเซ่นไหว้อะไรพวกนั้นเลยสักนิด เขาเฝ้าตรวจสอบไปตามรอยต่อต่างๆ ดูว่ายังมีอะไรขาดตกบกพร่องบ้างหรือไม่
เตาหลอมนี้เขาออกแบบด้วยตัวเอง ด้านล่างเป็นที่ว่างขนาดใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยไม้ฟืนกับฟางหญ้าแห้งที่ลุกติดไฟได้ง่าย อีกทั้งยังมีถ่านหินอีกจำนวนหนึ่งปูรองไว้ ที่อยู่ด้านบนคือปล่องควันยาวสูงประมาณตึกสามชั้น
ที่อยู่รอบเตาหลอมยังมีกล่องหีบลมอีกสี่กล่อง หวงต้า หวงเอ้อร์ หลี่เหล่าซื่อยืนล้อมกล่องหีบลมอยู่รอจุดเตาหลอม
เตาหลอมถูกอบด้วยไฟต่ำอยู่ระยะหนึ่งก่อนแล้ว ตอนนี้แค่รอจุดไฟเท่านั้น ข้างช่องเติมวัตถุดิบมีทหารถือพลั่วเหล็กยืนกันอยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมโยนถ่านหินเหล็กเข้าไปในช่องทุกเมื่อ
หลังพิธีเซ่นไหว้จบสิ้น หวังเหมิ่งก็เดินไปหยุดอยู่ข้างถังอี้หมิง พูดอย่างนอบน้อม “นายท่าน ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือแค่จุดไฟเท่านั้น”
ถังอี้หมิงพยักหน้า ตะโกนบอกทหารที่อยู่ข้างๆ “เอาคบไฟมา!”
ทหารที่ยืนอยู่อีกด้านยื่นคบไฟที่เตรียมไว้แล้วให้ถังอี้หมิง เขาลงมือจุดคบไฟด้วยตนเอง ก่อนจะเดินตรงไปยังช่องเติมวัตถุดิบ โยนคบไฟที่ลุกติดไฟนั้นเข้าไปด้านใน
ในเตาล้วนแต่เป็นวัตถุติดไฟง่าย พอเจอประกายไฟเข้าก็ลุกไหม้ขึ้นทันที เปลวไฟลุกลามช้าๆ กลืนกินวัตถุลุกติดไฟในเตา
เพียงไม่นาน เปลวไฟร้อนแรงก็ลุกโชนเผาไหม้ถ่านหินที่อยู่ภายใน
เปลวไฟคุโชนมากขึ้นทุกที ควันดำลอยขึ้นเหนือเตาหลอมช้าๆ ครั้นควันดำก่อตัวหนาขึ้น ถังอี้หมิงก็โบกมือตะโกน “หวงใหญ่ หวงเล็ก สูบหีบลม”
“ขอรับ!” หวงต้า หวงเอ้อร์ขานรับพร้อมกัน
หวงต้า หวงเอ้อร์ หลี่เหล่าซื่อสูบหีบลมพร้อมกัน เร่งเปลวไฟในเตาเผาให้ยิ่งโหมกระพือ เพียงไม่นาน ถ่านหินสีดำก็เรืองแสงสีแดง
ควันลอยออกมาจากปล่องมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มเบาบางลงในเวลาไม่นาน แสงไฟสีแดงฉานฉายลอดออกมาพร้อมกับฝุ่นละอองที่ลอยละล่องไปในอากาศ
ยิ่งกล่องหีบลมถูกสูบอัดเร็วขึ้นมากเท่าไร เปลวไฟภายในเตาก็ยิ่งลุกสูงมากขึ้นเท่านั้น หลังประเมินว่าเผาได้พอสมควรแล้ว ถังอี้หมิงก็ตะโกนบอกพวกหูเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างช่องเติมวัตถุดิบ “ได้แล้ว เติมวัตถุดิบลงไป!”
หูเยี่ยนตอบรับ นำผู้คนลงมือเติมถ่านหินลงไปในเตาเผา
หลังเติมถ่านหินเสร็จ พวกเขาก็เติมแร่เหล็กกับหินปูนขาวที่กองอยู่ข้างๆ เข้าไป แร่เหล็กกับปูนขาวถูกทุบจนกลายเป็นก้อนเล็กๆ หลังเติมพวกมันลงไปประมาณสิบสองตั้น* เมื่อหินแร่กับปูนขาวผสมเข้าด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็หยุดมือ
งานเติมวัตถุดิบดำเนินไปซ้ำๆ อยู่หลายชั่วยาม ใครเหนื่อยก็ผลัดเปลี่ยนเอาคนอื่นเข้ามาทำแทน วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ไม่มีหยุด
เห็นพวกทหารทำงานเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้น ถังอี้หมิงก็อดบอกกับตัวเองไม่ได้ ดูท่าต้องคิดหาวิธีสักหน่อยแล้ว พึ่งพาแต่แรงงานคนแบบนี้คงไม่ไหว ต้องสร้างสายพานลำเลียงอะไรพวกนั้นขึ้นมา จะได้ประหยัดกำลังคนควบคุมดูแลเตาหลอม
“นายท่าน พวกเราต้องเผาไปอีกนานเท่าใด” หวังเหมิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ถาม
ถังอี้หมิงตอบ “งานหลอมเหล็กจำต้องใช้เวลา บางทีอาจนานมาก ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นครั้งแรกอีก เช่นนี้แล้วกัน เจ้าให้คนอื่นกลับไปก่อน ข้าจะทิ้งทหารสองร้อยนายเฝ้าที่นี่ไว้ พรุ่งนี้เช้าค่อยแวะมาดูผลลัพธ์”
หวังเหมิ่งพยักหน้า “นายท่าน หลายวันมานี้ท่านยุ่งอยู่กับการสร้างเตาหลอมจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เช่นนี้มิสู้มอบหมายที่นี่ให้ข้าดูแล นายท่านจะได้กลับไปพักผ่อน”
“ไม่ได้ เรื่องนี้พวกท่านไม่เข้าใจ ข้าถึงต้องดูแลเอง หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น ความพยายามตลอดหลายสิบวันมานี้มิเท่ากับสูญเปล่าหรือ” ถังอี้หมิงพูด
“ทว่านายท่านเป็นผู้นำชาวบ้านนับหมื่น ร่างกายต้องแบกรับภาระหนาหนัก หาก…” หวังเหมิ่งเตือน
“ฮ่าๆๆ ท่านกุนซือวางใจเถอะ ไม่มีหากอะไรทั้งนั้น ข้ารู้จักดูแลตัวเอง หลายวันมานี้ท่านกับพวกหวงต้าฝึกทหารเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย หัวหน้ากองคนอื่นๆ หรือก็ไม่มีใครได้อยู่ว่าง พวกท่านล้วนเป็นขุนนางผู้สร้างคุณูปการใหญ่หลวง มีภาระหน้าที่สำคัญต่างๆ ต้องแบกรับ สมควรพักผ่อนให้มากถึงจะถูก” ถังอี้หมิงกล่าว
หวังเหมิ่งได้แต่ตอบ “นายท่าน เช่นนั้นเที่ยงคืนข้าจะมาเปลี่ยนเวรกับท่าน”
“ไม่ต้อง ท่านกุนซือกลับไปพักผ่อนให้สบายเถอะ ท่านเองก็เหนื่อยมามากแล้ว” ถังอี้หมิงยืนกราน
หวังเหมิ่งจนปัญญา “เช่นนั้นข้าขอตัว นายท่านรักษาตัวด้วย”
ถังอี้หมิงโบกมือ “ไปเถอะๆ”
หวังเหมิ่งหันหลังเดินไปบอกกับพวกชาวบ้านที่มามุงดูให้แยกย้ายกันกลับที่พัก หลังเขาที่คึกคักอยู่แต่เดิมจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นสงัดเงียบ
เตาหลอมลุกไหม้อยู่เกือบตลอดทั้งวันทั้งคืน เช้าวันที่สอง หวังเหมิ่งพาคนมาอีกครั้ง ถังอี้หมิงให้คนจุดเตาเผา พอเห็นความร้อนของเตาเผาสูงได้ที่ก็ให้คนเคลื่อนหินที่ปิดอยู่ตรงช่องปล่อยเหล็กเหลวออก พร้อมใช้แท่งเหล็กยาวๆ เขี่ยเอาดินเหนียวที่อุดอยู่ออก ปล่อยเหล็กเหลวสีแดงส้มไหลตามร่องที่อยู่บนพื้นผ่านเตาอุ่นลม ก่อนจะปล่อยให้ไหลเข้าไปในเตาเผา
เสียงร้องตะโกนยินดีดังกระหึ่ม หลังทำงานเหน็ดเหนื่อยยาวนานต่อเนื่องกันอยู่สิบกว่าวัน ในที่สุดผลลัพธ์ของความเหนื่อยยากก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา แล้วเช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร!
ถังอี้หมิงไม่มีเวลาตะโกนดีอกดีใจ พอเห็นว่าได้ที่แล้ว เขาก็รีบใช้ก้อนหินกับโคลนปิดขวางช่องปล่อยเหล็กเหลว ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะในเตาเผาบรรจุเหล็กเหลวได้ปริมาณจำกัด หลังเหล็กเหลวไหลเข้าไปในเตาเผา ถังอี้หมิงก็เปิดประตูเตา เพราะปล่องควันสูงๆ คอยช่วยสูบลม หลังเปลวไฟพุ่งลามออกข้างนอกครั้งหนึ่งมันก็หดกลับเข้าไปในเตา เปลวไฟร้อนแรงลุกลามเผาไหม้อยู่บนเพดานเตา ส่องสะท้อนอยู่กับเหล็กเหลวบนท้องเตาเกิดเป็นประกายแสงวูบวาบ
“โจวซวง อีกเดี๋ยวพอข้าเรียก เจ้าก็รีบคีบเอาก้อนเหล็กออกมา ตีมันลงบนแท่นตีเหล็กที่เตรียมไว้ แสดงฝีมือช่างตีเหล็กของเจ้าออกมา!” ถังอี้หมิงตะโกนบอกโจวซวง
โจวซวงพยักหน้าหนักแน่นพลางขานตอบ “นายท่านวางใจได้!”
ถังอี้หมิงยื่นแท่งกวนเหล็กยาวๆ เข้าไปในเตาหลอม กวนเหล็กเหลวที่อยู่ภายใน เมื่อเหล็กเหลวที่มีความร้อนสูงสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ สารคาร์โบเนียมที่อยู่ภายในก็ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทันที ไม่เพียงเกิดฟองอากาศ แต่ยังปลดปล่อยพลังงานความร้อนขนาดใหญ่ออกมาอีกด้วย
เหล็กเหลวเดือดปุดๆ กากที่ดูไม่ต่างอะไรกับกากเต้าหู้ลอยแยกออกจากเหล็กหลอม กองซ้อนกันอยู่อีกด้าน เนื่องจากความบริสุทธิ์ของเหล็กเพิ่มสูงขึ้นทีละน้อย จุดหลอมเหลวของมันจึงพลอยสูงตามไปด้วย เหล็กเหลวที่กระเพื่อมไหวเริ่มกลายเป็นวัตถุกึ่งของแข็งไปทีละนิด ก่อนจะจับตัวเป็นก้อนกลายเป็นเหล็กหล่อกระดำกระด่าง
ถังอี้หมิงใช้แท่งกวนเขี่ยก้อนเหล็กนั้นมาที่ปากเตา ก่อนตะโกนเสียงดัง “โจวซวง! ได้เวลาแล้ว”
พอได้ยินถังอี้หมิงตะโกน โจวซวงก็รีบใช้คีมคีบเหล็กก้อนนั้นออกมาวางลงบนแท่นตี แล้วหวดด้วยค้อนเหล็กเสียงดังสนั่น
โจวซวงหวดกระหน่ำค้อนเหล็กอย่างต่อเนื่อง ประกายไฟกระเด็นแปลบปลาบไปทั่ว เพียงไม่นานกากที่อยู่ด้านในก็ถูกเค้นออกมา ปลิวกระเด็นกลายเป็นสะเก็ดไฟ ปริมาตรของมันเริ่มหดเล็กลง สีที่เคยแดงส้มก็เริ่มหมองลงทีละน้อย สุดท้ายก็กลายเป็นแท่งเหล็กแท่งหนึ่ง โจวซวงวางแท่งเหล็กลงบนเตาเผาที่อยู่อีกด้านเพื่อเพิ่มความร้อนรอตีเหล็กใหม่อีกรอบ ขณะเดียวกันก็คีบแท่งเหล็กที่อยู่ในเตาเผาอีกอันออกมาทำแบบเดิมซ้ำอีกคราว
หวงต้าดูอยู่ข้างๆ พอเห็นถังอี้หมิงเหนื่อยจนแทบไม่ไหว ก็รีบเข้าไปรับเอาแท่งกวนในมือถังอี้หมิงมาถือไว้ “นายท่าน! ท่านเหนื่อยมากแล้ว พักสักครู่เถอะ ที่นี่ข้าจัดการเอง!”
“เจ้ากับโจวซวงต้องทำงานประสานกันให้ดี!” ถังอี้หมิงตะโกน ก่อนมอบแท่งกวนเหล็กในมือให้หวงต้า
ถังอี้หมิงไปนั่งอยู่อีกด้าน มองดูหวงต้าลงมือทำงานเลียนแบบตนเอง ปากก็พร่ำชี้แนะไม่หยุด เพียงไม่นาน หวงต้าเองก็เหนื่อย หวงเอ้อร์เข้ามารับงานในมือหวงต้าต่อ ทุกคนต่างสลับผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทำงาน
หลิวซานพาคนจำนวนหนึ่งคอยเติมถ่านหินกับถ่านไม้เข้าไปในเตา ภายใต้เสียงตะโกนดังลั่นของถังอี้หมิง กากถูกตักออกตรงตามเวลาที่กำหนด เพียงไม่นาน บนพื้นก็เต็มไปด้วยแท่งเหล็กที่ตีออกมาได้ ปริมาณน่าจะมีสักราวๆ พันกว่าชั่ง
“เร็วจริงๆ!” หวงต้าปาดเหงื่อพูดอย่างตื่นเต้น
ถังอี้หมิงมองดูวัตถุดิบที่ลดลงทีละน้อย หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนตะโกน “เถาเป้า มานี่”
“นายท่าน ท่านเรียกข้า?” พอได้ยินถังอี้หมิงเรียกหา เถาเป้าก็วิ่งรี่เข้ามา
“เจ้ารีบลงเขา บอกหวังเจี่ยนกับหวังข่ายที่อยู่ที่เหมืองถ่านหินกับเหมืองเหล็กว่าวัตถุดิบที่นี่ใช้เจียนหมดแล้ว ให้พวกเขาหยุดงานเหมืองชั่วคราว ลำเลียงวัตถุดิบทั้งหมดมาที่นี่” ถังอี้หมิงมอบหมายงาน
ถังอี้หมิงตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นอีกครั้ง “โจวซวง!”
โจวซวงในเวลานี้กำลังพักผ่อนอยู่อีกด้าน พอได้ยินถังอี้หมิงเรียกก็วิ่งตรงเข้ามาทันที “นายท่าน ท่านเรียกข้า?”
“เจ้าเป็นช่างตีเหล็ก ตอนนี้พวกเขาต่างรู้วิธีหลอมเหล็กแล้ว เจ้าใช้เหล็กหล่อพวกนั้นตีอาวุธได้หรือไม่” ถังอี้หมิงถาม
โจวซวงตอบ “นายท่าน ท่านต้องการอาวุธอะไร”
ถังอี้หมิงคิด “ข้าอยากได้ดาบสักเล่ม เจ้าตีได้ใช่หรือไม่”
“นายท่าน ดาบมีดาบเหล็ก ดาบเหล็กกล้า ดาบเหล็กกล้าบริสุทธิ์ ดาบเหล็กกล้าเนื้ออ่อน ดาบเหล็กกล้าทมิฬ ดาบวิเศษ รวมทั้งหมดหกระดับ เหล็กหลอมนานกลายเป็นเหล็กกล้า เหล็กกล้าหลอมนานกลายเป็นเหล็กกล้าบริสุทธิ์เนื้ออ่อน หากหลอมต่อไปจะกลายเป็นเหล็กทมิฬ หากหลอมซ้ำอีกถึงตอนนั้นมันก็จะกลายเป็นเหล็กวิเศษ คนทั่วไปจะรู้ก็แต่การตีดาบเหล็กกับดาบเหล็กกล้า ส่วนดาบเหล็กกล้าบริสุทธิ์นั้นตีสิบเล่มเสียหายเก้าเล่ม ดาบเหล็กกล้าเนื้ออ่อนตีร้อยเล่มเสียหายเก้าสิบเก้าเล่ม ส่วนดาบทมิฬดาบวิเศษนั้นถือเป็นดาบวิเศษหายาก ไม่ทราบว่านายท่านต้องการดาบชนิดไหน” โจวซวงถาม
ได้ยินโจวซวงพูดเข้าอกเข้าใจเรื่องดาบดีเช่นนั้นถังอี้หมิงก็ถามขึ้น “แน่นอนว่าข้าย่อมต้องอยากได้ดาบวิเศษที่ตัดทองเฉือนหยกได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าตีดาบชนิดไหนเป็น”
“นายท่าน ตระกูลข้าเป็นช่างตีเหล็กมาหลายต่อหลายรุ่น ทักษะการหลอมดาบหรือก็ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อถึงรุ่นข้าแม้จะยังไม่อาจจัดเป็นตระกูลช่างดาบเลื่องชื่อได้ ทว่าข้าเองก็ปรารถนาจะมีโอกาสได้ตีดาบวิเศษให้นายท่านสักเล่ม เพียงแต่อาจใช้เวลานานอยู่สักหน่อย อีกทั้งยังต้องการคนที่มีทักษะการหลอมเหล็กคอยช่วยด้วย” โจวซวงตอบ
ถังอี้หมิงหัวเราะเสียงดัง “ได้ เรื่องนี้ไม่ยาก ชาวบ้านบนเขาไท่ซานมียี่สิบกว่าหมื่น ในหมู่พวกเขาต้องมีช่างเหล็กแน่ ข้าจะช่วยเจ้าหาลูกมือดีๆ สักหลายๆ คนช่วยเจ้าตีดาบวิเศษ อย่างไรพวกเราก็ไม่ขาดแคลนวัตถุดิบอยู่แล้ว”
“ขอรับ นายท่าน ไม่ทราบท่านต้องการดาบด้ามสั้นหรือด้ามยาว” โจวซวงถาม
ถังอี้หมิงคิดในใจ ดาบด้ามยาวคงไม่ต่างอะไรกับดาบง้าวที่กวนอวี่ (กวนอู) ใช้ ดาบประเภทนั้นใช้ยาก สู้ดาบด้ามสั้นที่ฉวยคว้าได้ทันท่วงทีไม่ได้
“ข้าต้องการดาบด้ามสั้น ยาวสักประมาณด้ามกระบี่เท่านั้นก็ได้แล้ว” ถังอี้หมิงตอบ
โจวซวงบอก “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้”
“ดี ใช่แล้ว เจ้าต้องการลูกมือสักกี่คน”
“ความจริงแค่สามคนก็พอแล้ว ทว่าการตีดาบวิเศษใช้เวลามากกว่าปกติ ฉะนั้นข้าอยากได้ลูกมือมากสักหน่อย” โจวซวงตอบ
ถังอี้หมิงพยักหน้า “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็พักผ่อนสั่งสมเรี่ยวแรงกำลังให้ดี พรุ่งนี้เริ่มลงมือตีดาบวิเศษให้ข้า”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!” โจวซวงกล่าวอำลานอบน้อม
ถังอี้หมิงให้หวังเหมิ่งตามหาช่างเหล็กในหมู่พวกชาวบ้านอยู่หลายวัน สุดท้ายก็รวบรวมคนที่เคยเป็นช่างเหล็กได้ร้อยกว่าคน ถังอี้หมิงตัดสินใจรับพวกเขาทั้งหมด ในสมองคิดอยากเปิดโรงผลิตอาวุธให้โจวซวงเป็นหัวหน้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด
วันถัดมา ถังอี้หมิงพาช่างเหล็กทั้งหมดไปพบโจวซวง โจวซวงเลือกคนแค่สิบกว่าคนมาช่วยเขาตีดาบวิเศษ ส่วนคนอื่นๆ ให้ไปสร้างแท่นตีเหล็ก ผลิตอาวุธ
ถังอี้หมิงจับตาดูการฝึกทหารใหม่ไปพร้อมกับสถานการณ์ภายในโรงผลิตอาวุธ
สามวันต่อมา ทวนวงเดือนเหล็กกล้าบริสุทธิ์จำนวนสามร้อยเล่มก็ถูกตีขึ้นเป็นที่เรียบร้อย ทวนทั้งสามร้อยเล่มนี้แข็งแกร่งคมกริบกว่าอาวุธที่พวกเขาเคยใช้อยู่แต่เดิม ทว่าเพราะพวกมันสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าจึงหนักมืออยู่มิใช่น้อย น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณยี่สิบชั่ง
ทวนวงเดือนสามร้อยเล่มนั้นทำถังอี้หมิงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เพราะทวนวงเดือนที่กองกำลังฉี่หัวใช้นอกจากปลายทวนที่ทำจากเหล็กแล้ว ด้ามทวนล้วนทำจากแท่งไม้กลมๆ ถูกฟันขาดได้ง่าย ทว่าทวนพวกนี้ตีขึ้นจากเหล็กกล้าทั้งเล่ม ยามถือพวกมันลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู พวกหวงต้าย่อมไม่ต้องกังวลกลัวว่าทวนจะถูกอีกฝ่ายฟันขาดอีก
“โจวซวง ดาบวิเศษทำไปเท่าใดแล้ว” หลังตรวจดูทวนทั้งสามร้อยเล่มเรียบร้อย ถังอี้หมิงก็หันไปถามโจวซวง
“เรียนนายท่าน เพราะในเตามีไฟลุกไหม้ไม่ขาด งานสร้างอาวุธจึงเป็นไปโดยสะดวก คาดว่าน่าจะทำเสร็จสมบูรณ์ภายในวันนี้” โจวซวงตอบ
ถังอี้หมิงตื่นเต้นดีใจ “ลำบากเจ้าแล้ว เช่นนั้นคืนนี้ข้าค่อยมาดูใหม่”
ตกค่ำ ถังอี้หมิงมาจริงดั่งคำ ในเวลานี้โจวซวงกับช่างเหล็กอีกสองคนกำลังทำงานอยู่ คนหนึ่งควงค้อนใหญ่ อีกคนใช้ค้อนเล็ก ส่วนอีกคนใช้คีมเหล็กคีบดาบที่ตีขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแล้วเอาไว้
โจวซวงจ้องมองดูเปลวไฟร้อนระอุภายในเตา ครั้นตัวดาบถูกเผาจนถึงระดับความร้อนที่ต้องการ เขาก็ชักดาบออกมารวดเร็ว ปัดเอาดินที่อยู่ทางด้านบนทิ้ง แช่เขย่าลงไปในน้ำหลายต่อหลายครั้ง หลังชุบไฟแช่น้ำเสร็จ ดาบก็แข็งตัว
หลังชุบไฟแช่น้ำแล้วยังต้องอบคืนไฟ คือการนำดาบไปเผาไฟอีกครั้งจนหยดน้ำที่ผิวด้านบนเดือดเร่า แล้วค่อยๆ เย็นตัวลงทีละน้อย วิธีการเช่นนี้จะทำให้เหล็กเหนียวมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนแต่พิถีพิถัน เสร็จแล้วยังต้องใช้หินลับที่ใช้ในการตีดาบเป็นการเฉพาะขัดให้ขึ้นคม หลังจากนั้นก็ให้ช่างขัดผิวของมันซ้ำอีกรอบ ก่อนจะประกอบเข้ากับด้ามเพื่อทำการทดลองดาบ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็นำมันสอดเก็บเข้ากับฝักดาบที่เตรียมไว้ เพียงเท่านี้ขั้นตอนการตีดาบวิเศษก็เป็นอันสิ้นสุด
โจวซวงแช่ดาบวิเศษที่ตีเสร็จลงในน้ำเย็นอยู่เป็นนานกว่าจะเอามันขึ้น หลังจากสอดเก็บมันเข้าฝักดาบเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ประคองวางมันลงตรงหน้าถังอี้หมิง
“นายท่าน เชิญลองดาบวิเศษได้!” โจวซวงพูดน้ำเสียงแจ่มชัด
ถังอี้หมิงยื่นมือออกไปรับดาบ ทันทีที่ดาบถึงมือ เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่ยังสะสมอยู่บนตัวดาบ ถังอี้หมิงชักมันออกจากฝัก ประกายแสงเย็นเยียบวาดผ่านรัตติกาลมืดมิด
“นายท่าน เชิญลองดาบ!” โจวซวงคว้าทวนเหล็กกล้าด้ามหนึ่งขึ้นมาถือไว้ตรงหน้าถังอี้หมิง
ถังอี้หมิงชูดาบวิเศษฟันใส่ทวนเหล็กกล้าอย่างรวดเร็ว เสียงกังวานใสดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทวนเหล็กขาดเป็นสองท่อน
“ฮ่าๆๆ! ใช่ดาบวิเศษจริงๆ!” ถังอี้หมิงร้องอย่างยินดีขณะมองดูดาบวิเศษในมือ ตัวดาบไม่มีอะไรบุบสลายแม้แต่น้อย
“ยินดีด้วยนายท่าน!” โจวซวงกับผู้คนที่อยู่รายรอบต่างพากันแสดงความยินดี
ถังอี้หมิงดีใจเหลือกำลังรับที่ได้ครอบครองดาบวิเศษ เขาตั้งชื่อมันว่า ‘แตกทัพ’
‘แม้แตกทัพอย่าได้ทุกข์ระทม ศาสตราคมเบิกบุกปณิธาน’ กลอนบทนี้เดิมทีกล่าวถึงการส่งเพื่อนที่ต้องจากลาไปออกทัพ แต่งขึ้นโดยกวีสมัยถัง แต่วรรคหลังชวนให้นึกถึงเหตุการณ์แตกทัพของตนเองยิ่งนัก ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นคนแต่งบทกวีนั้นถังอี้หมิงก็จำไม่ได้แล้ว
ถังอี้หมิงเก็บแตกทัพกลับเข้าฝัก หันไปบอกกับช่างเหล็กร้อยกว่าคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของโจวซวง “หลายวันมานี้พวกเจ้าต่างลำบากแล้ว นับแต่นี้ไปจงใช้ความสามารถที่มีอยู่สร้างอาวุธชั้นยอดให้กับทหารหาญของพวกเรา”
ทุกคนต่างขานรับเสียงดังกังวาน “พวกข้าจะขอจดจำคำของนายท่าน”
ถังอี้หมิงถือแตกทัพไว้ในมือ เดินไปหยุดอยู่หน้าโจวซวง “โจวซวง วันหน้าเจ้าจงนำคนเหล่านี้สร้างอาวุธและชุดเกราะให้กับกองทัพ รับหน้าที่เป็นหัวหน้าดูแลโรงผลิตอาวุธ ข้าจะรับสมัครคนเพิ่มอีกห้าร้อย เจ้ากับนายช่างคนอื่นๆ ใช้เวลาว่างสอนพวกเขาตีหลอมอาวุธ”
โจวซวงพูดตื่นเต้น “ขอบคุณนายท่านที่เห็นความสำคัญของข้า ข้าจะทำงานรับใช้นายท่านอย่างสุดความสามารถ”
“ฮ่าๆ ดี พวกเจ้าเหน็ดเหนื่อยกันมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”
ครั้นกลับถึงจวนขุนพล ถังอี้หมิงก็รู้สึกเนื้อตัวอ่อนระทวยหมดสิ้นเรี่ยวแรง
“ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว อาวุธสร้างสำเร็จหรือไม่” เห็นถังอี้หมิงกลับมาหลี่หรุ่ยก็รีบตรงเข้าไปรับหน้า
“อืม ฮูหยิน เจ้าดู” ถังอี้หมิงแกว่งเจ้าแตกทัพในมือไปมาต่อหน้าหลี่หรุ่ย
“นี่คือ…อาวุธที่เพิ่งทำสำเร็จ?” หลี่หรุ่ยถาม
ถังอี้หมิงพยักหน้าชักแตกทัพออกจากฝัก ประกายแสงสว่างวาบ ดาบวิเศษแตกทัพปรากฏขึ้นต่อสายตาหลี่หรุ่ย
“ท่านพี่ ดาบเล่มนี้ดูคมยิ่งนัก ต้องเป็นดาบชั้นดีแน่ใช่หรือไม่” หลี่หรุ่ยมองดูแตกทัพพลางถาม
ถังอี้หมิงยิ้มพูด “หากมิใช่ดาบชั้นดี ข้าจะต้องการมันไปเพื่ออันใด ดาบวิเศษเล่มนี้ข้าตั้งชื่อให้มันแล้ว มันชื่อแตกทัพ มา เจ้าลองถือมันดู!”
ถังอี้หมิงยื่นแตกทัพในมือให้หลี่หรุ่ยถือ ทันทีที่ดาบถึงมือ นางก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมากมายมหาศาลของมัน นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอนางหนึ่งเท่านั้นไหนเลยจะมีแรงถือไหว จึงเอ่ยปากบอกกับถังอี้หมิง “ท่านพี่ ดาบเล่มนี้หนักยิ่งนัก”
“หนัก? อา…เจ้าว่าเช่นนั้นก็มิผิด ดาบเล่มนี้ตีขึ้นจากเหล็กกล้าบริสุทธิ์มีหรือจะไม่หนัก ฮูหยิน วันพรุ่งนี้ข้าจะให้โจวซวงตีกระบี่น้ำหนักเบาให้เจ้าสักเล่ม เจ้าว่าดีหรือไม่” ถังอี้หมิงพูด
พอได้ยินแบบนั้นหลี่หรุ่ยก็พูดยินดี “ดียิ่งนักท่านพี่ ข้ายังไม่เคยได้จับกระบี่จริงๆ เลยสักครั้ง”
ถังอี้หมิงยิ้ม “ฮูหยิน เพลงกระบี่ของเจ้าฝึกไปเท่าใดแล้ว”
หลี่หรุ่ยคืนแตกทัพให้ถังอี้หมิง พูดน้ำเสียงเป็นสุข “เพลงกระบี่ของจินหย่งข้าเรียนรู้หมดสิ้นแล้ว เชื่อว่าฝึกอีกแค่เล็กน้อยก็ออกรบได้แล้ว”
ถังอี้หมิงเก็บแตกทัพเข้าฝัก ภายใต้แสงไฟเขาสังเกตเห็นใบหน้าที่เคยขาวสล้างของหลี่หรุ่ยดำคล้ำขึ้นเล็กน้อย ถังอี้หมิงยื่นมือลูบใบหน้าของหลี่หรุ่ยเบาๆ พูดเอ็นดู “ฮูหยิน เจ้าตากแดดจนดำไปหมดแล้ว”
หลี่หรุ่ยโอบกอดถังอี้หมิง แนบแก้มลงบนอกเขาพลางพูดออดอ้อน “ท่านพี่ ข้าไม่กลัว ดำก็ดำไป ขอเพียงอยู่ข้างกายท่านจะให้ข้าทำอันใดข้าก็ยินดีทั้งนั้น”
ถังอี้หมิงอุ้มหลี่หรุ่ยขึ้นวางลงบนเตียง ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฮูหยิน หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับเตาหลอมอาวุธทหาร ไม่มีเวลาดูแลเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
หลี่หรุ่ยพยักหน้าขัดเขิน กอดถังอี้หมิงไว้ ร่างของเขากับนางกอดกระหวัดอยู่ด้วยกันไม่ห่าง
วันที่สอง ถังอี้หมิงหาคนให้โจวซวงได้อีกห้าร้อยคน อีกทั้งยังให้จางกั้น หลางซู่พาคนสร้างโรงผลิตอาวุธเพิ่ม
หลังจัดการเรื่องราวต่างๆ เสร็จ ถังอี้หมิงก็มาถึงยังลานฝึก เขาเรียกทหารหญิงทั้งหมดให้ไปรวมตัวกันอยู่ที่กลางลาน เตรียมตรวจสอบดูความคืบหน้าของพวกนางตลอดระยะเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา
บรรยากาศบนลานฝึกคึกคักเป็นที่สุด ทหารหญิงเหล่านั้นยืนประจำตำแหน่งของตน ตั้งขบวนเป็นเก้ากลุ่ม เตรียมรับการตรวจพลของถังอี้หมิง
หลังตรวจพลเสร็จ ถังอี้หมิงก็พยักหน้าพึงพอใจ เขาบอกกับตัวเองในใจ ดูท่าครึ่งเดือนที่ผ่านมาทหารหญิงพวกนี้ไม่เพียงไม่เกียจคร้าน หนำซ้ำยังประสบผลสำเร็จในการฝึกฝน แต่ละคนไม่เพียงมีทักษะแตกต่างกันออกไป หากยังรู้จักวิธีการจัดกระบวนทัพ รู้จักวิธีต่อสู้ทำสงครามอีกด้วย ไว้โจวซวงผลิตอาวุธเสร็จเรียบร้อยก่อน ถึงตอนนั้นข้าจะแจกจ่ายอาวุธให้ทุกคน ฝึกฝนทหารหญิงพวกนี้อย่างเข้มข้นจริงจังจนกลายเป็นกองกำลังที่เข้มแข็ง
“นายท่าน ทหารหญิงแสดงกระบวนพลเสร็จสิ้นแล้ว เชิญนายท่านกล่าวอะไรสักอย่างกับพวกนางด้วย” หวังเหมิ่งกระซิบ
ถังอี้หมิงขยับขึ้นหน้าสองก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนแท่น กล่าวกับทหารหญิงทั้งสองหมื่นที่อยู่กลางลานฝึก “วันนี้เป็นวันที่สมควรแก่การเฉลิมฉลองยิ่งวันหนึ่ง เพราะเขาไท่ซานของพวกเราได้ถือกำเนิดกองกำลังที่เข้มแข็งขึ้นอีกหนึ่งกอง การแสดงของพวกเจ้าเมื่อครู่นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก นับแต่นี้ไปข้าขอแต่งตั้งกองกำลังทหารของพวกเจ้าขึ้นอย่างเป็นทางการ ให้ชื่อว่ากองกำลังเหนียงจื่อ (อิสตรี) หวังว่าวันหน้าพวกเจ้าจะเข้มงวดกวดขันต่อตนเอง เห็นตัวเองเป็นดั่งทหารนายหนึ่ง!”
“ขอนายท่านอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี!” ทหารหญิงจำนวนนับหมื่นพันตะโกนก้อง
ถังอี้หมิงบอกกับหวังเหมิ่งอย่างพึงพอใจ “ท่านกุนซือ ก่อนหน้านี้ท่านบอกให้ข้าตั้งธง วันนี้ข้าตัดสินใจแล้ว จะตั้งชื่อธงประจำทัพของพวกเราขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่านว่าข้าควรตั้งชื่อธงประจำทัพของพวกเราว่าอันใด”
หวังเหมิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายท่าน พวกเราเรียกธงประจำทัพว่าฮั่นดีหรือไม่ รวบรวมเหล่าผู้กล้าทั่วหล้าร่วมต่อต้านพวกนอกด่าน”
“ดี เช่นนั้นต่อจากนี้ไปพวกเราก็จะใช้คำว่าฮั่นเป็นชื่อธงประจำทัพของพวกเรา รับช่วงต่อจากหรั่นเว่ย สร้างแผ่นดินให้รุ่งเรืองสถาพร” ถังอี้หมิงพูดน้ำเสียงกระจ่างชัด
สองวันให้หลัง เพื่อให้การใช้เตาหลอมเป็นไปได้สะดวกสบายประหยัดแรงมากขึ้น ถังอี้หมิงได้สั่งให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาติดตั้งกล่องหีบลมพลังน้ำ อาศัยน้ำในทะเลสาบหลังเขาที่ไหลอยู่อย่างไม่ขาดสายขับเคลื่อนกล่องหีบลมแทนแรงคน
อีกทั้งเขายังติดตั้งสายพานลำเลียงแบบง่ายๆ ขึ้นอีกอัน ให้คนหนึ่งถึงสองคนยืนอยู่ที่ช่องลำเลียง ทันทีที่ขยับสายพาน ถ่านหินแร่เหล็กก็จะถูกแยกย้ายลำเลียงส่งเข้าเตาเผาได้เอง
สองวันนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย โรงผลิตอาวุธของโจวซวง แค่เตาเผาเตาเดียวก็ผลิตชุดเกราะได้ถึงห้าร้อยสี่สิบชุด ชุดเกราะของเขานี้แม้จะหนักอยู่บ้างแต่ก็ป้องกันคมศัสตราวุธได้ดีกว่าเกราะเหล็กทั่วไปหลายเท่า การฝึกฝนกองกำลังเหนียงจื่อเริ่มรวมกลุ่มอบรมใหม่อีกคราว โดยมีหวังเหมิ่งเป็นผู้ฝึกสอน
ถังอี้หมิงอาศัยรายงานที่กวนเอ้อร์หนิวส่งกลับมา เตรียมคิดแผนการใหม่
* ตั้น มาตราชั่งโบราณของจีน ในสมัยเว่ยจิ้น 1 ตั้นหนักประมาณ 26.7 กิโลกรัม