• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า เล่ม 1 บทที่ 2

    บทที่ 2

    ฆ่าคนครั้งแรก

     

    ตกค่ำ หมาป่าฝูงหนึ่งเริ่มตระเวนไปรอบๆ ก่อนจะผ่านเข้ามายังสมรภูมิรบหน้าค่าย ร่างไร้ชีวิตของพวกทหารเยียนที่กองกันเป็นภูเขามากพอให้พวกมันกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

    ถังอี้หมิงกับทหารคนอื่นๆ นั่งอยู่บนพื้นบริเวณชายป่า นัยน์ตาจับจ้องไปยังพวกหมาป่าที่อยู่ท่ามกลางกองซากศพ

    นึกไม่ถึงว่าบรรยากาศยามค่ำมืดจะเงียบสงัดเช่นนี้

    “นายกอง บ้านของท่านอยู่ที่ใด” เสียงของหวงต้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังทำลายความเงียบยามราตรี

    ถังอี้หมิงยิ้มขื่น “บ้าน? บ้านของข้าอยู่ไกลมาก ชาตินี้คงไม่มีทางกลับไปที่นั่นได้อีก ใช่แล้ว แล้วบ้านของเจ้าล่ะ”

    หวงต้าสีหน้าเอิบอิ่ม ทว่าน้ำเสียงคล้ายทุกข์แต่แสร้งทำเป็นมีความสุข

    “นายกอง บ้านข้าอยู่จงหยวน นับแต่ปู่ข้าเป็นต้นมาพวกเราก็เริ่มทำสงครามแล้ว ตกระกำลำบากกันทั้งครอบครัว พอมาถึงจี้โจวปู่ข้าก็ตายในสงคราม พ่อข้าออกรบแทนปู่ ต่อมาพ่อข้าก็ตายไปอีกคน ข้ากับน้องชายเข้าร่วมกองทัพด้วยกัน กรำศึกสงครามต่อ หึๆ ครอบครัวข้าเรียกได้ว่าเป็นทหารกันทั้งตระกูล”

    ถังอี้หมิงเองก็หัวเราะทว่าในใจกลับสนุกสนานไม่ออก คนที่ถูกลากให้เข้าไปอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายจากภัยสงครามอย่างหวงต้ามีจำนวนไม่ใช่น้อย กองกำลังฉี่หัวแท้ก็คือกองกำลังทหารของคนที่ปรารถนาจะมีชีวิตรอดต่อไป คนที่หมายจะมีชีวิตรอดมีอาหารให้กินท่ามกลางภัยสงครามเช่นนี้มีแต่ต้องเข้าร่วมทัพเท่านั้น ขอเพียงมีอาหารประทังชีวิต คนที่อยู่เบื้องบนต้องการให้พวกเขาจัดการใครพวกเขาก็พร้อมจะจัดการคนคนนั้น ไม่เคยถามเหตุผลว่าทำไมและไม่เคยคิดปรารถนาในยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ความต้องการเพียงหนึ่งเดียวคือการมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น

    “เจ้าคิดถึงบ้านบ้างหรือไม่” ถังอี้หมิงถาม

    หวงต้าหัวเราะ “นายกอง บอกกับท่านตามตรง ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยกลับบ้านเกิดเลยสักครั้ง นับแต่ปู่ข้าลงมา คนในบ้านของข้าก็ใช้ชีวิตอยู่แถวๆ จี้โจว ทว่าข้าอยากไปดูให้เห็นกับตาเหมือนกันว่าจงหยวนเป็นเช่นไร”

    ถังอี้หมิงถอนหายใจ บอกกับตัวเอง “ถ้าไม่มีสงครามโลกนี้ก็คงดีไม่น้อย!”

    “ใช่ นายกอง ท่านพูดไม่ผิด ถ้าไม่มีสงคราม พวกเราก็ไม่ต้องต่อสู้ ข้าเบื่อชีวิตเลียเลือดบนคมดาบเช่นนี้จะแย่แล้ว น้องชายข้าตาบอดไปข้าง วันหน้าคิดจะแต่งเมียคงไม่ใช่เรื่องง่าย” หวงต้าพูดน้ำเสียงหม่นหมอง

    ได้ยินหวงต้าพูดถึงน้องชาย เขาก็หันมองไปทางด้านซ้าย ไม่รู้เหตุใดหวงเอ้อร์ถึงไปนั่งอยู่กับหลี่เหล่าซื่อได้ เมื่อตอนกลางวันยังจะฆ่ากันตายอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาสงบนิ่งเช่นนี้ นัยน์ตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ที่ฝูงหมาป่าที่อยู่ยังสนามรบเบื้องหน้า สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก

    ‘โครกคราก!’

    หวงต้าเอามือกุมท้อง ยิ้มให้ถังอี้หมิง “นายกอง ท้องข้าเริ่มร้องแล้ว ท่านหิวหรือไม่”

    ถังอี้หมิงพยักหน้าไม่พูดไม่จา เพราะก่อนหน้านี้เขาตรวจค่ายทหารดูแล้ว ในค่ายแม้แต่ข้าวสารสักเมล็ดก็ไม่มี มีก็แต่น้ำเท่านั้น

    หวงต้านัยน์ตาเป็นประกาย จ้องมองดูหมาป่าที่กำลังกัดแทะเนื้อมนุษย์อยู่ท่ามกลางกองซากศพ เขาบอกกับถังอี้หมิง “นายกอง ท่านรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าไปหาเนื้ออร่อยๆ มาให้”

    พอพูดจบ ยังไม่ทันที่ถังอี้หมิงจะพูดอะไรออกมา หวงต้าก็ลุกขึ้นยืน ตะโกนเรียกหวงเอ้อร์กับหลี่เหล่าซื่อ “ตามข้ามา พวกเราไปหาอะไรกินกัน”

    ถังอี้หมิงเห็นหวงต้า หวงเอ้อร์ หลี่เหล่าซื่อกับคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนถือทวนวงเดือนไว้ในมือ มุ่งหน้าตรงไปยังสนามรบก่อนจะค่อยๆ หายลับไปในความมืด เขาดูออกว่าหวงต้า หวงเอ้อร์ หลี่เหล่าซื่อเป็นผู้นำของคนพวกนั้น อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดว่าพวกทหารคนอื่นๆ นับถือพวกเขาอยู่ไม่ใช่น้อย

    พวกหวงต้าเดินไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ถังอี้หมิงก็ได้ยินเสียงหมาป่าหอนดังลอยมาจากความมืด ตามติดมาด้วยเสียงกู่ร้องของคนกลุ่มหนึ่ง

    ถังอี้หมิงไม่สนใจ เขานอนหงายอยู่บนพื้นหญ้า มองดูดวงดาวเกลื่อนฟ้ายามราตรี ท่องชื่อ ‘หรั่นหมิ่น’ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายต่อหลายรอบ เขาเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน

    ความทรงจำแวบหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของถังอี้หมิงรวดเร็ว เขาจำได้แล้ว หรั่นหมิ่นเจ้าของ ‘ประกาศิตสังหารชนเผ่า’ คนนั้น

    เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับหรั่นหมิ่นในหนังสือเล่มหนึ่งมาก่อน หลังหรั่นหมิ่นออกประกาศิตสังหารชนเผ่าไม่นาน พื้นที่รอบๆ เยี่ยเฉิงรวมถึงจี้โจวก็เริ่มรกร้าง ไร่นาไม่มีคนทำจนเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร หรั่นหมิ่นนำกองทัพขึ้นเหนือเพื่อค้นหาปล้นสะดมเสบียงอาหารจากพวกชนเผ่าต่างๆ ยามใดที่พบเจอก็ล้วนลงมือสังหารอีกฝ่ายอย่างเมามัน

    ต่อมากองกำลังทหารของแคว้นเยียนที่เหนือกว่าก็เริ่มโจมตีหรั่นหมิ่น หรั่นหมิ่นอาศัยกำลังทหารที่มีอยู่ไม่ถึงหมื่นต่อสู้กับกองทัพแคว้นเยียนหลายต่อหลายครั้งบดขยี้ทัพเยียนแตกพ่าย แต่สุดท้ายเพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ อีกทั้งยังขาดกองหนุน ทำให้กองกำลังภายใต้การนำของหรั่นหมิ่นถูกทำลายย่อยยับ ส่วนกองทัพเยียนที่ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ก็เคลื่อนพลลงใต้ บุกทะลวงเป็นพายุบุแคม สุดท้ายแคว้นเว่ยก็ถึงกาลอวสาน

    พอนึกถึงประวัติศาสตร์เลือนรางพวกนี้ได้ ถังอี้หมิงก็ถึงกับตะลึง ที่เขาอยู่ในตอนนี้คือสมรภูมิรบ กองกำลังที่เขาอยู่คือกองกำลังทหารของแคว้นเว่ย ทันทีที่กองกำลังของแคว้นเยียนจัดการกับทัพหน้าของหรั่นหมิ่นได้สำเร็จ คนพวกนั้นย่อมต้องบุกเข้ามา ถึงตอนนั้นเขาไม่แคล้วต้องตายไปด้วยแน่

    ถังอี้หมิงไม่ยินยอม วิญญาณเขาเพิ่งจะเข้าสิงร่างใหม่ได้ไม่ทันไรก็ต้องมาเจอหายนะท่วมหัวแบบนี้แล้วหรือ

    ยิ่งได้เห็นบรรดาทหารหาญที่ต้องมาทำสงครามเพื่อเอาชีวิตรอดมากมายรอบตัว เขาก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ไฟปรารถนาร้อนแรงลุกโหมอยู่ภายใน เป็นแรงปรารถนาที่จะมีชีวิต

    ความกล้าหาญบนตัวทหารกล้าที่ผ่านศึกสงครามมานับร้อยเหล่านี้อยู่เหนือกว่าความประหวั่นพรั่นพรึงต่อความตายนานแล้ว แต่หากต้องมาตายเปล่าไปแบบนี้ มันคุ้มค่าหรืออย่างไรกัน

    “ไม่! สวรรค์ให้ฉันมาที่นี่ ต้องไม่ใช่เพื่อให้มาตายไปอย่างน่าอัปยศอดสูแบบนี้! และต้องไม่ใช่เพื่อมาดูบรรพบุรุษของชาวฮั่นจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายทารุณแน่…ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองเพื่อชาวบ้านหรือเพื่อประเทศชาติ…”

    ท่ามกลางการสู้รบดุเดือดทางความคิด ถังอี้หมิงเริ่มมั่นใจขึ้นทีละน้อย เขาตัดสินใจที่จะใช้ความรู้ที่ตัวเองมีเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ยุติสงครามความวุ่นวายทั้งหมดทั้งมวล คืนสังคมอันสงบสุขให้ทุกคน

    ไม่ว่าชนเผ่าป่าเถื่อนพวกนี้จะแข็งแกร่งสักขนาดไหนก็ไม่มีทางเทียบได้กับมรดกทางวัฒนธรรมนับพันปีของชาวฮั่นได้ ความรุ่งโรจน์ของชาวจีนในเวลานี้ล้วนเกิดจากโอกาสที่ชาวฮั่นมอบให้ทั้งสิ้น หากจักรวรรดิของชาวฮั่นผู้ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนนี้อีกครั้ง ชนเผ่าป่าเถื่อนพวกนี้ไหนเลยจะมีโอกาสเยี่ยงนี้ได้

    ที่สำคัญที่สุดคือเขามาที่นี่แล้ว ขอเพียงครั้งนี้หนีรอด พาทหารหาญที่เคยผ่านศึกมานับร้อยพวกนี้เอาชีวิตรอดออกไปได้ อาศัยความรู้ที่เขามีกับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค ต่อให้สุดท้ายไม่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ ยังไงก็ต้องสร้างกระแสฆ่าล้างพวกชนเผ่าป่าเถื่อนพวกนี้ให้กลับขึ้นมาให้ได้อีกครั้ง ต่อให้ต้องฆ่าล้างโคตรคนพวกนั้นแล้วไง

    ครั้นตั้งมั่นปณิธานยิ่งใหญ่ในใจเป็นที่เรียบร้อย ถังอี้หมิงก็เก็บงำความคิดดังกล่าวไว้ในใจลึกๆ เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าคือจะพาคนพวกนี้ไปจากที่นี่ได้เช่นไร

    ฉันต้องคิดหาหนทางพาพวกเขาไปจากที่นี่ให้ได้! ถังอี้หมิงบอกกับตัวเองหนักแน่น

    ในตอนนี้พวกหวงต้ากลับมาแล้ว คนสองคนช่วยกันหามทวนวงเดือน บนทวนมีหมาป่าตัวหนึ่งถูกมัดไว้

    หวงต้าตะโกนบอกถังอี้หมิงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “นายกอง ดูสิ คืนนี้พวกเรามีกินแล้ว”

    “มีกินแล้ว?”

    ถังอี้หมิงเพิ่งรู้ว่าพวกเขาไปล่าสัตว์มา ครั้นเห็นอาหารที่กำลังจะตกลงท้องในอีกไม่ช้า เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถังอี้หมิงพูดน้ำเสียงราบเรียบ “ใช่แล้ว ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างได้!”

    หมาป่าที่พวกหวงต้าล่ามาได้ทั้งสิบตัวถูกจับถลกหนังในคืนนั้น เครื่องในของพวกมันถูกควักออก เนื้อถูกจับโยนลงในกระทะต้ม หลังต้มสุกพวกเขาก็จัดการแบ่งเนื้อหมาป่ากับน้ำแกงใส่ถ้วยให้พวกทหารที่บาดเจ็บเท่าๆ กัน ถังอี้หมิงกินอาหารมื้ออร่อยอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

    นึกไม่ถึงว่าเนื้อหมาป่าจะสดอร่อยแบบนี้ หลังกินเนื้อหมาป่าเสร็จ เขาก็บอกกับตัวเองด้วยความชื่นมื่นอยู่ภายในใจ

    หลังจากนั้นพวกเขาก็พักผ่อนกันตลอดคืน

    ถังอี้หมิงเริ่มคิดวางแผนว่าพรุ่งนี้เขาจะใช้ข้ออ้างนี้เสนอให้ทุกคนถอยทัพไปกับเขา

    เช้าวันที่สอง ดวงตะวันเจิดจ้าโผล่อยู่บนฟากฟ้าฝั่งตะวันออก ฉายแสงอาบไล้ลงบนค่ายทหารที่กองกำลังฉี่หัวสร้างขึ้นง่ายๆ

    ถังอี้หมิงเรียกนายทหารทั้งห้าร้อยหกสิบสามคนให้มารวมตัวกัน เขาพูดอย่างกลัดกลุ้ม “พี่น้องทั้งหลาย เมื่อวานพวกเราได้กินเนื้อหมาป่ากันอย่างอิ่มหนำสำราญ ขณะที่พวกเราอิ่มท้อง แล้วฝ่าบาทที่ทรงอยู่แนวหน้าเล่า ไม่รู้ว่าจะทรงมีอาหารสักมื้อให้เสวยบ้างหรือเปล่า หากแม้แต่อาหารก็ยังไม่ได้เสวย แล้วพระองค์จะเอาอะไรไปสู้รบ!”

    ได้ยินถังอี้หมิงพูดแบบนั้น บรรดานายทหารต่างก็มองหน้ากันไปมาก่อนจะผงกหัวน้อยๆ

    “นายกอง แล้วท่านคิดว่าพวกเราควรทำเช่นไร” หลี่เหล่าซื่อถาม

    พอเห็นว่าวาทศิลป์ของตัวเองทำให้คนติดกับได้แล้วถังอี้หมิงก็พูดต่อ “พวกเราจะเอาแต่รออยู่ที่นี่ไม่ได้ ถึงพวกเราจะเป็นทหารบาดเจ็บแต่ก็ไม่ใช่คนพิการไร้ประโยชน์ อย่างไรพวกเราก็ต้องทำอะไรบางอย่าง! นอกจากนี้ ตอนนี้พวกเราอย่าว่าแต่กินข้าวเลย แม้แต่จะดื่มน้ำแกงก็ยังลำบาก เพราะฉะนั้นพวกเราต้องออกไปปล้นสะดมรวบรวมเสบียงอาหาร ทั้งเพื่อพวกเราเองและเพื่อฝ่าบาท! ทุกคนคิดเห็นเช่นไร”

    “ปล้นสะดมรวบรวมเสบียงอาหาร? ละแวกนี้รกร้างแทบทั้งสิ้น ที่หนีได้ก็หนี ที่หนีไม่รอดก็ล้วนถูกจับเข้ากองทัพ แล้วพวกเราจะไปปล้นเสบียงอาหารจากที่ใดได้” พอได้ยินคำพูดของถังอี้หมิง หลี่เหล่าซื่อก็เอ่ยปากไม่เห็นด้วยขึ้นมาทันที

    ถังอี้หมิงเห็นพ้อง เขาเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่เท่าไร ยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ทั่วไป ปล้นเสบียงอาหารก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่จะพูดให้ข้ออ้างนี้ฟังดูสมจริงสมจัง เขาต้องใช้ความรู้ทั่วไปทางด้านภูมิศาสตร์ด้วย จึงเอ่ยถามขึ้น “มีแผนที่หรือเปล่า ข้าต้องการดูว่าต้องไปปล้นเสบียงอาหารได้ที่ใด!”

    “มี ข้ามีแผนที่ฉบับหนึ่งพอดี!” หวงต้าหยิบเอาหนังแกะผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้ถังอี้หมิง

    ถังอี้หมิงรับแผนที่มาเปิดออกดู ภาพวาดด้านบนแลดูสับสนยุ่งเหยิง อีกทั้งยังเหม็นกลิ่นสาบเหงื่อรุนแรงอีกต่างหาก

    ถังอี้หมิงพลิกแผนที่ดูไปมา แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเหนือใต้ออกตกอยู่ตรงไหน ต่างกับแผนที่ปัจจุบันมากโข หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตะโกนถาม “หวงต้า! นี่มันแผนที่บ้าอะไร ใครให้เจ้ามา ดูรู้เรื่องเสียที่ไหนกัน!”

    หวงต้ารับเอาแผนที่ไปวางลงกับพื้น หัวเราะบอกกับถังอี้หมิง “นายกอง นี่เป็นแผนที่ที่ปู่ข้าวาดไว้ ทุกครั้งที่เดินทางผ่านที่ใดที่หนึ่งไป เขาก็จะวาดสถานที่แห่งนั้นไว้บนแผนที่ พอปู่ข้าตายไป เขาก็มอบมันให้พ่อข้า พอพ่อข้าตาย เขาก็มอบมันให้ข้าต่อ ทว่าข้าไม่ได้เขียนอะไรเพิ่มเติมเลยสักนิด เพราะเส้นทางที่ข้าเดินทางผ่านพวกเขาล้วนเขียนไว้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังไม่เคยเดินทางออกจากจี้โจวเลยสักครั้ง”

    ถังอี้หมิง ‘อืม’ ออกมาคำหนึ่งพลางพยักหน้า เขาก้มหน้ามองดูแผนที่ต่อ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “รีบบอกมา ทางใดคือเหนือใต้ออกตก แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่แถวไหน”

    หวงต้าชี้แผนที่พลางพูดช้าๆ “นายกอง ที่นี่คือเหลียนไถ พวกเราอยู่ที่นี่ เหลียนไถเป็นหมู่บ้านอยู่ในอำเภออันสี่…”

    ถังอี้หมิงมองไปตามตำแหน่งที่หวงต้าพูด สายตาเคลื่อนจากอำเภออันสี่ลงไปทางด้านล่าง ที่อยู่ด้านล่างคือฉางซาน ถัดไปคือจวี้ลู่ ก่วงจง ก่วงผิง หานตาน ต่ำลงไปอีกคือเยี่ยเฉิง

    ครั้นมองเห็นเยี่ยเฉิง เขาก็รีบชักสายตาไปทางอื่น เขาไม่อยากไปที่นั่น เพราะที่นั่นกำลังจะเกิดเหตุสลดหดหู่อย่างคนกินคนขึ้น

    ตาของเขาจับจ้องไปที่มุมขวาล่างที่หวงต้าระบุว่าคือเกาถัง ที่นั่นอยู่ใกล้แม่น้ำหวงเหอ เขาอยากข้ามแม่น้ำหวงเหอไปจงหยวน ไปให้ไกลจากดินแดนวุ่นวายนี้

    หวงต้าอธิบายแผนที่ให้ถังอี้หมิงฟังจนจบ เขาจำชื่อสถานที่ต่างๆ ไว้ในใจ

    ถังอี้หมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้พวกเราไปเตรียมตัวกันก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย ทุกคนเอาอาวุธกับโล่ไปด้วย พวกเราจะไปปล้นเสบียงอาหารกัน”

    “นายกอง ข้ายังคงยืนกรานคำพูดเดิม ละแวกนี้ล้วนแต่รกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย พวกเราจะไปปล้นเสบียงอาหารกันที่ใด” หลี่เหล่าซื่อพูดพลางกุมบาดแผลบนแขนขวา ใบหน้าซีดเผือด

    ถังอี้หมิงมือเท้าคาง พอเห็นคนอื่นๆ ก็เหมือนกับหลี่เหล่าซื่อที่ไม่มั่นใจในตัวเขาสักเท่าไรนัก เขาก็ชี้ไปยังตำแหน่งที่ที่มีรอยวงเอาไว้บนแผนที่ “ที่นี่ พวกเราจะไปปล้นเสบียงกันที่นี่”

    หวงต้ามองดูแผนที่ปราดหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “นายกอง ท่านดูดีแล้วใช่หรือไม่ ที่นั่นมันฉางซาน เป็นแนวหลังของพวกเรา แล้วพวกเรายังจะต้องไปปล้นเสบียงอาหารด้วยเหตุใด”

    ถังอี้หมิงตะลึง แคว้นเว่ยมีอาณาเขตกว้างใหญ่แค่ไหนเขาไม่รู้ ที่สุ่มสี่สุ่มห้าชี้ไปก็แค่จะหาข้ออ้างให้ตัวเองเท่านั้น พอได้ยินหวงต้าบอกว่าฉางซานเป็นแนวหลังของตัวเอง เขาก็หัวเราะพูด “ในเมื่อเป็นแนวหลังของพวกเรา เช่นนั้นเรื่องเสบียงอาหารก็ยิ่งง่ายเข้าไปอีก พวกเราไปเอาเสบียงอาหารที่นั่น หลังจากนั้นก็รีบกลับมา ไม่แน่ว่าอาจช่วยส่งเสบียงให้ฝ่าบาทได้”

    พอได้ยินถังอี้หมิงพูดมีเหตุผลแบบนั้น หวงต้าก็ถาม “นายกอง พวกเราต้องไปกันหมดนี่ใช่หรือไม่”

    ถังอี้หมิงพยักหน้า “แน่นอน ทุกคนตามข้าไป! ห้ามรออยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว”

    “ข้าไม่ไป!” นายทหารขาขาดนอนอยู่กับพื้นคนหนึ่งพูดเด็ดเดี่ยว

    ถังอี้หมิงเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เขา ค้อมเอวปัดดินโคลนที่อยู่บนตัวอีกฝ่ายเบาๆ พลางถาม “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไป”

    นายทหารขาขาดคนนั้นพูด “ดูขาของข้าสิ! แบบนี้แล้วข้ายังจะไปได้อีกหรือไร”

    “ข้าก็ไม่ไป ขาข้าขาดทั้งสองข้างแล้ว หากให้ตามไปด้วย รังแต่จะเป็นภาระเท่านั้น ไม่สู้รอทุกคนอยู่ที่นี่” นายทหารที่ขาขาดทั้งสองข้างพูดขึ้น

    ทหารแขนขาขาดไปอย่างละข้างที่เอนกายพิงอยู่ข้างต้นไม้อีกรายก็พูดขึ้นเช่นกัน “นายกอง ข้าก็ไม่ไป!”

    เพียงไม่นาน บรรดาทหารที่บาดเจ็บสาหัสไม่อาจเดินทางได้ก็พากันร้องบอกไม่ไป

    ถังอี้หมิงเข้าใจดี หากไม่มีทหารบาดเจ็บพวกนี้เป็นภาระ แผนตะลุยฝ่าวงล้อมของเขาย่อมต้องมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นไปอีก แต่เขาไม่ยินดีละทิ้งพี่น้องเหล่านี้ จึงกัดฟันแน่น พูดเสียงดัง “เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งพี่น้องแม้แต่คนเดียวไปเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ไม่ ตอนนี้ก็ไม่ วันหน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง!!”

    “แต่ว่า…นายกอง พวกเรา…พวกเราเดินไม่ได้จริงๆ หากฝืนไปจากที่นี่ ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง…” นายทหารที่ถูกหอกแทงทะลุต้นขา ปาดเช็ดสองตาแดงก่ำพลางร้องอย่างรันทดโมโห

    “พอได้แล้ว!”

    ถังอี้หมิงโบกมือห้ามไม่ให้ทหารที่บาดเจ็บคนอื่นๆ พูดอีก สายตาเย็นเยียบกวาดมองไปบนร่างของพวกเขา ก่อนจะส่งเสียงประชดหนักแน่นออกมา “เฮอะ! ใครว่าพวกเจ้าเดินไม่ได้ ข้าว่าได้ก็ต้องได้!”

    จะพาทหารบาดเจ็บไปเช่นไรเรื่องนี้ถังอี้หมิงได้คิดเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ขณะที่คนอื่นๆ ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองเขาก็เดินเข้าไปในป่า หยิบเอาเปลอันหนึ่งออกมาโยนลงกับพื้น ตะโกนเรียกหวงต้ากับหวงเอ้อร์ “หวงใหญ่ หวงเล็ก เข้ามานี่!”

    หวงต้าหวงเอ้อร์ยังคงยืนอยู่กับที่ มองซ้ายมองขวาไม่ต่างอะไรกับนายทหารคนอื่นๆ คล้ายกำลังหาใครบางคน

    ถังอี้หมิงเดินมาหยุดอยู่ข้างหวงต้าหวงเอ้อร์ ตบพวกเขากันคนละฉาด “ยังจะมองหาอะไรอีก! ไม่รู้หรือไงว่าข้ากำลังเรียกพวกเจ้า”

    หวงต้าประท้วง “นายกอง ข้าชื่อหวงต้า ไม่ใช่หวงใหญ่!”

    “ข้าก็ไม่ได้ชื่อหวงเล็ก ข้าชื่อหวงเอ้อร์!” หวงเอ้อร์รีบพูดรับคำ

    ถังอี้หมิงบอก “พวกเจ้าสองพี่น้องคนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็ก เรียกอะไรก็ไม่ต่างกัน พวกเจ้ามานี่ พาพวกเขาขึ้นเปล!”

    หวงต้าหวงเอ้อร์ทำตามที่ถังอี้หมิงสั่ง แบกทหารขาขาดรายนั้นขึ้นไปบนเปลก่อนจะลงมือยกเปลขึ้น

    ถังอี้หมิงชี้นิ้วไปยังทหารที่บาดเจ็บที่ถูกหามอยู่บนเปล “เห็นแล้วใช่ไหม พวกเจ้าคิดเช่นไรข้าย่อมรู้ดี ทว่าพวกเจ้าไม่ต้องกลัว เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ยากเกินความสามารถ! ขอเพียงทำเปลแบบนี้เพิ่มอีกสักหลายๆ อัน ถึงตอนนั้นคิดจะเคลื่อนย้ายคนที่บาดเจ็บสาหัสย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจแต่อย่างใด แต่หากพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ เกิดพวกสุนัขเยียนลอบโจมตีเข้ามา พวกเจ้ามิเท่ากับเป็นลูกแกะให้พวกมันเข่นฆ่าได้ตามใจชอบหรือไรกัน ต่อให้ที่มาเป็นแค่หมาป่าตัวหนึ่ง พวกเจ้าก็รับมือไม่ได้แล้ว ในเมื่ออยู่ที่นี่ก็ต้องตาย เช่นนั้นไม่สู้ตามข้าไป เมื่อได้เสบียงอาหารมาอย่างน้อยก็ยังพอได้กินอิ่มท้องสักมื้อ”

    ทหารแขนขาดอีกคนพูด “นายกอง ที่ข้ากังวลไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่เป็นเรื่องฝ่าบาทกับพวกทหารที่อยู่แนวหน้า! เกิดมีทหารบาดเจ็บกลับมาแล้วหาพวกเราไม่พบจะทำอย่างไร”

    ถังอี้หมิงหน้าตาถมึงทึงขึ้นมาทันที เขาพูดน้ำเสียงดุดัน “ฝ่าบาทรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง องอาจห้าวหาญไม่มีใครเทียบ โลกนี้ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเป็นศัตรูกับพระองค์ ต่อให้อยู่ท่ามกลางกองทหารร้อยหมื่น พระองค์ก็ทรงตัดหัวแม่ทัพข้าศึกได้ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับเอื้อมพระหัตถ์ไปล้วงหยิบของ แล้วเจ้ายังจะต้องกังวลอะไร ยิ่งเรื่องทหารบาดเจ็บที่เดินทางกลับมานั้นก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก ทันทีที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่ พวกเขาก็กินอาหารที่พวกเราทำเตรียมไว้ให้บำรุงกำลังบรรเทาความหิวกระหาย แบบนี้แล้วยังมีอะไรไม่ดีอีก! นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราทุกคนต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่วมเป็นร่วมตาย! จะทอดทิ้งกันไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ทอดทิ้ง ไม่ยอมแพ้ นี่คือสิ่งที่ข้าจะทำในเวลานี้ ข้าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว!”

    ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปากของถังอี้หมิง ใจของทุกคนก็ราวกับถูกประทับไว้ด้วยตรา ‘ไม่ทอดทิ้ง ไม่ยอมแพ้’ ระยะห่างระหว่างถังอี้หมิงกับพวกเขาเหมือนถูกดึงให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม

    ใจของหวงต้าหวั่นไหวหนัก ภาพตอนถูก ‘ถังอี้หมิง’ ช่วยไว้ปรากฏขึ้นในสมอง ที่ ‘ถังอี้หมิง’ แสดงออกมาให้เห็นคือปณิธานแรงกล้าที่พร้อมจะสละชีวิตตนแต่จะไม่ขอละทิ้งพี่น้องคนใดคนหนึ่งไปเด็ดขาด

    หวงต้าซาบซึ้ง ชูมือสูงเหนือหัว ตะโกนร้องเสียงดัง

    “ไม่ทอดทิ้ง ไม่ยอมแพ้!”

    “ไม่ทอดทิ้ง ไม่ยอมแพ้!”

    คำขวัญ “ไม่ทอดทิ้ง ไม่ยอมแพ้!” แพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ปลุกเร้าจิตใจช่วยให้พวกเขาสมัครสมานสามัคคีกลายเป็นหนึ่งเดียว

    ทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสต่างเห็นพ้องที่จะตามถังอี้หมิงไปรวบรวมเสบียงกรัง ถังอี้หมิงสั่งคนให้ไปตัดกิ่งไม้แห้ง ทำลายกระโจมเอาไม้มาทำเป็นเปล

    นายทหารห้าร้อยหกสิบสามคน ที่บาดเจ็บเดินไม่ได้มีหนึ่งร้อยสามสิบหกคน ส่วนอีกสองร้อยยี่สิบเจ็ดคนพอฝืนเดินทางไหว ที่เหลืออีกสองร้อยคนมีหน้าที่สำคัญคือช่วยกันแบกเปล

    พวกเขารวบรวมอาวุธกับโล่ รื้อเอาเสื้อเกราะบนศพสุนัขเยียนพวกนั้นขึ้นมาสวมก่อนจะเดินทางออกจากป่ามุ่งหน้าลงใต้

     

    เพราะนำทหารที่บาดเจ็บไปด้วย ทำให้การเดินทางของถังอี้หมิงเป็นไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะพบเจอหมู่บ้านสักแห่งได้ก็ไม่ใช่ง่าย ต้องเดินทางกันอยู่เกือบชั่วโมง ทว่าหมู่บ้านแห่งนั้นกลับร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัยแล้วเนิ่นนาน แม้แต่ข้าวของอะไรก็ไม่มีแม้แต่อย่างเดียว เพราะสงครามต่อเนื่องเนิ่นนานหลายปี คนที่พอจะหนีได้ก็หนีไปจนสิ้น พวกที่หนีไม่พ้นก็ล้วนถูกจับไปเป็นทาสไม่ก็ถูกส่งเข้าไปอยู่ในกองทัพ

    หลังจากพักผ่อนกันช่วงสั้นๆ ถังอี้หมิงก็ตระหนักได้ว่าจะเดินทางสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ที่นี่ร้างไร้ผู้คนอีกทั้งยังเป็นพื้นที่ราบ หากถูกทหารกองทัพเยียนลอบโจมตีเข้า คิดจะหลบก็คงหลบไม่พ้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจส่งคนที่สมรรถภาพร่างกายค่อนข้างดีกับคนที่มีประสบการณ์ในการลาดตระเวนออกไปสอดแนม

    “นายกอง เรื่องนี้ให้ข้ากับหลี่เหล่าซื่อไปทำก็แล้วกัน!” หวงต้าขันอาสา

    หลี่เหล่าซื่อพยักหน้า ส่วนถังอี้หมิงเองก็เห็นด้วย จึงเอ่ยปากกำชับ “พวกเจ้ามุ่งหน้าลงใต้ หากเจอหมู่บ้านที่ปลอดภัย ก็ให้ใช้ทวนวาดวงกลมไว้บนพื้นบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน ถ้าเจอกองทัพของพวกศัตรูก็ให้รีบถอยกลับมา นี่แผนที่!”

    หวงต้าโบกมือ “นายกอง ข้าจำแผนที่ได้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางบนแผนที่นี้ข้าก็เคยไปมาหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้มัน ท่านเก็บเอาไว้เถอะ!”

    ถังอี้หมิงบอก “ตกลง เช่นนั้นพวกเจ้าระวังตัวให้ดีๆ!”

    หวงต้ากับหลี่เหล่าซื่อออกเดินทาง ก่อนไปหวงต้าได้กำชับกับหวงเอ้อร์เป็นพิเศษ ให้เขาคุ้มครองถังอี้หมิงให้ดี

    หลังจากพักกันอยู่ครู่หนึ่ง ถังอี้หมิงกับคนที่เหลือก็ออกเดินทางต่อ พวกเขามุ่งหน้าไปตามสัญลักษณ์ที่เขียนไว้บนแผนที่ ทุกครั้งที่ไปถึงที่หน้าหมู่บ้านล้วนมีสัญลักษณ์ปลอดภัยที่หวงต้ากับหลี่เหล่าซื่อทิ้งไว้

    ตกเที่ยง ถังอี้หมิงกับทหารที่บาดเจ็บก็มาหยุดอยู่ที่หมู่บ้านจ้าวจยาโกว พวกเขาในเวลานี้เข้ามาถึงเขตฉางซานแล้ว ทว่าทุกสิ่งอย่างที่พบเห็นตามทางล้วนแต่เป็นหมู่บ้านว่างเปล่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัยกับทุ่งนารกร้าง ทัศนียภาพเปลี่ยวร้างที่เห็นสร้างความสะเทือนใจให้ถังอี้หมิงไม่ใช่น้อย

    ยุคสมัยอันวุ่นวาย บางทีอาจมีเพียงยุติสงครามทั้งหมดทั้งมวลลงเท่านั้นชาวบ้านถึงจะดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขได้ ถังอี้หมิงเข้าใจเรื่องนี้ดี ทว่ายุติสงครามไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่ปากพูด เขาย้อนยุคกลับมามีชีวิตใหม่ มีโอกาสดำรงชีวิตต่อไป ทว่าคนพวกนี้ใช่ว่าจะโชคดีเหมือนเขาเสียที่ไหน

    เห็นผู้คนเหล่านี้ล้วนต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญ จิตใจห้าวหาญรักความเป็นธรรมที่ถูกเก็บงำอยู่ในใจของถังอี้หมิงก็ท่วมท้นขึ้นมาทันที เขาถอนหายใจ ความคิดที่จะช่วยเหลือชาวบ้านให้รอดพ้นจากกลียุคงอกเงยขึ้นภายใน

    ถังอี้หมิงนั่งพิงกำแพงอยู่กับพื้น ปลดผ้าขาวบางบนตัวออก มองดูปากแผล ก่อนจะกัดฟันฉีกผ้าขาวบางมาทำเป็นผ้าพันแผลให้ตัวเอง

    ฉันสาบาน วันหน้าจะไม่ยอมให้ใครต้องมาบาดเจ็บแทนฉันอีก ถังอี้หมิงบอกกับตัวเองเงียบๆ อยู่ภายในใจ

    “นายกอง พวกเรามาไกลเกินไปแล้วหรือเปล่า” พอเห็นถังอี้หมิงนั่งลงกับพื้น หลิวซานก็เดินตรงเข้ามาถาม

    ถังอี้หมิงมองดูทหารคนอื่นๆ สายตาของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับหลิวซาน ล้วนเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ถังอี้หมิงจึงลุกขึ้นยืน ประกาศด้วยเสียงอันดัง “ไม่ได้เสบียงอาหาร พวกเราจะไม่กลับไปเด็ดขาด! ขอเพียงมีเสบียงอาหารมากพอสำหรับกองกำลังหลายพันนาย พวกเราจะกลับไปทันที!”

    พอได้ยินถังอี้หมิงพูดแบบนั้น หลิวซานกับทหารคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าเขากำลังคิดแทนฝ่าบาท ไม่พูดอะไรอีก

    หลังจากพักกันราวๆ ครึ่งชั่วโมง ขณะที่กำลังเตรียมออกเดินทาง พวกเขาก็เห็นหลี่เหล่าซื่อกลับมา

    ทันทีที่เห็นถังอี้หมิง หลี่เหล่าซื่อก็หอบหายใจพูดอย่างตื่นตระหนก “นายกอง ด้านหน้า…ด้านหน้ามีลำธารสายหนึ่ง บนลำธารมีสะพานลอยน้ำ อีกฟากของสะพานมีกองกำลังของพวกสุนัขเยียนสองร้อยกว่านาย หวงต้าซ่อนตัวอยู่ในป่าริมลำธาร เขาให้ข้ากลับมารายงาน ถามนายกองว่าจะให้ทำอย่างไร”

    ถังอี้หมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ที่นี่เป็นหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ยังพอใช้เป็นจุดพักเท้าได้ ทว่าที่นี่กว้างใหญ่ไม่น้อย หากเจอกับทหารม้าของพวกสุนัขเยียนเข้า พวกเราคงรับมือได้ยาก เตรียมตัวกันสักครู่ พวกเราไปหลบอยู่ในป่าที่หวงต้าซ่อนตัวอยู่กันก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดหาวิธีข้ามสะพานนั่นกัน”

    ภายใต้การนำของหลี่เหล่าซื่อ ถังอี้หมิงกับคนอื่นๆ จึงลอบเข้าไปในป่าริมลำธารได้โดยไม่มีใครล่วงรู้

    ถังอี้หมิงสั่งให้พวกทหารที่บาดเจ็บพักอยู่กับที่ เขาเดินไปอยู่ข้างๆ หวงต้า มองดูลำธารเบื้องหน้าพลางถาม “หวงต้า สถานการณ์ที่ด้านหน้าเป็นอย่างไรบ้าง”

    หวงต้าชี้ไปยังสะพานเหนือลำธาร “นายกอง ท่านดู พวกสุนัขเยียนสองร้อยกว่านายเฝ้าอยู่ที่นั่น หนำซ้ำยังตั้งกระโจมเอาไว้อีก ดูท่าพวกมันคงเตรียมเฝ้าอยู่ที่นั่นระยะยาวแน่ ถ้าฝ่าข้ามสะพานไปไม่ได้ พวกเราก็ไม่มีทางไปต่อ”

    ถังอี้หมิงขมวดคิ้ว มองดูทหารที่อยู่ด้านหลัง ที่พอจะสู้รบได้ก็มีเพียงสองร้อยคนเท่านั้น ทว่าทหารทั้งสองร้อยคนล้วนแต่เป็นทหารบาดเจ็บ หนำซ้ำยังรีบเร่งเดินทางมาตลอดบ่าย ตอนนี้ต่างอ่อนล้าจนแทบไม่ไหวแล้ว จะไปโจมตีเล่นงานทหารม้าทัพเยียนได้อย่างไรกัน

    “ก็แค่สองร้อยกว่าคนเท่านั้น จะต้องไปกลัวอะไร! พวกเราก็แค่บุกโจมตีเข้าไปตรงๆ จัดการสังหารพวกมันไม่ให้เหลือหลอแค่นั้นก็จบแล้ว!” หลี่เหล่าซื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของถังอี้หมิงกับหวงต้าพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

    ถังอี้หมิงรีบพูด “ไม่ได้! สะพานนั่นทั้งเล็กทั้งแคบ ยังไม่ทันไปถึงสะพาน พวกศัตรูมีหวังได้พบพวกเราเข้าก่อน ถึงตอนนั้นโอกาสจะข้ามสะพานไปคงยากแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีก่อน!”

    ถังอี้หมิงบังเอิญสังเกตเห็นชุดเกราะที่ปลดออกมาจากศพทหารเยียนบนตัวทหารคนหนึ่ง ทหารคนอื่นๆ ที่สวมใส่ชุดเกราะนั่นมีอยู่ด้วยกันราวๆ ห้าหกคน เขานึกอะไรขึ้นได้ทันที “หึๆ” ถังอี้หมิงหัวเราะ “มีทางแล้ว! พวกเรารออยู่ที่นี่ก่อน ทันทีที่ฟ้ามืด ข้าจะพาทุกคนข้ามสะพานไป”

    พอตกค่ำ ทหารที่บาดเจ็บหลายนายก็เริ่มทนไม่ไหว เนื้อตัวพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล หนำซ้ำยังต้องทนต่อความหิวกระหายอีก ลมหายใจเริ่มอ่อนระทวยลงทุกขณะ

    เห็นพวกเขากำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแบบนั้น ถังอี้หมิงก็รีบเดินเข้าไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยความห่วงใย เขากระซิบลงที่ข้างหูคนพวกนั้น “พี่น้อง อดทนอีกหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะข้ามแม่น้ำได้แล้ว ที่นั่นมีเสบียงอาหารให้ดื่มกิน พวกเจ้าต้องทนให้ได้”

    ถังอี้หมิงให้หวงเอ้อร์เอาถุงน้ำมาใบหนึ่ง ก่อนจะลงมือป้อนน้ำให้ทหารบาดเจ็บพวกนั้นด้วยตนเอง

    นายทหารคนหนึ่งดื่มน้ำเข้าไปได้ไม่ทันไรก็ไอโขลกอาเจียนเอาน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมา ในน้ำปะปนไปด้วยเลือดข้นๆ ถังอี้หมิงมองดูทหารที่แม้ตายก็ไม่ยอมโอดครวญด้วยจิตเลื่อมใส นัยน์ตาไม่วายเปียกชื้น

    ถังอี้หมิงใช้มือเช็ดคราบเลือดบนมุมปากของอีกฝ่ายพลางพูดปลอบ “พี่น้อง วางใจเถอะ ข้าต้องพาพวกเจ้าไปหาของกิน พาพวกเจ้าออกมาจากเงื้อมมือพญามัจจุราชได้แน่”

    คนคนนั้นไม่พูดไม่จา รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดขาว เขายื่นมือออกมากุมมือถังอี้หมิงแน่น เรี่ยวแรงนี้บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตัวเขา

    ถังอี้หมิงมองดูทหารบาดเจ็บคนอื่นๆ ไม่ทันได้รู้ตัวฟ้าก็มืดค่ำลงจนสิ้น เขาเห็นทหารบาดเจ็บพวกนั้นนอนหลับ บนมุมปากมีรอยยิ้มบางๆ แขวนประดับอยู่คล้ายกำลังฝันดี

    ถังอี้หมิงลุกขึ้นยืน เดินไปหาหวงต้า หวงต้าคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของทหารม้ากองทัพเยียนพวกนั้นอยู่ที่ริมป่าโดยตลอด

    “เป็นอย่างไรบ้าง พวกทหารเยียนมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือเปล่า” ถังอี้หมิงถาม

    หวงต้าสีหน้าเคร่งขรึม ส่ายศีรษะ “นายกอง วิธีของท่านจะใช้การได้จริงหรือ”

    ถังอี้หมิงยื่นมือตบลงบนไหล่ของหวงต้าสองสามทีแล้วยิ้มพูด “เชื่อข้า และเชื่อตัวเองด้วย แผ่นดินกว้างใหญ่นี้ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเราทำไม่ได้”

    หวงต้าพยักหน้าจริงจังบอกกับถังอี้หมิง “นายกอง พวกเราพร้อมแล้ว จะให้เริ่มลงมือกันตอนไหน”

    ถังอี้หมิงตอบ “ไปเรียกพวกเขามา”

    หวงต้ารับคำ ก่อนจะหันไปเรียกชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันมาห้าสิบคน ทุกคนสวมเสื้อกลับหน้ากลับหลัง ห่อคลุมร่างไว้ด้วยชุดเกราะสีดำของพวกทหารเยียน ในมือถือทวนวงเดือนที่ต่างจากหอกยาวเพียงรูปใบมีดตรงปลาย ลักษณะเช่นนี้ โดยเฉพาะในเวลาค่ำคืน ยากจะมีใครแยกได้ว่าพวกเขาแท้แล้วเป็นทหารเยียนหรือทหารเว่ยกันแน่

    นี่เป็นแผนของถังอี้หมิง พวกเขาสั่งคนให้ไปรวบรวมชุดเกราะของทหารเยียนมา เลือกชายฉกรรจ์ที่เคยผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วนมาห้าสิบคน เตรียมอาศัยความมืดที่ยากจะแยกแยะปลอมตัวเข้าไปในค่ายปะปนกับทหารเยียนพวกนั้น

    หลี่เหล่าซื่อไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เขาถาม “นายกอง ท่านให้พวกเราแต่งตัวแบบนี้ ท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”

    “โจมตีข้าศึกไม่ให้พวกมันได้ทันตั้งตัว” ถังอี้หมิงพูดน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเล่าแผนการทั้งหมดออกมาให้อีกฝ่ายฟัง

    พอฟังจบหลี่เหล่าซื่อก็หน้าตาปลาบปลื้ม เขายื่นมือตบไหล่ถังอี้หมิงแรงๆ ทีหนึ่ง พูดเสียงดัง “นายกอง ท่านฉลาดจริงๆ แผนดีเช่นนี้คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่คิดออกมาได้! ฮ่าๆๆ!”

    ถังอี้หมิงกวาดตามองปราดหนึ่ง พอเห็นหลิวซานเขาก็หันไปบอก “หลิวซาน เจ้าอยู่นี่ เฝ้าที่นี่ไว้ ทันทีที่พวกเราจัดการกับพวกสุนัขเยียนเสร็จ เจ้าก็รีบพาทุกคนข้ามสะพานไป”

    หลิวซานพูดอย่างไม่พอใจ “นายกอง ข้าต่อสู้ได้ ท่านให้ข้าตามไปด้วยเถอะ ส่วนที่นี่ให้คนอื่นดูแลแทน!”

    “ไม่ได้! นับแต่นี้ไป พวกเจ้าล้วนต้องฟังคำสั่งข้า คำพูดของข้าคือกฎทหาร! เจ้าอยู่ที่นี่!” ถังอี้หมิงพูดเฉียบขาด

    เสียงตวาดนี้สะท้านสะเทือนสยบจิตใจของพวกเขาทุกคน ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขากับถังอี้หมิงพูดคุยยิ้มแย้ม ไม่เคยแบ่งนายบ่าว แต่ยามนี้เป็นเวลาสำคัญ ถังอี้หมิงกังวลว่าหากพวกเขายังคงเหมือนตอนเดินทาง ดีไม่ดีอาจมีคนทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นยังไม่ทันได้ไปถึงเป้าหมาย พวกเขามีหวังได้ถูกศัตรูเล่นงานตายเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงอำนาจสั่งการให้เป็นที่ประจักษ์ ถังอี้หมิงในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับแม่ทัพควบคุมกองกำลังทหารนับพันหมื่น องอาจน่าเกรงขามเป็นที่สุด

    หลิวซานจนปัญญา ได้แต่รับคำออกมาคำหนึ่ง เขาถอยออกจากกลุ่มไปยืนอยู่ข้างทหารที่บาดเจ็บ สีหน้าคับแค้นไม่พอใจ

    อันที่จริงถังอี้หมิงรู้สึกว่าเขาอายุยังน้อย ในกลุ่มคนทั้งห้าสิบคนล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์อายุสามสิบกว่าด้วยกันทั้งสิ้น มีเพียงหลิวซานเท่านั้นที่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทุกครั้งที่เห็นหลิวซานเขาล้วนรู้สึกเหมือนเห็นน้องชายตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้เป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ

    “ใช่แล้ว พวกนายใครพูดภาษาของพวกสุนัขเยียนได้บ้าง” ถังอี้หมิงนึกขึ้นได้ว่าตอนข้ามสะพานไม่แคล้วต้องถูกพวกทหารเยียนถามแน่ๆ ทหารเยียนเป็นพวกเซียนเปย เพราะฉะนั้นเขาต้องหาคนที่รู้ภาษาเซียนเปยก่อน ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย

    “นายกอง ข้าพูดได้!”

    คนคนหนึ่งเดินเบียดตัวออกมาจากหมู่ชายฉกรรจ์ เพราะอยู่ท่ามกลางความมืดถังอี้หมิงจึงเห็นรูปร่างหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัด แต่พอฟังออกว่าน้ำเสียงของคนคนนั้นผิดแผกแตกต่างจากคนอื่นๆ

    “เจ้าชื่ออะไร” ถังอี้หมิงถาม

    คนคนนั้นตอบ “ข้าชื่อหูเยี่ยน!”

    ถังอี้หมิงตะลึง เขาจำได้ว่าหวงต้าเคยพูดถึงคนคนนี้มาก่อน คนคนนี้เป็นชาวฮั่นที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่มณฑลโยวโจว ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานหลายปี หลังโยวโจวตกอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นเยียน เขาก็หลบหนีออกมาเข้าร่วมกับกองกำลังฉี่หัว แต่เพราะพูดจาติดสำเนียงชาวเยียน อีกทั้งยังรู้ภาษาเซียนเปย จึงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในกองกำลังสักเท่าไหร่ และด้วยเหตุนี้เขาจึงแสร้งทำเป็นใบ้มาโดยตลอด ทว่าหวงต้ากับหูเยี่ยนกลับเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน

    ถังอี้หมิงพยักหน้า “อืม เช่นนั้นเจ้าก็คอยยืนอยู่ข้างๆ ข้า ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมา เจ้าก็ตอบกลับไป อย่าให้เจ้าพวกนั้นล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของพวกเราเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”

    หูเยี่ยนพยักหน้าหนักแน่น

     

    คืนนี้ไม่มีดวงจันทร์ แผ่นฟ้ากลาดเกลื่อนไปด้วยดวงดาว สายลมโชยพัดแผ่วเบา

    พวกทหารเยียนที่อยู่บนฝั่งจุดกองไฟไว้กองหนึ่ง ที่ย่างอยู่เหนือกองไฟคือหมูป่าที่ล่ามาได้ตอนเช้า พวกเขาดื่มสุราที่พกติดตัวพูดคุยสรวลเสเฮฮา

    ม้าถูกผูกไว้อยู่กับเสาพัก พวกมันกำลังก้มหน้ากินหญ้าที่งอกอยู่บนพื้น ทหารเยียนอีกกลุ่มกำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในกระโจม ส่วนทหารเยียนอีกสองสามคนที่เฝ้าอยู่ข้างสะพานก็ดื่มสุราไปพลางพูดคุยกันไปพลาง

    จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากอีกฟากสะพาน ทหารเยียนพวกนั้นรีบวางถุงใส่เหล้าในมือ หยิบเอาอาวุธข้างกายขึ้นมาถือไว้ ท่ามกลางความมืดพวกเขาบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งตรงกันข้ามกันแน่ เห็นก็แต่ทหารบาดเจ็บจำนวนหลายสิบนายกำลังวิ่งโกลาหลตรงมาทางนี้

    พอเห็นธงที่มีอักษร ‘เยียน’ ยึกยือสีขาวสะบัดไหวอยู่กลางสายลม พวกเขาก็คลายความระแวดระวัง ร้องตะโกนโหวกเหวกบอก ‘ทหารเยียน’ ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามสองสามประโยค เสียงหัวเราะดังลั่น

    ‘ทหารเยียน’ ที่อยู่อีกฟากแท้แล้วคือทหารบาดเจ็บที่มีถังอี้หมิงนำขบวน ส่วนธงที่มีอักษรคำว่า ‘เยียน’ ปักติดอยู่นั้นถังอี้หมิงหยิบมันติดมือมาด้วยตอนถอนกำลังออกจากสนามรบ ตอนนั้นเขาคิดก็แค่เผื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเอามาใช้ประโยชน์ที่นี่ได้จริง

    ถังอี้หมิงก็ไม่ต่างอะไรกับทหารคนอื่นๆ พวกเขาฟังที่อีกฝ่ายพูดไม่เข้าใจ

    หูเยี่ยนกระซิบแปลให้ถังอี้หมิงฟัง “นายกอง พวกมันถามว่าพวกเราไปฉุดคร่าผู้หญิงกันมาใช่หรือไม่ พวกมันยังพูดอีกว่าผู้หญิงจี้โจวฤทธิ์เดชมากกว่าผู้หญิงเหลียวตง พวกเราไม่เพียงฉุดคร่าไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามกลับถูกผู้หญิงพวกนั้นเล่นงานจนบาดเจ็บกลับมาใช่ไหม นายกองจะให้ข้าตอบกลับไปว่าอย่างไร”

    ได้ยินแบบนั้นถังอี้หมิงกับทหารทั้งหมดต่างก็รู้สึกโกรธแค้น ทว่าเพื่อบรรลุเป้าหมายพวกเขาจึงได้แต่อดทนไว้ก่อน

    ถังอี้หมิงหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาบอกกับหูเยี่ยน “บอกพวกมันไปว่าผู้หญิงจี้โจวไม่เพียงฤทธิ์มาก พวกผู้ชายก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน พอจับได้ว่าพวกเรากำลังเล่นสนุกอยู่กับผู้หญิงพวกนั้น พวกเขาก็เล่นงานพวกเราจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถามพวกมันดูว่าอยากจะลองลิ้มรสชาติผู้หญิงจี้โจวดูบ้างหรือไม่”

    หูเยี่ยนรีบแปลคำพูดของถังอี้หมิงออกไป พอได้ยินแบบนั้นทหารเยียนพวกนั้นก็โบกไม้โบกมือหัวเราะลั่น ในเวลานี้พวกถังอี้หมิงมาถึงข้างสะพานแล้ว เขาอาศัยจังหวะที่ทหารเยียนพวกนั้นกำลังหัวเราะ วิ่งข้ามสะพานไปอย่างรวดเร็ว

    พอเห็น ‘ทหารเยียน’ พวกนั้นวิ่งพรวดเข้ามา พวกทหารเยียนต่างก็พากันแตกตื่นตกใจ กว่าจะพบว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อผ้ากองกำลังฉี่หัวกลับหน้ากลับหลังก็ต้องรอจนอีกฝ่ายเข้ามาถึงระยะแสงไฟ

    ทหารเยียนพวกนั้นตกใจ เพิ่งกุมหอกในมือแน่นได้ไม่ทันไรก็ถูกหวงต้า หวงเอ้อร์กับหลี่เหล่าซื่อที่อยู่หน้าสุดแทงลำคอทะลุ เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดใส่ใบหน้าพวกเขาสามคน ทหารเยียนพวกนั้นไม่ทันได้ร้องตะโกนอะไรออกมา ชีวิตก็ปลิดปลิวไปก่อนแล้ว

    จู่ๆ หลี่เหล่าซื่อก็หัวร่อ ‘ฮ่าๆๆ’ ออกมา ถังอี้หมิงรีบปิดปากหลี่เหล่าซื่อไว้ กระซิบตำหนิเสียงแข็ง “เจ้าอยากตายหรืออย่างไร! รีบล้อมศพพวกนั้นไว้!”

    กองกำลังฉี่หัวคนอื่นๆ รีบยืนกันเป็นสองแถว บังศพทหารเยียนพวกนั้นเอาไว้มิดชิด

    เสียงหัวเราะข้างสะพานดึงดูดความสนใจของทหารเยียนที่อยู่ข้างกองไฟ พอเห็น ’ทหารเยียน’ หลายสิบคนเฝ้าอยู่ข้างสะพานและโบกมือมาด้วยสีหน้าเบิกบาน พวกทหารที่อยู่ข้างกองไฟก็หันกลับไปกินดื่มกันต่อ พูดคุยกันด้วยภาษาที่ไม่อาจฟังเข้าใจ

    ถังอี้หมิงยืนอยู่ตรงกลาง พอเห็นทหารเยียนที่ยังยืนมีชีวิตอยู่เมื่อครู่กลับกลายเป็นศพไร้ลมหายใจไปแบบนั้น เขาก็รู้สึกยากจะทนไหว ทว่าช่วยไม่ได้ ในเวลานี้ไม่ใช่เจ้าตายก็ข้าม้วย นี่เป็นความโหดร้ายของสงคราม จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด

    เขาตั้งสมาธิกระซิบบอกคนอื่นๆ “เหลือคนสองคนเฝ้าที่นี่ไว้ ส่วนที่เหลือตามข้าไปในค่าย ทุกคนต้องใจเย็นๆ จะทำอะไรกระโตกกระตากให้เป็นที่สงสัยไม่ได้เด็ดขาด”

    ทุกคนพยักหน้ารับ ถังอี้หมิงทิ้งคนไว้สองคน หลังจัดการปลดเกราะกับข้าวของที่พอมีประโยชน์บนตัวทหารเยียนที่ตายออก ร่างไร้วิญญาณพวกนั้นก็ถูกผลักลงไปในลำธาร

    ถังอี้หมิงกับทหารอีกสี่สิบเจ็ดนายเดินมุ่งหน้าตรงไปในค่ายทหารเยียนด้วยฝีเท้ามั่นคง ทหารเยียนข้างกองไฟทำเพียงดื่มกิน ไม่มีใครนึกสนใจ ‘ทหารเยียน’ หลายสิบคนนี้เลยแม้แต่น้อย

    ถังอี้หมิงเข้าไปถึงในค่ายทหารได้อย่างราบรื่น พอเห็นคนจำนวนไม่น้อยนอนอยู่ในกระโจม เขาก็กระซิบ “อีกเดี๋ยวหูเยี่ยนพาคนสองคนไปจุดไฟวางเพลิง ส่วนคนอื่นๆ ให้บุกไปที่ข้างกองไฟ จัดการฆ่าสุนัขเยียนพวกนั้นให้หมด”

    ทันทีที่ถังอี้หมิงพูดจบ ก็มีคนในชุดเกราะหนาหนักโผล่ออกมาจากกระโจมที่อยู่ข้างหน้าเขา ท่าทางน่าจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของกองทัพเยียน

    ขุนนางชั้นผู้น้อยคนนั้นดวงตาเบิกโพลง พอเห็นใบหน้าเปื้อนเลือดของหลี่เหล่าซื่อรวมถึงชุดทหารกลับหน้ากลับหลังบนตัวพวกเขา ขุนนางชั้นผู้น้อยคนนั้นก็อ้าปากเตรียมร้องตะโกนทันที แต่ถังอี้หมิงกลับพุ่งตรงเข้าไปใช้ทวนวงเดือนในมือแทงเข้าใส่ลำคอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

    ใบหน้าของขุนนางชั้นผู้น้อยคนนั้นบิดเบี้ยว มือทั้งสองข้างเกาะกุมไหล่ถังอี้หมิงแน่น สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง สีหน้านั้นถังอี้หมิงไม่มีทางลืมได้ชั่วชีวิต

    “ตอนนี้เลย! ลงมือได้!” ถังอี้หมิงหันกลับไปตะโกนเสียงดัง ขณะเดียวกันก็ดึงทวนวงเดือนในมือออกจากลำคอของทหารชั้นผู้น้อยรายนั้น เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดใส่ใบหน้าของถังอี้หมิง

    นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคน พอเห็นอีกฝ่ายฟุบล้มลงกับพื้น ร่างกายยังคงชักกระตุก ถังอี้หมิงก็ร้อง ‘อา’ ออกมาเสียงดังลั่น และเพราะกลัวว่าขุนนางชั้นผู้น้อยรายนั้นจะเคลื่อนไหวอะไรอีก เขาจึงใช้ทวนวงเดือนแทงลงบนร่างอีกฝ่ายเต็มแรง

    “ตายไปซะ!” ถังอี้หมิงตะโกนเสียงดัง เขากระหน่ำแทงทวนวงเดือนในมือใส่ร่างของขุนนางชั้นผู้น้อยคนนั้นไม่หยุด ไม่ต่างอะไรกับคนวิกลจริต

    หวงต้ากับทหารที่เหลือพุ่งตรงไปที่กองไฟ พวกทหารที่อยู่ข้างกองไฟไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกฆ่าตายไปกว่าครึ่ง ทหารเยียนที่เหลือสะดุ้งตกใจนึกไม่ถึงว่าจะมีคนบุกเข้ามา พวกเขารีบลุกขึ้นจากพื้นเตรียมโต้กลับ หากแต่พวกหวงต้าในเวลานี้ปราดเปรียวห้าวหาญอย่างมาก สู้กับอีกฝ่ายแบบหนึ่งต่อสิบอย่างไม่มีหวาดหวั่น หลังตะลุมบอนกันอยู่พักใหญ่ ทหารเยียนก็ถูกทหารบาดเจ็บที่ดุดันราวกับเสือราวกับหมาป่าสังหาร

    เสียงร้องชวนสังเวชใจปลุกทหารเยียนที่กำลังหลับอยู่ในกระโจมให้ตื่น พอลืมตาเห็นตัวเองนอนอยู่กลางทะเลเพลิง พวกเขาก็รีบวิ่งกรูกันออกมา แต่กลับถูกทหารกองกำลังฉี่หัวที่ดักรออยู่ที่หน้าประตูฆ่าตาย

    สุดท้ายพวกทหารเยียนที่เหลือก็ไม่มีใครมีกะจิตกะใจกล้าต่อสู้ต่อ พวกเขาแต่ละคนต่างควบม้าจากไปรวดเร็ว

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook