• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า เล่ม 1 บทที่ 3

    บทที่ 3

    ตกสู่ปากเสืออีกคราว

     

    และแล้วการศึกก็จบลงเช่นนี้

    ถังอี้หมิงยังคงใช้ทวนวงเดือนในมือแทงใส่ขุนนางชั้นผู้น้อยบนพื้น ร่างของอีกฝ่ายถูกเขาแทงจนพรุนเป็นรังผึ้ง หวงต้าเดินตรงดิ่งเข้ามา พอเห็นถังอี้หมิงไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติ ไม่ต่างอะไรกับตอนเขาฆ่าคนเป็นครั้งแรก เขาตะโกนเสียงดัง “นายกอง! เขาตายแล้ว!”

    ทว่าเสียงเรียกของหวงต้ากลับไม่มีประโยชน์ ถังอี้หมิงยังคงทำแบบเดิมซ้ำๆ

    หลี่เหล่าซื่อพุ่งเข้าไปจากทางด้านข้าง กดถังอี้หมิงลงกับพื้น ฟาดมือซ้ายใส่หน้าถังอี้หมิงเต็มแรง!

    ถังอี้หมิงรับรู้ถึงความเจ็บร้อนผะผ่าวได้รางๆ เขากลับมาได้สติอีกครั้ง พอเห็นหลี่เหล่าซื่อคร่อมอยู่บนตัวเขา ถังอี้หมิงก็ถามด้วยความสงสัย “หลี่เหล่าซื่อ เจ้าขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวข้าด้วยเหตุใด”

    หลี่เหล่าซื่อลุกขึ้นยืนก่อนจะฉุดถังอี้หมิงลุกขึ้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น

    หวงต้าเดินไปอยู่ข้างๆ ถังอี้หมิง “นายกอง พวกเราเสียพี่น้องไปกันทั้งหมดสิบห้าคน เอาชีวิตพวกสุนัขเยียนได้ประมาณสองร้อยยี่สิบคน!”

    “เมื่อครู่ข้าเป็นอะไรไป” ถังอี้หมิงถาม

    “ไม่มีอะไร! เมื่อครู่ท่านสังหารนายกองของพวกสุนัขเยียนตายไปคนหนึ่ง หึๆ!” หวงต้าตอบคลุมเครือ

    หลิวซานที่อยู่อีกฟากพอเห็นริมฝั่งน้ำที่อยู่ด้านตรงกันข้ามเปลวไฟลุกโหม เขาก็รีบพาคนแบกทหารที่บาดเจ็บสาหัสตรงดิ่งไปที่สะพาน เพียงไม่นานก็ข้ามฟากไปได้เป็นที่เรียบร้อย ตอนข้ามไปถึงที่นั่นการต่อสู้ก็จบสิ้นลงแล้ว

    ถังอี้หมิงมองดูไฟลุกท่วมกระโจม เขาสั่งให้คนรีบรวบรวมเสบียงอาหารแบ่งให้พวกทหารกินดื่ม อีกทั้งยังสั่งให้ดับไฟ ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากไม่จำเป็นขึ้น

    การลอบโจมตีในคราวนี้ ทหารที่บาดเจ็บของแคว้นเว่ยตายไปในการต่อสู้สิบห้าคน แต่กลับสังหารทหารแคว้นเยียนได้ถึงสองร้อยกว่าคน เรียกได้ว่าคุ้มค่าไม่ใช่น้อย หนำซ้ำพวกเขายังยึดม้า เสบียงอาหาร และสุราได้อีกเป็นจำนวนมาก พวกทหารต่างเลื่อมใสศรัทธาฝีมือการบัญชาการของถังอี้หมิง ต่างชมว่าเขาเหมาะที่จะเป็นแม่ทัพโดยแท้

    หลังกินเนื้อหมูป่าเสร็จ ถังอี้หมิงก็ให้พวกทหารจูงม้า โยนสัมภาระหนักๆ ขึ้นไปไว้บนหลังพวกมัน ก่อนจะเอาเปลผูกมัดไว้บนหลังม้าสองตัว แบบนี้ม้าสองตัวก็จะแบกทหารที่บาดเจ็บพร้อมกันได้ถึงสามคน ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงคนที่เหลือ

    เพิ่งพาคนจัดการเรื่องต่างๆ ได้ไม่ทันไร ถังอี้หมิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าสับสนดังขึ้น บนฝั่งตรงกันข้ามที่พวกเขาเพิ่งข้ามผ่านมายามนี้มีทหารเยียนอยู่กันเต็มไปหมด

    “หลิวซาน! พาคนเดินทางขึ้นหน้าต่อ! ส่วนคนที่สู้ศึกเมื่อครู่ให้อยู่ต่อ รีบไปที่สะพานเดี๋ยวนี้!” ถังอี้หมิงตะโกนดังลั่น

    ถังอี้หมิงถือทวนวงเดือนกับโล่ร่วมกับทหารขันอาสาที่จะอยู่ร่วมทำศึกกับเขาที่นั่นอีกยี่สิบเก้านาย จัดวางกองกำลังเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก

    “นายกอง ท่านไม่ไป?” หลิวซานถาม

    “ไม่ต้องห่วงข้า ไม่ทำลายสะพานนี่ลง พวกเราย่อมไม่มีทางปลอดภัย เจ้ารีบพาทุกคนไปจากที่นี่” ถังอี้หมิงตวาดใส่หลิวซาน

    “นายกอง พวกท่านต้องตามมาให้ได้!”

    หลิวซานทิ้งม้าศึกไว้ให้พวกถังอี้หมิงสามสิบตัว ก่อนจะพาทหารที่บาดเจ็บมุ่งหน้าลงใต้รวดเร็ว ส่วนพวกถังอี้หมิงก็รีบไปขวางอยู่ที่ข้างสะพาน รอการมาถึงของทหารม้าพวกนั้น

    ไม่รู้ดวงจันทร์โผล่ลอดออกมาจากชั้นเมฆตอนไหน พื้นพสุธากลับกลายเป็นสุกสว่าง

    ทหารม้าแคว้นเยียนหยุดอยู่ริมสะพานฝั่งตรงกันข้าม พอเห็นสะพานเล็กแคบกับทหารกองกำลังฉี่หัวที่ตั้งกระบวนทัพเตรียมพร้อมรับมืออยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกขึ้นหน้า แต่กลับตั้งขบวนเป็นแนวยาวพลางง้างธนูเตรียมยิง

    หลิวซานพาพวกทหารที่บาดเจ็บหนีไปได้ไกลแล้ว ที่อยู่ข้างสะพานคือทหารสามสิบนาย พวกเขาต่างย่อตัวลงนั่งใช้โล่ปกคลุมร่างกายไว้ แรงปะทะรุนแรงหนักหน่วงจากลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งใส่โล่ของถังอี้หมิงกับพวกทหาร ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงแรงปะทะมหาศาล แขนของพวกเขาสะท้านสะเทือนจนแทบหมดความรู้สึก

    ถังอี้หมิงแม้จะเข้าร่วมอยู่ในสงครามที่ไม่ใช่ของตนเองด้วยความบังเอิญ ทว่าเขาไม่นึกเสียใจ จะมีก็แต่ความรู้สึกโกรธขึ้ง

    หลังธนูถูกยิงมาเป็นระลอกที่สาม ถังอี้หมิงกับทหารที่อยู่ที่นั่นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกึกกักอยู่บนสะพานไม้ เมื่อมองลอดผ่านช่องว่างระหว่างโล่กับโล่ไป พวกเขาก็มองเห็นม้าตัวใหญ่สามตัว พวกมันเคลื่อนขบวนเคียงกันมา ที่อยู่บนหลังม้าคือทหารม้าสามนาย มีคันธนูแขวนอยู่บนหลัง ในมือถือดาบโค้งกันคนละเล่ม แลดูชวนประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ใต้แสงจันทร์

    เห็นทหารม้าทัพเยียนสามนายตรงเข้ามาด้วยท่วงท่าเข้มแข็งทรงพลัง เสียงฝีเท้าม้าดังกึกกักอยู่บนสะพานแบบนั้น ถังอี้หมิงก็จิตใจสั่นไหว สัญชาตญาณบอกให้เขาชักเท้าถอยหลัง แต่พอหันไปเห็นสหายร่วมรบต่างล้วนสงบนิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาก็สงบจิตสงบใจลงได้ เปลี่ยนมาขยับตัวขึ้นหน้าแทน

    “นายกอง พวกมันเคลื่อนใกล้เข้ามาแล้ว” หวงต้ากระซิบ

    ถังอี้หมิงมองลอดช่องว่างเห็นด้านหลังไม่มีทหารคนอื่นๆ ตามมา ทหารม้าสามคนนี้ไม่แคล้วเพียงเข้ามาหยั่งเชิงดูเท่านั้น

    ถังอี้หมิงไม่เคยเป็นทหาร ไม่รู้จักวิธีใช้กลศึก จึงหันไปพูดกับคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ “ปกติทุกคนเคยรบอย่างไร วันนี้ก็รบอย่างนั้น! หวงต้า คราวนี้เจ้าเป็นคนบัญชาการ!”

    หวงต้าไม่พูดอะไร ทำเพียงฟังฝีเท้าม้าขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทันใดนั้นหวงต้าก็ตะโกน ‘ฆ่า’ ออกมา เขากับหวงเอ้อร์ หลี่เหล่าซื่อกับทหารอีกคนที่อยู่แถวหน้าสุดลุกขึ้นยืน ใช้โล่เหวี่ยงใส่หัวม้า เสือกทวนวงเดือนแทงทะลุร่างทหารม้าแคว้นเยียนสามรายนั่น

    เพราะตอบสนองไม่ทัน ถังอี้หมิงเลยไม่ได้ลุกขึ้นยืน เสียงสายธนูดังขึ้นห้าครั้ง ธนูห้าดอกจากฝั่งตรงกันข้ามพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

    ถังอี้หมิงรู้สึกว่าหูตัวเองตอบสนองต่อเสียงได้ไวเป็นพิเศษ แม้จะมีเสียงธารน้ำไหลดังปะปนอยู่ แต่เขากลับได้ยินเสียงสายธนูดังชัดเป็นพิเศษ บางทีนี่อาจเป็นข้อดีของการได้มาอยู่ในร่างนี้ก็เป็นได้

    “มีธนูลับ!” ถังอี้หมิงตะโกนเสียงดัง

    พวกหวงต้ารีบดึงโล่กลับมาต้านธนู แต่ทหารที่ยืนขึ้นร่วมกับหวงต้าคนนั้นดึงโล่กลับมาได้แค่ครึ่งจึงถูกธนูพุ่งตัดทะลุขั้วหัวใจไปเสียก่อน ร่างกายโอนเอนล้มตึงอยู่บนสะพาน

    “บัดซบ!” หลี่เหล่าซื่อร้องด่าออกมาคำหนึ่ง

    ถังอี้หมิงนึกไม่ถึงว่าพวกทหารเยียนจะต่ำช้าขนาดนี้ ถึงกับใช้ชีวิตคนมาแลกกับชีวิตของพวกเขา

    ทหารแถวที่สองคนหนึ่งขยับขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป

    “ไม่ได้ พวกเราต้องรีบทำลายสะพาน มีแต่ทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะปลอดภัย!” ถังอี้หมิงบอกกับทหารที่อยู่รอบๆ

    หวงเอ้อร์ไม่พูดไม่จา จู่ๆ เขาก็คว้าโล่พุ่งออกไป ใช้ทวนวงเดือนแทงใส่ม้าทั้งสามตัว ทันทีที่ถูกแทงม้าศึกชั้นดีพวกนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมายาวๆ หันหน้าวิ่งเตลิดกลับไป พวกมันคลุ้มคลั่งพุ่งเข้าใส่กองกำลังทหารเยียน หลังจากนั้นหวงเอ้อร์ก็ดึงเอาดาบสองเล่มออกมาจากมือของทหารม้าแคว้นเยียนที่ตายไปก่อนจะวิ่งกลับเข้ามาสมทบกับพวกถังอี้หมิงอีกครั้ง

    ม้าคลุ้มคลั่งสามตัวไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากมายให้กองทัพเยียน พวกเขาเปิดทางให้ม้าพวกนั้นพุ่งทะยานออกไปได้โดยสะดวก

    “นายกอง ทวนวงเดือนในมือพวกเราตัดสะพานไม้ไม่สะดวก ดาบสองเล่มนี้น่าจะช่วยพวกเราทำลายสะพานได้ง่ายกว่า” หวงเอ้อร์ยื่นดาบให้ถังอี้หมิงเล่มหนึ่ง ตัวเองถือไว้เล่มหนึ่ง

    “ที่ฟากโน้นต้องมีธนูจำนวนนับไม่ถ้วนเล็งมาทางพวกเราแน่ ทันทีที่โผล่ออกไป พวกเราคงไม่แคล้วถูกธนูพวกนั้นยิงทะลุ หวงเอ้อร์ เจ้ากลัวหรือไม่” ถังอี้หมิงถาม

    หวงเอ้อร์ส่ายหน้า “ถ้ากลัว ข้าก็คงไม่เสียตาไปข้างแบบนี้!”

    ถังอี้หมิงพูด “เยี่ยม เช่นนั้นเจ้ากับข้าแยกไปกันคนละทาง ทำลายสะพานนี่เสีย!”

    “ไม่ได้! จะให้นายกองไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ท่านยังต้องนำพวกเราอีก! หลี่เหล่าซื่อ เจ้ากับข้าไปทำลายสะพานด้วยกัน!” หวงเอ้อร์พูด

    หลี่เหล่าซื่อแย่งดาบไปจากมือของถังอี้หมิง หลังจากนั้นก็ชูโล่ขึ้นพุ่งตรงไปที่ข้างสะพาน ก่อนจะเปลี่ยนมาแบกโล่ไว้บนหลัง ลงมือฟันดาบใส่เสาสะพาน หวงเอ้อร์แบกโล่ขึ้นหลังเช่นกัน ลงมือเหวี่ยงดาบฟันเต็มแรง

    พวกเขาสองคนลุกยืนได้ไม่ทันไร ถังอี้หมิงก็ได้ยินเสียงสายธนูลั่นดัง ตามติดมาด้วยเสียงดังทึบๆ หลายคราว ลูกธนูปักตรึงอยู่บนโล่ที่อยู่บนแผ่นหลังของพวกเขาสองคน

    ครั้นเสียงสายธนูสิ้นสุด ฝูงม้าดำทะมึนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนสะพาน ทหารม้าสี่คนหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ดาบโค้งในมือเหวี่ยงสะบัดไปมาเกิดเป็นประกายวับวาว ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับภูตผีปีศาจ

    “ตามข้ามา ช่วยคุ้มกันหวงเอ้อร์กับหลี่เหล่าซื่อ” พอเห็นว่าสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ถังอี้หมิงก็รีบออกคำสั่งบอกกับทหารที่อยู่ข้างกาย

    ถังอี้หมิง หวงต้ากับทหารอีกสามนายขยับขึ้นหน้าไปจนถึงสะพาน ตั้งโล่ไว้เฉียงๆ มองดูทหารม้าแคว้นเยียนที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

    เสียง ‘ตึกๆ’ ดังอยู่รอบๆ หวงเอ้อร์กับหลี่เหล่าซื่อต่างออกแรงเหวี่ยงดาบฟันเสาสะพานกันอย่างสุดกำลัง

    เสียงสายธนูดังขึ้นอีกหลายคราว เสียงร้อง ‘อ๊าก’ ของหลี่เหล่าซื่อดังตามมา ธนูดอกหนึ่งปักทะลุน่องเขา หลี่เหล่าซื่อพยุงเสาไม้กัดฟันลุกขึ้นยืน เหวี่ยงดาบในมือต่อ เหมือนจะบอกว่าตราบใดที่เสายังไม่พังเขาก็ไม่มีวันหยุดพัก

    บนสะพานนอกจากพวกถังอี้หมิงห้าคนแล้ว ยังมีม้าอีกสี่สิบตัว ทหารม้าทัพเยียนสี่สิบนาย บางทีอาจเพราะสะพานรับน้ำหนักมากขนาดนั้นไม่ไหวถึงได้เริ่มส่ายไหวไปมา

    สองเมตร! เสียง ‘ตึกๆ’ ยังคงดังก้อง

    หนึ่งเมตร! เสียง ‘ตึกๆ’ ยังคงดังไม่เลิก

    ครึ่งเมตร! ถังอี้หมิงกับทหารคนอื่นๆ ต่างพากันกลั้นลมหายใจ

    “ฆ่า!” จู่ๆ ถังอี้หมิงก็เปิดโล่ออก เสือกแทงทวนวงเดือนในมือใส่ทหารเยียนที่อยู่บนหลังม้า เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้วว่าหวงต้ารบยังไง จึงเริ่มเลียนแบบวิธีบัญชาการรบ

    เพียงชั่วพริบตา ทหารม้าทัพเยียนแถวแรกก็สิ้นลม แต่เพราะฝูงม้าขวางอยู่บนสะพาน พวกทหารที่อยู่แนวหลังจึงไม่อาจรุกคืบขึ้นหน้า

    ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางกองกำลังทหารม้าทัพเยียนจู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังม้า วาดเหวี่ยงดาบโค้งในมือตรงดิ่งเข้าหาพวกถังอี้หมิง พอเห็นเช่นนั้นบรรดาทหารม้าที่อยู่ทางด้านหลังก็พากันกระโดดลงจากหลังม้า ถือดาบโค้งวิ่งกรูเข้าใส่พวกถังอี้หมิงแบบเดียวกัน

    คนคนนั้นสวมชุดเกราะหนาหนัก บนหัวมีหมวกเหล็ก ไม่เหมือนกับทหารเยียนทั่วไป ถังอี้หมิงรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นแม่ทัพนายกองหรืออะไรทำนองนั้น พอเห็นอีกฝ่ายท่าทางเหิมเกริมแบบนั้น หนำซ้ำพวกทหารที่อยู่ด้านหลังก็พลอยบุกตะลุยตามมาด้วย ถังอี้หมิงก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องจัดการแม่ทัพทัพเยียนผู้นั้นให้ได้

    แม่ทัพของทัพเยียนพุ่งตรงเข้ามา เหวี่ยงดาบฟันใส่หวงต้าเต็มแรง หวงต้าทำได้เพียงยกโล่ขึ้นรับ ไม่มีช่องว่างให้สวนกลับ ทหารทัพเยียนกรูกันขึ้นมาไม่หยุด ถังอี้หมิงเลือดร้อนพุ่งขึ้นหัว เขาตะโกนเสียงดัง ยกโล่พุ่งชนออกไป

    แม่ทัพเยียนรายนั้นถูกชนกระเด็นไปอยู่ข้างสะพาน เกือบตีลังกาล้มคว่ำ โชคดีที่คว้าราวสะพานไว้ได้ทัน ถึงยั้งตัวอยู่ได้ พอเห็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากด้านล่าง ใจเขาก็ไม่วายนึกหวาดผวา

    ในตอนนั้นเอง ประกายแสงเย็นเยียบสายหนึ่งก็วาดผ่าน ถังอี้หมิงอาศัยจังหวะที่แม่ทัพทัพเยียนรายนั้นเผยช่องโหว่ออกมาให้เห็น แทงทวนวงเดือนใส่ร่างอีกฝ่าย ก่อนจะพุ่งโถมเข้าใส่เต็มแรงอีกคราว ดันร่างของอีกฝ่ายตกลงไปในน้ำ ร่างของแม่ทัพทัพเยียนถูกกระแสน้ำซัดหายไปรวดเร็ว

    ใบหน้าของถังอี้หมิงเต็มไปด้วยเลือด เขาเบิกตากว้าง ทวนวงเดือนวางขวางอยู่เหนือหน้าอก ปากตะโกนเสียงดังลั่น “ยังมีใครอีก!”

    เสียงร้องตะโกนดังลั่นราวกับเสียงอสุนีบาตสะเทือนเข้าไปถึงแก้วหูของทุกคนที่อยู่บนสะพาน

    ภายใต้แสงจันทร์สุกสว่าง ถังอี้หมิงเส้นเลือดปูดโปน ใบหน้าดุดันเปื้อนเลือด ท่าทางองอาจห้าวหาญ ทหารเยียนพอเห็นแม่ทัพของตัวเองถูกฆ่าตาย ในใจก็ต่างนึกผวาไม่กล้ารุกขึ้นหน้า ได้แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่

    เสียง ‘แคร่ก’ ดัง สะพานด้านหนึ่งเริ่มโคลงเคลงคล้ายจะพัง

    คนที่อยู่บนสะพานเริ่มโซเซไปมา

    “นายกอง! รีบถอยเร็ว สะพานจะขาดแล้ว!” หวงเอ้อร์ตะโกนเสียงดัง

    ถังอี้หมิงกับทหารอีกสี่นายถอยกลับเข้าฝั่งได้ไม่ทันไร พวกเขาก็ได้ยินเสียง ‘ครืน’ ดังสนั่นขึ้นอีกคราว เสาไม้ทั้งสองด้านของสะพานหักขาดออกจากกัน

    ทันทีที่เสาหัก สะพานก็จมลงไปในน้ำรวดเร็ว ทหารม้าทัพเยียนหลายสิบนายถอยหลังกลับไม่ทัน ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากกลืนหายไปในชั่วพริบตา

    หลี่เหล่าซื่อหมดสติ ถังอี้หมิงฝ่าดงธนูตรงเข้าไปแบกอีกฝ่ายขึ้นหลัง ก่อนจะกลับไปรวมกับพวกทหารที่เหลือควบม้ามุ่งหน้าลงใต้

     

    ครั้งนี้พวกเขาแม้จะอกสั่นขวัญแขวนแต่ก็ไม่มีภัยอะไร ทหารม้าแคว้นเยียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่ยืนกระวนกระวายอยู่อีกฟาก ไม่อาจทำอะไรได้

    บรรดาทหารกองกำลังฉี่หัวพอเห็นท่าทางทระนงองอาจแบบนั้นของถังอี้หมิงก็ให้นึกเคารพยำเกรงเขาขึ้นมาอีกหลายส่วน แม้แต่ตัวถังอี้หมิงเองก็ยังไม่อยากนึกเชื่อ ตอนพุ่งออกไปเมื่อครู่ เรี่ยวแรงของเขาดูเหมือนจะมากมายมหาศาล แม้แต่ตอนแทงทวนวงเดือนใส่อีกฝ่าย เขาก็ยังรู้สึกราวกับว่าการฆ่าคนนั้นเป็นท่าทีตอบสนองตามธรรมชาติที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด

    ยามขึ้นขี่ม้า ถังอี้หมิงรู้สึกว่าตัวเองสามารถโยนตัวขึ้นบนหลังม้าได้อย่างชำนิชำนาญ แม้แต่ตอนควบม้า แทนที่จะโคลงเคลงโอนเอนไปมา เขากลับพบว่าร่างกายกลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ของม้า ถังอี้หมิงอดประหลาดใจไม่ได้ เขาไม่เคยขี่ม้า แล้วทำไมถึงควบม้าได้เชี่ยวชาญแบบนี้ ครั้นมองดูร่างกายตัวเอง เขาก็เข้าใจได้ทันที

    หรือว่าร่างนี้จะเป็นร่างของนักรบผู้ห้าวหาญ พอนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวที่เขาทำตอนอยู่บนสะพาน ถังอี้หมิงก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

    หลังจากควบม้าวิ่งห้อได้ราวๆ เจ็ดลี้ ถังอี้หมิงก็ไล่ตามพวกหลิวซานทัน พวกเขาชุมนุมหยุดพักเอาแรงด้วยกันเป็นการชั่วคราว

    “นายกอง! จากที่นี่เดินทางลงใต้ต่ออีกระยะพวกเราก็จะไปถึงฉางซาน” หวงต้าควบม้ามาหยุดรายงานอยู่ข้างๆ ถังอี้หมิง

    ถังอี้หมิงหันกลับไปดูพวกทหารบาดเจ็บสาหัสที่อยู่บนหลังม้า “พวกเราพักผ่อนกันสักครู่ก่อนก็แล้วกัน รีบร้อนเดินทางร่างกายได้รับแรงกระทบกระเทือนมากๆ เข้า ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อบาดแผลของพวกเขา”

    หวงต้าพยักหน้า ตะโกนบอกพวกทหารบาดเจ็บที่อยู่ทางด้านหลัง “นายกองมีคำสั่ง! ให้ทุกคนหยุดพักอยู่ที่นี่ก่อน!”

    ถังอี้หมิงคิด เขาในเวลานี้เหมือนกลายเป็นนายกองไปจริงๆ แล้ว

    ถังอี้หมิงกวาดตามองไปรอบๆ พอเห็นว่าพวกตนกำลังอยู่บนทุ่งนารกร้าง ห่างออกไปไม่ไกลคือป่าขนาดเล็ก เขาก็ชี้นิ้วไปที่ป่านั่น “ไป! พวกเราไปที่นั่น ที่นี่โล่งแจ้งเกินไป ซ่อนตัวอยู่ในป่าจะปลอดภัยกว่า”

    ด้วยเหตุนี้ ทหารหลายร้อยนายจึงพากันเดินเข้าไปในป่า

    หลังเข้าไปในป่า พวกเขาก็ช่วยแบกทหารที่บาดเจ็บสาหัสบนหลังม้าลงมา วางพวกเขาลงบนพื้น หยิบเอาน้ำมาแบ่งให้ทุกคนดื่ม

    ถังอี้หมิงพิงร่างอยู่กับต้นไม้ ค่อยๆ หลับตา ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็พาทหารบาดเจ็บพวกนั้นหนีมาได้สำเร็จ

    “นายกอง! หลี่เหล่าซื่อฟื้นแล้ว!” หูเยี่ยนวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายถังอี้หมิง รายงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี

    “อา!” ถังอี้หมิงลืมตา รีบเดินตามหูเยี่ยนไป

    หลี่เหล่าซื่อนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเผือด แต่ดวงตากลับยังคงวับวาวเป็นประกาย เขามองดูลูกธนูบนน่องของตัวเอง ปากก็ร้องก่นด่า “สุนัขเยียนพวกนี้ ทุกวันล้วนกินดีอยู่ดี แต่ธนูที่ยิงออกมากลับไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด”

    ได้ยินหลี่เหล่าซื่อพูดออกมาแบบนั้น ถังอี้หมิงก็มองไปยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายบาดเจ็บ เขาสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ธนูดอกนั้นปักลึกเข้าไปในเนื้อบริเวณน่องของหลี่เหล่าซื่อก็จริง แต่ไม่ได้ทะลุออกมา ถังอี้หมิงเคยเห็นธนูของทัพเยียนมาก่อน หัวธนูมีเงี่ยงหันย้อนทาง หากธนูแทงทะลุคิดจะถอนย่อมไม่ยาก แต่การที่หัวธนูฝังลึกเข้าไปในเนื้อแบบนี้คิดจะถอนกลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

    “เหล่าซื่อ อดทนไว้ อีกเดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าถอนมันออกมาเอง!” หวงต้ายื่นมือทั้งสองข้างออกไปหมายหักหางธนู

    “ถอนไม่ได้! งานนี้ต้องผ่าเอาหัวธนูออกมา ขืนถอนออกมาตรงๆ เนื้อจะถูกเงี่ยงพวกนั้นกระชากหลุดติดออกมาด้วย ถึงตอนนั้นน่องของเจ้ามีหวังได้จบกัน หากเกิดอักเสบขึ้นมา จะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่” ถังอี้หมิงรีบพูด

    หลี่เหล่าซื่อ หวงต้า หูเยี่ยนสามคนต่างมองดูถังอี้หมิงด้วยความประหลาดใจ ถามอย่างสงสัย “ผ่า? ผ่าอย่างไร”

    ถังอี้หมิงเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง จึงหันไปบอกกับหวงต้า “เจ้าไปถามหวงเล็ก น้ำฆ่าเชื้อที่ให้เขาเอามาด้วยยังมีอยู่หรือไม่”

    หวงต้าตอบรับออกมาคำหนึ่งก่อนจะเดินจากไป

    “นายกอง! ก่อนหน้านี้ท่านเคยเป็นหมอทหารหรือ” หลี่เหล่าซื่อถาม

    ถังอี้หมิงตอบ “หมอทหาร? ข้าไม่เคยเป็น แต่ข้ากำลังลองดูอยู่ หึๆๆ…”

    หลี่เหล่าซื่อถามต่อ “นายกอง แล้วท่านเคยทำบ้างหรือไม่”

    “ข้า? แต่ก่อนข้าเป็นพ่อค้า ที่อยู่ในมือคือคนจำนวนนับร้อย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยทำอะไร” ถังอี้หมิงถาม

    “ข้าฆ่าหมู แต่ว่าต่อมาเปลี่ยนอาชีพมาเป็นฆ่าคนแทน” หลี่เหล่าซื่อตอบออกมาตรงๆ

    ถังอี้หมิงยิ้ม ในตอนนั้นหวงต้าได้ถือถุงน้ำใบหนึ่งเดินเข้ามายื่นส่งให้ถังอี้หมิง “นายกอง นี่คือน้ำฆ่าเชื้อที่ท่านต้องการ”

    ถังอี้หมิงรับถุงน้ำมาแต่กลับพบว่าถุงน้ำเบาโหวง เขาแกว่งมันไปมาพลางถาม “ยังมีอีกหรือไม่”

    หวงต้าบอก “ไม่มีแล้ว น้องชายข้าบอกว่าเหลืออยู่เพียงเท่านี้”

    ถังอี้หมิงถอนหายใจ พูดกับหวงต้า “มีมีดพกหรือไม่”

    หวงต้าหยิบเอามีดพกออกมาจากเอว ส่งมันให้ถังอี้หมิง ถังอี้หมิงดึงมีดพกออกมาจากฝัก ประกายแสงเย็นเยียบส่องสะท้อน มีดพกคมกริบปรากฏขึ้นตรงหน้า

    “อืม ไม่เลว คมดี เหมาะที่จะใช้ผ่า หวงใหญ่ เหตุใดเจ้าถึงมีมีดคมๆ เช่นนี้ได้” ถังอี้หมิงถาม

    หวงต้าหัวเราะหึๆ “เมื่อสองวันก่อน ข้าฆ่าแม่ทัพทัพเยียนได้คนหนึ่ง พอลองค้นตัวมันดูข้าก็พบมีดพกเล่มนี้ นายกอง ถ้าท่านชอบ ท่านก็เอาไปเถอะ”

    “หึๆ ไม่ต้อง ในเมื่อเจ้าเป็นคนยึดมาได้ มันก็สวมควรเป็นของเจ้า ข้าจะฉวยมาเป็นของตัวเองได้อย่างไรกัน ทว่าข้าเองก็หวังว่าวันหน้าจะได้เจอแม่ทัพทัพเยียนฐานะใหญ่โตสักคน จะได้มีของดีๆ ให้ยึดมาเป็นของตัวเองบ้าง” ถังอี้หมิงพูด

    พอได้ยินแบบนั้นหูเยี่ยนก็พูดขึ้น “นายกอง ทหารที่ท่านสู้ด้วยบนสะพานนั่น ดาบที่อยู่ในมือเขานับว่าไม่เลว น่าเสียดายที่ท่านชนเขาตกน้ำไปเสียก่อน”

    ถังอี้หมิงกุมมีดพกไว้ในมือบอกกับหลี่เหล่าซื่อ “เหล่าซื่อ ข้าจะผ่าเอาหัวธนูออกให้เจ้าเดี๋ยวนี้ เนื้อของเจ้าจะถูกคว้านออกมาก่อน หลังจากนั้นข้าจะค่อยๆ ดึงเอาหัวธนูออก สถานการณ์ของพวกเราที่นี่ไม่เอื้อ ไม่มียาชาอะไรให้ใช้ ฉะนั้นเจ้าจะเจ็บปวดไม่ใช่น้อย เจ้าทนไหวหรือไม่”

    “ลงมือได้เลย! ไม่เอาอาวุธของพวกสุนัขเยียนออก ขาของข้าคงไม่มีทางหายดีได้ แขนขวาข้าเกือบพิการแล้ว จะเสียขาอีกข้างไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าจะต่อสู้รวบรวมเสบียงอาหารได้อย่างไร นายกอง! ท่านลงมือได้เลย ต่อให้เฉือนเนื้อออกมาทั้งชิ้น ข้าก็จะไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว!” หลี่เหล่าซื่อตะโกนก้อง

    คำพูดของหลี่เหล่าซื่อทำถังอี้หมิงสะท้านไปทั้งใจ สายตาฉายแววลังเลเล็กๆ ไม่ได้ลงมือทันที

    หลี่เหล่าซื่อเบิกตากว้าง ตวาดใส่ถังอี้หมิง “นายกอง! ท่านยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่ รีบลงมือได้แล้ว! เลิกกระบิดกระบวนเป็นผู้หญิงเสียที!”

    ถังอี้หมิงตัดสินใจเด็ดขาด กรีดขากางเกงของหลี่เหล่าซื่อ แผลธนูบนน่องของหลี่เหล่าซื่อปรากฏให้เห็นต่อสายตา แผลในเวลานี้บวมปูดอย่างเห็นได้ชัด เลือดสดๆ ไหลออกจากปากแผลไม่หยุด

    “อดทนไว้!” ทันทีที่พูดจบ เขาก็ใช้มีดพกแหลมคมกรีดลงไปบนขาของหลี่เหล่าซื่อ

    “อึก…” หลี่เหล่าซื่อกัดฟันแน่น เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปน ใบหน้าซีดเผือดหนักขึ้นไปอีก

    ถังอี้หมิงใช้มีดพกค่อยๆ กรีดเนื้อที่อยู่รอบๆ ปากแผล สุดท้ายก็ใช้ปลายมีดเสียบเข้าไป งัดเอาหัวธนูออกมาทีละน้อย

    มือทั้งสองข้างของหลี่เหล่าซื่อจิกดินบนพื้นแน่น เนื้อตัวสั่นสะท้าน เหงื่อซึมออกมาไม่หยุด

    ถังอี้หมิงไม่กล้ามองดูหลี่เหล่าซื่อ กลัวเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วจะไม่กล้าลงมือต่อ หลังจากผ่านไปได้สองสามนาที ในที่สุดถังอี้หมิงก็คว้านเอาหัวธนูออกมาจากขาของหลี่เหล่าซื่อได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็รีบใช้น้ำฆ่าเชื้อที่ยังเหลือทำความสะอาดปากแผล ใช้ผ้าพันแผลที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้พันแผลบนน่องให้หลี่เหล่าซื่อ

    กว่าจะกล้ามองดูหลี่เหล่าซื่อก็หลังจากจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย เขาเห็นอีกฝ่ายเนื้อตัวอ่อนระทวย ที่อยู่บนใบหน้าคือรอยยิ้มจางๆ มือซ้ายหยิบเอาหัวธนูบนพื้นดอกนั้นขึ้นมากุมไว้ก่อนจะหมดสติไป

    ถังอี้หมิงถอนหายใจ ยื่นมือไปแตะดูหน้าผากของหลี่เหล่าซื่อ พอเห็นว่าหลี่เหล่าซื่อตัวไม่ร้อน เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง

    “หูเยี่ยน เจ้าดูแลหลี่เหล่าซื่ออยู่ที่นี่ พอเขาตื่นขึ้นมาก็รีบไปเรียกข้า!” ถังอี้หมิงบอกกับหูเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ

    ถังอี้หมิงกลับไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารบาดเจ็บคนอื่นๆ หลังปลอบขวัญพวกเขาเสร็จ ถังอี้หมิงก็นั่งพักผ่อน แต่ยังไม่ทันได้ชื่นชมกับความสงบใดๆ หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าถี่กระชั้นดังขึ้น เสียงฝีเท้าม้าดังกังวานเปี่ยมพลังคล้ายเป็นเสียงของกองกำลังทหารม้ากลุ่มใหญ่

    ถังอี้หมิงรีบลุกเดินไปที่ชายป่า พอเห็นทหารม้าทัพเยียนพุ่งผ่านป่าตรงไปที่สะพาน ถังอี้หมิงก็สะดุ้ง “ทหารม้าพวกนี้ต้องมาที่นี่ตามคำรายงานของเจ้าพวกที่หนีรอดไปได้พวกนั้นแน่”

    ถังอี้หมิงกลับเข้าไปในป่า พอเห็นทุกคนกำลังพักผ่อน เขาก็รีบตะโกนบอก “ทุกคนรีบลุกขึ้น ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกทหารเยียนเพิ่งผ่านที่นี่ไป”

    ทุกคนต่างพากันตึงเครียด พวกเขาเริ่มเตรียมตัวไปจากที่นั่น

     

    ในป่าเต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ

    หวงต้าวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พูดอย่างร้อนรน “นายกอง รีบมาดูเร็ว!”

    เห็นหวงต้าลนลานแบบนั้น ถังอี้หมิงก็นึกได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องแน่ๆ เขารีบตามหวงต้าไปที่ชายป่า

    หวงต้าชี้ผืนนารกร้างที่อยู่ไกลออกไปพลางบอกกับถังอี้หมิง “นายกอง ท่านดู คนของพวกเรา!”

    ถังอี้หมิงพิจารณาดูที่นั่นโดยละเอียด เขาเห็นคนสวมอาภรณ์ยาวสีเทาคนหนึ่งวิ่งนำทหารไม่ถึงสิบอยู่ คอยหันมองกลับไปเป็นระยะๆ คล้ายมีทหารไล่ตามมาอยู่ทางด้านหลัง

    “นายกอง ข้าจะไปเรียกพวกเขา!”

    ขณะที่หวงต้ากำลังจะขยับ ถังอี้หมิงกลับคว้าแขนเขาเอาไว้

    “ไม่! เจ้ารีบไปรวบรวมพรรคพวกที่อยู่ในป่า ให้พวกเขาเตรียมต่อสู้!”

    ถังอี้หมิงขมวดคิ้วจ้องมองดูผืนนารกร้างที่อยู่นอกป่านั่น

    หวงต้าตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “นายกอง พวกเขาเป็นคนของพวกเรา ไม่ใช่พวกสุนัขเยียน!”

    “ข้ารู้! แต่พวกสุนัขเยียนไล่ตามพวกเขาอยู่ทางด้านหลัง รีบไปทำตามที่ข้าสั่ง ระดมกำลังทหาร ชักช้าจะไม่ทันการ” ถังอี้หมิงพูดน้ำเสียงสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน

    ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าม้าสับสนวุ่นวายก็ดังขึ้นระคนอยู่กับเสียงร้องตะโกนเป็นภาษาเซียนเปย ดังกังวานอยู่ในทุ่งกว้าง

    ทหารม้าทัพเยียนจำนวนร้อยกว่านายที่อยู่หลังเส้นขอบฟ้าปรากฏขึ้นต่อสายตาของถังอี้หมิงกับหวงต้า หวงต้าตกใจรีบวิ่งกลับเข้าไปในป่า

    ทหารม้าทัพเยียนเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ควบม้าถือหอกห้อตะบึงไปถึงทหารเว่ยที่อยู่ด้านหลังสุดได้ทัน ทหารเว่ยคนนั้นขวางทหารม้าทัพเยียนนายหนึ่งไว้อีกทั้งยังสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันได้ชักทวนวงเดือนที่ปักอยู่บนร่างทหารเยียนกลับ ทหารเว่ยรายนั้นก็ถูกทหารเยียนที่ควบม้าตามมาฆ่าตายเสียก่อน

    ชายในอาภรณ์ชุดยาวที่กำลังวิ่งหนี พอเห็นป่าก็รีบตะโกนบอกทหารคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลัง “เร็ว! เข้าไปหลบอยู่ในป่านั่นก่อน!”

    ทว่าทหารที่ตามเขามาพวกนั้นกลับหยุดเท้า หันชี้ทวนไปทางพวกทหารเยียนที่ไล่ตามมาพลางตะโกนเสียงดัง “ใต้เท้า! ท่านรีบไป!”

    เพียงชั่วพริบตาทหารม้าทัพเยียนพวกนั้นก็ควบม้ามาหยุดอยู่หน้าทหารถือทวนวงเดือนเหล่านั้น ทหารถือทวนวงเดือนพวกนั้นทุกคนล้วนฝีมือร้ายกาจ ครั้นเบี่ยงตัวหลบหลีกการปะทะของม้าสำเร็จ เขาก็เหวี่ยงทวนในมือใส่ทหารม้าทัพเยียนคนหนึ่งตกจากหลังม้า ก่อนจะแทงอีกฝ่ายจนถึงแก่ความตาย

    ถังอี้หมิงสังเกตเห็นว่าทหารที่ถือทวนวงเดือนไว้ในมือนั้นมีอยู่ด้วยกันเก้าคน พวกเขาหลังชนหลังรวมตัวกลายเป็นวงเล็กๆ ขยับตัวถอยไปด้านข้างทีละน้อย พอถูกอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจเข้าแบบนั้น ทหารม้าทัพเยียนก็หันไปโจมตีเล่นงานพวกเขาทั้งเก้าแทน

    หวงต้าพาคนห้าสิบคนพร้อมโล่และอาวุธวิ่งออกมาจากในป่า

    หวงต้าส่งทวนวงเดือนกับโล่ให้ถังอี้หมิง ปากก็ร้องตะโกน “นายกอง สั่งการมาได้เลย!”

    ถังอี้หมิงรับทวนวงเดือนกับโล่ไว้ ตะโกนไปทางด้านหลัง “ไม่ทอดทิ้ง ไม่ยอมแพ้! ไม่ว่าใครก็ห้ามทิ้งชีวิตไปเปล่าๆ ช่วยพี่น้องพวกนั้นให้ได้! ฆ่า!”

    “ฆ่า!”

    ชายในอาภรณ์ยาวสีเทาวิ่งมาใกล้ถึงแนวป่าได้ไม่ทันไรก็พบกับทหารในชุดเกราะสีดำจำนวนห้าสิบนายวิ่งกรูกันออกมา เขาตะลึงรีบชักกระบี่ที่เหน็บอยู่บนเอวออกมา ร้องตะโกนเสียงดัง “ในเมื่อซ้ายขวาล้วนแต่ต้องตาย งั้นข้าขอสู้ตาย!”

    ถังอี้หมิงนำทหารห้าสิบนายแผดเสียงตะโกนกึกก้อง ชายในอาภรณ์ยาวสีเทาตะลึงลาน ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่รู้ควรทำเช่นไร

    ครั้นถังอี้หมิงนำนายทหารห้าสิบนายเข้ามาใกล้ พอชายในอาภรณ์ยาวสีเทาเห็นชัดว่าพวกเขาสวมชุดศึกกองกำลังฉี่หัวกลับหน้ากลับหลัง ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ

    ถังอี้หมิงพาพวกทหารวิ่งผ่านชายคนดังกล่าวไปรวดเร็ว ตรงดิ่งเข้าใส่ทหารม้าทัพเยียนร้อยกว่านายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

    ทหารม้าทัพเยียนพวกนั้นกำลังล้อมทหารที่ถือทวนวงเดือนทั้งเก้าคนไว้แน่นหนา แต่พอได้ยินเสียงตะโกนฆ่าดังขึ้นจากทางด้านหลัง พวกเขาก็รีบดึงบังเหียนม้าหมายหันกลับไปดู แต่ถูกคนห้าสิบคนถือโล่พุ่งตรงเข้าใส่เสียก่อน

    โล่กระแทกใส่หัวม้าเข้าอย่างจัง ม้าของทหารทัพเยียนพวกนั้นต่างแตกตื่นตกใจ ส่งเสียงร้องออกมายาวๆ เหวี่ยงสะบัดเอาทหารม้าทัพเยียนที่นั่งอยู่บนหลังของพวกมันตกลงมานอนกลิ้งอยู่กับพื้น ยังไม่ทันได้ลุกก็ถูกทหารกองกำลังฉี่หัวแทงตายเสียก่อน

    ทหารเว่ยทั้งเก้าพอเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็เริ่มลงมือตอบโต้ ถือทวนวงเดือนเข้าประชิดทหารม้าทัพเยียน ทยอยสอยคนพวกนั้นลงมาฆ่า

    ทหารถือทวนวงเดือนพวกนั้นทยอยจัดกระบวนรบแยกย้ายกลุ่มละสามคน บุกตะลุยเข้าไปอยู่กลางกองกำลังทหารม้าทัพเยียน แยกพวกศัตรูออกจากกันจนทหารม้าทัพเยียนไม่อาจจัดกระบวนรบได้

    กองกำลังฉี่หัวของถังอี้หมิงก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่พวกเขาแบ่งเป็นกลุ่มละห้าคน ขณะต่อสู้อลหม่าน ทหารม้าทัพเยียนก็พบว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ภายใต้การต่อสู้ระยะประชิดแบบนี้พวกเขาไม่มีทางแสดงพลังของทหารม้าออกมาได้

    เพียงไม่นาน ทหารม้าทัพเยียนก็เหลือเพียงไม่กี่คน ขณะกำลังคิดหนี ถังอี้หมิงก็ขว้างทวนวงเดือนในมือแทงทะลุร่างทหารม้ารายหนึ่งตาย พอเห็นถังอี้หมิงทำแบบนั้น ทหารคนอื่นต่างก็พากันเลียนแบบซัดทวนวงเดือนในมือออกไป หมายปลิดชีวิตพวกทหารม้าที่กำลังคิดหนี

    การตะลุมบอนกันครั้งนี้ ทหารม้าทัพเยียนจำนวนร้อยกว่าคนไม่มีใครหนีรอดได้เลยแม้แต่คนเดียว ทหารเว่ยทั้งเก้าคนก็ตายไปจนสิ้น ส่วนทหารกองกำลังฉี่หัวเสียชีวิตไปทั้งหมดหกคน

    ถังอี้หมิงสั่งให้ทุกคนเก็บรวบรวมอาวุธที่พอใช้ได้ขึ้น รื้อค้นดูข้าวของที่ทหารเยียนพวกนั้นพกติดตัว ปลดเอาเกราะศึกที่ยังอยู่ในสภาพดีออกมา ลากร่างไร้วิญญาณของเหล่าพี่น้องพร้อมกับม้าจำนวนหนึ่งกลับเข้าไปในป่า

    พอกลับเข้าไปถึงในป่า ถังอี้หมิงก็สั่งให้คนนำศพของพวกพี่น้องไปฝัง

    ชายในอาภรณ์ยาวสีเทาคนนั้นเข้าไปอยู่ในป่าก่อนหน้าแล้ว พอเข้าไปในป่าเขาก็มองเห็นทหารบาดเจ็บจำนวนมาก ยังไม่ทันได้ถามอะไร พวกถังอี้หมิงก็กลับเข้ามาเสียก่อน

    ชายในอาภรณ์ยาวสีเทามองดูถังอี้หมิง ครั้นเห็นเขาสวมชุดนายกอง ชายในอาภรณ์ยาวสีเทาก็ถามขึ้น “ท่านเป็นหัวหน้าทหารบาดเจ็บพวกนี้?”

    ถังอี้หมิงพยักหน้า พอเห็นชายในอาภรณ์ยาวสีเทาท่าทางคล้ายเป็นพวกปัญญาชน ใบหน้าขาวสะอาด ใต้คางมีเคราแพะเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “ข้าเป็นนายกองของพวกเขา ชื่อถังอี้หมิง!”

    ชายในอาภรณ์ยาวพูด “นายกอง? นึกไม่ถึงว่าแค่นายกองเล็กๆ คนหนึ่งจะมีความสามารถมากขนาดนี้ ถึงกับนำกองกำลังทหารฉี่หัวของฝ่าบาทออกจากสนามรบได้ ความสามารถของท่านไม่ใช่น้อยจริงๆ นายกองถัง ข้าคือกุนซือที่ปรึกษาของฝ่าบาทชื่อหวังข่าย”

    ถังอี้หมิงไม่รู้ว่าตำแหน่งกุนซือที่ปรึกษานั้นใหญ่โตขนาดไหน นอกจากแม่ทัพ อัครมหาเสนาบดีคือผู้นำขุนนางนับร้อยแล้ว เขาก็ไม่รู้จักตำแหน่งขุนนางอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงได้แต่ “อืม” ออกมาคำหนึ่ง ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา

    จู่ๆ หวังข่ายก็ค้อมคำนับให้ถังอี้หมิงด้วยกิริยานอบน้อม พูดจาฉะฉาน “หวังข่ายขอคารวะท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต!”

    ถังอี้หมิงรีบตอบ “ไม่ต้อง ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง คนกันเองช่วยคนกันเองเป็นเรื่องปกติ ไม่มีบุญคุณอะไร”

    หวังข่ายหัวเราะ เขาถามทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจ “นายกองถัง พวกท่านมาจากที่ใด”

    “เหลียนไถ” ถังอี้หมิงพูดอย่างเปิดเผย

    หวังข่ายตะลึง นึกไม่ถึงว่าถังอี้หมิงจะตอบตรงไปตรงมาแบบนั้น จึงจงใจถาม “พวกท่านเป็นทหารหนีทัพ?”

    “ทหารหนีทัพอะไร! นายกองพาพวกเรามารวบรวมเสบียงสนับสนุนฝ่าบาท! ขุนนางอย่างพวกเจ้า ดีแต่เสวยสุขอยู่แนวหลัง ไม่ยอมส่งเสบียงมาให้พวกเรา จนพวกเราต้องหิ้วท้องออกรบ คนอย่างพวกเจ้าเป็นขุนนางประสาอะไร” หวงต้าร้องด่าเสียงดัง

    หวังข่ายสีหน้าหม่นหมอง “ข้าเดินทางส่งเสบียงมาจากเยี่ยเฉิง พอมาถึงจวี้ลู่ก็ได้ยินว่าฉางซานถูกทหารเยียนโจมตี พวกเราทิ้งทหารหนึ่งพันนายไว้ปกป้องจวี้ลู่ก่อนจะพาทหารทั้งหมดที่มีมาช่วยฉางซาน ผลคือฉางซานถูกทหารเยียนยึดได้ พวกเราเองก็บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ที่หนีออกมาได้ก็มีแค่พวกเราไม่กี่คนเท่านั้น”

    “อะไรนะ ฉางซานถูกสุนัขเยียนยึด? นี่พวกเจ้าเฝ้าเมืองกันอย่างไร” หวงต้าตื่นตะลึง

    “ตอนข้าพาทหารมาช่วย กองทัพเยียนก็บุกเข้าเมืองไปก่อนหน้าแล้ว พวกเรากับกองทัพเยียนรบพุ่งกันดุเดือดอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ สุดท้ายน้ำน้อยก็แพ้ไฟ พวกเราพากันหลบหนีออกมา ทว่าเพราะเส้นทางไปจวี้ลู่ถูกพวกทหารเยียนปิดล้อมไว้ พวกเราจึงได้แต่ถอยขึ้นเหนือ” หวังข่ายเล่า

    ถังอี้หมิงพูด “ในเมื่อฉางซานถูกทหารเยียนยึดได้แล้ว เช่นนั้นที่นี่ก็ยิ่งอันตรายใหญ่ ดูท่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือต้องบุกฝ่าแนวป้องกันของพวกสุนัขเยียนไปรักษาเสบียงที่จวี้ลู่ให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้น หากฝ่าบาทที่ทำสงครามอยู่แนวหน้ารู้ว่าเส้นทางลำเลียงเสบียงถูกตัดขาด ย่อมต้องส่งผลกระทบถึงขวัญทหารแน่”

    หวังข่ายพยักหน้า “นายกองถังสายตากว้างไกล ข้าน้อยแซ่หวังนับถือยิ่งนัก”

    จู่ๆ หลิวซานก็เบียดออกมาจากกลุ่มฝูงชน เขาตะโกนเสียงดัง “นายกอง แย่แล้ว! พวกสุนัขเยียนล้อมป่านี้ไว้หมดแล้ว!”

    เสียงตะโกนของหลิวซานทำเอาทุกคนที่อยู่ในป่าต่างพากันหวั่นไหว หวงต้าพูดอย่างไม่เข้าใจ “ทหารเยียนร้อยกว่าคนเมื่อครู่ พวกเราไม่ปล่อยให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว แล้วทหารม้าพวกนั้นมาจากที่ใดกัน”

    ถังอี้หมิงกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ต้องเป็นพวกสุนัขเยียนที่ไปสะพานนั่นก่อนหน้านี้แน่ ครั้นเห็นพวกเราไม่อยู่ที่นั่นก็เลยย้อนกลับมา พอระหว่างทางพบเจอกับศพทหารเยียนพวกนั้นเข้าก็เลยมั่นใจว่าพวกเราต้องซ่อนตัวอยู่ในป่านี้ หลิวซาน เจ้าอยู่ที่นี่พาพวกทหารที่บาดเจ็บไปต่อ ข้าจะไปดูสถานการณ์ที่ชายป่า หวงต้า เจ้าไปตามหูเยี่ยนมา อีกเดี๋ยวอาจต้องเรียกใช้เขา”

    พอพูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินไปที่ชายป่า ซ่อนตัวมองดูสถานการณ์ภายนอกอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง

    ทหารม้าทัพเยียนหน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่ห่างจากป่าไปราวๆ ห้าร้อยเมตร ล้อมป่าไว้ทั้งผืน

    แม่ทัพทัพเยียนนายหนึ่งสองมือจับบังเหียน ที่อยู่บนเอวคือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง อีกฝ่ายสวมเกราะศึกสีดำหนาๆ ไว้บนตัว สายตาคมกริบ จ้องมองดูผืนป่าตาไม่กะพริบ

    ที่อยู่ด้านหลังของเขาคือทหารม้ายี่สิบนาย ในมือถือคบไฟไว้ เปลี่ยนพื้นที่รายรอบให้กลับกลายเป็นสุกสว่าง แต่เพราะตำแหน่งที่ถังอี้หมิงอยู่ย้อนแสงไฟ เขาจึงเห็นรูปร่างหน้าตาของแม่ทัพคนนั้นไม่ชัด

    “นายกอง ท่านเรียกหาข้า?” หูเยี่ยนเดินเข้ามา พอเห็นถังอี้หมิงยืนอยู่ที่นั่นก็เอ่ยปากถาม

    ถังอี้หมิงพยักหน้า “หลี่เหล่าซื่อฟื้นหรือยัง”

    “ยัง เขายังสลบอยู่” หูเยี่ยนตอบ

    ถังอี้หมิงถอนหายใจ “หลี่เหล่าซื่อสมเป็นลูกผู้ชายจริงๆ สมัยก่อนท่านกวนอวี่ (กวนอู) เฉือนเนื้อรักษาแผลก็แบบนี้!”

    หูเยี่ยนไม่ได้ตอบ เพราะเขาไม่รู้ว่ากวนอวี่ที่ถังอี้หมิงพูดถึงคือใคร ถึงยุคสามก๊กจะห่างจากยุคนี้ไปไม่มาก แต่อย่างน้อยๆ ก็มีร้อยกว่าปี จลาจลที่เกิดขึ้นตลอดร้อยกว่าปี แค่เอาชีวิตให้รอดก็ยังเป็นปัญหา แล้วใครจะยังไปจำคนที่ตายไปนานแล้วพวกนั้นได้

    นอกป่า แม่ทัพทัพเยียนผู้นั้นชูมือขึ้นข้างหนึ่ง ทหารม้าที่อยู่ทางด้านหลังคนหนึ่งเดินออกมา หลังพูดอะไรบางอย่างกับทหารม้าคนนั้นเสร็จ ทหารม้าคนดังกล่าวก็เดินขึ้นหน้า หยุดห่างจากป่าไปไม่ไกลสักเท่าไร ก่อนอ้าปากร้องตะโกนออกมาสองสามประโยค

    ถังอี้หมิงรีบถามหูเยี่ยน “เจ้าสุนัขเยียนนั่นพูดอะไร”

    หูเยี่ยนแปล “เขาบอกว่า แม่ทัพใหญ่ของพวกเขาโอบอ้อมอารีที่สุดในแคว้นเยียน ขอเพียงพวกเรายอมแพ้ เขาก็จะละเว้นโทษตายให้ และจะไม่ให้พวกเราต้องถูกนำตัวไปเป็นทาส แต่จะให้พวกเราไปอยู่ในกองทัพของพวกเขา”

    “บอกพวกเขาไป อย่าหวังว่าพวกเราจะยอมจำนน อย่างมากพวกเราก็แค่ปลาตายแหขาด พวกเราขุดหลุมรอเก็บศพพวกเขาอยู่ในป่าเรียบร้อยแล้ว” ถังอี้หมิงพูด

    ทันทีที่หูเยี่ยนแปลคำพูดของถังอี้หมิงเสร็จ ทหารเยียนคนนั้นก็ถอยกลับไป ไม่ย้อนกลับมาอีก ส่วนแม่ทัพทัพเยียนรายนั้นเหมือนจะโกรธจัด แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกทหารเยียนก็ยังคงไม่กล้าบุกโจมตีเข้ามา

    กองกำลังทัพเยียนกับทัพเว่ยทำสงครามกันมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พ่ายเยอะชนะน้อย ภายใต้สถานการณ์ที่ยากจะบอกได้ชัดแจ้ง พวกเขาไหนเลยจะกล้าบุ่มบ่ามบุกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นคิดใช้ทหารม้าบุกเข้ามาในป่าก็รังแต่จะเสียเปรียบ

    พอเห็นทหารเยียนพวกนั้นได้แต่ก่อความไม่สงบอยู่ข้างนอกไม่กล้าบุกเข้ามา เขาก็บอกกับหูเยี่ยน “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ มีอะไรก็รีบเข้าไปรายงานข้า”

    “นายกองโปรดวางใจ ข้าจะเฝ้าดูสุนัขเยียนอยู่ที่นี่ไม่ให้คลาดสายตา”

    ถังอี้หมิงสังเกตดูลักษณะพื้นที่รอบๆ ก่อนจะตบไหล่หูเยี่ยนแสดงความมั่นใจในตัวเขาคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในป่า

    พื้นที่แถบนี้แปลกประหลาด นอกชายป่าฝั่งตะวันตกเต็มไปด้วยวัชพืชสูงประมาณเมตรกว่า ยิ่งลึกก็ยิ่งสูงท่วมหัว พอเห็นแบบนั้นถังอี้หมิงก็นึกแผนการซุ่มโจมตีขึ้นมาได้

    พอกลับเข้ามาในป่า ถังอี้หมิงก็เห็นหวังข่ายไม่ต่างอะไรกับมดในกระทะร้อน เดินร้อนอกร้อนใจอยู่ที่นั่น คนอื่นๆ ท่าทางยิ่งแลดูอับจน

    ครั้นเห็นถังอี้หมิงกลับมา เขาก็รีบถาม “นายกองถัง ด้านนอกมีทหารเยียนอยู่เต็มไปหมดใช่หรือไม่”

    “ป่าแห่งนี้ถึงจะไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เรียกว่าเล็ก อย่างน้อยก็พาคนมาซ่อนอยู่ที่นี่ได้หนึ่งถึงสองพันคน สุนัขเยียนล้อมป่านี้ไว้ได้ทั้งหมด เท่านี้ก็พอจินตนาการถึงกำลังทหารของพวกเขาได้แล้ว” ถังอี้หมิงพูด

    “ถ้าพวกทหารเยียนบุกเข้ามาจะทำอย่างไร เช่นนี้นี้ไม่เท่ากับหนีจากรังหมาป่าเข้ามาอยู่ในปากเสือหรือไรกัน” เพราะไม่ใช่ทหาร หวังข่ายจึงไม่อาจทำตัวสงบนิ่งเฉกเช่นทหารทั่วไป

    “ปากเสือ? ต่อให้เป็นปากเสือ พวกเราก็จะถอนเขี้ยวของพวกมันออกมา!” ถังอี้หมิงพูดกล้าหาญชาญชัย

    หวังข่ายเป็นกุนซือที่ปรึกษา ทำงานอยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายปี ในบ้านล้วนแต่เป็นขุนน้ำขุนนาง วิธีพิจารณาดูคำพูดสังเกตสีหน้าอย่างไรก็ยังพอรู้อยู่บ้าง พอถังอี้หมิงพูดอย่างมั่นอกมั่นใจออกมาเช่นนั้น เขาก็เอ่ยปากถาม “หรือท่านมีแผนการอยู่ในใจแล้ว”

    พอเห็นใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยสีหน้าเฝ้ารอ เขาก็นั่งยองๆ ลงกับพื้น ใช้กิ่งไม้วาดวงกลมขึ้นวงหนึ่ง บอกกับทุกคน “ดูนี่ นี่ก็คือป่าที่พวกเราซ่อนตัวอยู่ ทั้งหมดล้วนถูกศัตรูล้อมไว้ ทว่าพวกเราใช่จะไม่มีทางฝ่าออกไป ด้านตะวันตกของป่ามีป่าหญ้าสูงรกเรื้อ พวกเราใช้ที่นั่นหลอกล่อพวกศัตรูได้ ขอเพียงทำหุ่นฟางขึ้นมา ให้พวกมันสวมเสื้อม้า มัดไว้บนอานม้า หลังจากนั้นก็ปล่อยม้าพวกนั้นไปดึงดูดความสนใจของทหารเยียนพวกนั้น ขอเพียงเป็นไปตามแผน ดึงดูดความสนใจของคนพวกนั้นได้สำเร็จ ทหารเยียนย่อมต้องไล่ตามพวกเราไปที่นั่น ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะใช้โอกาสนี้ลอบโจมตีเล่นงานเจ้าพวกนั้นได้”

    ถังอี้หมิงอธิบายพลางวาดภาพให้ดูโดยละเอียด แต่เพราะมืดค่ำแล้วจึงไม่มีใครเห็นชัดว่าเขาวาดรูปอะไร ทุกคนไม่เชื่อมั่นในคำพูดของเขานัก ทว่าหวังข่ายเห็นถังอี้หมิงพูดอย่างมั่นอกมั่นใจแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดวิธีจัดการกับศัตรูไว้แล้วจึงเอ่ยถาม “ที่นี่ไม่มีหญ้าฟางอะไรสักนิด แล้วจะทำหุ่นฟางได้อย่างไร”

    ถังอี้หมิงยิ้ม “แค่กิ่งไม้ก็พอแล้ว แขวนชุดเกราะกับเสื้อผ้าไว้ ตรึงมันไว้บนหลังม้าให้แน่น ค่ำมืดแบบนี้ทหารเยียนพวกนั้นไม่มีทางดูออก”

    หวังข่ายถาม “คนพวกนั้นจะหลงกลเราหรือ”

    ถังอี้หมิงตอบ “ถ้าไม่หลงกลพวกเราก็ต้องคิดหาวิธีอื่น งานนี้ต้องเคลื่อนไหวให้เร็ว ขืนชักช้าเกิดพวกทหารเยียนหมดความอดทนลงมือจุดไฟเผาป่าขึ้นมา ถึงตอนนั้นคิดหนีพวกเราคงหนีไม่พ้น”

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า 1’ วางขาย 25 มีนาคม 2020)

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook