• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า เล่ม 1 บทที่ 1

    บทที่ 1

    หรือย้อนเวลาแล้ว

     

    ท้องฟ้าขาวเหลือง ผืนแผ่นดินแดงดำ ตะวันบ่ายคล้อยสีแดงฉานแขวนตัวอยู่บนฟากฟ้าทิศตะวันตก สอดประสานอยู่กับแสงสายัณห์แดงก่ำดั่งโลหิตสด

    อีกาอวบอ้วนที่เพิ่งจะกินอิ่มสองสามตัวบินวนอยู่เหนือต้นไม้แห้งเหี่ยวสองรอบ ก่อนจะหยุดพักลงบนกิ่งไม้แห้ง มันใช้จะงอยปากคมกริบที่ยังมีคราบเลือดบรรจงแต่งขนช้าๆ พลางส่งเสียงโศกเศร้าอาดูรออกมาเป็นระยะๆ

    สายลมโถมกระหน่ำพัดม้วนเอาใบไม้แห้งกับเศษดินทรายบนพื้นขึ้นมานับไม่ถ้วน ฝุ่นละอองเต็มท้องฟ้า บดบังแสงตะวันไปจนสิ้น ที่ไกลออกไปมีหมาป่าหิวกระหายสองสามตัวกำลังเดินวนเวียนไปมาพอมองเห็นได้อยู่รางๆ และด้วยเพราะกินเนื้อมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก ตาของพวกมันจึงแลดูคล้ายลูกไฟปีศาจอันแฝงไว้ด้วยความอยากกระหาย และที่มากไปกว่านั้นคือการเฝ้ารอ…

    พื้นดินเหนือที่ราบแทบทุกตารางนิ้วอาบท่วมไปด้วยเลือดสดๆ จนกลายเป็นดินเลนสีแดงเข้มชวนคลื่นเหียน ปะปนไปด้วยซากอวัยวะเศษกะโหลกแตกจำนวนนับไม่ถ้วนกับอาวุธหักๆ ที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ แลดูไม่ต่างอะไรกับงานปักที่ประดับอยู่บนพรมแดงผืนใหญ่ของพวกพ่อค้าจากดินแดนตะวันตก

    ยิ่งไปกว่านั้นกลางหลุมเลนยังเต็มไปด้วยซากศพกองสูงเทียมภูเขา

    คนสิบกว่าคนในอาภรณ์สีดินเหลืองประดับไปด้วยแผ่นเกราะมีผ้าขาวบางพันอยู่บนร่างเดินออกจากป่าที่อยู่ไกลออกไปขยับตรงเข้ามาทีละน้อย

    ใบหน้าของพวกเขาเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แต่กระนั้นสายตากลับคมกริบ ทันทีที่ลมพัดหญ้าไหวสะท้าน กลิ่นอายสังหารก็พลันปกคลุมไปทั่วร่าง

    ท่ามกลางสมรภูมิรบแห่งนี้พวกเขาคือผู้ชนะ จิตใจห้าวหาญไม่ย่นระย่อซึมออกมาผ่านผ้าขาวบางชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ

    นายทหารที่มีเศษผ้าพันปิดตาขวาเอาไว้เดินมาหยุดอยู่หน้ากองซากศพ เขาค้อมเอวหยิบทวนวงเดือนที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเล่มหนึ่งออกมาจากหลุมเลนซึ่งเต็มไปด้วยเลือด หลังจากออกแรงเหวี่ยงมันไปมาอยู่สองสามทีก็ปักมันลงพื้น และรื้อหาของที่พอจะใช้ได้ตามกองซากศพต่อ

    เกราะอ่อนบนร่างของทหารตาเดียวผู้นั้นถูกย้อมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน ด้านหลังมีริ้วรอยขาดวิ่น มองเห็นเลือดไหลออกมาจากปากแผลนั้นได้รางๆ

    เขาผลักร่างไร้วิญญาณพวกนั้นออก ลงมือปลดเกราะอกที่อยู่บนศพชายที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน พอเห็นว่าเกราะอกนั่นไม่ได้เสียหายนักก็เอามันมาสวมไว้กับตัว

    กองซากศพเตี้ยๆ กองหนึ่งเริ่มขยับ มือที่อาบไปด้วยเลือดข้างหนึ่งยื่นออกมา ทหารตาเดียวคนนั้นสะดุ้ง ร้องคำรามออกมาตามสัญชาตญาณ เขาจ้องมองดูอุ้งมือที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นเฉกเช่นเดียวกับหมาป่าตาเดียวดุดันพลางถอนทวนวงเดือนที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา ท่าทางตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด

    พวกทหารที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินเสียงคำรามทุ้มต่ำของพรรคพวกก็รีบกรูกันเข้ามาล้อมราวหมาป่าหิวกระหายได้กลิ่นคาวเลือด ทุกคนต่างเล็งทวนวงเดือนในมือ สายตาดุดันจ้องเขม็งไปยังกองซากศพที่กำลังขยับ

    ชายเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือดคนหนึ่งคลานออกมาจากกองซากศพนั้น ในมือกุมทวนวงเดือนสภาพสมบูรณ์เล่มหนึ่งไว้

    ทันทีที่เขาโผล่ออกมา ยังไม่ทันได้ทำอะไรประกายแสงเย็นเยียบสิบกว่าสายก็สว่างวาบขึ้นตรงหน้า ทวนวงเดือนจ่ออยู่บนร่างของเขา

    ชายหนุ่มตกใจสุดขีด ได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าตึงเครียดแฝงไว้ซึ่งความพรั่นพรึง

    “นี่…นี่…ฉัน ฉันคือ…พวก…พวกนาย…”

    คนที่คลานออกมาจากกองซากศพร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ไม่อาจเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคสมบูรณ์

    “เฮ้อ!”

    เหล่าทหารหลายสิบนายต่างพากันถอนหายใจยาวๆ ชักทวนวงเดือนในมือกลับ ก่อนจะแสดงคารวะต่ออีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อมพร้อมร้องออกมา “นายกอง!”

    คนที่คลานออกมาผู้นั้นพยายามประคองตัวลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ ก่อนกวาดตามองไปรอบๆ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

    เขารู้สึกเจ็บปวดสาหัสรุนแรงจากบาดแผลบนแขนขวา ศีรษะเริ่มวิงเวียนจนแทบจะประคองร่างไว้ไม่อยู่ ยังดีที่มีทวนวงเดือนคอยช่วยค้ำยันไว้ถึงยังเหยียดร่างยืนตัวตรงได้อยู่ ครั้นก้มดูบนเกราะอกของตนก็พบว่ายามนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดสีเข้มเหนียวเหนอะเกรอะกรังปะปนอยู่กับเลือดสีแดงสดที่กำลังไหลริน บนอกเขามีแผลตื้นๆ ที่เกิดจากดาบอยู่รอยหนึ่ง ฟองเลือดทะลักล้นออกมาด้านนอก

    นายทหารรูปร่างผอมสูงที่มีผ้าขาวบางพันอยู่บนแขนเดินออกมาจากป่าที่อยู่ไกลออกไป พอเห็นชายหนุ่มที่คลานออกมาจากกองซากศพก็พลันร้องตะโกนยินดี “เป็นท่านจริงๆ ที่แท้ท่านก็ยังไม่ตาย!”

    นายกองคนนั้นสีหน้างุนงง คล้ายทำอะไรไม่ถูก “ฉัน…ฉัน…ที่…ที่นี่…”

    ในตอนนั้นเอง จู่ๆ พื้นดินก็เริ่มสั่นสะท้าน เสียงฝีเท้าม้ากึกก้องดังใกล้เข้ามาทุกขณะ ชายผู้เป็นนายกองแหงนหน้ามองไปตามที่มาของเสียง เหนือเส้นขอบฟ้าไกลโพ้น ฝุ่นควันกลุ่มหนึ่งขยายตัวใหญ่มากขึ้นทุกที หนำซ้ำยังขยับใกล้เข้ามารวดเร็ว ประกายแสงเจิดจ้าส่องสะท้อนอยู่ใต้แสงตะวัน

    ทหารในชุดเกราะสีดำกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าศึกชั้นยอด ทั่วทั้งร่างล้วนมีเกราะเหล็กหนาๆ ปกป้อง หมวกเกราะปกปิดส่วนศีรษะเอาไว้เกือบทั้งหมด เผยให้เห็นใบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่อยู่ในมือของพวกเขาคืออาวุธที่มีลักษณะคล้ายหอกแหลม ธงสีดำผืนใหญ่สะบัดไหวรับลมอยู่กลางขบวน ที่ปักอยู่ด้านบนคือตัวอักษรยึกยือสีขาว

    ทหารม้าเหล่านั้นล้วนสีหน้าดุดัน ปากส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวก พุ่งตรงมายังสนามรบด้วยท่วงท่าแข็งแกร่งทรงพลัง ทันทีที่เห็นทหารม้ากลุ่มดังกล่าว ชายผู้เป็นนายกองก็แอบรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึกๆ จะให้บรรยายท่าทีห้าวหาญของทหารม้ากลุ่มนี้คงต้องเทียบกับพยัคฆ์ไม่ก็หมาป่าเท่านั้น

    ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดให้ดีว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนวุ่นวายแบบเดียวกันดังขึ้นจากทางด้านหลัง

    “ถอยเร็ว! พวกสุนัขเยียนมาแล้ว!”

    นายทหารผอมสูงร้องตะโกนออกมาคำหนึ่งก่อนจะร่วมมือกับนายทหารตาเดียวพยุงชายผู้เป็นนายกองถอยหลังกรูด

    ขณะถูกนายทหารสองคนช่วยกันหิ้วปีก เขาก็เห็นนักรบรูปร่างกำยำล่ำสันนายหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ชายคนนั้นเบ้าตาลึก ใบหน้าตอบ สีหน้าเคร่งขรึม กระดูกใบหน้าหนาแข็งแรง คางผายกว้าง อิ่มเอิบไปด้วยกล้ามเนื้อ คิ้วดกหนา หูหนาปากกว้าง ห้าวหาญสมชายชาตรี แลดูน่าเกรงขาม

    ชายคนนั้นสวมหมวกเกราะสีทอง ร่างหุ้มด้วยเสื้อเกราะสีทอง ผ้ากันลมสีแดงผืนใหญ่ห่มคลุมอยู่ทางด้านหลัง ยาวราวๆ หนึ่งจั้งสามฉื่อ* ทอแสงเยือกเย็นอยู่ใต้แสงอาทิตย์อัสดงที่แดงฉานดั่งเปลวเพลิง มือซ้ายกุมทวนวงเดือนคมกริบยาวราวหนึ่งจั้งไว้เล่มหนึ่ง เทียบกับทวนวงเดือนทั่วไปแล้วจัดว่าสั้นกว่ามาก ปลายทวนด้านขวาคือตะขอโค้ง รูปร่างไม่ต่างอะไรกับจันทร์เสี้ยวเฉียงๆ

    ที่อยู่ในหว่างขาคือม้าศึกสีแดงตัวใหญ่ ขาทั้งสี่ของมันเรียวยาวแข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง กล้ามเนื้อราวกับถูกตีถูกหลอมขึ้นจากเหล็ก ผิวมันเป็นประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาสวยสดงดงามไม่ต่างจากเปลวเพลิงจากนรกที่กำลังคุโชน แผงคอสีแดงสะบัดไหวอยู่ท่ามกลายสายลมโถมกระหน่ำเสมือนหนึ่งงูไฟจำนวนนับหมื่นที่กำลังร่ายรำลุกไหม้หยิ่งทะนงอยู่ภายใต้แสงตะวัน

    พอเห็นภาพดังกล่าว ชายผู้เป็นนายกองก็อดนึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้ “โลกนี้ทำไมถึงมีคนรูปร่างกำยำล่ำสันแบบนี้ได้!”

    เพียงชั่วพริบตา ชายคนผู้นั้นก็ควบม้าศึกสีแดงราวกับเปลวไฟคู่กายมาถึงข้างๆ พายุทรายโหมซัดใส่ใบหน้าเขา

    ที่ตามอยู่ทางด้านหลังคือทหารม้าในชุดเกราะสีดินเหลืองสองร้อยกว่านาย ใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนล้วนเส้นเลือดปูดโปน มือข้างหนึ่งถือแส้ม้ามือข้างหนึ่งชูหอกยาว ดวงตาเบิกกว้างพลางตะโกนร้องถ้อยความชวนเลือดในกายพลุ่งพล่าน “ฆ่า!”

    ที่อยู่ทางด้านหลังของกองกำลังทหารม้าคือพลทหารราบที่ส่งเสียงกู่ร้องไม่ขาดปาก สีหน้าท่าทางของพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากทหารม้าพวกนั้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร สีหน้าดุดันไม่ด้อยกว่าทหารม้าในชุดเกราะสีดำที่พบเจอก่อนหน้านี้

    ที่อยู่กลางขบวนคือธงสีน้ำเงินที่กำลังโบกสะบัดรับแรงลม มีตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่ต่างอะไรกับโลหิตสดๆ ปักอยู่

    ครั้นกองกำลังทหารทั้งหมดเคลื่อนขบวนเฉียดไหล่ชายผู้เป็นนายกองไป ม้าเร็วตัวหนึ่งก็วิ่งมาอยู่ข้างกายเขา นายทหารบนหลังม้าตะโกนเสียงดังลั่น “ฝ่าบาททรงมีบัญชา! ให้ท่านนำพวกทหารที่บาดเจ็บทั้งหมดรักษาการณ์อยู่ที่นี่ คุ้มครองความปลอดภัยของพวกพี่น้องทั้งหมด!”

    ทันทีที่พูดจบ อีกฝ่ายก็หันหัวม้ากลับ พุ่งตรงขึ้นหน้าไปอย่างรวดเร็ว

    นายกองงุนงง เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังคุมคนงานให้อพยพออกจากเหมืองที่กำลังจะถล่มอยู่เลย และหลังแผ่นดินสั่นไหวรุนแรง ร่างของเขาก็ถูกกลบฝังอยู่ใต้กองดินหนาๆ

    เท่าที่จำได้ เขากระเสือกกระสนดิ้นรนขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย กว่าจะโผล่พ้นออกมาได้ก็ไม่ใช่ง่าย ขณะที่คิดว่าตัวเองคงรอดแล้ว ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่โผล่หัวออกมา เขากลับยืนอยู่กลางสมรภูมิรบที่ไหนก็ไม่รู้

    พอหันมองกลับไป เขาก็เห็นกองกำลังทหารสีดินเหลืองกำลังต่อสู้อยู่กับทหารม้าในชุดเกราะสีดำที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัว ภายใต้การนำของชายบนหลังม้าขนแดงหุ้มห่อร่างไว้ภายใต้เกราะสีทอง ทหารในชุดสีดินเหลืองบุกตะลุยเข้าใส่ทหารม้าในชุดเกราะสีดำอย่างเอาเป็นเอาตาย

    การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหารม้าในชุดเกราะสีดำที่อยู่ภายใต้ธงดำอักษรขาวถูกโจมตีล่าถอยไม่เป็นกระบวน โดยมีทหารภายใต้ธงน้ำเงินอักษรแดงไล่ตามไปติดๆ เพียงไม่นานพวกเขาก็หายลับไปจากเส้นขอบฟ้า

    ชายผู้เป็นนายกองอดนึกเลื่อมใสความสามารถในการรบของกองกำลังทหารชุดดินเหลืองที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดพวกนั้นไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีจำนวนน้อยกว่าแต่กลับใช้กำลังพลรับมือทหารม้าที่มีจำนวนมากกว่า หนำซ้ำยังได้รับชัยชนะ รุกไล่กองกำลังทหารม้าชุดดำจนแตกพ่ายถอยร่นกลับไปได้

     

    พสุธากว้างใหญ่ เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

    ครั้นหันมองกลับมาอีกที เขาก็สังเกตเห็นว่าข้างป่ามีกระโจมตั้งกระจัดกระจายอยู่กันเป็นหย่อมๆ ทหารหน้าตาซื่อๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาจำนวนมากอิงอยู่ข้างต้นไม้ เผยให้เห็นถึงกระดูกขาวโพลนที่โผล่พ้นออกมาจากแขนขาที่ขาดหาย ทหารจำนวนไม่น้อยกำลังสาละวนอยู่กับการทำแผลให้พวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจห้ามเลือดสำเร็จ

    ใบหน้าของทหารที่บาดเจ็บพวกนั้นไม่มีร่องรอยเจ็บปวดทรมานแม้แต่น้อย สายตาของพวกเขาจับจ้องยังเส้นขอบฟ้าไกลโพ้น ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความมุ่งมั่นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า

    ชายที่ถูกเรียกขานว่านายกองหวั่นไหวไปกับภาพตรงหน้า ท่ามกลางความรู้สึกหวาดหวั่นลังเล เขายิ่งบอกไม่ได้ว่าตัวเองยามนี้ควรทำอะไร

    พวกเขาไม่ได้กำลังถ่ายหนังแน่! ตกลงคนทั้งสองฝ่ายที่ทำสงครามรบพุ่งใส่กันนั้นเป็นใครกัน แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ใจของชายผู้เป็นนายกองเต็มไปด้วยคำถาม

    ทันทีที่อ้าปาก ความรู้สึกเจ็บปวดก็แผ่ซ่านออกมาจากริมฝีปากแตกระแหง เดิมเขาตั้งใจจะเอ่ยปากถาม แต่สัญชาตญาณกลับบอกให้เขาตะโกนออกมา “น้ำ! ขอน้ำหน่อย!”

    นายทหารสูงผอมกับนายทหารตาเดียวรีบพยุงนายกองไปที่ชายป่า หลังค่อยๆ วางเขาลงกับพื้น นายทหารสูงผอมก็วิ่งตื๋อไปที่กระโจมก่อนจะกลับมาพร้อมกับน้ำถ้วยหนึ่ง

    เขารับน้ำไว้ ขณะเตรียมจะดื่มก็มองเห็นเงาสะท้อนในน้ำ นั่นเป็นใบหน้าของใครบางคนที่เขาไม่คุ้นตา

    เงาสะท้อนที่ปรากฏออกมาคือใบหน้าซูบผอม คิ้วหนาตาโต หน้าเหลี่ยมปากกว้าง เขาประหลาดใจ รีบขยิบตาขวา ก่อนจะพบว่าคนในเงาสะท้อนนั่นก็ขยิบตาขวาเช่นกัน

    เขาเขวี้ยงถ้วยในมือทิ้ง เสียงกระเบื้องแตกชัดดัง ดึงดูดความสนใจของพวกทหารบาดเจ็บโดยรอบ

    นี่ไม่ใช่ฉัน! บัดซบ นี่ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่

    นายกองร้องตะโกนอยู่ภายในใจไม่ต่างอะไรกับคนเป็นโรคประสาท ทว่าครั้นคำพูดเคลื่อนถึงปาก เขากลับเจ็บคอจนพูดอะไรไม่ออก

    นายทหารตาเดียวรายนั้นเดินออกมาจากในป่าพร้อมผ้าขาวบางม้วนหนึ่งในมือ ก่อนจะตรงเข้ามาทำแผลตามจุดต่างๆ ให้เขาวุ่นวายไปหมด ความเจ็บปวดครอบงำประสาทสัมผัสทั่วร่าง เลือดสดๆ เปลี่ยนผ้าขาวบางสีขาวให้กลับกลายเป็นแดงฉานในชั่วพริบตา

    พอเห็นเขาทำถ้วยแตก นายทหารสูงผอมก็เดินเข้าไปในกระโจมตักน้ำออกมาอีกถ้วย ยื่นส่งน้ำให้ด้วยท่าทางยินดีพลางเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “นายกอง ท่านยังไม่ตายจริงๆ ด้วย วิเศษแท้”

    เขารับน้ำถ้วยนั้นไว้พลางคิด ดื่มน้ำถ้วยนี้จะได้ชุ่มคอ ไม่แน่ว่าอาจพูดอะไรออกมาได้บ้าง

    เขากรอกน้ำลงคออึกๆ รวดเดียวหมด เลียริมฝีปากแตกระแหงของตัวเอง มองดูชายที่อยู่ตรงหน้า นายทหารผอมสูงคนนี้อายุอานามคงสักราวๆ สามสิบ ใบหน้าซูบผอม ผิวหยาบกร้านทว่าเลื่อมเป็นมันราวกับโลหะสำริด มือเรียวยาวเป็นพิเศษทั้งสองข้างวางตั้งอยู่บนเข่า

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มอ้าปากลองเปล่งเสียงคำว่า ‘เจ้า’ ออกมาจากลำคอ

    เขาถามด้วยความสงสัย “เจ้า…ที่นี่ที่ไหน”

    “เหลียนไถ! ที่นี่คือเหลียนไถ นายกอง! คราวที่แล้วตอนพวกเราปะทะกับพวกสุนัขเยียน หากไม่ใช่เพราะนายกองรับดาบแทนข้าไว้ ป่านนี้ข้าคงตายไปนานแล้ว” นายทหารผอมสูงพูดพลางชี้ไปยังแผลบนแขนของชายที่เขาเรียกว่านายกอง

    เขาจำเรื่องเกี่ยวกับเหลียนไถและนายทหารรูปร่างผอมสูงคนนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย ชายผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นนายกองพยายามย้อนคิดถึงเรื่องราวในความทรงจำทั้งหมด

    เขาชื่อถังอี้หมิง เป็นเถ้าแก่เจ้าของเหมืองถ่านหิน

    เดิมเขานั่งทำงานอยู่ในสำนักงานดีๆ แต่เพราะได้รับโทรศัพท์ด่วน บอกว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดแผ่นดินไหว ด้วยกลัวว่าพวกคนงานที่อยู่ด้านล่างจะจัดการไม่เรียบร้อยจนเกิดเหตุเหยียบกันตายขึ้น เขาเลยลงไปในหลุมเหมืองคุมการอพยพเคลื่อนย้ายคนด้วยตัวเอง

    ขณะกำลังใกล้จะอพยพคนงานเสร็จ จู่ๆ แผ่นดินก็สั่นไหวรุนแรง เขาหนีออกมาไม่ทัน ถูกฝังอยู่ในหลุมเหมืองพร้อมกับพวกคนงานอีกจำนวนหนึ่ง

    หลังจากนั้นจู่ๆ เหมืองถ่านหินก็ระเบิด ร่างของเขารับรู้ได้เพียงแรงสั่นสะเทือน พอตื่นขึ้นมาอีกที เขาก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในโลกยุคนี้แล้ว

    ความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณช่วงท้องแผ่ซ่าน ความคิดย้อนคืนกลับสู่สภาวะแท้จริงที่เป็นอยู่ในเวลานี้ใหม่อีกครั้ง เขาก้มดูท้องของตัวเอง ผ้าขาวบางสีขาวที่แนบอยู่กับบาดแผลมีรอยเลือดซึมอยู่เป็นทางยาว

    ถังอี้หมิงมองดูร่างกายของตัวเอง ผิวหนังดำเป็นมัน มือเท้าใหญ่โต กล้ามอกกล้ามท้องกล้ามแขนล้วนปูดโปนชัดเจน บนตัวเขามีแผลอยู่สองแห่ง ที่หนึ่งอยู่บนแขนขวา อีกที่อยู่บนท้อง แต่ทั้งหมดล้วนไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์

    เขาตั้งสติถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราวหนึ่ง มองดูนายทหารผอมสูงตรงหน้าพลางถามคลุมเครือ “เมื่อครู่เจ้าพูดถึง ‘สุนัขเยียน’ คนพวกนั้นเป็นใคร แล้วเจ้าชื่ออะไร”

    “นายกอง! ข้าชื่อหวงต้า”

    นายทหารผอมสูงมองดูถังอี้หมิงด้วยสายตางุนงงสงสัย แต่พอเห็นรอยเลือดบนหัวเขา ก็คิดไปเองว่าบางทีเขาคงถูกกระทบกระเทือนจนเลอะเลือนไปชั่วขณะเลยพูดต่อ “นายกอง สุนัขเยียนก็คือคนที่พวกเราทำศึกด้วย!”

    ถังอี้หมิงมองดูผ้าขาวบางบนแขนหวงต้าที่ยามนี้ถูกอาบจนแดงฉาน เลือดซึมผ่านผ้าขาวบางไหลหยดลงพื้น ก่อนจะหันไปมองดูทหารบาดเจ็บที่อยู่รอบๆ แต่ละคนล้วนบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักสักแค่ไหนก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะปริปากร้องโอดโอย ทำเพียงทนรับสภาพอยู่เงียบๆ เท่านั้น

    เขาอดนึกเลื่อมใสศรัทธาคนเหล่านี้ไม่ได้ และหันกลับมาพูดกับหวงต้า “หวงต้า พวกเรากับสุนัขเยียนทำสงครามกันมานานแค่ไหนแล้ว”

    หวงต้านับนิ้วตอบ “นายกอง ราวๆ สองสามปีได้แล้ว”

    “ถ้าอย่างนั้น…พวกเราออกทำศึกกับสุนัขเยียนปีไหน” ถังอี้หมิงถาม

    หวงต้าหัวเราะ “นายกอง เรื่องนี้ข้าจำได้แม่น ปีนั้นฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองราชย์ พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ทุกคนต่างได้รับเสบียงอาหารเพิ่มสองวัน และในปีนั้นเหมือนกันที่พวกเราเริ่มทำสงครามกับพวกสุนัขเยียน ช่วงนั้นคือรัชศกหย่งซิงแห่งต้าเว่ยปีที่หนึ่ง ปีนี้รัชศกหย่งซิงปีที่สาม ไม่ทันได้รู้ตัวก็ผ่านมาสองปีแล้ว!”

    รัชศกหย่งซิงปีที่สาม? นี่มันเวลาไหนกัน?

    ถังอี้หมิงไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย รัชศกหย่งซิงแห่งต้าเว่ยคือยุคสมัยไหน เขาตั้งสมาธิเริ่มคิดวิเคราะห์ ย้อนนึกถึงวิชาประวัติศาสตร์ที่เคยเรียนมา

    แคว้นเว่ย? แคว้นเว่ยในประวัติศาสตร์มีอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ใช่แล้ว ยังมีสุนัขเยียนอีก ถ้าอย่างนั้นที่พวกเขาพูดถึงก็ต้องเป็นกำลังทหารแคว้นเยียน มีเยียนมีเว่ย ในประวัติศาสตร์เหลือก็แต่ยุคจั้นกั๋วกับยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้นเท่านั้น นี่ฉันกำลังอยู่ในยุคไหนกันแน่

    พอนึกถึงจุดนี้ ถังอี้หมิงก็ถามต่อ “สุนัขเยียนพวกนั้นมาจากที่ไหน”

    หวงต้าพูดน้ำเสียงชิงชัง “สุนัขเยียนบัดซบ นอกจากพวกเชลยเถื่อน* เผ่าเซียนเปยจากเหลียวตงแล้ว ยังจะมีใครได้อีก”

    ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เชลยเถื่อนเซียนเปย’ ถังอี้หมิงก็มั่นใจถึงยุคสมัยที่เขาอยู่ในเวลานี้ได้ทันที ตอนนี้ต้องเป็นยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้นแน่

    ถังอี้หมิงตกใจ เขาแอบคิด หลังยุคสามก๊ก ทั่วหล้าก็ตกเป็นของแคว้นจิ้น ครั้นผ่านพ้นกบแปดอ๋อง ชนเผ่าทั้งห้าอันได้แก่ซยงหนู เซียนเปย เจี๋ย ตีและเชียงที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินของชาวฮั่นมาช้านานก็ฉวยโอกาสตอนแผ่นดินกำลังวุ่นวาย ก่อร่างสร้างแคว้นสิบกว่าแคว้นขึ้นบนแผ่นดินทางตอนเหนือ เรียกรวมๆ เป็นห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น เป็นยุคที่วุ่นวายสุดๆ ขณะเดียวกันก็เป็นยุคที่ชนกลุ่มน้อยคึกคักมากที่สุด สวรรค์ ทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ในยุคเฮงซวยแบบนี้ด้วย

    จู่ๆ ถังอี้หมิงก็นึกถึงเรื่องทะลุมิติข้ามกาลเวลาได้ เขาอนุมานด้วยความมั่นอกมั่นใจ หรือว่าเราจะทะลุมิติมาที่นี่

     

    แสงตะวันบ่ายคล้อยอาบไล้อยู่บนผืนป่าเล็กๆ ธงที่มีอักษร ‘เว่ย’ ปักประดับอยู่ทางด้านบนโบกสะบัดเกิดเป็นเสียงดังพึ่บพั่บอยู่ภายใต้แสงสายัณห์

    ที่ที่ถังอี้หมิงอยู่ในตอนนี้คือค่ายทหารเว่ยที่ตั้งอยู่ที่เหลียนไถ ส่วนเขาก็วิญญาณทะลุมิติเข้ามาสิงสู่อยู่ในร่างของนายกองแห่งกองทัพเว่ย นี่มันเรื่องเหนือความคาดหมายชัดๆ

    ในเวลานี้เขาถึงเพิ่งพบกับความจริงที่น่าตื่นตะลึงข้อหนึ่ง ก็คือในอีกโลกหนึ่งเขาคงตายไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ยังโลกนี้ได้ เรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาคุ้นเคยกับยุคสามก๊ก สุย ถัง หมิง และชิงดี แต่กับยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้นนี้กลับแทบไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ที่พอจะจำได้บ้างก็แค่รางๆ เท่านั้น

    พวกทหารทัพเว่ยที่บาดเจ็บต่างเอนหลังนอนพักอยู่ตามชายป่า บ้างก็รออยู่ข้างกระโจม ดวงตาจ้องนิ่งที่เส้นขอบฟ้า หวังว่าจะมองเห็นองค์จักรพรรดิของพวกเขากรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง บนเส้นขอบฟ้าก็ปรากฏร่างของทหารบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง พวกเขาเดินข้ามผ่านบึงโลหิตที่มีกองซากศพสูงราวกับภูเขา มุ่งหน้าตรงมายังป่าที่ถังอี้หมิงอยู่

    ถังอี้หมิงที่ตระหนักได้ว่าตัวเองทะลุมิติมาลุกขึ้นยืน เขารู้ชัดแล้วว่าตัวเองอยู่ในยุคสมัยไหน ครั้นมองเห็นเหล่าทหารที่ทรหดอดทนไม่ยอมแพ้ต่อความเจ็บปวดพวกนั้น เขาก็รู้สึกคล้ายกำลังมองเห็นคนงานในเหมือง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่งพลันแตกหน่อขึ้นภายในใจ

    พอเห็นพวกทหารที่บาดเจ็บถอยกลับมา ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจรุนแรงก็พาเขาให้เดินออกไปรับหน้า ประคองพวกเขาไปพักรอบๆ กระโจม ก่อนจะตะโกนเรียกนายทหารตาเดียว “เจ้า รีบไปเอาผ้าก๊อซมา!”

    “ผ้าก๊อซ?” นายทหารตาเดียวตะลึง ก่อนเอ่ยปากถามอย่างงุนงงสงสัย “นายกอง อะไรคือผ้าก๊อซ”

    ถังอี้หมิงเข้าใจได้ทันที ในยุคนี้ยังไม่มีผ้าก๊อซ สุดท้ายเขาจึงได้แต่ชี้ไปยังเศษผ้าขาวที่พันอยู่บนเอวตัวเอง “ก็ผ้าที่พันอยู่บนตัวข้านี่!”

    นายทหารตาเดียวร้อง “อ๋อ” ออกมาคำหนึ่งก่อนจะวิ่งตื๋อหายเข้าไปในป่า

    ถังอี้หมิงสังเกตเห็นว่าบนร่างของนายทหารที่ถอยกลับมาล้วนเต็มไปด้วยเลือด ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บหรือก็แตกต่างกันไป ทหารที่เขาช่วยพยุงคนนั้นบนแขนยังมีธนูปักติดอยู่ดอกหนึ่ง ธนูเสียบทะลุแขน เลือดหยดไหลเป็นทางไม่หยุด แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะโอดครวญ ตรงกันข้ามกลับมีสีหน้าฮึกเหิมอย่างเห็นได้ชัด

    เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายแลดูสมกับเป็นลูกผู้ชาย ถังอี้หมิงจึงจับตามองมากขึ้น ชายหน้าดำคนนี้อายุคงสักสามสิบกว่า สูงน่าจะเกินแปดฉื่อ ใบหน้าข้างซ้ายมีแผลที่เกิดจากคมมีดลึกอยู่แนวหนึ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง

    หวงต้าเดินเข้ามา พอมองเห็นถังอี้หมิงกำลังประคองทหารที่บาดเจ็บคนนั้นก็ตะโกนขึ้น “หลี่เหล่าซื่อ สถานการณ์แนวหน้าเป็นอย่างไรบ้าง”

    หลี่เหล่าซื่อหัวเราะหึๆ พูดฮึกเหิม “ฝ่าบาททรงเป็นแนวหน้าตะลุยบุกเข้าไปกลางขบวนทัพของพวกสุนัขเยียน พวกเราตามบุกเข้าไปสังหารพวกมันจนพวกสุนัขเยียนล่าถอยไม่เป็นกระบวน ตอนนี้ฝ่าบาททรงนำคนไล่ตามพวกมันไป ให้พวกเราที่บาดเจ็บกลับมาส่งข่าว”

    “เยี่ยม! ฝ่าบาททรงมีชัยอีกแล้ว สุนัขเยียนพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่าบาทเลยแม้แต่น้อย!” หวงต้าพูดเสียงดัง สองตามองตรงไปข้างหน้าพลางปรบมืออย่างยินดี

    ในตอนนั้นเอง นายทหารตาเดียวก็โผล่ออกมาจากในป่าพร้อมกับผ้าขาวบางในมือ เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างหลี่เหล่าซื่อ มองดูอีกฝ่ายปราดหนึ่งก่อนจะหัวร่อหึๆ ออกมา “หลี่เหล่าซื่อ ธนูแทงทะลุแขนเจ้าพอดี แล้ววันหน้าจะถือทวนอย่างไร เกิดถือทวนไม่ได้ วันหน้าคงยากจะลงสนามรบอีก”

    หลี่เหล่าซื่อเบิกตากว้าง หนวดโค้งตรงมุมปากทั้งสองข้างกระดก ทวนวงเดือนที่อยู่ในมือข้างซ้ายปักลงกับพื้นรวดเร็ว เขาคว้าคอเสื้อของนายทหารตาเดียวไว้แล้วตวาดเสียงดังลั่น “คิดว่าข้าจะยอมแพ้รึ! มีปัญญาเจ้าก็เอาลูกธนูออกให้ข้าสิ!”

    นายทหารตาเดียวหัวเราะ “ธนูดอกนี้ถูกถอนออกมาเมื่อไร แขนของเจ้ามีหวังใช้การไม่ได้อีก”

    ได้ยินนายทหารตาเดียวพูดแบบนั้นหลี่เหล่าซื่อก็ควันออกหู เขาตะโกนเสียงดังลั่น โมโหหน้าดำหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาปล่อยคอเสื้อของนายทหารตาเดียวออก เงื้อมือหมายชกหน้าอีกฝ่าย

    เสียงตวาดของหลี่เหล่าซื่อทำเอาถังอี้หมิงที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งโหยง หวงต้าพอเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีก็รีบคว้าแขนของหลี่เหล่าซื่อไว้ เบียดร่างเข้ามายืนแทรกอยู่ระหว่างหลี่เหล่าซื่อกับนายทหารตาเดียว ก่อนจะยิ้มพูดกับหลี่เหล่าซื่อ “หลี่เหล่าซื่อ อย่าได้โมโห น้องข้ามันไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงได้ล่วงเกินเจ้า เจ้าก็อย่าได้ถือสา!”

    “ถอยไป วันนี้ไม่เล่นงานมันให้พิการข้าไม่ขอแซ่หลี่!” หลี่เหล่าซื่อออกแรงขยับตัว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดอุ้งมือใหญ่โตราวกับคีมเหล็กของหวงต้าไม่หลุด

    “หวงเอ้อร์! ยังไม่รีบไสหัวไปอีก! เจ้าทำพี่หลี่ซื่อโกรธแล้ว!” หวงต้าหันไปตวาดใส่นายทหารตาเดียวที่อยู่ด้านหลัง

    นายทหารตาเดียวชื่อหวงเอ้อร์ เป็นน้องของหวงต้า* ทว่าร่างกายของผู้เป็นน้องกลับแข็งแกร่งกว่าผู้เป็นพี่อยู่โข ใบหน้าของเขาไม่มีริ้วรอยของกาลเวลา อายุน่าจะน้อยกว่าหวงต้าอยู่ไม่ใช่น้อย คิดว่าน่าจะสักประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า

    หวงเอ้อร์เบี่ยงตัวส่ายผ้าขาวบางในมือไปมาพูดกับหลี่เหล่าซื่อ “อยู่ให้พี่ข้าช่วยถอนธนูออกมาก่อนก็แล้วกัน ส่วนข้าจะไปช่วยทำแผลให้คนอื่น”

    “หวงเอ้อร์! ไอ้บัดซบ เจ้าจะหนีไปไหน อีกเดี๋ยวข้าจะควักตาของเจ้าออกมาอีกข้าง!” หลี่เหล่าซื่อยังคงตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง

    “เหล่าซื่อ ใจเย็นๆ! ไว้เสร็จศึกคราวนี้ ข้าจะแบ่งเสบียงอาหารส่วนหนึ่งให้! เจ้าคิดว่าไง” หวงต้ายิ้มพูด สองตาหยีโค้งจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

    “เจ้าพูดจริง?” พอได้ยินคำว่าเสบียงอาหาร หลี่เหล่าซื่อก็หยุดโวยวายทันที

    หวงต้าพอเห็นหลี่เหล่าซื่อระงับความโกรธภายในใจได้แล้ว เขาจึงปล่อยแขนพลางพยักหน้า “คำพูดลูกผู้ชาย แปดม้าไล่ไม่ทัน!”

    “สี่ม้าต่างหากไม่ใช่แปดม้า ข้าเคยได้ยินฝ่าบาทรับสั่งด้วยพระองค์เอง” หวงเอ้อร์พูดน้ำเสียงราบเรียบอยู่หลังหวงต้า

    “จะกี่ม้าก็ช่าง เอาเป็นว่าเสบียงอาหารของเจ้าเป็นของข้าแล้ว!” หลี่เหล่าซื่อทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น พูดสีหน้าแช่มชื่น

    หวงเอ้อร์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาหันหลังเดินไปหาพวกทหารบาดเจ็บที่กลับมาพร้อมกับหลี่เหล่าซื่อ ฉีกผ้าพันแผลออกมาประมาณหนึ่ง ขณะเตรียมทำแผลให้ทหารที่บาดเจ็บบริเวณขา เขาก็ถูกถังอี้หมิงร้องห้ามไว้ “ไม่ได้! ทำแผลลวกๆ แบบนี้ ทำไปก็ช่วยอะไรไม่ได้”

    ถังอี้หมิงเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างหวงเอ้อร์ ก่อนจะฉวยเอาผ้าขาวบางในมือหวงเอ้อร์ไปถือไว้

    “นายกอง ไม่ทำเช่นนี้แล้วจะให้ทำเช่นไร” หวงเอ้อร์ถามสงสัย

    ถังอี้หมิงสังเกตเห็นดอกผูกงอิง* ปลิวตามลมมาไม่ใช่น้อย เขาบอกกับหวงเอ้อร์ “เจ้าไปรวบรวมดอกผูกงอิงมา เจ้าพวกที่ลอยอยู่ตามลมพวกนั้น! หลังจากนั้นก็ไปตั้งเตา เติมน้ำลงไปเล็กน้อย ถ้ามีเกลือก็ให้เติมเกลือลงไป ต้มมันพร้อมกับดอกผูกงอิง หลังจากต้มจนได้ที่แล้วก็ปล่อยให้มันเย็น ก่อนจะเอามาล้างปากแผลของทหารที่บาดเจ็บ”

    หวงเอ้อร์ตะลึง ถามไม่เข้าใจ “นายกอง ต้มดอกผูกงอิงมีประโยชน์อะไร”

    “ฆ่าเชื้อ! รีบไปทำตามที่บอก! เอาผ้าขาวบางพวกนั้นมา!” ถังอี้หมิงตะโกนบอกหวงเอ้อร์

    มีอยู่ครั้งหนึ่งถังอี้หมิงไปปีนเขา และเพราะไม่ระวังเลยตกลงมาบาดเจ็บ บนแขนมีแผลเป็นทางยาวอยู่แผลหนึ่ง ตอนนั้นบนตัวเขาไม่มียาอะไรให้พอใช้ได้แม้แต่อย่างเดียว จึงได้แต่พันแผลง่ายๆ ไว้ สุดท้ายแผลก็อักเสบจนต้องนอนพักอยู่โรงพยาบาลตั้งหลายวันกว่าจะได้ออกมา

    ถังอี้หมิงถามหมอถึงวิธีการฆ่าเชื้อแบบง่ายๆ เวลาอยู่ในป่า หมอแนะนำว่าวิธีการที่ง่ายที่สุดคือใช้ดอกผูกงอิง เพราะดอกผูกงอิงเป็นยาจีนชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ไม่เพียงเท่านั้น ดอกผูกงอิงยังมีวิธีบริโภคอีกหลากหลายวิธี เป็นยาสมุนไพรที่มีรสชาติไม่เลว

    ถังอี้หมิงถือผ้าขาวบางไว้ในมือ นั่งยองๆ เปลี่ยนผ้าขาวบางพวกนั้นให้เป็นผ้าพันแผลก่อนจะลงมือพันผ้าลงบนขาของทหารที่บาดเจ็บบริเวณขาคนนั้น

    เพราะไม่เคยเห็นวิธีพันแผลเช่นนี้มาก่อน ทหารนายนั้นจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นายกอง วิธีพันแผลเช่นนี้ เหตุใดข้าถึงไม่เคยพบเห็น”

    ถังอี้หมิงหัวเราะหึๆ “นี่เป็นตำรับลับส่วนตัว”

    นายทหารคนนั้น “อืม” ออกมาคำหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เขากัดฟันแน่น ปล่อยให้ถังอี้หมิงพันแผลให้ตัวเองต่อ

    ถังอี้หมิงพบว่าทหารคนนั้นอายุน่าจะไม่เกินสิบแปดสิบเก้า ใบหน้าจัดได้ว่าหล่อเหลา เพียงแต่ยังดูอ่อนวัยไปหน่อยเท่านั้น เพราะอดนึกถึงน้องชายของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ นัยน์ตาของถังอี้หมิงจึงเต็มไปด้วยความห่วงใย

    ถังอี้หมิงอายุยี่สิบแปด แม่คลอดน้องชายได้ไม่นานก็ลาจากโลกนี้ไป พ่อเองก็ตายจากไปตอนเขาอายุยี่สิบ ตอนพ่อตายน้องชายเพิ่งอายุสิบเอ็ดปีเท่านั้น พวกเขาสองคนต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ต่อมาหลังจากที่เขาใช้เงินที่พ่อเหลือทิ้งไว้ให้ซื้อหุ้นทำกำไรได้ก้อนใหญ่ เขาก็เอาเงินพวกนั้นไปซื้อเหมืองถ่านหิน กลายเป็นเถ้าแก่น้อยนับแต่นั้น

    วันที่เกิดแผ่นดินไหวเป็นวันเกิดของน้องชายเขาพอดี เดิมเขารับปากน้องชายว่าเย็นนี้จะกลับไปฉลองวันเกิดด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว

    ถังอี้หมิงถอนหายใจเบาๆ มองดูร่างกายของตัวเองในเวลานี้ ทั้งดำมะเมื่อมทั้งแข็งแกร่งกำยำ เป็นร่างกายของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอายุไม่มีทางเกินยี่สิบ

    ไม่รู้ว่ามาถึงที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ เฮ้อ ไหนๆ ก็มาแล้วงั้นก็อยู่มันที่นี่เสียเลยแล้วกัน ว่าแต่ จะดำเนินชีวิตอยู่ในกลียุคนี้ยังไง

    ถังอี้หมิงพันแผลให้ทหารคนนั้นพลางคิดเงียบๆ ในใจ

    หลังพันแผลให้อีกฝ่ายเสร็จและผูกปมเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ยื่นมือลูบใบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ พลางถามอย่างสนิทสนม “เจ็บหรือไม่”

    ทหารคนนั้นส่ายหน้ากัดฟันแน่น ก่อนจะพูดลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง “นายกอง ข้าไม่เจ็บเลยสักนิดจริงๆ”

    ถังอี้หมิงกลัวว่าอีกฝ่ายจะทนเจ็บไม่ไหวเลยยิ้มขื่นออกมาคราหนึ่งแล้วถาม “เจ้าคิดว่าข้าอายุเท่าไร”

    เขามองดูถังอี้หมิง เห็นถังอี้หมิงใบหน้าซูบผอม หว่างคิ้วน่าเกรงขามชวนประหวั่น เขาก็ทายออกมา “นายกอง อายุคงราวๆ สักยี่สิบกระมัง”

    “ถูกแล้ว ปีนี้ข้าอายุ…ยี่สิบ” ถังอี้หมิงยิ้ม เดิมเขาตั้งใจจะบอกอายุจริงให้อีกฝ่ายรู้ แต่พอคำพูดเคลื่อนมาถึงริมฝีปาก มันกลับลดเหลือเพียงยี่สิบ เขาถามอีกฝ่ายต่อ “ใช่แล้ว แล้วเจ้าชื่ออะไร”

    ทหารคนดังกล่าวตอบ “เรียนนายกอง ข้าแซ่หลิว เป็นลูกคนที่สามของบ้าน ทุกคนเลยเรียกข้าว่าหลิวซาน*

    ถังอี้หมิงชูผ้าขาวบางในมือพลางหัวเราะพูด “หลิวซาน ข้าจะสอนวิธีพันแผลให้ หลังจากนั้นเจ้าก็ไปช่วยข้าเปลี่ยนผ้าพันแผลให้พี่น้องคนอื่นๆ ตกลงไหม”

    หลิวซานรับคำอย่างยินดี “คำพูดของนายกองคือคำสั่ง!”

    ถังอี้หมิงพันผ้าพันแผลสองรอบต่อหน้าหลิวซาน แต่ถึงอย่างนั้นหลิวซานก็ยังคงเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง หลังจากได้ลงมือทำด้วยตัวเองซ้ำๆ ในที่สุดเขาก็ทำเป็น

    ถังอี้หมิงแบ่งผ้าขาวบางในมือไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งให้หลิวซาน บอกให้หลิวซานรับหน้าที่ดูแลทหารบาดเจ็บที่อยู่รอบๆ ขณะที่กำลังหันหลังเตรียมเดินจากไป เขาก็เห็นหวงต้ากำลังถอนธนูให้หลี่เหล่าซื่อ หลี่เหล่าซื่อเวลานี้ใบหน้าเขียวปั้ด หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาทนดูต่อไม่ไหว รีบเดินตรงเข้าไปเตรียมทำแผลให้หลี่เหล่าซื่อ

    เขาเดินไปนั่งยองๆ อยู่ข้างหลี่เหล่าซื่อ มองดูธนูที่ปักทะลุแขนของหลี่เหล่าซื่อดอกนั้น หัวธนูทรงกระจับ เรียวแหลมเล็ก ส่วนล่างมีหนามหันย้อนทิศอยู่กลุ่มหนึ่ง หวงต้าออกแรงหักส่วนหางของธนูดอกนั้น ก่อนจะบิดงอแขนของหลี่เหล่าซื่อ อ้าปากใช้ฟันกัดหัวธนูก่อนจะสะบัดหัว ธนูที่แทงทะลุแขนของหลี่เหล่าซื่อถูกถอนออกรวดเร็ว

    หลี่เหล่าซื่อกัดฟันแน่น ไม่ตะโกนร้องอะไรทั้งสิ้น เลือดสดๆ พุ่งออกจากแขนสาดใส่หน้าของถังอี้หมิง

    ถังอี้หมิงไม่สนใจที่จะเช็ดเลือดบนหน้า เขารีบใช้ผ้าพันแผลที่เตรียมไว้ก่อนหน้าพันลงบนแขนขวาของหลี่เหล่าซื่อก่อนจะมัดปลายผ้าไว้ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกรันทด “พันแผลให้เขาสักครู่ก่อน อีกเดี๋ยวน้ำฆ่าเชื้อก็ต้มเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยล้างแผลฆ่าเชื้ออีกที”

     

    หลี่เหล่าซื่อหน้าซีด ถึงจะฟังไม่เข้าใจว่าถังอี้หมิงพูดคำพูดอะไร แต่เขาก็ไม่วายซาบซึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มให้ถังอี้หมิง ก่อนจะนอนนิ่งอยู่บนพื้นมองดูท้องฟ้ายามสายัณห์ด้วยสายตาเลือนราง

    ถังอี้หมิงเดินไปหยุดอยู่หน้าทหารคนอื่นๆ พันผ้าพันแผลให้พวกทหารที่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ นายทหารเหล่านั้นต่างรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของถังอี้หมิง ถังอี้หมิงรีบใช้โอกาสนี้สอนทหารคนอื่นๆ พันผ้าพันแผล

    เพียงไม่นานน้ำฆ่าเชื้อก็เย็น ถังอี้หมิงสั่งหวงเอ้อร์ หวงต้า หลิวซานให้ช่วยไปทำความสะอาดแผลให้บรรดาทหารที่บาดเจ็บสาหัสพร้อมกับเขา ก่อนจะพันแผลให้คนเหล่านั้นใหม่อีกครั้ง

     

    ตะวันคล้อยไปทางทิศตะวันตก เมฆอาบแสงเงินแสงทองกระจายอยู่ทั่วแผ่นฟ้า

    ถังอี้หมิงกับทหารที่บาดเจ็บลงมือเก็บกวาดสนามรบ พวกเขารวบรวมอาวุธกับชุดเกราะที่ยังพอใช้ได้ได้จำนวนหนึ่ง จัดการฝังพวกพี่น้องที่ตายไป หลังจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาก็นั่งลงบนพื้นข้างกระโจม มองดูเส้นขอบฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเฝ้ารอ

    ดูสถานที่บัดซบนี่สิ ไหนจะยังทหารที่บาดเจ็บพวกนั้นอีก…สวรรค์ ทำไมถึงได้โหดร้ายกันแบบนี้ อุตส่าห์ส่งฉันทะลุมิติมา แล้วทำไมแทนที่จะส่งให้ฉันเข้าไปอยู่ในร่างเศรษฐีจักรพรรดิหรือท่านอ๋องอะไรพวกนั้น แต่กลับให้ทะลุมิติมาได้รับบาดเจ็บแบบนี้ สวรรค์เฮงซวย แล้งน้ำใจเป็นบ้า!

    ถังอี้หมิงสบถด่าเคียดแค้นอยู่ภายในใจ

    สุดท้ายเขาก็ได้แต่ด่า ไม่ว่าถังอี้หมิงจะด่ายังไง สวรรค์ก็ไม่มีทางรับรู้ ความรู้สึกไม่พอใจสุดท้ายก็ค่อยๆ สงบลง เขาหันกลับมาครุ่นคิดใหม่อีกครั้งว่าจะใช้ชีวิตใหม่นี้ต่อไปเช่นไร

    ม่านแห่งราตรีกาลเริ่มครอบคลุมผืนพสุธา ทหารนายหนึ่งก็วิ่งโซซัดโซเซเข้ามา บนแขนของเขามีลูกธนูปักทะลุอยู่ ถังอี้หมิงกับหวงต้ารีบตรงเข้าไปรับ พยุงทหารคนนั้นกลับเข้าป่า

    “น้ำ! น้ำ! ขอน้ำให้ข้า!” ทหารคนนั้นเนื้อตัวอ่อนระทวยไร้สิ้นเรี่ยวแรง เขาพยายามตะโกนร้องออกมา

    หลิวซานรีบยื่นส่งถุงน้ำให้ ทหารรายนั้นรับถุงน้ำไป ก่อนจะกรอกมันลงคอไปอย่างหิวกระหาย

    “สถานการณ์ที่แนวหน้าเป็นอย่างไรบ้าง ฝ่าบาทได้รับชัยชนะอีกใช่หรือไม่” หวงต้ากระวนกระวายถาม

    ทหารคนนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เขาตอบกลับด้วยสีหน้าปีติยินดี “ฝ่าบาทนำกองทัพบุกตะลุยเล่นงานพวกสุนัขเยียน พวกมันสู้พลางถอยพลาง พวกเราสู้กับพวกสุนัขเยียนเจ็ดครั้ง ได้รับชัยชนะทั้งเจ็ดครั้ง”

    “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี!”

    ไม่รู้ว่าใครร้องตะโกนออกมาก่อน เสียงขานรับดังก้องไปทั่วบริเวณ

    เห็นทหารที่บาดเจ็บแสดงอาการฮึกเหิมออกมาแบบนั้น ถังอี้หมิงก็นึกถึงนักรบองอาจห้าวหาญคนนั้น คนคนนั้นน่าจะเป็นจักรพรรดิของพวกเขา ในใจของทหารพวกนี้พระองค์ต้องทรงเป็นดังเสาเอกแห่งจิตวิญญาณแน่

    หวงต้าใช้วิธีการแบบเดียวกันถอนธนูออกจากแขนของทหารคนนั้น ถังอี้หมิงใช้น้ำฆ่าเชื้อที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้าทำความสะอาดปากแผลให้อีกฝ่าย หลังจากนั้นก็รีบพันแผลให้ก่อนจะส่งไปพักที่กระโจมด้านหลัง

    ความมืดปกคลุมเข้ามาทีละน้อย ถังอี้หมิงกับทหารคนอื่นๆ ต่างนั่งอยู่ที่นั่น รอฟังข่าวจากแนวหน้า ระหว่างนั้นถังอี้หมิงก็พูดคุยกับเหล่าทหารจนล่วงรู้ถึงสถานการณ์บางอย่าง

    จักรพรรดิของแคว้นเว่ยทรงมีพระนามว่าหรั่นหมิ่น เป็นชาวฮั่น ถังอี้หมิงอดนึกประหลาดใจไม่ได้ นี่มันยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น นอกจากราชวงศ์ตงจิ้น (จิ้นตะวันออก) ที่อยู่ทางตอนใต้แล้ว ทางตอนเหนือทำไมถึงมีดินแดนของชาวฮั่นได้!

    เมืองหลวงของแคว้นเว่ยตั้งอยู่ที่เยี่ยเฉิง จากที่นี่เดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ ผ่านฉางซานและจวี้ลู่ไปก็จะถึงเยี่ยเฉิง สงครามต่อเนื่องยาวนานหลายปีเปลี่ยนมณฑลจี้โจวที่เคยอุดมสมบูรณ์ให้กลับกลายเป็นรกร้าง ชายหนุ่มกำยำล่ำสันต่างถูกจับตัวไปเป็นทหาร

    ฟังหวงต้าเล่า ทหารที่บาดเจ็บอยู่ที่นี่ในเวลานี้ล้วนเป็นทหารในกองกำลังฉี่หัว นอกจากกองกำลังทหารม้าที่จักรพรรดิแคว้นเว่ยทรงนำทัพเองแล้ว พวกเขานับเป็นกองกำลังทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแคว้นเว่ย ความสามารถในการทำศึกเรียกได้ว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

    หวงต้าเล่าว่าเมื่อสิบวันก่อนตอนพวกเขารบกับสุนัขเยียน ภายใต้การนำขององค์จักรพรรดิ แค่พลเดินเท้าเพียงห้าพันนายก็เอาชนะทหารม้าสี่หมื่นคนของพวกสุนัขเยียนได้แล้ว หนำซ้ำยังประจันหน้ากันแบบซึ่งหน้าอีกต่างหาก

    หลังฟังจบ ถังอี้หมิงก็ประหลาดใจกับความสามารถในการต่อสู้ของกองกำลังฉี่หัว ขณะเดียวกันก็นึกเลื่อมใสในตัวหรั่นหมิ่น ทว่าเขายังคงถอนหายใจเบาๆ ฉี่หัว ความหมายที่ซ่อนแฝงคือความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางกลียุค น่ารันทดแท้ กองกำลังของผู้ที่ไม่ปรารถนาจะสิ้นลมหายใจกลับกลายเป็นบทเพลงที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคสมัย

     

     

    * จั้งและฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 10 ฉื่อ เป็น 1 จั้ง และฉื่อในสมัยเว่ยจิ้น เทียบระยะความยาวประมาณ 24.2 เซนติเมตร ‘หนึ่งจั้งสามฉื่อ’ จึงหมายถึงความยาวประมาณ 315 เซนติเมตร หรือ 3.15 เมตร

    * เชลยเถื่อน ในที่นี้มาจากคำว่า หูหลู่ ซึ่งเป็นคำเรียกชาวเผ่าซยงหนูอย่างเหยียดหยามในสมัยฉินและฮั่น สมัยต่อมาใช้เรียกเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนทางเหนือ เช่น เซียนเปย เป็นต้น

    * เอ้อร์ แปลว่า สอง คนจีนมีธรรมเนียมการเรียกขานบุคคลตามลำดับพี่น้อง หรือความอาวุโสในกลุ่ม โดยเรียกตัวเลขต่อท้ายแซ่ เช่น หวงเอ้อร์ หมายถึง แซ่หวงคนที่สอง หรือคนรอง ส่วนพี่คนโตสุด หรือคนที่อยู่อันดับแรกใช้คำว่า ต้า ที่แปลว่า ใหญ่ หรือคนโต เช่น หวงต้า

    * ผูกงอิง หรือแดนดิไลออน (Dandelion) เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง ดอกสีเหลือง เมื่อผสมเกสรแล้วกลีบดอกจะกลายเป็นปุยสีขาวปลิวไปในอากาศ

    * ซาน ในที่นี้แปลว่า สาม หลิวซาน จึงหมายถึง หลิวคนที่สาม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook