• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า เล่ม 3 บทที่ 3

    บทที่ 3

    ลัญจกรหยก

     

    เดือนหก วันที่ยี่สิบเจ็ด พลบค่ำ

    หวังเหมิ่งพากองทัพกับพวกชาวบ้านพร้อมข้าวของที่ยึดมาได้เดินทางกลับมายังเขาไท่ซาน

    ถังอี้หมิงเห็นหวังเหมิ่งแต่ไกล เขานั่งอยู่บนหลังม้าศึกโบกมือให้กับหวังเหมิ่งก่อนจะควบม้าทะยานออกไป ตะโกนตื่นเต้นยินดี “ท่านกุนซือ!”

    เห็นถังอี้หมิงผมสั้นหนวดเคราหายไปจนหมดเช่นนั้นหวังเหมิ่งก็หน้าเปลี่ยนสี ถังอี้หมิงพลิกตัวลงจากหลังม้า กุมมือหวังเหมิ่งพูดอย่างลิงโลด “ท่านกุนซือ ท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก ถึงกับยึดเมืองยึดอำเภอทางทิศใต้ของเขาไท่ซานได้มากมายโดยไม่เสียทหารแม้แต่นายเดียว ท่านเป็นฮีโร่ของข้าโดยแท้!”

    หวังเหมิ่งคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ “นายท่าน เรื่องนี้ข้าสมควรทำอยู่แล้ว นายท่านดู เสบียงอาหารของเมืองหลู่จวิ้นพวกนี้เพียงพอให้พวกเราบนเขาใช้ได้ถึงครึ่งปี”

    “เหตุใดถึงมีมากมายเช่นนี้” ถังอี้หมิงประหลาดใจ

    หวังเหมิ่งหัวร่อ “นายท่าน อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าเมืองหลู่จวิ้นจะมีเสบียงกรังมากมายเช่นนี้ ดูท่าหลายปีมานี้เฉินเพ่ยไม่ได้ทำลายพื้นที่รอบลุ่มแม่น้ำซื่อสุ่ย ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะมีเสบียงเก็บสะสมได้มากมายเช่นนี้”

    “ฮ่าๆ โจมตีเมืองหลู่จวิ้นครั้งนี้พวกเราไม่ได้ผิดพลาดจริงๆ ผนวกกับชาวบ้านอีกเจ็ดหมื่นที่ท่านกุนซือพากลับมา บนเขาในเวลานี้น่าจะมีคนอยู่สักสามสิบกว่าหมื่นได้แล้ว เช่นนี้กำลังของพวกเราก็เท่ากับยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก” ถังอี้หมิงหัวเราะ

    หวังเหมิ่งก็หัวเราะ “นายท่านกล่าวถูกแล้ว เขาไท่ซานเป็นสถานที่ในอุดมคติจริงๆ มีที่ตั้งมั่นเช่นนี้ กองกำลังของพวกเราคิดจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ย่อมง่ายดายขึ้นมาก”

    ถังอี้หมิงพูด “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของท่านกุนซือ คืนนี้ข้าจะให้ทุกคนบนเขาได้เฉลิมฉลองกัน ต้อนรับการกลับมาของท่าน”

    ได้ยินเช่นนั้นหวังเหมิ่งก็รีบพูด “นายท่านจะทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด!”

    “ด้วยเหตุใด ท่านกุนซือนำชัยชนะใหญ่หลวงกลับมา เหตุใดพวกเราจะเฉลิมฉลองกันสักเล็กน้อยไม่ได้” ถังอี้หมิงถาม

    หวังเหมิ่งชี้ไปที่พวกชาวบ้านพลางพูด “นายท่าน คนพวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านแถบแม่น้ำซื่อสุ่ย เพิ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ได้ไม่นาน จิตใจยังไม่มั่นคง มีอันใดผิดพลาดขึ้นมาคงไม่ดีแน่ อีกอย่าง สงครามเมืองหลู่จวิ้นก็แค่ศึกเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เฉลิมฉลอง ไว้นายท่านครองชิงโจวได้ก่อน ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยเฉลิมฉลองกันก็ยังไม่สาย”

    ได้ยินหวังเหมิ่งกล่าวมีเหตุมีผลเช่นนั้น ถังอี้หมิงก็พูดขึ้น “ท่านกุนซือกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้นไว้ให้พวกชาวบ้านมีจิตใจมั่นคงก่อนพวกเราค่อยฉลองกัน ถูกแล้ว ข้าเตรียมเปิดสำนักศึกษาการทหารให้ท่านกุนซือรับหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนัก สอนวิชาการทหารอธิบายหลักพิชัยสงครามให้พวกหวงต้า ถึงตอนนั้นเวลาทำศึกสงครามพวกเราย่อมแบ่งคนออกไปรับมือศัตรูได้”

    “อืม…นายท่าน ความคิดของท่านเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย” หวังเหมิ่งพูด

    ถังอี้หมิงยิ้ม “เช่นนั้นต้องลำบากท่านกุนซือแล้ว”

    “เพื่อนายท่าน ข้าย่อมทุ่มเททำงานอย่างสุดกำลัง” หวังเหมิ่งตอบนอบน้อมถ่อมตน

    หลังกลับถึงเขาไท่ซาน พวกถังอี้หมิงก็เริ่มวุ่นวายกับการจัดหาที่อยู่ให้พวกชาวบ้านกลุ่มใหม่ พื้นที่ก่อสร้างเดิมยามนี้ขยายออกอีกหนึ่งเท่าตัว เตรียมสร้างเมืองบนภูเขา

     

    เดือนเจ็ด วันที่หนึ่ง

    หลังผ่านพ้นไปหลายวันหลายคืน ผนวกกับการรวมใจเป็นหนึ่งของชาวบ้านหลายสิบหมื่น สิ่งปลูกสร้างใหม่จำนวนมากก็สร้างขึ้นเป็นที่เรียบร้อย พวกชาวบ้านทุกคนไม่เพียงมีบ้านเรือนให้เข้าพักอาศัย หากยังมีบ้านว่างเตรียมไว้ให้กับคนที่ทยอยเดินทางเข้ามาสวามิภักดิ์

    ลานผาบนเขาไท่ซาน เหนือเสาธงสูงตระหง่านมีธงขนาดใหญ่ผืนหนึ่งแขวนอยู่ ด้านบนเขียนไว้ซึ่งตัวอักษรเรียบง่ายว่า ‘ฮั่น’

    รัชศกหย่งซิงปีที่สามแห่งราชวงศ์หรั่นเว่ย เดือนเจ็ดวันที่เจ็ดตามปฏิทินจันทรคติ

    หวังเหมิ่งไม่เพียงกลับมาพร้อมชัยชนะ หากยังนำพวกชาวบ้านกลับมาด้วยอีกเก้าหมื่นกว่าคน ในนั้นมีชายฉกรรจ์กำยำล่ำสันรวมอยู่ด้วยไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ยังมีเสบียงอาหารเงินทองข้าวของต่างๆ เหล่าทหารที่เดินทางมาสวามิภักดิ์รวมๆ กันแล้วมีมากถึงเก้าพันคน เมื่อบวกเข้ากับกองกำลังเหมิ่งหู่กับกองกำลังเหนียงจื่อ กองกำลังทหารของถังอี้หมิงในเวลานี้จึงมีไพร่พลอยู่ด้วยกันทั้งหมดถึงสามหมื่น สำหรับถังอี้หมิงแล้วนี่ก็หมายความว่าเขายึดครองเขาไท่ซานแห่งนี้ไปได้อีกนาน

    โรงผลิตอาวุธยังคงผลิตอาวุธชุดเกราะออกมาไม่หยุด พวกชาวบ้านได้รับการปลอบขวัญ เค้าโครงความเจริญรุ่งเรืองของชาวบ้านทั้งสามสิบหมื่นบนเขาไท่ซานเริ่มปรากฏ

    เขาไท่ซานสูงตระหง่านกำลังเผชิญหน้าอยู่กับการปฏิรูปใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    ถังอี้หมิงจัดกองทัพตามโครงสร้างใหม่ แบ่งกำลังคนทั้งสามหมื่นเข้ากองทัพใหม่ จัดตั้งกองกำลังทหารหญิงสองหมื่นขึ้นอย่างเป็นทางการ ถังอี้หมิงรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ คำนวณตามหลักที่ให้หนึ่งหมู่มียี่สิบนาย แต่ละกองพลมีสี่พันแปดร้อยหกสิบนาย จึงแบ่งทหารหญิงได้เป็นสี่กองพล ส่วนที่เหลือห้าร้อยหกสิบนายก่อตั้งเป็นค่ายพลผู้พิทักษ์ โดยแต่งตั้งให้หวงเอ้อร์ หลิวซาน หลี่กั๋วจู้ จ้าวเฉวียนรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองพลทั้งสี่ของกองทัพเหนียงจื่อ และหลี่หรุ่ยฮูหยินของถังอี้หมิงรับหน้าที่เป็นหัวหน้าค่ายพลผู้พิทักษ์อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของถังอี้หมิงโดยตรง

    ฝ่ายทหารชายหนึ่งหมื่นนายแบ่งออกเป็นสองกองพล กองพลละสี่พันแปดร้อยหกสิบนาย โดยมีหวงต้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองพล ส่วนกองพลที่สองมีหวังเหมิ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองพล ที่เหลืออีกสองร้อยแปดสิบนายรวมกลุ่มเป็นกองทหารม้าเกราะหนัก มีเถาเป้าเป็นหัวหน้ากอง นอกจากนี้ถังอี้หมิงยังตั้งหน่วยสอดแนมขึ้นอีกหนึ่งกองโดยมีหูเยี่ยนดูแลกองทหารสอดแนมทั้งหนึ่งร้อยแปดสิบนาย การปฏิบัติงานของแต่ละกองพลล้วนขึ้นอยู่กับถังอี้หมิงแต่เพียงผู้เดียว

    ส่วนประมุขป้อมสกุลแต่ละแห่งที่เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อถังอี้หมิงเองก็ต่างมีตำแหน่งในกองทัพ

    นอกจากนี้ถังอี้หมิงยังสร้างสำนักศึกษาการทหารขึ้นโดยมีหวังเหมิ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนัก ทุกสองวันจะมีการฝึกอบรมทหารขึ้นครั้งหนึ่ง ขอเพียงเป็นทหารระดับหัวหน้าค่ายพลขึ้นไปล้วนเข้าเรียนได้ แม้แต่ถังอี้หมิงเองก็ไม่ยกเว้น

    เดือนเจ็ดวันที่เจ็ดเป็นวันเทศกาลหนุ่มเลี้ยงวัวสาวทอผ้า ถังอี้หมิงเคยสัญญากับพวกลูกน้องใต้บังคับบัญชาว่าจะหาภรรยาให้ วันนี้ถังอี้หมิงจึงจัดงานดูตัวขึ้นบนเขา ขอเพียงชายหนุ่มหญิงสาวคู่ใดถูกตาต้องใจกันพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันได้ ถังอี้หมิงจัดงานแต่งงานกลุ่มขึ้น เขากับหลี่หรุ่ยเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการ แม้แต่หวังเหมิ่งเองก็พบพานภรรยาถูกใจเช่นกัน

     

    เดือนเจ็ด วันที่แปด

    ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ กองกำลังทหารฝึกฝนชาวบ้านทำงาน ทหารรักษาการณ์ยืนยาม ทหารสอดแนมยังคงสอดแนมต่อ ทุกคนต่างกลับไปทำหน้าที่เดิมของตน ทว่าในใจพวกเขายังคงปีติยินดีกับงานวิวาห์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

    กว่าถังอี้หมิงจะตื่นก็เที่ยงแล้ว เขาสวมเสื้อเดินออกจากจวนไปตรวจโรงผลิตอาวุธเหมือนเช่นทุกครั้ง

    ถังอี้หมิงเดินตรงไปที่หลังเขา ยังไม่ทันได้เข้าไปในโรงงานเขาก็ได้ยินเสียงเคาะตีตึงตังดังลอยมาแต่ไกล

    ครั้นเข้าไปถึงด้านใน เขาก็พบว่าบนแท่นตีเหล็กแต่ละแท่นล้วนมีช่างตีเหล็กยืนประจำตำแหน่งอยู่คนหนึ่งรวมถึงพวกที่เพิ่งหัดทำอาวุธ พวกเขาต่างควบคุมแท่นตีเหล็กได้อย่างชำนิชำนาญ แค่หัดเรียนรู้วิธีคุมไฟให้ดี เท่านั้นก็สร้างศัสตราวุธแหลมคมออกมาได้แล้ว

    โจวซวงตรวจดูช่างคนอื่นๆ ทำงาน หากมีอะไรตรงไหนไม่ถูกต้องก็จะรีบชี้แนะเพิ่มเติมทันที

    ไม่เลว โจวซวงระมัดระวังรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นอย่างดี จัดเป็นหัวหน้าโรงงานที่หาตัวจับได้ยาก ถังอี้หมิงอดชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้

    “นายท่าน ท่านมาได้อย่างไร” พอเห็นถังอี้หมิง โจวซวงก็เอ่ยปากถาม

    “โจวซวง สองสามวันนี้โรงงานผลิตอาวุธได้เพียงห้าพันเล่มเท่านั้น ที่เหลือยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด” ถังอี้หมิงถาม

    โจวซวงพูดลำบากใจ “นายท่าน ทวนเหล็กหนึ่งหมื่นเล่มที่ท่านต้องการใกล้เสร็จแล้ว ทว่าอาวุธของพวกทหารหญิงนั้นออกจะทำยากอยู่สักหน่อย”

    “อืม กองกำลังเหนียงจื่อเรี่ยวแรงน้อย ใช้ทวนเหล็กหนักๆ พวกนั้นไม่ไหว ข้ารู้ ให้พวกเจ้าสร้างทวนที่ด้านในกลวงนั้นออกจะยากลำบากไม่ใช่น้อย หนำซ้ำอาวุธของทหารหญิงพวกนั้นยังค่อนข้างปนเป มีทั้งทวนทั้งกระบี่ ไหนจะยังมีธนูอีก เป็นภารกิจที่ยากยิ่ง ทว่านอกจากเจ้าแล้วก็ไม่มีใครที่จะทำให้สำเร็จได้” ถังอี้หมิงพูดเห็นอกเห็นใจ

    โจวซวงพูด “ที่ข้าได้รับหน้าที่นี้ก็ด้วยเพราะความเมตตาจากนายท่าน ขอนายท่านวางใจ ภายในหนึ่งเดือน ข้าต้องทำอาวุธทั้งหมดได้พร้อมสรรพครบถ้วนแน่นอน ยามนี้ในโรงงานข้าได้แบ่งหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปให้พวกเขาทำ ช่างเหล็กฝีมือดีข้าให้พวกเขาไปสร้างชุดเกราะ ส่วนที่ฝีมือรองลงมาข้าให้พวกเขาไปทำหัวธนู ทวนเหล็กตีค่อนข้างง่ายจึงให้พวกช่างฝึกใหม่รับผิดชอบไป เช่นนี้ไม่เกินหนึ่งเดือนต้องบรรลุภารกิจที่นายท่านมอบหมายได้แน่”

    “อืม ดีมาก ทำเช่นนี้งานไม่เพียงคืบหน้าไปได้เรื่อยๆ หนำซ้ำยังไม่เสียเวลาอีกต่างหาก ข้าเลือกเจ้าเป็นหัวหน้าโรงผลิตอาวุธ นับว่าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” ถังอี้หมิงเอ่ยปากชื่นชม

    “ขอบคุณนายท่านที่ชื่นชม ข้าจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวังเด็ดขาด” โจวซวงตอบ

    “ฮ่าๆๆ! ดี ข้าต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นเจ้านี่แหละ” ถังอี้หมิงยิ้มตอบ

    “นายท่าน!”

    ทันใดนั้นถังอี้หมิงกับโจวซวงก็ได้ยินเสียงทหารนายหนึ่งร้องตะโกน ทหารนายนั้นวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

    “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงได้แตกตื่นตกใจเช่นนี้” ถังอี้หมิงถาม

    ยังไม่ทันได้แสดงคารวะ ทหารนายนั้นก็รีบพูด “นายท่าน แย่แล้ว หัวหน้ากองหู หัวหน้ากองหูถูกยิงบาดเจ็บ ใกล้…ใกล้ตายเต็มทีแล้ว!”

    “เจ้าว่าอันใดนะ แล้วหูเยี่ยนตอนนี้อยู่ที่ใด ใครเป็นคนทำร้ายเขา” ถังอี้หมิงคว้ามืออีกฝ่ายถามกระวนกระวาย

    ทหารนายนั้นตอบ “ข้าน้อยไม่ทราบ หัวหน้ากองหูเพิ่งกลับมาถึงพร้อมแผลฉกรรจ์ ตอนนี้อยู่ในหุบเขาน้ำเต้าที่เชิงเขา”

    “รีบพาข้าไปเร็ว!” ถังอี้หมิงพูดพลางสาวเท้าเดินออกไปรวดเร็ว

    ทันทีที่ไปถึงหุบเขาน้ำเต้า ถังอี้หมิงก็ตะโกนเสียงดัง “หูเยี่ยน!”

    หยางหยวนผู้บริบาลม้าศึกพอได้ยินเสียงตะโกนของถังอี้หมิงก็รีบวิ่งออกมาจากกระท่อมไม้ “นายท่าน หัวหน้ากองหูอยู่ข้างใน!”

    ถังอี้หมิงเดินตามหยางหยวนเข้าไปในกระท่อม พวกทหารต่างพากันหลีกทางให้ ถังอี้หมิงเห็นหูเยี่ยนนอนอยู่บนเสื่อฟาง อกขวามีธนูดอกหนึ่งปักติดอยู่ เสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ

    “นายท่าน…”

    พอเห็นถังอี้หมิง หูเยี่ยนก็พยายามลุกขึ้นนั่งแต่ร่างกายกลับอ่อนระโหยไร้แม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับ เลือดสดๆ ไหลทะลักออกปาก

    “หูเยี่ยน เจ้ายังไม่ต้องพูดอันใดทั้งนั้น” ถังอี้หมิงพูดเสียงแผ่ว

    ถังอี้หมิงเห็นหูเยี่ยนสติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางก็รีบกุมมือไว้ ถังอี้หมิงชำเลืองมองดูธนูที่ปักอยู่บนอกหูเยี่ยนคราหนึ่ง ธนูสีดำปลอดดอกนั้นเขาเหมือนเคยเห็นที่ไหน

    จู่ๆ หัวของถังอี้หมิงก็สว่างวาบ เขาอุทานตกใจ “นี่…นี่มันธนูของพวกสุนัขเยียน หรือว่าพวกสุนัขเยียนข้ามแม่น้ำหวงเหอมาแล้ว”

    หูเยี่ยนพยักหน้า กระแอมกระไอออกมาสองคราว กระอักเลือดสดๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก

    “นายท่าน…สุนัขเยียน…สุนัขเยียนข้ามแม่น้ำหวงเหอมาแล้ว…เขา…เขา…” หูเยี่ยนพูด พยายามยกแขนขึ้น ยื่นนิ้วชี้ไปทางคนผู้หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ยังไม่ทันพูดจบ มือที่ยกขึ้นก็ร่วงตกลงข้างตัว

    ถังอี้หมิงเห็นดวงตาของหูเยี่ยนเบิกกว้าง อกนิ่งไม่กระเพื่อมไหวก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสิ้นใจแล้ว ในใจเจ็บปวดรวดร้าว เขาตะโกนสุดเสียง “หูเยี่ยน…!”

    เสียงร้องตะโกนของเขาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกขมขื่น ขณะเดียวกันก็ระคนไว้ซึ่งความรู้สึกเคียดแค้นอับจน หัวคิ้วของถังอี้หมิงขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยว เขายื่นมือปิดตาหูเยี่ยนที่ยังคงเบิกค้าง

    หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ถังอี้หมิงก็กลับมาได้สติอีกครั้ง เขาหันหลังกลับสายตากวาดมองไปรอบกระท่อมไม้ ก่อนจะพบชายในชุดเกราะสวมหมวกเกราะอยู่บนหัวคนหนึ่งอยู่ยังมุมห้อง

    ถังอี้หมิงพิจารณาดูอีกฝ่ายตั้งแต่เท้าจรดหัว คนผู้นั้นอายุน่าจะสักสามสิบเจ็ดสามสิบแปด หน้าเหลี่ยม คิ้วดก ปากใหญ่ สูงน่าจะสักราวๆ หกฉื่อ รูปร่างค่อนไปทางอวบอ้วน มีเกราะเหล็กรัดแน่นอยู่บนตัว ดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย บนไหล่มีห่อผ้าสีเหลืองสะพายเฉียงๆ อยู่อีกห่อหนึ่ง

    “เจ้าเป็นใคร” ถังอี้หมิงสงบจิตสงบใจถามอีกฝ่าย

    คนคนนั้นสีหน้ายังคงตื่นตระหนก เขาตอบละล่ำละลัก “ข้า…ข้าน้อย…ไต้ซือ”

    “ไต้ซือ? ท่าทางเจ้าเหมือนจะเป็นแม่ทัพนายกอง ทว่าการแต่งกายของเจ้ากลับไม่เหมือนทหารทัพเยียนอีกทั้งยังไม่เหมือนทหารทัพฉีของต้วนคาน เจ้าเป็นใครกันแน่” ถังอี้หมิงถาม

    ได้ยินหูเยี่ยนเรียกถังอี้หมิงนายท่าน เขาก็รีบประสานมือพูด “ข้าน้อยไต้ซือ แม่ทัพผิงเป่ย (ปราบอุดร) แห่งแคว้นจิ้น คารวะขุนพลถัง!”

    “เจ้าว่าอันใดนะ เจ้าเป็นแม่ทัพแคว้นจิ้น?” พอได้ยินไต้ซือบอกว่าตนเองเป็นคนของแคว้นจิ้น ถังอี้หมิงก็อดตกใจไม่ได้

    ไต้ซือพยักหน้า พูดอย่างจริงจัง “ถูกแล้ว ข้าน้อยคือแม่ทัพของราชสำนักสวรรค์”

    “ราชสำนักสวรรค์? สวรรค์อันใด พวกเจ้ามันก็แค่กลุ่มที่มีอำนาจปกครองดินแดนแค่บางส่วนเท่านั้น! ข้าถามเจ้า เจ้าถูกพวกสุนัขเยียนไล่ตามเอาชีวิต สุดท้ายก็ได้หูเยี่ยนช่วยไว้ใช่หรือไม่” ถังอี้หมิงถาม

    ไต้ซือพูดอึกอัก “เรียนท่านขุนพลตามตรง เรื่องเป็นอย่างที่ท่านว่าไม่ผิด สหายหูตายเพราะช่วยข้า เรื่องนี้ข้าเองก็เสียใจไม่ใช่น้อย ท่านขุนพล พวกสุนัขเยียนเคลื่อนพลไล่ข้าลึกเข้ามาห้าร้อยกว่าหลี่ ทว่ายังไล่ล่ามาไม่ถึงที่นี่ แต่เมื่อหาข้าไม่พบ สุดท้ายพวกมันต้องเคลื่อนทัพใหญ่ค้นหามาถึงที่นี่แน่ ขอท่านขุนพลรีบส่งคนพาข้าไปจากที่นี่เถอะ”

    เห็นไต้ซือร้อนรน ผนวกกับห่อผ้าสีเหลืองที่อยู่บนหลัง ถังอี้หมิงก็นึก หูเยี่ยนฉลาดหลักแหลม ตอนทำหน้าที่เป็นทหารสอดแนม สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ ในเมื่อเขาไม่เคยรู้สึกดีต่อแคว้นจิ้น แล้วทำไมต้องยอมเสี่ยงตายช่วยแม่ทัพจิ้นคนนี้ด้วย ดูท่าบนตัวของคนคนนี้ต้องมีบางอย่างสำคัญยิ่งยวดแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพวกสุนัขเยียนมีหรือจะไล่ล่าเขาลึกมาไกลถึงห้าร้อยหลี่ ไม่ได้ หูเยี่ยนจะสละชีวิตไปเปล่าๆ ไม่ได้ เรื่องนี้ตราบใดที่ยังไม่รู้แน่ชัดจะปล่อยคนคนนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด

    “ท่านแม่ทัพไยต้องร้อนรนเช่นนี้ด้วยเล่า บนเขาไท่ซานมีการคุ้มกันแน่นหนา ต่อให้สุนัขเยียนมาก็ไม่มีทางบุกมาถึงที่นี่ได้ ท่านแม่ทัพควบม้ารีบเร่งเดินทางคงเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย เช่นนั้นมิสู้พักอยู่ที่นี่สักวันสองวันก่อน หลังจากนั้นข้าจะให้คนส่งท่านไป” ถังอี้หมิงพูด

    “ไม่! ข้าหนีออกจากเยี่ยเฉิงมาถึงที่นี่ไม่หลับไม่นอนไม่พักผ่อนก็เพื่อกลับแคว้นจิ้นให้เร็วที่สุด ขอท่านขุนพลรีบให้คนพาข้าไปจากที่นี่ทันทีเถอะ หรือไม่ก็ให้ม้าเร็วข้าสักตัว” ไต้ซือพูดร้อนรน

    “ท่านแม่ทัพรีบร้อนเช่นนี้ หรือว่าบนตัวท่านมีความลับบางอย่างที่ไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้” ถังอี้หมิงลองถามหยั่งเชิง

    ได้ยินถังอี้หมิงพูด ไต้ซือก็สีหน้าตื่นตะลึง รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่มีๆ ไม่มีจริงๆ ข้าแค่คิดถึงบ้านเดิม อยากรีบกลับไปก็เท่านั้น”

    แววตาของถังอี้หมิงไม่ต่างอะไรกับคบไฟ สีหน้าของไต้ซือมีหรือที่เขาจะมองไม่ออก เขาเค้นถามอีกฝ่ายทันที “ท่านแม่ทัพ ท่านมาจากเยี่ยเฉิงกระนั้นหรือ”

    พอได้ยินถังอี้หมิงพูดถึงเยี่ยเฉิง ไต้ซือก็รีบส่ายหน้ากลับคำ “ไม่ๆ เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป ข้ามาจากเหยี่ยหวังต่างหาก”

    เห็นไต้ซือพูดหน้าหลังไม่เหมือนกัน ถังอี้หมิงก็บอกกับตัวเองในใจ บนตัวคนคนนี้ต้องมีข่าวสารสำคัญบางอย่างแน่ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาต้องพูดอึกๆ อักๆ ไม่ยอมบอกความจริงออกมา ไหนจะเรื่องพวกสุนัขเยียนไล่ตามมาอีก หูเยี่ยนตายเพราะเขา ถ้าสืบรู้สายสนกลในออกมาไม่ได้ แล้วจะมีหน้าไปพบหูเยี่ยนที่ตายไปได้ยังไง

    “ฮ่าๆ ที่แท้ก็เช่นนี้ ท่านแม่ทัพ ข้าว่าเอาเช่นนี้เถิด วันนี้ท่านแม่ทัพเหนื่อยมากแล้ว คาดว่าคงยังไม่ได้กินอะไร บนเขามีอาหารมีน้ำให้กินดื่ม ท่านแม่ทัพก็พักอยู่ที่นี่สักคืนก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งท่านแม่ทัพไปจากที่นี่เอง ข้าเป็นคนแคว้นเว่ย ได้ยินชื่อเสียงของราชสำนักสวรรค์มานาน ยามนี้แคว้นเว่ยใกล้ล่มสลายแล้ว หากได้ท่านแม่ทัพแนะนำ ไม่แน่ว่าข้าอาจมีโอกาสได้เป็นทหารเดินเท้าตัวน้อยๆ ของราชสำนักสวรรค์ ท่านแม่ทัพ ถือเสียว่านี่เป็นน้ำใจของข้า ให้ข้าได้ต้อนรับท่านแม่ทัพสักครา” ถังอี้หมิงพูดน้ำเสียงกระจ่างชัด

    ไต้ซือครุ่นคิด ตลอดทางที่มา บนเส้นทางเขาเต็มไปด้วยการป้องกันแน่นหนา ทุกหนแห่งล้วนแต่มีกับดัก ยากที่ใครจะผ่านเข้ามาได้ หนำซ้ำที่นี่ยังเป็นภูเขา ต่อให้ทัพเยียนบุกมาจริงก็ไม่มีทางแสดงแสนยานุภาพได้ อีกอย่าง ตอนนี้ข้าเองก็ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ถือเสียว่าพักเอาแรงสักครู่ก็แล้วกัน แค่คืนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสักหน่อย

    ไต้ซือประสานมือพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอข้าพักอยู่ที่นี่สักวัน ไว้พักผ่อนเสร็จพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง ทันทีที่กลับถึงราชสำนักสวรรค์ ข้าต้องรายงานต่อโอรสสวรรค์ถึงน้ำใจของท่านขุนพลให้ทรงทราบแน่นอน”

    ถังอี้หมิงหัวเราะ “เยี่ยม หยางหยวน เจ้าพาคนส่งแม่ทัพไต้ขึ้นเขา บอกท่านกุนซือว่าให้ต้อนรับแม่ทัพไต้ให้ดี ไว้จัดการศพของหูเยี่ยนเสร็จข้าจะตามไป”

    ได้ยินถังอี้หมิงสั่งเช่นนั้น หยางหยวนก็รับคำทันที “ขอรับ นายท่าน!”

    ไต้ซือออกจากหุบเขาน้ำเต้าภายใต้การคุ้มกันของหยางหยวนกับทหารอีกสองสามนาย

     

    ถังอี้หมิงมาหยุดอยู่ข้างร่างไร้ลมหายใจของหูเยี่ยนและอธิษฐานในใจ หูเยี่ยน วางใจเถอะ เจ้าไม่มีทางตายเปล่าแน่ คำพูดที่เจ้าอยากพูดก่อนตายแต่กลับบอกไม่ทัน ข้าต้องสืบรู้ให้ได้ เจ้าอยู่ในปรโลกให้สบายใจเถอะ

    ถังอี้หมิงฝังศพหูเยี่ยนไว้ที่หุบเขาน้ำเต้า อีกทั้งยังตั้งป้ายศพ ลงมือสลักป้าย ‘หลุมศพวีรบุรุษผู้กล้าหูเยี่ยน’ ด้วยตนเอง อีกทั้งยังปูนบำเหน็จเป็นรางวัลให้ความดีความชอบแต่ครั้งเก่าก่อน

    การตายของหูเยี่ยนสำหรับถังอี้หมิงแล้วนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ในเวลานี้ที่เขาขาดแคลนมากที่สุดคือผู้มีความสามารถ หูเยี่ยนฉลาดหลักแหลมอีกทั้งยังเข้าใจภาษาเซียนเปย เหมาะกับการสอดแนมที่สุด เมื่อเขาตายไป กองกำลังสอดแนมที่เพิ่งตั้งขึ้นก็ต้องมีหัวหน้ากองคนใหม่

    ถังอี้หมิงคิดไปคิดมา สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกกวนเอ้อร์หนิว

    หลังฝังศพของหูเยี่ยนเรียบร้อย เขาก็ให้คนถ่ายทอดคำสั่งเขาไปยังทหารรักษาการณ์ที่ประจำอยู่ตามจุดสำคัญให้พวกเขาเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีก ในเมื่อทัพเยียนไล่ตามไต้ซือลึกเข้ามาได้ถึงห้าร้อยหลี่ นั่นก็แปลว่าทัพเยียนข้ามแม่น้ำหวงเหอมาได้แล้ว การเพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการเฝ้าระวังจึงเป็นเรื่องสำคัญ

    ถังอี้หมิงกำลังเตรียมตัวกลับขึ้นเขา ขณะหยั่งเชิงไต้ซืออยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา ทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าแท้ก็คือกวนเอ้อร์หนิว

    “เอ้อร์หนิว!” ถังอี้หมิงโบกมือให้กวนเอ้อร์หนิวที่อยู่ห่างออกไประยะหนึ่งพลางร้องตะโกน

    กวนเอ้อร์หนิวขี่ม้าเร็ว เพียงไม่นานก็มาถึงเชิงเขา เขาดึงบังเหียนบังคับม้าให้หยุดก่อนจะพลิกตัวลงมา

    “เรียนนายท่าน กองทัพเยียนยึดเยี่ยเฉิงได้แล้ว หลังพ่ายศึก รัชทายาทกับแม่ทัพใหญ่ได้เดินทางหลบหนีกันในวันนั้นทันที ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใด นอกจากนี้กองกำลังทหารเยียนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งได้เดินทางข้ามแม่น้ำหวงเหอมาแล้ว ยามนี้ปักหลักอยู่ที่ไป๋หม่า”

    ถังอี้หมิงไม่ประหลาดใจข่าวดังกล่าวแม้แต่น้อย เขารู้นานแล้วว่าเยี่ยเฉิงจะถูกตีแตกและหรั่นเว่ยเองก็จะถูกทัพเยียนกำจัดทิ้ง

    “ข้าถามเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าไต้ซือคือใคร” ถังอี้หมิงถาม

    กวนเอ้อร์หนิวส่ายหน้า “เรียนนายท่าน เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ทว่าข้าสืบรู้ข่าวหนึ่ง มีแม่ทัพจิ้นผู้หนึ่งเอาลัญจกรหยกหนีออกมาจากเมืองเยี่ยเฉิง ทัพเยียนที่ข้ามแม่น้ำหวงเหอได้สำเร็จพวกนั้นกำลังมาเพื่อแย่งชิงมัน”

    “เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ ลัญจกรหยก?” ถังอี้หมิงตกใจ

    กวนเอ้อร์หนิวพยักหน้า “ข่าวนี้ไม่เพียงเชื่อถือได้แต่ยังแพร่สะพัดไปทั่วเหอเป่ยแล้วด้วย ข่าวนี้ข้ารู้มาจากพวกชาวบ้านผู้ลี้ภัย ยิ่งไปกว่านั้นตอนข้าเดินทางกลับมา ยังเห็นทหารม้าทัพเยียนอีกสองร้อยกว่านาย ได้ยินว่าเจ้าพวกนั้นกำลังตามหาลัญจกรหยก แต่พอมาถึงละแวกจี่หนาน พวกเขาก็เจอกองกำลังแคว้นฉีของต้วนคานเข้า ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างเปิดศึกใส่กัน แม่ทัพแคว้นจิ้นผู้นั้นก็ไม่รู้หายตัวไปที่ใด”

    ได้ยินกวนเอ้อร์หนิวพูดเช่นนั้น ถังอี้หมิงก็ลูบคางบอกกับตัวเอง “ดูท่าห่อที่อยู่บนหลังของไต้ซือคนนั้น ด้านในคงต้องใช่ลัญจรกหยกแน่ ไม่ได้ เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง ต้องรีบไปปรึกษากับท่านกุนซือ”

    เห็นถังอี้หมิงพูดกับตัวเองเช่นนั้นกวนเอ้อร์หนิวก็ถามขึ้น “นายท่าน ลัญจกรหยกมาถึงบนเขาแล้วเช่นนั้นหรือ”

    ถังอี้หมิงพยักหน้า แสดงความกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด “เพื่อช่วยแม่ทัพแคว้นจิ้น ทำให้ข้าต้องเสียทหารคนสำคัญไปนายหนึ่ง ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”

    “นายท่าน ใครตาย?” กวนเอ้อร์หนิวรีบถาม

    ถังอี้หมิงถอนหายใจ ตบไหล่เอ้อร์หนิวเบาๆ ทีหนึ่ง “เอ้อร์หนิว นับแต่นี้ไปเจ้าก็คือหัวหน้ากองหน่วยสอดแนม หวังว่าเจ้าจะทำงานอย่างสุดความสามารถ ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดกำลัง”

    “นายท่าน ข้าจะเป็นหัวหน้ากองได้อย่างไรกัน หัวหน้ากองคือหูเยี่ยนไม่ใช่หรอกหรือ ความสามารถของเขาเทียบกับข้าแล้วเหนือ…” พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ กวนเอ้อร์หนิวก็นิ่งอึ้ง

    เห็นถังอี้หมิงสีหน้าเจ็บปวดเช่นนั้น ใจของกวนเอ้อร์หนิวก็พลันไหวสะท้าน เขารีบถาม “นายท่าน คนที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่ คงไม่ใช่…หูเยี่ยน”

    ถังอี้หมิงพยักหน้าเบาๆ สีหน้าหม่นหมอง “หูเยี่ยนช่วยแม่ทัพแคว้นจิ้นผู้นั้นไว้ แต่ตัวเองกลับถูกธนูสุนัขเยียนปักทะลุอก สิ้น…”

    “หูเยี่ยน…!” ถังอี้หมิงไม่ทันพูดจบ กวนเอ้อร์หนิวก็ตะโกนเสียงดัง ร้องเจ็บปวด

    ถังอี้หมิงพูดปลอบใจ “เอ้อร์หนิว คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืน เจ้าก็หักห้ามใจเถอะ”

    “นายท่าน หูเยี่ยน…หูเยี่ยนถูกฝังไว้ที่ใด” กวนเอ้อร์หนิวถามสะอึกสะอื้น

    ถังอี้หมิงยกมือชี้ไปยังหุบเขาน้ำเต้า “ข้าฝังหูเยี่ยนไว้บนเนินที่อยู่นอกหุบเขาน้ำเต้าไปสามหลี่ เจ้าไปคารวะศพเขาเถอะ”

     

    ครั้นขึ้นไปถึงบนเขา ถังอี้หมิงก็ไปหาหวังเหมิ่งที่บ้านก่อน

    ถังอี้หมิงตะโกนเสียงดัง “ท่านกุนซือ”

    หวังเหมิ่งเห็นถังอี้หมิงสีหน้าลุกลี้ลุกลนเช่นนั้นก็รีบตรงขึ้นมารับหน้า “นายท่าน มีเรื่องอะไรกระนั้นหรือ ไยท่านถึงได้ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้”

    ถังอี้หมิงกระซิบ “วันนี้มีแม่ทัพแคว้นจิ้นคนหนึ่งมา แม่ทัพจิ้นคนนี้มีลัญจกรหยกติดตัวมาด้วย”

    “ลัญจกรหยก?” หวังเหมิ่งไม่อยากนึกเชื่อ

    ถังอี้หมิงพยักหน้า “เพื่อแม่ทัพแคว้นจิ้นผู้นั้น ข้าถึงกับต้องเสียทหารคนสำคัญไปคนหนึ่ง คราวเคราะห์ไม่ได้มาเพียงหนึ่งจริงๆ ท่านกุนซือ ที่ข้ามาก็เพราะอยากถามท่านว่าควรจะจัดการกับแม่ทัพแคว้นจิ้นผู้นี้เช่นไร”

    แทนที่จะรีบตอบคำถามของถังอี้หมิง หวังเหมิ่งกลับพูด “หลังกบฏแปดอ๋อง ซยงหนูและชาวฮั่นนำทัพโจมตีลั่วหยางเมืองหลวงของแคว้นจิ้น จับสองจักรพรรดิเป็นเชลย ลัญจกรหยกตกอยู่ในมือพวกซยงหนู ก่อนจะไปตกอยู่ในกำมือของชาวเจี๋ย จนกระทั่งหรั่นหมิ่นได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ลัญจกรหยกก็อยู่ที่เยี่ยเฉิงมาโดยตลอด แคว้นจิ้นที่อยู่ทางตอนใต้ถึงจะเรียกตนเองว่าเป็นราชสำนักสวรรค์แต่ก็ยังคงมีทีท่าหวาดๆ อยู่ ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะขาดลัญจกรหยก ยามนี้เยี่ยเฉิงถูกแคว้นเยียนโอบล้อมแน่นหนา ของสำคัญอย่างลัญจกรหยกทัพเยียนมีหรือจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ง่ายๆ ลัญจกรหยกที่มาถึงที่นี่ในเวลานี้แท้เทียมก็ยังไม่อาจบอกได้ นายท่านจำเป็นต้องตรวจดูให้รู้ชัดด้วยตนเองก่อนถึงค่อยตัดสินใจ”

    ได้ยินเช่นนั้นถังอี้หมิงก็ครุ่นคิด “หากลัญจกรหยกเป็นของปลอม ทัพเยียนไหนเลยจะรุกลึกเข้ามาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเชื่อว่าลัญจกรหยกที่อยู่บนตัวไต้ซือนั้นต้องเป็นของแท้แน่นอน”

    หวังเหมิ่งถาม “นายท่าน ยามนี้ไต้ซืออยู่ที่ใด”

    ถังอี้หมิงตอบ “ข้าให้คนจัดอาหารและที่พักให้เขาได้อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวแล้ว นอกจากนี้ข้ายังให้หยางหยวนจับตาดูเขาไว้ด้วย”

    หวังเหมิ่งถาม “นายท่าน ท่านคิดอยากครอบครองลัญจกรหยกเป็นของตนเองหรือไม่”

    ถังอี้หมิงหัวเราะ “ลัญจกรหยก? มันก็แค่หินก้อนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงมีความสามารถ อยากได้หินเช่นนั้นสักเท่าไรย่อมหาได้ไม่ยาก หินก้อนนั้นยามนี้ไม่ต่างอะไรกับเผือกร้อนลวกมือ ต่อให้มอบให้ข้า ข้าก็ไม่มีทางรักษามันอยู่ มิสู้ขายแลกน้ำใจ มอบให้แคว้นจิ้นเสีย หนึ่งให้แคว้นจิ้นรู้ว่าบนเขาไท่ซานมีกองกำลังทหารต้านพวกนอกด่านอยู่ สองพวกเรายังสามารถอาศัยโอกาสนี้ผูกสัมพันธ์กับแคว้นจิ้น ให้พวกเขากรีธาทัพขึ้นเหนือโจมตีแคว้นเยียน ท่านกุนซือ ท่านคิดเห็นเช่นไร”

    หวังเหมิ่งพูดเนิบๆ “ผลประโยชน์ใหญ่หลวงอยู่ตรงหน้า นายท่านไม่เพียงไม่หวั่นไหว กลับยังมีสติครุ่นคิดรอบคอบได้เช่นนี้ข้ารู้สึกนับถือยิ่งนัก ทว่า…” พูดถึงจุดนี้จู่ๆ หวังเหมิ่งก็ชะงัก “ทว่าลัญจกรหยกนี้ไม่จำเป็นต้องกลับคืนสู่แคว้นจิ้น นายท่านลองคิดดู โอรสสวรรค์แห่งแคว้นจิ้นครองแผ่นดินมาก็เนิ่นนานหลายปีแล้ว มีหรือไม่มีลัญจกรหยกย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกเขา เพราะไม่ว่าเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดขึ้นครองอำนาจแทนพวกเขาได้ หากคืนลัญจกรหยกให้แคว้นจิ้น อย่างมากก็คงได้แค่บำเหน็จรางวัลไร้ค่าอะไรสักอย่าง แต่หากใช้ลัญจกรหยกนำไปแลกเปลี่ยนกับกองทัพเยียน นายท่านลองคิดดู ตอนนี้ที่พวกเราขาดแคลนที่สุดคือสิ่งใด”

    “เสบียงอาหาร” ถังอี้หมิงตอบออกมาทันทีไม่แม้แต่จะต้องหยุดคิด

    “ถูกต้อง สงครามเมืองหลู่จวิ้น แม้ข้าจะนำเสบียงกลับมาได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็พอให้พวกเราใช้ได้ถึงหน้าหนาวเท่านั้น หากขาดเสบียงอาหาร เมื่อถึงฤดูหนาวพวกเราจะเอาอะไรกิน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเราควรช่วงชิงลัญจกรหยกไว้ต่อรองแลกเปลี่ยนเสบียงอาหารที่จำเป็นกับทัพเยียน!” หวังเหมิ่งอธิบายโดยละเอียด

    ได้ยินแบบนั้นถังอี้หมิงก็อดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้

    “ท่านกุนซือ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ที่นี่กับแคว้นจิ้นห่างกันพันหลี่ เส้นทางไกลห่าง จะคุ้มครองส่งเขาไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากพวกเราฆ่าไต้ซือแย่งชิงลัญจกรมา ข่าวนี้ใช่ว่าจะล่วงรู้ถึงหูแคว้นจิ้น ตรงกันข้ามกับทัพเยียนที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุด ในเวลานี้เยี่ยเฉิงถูกตีแตกแล้ว อีกไม่นานทัพใหญ่แคว้นเยียนต้องเคลื่อนทัพลงใต้แน่ พวกเราอาจแลกเปลี่ยนเสบียงอาหารข้าวของเครื่องใช้จำเป็นกับพวกเขาได้”

    หวังเหมิ่งพูด “ไต้ซือผู้นี้จะเก็บไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกเราแค่ใช้ไต้ซือกับลัญจกรหยกแลกเสบียงอาหารเท่านั้นก็ได้แล้ว”

    ถังอี้หมิงพยักหน้า แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบถาม “ทัพใหญ่แคว้นเยียนมุ่งหน้าลงใต้คงเพื่อกวาดล้างจงหยวน ดูท่าขั้วของกลุ่มอำนาจใหญ่ทั่วหล้าคงไม่แคล้วต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเป็นแน่ ท่านกุนซือ ทัพเยียนร้ายกาจกว่าทัพฉีของต้วนคานมากมายนัก ข้ากลัวว่าทัพเยียนอาจโอบล้อมเขาไท่ซานของพวกเรา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ท่านว่าพวกเราควรวางตนเช่นไร”

    หวังเหมิ่งวางมือลงบนแผนที่บนโต๊ะ “นายท่าน ก่อนท่านมาข้าได้กำหนดแผนขยายอำนาจสามประการไว้แล้ว ใช้ช่วยนายท่านตั้งตัวเป็นใหญ่ได้”

    “อา…แผนขยายอำนาจสามประการคือสิ่งใด” ถังอี้หมิงรีบถาม

    หวังเหมิ่งชี้ไปที่แผนที่พลางทำมือทำไม้ “เชิญนายท่านดู กองทัพเยียนเคลื่อนทัพลงใต้กลายเป็นกองกำลังที่ไม่อาจต้านทาน และเป้าหมายแรกของพวกเขาแน่นอนว่าต้องเป็นการครอบครองชิงโจวของฉีอ๋องต้วนคาน หากต้วนคานฉลาดพอ เขาย่อมรักษาพื้นที่ชายฝั่งแม่น้ำหวงเหอกับเส้นทางสำคัญของชิงโจวขวางไม่ให้ทัพเยียนผ่านไปได้ หากเป็นเช่นนี้ด้วยกำลังของทัพฉีพวกเขาย่อมต้านกองกำลังแคว้นเยียนไว้ได้อย่างน้อยก็เกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไป แต่หากต้วนคานเอาแต่หดหัวอยู่ในก่วงกู้ ทันทีที่ทัพเยียนบุกเข้าชิงโจวได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาย่อมต้องโอบล้อมตีกระหน่ำก่วงกู้อย่างหนัก เชื่อว่าไม่เกินครึ่งเดือนต้วนคานย่อมถูกกำจัดสิ้น”

    “อืม ท่านกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” ถังอี้หมิงบอก

    “หึๆ นายท่าน นี่แค่ก้าวแรกของทัพเยียนเท่านั้น และก็เป็นก้าวแรกของพวกเราเช่นกัน!” หวังเหมิ่งพูด

    “ก้าวแรกของพวกเรา? ท่านกุนซือ ท่านจะบอกว่าการประจันหน้ากันของทัพเยียนกับทัพฉีนั้น พวกเราจะฉวยโอกาสก่อกวนพวกเขาทั้งสองฝ่าย” ถังอี้หมิงถาม

    หวังเหมิ่งพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว พวกเราจะอาศัยจังหวะตอนสองทัพทำสงครามกันคอยก่อกวนพวกเขาไปเรื่อยๆ ถือโอกาสปล้นสะดมข้าวของตามเมืองต่างๆ ในชิงโจวมาเพิ่มพูนกำลังให้ตัวเอง”

    “แล้วก้าวที่สองเล่า” ถังอี้หมิงถาม

    หวังเหมิ่งชี้แผนที่ “ทันทีที่ทัพเยียนกำจัดต้วนคานสำเร็จ พวกเราก็จะถอยกลับขึ้นเขา เฝ้าเส้นทางเข้าเขาตามจุดต่างๆ ให้ดี ไม่ให้ทัพเยียนโจมตีเล่นงานพวกเราได้ ข้าเชื่อว่าความมุ่งมาดปรารถนาและปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเยียนอ๋องอยู่ที่แผ่นดินทั่วหล้า ไม่มีทางยอมเสียกำลังทหารมากมายไปกับยอดเขาไท่ซานเล็กๆ ยอดเขาหนึ่งเด็ดขาด ทว่าเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราขยายอำนาจได้ เขาต้องทิ้งกองกำลังเฝ้าชิงโจวไว้ ก่อนจะกรีธาทัพใหญ่ไปทางทิศตะวันตก หันหัวหอกไปยังแคว้นฉินที่สถาปนาตนขึ้นที่กวนจง ทันทีที่ทัพใหญ่แคว้นเยียนไป นายท่านย่อมโจมตีชิงโจว ยึดครองดินแดนอันอุดมได้”

    “อืม ไม่เลวจริงๆ หลังยึดครองชิงโจว ข้าต้องเริ่มขยายอำนาจรับชาวบ้านผู้ประสบภัยเข้ามาให้มากขึ้น บุกเบิกพื้นที่รกร้าง พัฒนาทัพเรือกับโรงผลิตเครื่องใช้ มีแต่ทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะลงหลักปักฐานอยู่ที่ชิงโจวได้!” ถังอี้หมิงพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

    หวังเหมิ่งหัวเราะ “นายท่านกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก หลังทัพเยียนกรีธาทัพไปทางทิศตะวันตก พวกเขาย่อมไม่มีเวลามาสนใจทางทิศตะวันออกอีก ถึงตอนนั้นนายท่านย่อมอาศัยจังหวะขยายฐานอำนาจ ทันทีที่พร้อม พวกเราก็ค่อยเคลื่อนทัพลงใต้ยึดสวีโจว อาศัยดินแดนทั้งสองแสดงแสนยานุภาพ”

    ถังอี้หมิงพอใจในแผนการทั้งหมดของหวังเหมิ่ง ทว่าเขายังคงกังวลอยู่เล็กๆ เพราะทางตอนใต้ยังมีแคว้นจิ้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ จะไม่สร้างสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายไว้คงไม่ได้

    อีกหลายสิบปีต่อจากนี้จะมีสงครามแม่น้ำเฝยสุ่ย หากทำให้เหตุการณ์นี้เกิดเร็วขึ้น ให้แคว้นเยียนที่อยู่ทางตอนเหนือกับแคว้นจิ้นที่อยู่ทางตอนใต้ทำสงครามกัน รอจนพวกเขาต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้เจ็บตัว ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยโผล่มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เช่นนี้โลกกลียุคย่อมจบสิ้นลงได้เร็วขึ้นอีก ฮ่าๆ ความคิดนี้ดีจริงๆ งั้นก็ทำตามแผนการนี้ ช่วยแคว้นเยียนรวบรวมแผ่นดินทางตอนเหนือให้เป็นหนึ่งก่อน หลังจากนั้นค่อยยุให้แคว้นจิ้นกรีธาทัพขึ้นเหนือ ทันทีที่พวกเขาทำสงครามกัน นั่นก็คือเวลาที่จะได้ครอบครองทั่วหล้า ถังอี้หมิงแอบคิดอยู่ในใจ

    “ท่านกุนซือ ก้าวที่สามคืออาศัยชิงโจว สวีโจวครอบครองทั่วหล้าใช่หรือไม่” คิดจบถังอี้หมิงก็ถามขึ้น

    หวังเหมิ่งตอบ “นายท่านกล่าวได้ถูกต้องทุกประการ”

    ถังอี้หมิงพยักหน้า บอกกับหวังเหมิ่ง “ท่านกุนซือ มีท่านอยู่ข้างกายเช่นนี้แม้กองกำลังชั้นเลิศสิบหมื่นพวกเราก็ต้านทานไหว”

    หวังเหมิ่งตอบถ่อมตน “นายท่านชมเกินไปแล้ว!”

    ถังอี้หมิงเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปหยั่งเชิงไต้ซือดู หากเขาพูดความจริงข้าก็จะเก็บเขาไว้ แต่หากโกหกข้าก็จะสังหารเสีย แย่งชิงเอาลัญจกรหยกมาแลกเสบียงอาหารกับแคว้นเยียน”

    เห็นถังอี้หมิงลุกเตรียมเดินจากไป หวังเหมิ่งก็รีบปราม “ช้าก่อนนายท่าน ดูจากรูปการณ์ในเวลานี้คิดแลกเปลี่ยนกับแคว้นเยียนเกรงว่าจะไม่คุ้มค่า แลกเสบียงอาหารได้ไม่เท่าไร”

    ถังอี้หมิงรีบถาม “เช่นนั้นข้าควรแลกเปลี่ยนอย่างไร”

    หวังเหมิ่งตอบ “พวกเราต้องทำสงครามกับทัพเยียนก่อน อีกทั้งยังต้องได้รับชัยชนะด้วย หาไม่แล้วดูจากกำลังของทัพเยียนในเวลานี้ พวกเขาไม่มีทางตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกับพวกเราแน่”

    ได้ยินเช่นนั้นถังอี้หมิงก็พยักหน้าเห็นด้วย “ท่านกุนซือ ท่านกล่าวได้ถูกแล้ว ตอนนี้ทัพเยียนเข้มแข็งเกรียงไกร ในเมื่อพวกเขากวาดล้างดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำหวงเหอสิ้นแล้ว การกรีธาทัพลงใต้ในครั้งนี้ย่อมต้องหมายกวาดล้างจงหยวน พวกเราถึงจะยึดครองเขาไท่ซานอยู่ในเวลานี้ แต่ในสายตาต้วนคานพวกเราก็แค่โจรกลุ่มเล็กๆ บนเขาไท่ซานเท่านั้น ยิ่งในสายตาของทัพเยียนด้วยแล้ว พวกเรายิ่งไม่มีค่าให้พูดถึง ท่านกุนซือ ข้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว พวกเราต้องทำให้ทัพเยียนเห็นความสำคัญของพวกเราก่อน หลังจากนั้นค่อยอาศัยชัยชนะที่พวกเรามีเหนือพวกเขาต่อรองแลกเปลี่ยนเสบียงอาหารกับลัญจกรหยกโดยไม่ต้องรอให้ทัพเยียนมาถึงกำแพงเมืองแล้วค่อยแลก ถึงตอนนั้นลัญจกรหยกย่อมมีค่ามากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ใช้แลกเปลี่ยนเสบียงอาหารได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว”

    “นายท่านปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าน้อยพูดเพียงไม่กี่ประโยคนายท่านก็เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว” หวังเหมิ่งเอ่ยปากยกย่องถังอี้หมิง

     

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า 3’ วางขายฉบับอีบุ๊ก 1 พฤษภาคม 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook