• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 4 ตอนที่ 1

    1

    ตรงหน้าเส้นปล่อยตัว

    เวลาไม่เคยคอยใครเหมือนเดิม เหลืออีกแค่ไม่ถึงเดือนก็จะถึงวันเปิดร้านโรสไอส์แลนด์แล้ว ถึงจะยังไม่มีลูกค้า แต่ในครัวก็ตกอยู่ในบรรยากาศตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้มินจุนกำลังเลือกส้มพลางทำหน้าบึ้งอยู่กลางตลาด

    “มันไม่น่าจะหวานนะ”

    “ทำไมจะไม่…อือ มันก็หวานน้อยไปนิดนึง”

    “ถ้าเป็นแบบนี้ ผมจะไปร้านป้าทรูดี้นะ”

    “เอาน่า อย่าเครียดนักเลย มันก็ไม่ได้จืดสนิทนี่นา ยังมีความหวานอยู่บ้าง”

    “หวานมากหวานน้อยมันส่งผลกับการทำอาหาร แล้วลูกที่สภาพดีมีบ้างรึเปล่า”

    “ขอโทษนะ มันน่าจะเกิดความผิดพลาดระหว่างขนส่งน่ะ”

    คนขายผลไม้ถอนหายใจพร้อมทำหน้ากระอักกระอ่วน สำหรับเขาที่ขายผลไม้มาทั้งชีวิตมองจากภายนอกแยกความแตกต่างแทบไม่ออก แต่มินจุนกลับมองออกทั้งที่ไม่ได้ลองชิมเลยด้วยซ้ำ มินจุนยืนกอดอกแล้วถอนหายใจ

    “แล้วรับของมาได้ยังไงกัน น่าจะส่งคืนกลับไปซะ วันนี้ผมคงไม่ได้อะไร ไว้พรุ่งนี้ผมมาใหม่ก็แล้วกัน”

    “ไม่เอาน่า ลองดูอย่างอื่นก่อนก็ได้นี่”

    “ผมไม่ซื้อเพราะลูกยุหรอกนะ เพราะเงินที่จ่ายมันไม่ใช่เงินของผม”

    มินจุนเดินไปโดยไม่สนใจสีหน้าเสียดายของคนขาย มายาและจัสตินจึงพูดว่า

    “โอ้โห เชฟ ยอดไปเลยค่ะ รู้ระดับความหวานทั้งที่ไม่ได้ชิมด้วยเหรอคะ”

    “ถ้าผมเป็นแบบเชฟบ้างก็คงจะดี มีเคล็ดลับอะไรรึเปล่าครับ”

    “ตรวจดูจากสี กลิ่น แล้วก็ผิว”

    แน่นอนว่ามีระบบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนิดหน่อย มายาและจัสตินไม่ใช่แค่ภูมิใจในตัวมินจุน แต่พวกเขายังรู้สึกได้หน้าไปด้วย เพราะสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าในบรรดาเดมี่เชฟสี่คนมินจุนเป็นคนที่เก่งเรื่องการจ่ายตลาดมากที่สุด เขาไม่เคยซื้อวัตถุดิบที่ไม่ดีเลยสักครั้ง อย่างเวลาซื้อหอมหัวใหญ่สิบหัวปกติก็น่าจะต้องมีสักหัวที่สภาพไม่ดี แต่มินจุนสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ถึงขนาดคนที่อยู่ในครัวเสนอให้มินจุนเป็นคนรับผิดชอบเรื่องจ่ายตลาดไปเลย ซึ่งแน่นอนว่ามินจุนไม่มีทางยอม เพราะการที่ต้องมาตลาดตั้งแต่เช้ามืดไม่ใช่เรื่องสนุก

    ช่วงเวลานี้เป็นกิจวัตรประจำวันที่มายาและจัสตินรอคอยมากที่สุด ไม่ได้เป็นเพราะอากาศตอนเช้ามืด หรือกลิ่นผลไม้มากมายที่ฟุ้งออกมา หรือสีสันที่หลากหลายที่ยิ่งมองแล้วเพลินตามากกว่าสวนดอกไม้ จริงอยู่ว่าเหตุผลเหล่านั้นก็มีส่วนที่ช่วยทำให้จิตใจปลอดโปร่งอยู่บ้าง แต่ความสนุกมันอยู่ตรง…

    “เห็นมั้ย เชฟจากเพสโตเพสโตตรงนั้นน่ะ เมื่อกี้พอเชฟมินจุนบ่นเรื่องส้ม พวกเขาก็ไม่ซื้อเหมือนกัน”

    “พวกเชฟที่มาจากร้านเกรเซอร์ก็ถึงขนาดเดินตามพวกเราเลยนะครับ จะได้เห็นว่าเราซื้อหรือไม่ซื้ออะไร”

    ความสนุกอยู่ตรงเรื่องพวกนี้นั่นเอง ถ้าหัวหน้าเชฟหรือซูเชฟของร้านเหล่านั้นออกมาตลาดเองก็จะไม่มาเดินตามมินจุนแบบนี้ แต่ถ้าเป็นพวกเดมี่เชฟ แค่เดินตามมินจุนก็จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาและสามารถซื้อของคุณภาพดีๆ กลับไปได้ เรียกได้ว่าเป็นไกด์ในการจ่ายตลาดประเภทหนึ่ง มินจุนเป็นคนดังในหมู่พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่เพราะเขามีประสาทรับรสที่แม่นยำหรือเป็นเชฟของร้านโรสไอส์แลนด์ แต่เพราะเขารู้สภาพแท้จริงของวัตถุดิบที่แม้แต่พ่อค้าแม่ค้าที่มีประสบการณ์มาหลายสิบปียังเกิดความสับสน แล้วจะไม่ให้เป็นที่กล่าวขานได้ยังไง จริงอยู่ว่าระดับร้านโรสไอส์แลนด์ไม่มีทางที่คนจากที่นั่นจะไม่เก่ง ถึงอย่างนั้นความใจเย็นและความชำนาญที่ไม่เหมาะกับอายุของมินจุนก็ทำให้คนที่มาตลาดด้วยรู้สึกปลื้มใจ ถึงขนาดทำให้รู้สึกว่าแต่ละก้าวที่เดินช่างน่าภาคภูมิใจ จัสตินขับรถกลับร้านเหมือนทุกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า

    “เวลามาตลาดกับเชฟผมสนุกแล้วก็ไม่เหนื่อยเลยครับ เหมือนมากับดารา”

    “คิดจะเป็นเชฟก็อย่าบ่นว่าการมาจ่ายตลาดเป็นเรื่องเหนื่อยหรือลำบาก ตลาดก็เหมือนสวนสนุก ยิ่งเวลาเจอวัตถุดิบที่ดีและแปลกใหม่ก็จะรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยว”

    “แต่ผมไม่ได้สลับกันมาเหมือนเดมี่เชฟนี่ครับ ผมต้องมาตลอด ถึงแม้ว่าจะเป็นของที่ดูน่าอร่อยแค่ไหนก็ต้องมีเบื่อบ้างแหละ”

    “สู้อีกหน่อยนะ ถ้าผ่านการเป็นเชฟฝึกหัดไปก็คงจะสบายขึ้น”

    มินจุนมองอย่างเข้าใจ สมัยที่เขาเป็นเชฟฝึกหัดก็เคยมีชีวิตการทำงานที่แย่มากมาก่อนเหมือนกัน จึงเข้าใจว่าจัสตินกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ระดับหัวหน้าเชฟมีแต่เรื่องให้ต้องปวดหัว สำหรับเชฟฝึกหัดก็จะยุ่งอยู่กับการใช้แรงเพราะต้องคอยทำงานเล็กๆ น้อยๆ สารพัดอย่าง

    พอเห็นมินจุนแบบนั้น มายาก็คิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าตัวเองต้องมารับผิดชอบอาหารโมเลกูลาร์ แต่การที่ได้มาเป็นผู้ช่วยของมินจุนก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมินจุนใจดีแต่ไม่อ่อนแอ เด็ดขาดแต่ไม่หยาบคาย มักจะโฟกัสอยู่แต่การทำอาหาร ไม่สอนอะไรที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องอาหาร และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ปฏิบัติกับคนรอบข้างอย่างไร้ความคิด แม้ว่าเดมี่เชฟคนอื่นจะไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากในเรื่องนั้น แต่กรณีของมินจุนเห็นได้ชัดเจนว่าเขาพยายามคิดในมุมมองของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นเวลาที่เธอบ่นอะไร คนอื่นๆ ก็คงไม่พูดว่า ‘ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้ช่วยของเชฟมินจุนนี่’หรอก

    เมื่อกลับมาถึงห้องครัวก็ต้องเริ่มทำงานเลย พอบอกว่าเป็นอาหารโมเลกูลาร์คนก็มักจะคิดถึงอุปกรณ์หน้าตาทันสมัยต่างๆ แต่จากที่มายาได้เจอมา มันคือการที่ต้องจัดการกับวัตถุดิบชนิดพิเศษมากกว่าเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ เช่น วุ้น เดกซ์โทรส*เลซิธิน**ทาปิโอก้า มอลโทเดกซ์ทริน***โซเดียม ซิเตรต****ต้องคอยตรวจดูสถานะของแป้งหรือเยลลี่ที่ผสมสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเอาไว้ตลอดเวลา ถ้าทำแค่นี้ก็ถือว่าไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ต้องนำวัตถุดิบที่เตรียมไว้เหล่านั้นไปแปรรูปแล้วนำไปทำอาหาร นี่จึงเป็นงานที่ค่อนข้างยุ่งยากทั้งร่างกายและสมอง ตอนนี้ยังขนาดนี้ แล้วถ้าร้านเปิดจะขนาดไหน

    ในระหว่างที่เตรียมตัวเปิดร้านก็มีอีกสิ่งที่มายาเพิ่งได้เรียนรู้ นั่นก็คือเดมี่เชฟไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ในระหว่างทำอาหารพวกเขาไม่ละความสนใจไปไหนเลย เห็นได้ชัดว่าทุ่มเทสมาธิทั้งหมดที่มีลงไปกับการทำอาหาร จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกผู้ช่วยจะได้รับแรงกระตุ้นและทุ่มเทกันมากกว่าเดิม

    “มายา ลองชิมนี่หน่อย”

    มินจุนพูดพร้อมยื่นจานที่มีเส้นใสๆ เคลือบด้วยผงสีขาวๆ และมีตะไคร้กับผักชีวางอยู่ข้างบน

    “อะไรเหรอคะ”

    “ก๋วยเตี๋ยวแบบไทยกับน้ำซุปลูกวัวที่เอาไปทำเป็นครีมก่อน จากนั้นก็ทำให้เป็นผงแล้วโรยลงไป มันยังไม่สมบูรณ์หรอกนะ แต่ลองชิมรสชาติดูหน่อยสิว่าเป็นยังไงบ้าง”

    “ยินดีเลยค่ะ”

    แม้ปากจะบอกว่ายินดี แต่สีหน้าดูกระอักกระอ่วนมาก เพราะอาหารโมเลกูลาร์ของมินจุนมักจะคาดไม่ถึงเสมอ ซึ่งก็หมายความว่ามันอยู่ระหว่างนรกกับสวรรค์ไงล่ะ มายาหลับตาปี๋แล้วตักก๋วยเตี๋ยวใส่ปาก และตอนนั้นเองตาที่หลับอยู่ก็ค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมความประทับใจที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า มายาตั้งใจเคี้ยวแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็ปรบมือ

    “ว้าว!มันดีเลย ดีที่สุดในบรรดาอาหารที่ทำให้กินในช่วงนี้เลยค่ะ”

    “เหรอ”

    “ถ้าจะมีอะไรที่ยังขาดไปก็คงจะเป็นความกลมกล่อมของผงน้ำซุป มันยังไม่ค่อยเข้มข้นมากเท่าไหร่”

    มินจุนพยักหน้ารับ สิ่งที่เขาให้ความสนใจในช่วงนี้ก็คือเรื่องน้ำซุป ความแตกต่างระหว่างตะวันออกกับตะวันตกก็อยู่ในน้ำซุปเหมือนกัน แถบตะวันออกส่วนใหญ่จะกินในรูปแบบน้ำซุปเลย แต่แถบตะวันตกมักจะอยู่ในรูปของครีมซุปเบสหรือพวกเดมิกลาซซอส ปัญหาก็คือทั้งสองแบบเป็นการทำที่ทั้งยากและต้องอาศัยความเอาใจใส่มาก อาจจะรู้สึกว่าทั้งเดมิกลาซซอสและน้ำซุปเป็นอาหารที่พื้นๆ แต่ความจริงแล้วการที่จะทำให้ออกมาได้ดีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดูอย่างพวกร้านข้าวต้มเนื้อในเกาหลียังต้องทุ่มเวลาทั้งชีวิตเพื่อให้ได้รสชาติน้ำซุปที่ดีเยี่ยม เขาไปโคเรียนทาวน์จนได้พบกับร้านข้าวต้มเนื้อที่อร่อยหลายร้าน และเขาก็รู้สูตรน้ำซุปของร้านพวกนั้นทั้งหมด แต่ปัญหาก็คือข้าวต้มเนื้อส่วนใหญ่ต้มโดยการใส่เนื้อวัวปริมาณมากลงไป และยังต้องมีคนคอยเคี่ยวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีกด้วย

    “นี่คือสิ่งที่ช่วงนี้นายเอาแต่ทุ่มเทรึเปล่า”

    เสียงราฟาเอลดังมาจากด้านหลัง เขาใช้ส้อมม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า

    “รสชาติดี แต่ไม่เข้มข้น”

    “น่าจะไม่ได้ให้เวลากับน้ำซุปมากพอครับ”

    “ใช้น้ำซุปที่ขายตามท้องตลาดงั้นหรือ”

    “เปล่าครับ ผมเคี่ยวเอง คิดว่าทำเองน่าจะดีกว่า”

    “ถ้าทำรสชาติประมาณนี้สู้ใช้น้ำซุปแบบที่ขายตามท้องตลาดดีกว่า จะไปดูถูกของที่ขายตามท้องตลาดไม่ได้หรอก พอเห็นว่าเป็นสินค้าที่มาจากโรงงานคนก็ชอบคิดว่ามันก็เหมือนๆ กันหมด แต่ของที่ทำออกมาด้วยใจก็มีมากกว่าที่คิดนะ”

    “เรื่องนั้นผมรู้ครับ แต่ถึงยังไงก็คิดว่าลูกค้าที่ทานอาหารที่นี่คงอยากให้เราทำทุกอย่างเองน่ะครับ”

    “อืม เรื่องนั้นมันก็จริง ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ลองทำดูล่ะ ฉันอนุญาต”

    มินจุนมองราฟาเอลเหมือนไม่เข้าใจ ราฟาเอลจึงหัวเราะแล้วพูดว่า

    “น้ำซุปนั่นไงล่ะ ลองทำขึ้นมาเองสิ”

     

    “คิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมถึงไม่ค่อยได้เจอ เพราะมัวแต่มานั่งทำเรื่องบ้าๆ อยู่นี่เอง”

    ภายในครัวมีแค่มินจุน คาย่า และแอนเดอร์สัน คาย่ากำลังมองมินจุนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

    “ฉันเคยอยากลองทำดูสักครั้ง เพราะฉันไม่เคยทำสโลว์ฟู้ดด้วยตัวเองแบบจริงจังเลย”

    “แต่มันก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ ใช่ว่าอยากไปอวกาศแล้วจะได้ขึ้นยานอวกาศกันจริงๆ สักหน่อยนี่”

    “มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น…”

    “เฮ้อ!ฉันไม่รู้จะห้ามนายยังไงแล้ว”

    คาย่ากระโดดขึ้นไปนั่งลงบนเคาน์เตอร์ทำอาหาร แอนเดอร์สันจึงขมวดคิ้ว

    “นั่นมันเคาน์เตอร์ของฉันนะ”

    “ตายแล้ว ขอโทษด้วยนะก้นของฉัน ฉันทำเธอเลอะอะไรก็ไม่รู้”

    คาย่ารีบกระโดดลงมาแล้วปัดก้นตัวเอง ระหว่างนั้นมินจุนก็ถอนหายใจ

    “ถ้าทั้งสองคนจะเป็นแบบนี้กันก็กลับไปเถอะ นี่มันก็ดึกแล้วด้วย”

    “เดี๋ยวพอฉันกลับไปนายก็เหงาอีก”

    “มีใครที่ทำอาหารแล้วเหงาด้วยเหรอ”

    มินจุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วตักน้ำมันที่ลอยขึ้นมาจากน้ำซุปที่เดือด คาย่าจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ต้นคอของมินจุน

    “กลิ่นเนื้อจะต้องติดอยู่ในครัวแน่ๆ แล้วนี่ต้องต้มนานแค่ไหนเหรอ”

    “ยี่สิบสี่ชั่วโมง”

    “จะต้องอยู่แบบนี้ไปตลอดเลย?เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”

    “ระหว่างนั้นก็พักเป็นระยะได้ สักครั้งละสิบนาที”

    “ลำบากลำบนถึงขนาดนี้เพื่อน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวมหัศจรรย์หนึ่งหม้อ”

    “…เล่นพูดแบบนี้ ทำเอาฉันหมดแรงเลย”

    พอมินจุนยิ้มอย่างห่อเหี่ยว คาย่าก็ช่วยนวดต้นคอของมินจุน ระหว่างนั้นแอนเดอร์สันก็พูดขึ้นมาว่า

    “เรื่องทำอาหารเอาไว้ก่อน ว่าแต่พวกเราจะต้องเริ่มทำสัญญาเช่าบ้านได้แล้วนะ”

    “ตัดสินใจกันได้แล้วเหรอ”

    มินจุนถามโดยไม่ละสายตาจากน้ำซุป ตอนนี้มีตัวเลือกอยู่สองแห่ง แห่งแรกก็คือเบเวอร์ลี่ฮิลส์ อีกแห่งก็คือเวสต์ฮอลลีวูด แห่งแรกอยู่ใกล้กับโรสไอส์แลนด์ ส่วนอีกแห่งอยู่ใกล้กับร้านอาหารแกรนด์เชฟที่คาย่าทำงาน แต่ก็ไม่ใช่ระยะทางที่แตกต่างอะไรกันมาก คาย่าพูดว่า

    “ฉันชอบเบเวอร์ลี่ฮิลส์”

    “ทำไมล่ะ”

    “ก็เพราะในฮอลลีวูดมีคนบ้าๆ เยอะน่ะสิ”

    พอจะเข้าใจว่าคาย่ากำลังหมายถึงอะไร เนื่องจากมีพวกศิลปินจากหลากหลายสาขารวมตัวกันอยู่ จึงทำให้ผู้คนแถบฮอลลีวูดมีความแปลกอย่างเห็นได้ชัด แอนเดอร์สันจึงพูดว่า

    “แต่รู้ใช่มั้ยว่าบ้านแถวเบเวอร์ลี่ฮิลส์มีมาสเตอร์เบดรูมและเบดรูมธรรมดาอยู่อย่างละห้อง”

    “รู้”

    ราคาบ้านแถวเบเวอร์ลี่ฮิลส์แพงมาก ด้วยเงินเดือนของพวกเขาคงยากที่จะหาบ้านที่มีสามห้องนอนได้ นั่นก็หมายความว่าจะต้องมีสองคนใช้มาสเตอร์เบดรูมด้วยกัน แอนเดอร์สันยักไหล่แล้วพูดว่า

    “ถ้างั้นก็เหลือแค่ปัญหาเดียว ใครจะใช้มาสเตอร์เบดรูม เธอกับมินจุนหรือฉันกับมินจุน?”

    “ถามคำถามอะไรไม่เข้าท่าเลย”

    คาย่ามองแอนเดอร์สันเหมือนเขากำลังพูดจาไร้สาระ แอนเดอร์สันจึงหรี่ตา

    “ทำไมล่ะ เพราะคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วงั้นเหรอ”

    “แน่นอนสิ ฉันน่ะ…”

    “เดี๋ยว หยุดก่อน”

    แอนเดอร์สันยกมือขึ้นแล้วมองไปที่มินจุนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหม้อ

    “ไหนสองคนลองตอบมาพร้อมกันซิว่าใครจะเป็นคนที่ได้ใช้ห้องเดียวกับมินจุน เรามาดูกันว่าแฟนผู้เลอค่าของเธอจะคิดแบบเดียวกันรึเปล่า”

    “นายคิดว่าความคิดของฉันกับมินจุนจะไม่เหมือนกันงั้นเหรอ”

    “ธรรมดาคนเรามักจะคิดไม่เหมือนกันนี่”

    คาย่าจ้องแอนเดอร์สันอย่างไม่พอใจ แอนเดอร์สันจึงยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงถากถางเล็กน้อย

    “มาพนันกันมั้ยล่ะ แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ต้อง”

    “ฉันมั่นใจมากต่างหาก จัดมาเลย”

    “ดี แล้วจะพนันด้วยอะไรดีล่ะ”

    คาย่าทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไม่นานก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

    “ล้างจาน ไม่สิๆ ล้างจาน ทิ้งขยะ แล้วก็ทำความสะอาดด้วย ทั้งหมดเลยเป็นไง”

    “ระยะเวลา”

    “ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน”

    คาย่าจ้องแอนเดอร์สันด้วยสายตาท้าทาย จนแอนเดอร์สันถึงกับงงว่าทำไมคาย่าถึงมั่นใจมากขนาดนั้น แล้วแอนเดอร์สันก็พูดว่า

    “จะนับถอยหลังนะ ทั้งสองคนให้ตอบมาพร้อมกัน ถ้าตอบว่าฉันใช้ห้องเดียวกับมินจุนให้พูดว่าส้อม ถ้าตอบว่าพวกเธอใช้ห้องเดียวกันให้พูดว่าช้อน เข้าใจใช่มั้ย…สาม สอง หนึ่ง!”

    “ช้อน!”

    “ส้อม!”

    คำตอบเป็นคนละอย่าง มินจุนและคาย่าหันมองหน้ากัน คาย่าจ้องมินจุนด้วยสายตาขุ่นเคือง เพราะมินจุนตะโกนว่าส้อม ส่วนคาย่าตะโกนว่าช้อน มินจุนจึงหันไปมองทางอื่นเพราะไม่อยากสบสายตาคู่นั้น

    “ไม่อยากจะเชื่อเลย อะไรกันเนี่ย มินจุน นี่มันใช่เหรอ นายชอบเจ้าโย่งนั่นขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าเธอจะตอบแบบนั้น”

    “มันแน่นอนอยู่แล้วนี่ เราเป็นแค่เพื่อนกันหรือไง เราเป็นคู่รักกันนะ!อยู่คนละห้องไม่แปลกกว่าเหรอ!”

    “อ๊ะ ฉันต้องตักฟองออกจากซุป”

    “ยังจะนึกถึงเรื่องซุปอีก!”

    มินจุนเอาแต่ตักฟองที่ลอยขึ้นมาออกจากน้ำซุปโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ระหว่างนั้นแอนเดอร์สันก็ยิ้มเย็นชาใส่คาย่าที่กำลังฟึดฟัด

    “ฝากด้วยนะ ล้างจาน ทำความสะอาด และทิ้งขยะ ยอดเลย ขยันมากๆ”

    “จะให้ทำจริงๆ น่ะ?”

    “แล้วจะให้ทำหลอกๆ หรือไง คงจะไม่ผิดคำสัญญาที่ตัวเองเป็นคนพูดหรอกนะ อืม แต่มันก็คงขึ้นอยู่กับใจของเธอด้วยแหละ ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำก็ได้ ฉันคงไม่ตำหนิความใจเสาะของเธอหรอก”

    “ยังไม่ได้ผิดคำพูดสักหน่อย อย่ามาพูดมั่วๆ ว่าใจเสาะนะ ฉันสู้คนเก่ง!”

    “เหรอ เก่งจังเลยเนอะ ดีแล้วที่ไม่คิดจะผิดคำพูด ฝากด้วยล่ะ คุณแม่บ้าน”

    คาย่ายกหมัดขึ้นมา แต่แอนเดอร์สันหันหลังแล้วเดินไปอย่างไม่สนใจ

    “ฉันไปก่อนนะ ง่วงไม่ไหวแล้ว”

    “คนทรยศ หนีไปคนเดียวแบบนี้ได้ไง”

    “ฉันไม่ได้เป็นคนสั่งให้เขาต้มน้ำซุปสักหน่อย เขาทำเองต่างหาก”

    แอนเดอร์สันพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแล้วเดินออกจากครัวไป คาย่าจึงทำปากยื่นก่อนลากเก้าอี้มานั่ง

    “พวกใจแคบ ต่อไปคงได้เจอผู้หญิงที่ใจแคบเหมือนกับตัวเองนั่นแหละ”

    “เขาคงอยากปล่อยให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันล่ะมั้ง”

    “เชอะ ฉันน่าจะเป็นฝ่ายทำแบบนั้นมากกว่านะ คุณโชมินจุนผู้มีระดับและเย่อหยิ่งของเราบอกว่าอยากอยู่ห้องเดียวกับแอนเดอร์สัน แต่ไม่อยากอยู่กับฉัน”

    “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ก็รู้นี่ว่าฉันไม่ได้คิดแบบนั้น”

    “ไม่รู้หรอก”

    คาย่ายกมือวางบนพนักเก้าอี้แล้วทำบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงหดหู่

    “ล้างจาน ทำความสะอาด ทิ้งขยะ…”

    เธอพูดซ้ำไปซ้ำมาจนมินจุนถึงกับถอนหายใจ

    “เดี๋ยวฉันช่วยเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”

    “ไม่ต้องช่วยหรอก ฉันเป็นคนแพ้เอง ฉันก็ต้องรับผิดชอบเอง”

    “งั้นก็ตามใจ”

    มินจุนตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด คาย่าจึงจ้องต้นคอของมินจุนด้วยสายตาไม่พอใจ ระหว่างนั้นมินจุนก็พูดโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองว่า

    “ถ้าจะจ้องกันขนาดนี้แล้วพูดแบบนั้นทำไม”

    “อะไรกัน รู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังจ้องอยู่”

    “คิดว่าฉันไม่รู้จักคาย่า โลตัสดีพองั้นเหรอ”

    คาย่ามองมินจุนอยู่เงียบๆ เขาไม่ได้กำลังทำอาหารพิเศษอะไร แค่กำลังต้มน้ำซุปและคอยตักฟองออกอย่างใส่ใจเท่านั้นเอง แต่ทำไมภาพด้านหลังของเขาถึงได้ดูดี ดูน่าหลงใหล และดูน่าอิจฉาขนาดนี้

    “ในฐานะเชฟฉันประสบความสำเร็จแค่ไหนกันนะ”

    “สงสัยไปก็เท่านั้นแหละ ยังไม่ใช่เวลาที่เราสองคนจะมานั่งคุยกันเรื่องความสำเร็จหรอก”

    “ฉันไม่ได้พูดถึงความสำเร็จที่มันใหญ่โตอะไร แต่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังด้อยกว่าคนอื่นน่ะ พวกนายได้ทำงานในครัวกันหมด แต่ฉันกลับใช้เวลายืนอยู่ในห้องอาหารมากกว่าในครัวซะอีก ออกมายืนให้คนเห็นหน้า ถ่ายรูป แจกลายเซ็น ต้องทนฟังคำชมเรื่องสูตรอาหารที่ฉันมีส่วนร่วมแค่เล็กน้อยอย่างหน้าไม่อาย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเลย”

    มือของมินจุนชะงักไป แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับไปมอง เขาสามารถดึงเธอเข้ามากอดเพื่อปลอบใจได้ แต่ก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะมันเหมือนกับการเดินเข้าไปกระซิบใส่คนที่กำลังป่วยเป็นหวัดว่า‘ความจริงแล้วหวัดไม่ใช่โรค เธอน่ะไม่ได้ป่วยหรอก’แต่ถ้ามันจำเป็นก็ต้องตัดเนื้อร้ายทิ้งไป ในใจของเขาหยิบมีดขึ้นมารอไว้แล้ว

    “คาย่า เธออึดอัดใจเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในครัว หรือเรื่องหนึ่งปีที่ต้องใช้ชีวิตเหมือนหุ่นเชิดของแกรนด์เชฟ?”

    “ทั้งสองอย่าง”

    “แล้วทำไมถึงอึดอัดใจล่ะ”

    “ก็บอกแล้วไง ตอนนี้ฉันไม่ใช่ทั้งดาราและไม่ใช่ทั้งเชฟ มันครึ่งๆ กลางๆ น่ะ สู้ได้เข้าวงการบันเทิงไปเลยแบบโคลอี้ยังดีกว่า แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่ใช่อะไรเลยสักอย่าง ไม่สิ ไม่ได้ทำอะไรเลยมากกว่า ฉันไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ”

    มินจุนค่อยๆ เทฟองออกจากกระบวยก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

    “คาย่า เธอเป็นเชฟที่เก่งกว่าที่เธอคิด เธอบอกว่าสูตรอาหารของเธอไม่สมบูรณ์แบบจึงถูกนำไปปรับปรุง และยังบอกว่าตัวเองขาดความสามารถในการเป็นหัวหน้าเชฟด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เรายังทำได้ไม่ดีพอ ถ้างั้นตอนนี้เธอควรจะต้องทำอะไรล่ะ”

    “อะไรคือต้องทำอะไร”

    “สุดท้ายสิ่งที่เธออยากทำก็คือการทำอาหาร ถ้างั้นก็ขัดเกลาฝีมือของเธอสิ แก้ไขสูตรอาหาร ค้นคว้าเพิ่มเติม พยายามเพื่อทำหน้าที่ให้เต็มที่ในฐานะหัวหน้าเชฟจริงๆ ไม่ใช่แค่ในนาม ทำให้ครัวกลายเป็นครัวของเธอ ต่อให้ทำไม่สำเร็จ แต่ยังไงความพยายามเหล่านั้นก็น่าจะนำผลที่น่าพอใจมาให้เธอได้บ้าง ตอนนี้เธอได้ทำแบบนั้นอยู่รึเปล่าล่ะ”

    คาย่าไม่ตอบเพราะเธอไม่ได้กัดฟันสู้และพยายามแบบที่มินจุนพูดเลย มินจุนจึงพูดต่อ

    “ถ้าไม่ขึ้นสู้กับแชมป์ก็ไม่สามารถชิงเข็มขัดแชมป์มาได้หรอกนะ คาย่า เธอลองทำดูก่อนแล้วค่อยบ่น ให้ถูกแชมป์อัดจนน่วมก่อนแล้วจึงค่อยร้องไห้อย่างเต็มที่ ถ้าถึงตอนนั้นฉันจะปลอบใจเธอเต็มที่เลย แต่ไม่ใช่ตอนนี้ คาย่า ฉันไม่ชอบการหลั่งน้ำตาโดยที่ไม่ได้ลองพยายามหรอกนะ”

    “ฉันก็ไม่ได้ร้องไห้นี่”

    “ใช่ เธอต้องไม่ร้อง”

    คาย่าลุกขึ้นแล้วแนบตัวซบที่หลังของมินจุน มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปใต้รักแร้แล้วโอบรัดร่างนั้นไว้จนแน่น ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    “นายชอบดุแบบนี้ตลอดเลย”

    “ก็อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ สิ”

    “ฉันยังเด็กอยู่นี่นา อายุแค่สิบกว่าปีเอง”

    “ถ้าเธอพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ”

    มินจุนวางกระบวยลงแล้วหันไปจูบหน้าผากของคาย่าเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง

    “ฉันน่าจะไปเป็นครูนะ”

    คาย่ายิ้ม

    “สุดท้ายก็ต้องเลิกเป็นครูแล้วมาเป็นเชฟอยู่ดี”

     

    รู้สึกหนักตัวไปหมด ไม่รู้สึกว่ากำลังหายใจหรือกำลังขยับนิ้ว ไม่มีอะไรชัดเจนเลยสักอย่าง เธอเหมือนลืมตาขึ้นมาได้ครู่หนึ่งแล้วก็หลับลงอีกครั้ง เปลือกตาหนักอึ้งด้วยความง่วงงุน พอได้สติก็เห็นโลกที่มืดมิดอีกครั้ง ขณะที่หลุดพ้นจากความก้ำกึ่งว่าเป็นความฝันหรืออาการผีอำ ดวงตาของคาย่าก็มองเห็นใบหน้ากลมของเอลล่าที่กำลังจ้องมองตาแป๋ว

    “เอลล่า…ทำไมเธอถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ”

    คาย่าถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเพลียทั้งง่วง แต่เอลล่ากลับทำท่าปัดผมอย่างไว้ตัว แล้วกอดตุ๊กตาที่โคลอี้เซ็นชื่อให้ไว้แนบอก

    “ก็โรงเรียนอนุบาลเลิกแล้วไง ถึงได้มาอยู่นี่”

    “โรงเรียนอนุบาล?ยังเช้าอยู่เลย โรงเรียนเลิกแล้วเหรอ”

    “ไม่ใช่เช้า กลางวันแล้ว”

    คำตอบของเอลล่าทำให้คาย่ารีบร้อนหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า แต่มือถือแบตฯ หมดไปแล้ว คาย่าจึงหันไปมองเอลล่าหน้าตาตื่น

    “เอลล่า เธอมีมือถือมั้ย”

    “เด็กอนุบาลจะมีมือถือได้ยังไงกัน”

    “แล้วนาฬิกาล่ะ”

    “ไม่มี รู้แต่ว่าเลยสองโมงแล้ว”

    คาย่ายกมือก่ายหน้าผากแล้วถอนหายใจ สายแล้ว เสียงของมินจุนที่บอกให้เธอลองพยายามยังคงก้องอยู่ในหูอย่างชัดเจน แต่วันแรกก็เป็นแบบนี้ซะแล้ว คาย่าลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าหดหู่ การไม่ได้นอนจนเช้าเป็นเรื่องที่เกินตัวไปจริงๆ เธอแค่ฟุบตัวลงบนโต๊ะเพื่อจะงีบสักหน่อยเท่านั้นเอง ทำไมถึงได้มาตื่นอยู่ที่โซฟากันนะ หรือว่ามินจุนเป็นคนพาเธอมานอนตรงนี้?

    “มินจุนทำอะไรอยู่เหรอ”

    “ทำอาหาร”

    “ยังทำอยู่อีกเหรอ”

    คาย่าทำหน้าเป็นห่วง เดี๋ยวก่อนนะ เธอได้นอนนานขนาดนี้แต่ยังรู้สึกเพลียอยู่เลย แล้วเขาจะอ่อนเพลียขนาดไหนกัน เธอไม่ได้โกรธที่เขาไม่ปลุก เพราะสุดท้ายการจะตื่นหรือไม่ตื่นก็อยู่ที่ตัวเธอเอง

    พอเดินออกมาจากส่วนออฟฟิศเธอก็ได้กลิ่นน้ำซุปหอมมันลอยมาแตะจมูก ไม่มีกลิ่นสาบจนน่าแปลกใจ…ความจริงอาจไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้ เพราะเขาคอยตักน้ำมันและสิ่งเจือปนออกตลอดเวลา เธอรู้ว่าการใส่ใจมากขนาดนั้นต้องใช้แรงกายมากแค่ไหน เธอจึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้

    “อ้อ สวัสดีครับ เชฟคาย่า”

    “สวัสดีค่ะ”

    คาย่าตอบกลับการทักทายของพวกเชฟด้วยหน้าตาบึ้งตึงเหมือนเช่นเคย พอเดินตรงเข้าไปในครัวก็เห็นมินจุนอยู่ตรงที่เดิม หันมามองเธอพร้อมส่งรอยยิ้มที่อ่อนล้ามาให้

    “อ้อ คาย่า ตื่นแล้วเหรอ”

    “นี่นายไม่ได้นอนเลยเหรอ”

    “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้สบาย ฉันติดต่อต้นสังกัดให้แล้วนะว่าเธอไม่ค่อยสบาย น่าจะต้องพักหน่อยน่ะ”

    “ปัญหาในตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย นายน่ะท่าทางเหมือนคนที่กำลังจะล้มพับไปได้ทุกเมื่อเลยนะ”

    น้ำเสียงของคาย่าเจือความโกรธเล็กน้อย ราฟาเอลที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงหันไปกระซิบที่ข้างหูของเจเน็ตว่า

    “เป็นอย่างที่เขาลือกันจริงๆ มินจุนคงจะโดนกดแบบนี้ไปตลอดแน่เลย”

    “ไม่รู้สิคะ ฉันคิดว่าตรงกันข้ามนะ”

    “ตรงกันข้าม?”

    เจเน็ตมองคาย่ากับมินจุนแทนคำตอบ มินจุนกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมจับคาย่านั่งลงข้างๆ

    “เอาไว้ค่อยโกรธทีหลังนะ มาลองชิมนี่ดูก่อน ท้องว่างก็กินได้ไม่เป็นไร ฉันทำน้ำซุปให้เป็นรูปร่างขึ้นมา ข้างในใส่เนื้อวัวต้มที่ห่อด้วยลาซานญ่า ปรุงรสด้วยผงจันทน์เทศกับเกลือหิน ลองกินดูสิ”

    คาย่าทำตาเป็นประกายด้วยความคาดหวังพร้อมอ้าปากกินสิ่งที่มินจุนป้อน มันเป็นรสชาติและสัมผัสที่แปลกใหม่ รูปร่างเหมือนลูกบอลที่เด้งดึ๋ง แต่กลับไม่เหมือนเยลลี่เลยสักนิด ต้องบอกว่าเหมือนน้ำที่มีรูปร่างมากกว่า พอน้ำซุปละลายในปากอย่างนุ่มนวล สัมผัสหนึบๆ ของเนื้อวัวที่ถูกห่อไว้ด้วยลาซานญ่าและรสชาติที่เข้มข้นก็อวดโฉมออกมา แต่สิ่งที่เข้มข้นยิ่งกว่าก็คือรสชาติของน้ำซุป เพียงแค่ใช้เวลาและความใส่ใจก็ทำออกมาได้แบบนี้ มีรสชาติตะวันออกและตะวันตกหลอมละลายรวมกันอยู่ เนื้อวัวและลาซานญ่าก็มีรสชาติกลมกล่อมจนถึงขีดสุด คาย่าถึงขนาดลืมความกังวลไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากชมออกมา

    “เอาลงเมนูได้เลยนะเนี่ย อาจจะต้องพัฒนาเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ว่า…ดีจริงๆ”

    “เอาลงเมนูคงจะยาก ทำน้ำซุปแบบนี้ทุกวันเห็นจะไม่ไหว”

    “ก็จริง ถ้างั้นแล้วทำทำไมล่ะ ถ้าเอาลงเมนูไม่ได้”

    มินจุนหัวเราะออกมาเบาๆ แทนคำตอบ คาย่าขมวดคิ้ว

    “หัวเราะทำไม”

    “เมื่อวานยังบอกว่าฉันทุ่มเทกับเรื่องไร้สาระอยู่เลย ตอนนี้กลับมาเสียดายที่เอาลงเมนูไม่ได้ มันไม่ตลกเหรอ สุดท้ายผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจพอๆ กับความใส่ใจและเวลาที่ทุ่มเทลงไป”

    คาย่าคิดทบทวนคำพูดนั้นอยู่นิ่งๆ เป็นเพราะเมื่อวานได้คุยกันเยอะจึงไม่รู้สึกว่าคำพูดนั้นฟังดูผิวเผิน เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

    “ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เหมือนกัน ถ้าคอยใส่ใจแล้วต้มไปได้นานๆ แบบนั้นก็คงจะดี”

    “คงต้องต้มไปจนไขกระดูกเสื่อมนั่นแหละ”

    เอาอีกแล้วสินะ

    คนในครัวต่างพากันถอนหายใจและส่ายหน้าไปตามๆ กัน รู้หรอกว่ามันเป็นคำพูดที่ดี แต่ถ้าจะพูดจาเลี่ยนๆ ออกมาหน้าตาเฉยทั้งที่มีคนอยู่หลายคนแบบนี้สู้กอดจูบกันให้เห็นต่อหน้ายังจะทรมานใจน้อยกว่า มายาหันไปมองเกลิกค์แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

    “นี่ เกลิกค์ ผู้ชายเอเชียเป็นแบบนี้กันหมดเลยเหรอ”

    “ไม่รู้สิ แต่ผู้ชายเกาหลีก็ได้ชื่อว่าเลี่ยนที่สุดในแถบเอเชียอยู่เหมือนกันนะ”

    “ถ้าแต่งงานแล้วคงจะเปลี่ยนไปเองล่ะมั้ง”

    “เรื่องนั้นก็เหมือนกันทุกเชื้อชาตินั่นแหละ พวกหนังรักมักจะทำแต่ฉากก่อนแต่งงาน ไม่มีค่อยมีฉากหลังแต่งงานหรอกจริงมั้ย เพราะหลังจากนั้นมันก็ไม่มีความโรแมนติกแล้ว พอเป็นสามีภรรยากันมันก็กลายเป็นละครครอบครัว และละครครอบครัวส่วนใหญ่ก็นำเสนอแค่ปัญหา เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง และการคืนดีวนไปวนมาอยู่แบบนี้นั่นล่ะ”

    เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเกลิกค์ เจเน็ตจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนตบท้ายว่า

    “อยากจะเห็นสองคนนั้นแต่งงานกันเร็วๆ จัง”

    “ฟังแล้วเหมือนเป็นความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายยังไงไม่รู้นะครับ”

    แต่แววตาของเจเน็ตดูไม่เหมือนคนที่พูดเล่นเลย แอนเดอร์สันที่อยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังว่า

    “เป็นคำพูดที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพูดมาเลยนะ”

    “ฉันก็พูดแต่คำดีๆ ตลอดแหละ”

    เจเน็ตมองแอนเดอร์สันอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปทางอื่น แล้วตอนนั้นเธอก็ชะงักไป เพราะเอลล่ากำลังจ้องเธอด้วยสายตาโกรธเคือง

    “แต่หนูไม่อยากเห็นอะไรแบบนั้นค่ะ”

     

    “นี่สัมภาระใบสุดท้ายแล้วใช่มั้ย”

    “เรียกว่าสัมภาระเลยเหรอ มีของแค่ไม่กี่อย่างเอง”

    มินจุนเอากระเป๋าเดินทางใบสุดท้ายใส่รถแล้วยักไหล่ ส่วนใหญ่อากาศในแคลิฟอร์เนียจะค่อนข้างอบอุ่น ของที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางจึงมีแค่เสื้อแจ็กเก็ตกับเสื้อโค้ตบางๆ แค่ไม่กี่ตัว นอกนั้นก็เป็นเสื้อสำหรับฤดูร้อนเกือบทั้งหมด เขาหันกลับไปมองบ้านที่อยู่ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น บนกำแพงสีอิฐมีร่องรอยขีดข่วนตามกาลเวลา มองเห็นปล่องไฟอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของกำแพง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า

    “พอจะไปจริงๆ ก็ใจหายนะ”

    “จะไปจากบ้านดีๆ แบบนี้ ไม่ใจหายสิแปลก”

    “บ้านนายก็ดีเหมือนกัน ทำไมไม่เห็นนายใจหายเลย”

    “บ้านดีแล้วยังไง มีผีอยู่ตั้งสองตน”

    “เรียกพ่อแม่ว่าผีมันก็เกินไปหน่อยนะ”

    “นายก็ลองเจอดูบ้างสิ ดูซิว่ายังจะพูดว่าฉันทำเกินไปอยู่รึเปล่า พ่อแม่นายใจดีนี่ นายไม่เข้าใจหรอก”

    มินจุนได้แต่เลิกคิ้วขึ้นโดยไม่พูดอะไร คำพูดของแอนเดอร์สันก็ไม่ผิดซะทีเดียว เพราะพ่อแม่ของมินจุนกับพ่อแม่ของแอนเดอร์สันไม่เหมือนกันจริงๆ แต่…

    “แต่เมื่อกี้ฉันเห็นเอมิลเลียน้ำตาคลอตอนที่นายเก็บของนะ”

    “น้ำตาที่ไหนกัน”

    แอนเดอร์สันตอบด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เรเชลที่กำลังมองพวกเขาจึงพูดขึ้นมาว่า

    “เอมิลเลียน่ะแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ข้างในก็เข้มแข็ง”

    “ฟังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ ต้องบอกว่าแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ข้างในอ่อนไหวไม่ใช่เหรอครับ”

    “ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งถึงขนาดนั้น แต่เวลาที่ลูกจากตัวเองไปก็เป็นเรื่องที่ทำใจยาก ยิ่งเป็นลูกชายที่ประคบประหงมมาตลอดเวลายี่สิบกว่าปีด้วยแล้ว”

    “แม่ผมไม่ใช่แนวประคบประหงมแบบนั้นมั้งครับ”

    แอนเดอร์สันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่พอเจอสายตาดุของเรเชลจึงหยุดเอาไว้แค่นั้น ส่วนมินจุนพอเห็นเรเชลแบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรเชลกับแดเนียลไม่เคยมีลูกด้วยกันหรือว่าสูญเสียลูกไปกันนะ ในเมื่อใช้ชีวิตคู่ด้วยกันนานขนาดนั้นก็น่าจะต้องมีลูกสักคน แต่ไม่เคยมีใครพูดถึง และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะจนถึงขั้นไปโพล่งถามจากเรเชลเองโดยตรง เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเจ้าตัวไม่ได้พูดออกมาเองเขาก็ไม่มีสิทธิ์และไม่มีความจำเป็นต้องไปถาม

    “สุดท้ายก็ต้องไปแล้วสินะ มินจุน”

    “ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยครับ คงจะไม่มีข้าวบ้านไหนอร่อยได้เท่านี้อีกแล้วในชีวิตของผม”

    “ตายล่ะ พูดแบบนั้นเดี๋ยวคาย่าจะน้อยใจเอานะ”

    “คาย่ายังไม่เคยทำอาหารให้ผมกินที่บ้านเลยนี่ครับ”

    “สักวันก็คงจะทำให้ไม่ใช่เหรอ”

    คำถามหยอกเย้าของเรเชลทำให้มินจุนหันไปมองทางอื่นอย่างเขินอายแทนคำตอบ

    “มันมักจะมีสถานการณ์ที่ทำให้คนเรามีทางเลือกแค่คว้าให้มั่นหรือไม่ก็ปล่อยมือจากมันไป อาจจะฟังดูเหมือนยายแก่หัวโบราณ แต่สิ่งที่ผู้หญิงคาดหวังจากผู้ชายไม่ได้มีอะไรมากมายเลย แค่อยากให้เขากอดเอาไว้ให้แน่นๆ เท่านั้นเอง”

    “อาจารย์เองก็เป็นแบบนั้นเหรอครับ”

    “ถึงแม้คนจะชอบบอกว่าฉันมีนิสัยกระด้าง แต่ฉันก็ไม่ใช่ผู้ชายนะ ในขณะที่ผู้ชายอยากจะครอบครองโลก ผู้หญิงก็ต้องการผู้ชายที่ครอบครองโลก และพอรู้ว่าเราได้ครอบครองแล้วแน่ๆ ก็อยากจะให้ผู้ชายยึดติดอยู่กับเราให้ได้ ผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายยึดติดไม่ได้ก็จะเกิดความเคลือบแคลงใจกับความรักได้ง่าย”

    มินจุนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถามออกมาว่า

    “แต่ผมก็ค่อนข้างยึดติดมากพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

    “มันสุภาพอ่อนโยนเกินไป บางครั้งในความสัมพันธ์ของคู่รักไม่ต้องสุภาพก็ได้ ลองคิดดูสิว่าถ้าคบเพื่อนแล้วเพื่อนเอาแต่ทำตัวเป็นทางการกับเรา เราจะอยากทำตัวสบายๆ กับเพื่อนคนนั้นรึเปล่าล่ะ”

    “…ก็คงจะยากอยู่เหมือนกันครับ”

    มินจุนตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เรเชลจึงยิ้มกว้างพร้อมยกมือขึ้นแตะไหล่ของมินจุน

    “เธอเป็นเด็กฉลาด ฉันคิดว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดนะ ขอสอนไว้เท่านี้ก็แล้วกัน คงไม่คิดว่าฉันเป็นยายแก่น่าเบื่อหรอกใช่มั้ย”

    “ต่อให้อาจารย์มานั่งท่องสารานุกรมตรงหน้า ผมก็ไม่เบื่อหรอกครับ”

    “ประจบชัดเจนเลยนะ”

    “ประจบแบบโจ่งแจ้งน่ารักกว่าประจบแบบมีชั้นเชิง ว่ามั้ยครับ”

    “พวกเธอนี่นะ”

    เรเชลยิ้มอย่างเอ็นดู

    “ขอบคุณนะครับอาจารย์ แต่พูดลาแบบนี้ก็ฟังดูแปลกๆ เพราะผมแค่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเท่านั้นเอง”

    “มานี่ซิ”

    เรเชลอ้าแขนออก มินจุนจึงเดินเข้าไปสวมกอดเรเชล

    “เธอเป็นเหมือนลูกชายของฉัน และมันก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไป เมื่อไหร่ที่คิดถึงอ้อมแขนของครอบครัวก็มาหาฉันได้ตลอดเลยนะ”

    เมื่อได้ยินแบบนั้นมินจุนก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เขายังมีครอบครัวอยู่ที่เกาหลีและยังมีแฟนซึ่งก็คือคาย่า แต่สำหรับเรเชลนั้นไม่มีใครเลย ถึงแม้ว่าข้างๆ เธอจะมีไอแซคผู้ซื่อสัตย์คอยดูแลอยู่ตลอดก็ตาม ดังนั้นคนที่จะคิดถึงอ้อมแขนของครอบครัวน่าจะเป็นเรเชลมากกว่าเขา พอคิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ จึงกอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม แรงที่ส่งไปที่แขนนั้นเต็มไปด้วยความสงสาร ความรัก และความรู้สึกผิดที่ต้องจากไป

    “อย่าคิดว่าผมเป็นเหมือนลูกชายเลยครับ โปรดคิดว่าผมเป็นลูกชายจริงๆ ตอนที่อาจารย์กอดผม ผมก็จะกอดอาจารย์เอาไว้เหมือนกัน”

    “พูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมเลยนะ นี่คิดจะปลอบใจฉันเหรอ”

    “ใช่ว่าคนที่อายุมากกว่าจะปลอบใจได้อยู่ฝ่ายเดียวนี่ครับ”

    เรเชลผลักมินจุนออกเบาๆ พร้อมทำหน้าตกใจเล็กน้อย

    “ไปกันได้แล้ว เธอขอลาหยุดเพื่อจะย้ายบ้าน อย่ามัวมาเสียเวลาคุยเล่นอะไรแบบนี้เลย”

    “ต่อให้ลาหยุดเพื่อมาคุยเล่นกับอาจารย์ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ”

    “ทักษะการพูดของเธอนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะ”

    เรเชลยิ้มเหมือนยอมแพ้มินจุนที่พูดจาเลี่ยนๆ ออกมาได้หน้าตาเฉย แววตาและน้ำเสียงดูจริงใจไม่เหมือนคนกำลังโกหก เธอจึงไม่แปลกใจเลยที่คาย่าจะหลงรักเขา ไม่สิ ไม่เกี่ยวว่าเป็นเรื่องระหว่างชายหญิงหรือเรื่องอายุมากน้อย แต่ความจริงใจและตรงไปตรงมาของเขานั้นไม่ว่าเป็นใครก็คงรู้สึกดีทั้งนั้น ความสุภาพอ่อนโยนของเขาจะช่วยโอบอุ้มสมาชิกในครัวเอาไว้ และครัวแบบนั้นก็จะสามารถต้อนรับลูกค้าได้อย่างอบอุ่นกว่าเดิม

    “พอถึงแล้วผมจะโทรมานะครับ”

    “ไม่ได้ไปไกลเลย จะต้องโทรมาบอกทำไม จัดของแล้วก็พักผ่อนเถอะ ฉันขอสั่งในฐานะหัวหน้าเชฟก็แล้วกัน”

    “ครับผม”

    มินจุนทำท่าตะเบ๊ะแล้วขึ้นรถไป พอรถเคลื่อนออกไปไกลแล้วเรเชลก็หันหลังกลับ ก่อนหน้านี้ยังมีเสียงคุยกันดังอยู่รอบบ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่มีทั้งเสียงลม เสียงนก เสียงแมลง หรือแม้แต่เสียงรถยนต์ เรเชลมองบ้านอย่างเหม่อลอย บ้านที่เคยดูโรแมนติกราวกับภาพวาดกลับดูอ้างว้างมากในตอนนี้

    “เงียบเหงาจัง”

    เงียบเหงาจนก้าวเท้าไม่ออกเลย

     

    บ้านเช่าของพวกเขาสามคนตั้งอยู่แถวชานเมืองของเบเวอร์ลี่ฮิลส์ สองข้างทางมีต้นไม้สูงเรียงรายอยู่ ถนนหน้าบ้านมีรถจอดอยู่เต็มไปหมด และหนึ่งในนั้นก็มีรถที่บรรทุกข้าวของของมินจุนและแอนเดอร์สันจอดอยู่ด้วย พอลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในบ้านก็เห็นคาย่ากำลังปัดฝุ่นอยู่

    “ขนของมาหมดแล้วเหรอ”

    “อือ มีเท่านี้แหละ”

    “เรียบง่ายดีจัง”

    เฟอร์นิเจอร์ที่สั่งเอาไว้ถูกนำมาส่งเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว มินจุนถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา คาย่าจึงขมวดคิ้ว

    “มาถึงก็จะพักเลยเหรอ ช่วยทำงานเดี๋ยวนี้ มีงานให้ทำเต็มไปหมด”

    “เรื่องทำความสะอาดเป็นหน้าที่เธอไม่ใช่เหรอ”

    “จะไม่ช่วยกันใช่มั้ย”

    คาย่าหรี่ตามอง มินจุนจึงจับข้อมือของคาย่าแล้วดึงเข้ามา ร่างของคาย่าจึงเซมาทับร่างของเขา

    “ทำอะไรของนาย”

    “พักสักเดี๋ยวเถอะ ตอนนี้ในใจมันว้าวุ่นไปหมด”

    “…มีเรื่องอะไรเหรอ”

    มินจุนกระชับกอดคาย่าแทนคำตอบ คาย่าขยับตัวเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยสบายตัว

    “จะกอดก็กอดให้ดีๆ สิ อยู่ท่านี้มันปวดเอว”

    “อาจารย์เรเชลบอกว่าให้ฉันลองทำตัวเป็นพวกแบดบอยบ้าง”

    “อาจารย์ไม่น่าจะหมายถึงอะไรแบบนี้นะ”

    มินจุนยิ้มแล้วปล่อยมือออกจากคาย่า พอลุกขึ้นยืนได้คาย่าก็จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะมองไปที่ตักของมินจุนและที่นั่งว่างตรงข้างเขา สุดท้ายเธอก็เลือกอย่างละครึ่ง ก้นครึ่งหนึ่งอยู่บนโซฟา อีกครึ่งหนึ่งอยู่บนตักของเขา

    “ไหนบอกว่าถ้าจะกอดก็ให้กอดดีๆ ไงล่ะ แล้วดูตัวเองนั่งสิ”

    “ในอินเตอร์เน็ตบอกว่าคนเป็นแฟนกันถ้าอยากรักษาความสัมพันธ์ให้ตลอดรอดฝั่งก็ห้ามให้ใจไปจนหมด ต้องให้เพียงแค่ครึ่งเดียว ว่าแต่นายมีเรื่องอะไร ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น”

    “ตอนออกจากบ้านอาจารย์เรเชลพอคิดว่าอาจารย์จะต้องอยู่ในบ้านกว้างๆ อย่างโดดเดี่ยวลำพัง ฉันก็เลยรู้สึกไม่ดีน่ะ”

    “ยังไงก็อยู่ครัวเดียวกันนี่”

    “แต่สำหรับบ้านมันเป็นคนละเรื่องกัน เวลากลับบ้านก็ควรจะมีคนรอรับเราอยู่…”

    “ยังมีไอแซคไม่ใช่เหรอ”

    “ความสัมพันธ์ของเขาสองคนดูเป็นเจ้านายกับลูกน้องมากกว่าคนในครอบครัว”

    “เลิกคิดเรื่องของคนอื่นได้แล้ว เข้ามาสิ ฉันทำความสะอาดห้องของเราเสร็จแล้ว”

    คาย่าหอมแก้มมินจุนก่อนจะลุกขึ้นยืน สุดท้ายคนที่ต้องใช้มาสเตอร์เบดรูมด้วยกันก็คือคาย่ากับมินจุนเพราะเอาเข้าจริงแล้วมินจุนสะดวกใจที่จะอยู่ห้องเดียวกับคาย่ามากกว่าแอนเดอร์สัน แต่ถึงแม้จะอยู่ห้องเดียวกันเขากับคาย่าก็นอนคนละเตียง ซึ่งตั้งอยู่ห่างกันโดยมีโคมไฟวางคั่นเอาไว้ คาย่าล้มตัวลงนอนบนเตียงและมองมาที่เขา

    “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม นายก็ลงมานอนด้วยสิ”

    “ตอนนี้น่ะเหรอ”

    “แล้วจะนอนพรุ่งนี้เหรอไง”

    มินจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้อยู่ในชุดที่ควรนอนลงบนเตียง แต่ถ้าอ้างเหตุผลนั้นคาย่าจะต้องโกรธแน่ๆ สู้ค่อยไปซักผ้าห่มใหม่ให้สะอาดวันหลังดีกว่า สุดท้ายเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ คาย่า

    “ขอมือหน่อยสิ มินจุน”

    “เห็นฉันเป็นหมาเหรอไง”

    ทั้งที่พูดออกไปแบบนั้น แต่มินจุนก็ยื่นมือออกไปแต่โดยดี คาย่าจับมือเขาเอาไว้พร้อมหลับตาลงและยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ

    “ต่อไปทุกวันเราจะนอนกันแบบนี้นะ”

    “ทุกวันเป็นแบบนี้ ระหว่างเราคงไปไม่ถึงไหนแน่ๆ”

    “ถึงแม้เราจะทำให้มันก้าวหน้าเร็วขึ้น แต่ตอนนอนก็ต้องจับมือกันแบบนี้ ไม่สิ ไม่ใช่แค่ตอนนอนเท่านั้น ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องจับมือกันแบบนี้ตลอดนะ”

    “เวลาไปห้องน้ำล่ะ”

    “เลิกพูดอะไรที่ทำให้เสียบรรยากาศสักทีเถอะ”

    คาย่าหยิกหลังมือของมินจุนเบาๆ

    “ยังจำเรื่องที่เธอกับฉันเคยสัญญากันไว้ตอนสมัยแข่งแกรนด์เชฟได้มั้ย คาย่า”

    “สัญญาอะไรเหรอ”

    “อาหารเช้ากับอาหารกลางวันที่เธอเคยบอกว่าจะทำให้ฉันกินจนกว่าตัวเองจะแพ้แล้วตกรอบไป”

    มินจุนหันหน้าไปสบตากับคาย่าที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

    “แต่เธอเป็นคนชนะ เธอจะไม่มีทางแพ้อีกแล้ว”

    คาย่าไม่ตอบอะไร มินจุนจึงทำหน้าจริงจังแล้วกระซิบเบาๆ ว่า

    “การที่เธอจับมือนี้เอาไว้ก็เหมือนกัน ไม่มีทางที่เธอจะถอยไปไหนได้แล้ว”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook