• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน วิหคชาดพิฆาตกล ภาค 1 พายุเพลิงผลาญ บทที่ 4-5

    บทที่ 4

    ทดสอบรอบแรก

     

    วังหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย การจับหัวขโมยที่เต็มไปด้วยอุปสรรคในที่สุดก็ยุติลงเมื่อจิงอีเฟยมองทะลุกลลวงตบตาของอีกฝ่าย ส่วนนอกกำแพงวังหลวงนั้นดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเป็นปกติ

    สามวันให้หลัง นอกประตูซีจิ่งทางตะวันตก อากาศปลอดโปร่ง

    ผู้เข้าสอบหลายร้อยคนมารวมตัวกันฟังหลี่ตงไห่เสมียนประจำกองกำลังจินอู๋ชี้แจงกฎระเบียบในการสอบ ปีนี้การสอบคัดเลือกองครักษ์จินอู๋มีทั้งหมดสามรอบ รอบแรกเรียกว่าการทดสอบร่างกาย จัดสอบนอกเมือง ว่าด้วยศาสตร์ลับห้าธาตุซึ่งยังไม่กำหนดชัดว่าจะทดสอบธาตุใด เป็นการวัดความทรหดของผู้เข้าสอบ คนที่เร็วสุดย่อมเป็นผู้ชนะ รอบที่สองเรียกว่าการสอบข้อเขียน จัดสอบในสำนักศึกษาหยางหมิง จะเป็นศาสตร์ดวงดาวหรือเป็นศาสตร์ถิ่นที่พื้นภูมิยังไม่รู้ เป็นการวัดกลยุทธ์และไหวพริบของผู้เข้าสอบ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะ รอบที่สามเรียกว่าการทดสอบวิชายุทธ์ สถานที่สอบคือสนามหงอู่ ไม่กำหนดกระบวนท่าวิชาที่ใช้ แน่นอนว่าเป็นการทดสอบวิชาการต่อสู้ ผู้มีวิชายุทธ์สูงส่งเป็นผู้ชนะ

    การสอบทั้งสามรอบล้วนมีจุดประสงค์ในตัว ผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งสามรอบจึงจะได้เป็นองครักษ์จินอู๋

    ท่ามกลางผู้คน ฉินหมิงพูดอย่างตื่นเต้น “แปดร้อยกว่าคนเลือกเอาแค่ยี่สิบคน นี่มันการสอบจ้วงหยวนชัดๆ! เช่นนั้นข้าฉินหมิงจะต้องคว้าที่หนึ่งมาให้ได้!”

    ไป๋ฉีกลับสุขุมเยือกเย็นเหมือนเช่นที่เป็นมา “พวกเราไม่ได้ต้องการที่หนึ่ง ขอเพียงผ่านการทดสอบให้ได้ก็พอ”

    ฉินหมิงแค่นเสียง “ไม่เอาไหน! มีข้าอยู่ยังกลัวว่าจะไม่ผ่านการทดสอบอีกรึ”

    ไป๋ฉียังคงพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ข้าขอเตือนให้เจ้าตั้งสติเตรียมใจตั้งแต่ตอนนี้ อีกเดี๋ยวจะได้ตระหนักถึงความยากของการทดสอบรอบแรกแล้ว”

    ทุกคนรับป้ายลำดับและยืนอยู่ในประตูเมืองอย่างเป็นระเบียบ ฉินหมิงเข้าแถวอยู่ในลำดับที่เก้า ไป๋ฉีเข้าแถวอยู่ในลำดับที่สิบ ทั้งสองยืนติดกัน เพียงแต่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ท่าทางหยาบกระด้างกลุ่มหนึ่งจู่ๆ มีบัณฑิตหน้าขาวรูปร่างผ่ายผอมเบียดอยู่ด้วยเช่นนี้ ออกจะสะดุดตาทีเดียว

    ทุกคนอดหันมามองไป๋ฉีไม่ได้ จากนั้นจึงเผยสีหน้าเยาะหยัน

    บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้จะมาเป็นองครักษ์จินอู๋ เกรงว่าการทดสอบรอบแรกยังผ่านไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ผ่านการทดสอบไปได้ วันหน้าจะมีเรี่ยวแรงเอาตัวรอดในโลกอันโหดร้ายที่มีทั้งน้ำกับไฟรึ ดับไฟแม้แต่น้ำยังยกไม่ไหว ลงไปในแม่น้ำแม้แต่คลื่นยังหลบไม่พ้น การช่วยคนมิต้องกลายเป็นการเอาชีวิตตัวเองหรือ ช่างน่าหัวเราะโดยแท้!

    ไป๋ฉีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แม้ทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป ทว่าทันใดนั้นเขากลับถูกคนกระทุ้งจากข้างหลังพร้อมเอ่ยเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า “บัณฑิตไส้แห้ง ไสหัวไปต่อแถวข้างหลังโน่น อย่าขวางทางพวกเรา!”

    ไป๋ฉีเซไปหลายก้าวก่อนจะล้มลงบนพื้น

    ตรงหน้ามีคนยืนอยู่ห้าคน แม้จะอายุราวยี่สิบเท่านั้น ทว่าแต่ละคนดูมากด้วยประสบการณ์ รูปร่างกำยำ กล้ามเนื้อแขนดำคล้ำเปล่งประกาย เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมา เห็นชัดว่าปกติฝึกฝนตัวเองเป็นอย่างดี

    ไป๋ฉีที่ถูกกระแทกล้มอย่างอนาถ แม้ใบหน้าจะขุ่นเคืองแต่ยังพยายามควบคุมอารมณ์ ทว่าฉินหมิงกลับเก็บนิสัยใจร้อนไว้ไม่ได้ ตวาดกลับทันที “พวกเจ้าทำอันใดน่ะ! เหตุใดไม่ต่อแถว”

    “ต่อแถว? ฮ่าๆๆ! พวกเราต้องต่อแถวด้วยรึ”

    คนพวกนั้นยื่นมือออกมาหมายจะผลักฉินหมิง ทว่าฉินหมิงตอบสนองรวดเร็วปัดมืออีกฝ่ายออกทันใด ปากยังพูดด้วยความรังเกียจ “อยากลงไม้ลงมือหรือ”

    “เจ้าหนุ่ม ขวัญกล้าทีเดียวนี่!” คนพวกนั้นเดือดดาลกำลังจะปราดเข้ามาหาเรื่อง ทว่าบุรุษผู้หนึ่งยื่นมือออกมาห้ามไว้ บุรุษผู้นี้หน้าตาดุดัน สวมชุดเข้ารูปผ้าไหมสีคราม บนศีรษะมีเครื่องประดับที่ทำจากหยก ดูท่าทางน่าจะมาจากบ้านคนมีเงิน เขาพูดอย่างดูแคลน “ช่างเถอะ แค่เด็กหนุ่มบ้านนอกยากจนเท่านั้น จะสนใจพวกเขาไปเพื่ออันใด เจอสุนัขเร่ร่อนเห่าหอนระหว่างทาง เจ้ายังจะทะเลาะกับมัน ไม่กลัวจะเป็นการลดเกียรติตัวเองหรือ!”

    “พี่ใหญ่พูดถูก!”

    คนทั้งห้าหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปด้านหน้าสุดโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ดูกำแหงยิ่งนัก

    ฉินหมิงทำท่าจะพุ่งเข้าไป แต่มีคนคว้าตัวเขาไว้และเตือนอย่างหวังดีว่าคนผู้นี้เป็นหลานชายของหัวหน้ากองพันเซวียเหรินเต๋อแห่งหน่วยระวังเพลิง ชื่อว่าเซวียจิ้น ปกตินิสัยบ้าอำนาจเอาแต่ใจอยู่แล้ว วันนี้ที่มาเข้ารับการคัดเลือกเป็นองครักษ์จินอู๋ เห็นชัดว่ามาพอเป็นพิธีเท่านั้น คนเช่นนี้อย่าล่วงเกินเป็นดีที่สุด

    ทุกคนตักเตือน แต่ฉินหมิงเป็นคนดื้อรั้น คิดในใจว่าก็แค่หลานชายของหัวหน้ากองพันคนหนึ่ง นับเป็นตัวอันใดเล่า เขายังไม่หายโมโหจะเข้าไปลงไม้ลงมือ แต่กลับถูกไป๋ฉีขวางไว้และโน้มน้าวครั้งแล้วครั้งเล่าจนยอมล้มเลิกความคิด

    ไม่ไกลออกไป หลี่ตงไห่เริ่มประกาศกฎเกณฑ์การแข่งขันในรอบแรก

    รอบแรก ทดสอบความทรหด ทุกคนจะต้องแบกน้ำหนึ่งถังออกจากเมืองทางประตูซีจิ่งและมุ่งหน้าไปยังวัดหมิงเจวี๋ยที่อยู่ไกลออกไปยี่สิบหลี่* ให้เร็วที่สุด หนึ่งร้อยคนแรกที่ไปถึงจะได้รับสิทธิ์สอบข้อเขียนที่สำนักศึกษาหยางหมิงในรอบที่สอง

    การแบกน้ำสี่สิบชั่งวิ่งยี่สิบหลี่เป็นการทดสอบที่เหนื่อยยากที่สุดจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับไป๋ฉีที่เป็นบัณฑิตอ่อนแอเช่นนี้แทบจะกล่าวได้ว่ายากเหมือนหาทางขึ้นสวรรค์ เพียงแต่การแบกของหนักเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่ยากยิ่งกว่ารออยู่ข้างหน้า

    หลี่ตงไห่พูด “ยังมีอีกสามข้อที่ต้องพูดให้ชัดเจน ข้อหนึ่ง ต้องรักษาน้ำในถังไว้ให้ดี เมื่อถึงจุดหมายแล้วน้ำจะน้อยกว่าสองในสามของถังไม่ได้ ข้อสอง ห้ามเปลี่ยนน้ำระหว่างทาง หากล้มคว่ำให้ถือว่าสละสิทธิ์ในการสอบ ข้อสาม ห้ามโดยสารรถม้าหรือพาหนะอื่นใด ระหว่างทางจะมีองครักษ์จินอู๋คอยตรวจตราอยู่ลับๆ หากพบคนที่ไม่ปฏิบัติตามกติกาจะคัดออกทันที…เริ่มได้!”

    ทุกคนต่างพุ่งไปข้างหน้า แต่ละคนแย่งกันแบกถังน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะแยกย้ายออกไป สองคนแบ่งงานและร่วมมือกัน ฉินหมิงแบกน้ำเต็มถัง ส่วนไป๋ฉีแบกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทั้งคู่ออกจากประตูซีจิ่งพร้อมคนอื่นๆ

    ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนที่สุด นอกเมืองต้นหลิวเขียวขจี หญ้าป่าเจริญงอกงาม แนวคันดินสีเหลืองสะดุดตาคดเคี้ยวไปมา เหมือนมังกรสีเหลืองที่เร้นตัวอยู่ท่ามกลางคลื่นสีเขียว

    สองคนเดินเคียงไหล่กันไป เริ่มแรกพื้นดินราบเรียบเดินแล้วไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ไม่นานเส้นทางก็เริ่มมีเนินอันตรายและผาชัน บางครั้งมีลำธารลึกถึงเอวขวางอยู่ บางครั้งมีพื้นดินเฉอะแฉะเป็นหลุมเป็นบ่อ ทั้งสองยังต้องแบกถังน้ำหนักอึ้ง รู้สึกเรี่ยวแรงน้อยลงทุกที

    ตลอดทางมีคนหยุดเดินมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนจำนวนไม่น้อยแอบเทน้ำในถังทิ้ง ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปพร้อมถังเปล่า บางคนมีสหายคอยช่วยเหลือ ผลัดกันขนน้ำ ยังมีบางคนจงใจขวางทางหาเรื่อง คว่ำถังน้ำคนอื่น ทำให้ความพยายามที่ทำมาสูญเปล่า โดยเฉพาะกลุ่มของเซวียจิ้นทั้งห้าคน พวกเขาขวางอยู่หน้าสุด ใครนำหน้าพวกเขาจะถูกซ้อม ทุกคนได้แต่โมโหแต่ไม่กล้าเอ่ยอันใด

    ฉินหมิงเสนอให้แบกถังเปล่าไปก่อนเช่นกัน เช่นนี้ย่อมมุ่งไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

    ไป๋ฉีปฏิเสธทันที “ไม่ได้! เจ้าสังเกตหรือไม่ ตลอดทางที่ผ่านมาไม่เห็นองครักษ์จินอู๋เลยสักคน”

    ฉินหมิงถึงตระหนักได้ ตลอดทางนอกจากผู้เข้าทดสอบที่แบกถังน้ำแล้วก็ไม่เห็นองครักษ์จินอู๋แม้แต่คนเดียวจริงๆ ตามหลักเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าสอบโกง ควรมีองครักษ์จินอู๋คอยตรวจสอบเป็นระยะทุกๆ สองสามหลี่ถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้กลับไม่เห็นเลยสักคน กองกำลังจินอู๋ไว้ใจผู้เข้าสอบถึงเพียงนี้เชียวหรือ

    ฉินหมิงกวาดตาดูอีกครั้ง รู้สึกว่าผู้เข้าสอบรอบด้านต่างคอยสังเกตกันและกัน สีหน้าและกิริยาท่าทางของแต่ละคนล้วนน่าสงสัยมากจึงพลันกระจ่างแจ้ง “ข้ารู้แล้ว พวกเขาปลอมตัวเป็นผู้เข้าสอบ!”

    ไป๋ฉีส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่จำเป็นเลย ข้าได้ยินมาว่าองครักษ์จินอู๋แต่ละคนล้วนมีความสามารถแปลกประหลาด ในจำนวนนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีทักษะพิเศษ สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้เข้าสอบเหล่านี้กระทำการทุจริตหรือไม่ทั้งที่ตัวอยู่ห่างออกไปหลายสิบหลี่”

    กองกำลังจินอู๋แบ่งออกเป็นห้าหน่วยเจ็ดสิบสองหมู่ตระเวน ห้าหน่วยนี้ล้วนสอดคล้องกับห้าธาตุ มีความถนัดแตกต่างกันไป หน่วยรักษาเมืองมีสัญลักษณ์ธาตุทอง เชี่ยวชาญการสืบสวนไขคดี ต่อสู้ด้วยกำลังยุทธ์ รับผิดชอบจับกุมโจรผู้ร้ายเป็นหลัก หน่วยกลไกมีสัญลักษณ์ธาตุไม้ เชี่ยวชาญด้านกลไก การสร้างหุ่น และเครื่องมือต่างๆ หน่วยซุ่มบาดาลมีสัญลักษณ์ธาตุน้ำ เชี่ยวชาญงานในน้ำ การสืบคดีในที่ลับ รับผิดชอบพื้นที่ที่เป็นน้ำ ค้นหาและช่วยเหลือใต้ดิน หน่วยระวังเพลิงมีสัญลักษณ์ธาตุไฟ เชี่ยวชาญการใช้ไฟ ควบคุมเปลวเพลิง รับผิดชอบป้องกันและช่วยเหลือเมื่อเกิดอัคคีภัย ส่วนหน่วยหกลักษณ์มีสัญลักษณ์ธาตุดิน รับผิดชอบเรื่องภูมิลักษณ์ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า การเรียกสุนัข และวิชาเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ทั้งห้าหน่วยนี้มีผู้มีความสามารถมากมาย มิอาจคาดเดาได้ด้วยหลักการธรรมดาทั่วไป

    เห็นชัดว่าไป๋ฉีเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาพูดต่อ “ฉินหมิง พวกเราอย่าไปเดิมพันกับเรื่องลี้ลับที่ไม่รู้เลย ทุกอย่างทำให้ถูกต้องเหมาะสมย่อมดีที่สุด”

    “แต่ถ้าเป็นเช่นนี้เกรงว่าพวกเราจะตามคนอื่นไม่ทันนะ!”

    “ไม่ต้องกลัว ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ข้าเชื่อว่าความคดโกงมิอาจเอาชนะความเถรตรงได้!” ไป๋ฉีพูดอย่างฮึกเหิม

    “ก็ได้ ข้าเชื่อเจ้าก็แล้วกัน” ฉินหมิงปรับสายสะพายหลัง ก่อนย้อนคิดถึงคำพูดของไป๋ฉีจึงเอ่ยถาม “เจ้าว่าคนในกองกำลังจินอู๋มีสายตาที่มองเห็นพันหลี่ได้หรือ ถึงได้มองเห็นทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในรัศมียี่สิบหลี่นี้”

    ไป๋ฉียิ้มตอบ “ก็ไม่ถึงพันหลี่หรอก แต่หากจะบอกว่าพวกเขาสังเกตทุกอย่างละเอียดรอบคอบย่อมไม่เกินไปนัก เอาเป็นว่าเจ้าเห็นแล้วจะเข้าใจเอง”

    ทั้งสองเดินไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดก็ถึงตีนเขา ตอนนี้จากระยะทางทั้งหมดยี่สิบหลี่พวกเขาเดินมาได้เกินครึ่งแล้ว ยังเหลือทางบนเขาอีกเจ็ดแปดหลี่ก็จะถึงวัดหมิงเจวี๋ยที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เพียงแต่เส้นทางบนภูเขาคดเคี้ยว เส้นทางไม่กี่หลี่สุดท้ายยากลำบากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ยามนี้เห็นชัดว่าไป๋ฉีหมดแรงแล้ว สองขายังสั่นเล็กน้อย

    ฉินหมิงดึงถังน้ำมาจากหลังของไป๋ฉี “เหลืออีกไม่กี่หลี่สุดท้ายแล้ว เส้นทางบนภูเขาเดินลำบาก ให้ข้าแบกน้ำแทนเจ้าดีกว่า พวกเราต้องเดินเร็วกว่านี้ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันแล้ว”

    ไป๋ฉีมองฉินหมิงอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “เจ้าไม่เหนื่อยหรือ สองถังนี้รวมกันแล้วหนักตั้งเจ็ดแปดสิบชั่งเลยนะ…”

    ฉินหมิงยิ้มตอบ “เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว! น้ำหนักเจ็ดแปดสิบชั่งจะนับเป็นอันใด ท่านย่าข้าขาไม่ดี ข้าขึ้นเขาไปตัดฟืนแทนท่านย่าตั้งแต่อายุสิบขวบ แต่ละครั้งแบกฟืนหนักร้อยชั่งเดินทางสิบหลี่ได้โดยไม่มีปัญหา!”

    ไป๋ฉีถาม “แล้วพ่อแม่ของเจ้าล่ะ”

    “พ่อแม่…” แววตาของฉินหมิงพลันหม่นลง

    แปดปีก่อน ท่านพ่อท่านแม่ของเขาออกเดินทางไปกะทันหัน นับแต่นั้นมาก็ไม่กลับมาอีกเลย เขาจำภาพของท่านพ่อได้เพียงเลือนรางเท่านั้น จำได้เพียงอีกฝ่ายสูงและองอาจมาก ทุกครั้งที่กลับมาล้วนดูลึกลับ เวลาเดินไปไหนไม่มีใครรู้ตัว เหมือนกำลังทำสิ่งที่มิอาจบอกใครได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาลืมไปหมดแล้ว ความจริงเขาอยากตั้งใจจดจำลักษณะของท่านพ่อท่านแม่มาก หวังว่าสักวันจะได้พบพวกเขา แต่พอพยายามคิดตลอดเวลา บัดนี้กลับกลายเป็นลืมเลือนไปเกือบทั้งหมด

    “พวกเขา…จากข้าไปนานแล้ว ก่อนจากไปท่านพ่อมอบของชิ้นหนึ่งให้ข้า หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ก่อนข้ายังถามท่านย่าบ่อยๆ นางไม่ยอมพูด ภายหลังข้าจึงเลิกถาม เดาว่าพวกเขาคงไม่ต้องการข้าแล้วกระมัง” น้ำเสียงของฉินหมิงเจือแววผิดหวังและอ้างว้าง เหมือนเด็กที่ขาดความรักความอบอุ่น

    ไป๋ฉีกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ไม่รู้ควรพูดอย่างไรดี ความจริงความทรงจำที่เขามีต่อพ่อแม่ของตัวเอง ความสุขในครอบครัว มิใช่เลือนรางว่างเปล่าเช่นนี้เหมือนกันหรือ เขามีเพียงอาจารย์ที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่เท่านั้น

    ฉินหมิงเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาเอง คล้ายรู้สึกว่าพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว เขาฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร! ท่านย่าดีกับข้ามาก เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าสบายดีจะตาย! ท่านพ่อไม่ต้องการข้า นั่นเป็นความผิดพลาดของเขา! ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้วดีกว่า พวกเรารีบขึ้นเขากันเถอะ ข้าไม่อยากถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก ข้าจะต้องเป็นองครักษ์จินอู๋ให้ได้”

    “อื้ม”

    ทั้งสองเร่งฝีเท้า เพียงแต่ปีนเขาไปได้พักหนึ่ง ข้างหน้าพลันเกิดเสียงอุทานตื่นตกใจ นกกระพือปีกบินหนีแตกตื่น เห็นเป็นกระแสน้ำขนาดใหญ่ไหลถั่งโถมลงมาจากยอดเขาอย่างรุนแรง ป่าไม้และหินก้อนใหญ่จมอยู่ใต้คลื่นในชั่วพริบตา ตอนนี้อากาศปลอดโปร่งแสงแดดเจิดจ้า บนเขาก็ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แล้วเกิดน้ำป่าไหลบ่ามากขนาดนี้ได้อย่างไร?!

    สองคนตะลึงงัน ตั้งใจเพ่งมองอีกทีจึงพบว่าสิ่งที่ถั่งโถมลงมาไม่ใช่กระแสน้ำ แต่กลับเป็นหมอกควันกลุ่มใหญ่สีสันดูเหมือนน้ำ ซ้ำยังมีเสียงครืนครานตามมาด้วย มองแวบแรกจึงเหมือนน้ำป่าไหลบ่าลงมา

    “แย่แล้ว! หมอกควันหนาขนาดนี้ข้างหน้าน่าจะเกิดไฟป่า!” ฉินหมิงร้อง

    ไป๋ฉีกลับพูดอย่างสุขุม “นี่หาใช่ไฟป่า แต่มีคนเผาหญ้าหมอกต่างหาก”

    บนเขาหมิงเจวี๋ยมีพืชประหลาดชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าหมอก ใน ‘คัมภีร์เปิ่นเฉ่าจิง’ มีบันทึกว่าหญ้าหมอกขึ้นบนเขาสูงบริเวณที่เมฆหนา ใบเรียวยาวเป็นสีเขียวอ่อนเหมือนหยก กลางใบเป็นสีขาว เผาแล้วจะเกิดควันสีขาวเหมือนหมอกหนาคงอยู่นานไม่สลายไป ท่ามกลางกลุ่มหมอกจะมีเสียงดังเหมือนคลื่นในท้องทะเล ผู้มีวิชาจะใช้พืชชนิดนี้ในการสร้างกลลวงทำให้ผู้ที่ถูกกักขังอยู่ภายในหาทางออกไม่ได้ กองกำลังจินอู๋มักใช้หญ้าหมอกนี้สร้างภาพลวงตาว่าเกิดกลุ่มควัน ฝึกสมาชิกใหม่ให้ชินกับสถานการณ์ที่เกิดไฟไหม้ควันหนา

    หมอกควันจู่โจมเข้ามาดุจกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

    สองคนรีบดึงแถบผ้าออกมาจุ่มน้ำ ปิดปากปิดจมูก เพียงแต่หมอกควันนี้หนาขึ้นทุกที รอบด้านพร่าเลือนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายถึงขั้นมองเห็นสิ่งใดไม่ชัด

    สองคนสายตามิอาจมองไกล ทั้งยังไม่กล้าเดินเร็ว ได้แต่ดึงแขนเสื้อของกันและกันไว้ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ในป่าทึบแห่งนี้ดูเหมือนเหลือเพียงพวกเขาสองคน รอบด้านขาวโพลนมองไม่เห็นอย่างอื่น ทั้งสองเดินไปอย่างนี้อยู่นาน ไม่รู้เดินถึงไหนแล้ว ราวกับก้าวเข้าไปในเขาวงกตหมอกขาวขนาดใหญ่ วกไปวนมา ทำอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอ

    ทั้งสองต่างตระหนักถึงความผิดปกติ เขาหมิงเจวี๋ยแห่งนี้ไม่นับว่าสูง เป็นไปไม่ได้ที่เดินมานานขนาดนี้แล้วยังไม่พ้นกลุ่มหมอก ต้องมีคนวางค่ายกลลวงวิญญาณเอาไว้แน่

    ฉินหมิงตาแหลม พลันร้องออกมาว่า “ดูเหมือนข้างหน้าจะมีคน!”

    เป็นดังที่พูด ท่ามกลางหมอกหนาข้างหน้ามีเงาคนยืนเรียงรายมากมาย ดูจากจำนวนแล้วอย่างน้อยก็ร้อยกว่าคน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขามารวมตัวอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด

    ฉินหมิงพูด “ต้องเป็นองครักษ์จินอู๋ปลอมตัวเป็นผีมาหลอกพวกเราแน่!”

    ไป๋ฉีพูดอย่างระวัง “ไม่ใช่ คนพวกนี้ดูเหมือน…จะไม่ขยับเขยื้อน ไม่เหมือนคนที่มีชีวิต”

    ฉินหมิงพูด “จะสนเพื่ออันใดว่าคนหรือผี เข้าไปดูก่อนเถอะ ถ้ามีคนแกล้งเป็นผีมาหลอกเรา คอยดูเถอะ ข้าจะต่อยมันเอง!”

    ทั้งสองฝ่ากลุ่มหมอกควันคลำทางเดินไปข้างหน้า พลันเห็นว่าที่ยืนอยู่ตรงไหล่เขานั้นไม่ใช่คน แต่เป็นรูปสลักหินสูงๆ ต่ำๆ เกือบพันชิ้น รูปสลักหินพวกนี้บ้างเป็นพระภิกษุใบหน้าเมตตาอารี บ้างเป็นนักรบหน้าตาดุดัน บ้างเป็นเทพภูเขาที่หัวเป็นสัตว์ตัวเป็นคน มีอีกมากมายที่ยังแกะสลักไม่เสร็จ มองจากที่ไกลๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่ถูกกักขังอยู่กำลังดิ้นรนทลายก้อนหินออกมา

    ฉินหมิงประหลาดใจเล็กน้อย ไฉนบนภูเขาจึงมีรูปปั้นหินมากมายขนาดนี้

    พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่นี่คือหน้าผาเชียนฝอ (สหัสพุทธ) บนเขาหมิงเจวี๋ย รูปสลักหินนับพันไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนถูกแกะสลักอย่างเหมือนจริงเป็นที่สุด ตามหลักแล้วทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนี้สมควรเป็นจุดชมทิวทัศน์ขนาดใหญ่บนเขาหมิงเจวี๋ย น่าเสียดายที่หน้าผาเชียนฝอซ่อนตัวอยู่กลางทะเลหมอก คนนอกยากจะมีโอกาสเห็น ประกอบกับยามนี้แสงสว่างสลัวรางยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน

    หมอกควันหนาบดบังดวงตาเหมือนมีอุปสรรคนับพันนับหมื่น ไป๋ฉีมองดูรอบหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ เข้าใจ เขามุ่นคิ้วเอ่ยว่า “เห็นทีจะมีคนใช้ประโยชน์จากลักษณะของภูเขา ป่าไม้ หมอก และรูปสลักหิน ตั้งค่ายกลฉีเหมินตุ้นจย่า* ขึ้นมา ทำให้พวกเราถูกขังอยู่บนภูเขา วนเวียนออกไปไม่ได้เสียที”

    “ฉีเหมินตุ้นจย่า…” ฉินหมิงทวนคำพลางคิดในใจ รูปสลักหินที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าก็คือฉีเหมินตุ้นจย่าอันเลื่องชื่อน่ะหรือ

    ฉีเหมินตุ้นจย่ามีต้นกำเนิดมาจาก ‘บันทึกสวรรค์เทียนจ้วน บทหลงจย่าเสิน’ ของจักรพรรดิหวงตี้ ภายหลังผ่านการปรับแก้มารุ่นแล้วรุ่นเล่าโดยยอดปราชญ์เช่นเฟิงโฮ่ว เจียงจื่อหยา ผู้เฒ่าหวงสือ และจางเหลียงทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ในที่สุดก็กลายเป็นสิบแปดกระดานหยินหยางเช่นในวันนี้ เพียงแต่ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับฉีเหมินตุ้นจย่า มักคิดว่าแค่เรียงท่อนไม้และก้อนหินง่ายๆ ค่ายกลก็จะเกิดอานุภาพและความน่าเกรงขามไม่สิ้นสุด ความจริงจะง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร ค่ายกลล้วนต้องใช้ควบคู่กับกลไกที่ร้ายกาจหรือเขาวงกตจึงจะได้ผล ค่ายกลฉีเหมินตุ้นจย่าที่นี่ใช้ประโยชน์จากค่ายกลลวงตาที่สร้างขึ้นจากหมอกควัน ทำให้ผู้เข้าทดสอบคิดว่าเดินตามบันไดไปจะขึ้นสู่ยอดเขาได้ สุดท้ายเดินขึ้นไปแล้วมีแต่จะถูกขั้นบันไดที่คดเคี้ยวไปมาทำให้สับสน วนเวียนอยู่ในวงกตไม่จบสิ้น

    ไป๋ฉีเริ่มเดินช้าๆ ไปตามรูปสลักหินเหมือนกำลังประเมินน้ำหนัก ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังคิดคำนวณ สุดท้ายตรึกตรอง ในที่สุดจึงเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว นี่คือ ‘กระดานประตูกั้นซ่อนภูผา’ ของแปดประตูฉีเหมิน* ประตูกั้นใช้หลบซ่อนเป็นหลัก ประกอบกับมีหมอกปกคลุมจึงกลายเป็นกระดานซ่อนภูผา ขั้นบันได ต้นไม้ หินประหลาด และรูปปั้นบนภูเขาประกอบเข้าด้วยกันเป็นหกปิ่ง หกติง หกอี่ หกเกิง* ทั้งหมดยี่สิบสี่ภาวะลักษณ์ ยี่สิบสี่ภาวะลักษณ์นี้แบ่งออกได้เป็นหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เส้นทาง แม้เส้นทางจะมีมาก แต่ทางออกที่แท้จริงมีเพียงทางเดียว ตามหลักปากว้ากล่าวไว้ว่าหกอี่ถึงวังเจิ้น* ทิวทัศน์ปลอดโปร่ง หกติงถึงวังเจิ้น สว่างเจิดจ้าที่สุด ช่วงเวลาที่สว่างเจิดจ้าที่สุดย่อมเป็นตอนที่ตะวันขึ้น ดังนั้นทางออกนี้จึงอยู่ตรงจุดประสานของภาวะลักษณ์หกอี่และหกติง เพียงแต่จุดนี้มีทางอยู่ถึงสามทาง…”

    สามเส้นทางนี้ ไม่รู้เส้นทางใดจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในตอนสุดท้าย

    ไป๋ฉีลังเลตัดสินใจไม่ได้ ฉินหมิงโยนลูกเต๋าลูกหนึ่งออกไป “ขืนยังคำนวณต่อไปฟ้าคงจะมืดเสียก่อน มิสู้ให้สวรรค์ตัดสินเถอะ!” ลูกเต๋าตกลงบนพื้น กลิ้งหลุนๆ สองรอบและไปหยุดยังเส้นทางที่อยู่ตรงกลางพอดี ฉินหมิงหัวเราะเสียงดัง “ซ้ายเสียขวาสูญ ตรงกลางร่ำรวย! ข้าว่าทางนี้ล่ะเหมาะที่สุด!”

    ไป๋ฉีพูดอย่างตกตะลึงเล็กน้อย “ไฉนเจ้าจึงพกลูกเต๋าติดตัวด้วย”

    ฉินหมิงล้วงลูกเต๋าออกมากำหนึ่ง “ฟ้าลิขิตมิสู้คนคำนวณ คนคำนวณมิสู้โยนลูกเต๋า! ข้ายังมีอีกเยอะ!”

    เขาดึงไป๋ฉีก้าวไปยังเส้นทางนั้น เส้นทางนี้วนขึ้นไปตามหน้าผา ทางเล็กแคบ สองด้านล้วนเป็นพระพุทธรูปสลัก รูปสลักลิงยักษ์ และสัตว์เทพ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้พบว่าท่ามกลางรูปสลักหินเหล่านี้ยังมีหุ่นคนทำจากหนังไม่ใช้แล้วมากมาย แต่ละตัวก้มหน้าจ้องมองมา สีหน้าทะมึน ทว่าสองตากลับเปล่งประกาย เหมือนคนที่มีชีวิตจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น พิจารณาดูให้ละเอียดแล้วน่ากลัวทีเดียว

    เดินไปอีกครู่หนึ่ง พบว่าด้านหน้ามีใยแมงมุมโยงไปมาเหมือนม่านตาข่าย

    ฉินหมิงปัดใยแมงมุมออกและเดินตรงไปข้างหน้า ทันใดนั้นไป๋ฉีร้องบอกเขาอย่างตกใจ “ระวัง!”

    “มีอันใดหรือ”

    “ใยแมงมุมนี้ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย”

    “แปลกอย่างไร”

    “ใยแมงมุมตั้งมากมายแต่กลับสะอาดถึงเพียงนี้ ไม่มีแมลงถูกจับแม้แต่ตัวเดียว เช่นนี้ไม่แปลกหรือ”

    “เจ้าหมายความว่า…”

    “มีคนตั้งใจสร้างใยแมงมุมนี้ขึ้นมา”

    รูปสลักลิงยักษ์ตัวหนึ่งหันหน้ามาเล็กน้อย กลอกตาจ้องมองทั้งสองคน

    บนหน้าผา หุ่นคนสิบกว่าตัวอ้าปากพร้อมกัน สีหน้าตื่นตะลึง ทั้งยังส่งเสียงแหลมบาดหู

    ชั่วขณะนั้นบรรยากาศแปลกพิลึก!

    ฉินหมิงสบถออกมา “บัดซบ ที่นี่มีกลไก!”

    เพิ่งจะพูดจบ กระบี่ศิลาขนาดใหญ่ในมือของรูปสลักลิงยักษ์บนผาหินก็ฟันลงมา!

    กองกำลังจินอู๋มีหน่วยกลไก การสร้างกลไกและหุ่นพวกนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องง่ายดาย แต่กลับสร้างความลำบากให้ผู้เข้าสอบได้ไม่น้อย กระบี่ศิลายักษ์ตวัดลงมา ฉินหมิงตอบสนองรวดเร็ว พุ่งตัวหลบในก้าวเดียว เพียงแต่เมื่อเขาเบี่ยงตัวหลบเช่นนี้ย่อมเกี่ยวม้วนใยแมงมุมมากกว่าเดิม หน้าผาทั้งหน้าผาเหมือนมีชีวิต รูปสลักหิน หุ่นคนพากันเคลื่อนไหว ยิ่งไปกว่านั้นลูกธนูไม้ กระบองไม้ กระบี่ศิลา ไม้คทายังจู่โจมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาวุธเหล่านี้ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตคน แต่มากพอที่จะทำให้ผู้เข้าสอบพ่ายแพ้

    ฉินหมิงกระโดดเหยงๆ ไปทั่วเส้นทางบนภูเขา เขาต้องปกป้องถังน้ำทั้งยังต้องหลบการโจมตีจนสภาพทุลักทุเลทีเดียว จึงโมโหร้องด่าว่า “แค่การทดสอบรอบแรกก็เอาถึงขั้นนี้เลยหรือ!”

    ใยแมงมุมกระจายอยู่ทั่ว ไป๋ฉีเกรงว่าจะแตะต้องกลไกมากกว่าเดิม ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า เพียงพูดอย่างร้อนใจ “ต้องรีบทำลายกลไกในหุ่นพวกนี้ หาไม่แล้วความพยายามที่เจ้ากับข้าทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า! น้ำ! ระวังถังน้ำด้วย!”

    หุ่นที่มีกลไกล้วนมีแกนและหลักการเคลื่อนไหวอยู่ หุ่นหนังรูปคนเหล่านี้ขยับได้ย่อมมีการตั้งกลไกมาล่วงหน้าแล้ว สองคนไม่ระวังแตะถูกกลไกการทำงานจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ขอเพียงหาต้นตอของกลไกแล้วทำลายซะก็ย่อมหยุดการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของหุ่นพวกนี้ได้

    เพียงแต่กลไกนี้อยู่ที่ใดกันแน่

    ฉินหมิงขบคิดแล้วพลันร้องเสียงดัง “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นใยแมงมุมแน่!”

    เขาหรี่ตามอง มีเส้นใยเล็กบางนับไม่ถ้วนพาดอยู่ระหว่างรูปสลักเทพเจ้ากับสัตว์หิน เส้นใยซับซ้อนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ในใยแมงมุม คนทั่วไปไม่มีทางดูออก หากมีคนยื่นมือไปปัดใยแมงมุม แตะต้องเส้นใยเหล่านี้ รูปสลักก็จะเคลื่อนไหว โจมตีคนให้ร่วงตกจากบันได

    ใยแมงมุมพันซ้ายป่ายขวา สุดท้ายรวมตัวกันอยู่ใต้ดอกบัวในมือรูปสลักเทพเจ้า

    ฉินหมิงเข้าใจแล้ว ดอกบัวนี้เป็นที่ตั้งของกลไก เขาตวัดมือขวาหนึ่งที ลูกเต๋าหลายลูกพุ่งออกไปยังดอกบัว เกิดเสียงดังหลายครั้ง หุ่นหลายตัวสั่นสะเทือน การเคลื่อนไหวช้าลง ฉินหมิงดีใจ ซัดลูกเต๋าออกไปอีกหลายลูก ครั้งนี้ทำให้ดอกบัวแตก หุ่นแผดเสียงร้องบาดหู ในที่สุดก็ค่อยๆ หยุดเคลื่อนไหว

    สองคนพรูลมหายใจออกมา

    ฉินหมิงปาดเหงื่อ มองถังน้ำข้างหลังและถอนหายใจ “อันตรายยิ่งนัก!”

    ทั้งสองทำลายค่ายกลหุ่นได้และเดินไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดก็ออกมาจากม่านหมอกควัน รู้สึกได้ว่าภายนอกช่างปลอดโปร่งยิ่งนัก

    วัดหมิงเจวี๋ยอยู่ตรงหน้าแล้ว


    บทที่ 5

    วิชาลับการสังเกตน้ำ

     

    ด้านหน้าวัดหมิงเจวี๋ย องครักษ์จินอู๋สิบกว่าคนยืนเรียงแถวอยู่ก่อนแล้ว ดูน่าเกรงขามทีเดียว

    เซวียจิ้นกับชายฉกรรจ์สี่คนมาถึงเส้นชัยแล้ว แต่ละคนอุ้มถังยืนเข้าแถวรอการตรวจสอบ องครักษ์จินอู๋สองคนรับผิดชอบเก็บป้ายจากผู้เข้าสอบที่มาถึง องครักษ์จินอู๋ที่ห้อยป้ายเอวสีดำอีกสองคนก้มหน้าตรวจดูน้ำในถังของแต่ละคน

    เซวียจิ้นอุ้มถังไม้ที่บรรจุน้ำเต็มถังรอการตรวจสอบ ผู้อาวุโสรูปร่างผ่ายผอมคนหนึ่งเดินเข้ามาดูคร่าวๆ สองที หันกลับไปเอ่ยว่า “ห้าคนนี้ไม่ผ่าน ตัดสิทธิ์ในการสอบรอบต่อไปทั้งหมด”

    “ด้วยเหตุอันใด”

    เกิดความโกลาหลขึ้นทันที!

    เซวียจิ้นตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “ตาแก่ เจ้ามีสิทธิ์อันใดบอกว่าข้าไม่ผ่าน!”

    ชายชราผู้นั้นยิ้มเย็นเอ่ยว่า “น้ำในถังของเจ้าเต็มก็จริง แต่เพราะถูกสับเปลี่ยน หลี่ตงไห่ไม่ได้บอกกฎแก่พวกเจ้าหรือ”

    เซวียจิ้นเถียง “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าพวกเราเปลี่ยนน้ำ หลักฐานล่ะ ไม่มีหลักฐานอย่าเที่ยวใส่ความผู้อื่นส่งเดช!”

    ชายฉกรรจ์ข้างหลังเขาพากันโวยวาย “ใช่ หลักฐานล่ะ!”

    ถึงขั้นมีคนใช้วาจาร้ายกาจด่าทอ “ตาแก่ตาบอด เจ้าอย่ามาเป็นเจ้าหน้าที่ตัดสินตรงนี้เลยดีกว่า!”

    พอพวกเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ฉินหมิงก็พลันเดือดดาล หาใช่เพราะเขามีคุณธรรมในใจ แต่การพูดจาหยาบคายกับผู้อาวุโสเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าละอายโดยแท้!

    คิดไม่ถึงว่าไป๋ฉีด้านข้างจะห้ามเขาไว้และยิ้มพูด “คนพวกนี้ไม่รู้ดีชั่ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์สังเกตน้ำของกองกำลังจินอู๋ การโต้เถียงกับเขาไม่ต่างกับการสร้างความอับอายให้ตัวเอง เจ้ารอดูต่อไปเดี๋ยวก็รู้”

    อาจารย์สังเกตน้ำ? นี่มันอาชีพอันใดกัน

    ฉินหมิงเคยได้ยินแต่อาจารย์ภูมิลักษณ์ อาจารย์วารี อาจารย์นรลักษณ์ แต่กลับไม่เคยได้ยินคำว่าอาจารย์สังเกตน้ำ น้ำนี้สะอาดใส มีอันใดน่าสังเกตเล่า

    ไป๋ฉีอธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงเนิบช้า

    ห้าหน่วยของกองกำลังจินอู๋ล้วนมีภาระหน้าที่พิเศษ หน่วยซุ่มบาดาลรับผิดชอบงานใต้น้ำหรือใต้ดินโดยเฉพาะ คนที่หน่วยรับเข้าไปล้วนเป็นผู้ที่มีทักษะทางน้ำและมีสายตายอดเยี่ยม หรือไม่ก็เป็นคนประหลาดที่ไวต่อการแยกแยะคุณสมบัติของน้ำและสภาพแวดล้อมใต้ดินเป็นพิเศษ ในจำนวนนี้มีอาชีพพิเศษอย่างหนึ่งที่เรียกว่าอาจารย์สังเกตน้ำ เรียกอีกชื่อว่านักพิจารณาน้ำ ได้ยินว่าคนพวกนี้มาจากแถบทะเลหนานไห่ (ทะเลใต้) เติบโตอยู่ริมน้ำตั้งแต่เล็ก สายตา การรับกลิ่น และการรับรสถูกฝึกฝนมาจนพิเศษกว่าคนทั่วไป อาจารย์สังเกตน้ำขั้นสูงมีความสามารถพิเศษสามอย่าง

    หนึ่งคือแยกแยะน้ำทั้งสิบ น้ำเปล่าชามหนึ่ง มองเห็นจนถึงก้น ในสายตาคนอื่นเป็นเพียงน้ำธรรมดา ไม่มีอันใดพิเศษ แต่ในสายตาของอาจารย์สังเกตน้ำกลับมีความแตกต่างกันมาก พวกเขาใช้ดวงตาแยกแยะน้ำทะเล น้ำคลอง น้ำจากแม่น้ำ น้ำในลำธาร น้ำทะเลสาบ น้ำในบึง น้ำพุ น้ำบ่อ น้ำบาดาล และน้ำฟ้าได้ ถึงขั้นอาศัยการสัมผัส ดม ชิม และตรวจสอบ สันนิษฐานได้ว่าในน้ำมีปลาชนิดใดบ้าง มีศพแช่อยู่หรือไม่

    สองคือมองเห็นผ่านน้ำ สายตาของอาจารย์สังเกตน้ำเหนือกว่าคนทั่วไปมาก พวกเขาสามารถยืนอยู่ตรงหัวเรือ มองผ่านผิวน้ำที่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ เห็นใบไม้หรือหนอนแมลงตัวหนึ่งที่ตกอยู่ใต้น้ำลึกสิบจั้ง ดังนั้นการงมหาของในน้ำหรืองานใต้น้ำทั้งหลายล้วนขาดอาจารย์สังเกตน้ำไปไม่ได้

    สามคือแบ่งน้ำตัดสินทิศทาง คำพูดนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาควบคุมบังคับกระแสน้ำได้ แต่หมายความว่าพวกเขาจะวินิจฉัยลักษณะของกระแสน้ำ มองเห็นกระแสน้ำที่อยู่ข้างใต้ได้ เหมือนเช่นที่อาจารย์ภูมิลักษณ์แยกแยะทิศทางของพลังได้ ความสามารถนี้ยามอยู่ในแม่น้ำหรือเดินเรือในท้องทะเลย่อมสำคัญมากยิ่งขึ้น รัชศกหย่งเล่อปีที่สาม ตอนมหาขันทีเจิ้งเหอนำทัพเดินทางไกลท่องมหาสมุทรตะวันตก นอกจากทหารเรือหลายหมื่นนายแล้ว ยังตั้งใจพาอาจารย์สังเกตน้ำไปด้วยสามคน คอยช่วยเขาให้ฟันฝ่าคลื่นลมในท้องทะเลที่มิอาจคาดเดาได้ไปตลอดทาง

    ความสามารถของอาจารย์สังเกตน้ำสืบทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นศาสตร์ลับที่มีอายุนับพันปีแล้ว

    ในความคิดของไป๋ฉี คนพวกนี้คิดจะเอาน้ำทะเลสาบมาตบตาอาจารย์สังเกตน้ำ มิใช่การหาเรื่องขายหน้าให้ตัวเองหรอกหรือ

    เป็นเช่นที่ว่า อาจารย์สังเกตน้ำมองคนกลุ่มนี้ด้วยท่าทางขบขันเล็กน้อยและหัวเราะหยัน “หลักฐาน? พวกเจ้าอยากได้หลักฐานของน้ำนี้หรือ”

    เซวียจิ้นแค่นเสียง “ใช่! เจ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าวหาว่าพวกเราแอบเปลี่ยนน้ำ เจ้าเห็นกับตาหรือ”

    อาจารย์สังเกตน้ำพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าน้ำนี้ต่างจากเดิมอย่างไร”

    เขาใช้มือไล้น้ำในถังเบาๆ จนน้ำกระเพื่อมเป็นวง ก่อให้เกิดประกายเล็กๆ หลายชั้น “น้ำที่เตรียมให้พวกเจ้าตอนแรกเป็นน้ำที่ตักมาจากบ่อชิงจ่าวในเมือง น้ำสะอาดบริสุทธิ์ สีออกเขียว แต่น้ำสามถังนี้ของพวกเจ้ากลับเป็นน้ำจากทะเลสาบหมิงจิ้งตรงเชิงเขา ลักษณะของน้ำค่อนข้างขุ่น ซ้ำยังมีกลิ่นคาวเล็กน้อย เจ้าบอกว่าไม่เคยเปลี่ยนน้ำ นี่มิใช่เรื่องน่าขันหรอกรึ”

    เขาชี้ถังใบที่สี่ “ส่วนถังนี้ของเจ้าไม่เหมือนกัน เป็นน้ำจากลำธารหยางซีในป่าต้นหลิวตรงเชิงเขา น้ำลำธารแม้จะมีชีวิตและปราศจากกลิ่นคาว แต่ใต้ถังจะมีเศษทรายที่ดวงตามิอาจแยกแยะได้อยู่เล็กน้อย น้ำยังมีรสฝาดด้วย ไม่เชื่อเจ้าลองชิมดู”

    เดินมาถึงหน้าถังน้ำของเซวียจิ้น อาจารย์สังเกตน้ำเงียบไปครู่หนึ่ง ใช้นิ้วจิ้มน้ำเลียชิมดู ก่อนคลี่ยิ้มเย็นชา “เจ้าหนุ่มผู้นี้เจ้าเล่ห์ทีเดียว รู้ว่าน้ำแต่ละแห่งมีกลิ่นรสไม่เหมือนกัน จึงไปตักน้ำแร่มาจากสระเก็บน้ำในวัดบนภูเขา น่าเสียดาย น้ำแร่จากภูเขาจะเหมือนกับน้ำจากบ่อได้อย่างไร น้ำแร่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ แต่น้ำในบ่อไม่โดนแดด กลิ่นอายหยินหยางที่แตกต่างกันชิมดูก็รู้แล้ว”

    เซวียจิ้นขี้เกียจแบกน้ำจึงแบกถังเปล่าเดินมาตลอดทาง สุดท้ายพอถึงยอดเขาจึงตักน้ำแร่เข้าไป เดิมทีคิดว่าจะตบตาได้ ทว่าอาจารย์สังเกตน้ำผู้นี้กลับบอกที่มาของน้ำในถังของพวกเขาได้อย่างชัดเจน รายละเอียดไม่ผิดไปแม้แต่น้อยทำให้อดตะลึงไม่ได้ ความจริงในขั้นตอนนี้อาของเขาเซวียเหรินเต๋อเตือนแล้วว่าอย่าทุจริตเจ้าเล่ห์ เพียงแต่เซวียจิ้นไม่เชื่อว่าจะมีคนที่สายตาเฉียบคมถึงเพียงนี้จึงแอบเปลี่ยนน้ำอย่างเปิดเผย คิดไม่ถึงว่ายังคงถูกอาจารย์สังเกตน้ำแยกแยะได้อย่างชัดเจน

    มองเพียงปราดเดียวก็แยกแยะน้ำทั้งสิบได้ นี่คือความสามารถข้อแรกของอาจารย์สังเกตน้ำ

    เซวียจิ้นแม้จะตกใจ ทว่าตอนนี้เขาจะแสดงความอ่อนแอออกมาได้อย่างไร จึงเถียงต่อว่า “สิ่งที่เจ้าพูดล้วนเป็นของที่ไม่มีอยู่จริง ไอหยินหยางอันใดกัน รสฝาดหวานขมอันใดกัน นอกจากเจ้าใครยังจะแยกแยะได้ ไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย!”

    อาจารย์สังเกตน้ำสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนพูดเสียงขุ่น “ศาสตร์การสังเกตน้ำของสกุลอี้ของข้าสืบทอดมาเกือบพันปี หาใช่สิ่งที่พวกเจ้าดูผ่านๆ แล้วจะเข้าใจได้ ตัวเจ้าเองทุจริตแล้วยังจะมาดูหมิ่นวิชาความรู้ข้า ช่างน่าโมโหนัก!”

    เซวียจิ้นหัวเราะเสียงเย็น “สืบทอดมาพันปีก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง เอาเป็นว่าหลักฐานนี้ทำให้คนยากที่จะเชื่อ ข้าไม่ได้ทุจริต!”

    อาจารย์สังเกตน้ำโมโหจนหนวดชี้ เขาหยิบของห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พูดอย่างโมโห “เจ้าอยากตรวจสอบว่าวิชาสังเกตน้ำของข้าเป็นจริงหรือเท็จ เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้ายอมรับโดยสมบูรณ์!”

    อาจารย์สังเกตน้ำอ่อนเยาว์อีกคนเห็นดังนั้นก็รีบโน้มน้าวเสียงค่อย “ท่านลุงอี้ ไยต้องดื้อรั้นถึงเพียงนี้ด้วย คนผู้นี้คือเซวียจิ้นหลานชายของหัวหน้ากองพันเซวีย หัวหน้าเซวียมาแจ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกเราไว้หน้าเขาหน่อยเถอะ”

    อาจารย์สังเกตน้ำที่ถูกเรียกขานว่าท่านลุงอี้ผู้นี้แม้จะอายุมากแล้ว แต่นิสัยกลับดื้อรั้นเหมือนเด็กหนุ่มเลือดร้อน เขาผลักคนที่โน้มน้าวตนออกแล้วตวาดว่า “เสี่ยวลิ่ว เจ้าไม่ต้องมาโน้มน้าวข้า หัวหน้ากองพันเซวียแม้จะเป็นผู้ดูแลหน่วยระวังเพลิง แต่จะมาก้าวก่ายหน่วยซุ่มบาดาลของข้าไม่ได้ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าหนุ่มผู้นี้ได้เห็นว่าอันใดคือศาสตร์ลับของการสังเกตน้ำ!”

    “ท่านลุงอี้!” ทุกคนร้องห้ามอีกครั้ง

    “ท่านผู้อาวุโสอี้ ไยท่านต้องสิ้นเปลืองผงแยกน้ำของตัวเองเพื่อคนหน้าไม่อายคนหนึ่งด้วย ตามที่ข้ารู้มา ผงแยกน้ำต้องใช้น้ำจากสิบแหล่งหลอมเป็นเวลาหลายปีจึงได้มาเพียงน้อยนิด ใช้ผงเพียงเล็กน้อยก็แยกแยะน้ำทั้งสิบได้แล้ว เพียงแต่นำมาใช้เช่นนี้ออกจะน่าเสียดายเกินไปจริงๆ” ไป๋ฉีที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ข้ามีวิธีที่ง่ายดายยิ่งกว่านั้น ใช้พิสูจน์ได้ว่าคนผู้นี้เปลี่ยนน้ำ”

    เซวียจิ้นหันกลับไปมอง เห็นผู้พูดคือบัณฑิตยากจนที่เมื่อเช้าถูกพวกตนผลักจนล้มก็อดหัวเราะหยันไม่ได้ “เป็นเจ้าเอง! เรื่องของข้าเจ้ากล้ายุ่งด้วยรึ”

    ไป๋ฉีตอบ “ข้าแค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น” เขาชี้น้ำของเซวียจิ้น “เจ้าลองดูเองเถอะว่าน้ำของเจ้าแตกต่างจากอีกสี่คนอย่างไร”

    เซวียจิ้นไม่มองด้วยซ้ำ “มีอันใดแตกต่างกัน”

    “ฝุ่นควัน!” ไป๋ฉีตอบ “องครักษ์จินอู๋ตั้งค่ายกลหมอกควันไว้ตรงไหล่เขา ถังน้ำของเจ้าไม่มีฝาปิด จะต้องมีฝุ่นละอองจากหญ้าหมอกตกลงไปในน้ำเป็นชั้นบางๆ ฝุ่นจากหญ้าหมอกแม้จะเป็นละอองเล็กดุจไอน้ำ มองตรงๆ ไม่เห็น แต่ถ้ามองจากด้านข้างจะเห็นว่าบนผิวน้ำมีฝุ่นขนาดเล็กลอยอยู่เหมือนจอกแหน ทว่าผิวน้ำของเจ้ากลับสะอาดสะอ้าน เห็นชัดว่าเป็นน้ำที่เติมเข้าไปภายหลัง หลักฐานชิ้นนี้ชัดเจน เจ้าจะโต้แย้งอย่างไร”

    ลุงอี้พิจารณาถังน้ำอย่างละเอียดจากด้านหน้าตลอด ไม่ได้สังเกตด้านข้าง จึงไม่เห็นความแตกต่างของฝุ่นที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เขาอุทานออกมาก่อนยิ้มพูด “เด็กหนุ่มผู้นี้พูดถูก ตาแก่เช่นข้ายึดติดกับวิชาลับของตัวเองมากเกินไป คิดแต่จะสังเกตสีของน้ำที่อยู่ข้างใต้ กลับละเลยฝุ่นบนผิวน้ำที่ชัดเจนที่สุดไป เซวียจิ้น เจ้าเป็นคนฝึกยุทธ์ สายตาย่อมดีกว่าคนทั่วไป ฝุ่นนี้คงมิใช่ว่าเจ้ามองไม่เห็นกระมัง ครั้งนี้ยังมีอันใดจะพูดอีก”

    สีหน้าของเซวียจิ้นเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน คล้ายกำลังจะพูดต่อ

    ฉินหมิงกลับปราดไปข้างหน้าหลายก้าว เชิดหน้าเท้าเอวพูดเสียงดัง “จุ๊ๆ ดูเจ้าสิ อุตส่าห์มาสอบเป็นองครักษ์จินอู๋ทั้งทียังจะเจ้าเล่ห์ขี้โกงอีก ไม่รู้หรือไรว่าองครักษ์จินอู๋ยึดถือคำว่าคุณธรรมเป็นสำคัญที่สุด แค่แบกน้ำครึ่งถังยังต้องกระทำทุจริต วันหน้าหากเจอภัยพิบัติจากน้ำหรือไฟจริงๆ มิต้องรีบวิ่งหนีหรอกหรือ คนพรรค์นี้ยังจะรับเข้ามาเพื่ออันใด! รีบออกไปเถอะ! อย่าอยู่ให้ขายขี้หน้าเลย!”

    คำพูดเหล่านี้ดังลั่นเหมือนเสียงระฆัง หากคนอื่นได้ยินเข้าจะต้องคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เถรตรงเปี่ยมด้วยคุณธรรม น่ายกย่องเลื่อมใส แต่ไป๋ฉีกลับรู้ตื้นลึกหนาบางของเขาดี ตัวฉินหมิงเองก็เป็นคนชอบโกหกหลอกลวง หากตนไม่ห้ามไว้เขาคงเทน้ำในถังทิ้งไปนานแล้ว บัดนี้ยังมีหน้าวิ่งไปตำหนิพวกเซวียจิ้นอย่างฮึกเหิม ซ้ำท่าทียังดูองอาจเปิดเผยอย่างบอกไม่ถูก

    ฉินหมิงวางถังน้ำที่แบกไว้ข้างหลังลง พูดอย่างกระหยิ่มใจ “เป็นคนต้องซื่อสัตย์! ภาษิตกล่าวไว้ได้ดี ความซื่อสัตย์มีค่าเท่ากับทองหมื่นชั่ง ผู้อาวุโสอี้ลองดูน้ำของพวกเราเถอะ รับรองว่าของแท้แน่นอน ไม่ถูกเปลี่ยนแม้แต่หยดเดียว!”

    อาจารย์สังเกตน้ำเห็นเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งองอาจผ่าเผย คนหนึ่งสุภาพเรียบร้อย แตกต่างจากคนอื่นๆ มาก พลันรู้สึกชื่นชอบอยู่หลายส่วน ครั้นเดินเข้ามาพิจารณาน้ำของทั้งสองคน เห็นใสกระจ่าง ไม่มีโคลนไม่มีทราย เป็นน้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อเมื่อเช้าจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเลื่อมใสพวกเขามากยิ่งขึ้น ก่อนผงกศีรษะชมว่า “น้ำของพวกเจ้าสองคนไม่ถูกเปลี่ยนจริงๆ เสี่ยวลิ่ว เก็บป้ายของสองคนนี้แล้วบันทึกประวัติลงไป”

    องครักษ์จินอู๋ที่ชื่อเสี่ยวลิ่วถามเสียงค่อย “แล้วเซวียจิ้น…”

    ลุงอี้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “กฎก็คือกฎ ย่อมมิอาจทำลายได้”

    เสี่ยวลิ่วได้แต่ผงกศีรษะ “ขอรับ!”

    เซวียจิ้นโกรธจัด “ดี! บังอาจนัก! พวกเจ้าคอยดูแล้วกัน! ถึงกับรวมหัวกันกลั่นแกล้งข้า ท่านอาข้าเป็นถึงหัวหน้ากองพันของหน่วยระวังเพลิง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะเข้ากองกำลังจินอู๋ไม่ได้! จะสั่งสอนองครักษ์ชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าไม่ได้”

    ลุงอี้พูดอย่างดูแคลน “เจ้าจะเข้ากองกำลังจินอู๋ได้หรือไม่นั่นเป็นความสามารถของอาเจ้า แต่การตัดสินรอบแรกในวันนี้ขึ้นอยู่กับข้าลุงอี้ เชิญกลับไปเถอะ!”

    เซวียจิ้นเห็นว่ามิอาจเปลี่ยนแปลงอันใดได้ จึงเตะถังน้ำด้วยความโมโหและหันหลังลงจากเขา ฉินหมิงแยกเขี้ยวทำหน้าทะเล้นใส่ “กลัวเจ้าก็บ้าแล้ว! ประตูยังเข้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ!”

    ไป๋ฉีจงใจถาม “ตอนอยู่ในเมือง ข้าได้ยินว่าบิดาเขาเป็นนายกองร้อย แต่ไรมาทหารรักษาพระองค์สืบทอดตำแหน่งโดยสายเลือด เจ้าไม่กลัวเขาจะมาหาเรื่องเจ้าวันหน้าหรอกหรือ”

    ฉินหมิงเท้าเอวตอบ “ถุย กลัวเขาก็ไม่ใช่ข้าฉินหมิงแล้ว!”

    ไป๋ฉีผงกศีรษะและยิ้มพูด “เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว! การสอบข้อเขียนพรุ่งนี้เป็นจุดอ่อนของเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าบอกทุกอย่าง รับรองว่าต้องผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่”

     

    To be Continued…

     

    * หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน 1 ลี้เทียบระยะทางประมาณ 500 เมตร

    * ฉีเหมินตุ้นจย่า เป็นศาสตร์การทำนายแขนงหนึ่งในสมัยโบราณของจีนโดยยึดหลักจากการสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ประกอบด้วยทฤษฎีปรัชญาหลายแขนงของจีน เช่น พลังหยินหยาง พลังธาตุทั้งห้า ปากว้า และแผนภูมิสวรรค์ทั้งสิบ คิดค้นขึ้นครั้งแรกเพื่อประโยชน์ด้านกลศึก การวางค่ายกล และวางภูมิลักษณ์ (ฮวงจุ้ย) ต่อมากลายเป็นคำที่สื่อถึงวิชาเร้นลับ เช่น การหายตัว การเรียกสิ่งมงคลขจัดสิ่งชั่วร้าย โดยฉีเหมินแปลว่าประตูมหัศจรรย์ ตุ้นแปลว่าหลบซ่อนหลีกหนี จย่าหมายถึงตำแหน่งแรกของแผนภูมิสวรรค์ บ้างจึงแปลฉีเหมินตุ้นจย่าว่ากลเร้นลี้ด้วยประตูมหัศจรรย์

    * แปดประตูฉีเหมิน หรือแปดประตูมหัศจรรย์ ได้แก่ ประตูเปิด (ไคเหมิน) ประตูพัก (ซิวเหมิน) ประตูเกิด (เซิงเหมิน) เป็นสามประตูมงคล ประตูตาย (สื่อเหมิน) ประตูกลัว (จิงเหมิน) ประตูเจ็บ (ซางเหมิน) เป็นสามประตูอัปมงคล ส่วนประตูกั้น (ตู้เหมิน) ประตูภาวะ (จิ่งเหมิน) เป็นสองประตูที่เป็นกลาง

    * ปิ่ง ติง อี่ เกิง เป็นตัวอักษรในแผนภูมิสวรรค์กิ่งฟ้า (เทียนกัน) ซึ่งมีทั้งหมด 10 อักษร ได้แก่ จย่า อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย โดยแต่ละอักษรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการอธิบายรูปแบบพลังงานของศาสตร์ฉีเหมินตุ้นจย่า

    * วังเจิ้น เป็นหนึ่งในแปดลักษณ์ของแผนภูมิปากว้า ซึ่งใช้ระบุตำแหน่งทิศในศาสตร์ฉีเหมินตุ้นจย่าได้ โดยแปดลักษณ์ประกอบด้วยวังเฉียน (ฟ้า) แทนทิศตะวันตกเฉียงเหนือ วังข่าน (น้ำ) แทนทิศเหนือ วังเกิ้น (ภูเขา) แทนทิศตะวันออกเฉียงเหนือ วังเจิ้น (สายฟ้า) แทนทิศตะวันออก วังซวิ่น (ลม) แทนทิศตะวันออกเฉียงใต้ วังหลี (ไฟ) แทนทิศใต้ วังคุน (ดิน) แทนทิศตะวันตกเฉียงใต้ และวังตุ้ย (สระบึง) แทนทิศตะวันตก

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook