• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 7 บทที่ 1

    ยอดบุรุษมิอาจไม่ยืนหยัดปณิธานยิ่งใหญ่ แบกภาระหนักอึ้งหนทางไกล

    ถือเมตตานำพาเป็นภาระตน ไยไม่หนักเล่า หลังชีพวายถึงได้หยุดพัก ไยไม่ไกลเล่า

     

    ‘คัมภีร์หลุนอวี่ บรรพไท่ป๋อ บทที่แปด’

     

    บทที่ 1

    จอมเวทปัวหลง

     

    ราชวงศ์ฮั่นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ผู้วิเศษจางเต้าหลิงแห่งลัทธิเต๋าแต่งตั้งภูเขาเลื่องชื่อในใต้หล้าสามร้อยหกสิบห้าลูก หนึ่งในนั้นคือเขาชิงหยวนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นอกอำเภอหลูหลิงในปัจจุบัน

    ทิวทัศน์ของเขาชิงหยวนนั้นแปลกตาเป็นพิเศษ ทุกแห่งหนล้วนเป็นผาน้ำพุธารธารา ยอดเขาประหลาดหุบเขาอันตราย เปี่ยมมนตร์ขลังน่าสะพรึง จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ในบรรดาวัดทั้งหมดนั้น วัดจิ้งจวีจัดว่างามสง่าและกว้างใหญ่ที่สุด และยังเป็นวัดอันดับหนึ่งแห่งเจียงซี

    ยามนี้มีเงาร่างสองเงาปรากฏขึ้นบนตีนเขาทางทิศเหนือของเขาชิงหยวน

    คนทั้งสองสวมชุดคลุมประหลาดทำจากผ้าหยาบหลากสีเป็นชั้นๆ กระบี่ยาวที่ติดตัวแกว่งไกวไปตามการวิ่ง ปลายฝักกระบี่กระแทกบนขั้นบันไดหินของทางภูเขาอยู่ตลอด บังเกิดเสียงดังกังวานระหว่างป่าเขา

    ทางที่พวกมันกำลังเดินหาใช่ทางขึ้นไปยังวัดจิ้งจวีไม่ แต่เป็นวัดอีกแห่งหนึ่งบนเขา วัดนี้ขนาดเล็กกว่าวัดจิ้งจวีมาก ลักษณะที่ตั้งเป็นชัยภูมิที่เปี่ยมด้วยอันตราย ซ่อนอยู่ในส่วนลึกระหว่างหุบเขา จำต้องเดินทางไปตามเส้นทางแคบด้านตะวันตกนี้ ช่องทางเขาสองฝั่งและหุบเขาโดยรอบล้วนสูงเสียดเมฆา แม้ยามบ่ายเช่นนี้ก็ยังคงมืดสงัด กอปรกับหมอกปกคลุมรอบภูเขาทำให้มีบรรยากาศลึกลับดูศักดิ์สิทธิ์

    หัวหน้าใต้อาณัติของจอมเวทปัวหลงสองคนนี้เพิ่งหนีพ้นการไล่ตามของพวกจิงเลี่ยที่อำเภอหลูหลิง ลักษณะสุดแสนชั่วร้ายก่อนหน้าหายไปกว่าครึ่งแล้ว ท่วงท่าขณะวิ่งราวกับสุนัขไร้บ้าน

    “ระ…รอเดี๋ยว!” หานซือเต้าบุรุษหน้าขาวเยาว์วัยผู้นั้นหยุดวิ่งและนั่งทรุดลงบนขั้นบันไดหิน

    เพื่อหลบหนีการไล่ตาม พวกมันจึงต้องสละม้า กว่าถึงที่นี่ก็เดินมาแล้วหลายหลี่ หานซือเต้าหอบหายใจ สีหน้าขาวซีดกว่าเดิมเสียอีก เหมือนเจ็บป่วยก็ปาน

    เอ้อเอ๋อร์ห่านบุรุษเคราเหลืองหยุดเท้าตาม ดวงตาเหมือนปลาตายคู่นั้นก้มมองพวกพ้องอย่างเย็นชา ลมหายใจของมันถี่เร่งเพียงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าแรงกายยังดีกว่าหานซือเต้าที่หนุ่มกว่าหลายปี

    หานซือเต้าพลิกกระเป๋ามากมายของชุดคลุมหลากสี ล้วงห่อกระดาษใบเล็กใบหนึ่งออกมา เมื่อเปิดออกจึงเห็นเป็นผงยาสีขาวจำนวนหนึ่ง นี่คือผงฝ่างเซียนที่มันใช้เพื่อลอบทำร้ายเยียนเหิงในการต่อสู้ที่อำเภอหลูหลิงเมื่อครู่

    หานซือเต้ายื่นเล็บนิ้วก้อยข้างซ้ายที่ไว้จนยาวเป็นพิเศษออกไปตักผงขาวเพียงเล็กน้อย แล้วยื่นไปใต้จมูก ก่อนสูดผงฝ่างเซียนเข้าไปลึกๆ และหลับตาลงทันที ร่างมันสั่นอย่างแรงหลายหน ใบหน้าคืนสู่สีเลือดเล็กน้อย

    เอ้อเอ๋อร์ห่านฉวยโอกาสยามนี้จัดการเสียบกระบี่โบราณคู่นั้นเก็บไว้ตรงข้างเอว…นี่เป็นกระบี่ที่มันชิงมาจากมือกระบี่สำนักเซียงหลงแห่งเมืองฉางซา เมื่อคราวนำไพร่พลจอมเวทล้อมสังหารอย่างโหดร้ายเมื่อสองปีก่อน

    “ขอเตือนเจ้าก่อน อย่าใช้เยอะเช่นนั้น เป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นการทำร้ายร่างกาย” เอ้อเอ๋อร์ห่านส่ายหน้าถอนหายใจ

    หานซือเต้าหรี่ดวงตาเรียวเล็กแฝงเล่ห์ร้าย สีหน้าเป็นสุขอย่างยิ่งจากการเสพผงฝ่างเซียน มันเพียงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “จอมเวทเองก็มิได้ยุ่งกับข้า เจ้าถือดีอะไร” หานซือเต้าร้องหึอย่างเย็นชาและเช็ดน้ำมูกที่ไหลลงมา ก่อนกล่าวอีก “เจ้าก็ถูกศัตรูฟันตกม้าในดาบเดียวมิใช่หรือ”

    ดวงตาเสมือนไร้ชีวิตชีวาของเอ้อเอ๋อร์ห่านแผ่จิตสังหารผ่านออกมาชั่วขณะ มือทั้งสองกุมด้ามกระบี่ที่ข้างเอวเอาไว้

    หานซือเต้าดีดร่างขึ้นมาอย่างระแวดระวังพรั่นพรึง ก่อนกล่าวอย่างใจฝ่อเล็กน้อย “หากยังมีเรี่ยวแรงล่ะก็ มิสู้คิดดูก่อนว่าจะขอขมาต่อจอมเวทอย่างไรจะดีกว่า!” ฝ่ามือที่กุมด้ามกระบี่ของหานซือเต้ากำลังอาบเหงื่อ…มันรู้ดีว่าเอ้อเอ๋อร์ห่านแข็งแกร่งกว่าตนเอง

    ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของอีกฝ่ายและนึกถึงการสูญเสียศิษย์จอมเวทมากถึงห้าสิบคนในเมือง ใบหน้าคมเข้มที่บ่งบอกสายเลือดชาวแดนตะวันตกของเอ้อเอ๋อร์ห่านก็สั่นสะท้าน จิตสังหารพลันถูกความกลัวข่มเอาไว้ ดวงตามันกลับมาปราศจากโทสะ มือทั้งสองปล่อยด้ามกระบี่

    “อย่าคิดว่าข้าเป็น ‘หัวหน้าผู้คุ้มธง’ ส่วนเจ้าเป็นรองหัวหน้า แล้วจะยัดเยียดความรับผิดชอบทั้งหมดให้ข้าได้” เอ้อเอ๋อร์ห่านกล่าวพลางก้าวเท้าขึ้นบันไดหินของเส้นทางเขาต่อ “อย่าลืมล่ะ ‘หลินเมฆสังหาร’* นั่นเจ้าโปรยเองกับมือ”

    คนทั้งสองเข้าสู่หุบเขา อากาศของพงไพรเหมือนเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ บนต้นไม้ข้างทาง ทุกแห่งมีวัตถุขนาดเล็กใช้ตะปูห้อยไว้ บ้างเป็นป้ายไม้ไผ่สลักอักขระ บ้างก็เป็นแถบผ้าเขียนคาถา และมีไม้สลักหยาบๆ รูปคนหรือรูปสัตว์ คล้ายเป็นสิ่งที่ใช้ลงคาถาอาคม บรรยากาศโดยรอบแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด

    ในที่สุดพวกมันก็บรรลุถึงซุ้มประตูเขาบานหนึ่ง อักษรคำว่าวัดชิงเหลียนที่สลักอยู่บนยอดประตูแต่เดิมถูกลบออกนานแล้ว กลอนคู่ไม้สลักบนเสาประตูสองแถบก็ถูกมีดขวานขูดออกไป เปลี่ยนเป็นแขวนธงปลายแหลมสีแดงคู่หนึ่งที่เขียนคาถาอักษรคดโค้งไว้เต็มไปหมด และถูกฝนสาดจนเป็นสีน้ำตาลแล้ว

    หลังผ่านซุ้มประตูเขา วัดชิงเหลียนก็ปรากฏในสายตา ตำหนักสูงสองชั้นซ่อนอยู่ส่วนลึกของหุบเขา มองแวบแรกกลับเหมือนค่ายภูเขาจะเป็นทางตัน ด้านหลังวัดสามด้านล้วนเป็นผาสูงชัน ด้านหน้าขวางไว้ด้วยลำธารสายหนึ่ง มีเพียงสะพานไม้สะพานเดียวที่ข้ามได้

    วัดที่เดิมควรโอ่โถงให้ความรู้สึกร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้คน ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับให้บรรยากาศอึมครึมอย่างประหลาด

    หลังข้ามสะพานอินกั่วนั้นก็มาถึงลานว่างหน้าประตูวัด ซึ่งขณะนี้วังเวงอย่างยิ่ง

    พื้นที่ว่างด้านข้างยังมีวัตถุสิ่งหนึ่ง เหลือบมองผ่านๆ ยังเข้าใจผิดว่าเป็นรูปปั้นหินพระโพธิสัตว์ตี้จั้ง* แต่หากพินิจอย่างละเอียดจะรู้ว่าเป็นซากศพหลวงจีนรูปหนึ่งมรณภาพในท่านั่งสมาธิ เนื้อหนังและจีวรบนร่างเปื่อยยุ่ยเพราะไอชื้นของหมอก กระดูกสีเทาโผล่ออกมา หนอนไชเข้าไชออกตรงโพรงเบ้าตา

    …เป็นหลวงจีนเจวี๋ยเอินเจ้าอาวาสเดิมของวัดชิงเหลียน

    ป้ายชื่อเหนือประตูหลักวัดชิงเหลียนไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว เห็นเพียงทุกที่ไม่ว่าจะเป็นประตูวัด เสา หรือผนัง ล้วนวาดด้วยคาถาและติดยันต์กระดาษแน่นขนัดเต็มไปหมด สิ่งที่ใช้ล้วนเป็นสีแดงฉูดฉาดดั่งโลหิต ลายมือของคาถานั้นเขียนอย่างรีบเร่งและหวัด รอยสีน้ำมันกระจายไปทั่ว คล้ายคนเขียนกำลังอยู่ในอาการลิงโลดหรือเสียจริต

    คาถาสีแดงที่เปรียบดั่งห้วงมหรรณพ ราวกับจมและกลืนกินทั้งวัดไป

    เอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้าหยุดลงหน้าประตูวัด พวกมันมองหน้ากันแวบหนึ่ง หานซือเต้ายื่นมือค้างอยู่กลางอากาศลังเลอยู่ว่าจะผลักประตูหรือไม่ เอ้อเอ๋อร์ห่านสีหน้าเคร่งขรึมจับเคราเหลืองของตนอย่างไม่สบายใจ

    เป็นความหวาดกลัวที่มิอาจสะกด

    สิ่งที่พวกมันกลัว ย่อมมิใช่เพราะฉากมืดสลัวน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดนี้

    แต่เป็นคนผู้นั้นในวัดที่มันต้องเผชิญ หลังจากสูญเสียกองกำลังไปมากเช่นนี้

    คนผู้หนึ่งที่ทุกครั้งที่มองเห็นมัน ล้วนไม่รู้ว่าตนเองจะยังหายใจได้กี่ครั้ง

     

    ในส่วนลึกของถ้ำอันยากจำแนกทิวาราตรี บนหินผาทั้งสองฝั่งกลับเสียบคบเพลิงสิบกว่าอัน ส่องสว่างในถ้ำจนประหนึ่งยามกลางวัน

    เปลวเพลิงกอปรกับอากาศที่ไม่ถ่ายเททำให้ในถ้ำร้อนอบอ้าวผิดปกติ บุรุษผู้หนึ่งกำลังเปลือยร่างก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนัก

    หากมิใช่เพราะผมเผ้าและหนวดเคราล้วนเป็นสีดอกเลาแล้ว ต้องชวนให้เข้าใจผิดว่ามันเป็นคนหนุ่มอย่างแน่นอน กล้ามอกและหลังเปลือยโล่งนั้นดูแข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้า มัดกล้ามแน่นเห็นชัดเจน ร่างกายซ้ายขวาของชายชรา หนาบางค่อนข้างไม่สมมาตร บางส่วนเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ รูปแบบกล้ามเนื้อเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นจากการใช้แรงงานกับบางสิ่งเพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลายาวนาน

    เบื้องหน้าของชายชรามีก้อนหินสามสิบกว่าก้อนจัดวางอย่างเป็นระเบียบแถวหนึ่ง พวกมันต่างมีสีสันและลวดลายไม่เหมือนกัน แต่ล้วนมิใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติจากถ้ำแห่งนี้

    หากว่าผู้เชี่ยวชาญได้ลูบก้อนหินเหล่านี้จะยิ่งจำแนกออกถึงคุณภาพของหินทุกก้อนได้ ไม่ว่าจะเป็นความหยาบ ความละเอียด ความอ่อน ความแข็งล้วนแตกต่างกันไป

    ในมือชายชรากำลังถือก้อนหินก้อนหนึ่งในนั้นอยู่ มันเอาหินจุ่มน้ำในถังไม้ กดบนผิวคมของดาบเดี่ยวเล่มหนึ่ง ใช้มุมที่แม่นยำสุดขีด ออกแรงลับทีละเล็กทีละน้อย

    ทุกระยะหนึ่งที่ลับ มันจะยกดาบขึ้นมา เล็งปลายคมไปยังแสงไฟของผนังหิน หลับตาข้างหนึ่งตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ ครู่หนึ่งจึงลงมือลับดาบต่ออีก

    ชายชราตั้งใจอย่างยิ่ง รักษาท่วงท่าคุกเข่าบนพื้นเอาไว้อยู่ตลอด ลืมอาการชาของขาไปอย่างสิ้นเชิง แม้บริเวณข้อเท้าสองข้างของมันจะถูกตรวนเหล็กล่ามอยู่ โดยปลายโซ่ตรวนเชื่อมกับผนังหินของถ้ำ

    มันกำลังลับดาบอย่างจดจ่อ ความจริงราวกับสัตว์เลี้ยงที่ถูกล่ามขัง แต่มันเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิง

    ในสายตาและหัวใจของมัน เหลือเพียงลายเส้นของคมดาบนั้น

    ขณะมันเปลี่ยนหินลับดาบก้อนที่ห้า เงาร่างเงาหนึ่งพลันปรากฏตรงผนังถ้ำ

    เงานั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง คล้ายชมดูชายชราลับดาบมาโดยตลอด ขณะชายชราเปลี่ยนก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง จึงสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเงาดำและหยุดมือลง

    “ดาบเล่มนี้ดีหรือไม่” เงานั้นกล่าว สุ้มเสียงไม่ชัดเจนเพราะสะท้อนผนังถ้ำ

    “ไม่เลว” ชายชราเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้ววางก้อนหินลง ก่อนยกดาบเดี่ยวขึ้นพินิจดูจากแต่ละมุม คุณภาพวัสดุและงานหลอมล้วนอยู่ระดับกลางแต่ก็จัดว่าเป็นงานขั้นสูง สมดุลก็ประเสริฐ มีเพียงจุดด่างพร้อยไม่กี่แห่ง มันชี้ที่กลางใบดาบ “มีจุดอ่อนจุดหนึ่งในนี้ หากกระทบกับอาวุธหนักหรือเกราะเหล็กก็มีโอกาสที่จะแตกหัก แต่ยังไม่นับว่าหนักหนา” ชายชราลดดาบลงถอนหายใจ “เพียงแต่เทียบกับกระบี่ของท่านแล้ว ยังห่างอยู่มาก”

    เงานั้นยักไหล่ “ห่างอย่างไร”

    พอนึกถึงกระบี่เล่มนั้นชายชราก็หน้าตาเคร่งขรึม มันหลับตาไม่เอ่ยคำ

    ครึ่งปีก่อนขณะถูกจับมาอยู่ที่นี่ เดิมทีมันตัดสินใจว่าถึงตายก็จะไม่ลับอาวุธให้คนเหล่านี้…เพราะมันแท้ๆ พวกที่น่ากลัวยิ่งกว่าโจรพวกนี้จึงถูกชักนำมาหลูหลิง

    เป็นข้าเองที่ทำร้ายคนที่นี่… แต่ตอนที่เจ้าของเงาดำยื่นกระบี่มาเบื้องหน้า มันกลับอดกลั้นไม่อยู่ เหล็กกล้าเย็นยะเยือกนั้นคือความหมายของชีวิตมัน แลเห็นยอดกระบี่แต่ไม่หยิบหินลับขึ้นมา เท่ากับจะให้มันปฏิเสธการเป็นตนเอง เช่นนั้นเป็นทุกข์ยิ่งกว่าตายเสียอีก

    กระบี่เล่มนั้น มันใช้เวลาสามเดือนเต็มๆ ในการลับ

    ชายชรายังมิได้ตอบคำถาม เงาสูงใหญ่และศีรษะโล้นนั้นกำลังรออยู่

    “เป็นปราณ”

    “ปราณกระบี่?” เงานั้นหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อเรื่องนี้”

    “เป็นเพียงวิธีเรียกของข้าเท่านั้น เจ้าเรียกมันว่าอะไรก็ได้” ชายชรากล่าว “สรุปว่าเป็นสิ่งที่มองเห็นมิได้โดยง่าย”

    “ที่มาคืออันใดกัน”

    “แรกเริ่มจากหัวใจของช่างหลอม ขณะมันกำลังหลอมละลาย ในใจย่อมคิดว่าจะให้กำเนิดอาวุธเช่นไร ความคิดนั้นจะต้องถ่ายทอดไปในเหล็กกล้าอย่างแน่นอน” ชายชรายื่นนิ้วมือออกลูบไล้ปากคมของดาบ แม้ยังมิได้ลับจนเสร็จสมบูรณ์ แต่ดาบนี้ก็เฉียบคมถึงขีดสุดแล้ว มันไถลปลายนิ้วผ่านเบาๆ โดยมิได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพียงใช้กายสัมผัสที่ละเอียดฉับไวอย่างมาก

    “จากนั้นเป็นคนที่ใช้อาวุธ จิตที่สั่งสมแรมวันแรมเดือนจะถ่ายทอดลงบนอาวุธเช่นเดียวกัน และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์พลังอำนาจของมัน” ชายชรานิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนเสริมขึ้นอีก “แน่นอนว่ายิ่งฆ่าคนมากจิตนี้ก็จะแรงกล้ายิ่งขึ้น”

    เงาพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย

    ในวันนั้นชายชรามองเห็นกระบี่ของเจ้าของเงานี้เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าผู้ที่ตายใต้คมกระบี่นี้มีไม่น้อยอย่างแน่นอน เพราะกระบี่ทั้งเล่มล้วนแผ่ไอชั่วร้ายออกมารางๆ

    แต่รูปลักษณ์การหลอมเดิมของกระบี่นั้นเห็นได้ชัดถึงการแสวงหาอันเรียบง่ายและจริงใจอย่างมาก บริสุทธิ์ดุจหิมะน้ำแข็ง

    ชายชรารู้ว่าความฮึกเหิมชนิดนี้มาจากที่ใด…แวบเดียวมันก็จำแนกออกจากการสร้าง เป็นกระบี่อู่ตัง

    เนื่องเพราะการผสมผสานอย่างสุดขั้วสองประเภทนี้ จึงดึงดูดชายชราให้มิอาจระงับความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลับมัน

    ครั้นได้สัมผัสจิตผ่านกระบี่ มันก็รับรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้าของได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    เงานั้นได้ฟังคำอธิบายของชายชราก็พอใจเป็นอย่างมาก

    “เจ้าขาดแคลนอะไรหรือไม่ เอ่ยปากมาได้เลย อยากกินดื่มอะไร หรือต้องการสตรีก็ได้ หรือว่าจะให้ข้าหาคนมาให้เจ้าลองดาบ?”

    ชายชราส่ายหน้าปฏิเสธ เพียงลับกระบี่ให้คนพรรค์นี้มันก็รู้สึกผิดมากแล้ว การใช้แรงงานเสมือนบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ในถ้ำเช่นนี้ก็มีความนัยเหมือนลงโทษตัวเองอยู่เล็กน้อย

    มันรู้ว่าตนเองกลายเป็นของเล่นอันน่าพึงพอใจของคนผู้นี้ไปแล้ว และถึงตายก็จะไม่ได้เป็นอิสระอีก

    เงานั้นหมุนตัว ถอยไปทางปากถ้ำช้าๆ

    ยามนี้ชายชรากลับเอ่ยปากอีก “มีเรื่องหนึ่งที่ตลอดมาข้าไม่เคยพูด”

    “เรื่องอะไร”

    “กระบี่เล่มนั้น” ชายชรารู้ว่าอาจถูกสังหารได้ แต่มันมิอาจระงับอารมณ์ “ข้ารับรู้ได้ว่า ท่านมิใช่เจ้าของมันกระมัง?”

    แผ่นหลังของร่างเงานั้นสั่นเล็กน้อย

    “ถูกต้อง” หลังนิ่งเงียบเนิ่นนาน เงานั้นก็พยักหน้ายอมรับ “ข้าเก็บรักษาไว้ให้ผู้ที่ข้าเคารพที่สุดผู้หนึ่ง”

    “มิน่า” ชายชรากล่าวอย่างกล้าหาญ “ถึงแม้เป็นท่าน ก็ยังมิอาจควบคุมกระบี่เล่มนั้น” หลังมันกล่าวจบก็หลับตา เตรียมตัวศีรษะหลุดแล้วทุกเมื่อ

    เงานั้นกลับคล้ายไม่มีโทสะ เพียงยืนนิ่งเงียบพักหนึ่ง ก่อนเลือนหายไปจากผนังถ้ำ

    ชายชรารู้สึกสะใจในชัยชนะเล็กน้อย มันหยิบก้อนหินขึ้นมาก้มหน้าลับดาบต่อไป

     

    พระพุทธรูปถูกตัดเศียรองค์หนึ่งถูกขับให้เด่นภายใต้แสงโคมและแสงเทียน ชวนให้ยิ่งน่าเศร้าสลด

    โต๊ะบูชาและถ้วยชามระเกะระกะโดยรอบในอุโบสถล้วนเป็นเนื้อสัตว์จานใหญ่ที่กินไม่หมด ยังมีสุราสิบกว่าชนิด และพื้นยังกระจัดกระจายไปด้วยยาลูกกลอน

    ฝ่ามือเรียวยาวที่เต็มไปด้วยรอยสักสีเขียวดำหยิบน่องไก่ชิ้นหนึ่งขึ้นมายังริมฝีปากสีแดงปลั่งและเริ่มกัดแทะ

    นางเป็นสตรีรูปกายภายนอกอายุประมาณสามสิบ รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมเศษผ้าหลากสีรูปแบบเดียวกับพวกเอ้อเอ๋อร์ห่าน ทว่าสิ่งที่ไม่เหมือนคือทุกส่วนสัดล้วนรัดรูปอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดถึงความโค้งของทรวงอกอวบอิ่มและเอวเรียวบาง ข้างซ้ายยังเปิดตั้งแต่หัวไหล่เผยแขนทั้งท่อน จากไหล่ถึงหลังมือล้วนสักรอยสักคาถาเต็มไปหมด

    ใบหน้าเรียวแหลมของสตรีที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดและดวงตาเรียวยาวงดงามอย่างมากกลับส่งผ่านความโหดเหี้ยมเช่นสัตว์กินเนื้อ ทว่าผิวสีขาวนั้นชวนให้ดูอ่อนแออยู่เล็กน้อย

    บริเวณข้างเอวนางพกดาบใหญ่เล่มหนึ่ง แม้มองไม่เห็นรูปลักษณ์คมดาบ แต่ฝักดาบหนังฟอกนั้นกว้างอย่างยิ่ง ตรงหัวด้ามมีพู่แดงกระจุกหนึ่งห้อยอยู่ มองดูอย่างละเอียดที่แท้เปื้อนโลหิตจากน้ำมือมนุษย์

    นางกินน่องไก่เสร็จก็ขว้างกระดูกทิ้งไป ก่อนเผยรอยยิ้มที่ฟันหน้าซี่ใหญ่เหมือนกระต่ายออกมา ดวงตาจ้องมองเอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้าที่ยืนอยู่ในอุโบสถ

    “ห้าสิบคน หายไปทั้งหมด?” นางแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ยังมีม้าห้าสิบตัว! เจ้าว่านั่นราคาเท่าใด หึ ครั้งนี้พวกเจ้าจบเห่แน่”

    เอ้อเอ๋อร์ห่านไม่แสดงสีหน้าเช่นปกติ แต่ผ้าโพกศีรษะเปียกซึมด้วยเหงื่อบริเวณหน้าผาก หานซือเต้าจ้องมองสตรีที่มีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นนางนี้อย่างเคืองแค้น มันกัดฟันกล่าว “ผอเหนียง* เรื่องนี้มิต้องให้ท่านมายุ่งเกี่ยว…” แต่สุ้มเสียงเบากว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

    หานซือเต้าแม้โหดเหี้ยมอำมหิต แต่สตรีนางนี้ไม่กลัวมันสักนิด นางยกมือปิดริมฝีปากสีแดงพลางหัวเราะเสียงดังจนปิ่นทองร้อยไข่มุกล้ำค่าบนศีรษะสั่นไหว

    นางย่อมไม่กลัวมัน ขณะนางฮั่วเหยาฮวาโจรโฉดหญิงสังหารคนสร้างชื่อเป็นครั้งแรกในระหว่างมณฑลจิงโจวและหูหนาน เด็กคนนี้ยังปัสสาวะรดที่นอนอยู่เลย

    บริเวณมืดมิดมุมอุโบสถ เงาร่างอีกเงาหนึ่งยืนอยู่อย่างแน่นิ่งไม่ไหวติง

    มันเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นตัดกันหลายจุด โดยเฉพาะรอยแผลบนหน้าผากข้างขวาลากถึงหางตาเส้นนั้นที่ชวนให้น่าใจหายที่สุด รอยแผลเป็นนี้เกือบทำลายตาขวาของมัน เปลือกตาที่ห้อยตกปิดรอยแผลเป็นอยู่นั้นชวนให้เข้าใจผิดเหมือนว่ามันยังไม่ตื่นนอน แต่ดวงตากลับสาดแสงเฉียบคมรอบด้าน

    บุรุษผู้นี้หาได้สวมชุดหลากสีสันไม่ แต่สวมชุดคลุมสีดำ บริเวณสายคาดเอวห้อยมีดสั้นที่ทั้งโค้งทั้งแหลม รูปทรงดุจเขี้ยวสัตว์คู่หนึ่ง หัวด้ามมีห่วงเหล็ก ด้านบนติดโซ่ยาวหนึ่งเส้นพันไว้ตรงเอว

    บุรุษชุดดำพิงอยู่ตรงมุมตลอดโดยไม่เอ่ยคำ ราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืด

    ฮั่วเหยาฮวาเห็นลูกกลอนกองหนึ่งอยู่รวมกับถ้วยชามบนโต๊ะก็หยิบขึ้นมาสองเม็ด โยนเข้าปากเหมือนเด็กกินลูกอม ค่อยดื่มสุรากลืนยาตามอึกหนึ่ง แก้มนางปรากฏสีแดงเรื่อในทันใด หว่างคิ้วและดวงตาฉายความตื่นเต้นบ้าระห่ำ นางเลิกชายชุดคลุมหลากสีออก ยกต้นขาสีขาวยวนใจข้างหนึ่งพาดบนเก้าอี้ มองเอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้าอย่างไม่หวังดี

    ขณะพวกเอ้อเอ๋อร์ห่านทั้งสองกำลังร้อนรนกังวลใจ คนผู้นั้นก็ปรากฏที่อุโบสถแล้ว

    คนรูปร่างสูงใหญ่โดยทั่วไปการเคลื่อนไหวมักจะขาดความคล่องแคล่วเล็กน้อย ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดล้วนสังเกตเห็นง่ายดายอย่างมาก แต่ขณะที่ทั้งสี่มองเห็นศีรษะขนาดมหึมาและล้านเกลี้ยงนั้น มันก็มาอยู่กึ่งกลางอุโบสถ ยืนอยู่หน้าพระพุทธรูปไร้เศียรองค์นั้นแล้ว หากมิใช่เพราะม่านประตูหลังอุโบสถกำลังโยกเยก ผู้คนคงคิดว่ามันใช้วิชามารบางอย่างมาปรากฏตัวกะทันหัน

    จอมเวทปัวหลงสูงกว่าคนอื่นใดในห้องหนึ่งศีรษะขึ้นไป แต่ความรู้สึกกดดันที่มันแผ่ออก หาได้มาจากร่างสูงใหญ่ไม่

    ดวงตากลมโตทั้งสองของมันก้มมองเอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้า สายตาไม่เหมือนมองดูพวกเดียวกันกับตนเองอย่างสิ้นเชิง

    เอ้อเอ๋อร์ห่านมิอาจมองตรงไปยังจอมเวท ใบหน้าหลั่งเหงื่อก้มจนต่ำ หานซือเต้ามองแขนเสื้อกว้างของชุดคลุมหลากสีของจอมเวทไม่กะพริบ มันกลัวการปรากฏของฝ่ามือใหญ่ยาวผิดปกตินั้นตลอดเวลา

    หากว่าวันนี้ต้องตาย อย่างน้อยให้ข้าเห็นชัดว่าเจ้าฆ่าข้าอย่างไร

    “พวกเจ้า…” ภายนอกของจอมเวทปัวหลงแปลกประหลาด แต่สุ้มเสียงกลับอ่อนโยนไพเราะผิดปกติ “…’กองธง’ ที่นำไป สูญเสียทั้งหมด?”

    เอ้อเอ๋อร์ห่านอ้าปากพยายามตอบ แต่กลับเหมือนมีใบมีดขัดอยู่ระหว่างลำคอมิอาจออกเสียง หลังพยายามพักหนึ่งมันก็ล้มเลิก เพียงออกแรงพยักหน้า

    จอมเวทปัวหลงเดินไปข้างกายฮั่วเหยาฮวา ยื่นฝ่ามือใหญ่ลูบไล้เส้นผมของนางเหมือนเจ้าของลูบแมวก็มิปาน ชั่วขณะที่ฮั่วเหยาฮวาถูกมือของจอมเวทสัมผัส นางก็เคร่งเครียดหวาดกลัววูบหนึ่ง จากนั้นลำคอจึงผ่อนคลายลง

    …แม้จะเคยถูกจอมเวทลูบไล้เช่นนี้นับไม่ถ้วน แต่นางก็ยังคงมิอาจกำจัดความหวาดกลัวไปได้อย่างสิ้นเชิง

    ดวงตากลมโตของจอมเวทยังคงไม่ละจากพวกเอ้อเอ๋อร์ห่านทั้งสอง

    “พวกเจ้า เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด จึงเสียสละศิษย์ห้าสิบกว่าคนของข้าหรือ”

    ชั่วขณะนี้ หานซือเต้าผุดความคิดจำนวนหนึ่ง มันต้องชักกระบี่ก่อนที่จิตสังหารของจอมเวทจะปรากฏใช่หรือไม่

    ความคิดตื้นเขินนี้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ระยะห่างในความเป็นจริงของมือขวากับด้ามกระบี่ตรงข้างเอวห่างเพียงไม่กี่ฉื่อ แต่สำหรับมันในขณะนี้กลับเป็นสิ่งที่ห่างไกลจนมิอาจสัมผัส

    แต่ปลายนิ้วของหานซือเต้ายังคงกระดิกเล็กน้อย การเคลื่อนไหวนิดเดียวนี้ถูกบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ตรงมุมอุโบสถสังเกตได้ในทันที มันจึงขมวดคิ้ว

    …โง่เขลา

    เกิดเสียงดังเพียะ เอ้อเอ๋อร์ห่านที่อยู่ด้านข้างตบบนใบหน้าหานซือเต้าอย่างแรง ใบหน้าด้านขวาของหานซือเต้าบวมแดงขึ้นทันที มุมปากฉีกขาด แต่มันมิกล้าร้องแม้สักแอะเดียว

    จอมเวทปัวหลงกลับมิได้สนใจแม้แต่น้อย นิ้วมือยาวยังคงไล้ผ่านเส้นผมดกดำของฮั่วเหยาฮวา

    “ฮั่วเหยาฮวา บอกข้า ห้าสิบคนคิดเป็นเท่าไหร่ของศิษย์ข้า” มันถามพลางใช้นิ้วมือหนีบต่างหูทองข้างขวาของนาง

    ฮั่วเหยาฮวามิอาจฟังออกจากน้ำเสียงสงบนิ่งของจอมเวทว่ามันเดือดดาลหรือไม่ เพราะมิอาจรู้จึงหวาดกลัวอย่างมากที่สุด

    “ประมาณ…สี่ส่วน” ฮั่วเหยาฮวาตอบอย่างรอบคอบ นางครุ่นคิดก่อนเพิ่มอีกประโยคหนึ่ง “ส่วนม้าห้าสิบตัวนั่น เป็นครึ่งค่อนทั้งหมดของเรา”

    ประโยคหลังนี้ทำให้เอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้าเกลียดชังนางปีศาจผู้นี้ยิ่งกว่าเดิม แต่บนหน้ามิกล้าแสดงออกแม้แต่น้อย

    จอมเวทปัวหลงปล่อยฮั่วเหยาฮวา หดฝ่ามือเข้าไปในแขนชุดคลุม มันมองพระพุทธรูปไร้เศียรพลางกล่าวพึมพำ “ในหลายปีนี้ ศิษย์ที่พวกเรารับมาอย่างยากเย็น…”

    เมื่อมันนิ่งเงียบลง คนทั้งสี่คนในอุโบสถก็ย่อมกล้าไม่กล่าวคำ พวกเอ้อเอ๋อร์ห่านทั้งสองรู้สึกเพียงตอนนี้ทุกนาทีล้วนผ่านพ้นยากกว่าหนึ่งปี

    เนิ่นนานจอมเวทจึงเอ่ยปากอีกครั้ง

    “พวกเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ตนเองสมควรทำอะไร”

    ในใจเอ้อเอ๋อร์ห่านกำลังภาวนาว่าหากเคราะห์ดี ขอเพียงตนดวงตาพิการหนึ่งข้าง หรือฝ่ามือหนึ่งข้าง

    “ลงเขาไปเดี๋ยวนี้ นำคนไปอีกหลายๆ คน”

    การตัดสินใจของจอมเวทปัวหลงเหนือความคาดหมายของพวกมัน

    “ภายในสามวัน ไปฆ่าหนึ่งร้อยห้าสิบคน อีกทั้งติด ‘ยันต์เสกสิ่ง’ บนศีรษะที่ตัด พวกเรามีศิษย์ห้าสิบคนที่ไปสู่ดินแดนสัตย์จริงแล้ว ต้องหา ‘ทาสวิญญาณ’ รับใช้ทุกคนที่โน่นคนละสามตน ไม่…ยังมีจำนวนที่เหลือ พวกเจ้าฆ่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคนเลยก็แล้วกัน” จอมเวทปัวหลงออกคำสั่งเช่นนี้เหมือนเพียงกำลังพูดคุยงานที่หยุมหยิมมากเรื่องหนึ่ง สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

    “ขอรับ ท่านเทพ* จอมเวท!” เอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้ารีบขานรับทันที สุ้มเสียงนั้นกังวานจนสะท้อนอยู่ในอุโบสถ คนทั้งสองพกกระบี่พุ่งทะยานไปยังประตูวัด

    จอมเวทปัวหลงมิได้มองคนทั้งสองสักแวบ เพียงหยิบสุราขวดหนึ่งขึ้นมารินตื้นๆ จิบหนึ่งอึก

    ยามนี้บุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ตรงมุมกลับหน้าถอดสี

    “ท่าน…มิได้เอาจริงกระมัง?”

    จอมเวทปัวหลงยามนี้บังเกิดสีหน้าเป็นครั้งแรก มันยักหางคิ้วขึ้น

    “เจ้าไม่ดีใจ?”

    “ฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องมากเช่นนี้…จำเป็นด้วยหรือ” บุรุษชุดดำคือคนผู้เดียวในอุโบสถที่กล้าสบตากับจอมเวท มันเพียงขมวดคิ้ว หาได้บันดาลโทสะไม่ หากกล่าวว่ามันคัดค้านคำสั่งของจอมเวท มิสู้กล่าวว่ามันรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการสังหารสิ่งมีชีวิตโดยไร้ความหมายเช่นนี้จะดีกว่า

    “ศิษย์น้องเหมย เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ตัดสินใจออกจากเขาอู่ตังกับข้าก็เพื่อสิ่งใด” ท่าทีที่จอมเวทปัวหลงยามเผชิญต่อบุรุษชุดดำไม่เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อลูกน้องทั้งสามคนอย่างเห็นได้ชัด

    เหมยซินซู่บุรุษชุดดำย่อมจำได้ มันผู้เคยเป็นศิษย์เด่นล้ำ ละทิ้งสถานะตำแหน่งอย่างเด็ดเดี่ยว หนีออกจากเขาอู่ตังกับศิษย์ทรยศผู้นี้ก็เพื่อแสวงหาพลัง…มิใช่ยอดสูงสุดแห่งวิถียุทธ์อันว่างเปล่าของสำนักอู่ตัง แต่เป็นพลังที่ใช้ได้จริงในทางโลก

    คำพูดประโยคเดียวของจอมเวทปัวหลงในตอนนี้ก็ตัดสินความเป็นตายของคนร้อยกว่าคนได้แล้ว นี่มิได้สะท้อนให้เห็นถึงพลังประเภทนั้นหรอกหรือ

    เหมยซินซู่นิ่งเงียบเห็นด้วย

    จอมเวทปัวหลงยามนี้กลับแวบกาย จับฝ่ามือซ้ายของฮั่วเหยาฮวาเอาไว้ ความเร็วของท่าร่างในการลงมือนั้นทำให้นางตาลาย

    จอมเวทจับมือนางยื่นไปยังฟันของตนเอง กัดผิวหนังปลายนิ้วนางจนขาด ฮั่วเหยาฮวาอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ไม่เปล่งเสียง

    จอมเวทใช้เลือดที่หลั่งออกจากปลายนิ้วนั้น แต้มตรงหว่างคิ้วตนเอง จึงปล่อยมือของฮั่วเหยาฮวาออก จากนั้นประนมมือสวดคาถาเสียงดัง

    …นี่คือ ‘คัมภีร์ส่งวิญญาณ’ ของลัทธิอู้อี๋ ที่สวดเพื่อปลอบขวัญวิญญาณศิษย์จอมเวทห้าสิบคนที่ข้ามไปสู่ดินแดนสัตย์จริงแล้ว

    ฮั่วเหยาฮวาดูดปลายนิ้วที่หลั่งเลือด มองจอมเวทหลับตาสวดมนต์ เห็นเพียงกล้ามเนื้อทุกจุดบนหน้ามันขมวดแน่น ลักษณะท่าทางเคารพเลื่อมใสบางสิ่งผิดปกติ

    ในใจฮั่วเหยาฮวากำลังลังเลอยู่ นางติดตามจอมเวทปัวหลงได้สามปีกว่าแล้ว แต่วันนี้ยังคงไม่กระจ่างว่าจอมเวทปัวหลงบูชาลัทธิอู้อี๋จริงหรือ

    เหมือนในวันนี้ สั่งการสังหารร้อยกว่าคนเป็นทาสวิญญาณ แม้สอดคล้องกับประเพณีอันเหี้ยมโหดของลัทธิอู้อี๋ แต่จอมเวทตัดสินใจทำเช่นนี้เพียงเพราะยึดมั่นศรัทธาต่อคำสอนจริงหรือ หรือว่าหลังสูญเสียไพร่พลกลุ่มใหญ่ จึงต้องใช้อุบายอันน่าสยดสยองเพื่อรักษาอำนาจเด็ดขาดของตนเอง? เป็นความบ้าคลั่งอันสัตย์จริง? หรือแค่แผนการเล่นลูกไม้?…

    เห็นเพียงจอมเวทปัวหลงขณะกำลังท่องคาถากลับหลั่งน้ำตาออกมา ความเศร้าโศกนั้นมิคล้ายลวงหลอกโดยสิ้นเชิง

    …กลลวงนี้ เป็นจุดที่ชวนให้หวาดกลัวที่สุดของจอมเวทปัวหลง

    หลังจอมเวทปัวหลงสวดคาถาเสร็จ มันใช้แขนเสื้อเช็ดไปที่น้ำตา จากนั้นลูบเส้นผมของฮั่วเหยาฮวาอีกครั้ง

    “ฮั่วเหยาฮวา มิต้องอิจฉา เมื่อเจ้าไปสู่ดินแดนสัตย์จริงแล้ว ข้าเองก็จะสวดมนต์ให้เจ้าเช่นเดียวกัน ยังจะหาทาสวิญญาณชายที่ล่ำที่สุดให้เจ้าหลายๆ ตน”

    ฮั่วเหยาฮวาพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง ในใจนางมิได้สนดินแดนสัตย์จริงหลังความตายและไม่เชื่อแม้สักนิด เพียงแต่ลัทธิอู้อี๋สอนให้แสวงหาความสุขมากที่สุดในโลกปัจจุบัน พึงพอใจในความปรารถนาทั้งหมดโดยไม่สนสิ่งอื่นใด ในด้านนี้นางกลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง และเป็นเหตุผลที่สมัครใจติดตามจอมเวทมาโดยตลอด

    “เจ้าสองคนนั้น ฆ่าศิษย์มากเพียงนี้ ท่านเทพจอมเวทไม่ลงโทษพวกมันหรือ” ฮั่วเหยาฮวาค่อนข้างไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

    “เจ้าเด็กน้อยหานซือเต้านั่นไม่ต้องพูดถึง แต่ศรัทธาของเอ้อเอ๋อร์ห่านแรงกล้าอย่างมาก” จอมเวทกล่าว “ถ้าไม่จำเป็น มันคงไม่เสียสละเหล่าศิษย์ตามใจชอบ สถานการณ์ต้องอันตรายอย่างยิ่งเป็นแน่ เพราะศัตรูแข็งแกร่ง”

    เหมยซินซู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งพยักหน้า มันรู้ดีถึงระดับวรยุทธ์ของเอ้อเอ๋อร์ห่าน กระบี่คู่ไท่จี๋นั้นแม้ไม่สมบูรณ์ แต่หากเป็นบุคคลในยุทธภพทั่วไปย่อมมิใช่คู่ต่อสู้เพลงกระบี่คู่ของมันอย่างแน่นอน

    “ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนชุด” จอมเวทปัวหลงกล่าวอีก “ศิษย์น้องเหมย เจ้าไปเรียกศิษย์ที่เชิงเขามาเฝ้าที่นี่เอาไว้”

    “ท่านเทพจอมเวท…ท่านจะลงเขา?” ฮั่วเหยาฮวาประหลาดใจ

    “ไปในเมือง” จอมเวทปัวหลงยิ้มน้อยๆ อย่างประหลาด “วันนี้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเอาชนะพวกเราได้แล้ว ต้องพึงพอใจเป็นแน่ สภาพจิตใจก็ผ่อนคลาย คืนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการแก้แค้นกลับ ศัตรูที่ทำให้สุนัขรับใช้สองตัวของข้าวิ่งหนีหางจุกตูดได้ ข้าย่อมต้องไปดูด้วยตนเองสักแวบ”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook