• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 8 บทที่ 3

    บทที่ 3

    กำจัดโจรกลางใจแสนยากเย็น

     

    ตะวันร้อนแรงกลางหาวสาดส่องท้องทุ่งดั่งเพลิงเผา ม้าสองตัวของหวังโส่วเหรินและเยียนเหิงตะบึงคู่กันบนทางแถบชานเมือง ตะกุยฝุ่นควันร้อนระอุขึ้นไปตามทาง

    พวกมันเดินทางจากอำเภอหลูหลิงตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ควบขี่ตลอดครึ่งชั่วยามไม่หยุดพัก โดยมีหวังโส่วเหรินนำหน้าและเยียนเหิงตามอยู่ด้านหลังติดๆ

    เยียนเหิงมองไปยังแผ่นหลังของใต้เท้าหวังบนอานม้าโดยตลอด เห็นท่าขี่ของมันช่ำชองอย่างยิ่ง ม้าวิ่งตะบึงฝีเท้าแผ่วเบา มันเคยได้ฟังลูกศิษย์หวังโส่วเหรินกล่าวว่าขณะใต้เท้าหวังยังหนุ่มได้ขยันฝึกขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ชำนาญบุ๋นบู๊รอบด้าน เห็นชัดว่าที่กล่าวมามิได้โป้ปด

    หลังศึกเมื่อคืน จอมเวทปัวหลงอาจโจมตีอำเภอหลูหลิงอีกครั้งได้ทุกเมื่อ การเดินทางยืมทหารครานี้จะชักช้ามิได้ คนทั้งสองแม้เหงื่อหยดดั่งฝนก็มิอาจชะลอม้าลงสักนิด

    กระทั่งเดินทางถึงลำธารตื้นๆ สายหนึ่ง ม้าทั้งสองต้องข้ามน้ำไปฝั่งตรงข้าม พวกมันจึงหยุดพักให้ม้ากินน้ำพักผ่อน หวังโส่วเหรินให้เยียนเหิงชำระล้างบาดแผลบนหน้า อีกทั้งผลัดเปลี่ยนผ้าและยารักษา

    “ปากแผลเริ่มผสานแล้ว…” หวังโส่วเหรินใช้น้ำจากลำธารเช็ดแผลที่ขากรรไกรของเยียนเหิงเบาๆ และตรวจดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “อายุน้อยนี่ประเสริฐจริงๆ”

    “ขอบคุณ” หลังพันแถบผ้าบนหน้าใหม่อีกครั้ง เยียนเหิงจึงแสดงคำขอบคุณที่ใต้เท้าหวังช่วยดูแล มันจะเคยคิดได้อย่างไรว่าวันหนึ่งจะมีขุนนางขั้นสี่แห่งราชสำนักมาเปลี่ยนยาให้ตนเองกับมือ

    หวังโส่วเหรินยิ้มน้อยๆ ขณะก้มตัวล้างมือริมธารพลางมองภาพของธรรมชาติเบื้องหน้า และคล้ายคิดบางสิ่งได้จึงขมวดคิ้วขึ้นมา

    เยียนเหิงมองไปตามสายตานั้น เห็นแสงแดดส่องสีสันของทิวเขาอันงดงามสะท้อนเป็นเงาบนผิวน้ำ ในใจมันรู้สึกสงบเยือกเย็นขณะชมดู

    แดนสุขาวดีเช่นนี้กลับมีโจรชุกชุม ไปจนถึงซ่อนเร้นคนชั่วเช่นจอมเวทปัวหลง…น่าเสียดายจริงๆ

    หวังโส่วเหรินเองก็ครุ่นคิดเช่นเดียวกัน มันใช้มือพาดบนกระบี่ยาวตรงข้างเอวยืนอยู่หน้าลำธารใสที่เปล่งประกายระยิบระยับ ลมอ่อนๆ พัดเครายาวห้ากระจุกของมัน ในสายตาของเยียนเหิง รูปร่างผอมสูงสงบนิ่งไม่ขยับของใต้เท้าหวังดุจดั่งต้นไม้แกร่งที่ยืนหยัดอยู่ริมน้ำ

    หวังโส่วเหรินถอนหายใจ

    “กำจัดโจรกลางเขาแสนง่ายดาย กำจัดโจรกลางใจแสนยากเย็น”

    เยียนเหิงได้ฟังก็สีหน้าเปลี่ยน

    คนทั้งสองขึ้นม้าข้ามไปยังฟากฝั่งตรงข้ามของลำธารตื้น ขณะเดินถึงกึ่งกลางลำธารเยียนเหิงอดมิได้ที่จะถาม “ใต้เท้าหวัง ปกครองใต้หล้าเป็นเรื่องยากมากหรือ”

    หวังโส่วเหรินแค่นยิ้ม

    “กฎของราชสำนักไม่ศักดิ์สิทธิ์ คนสอพลอกุมอำนาจ อดีตมีพวกขันทีหลิวจิ่นรวบอำนาจทำร้ายขุนนางประชาราษฎร์ บัดนี้ยังมีเฉียนหนิงกับเจียงปินแทรกแซงการปกครองกัดกร่อนรากฐานของราชสำนัก ทำให้ชาวประชาเคียดแค้นฝังลึกขึ้นทุกวัน มีการก่อความวุ่นวายไปทุกหัวระแหง เจ้าเป็นชาวซื่อชวนก็คงรู้เรื่องที่หลิวเลี่ยชนพื้นเมืองรวมพลก่อกบฏเมื่อหลายปีก่อนกระมัง?”

    เยียนเหิงพยักหน้า สำนักชิงเฉิงแม้หลบอยู่ในเขาลึก ตัดขาดโลกภายนอก แต่ในปีนั้นชาวบ้านในเมืองเป่าหนิงทางตอนเหนือของมณฑลซื่อชวนก่อความวุ่นวายแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ลุกลามไปจนถึงส่านซีซึ่งเป็นมณฑลใกล้เคียง เยียนเหิงเองก็ได้ยินจากปากชาวบ้านในตำบลเว่ยเจียงที่เชิงเขามาบ้างเล็กน้อย ต่อมามันยังได้ฟังศิษย์พี่กล่าวว่าในการศึกปราบกบฏนั้น มีขุนนางและทหารในพื้นที่ซึ่งเคยเป็นศิษย์ชิงเฉิงต้องสละชีพ

    หวังโส่วเหรินกล่าวสืบต่ออีก “ภาวะเช่นนี้ล่อลวงเชื้อพระวงศ์และผู้มีอำนาจที่มีใจเป็นอื่นให้มุ่งหมายชิงอำนาจโดยอาศัยความอ่อนแอของการปกครองได้ในเวลาเดียวกัน ก่อนหน้านี้ก็มีกบฏทหารอันฮว่าอ๋อง* เคราะห์ดีถูกขุนนางภักดีปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว จึงมิได้ก่อเหตุโกลาหลในใต้หล้า หาไม่แล้วมิรู้มีกี่ชีวิตต้องถูกสังหาร”

    เยียนเหิงได้ฟังก็อดมิได้ที่จะนึกโยงถึงจอมเวทปัวหลง อมนุษย์ที่ชั่วช้าสามานย์ถึงที่สุดเช่นนี้กลับระรานชาวบ้านได้เนิ่นนานโดยไร้คนสนใจ เห็นได้ว่าอำนาจของราชสำนักเสื่อมโทรมถึงขั้นใดแล้ว

    “แต่ว่า…” ดวงตาหวังโส่วเหรินยามนี้กลับแวบประกายออกมา “เรื่องราวยากหรือไม่ กับควรไปทำหรือไม่ เป็นคนละเรื่องกัน”

    ประโยคนี้ของหวังโส่วเหรินสอดคล้องกับปณิธานแสนเศร้าในการตั้งใจท้าประลองกับอู่ตังของเยียนเหิง มันได้ยินก็พยักหน้าซ้ำๆ

    “พี่จิงเคยบอกข้า” มันกล่าว “เรื่องที่ควรค่าให้กระทำทั้งหมดบนโลก ล้วนแต่ยากลำบาก”

    คนทั้งสองสบตาและเผยรอยยิ้มอาจหาญออกมาพร้อมกัน พวกมันคนหนึ่งวัยแกร่งฉกรรจ์ คนหนึ่งเยาว์วัยนัก อายุยังห่างกันยี่สิบกว่าปี ซ้ำยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ปณิธานไม่ย่อท้อนั้นกลับเหมือนกัน

    “จอมยุทธ์จิง…เป็นผู้เก่งกล้าที่หาได้ยากจริงๆ”

    หวังโส่วเหรินนิ่งเงียบไปเพราะเนิ่นนานแล้วจิงเลี่ยยังไม่กลับมามันจึงค่อนข้างทุกข์ใจ แต่เพียงไม่อยากแสดงออกมาต่อหน้าเยียนเหิงเท่านั้น

    ใต้เท้าหวังกล่าวถึงกบฏอันฮว่าอ๋องเมื่อหลายปีก่อนทำให้เยียนเหิงจำตำหนักหนิงอ๋องได้ มันจึงนำเรื่องที่หลี่จวินหยวนคนสนิทหนิงอ๋องชักชวนพวกมันด้วยตนเอง ทั้งยังมีศึกยุทธภพซีอานที่อาจมีองครักษ์เสื้อแพรแทรกแซงให้เกิดขึ้นบอกกับหวังโส่วเหริน ไหนเลยจะคาดคิดว่าเมื่อใต้เท้าหวังได้ฟังกลับไม่มีสีหน้าผิดคาดแม้แต่น้อย

    นับแต่หวังโส่วเหรินกลับสู่ตำแหน่งรับหน้าที่ดูแลอำเภอหลูหลิงมณฑลเจียงซีก็สนใจการกระทำอันอาจผิดกฎหมายของตำหนักหนิงอ๋อง ตำหนักหนิงอ๋องอาศัยอำนาจที่ไม่ผู้ใดกล้าขวางรวบผลิตผลจำนวนมากของสุจริตชนอย่างกำเริบเสิบสานเป็นประจำ การกระทำละโมบพรรค์นี้มิใช่เรื่องประหลาด เชื้อพระวงศ์แทบทั้งหมดล้วนใช้ทุกวิธีกุมอำนาจยักยอกทรัพย์สินหลวง แต่ในขณะเดียวกันหนิงอ๋องก็อาศัยกำลังทรัพย์อันมหาศาลนี้รับสมัครผู้กระทำผิดที่รักการต่อสู้ ไม่ถามถึงพฤติกรรมและประวัติทั้งมวล มหาโจรที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากตำหนักหนิงอ๋องมีมากมาย หลายปีมานี้หนิงอ๋องยังร้องขอต่อราชสำนักหลายครั้งให้อนุญาตตั้งทัพราชองครักษ์พิทักษ์ตำหนักอ๋องใหม่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินทองจำนวนมากติดสินบนเหล่าขุนนางในเมืองหลวง เรื่องนี้ก็มิใช่ความลับ และบัดนี้มันเริ่มกวักมือเรียกนักสู้ที่มีวิชาล้ำเลิศเหนือชั้นแล้ว…

    หวังโส่วเหรินรู้ดีว่าอุบายของหนิงอ๋องจูเฉินเหาใหญ่หลวงยิ่งนัก ทว่าวันนี้ตำแหน่งและอำนาจของตนเองยังคงต้อยต่ำ ฝ่ายตรงข้ามคืออ๋องแซ่จูที่ยากจะสั่นคลอน หวังโส่วเหรินจึงทำได้เพียงมองดูการเคลื่อนไหวของมันอย่างเงียบๆ

    …แต่หากวันหน้ามีคนจุดเพลิงสงครามในใต้หล้าเพื่อความปรารถนาของตนเอง ต่อให้ข้าต้องสละเลือดเนื้อนี้ก็จะขวางมันไว้ให้ได้

    “พวกท่านทั้งหลาย…มิทำให้ข้ามองผิดดังคาด” หวังโส่วเหรินรู้ว่าพวกจิงเลี่ยหาได้รับชื่อเสียงอำนาจและผลประโยชน์ที่ตำหนักหนิงอ๋องนำมาล่อจึงรู้สึกเคารพอย่างยิ่ง มันยกมือประสานแสดงความนับถือ เยียนเหิงจึงรีบแสดงมารยาทคืน

    “ใต้เท้าหวัง ท่านบอกว่าเราเดินทางครั้งนี้จะไป ‘ยืมทหาร’ ท่านหมายถึง…” ขณะเยียนเหิงถามม้าทั้งสองก็ข้ามไปถึงอีกฟากตรงข้ามของลำธารแล้ว

    “หลังถึงเทือกเขาหมาผี ท่านก็จะรู้เอง” หวังโส่วเหรินตอบ “จอมยุทธ์น้อยเยียน ประเดี๋ยวท่านไม่ต้องถามอันใด ขอเพียงฟังข้า ได้หรือไม่”

    เยียนเหิงตบเจ้าพยัคฆ์ที่ข้างเอว

    “กระบี่ของข้ามิใช่ให้ท่านยืมแล้วหรือ มิต้องถามอีกกระมัง”

    ท่าทางการกล่าวคำพูดนี้ของเยียนเหิงเลียนแบบจิงเลี่ยเล็กน้อย มันรู้สึกว่าตนเองเติบโตกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก

    คนทั้งสองหัวเราะขึ้นมาอีก จากนั้นวิ่งตะบึงไปยังเทือกเขาทางเหนือต่อ

     

    เมื่อถึงขอบเขตเทือกเขาหมาผี เยียนเหิงก็สังเกตเห็นดวงตาที่ปรากฏอยู่ในพุ่มไม้ต่างๆ

    …ในป่ามีคนจับตามองอยู่

    เยียนเหิงคิดเอ่ยปาก แต่นึกถึงคำสั่งก่อนหน้าของใต้เท้าหวังจึงนิ่งไว้

    หวังโส่วเหรินกลับรู้ว่าเยียนเหิงคิดจะพูดอันใดจึงยิ้มน้อยๆ “มิต้องถือสาคนเหล่านี้”

    พวกมันจูงม้าเดินไปอยู่บนทางขึ้นเนินเล็กๆ สายหนึ่ง เส้นทางนั้นคดโค้งสองฝั่งล้วนเป็นป่ารกมองไปไม่เห็นส่วนลึก แต่ที่ทางใช้ดักซุ่มมีมากยิ่งนัก เยียนเหิงจึงเข้าสู่ภาวะระแวดระวัง มือซ้ายที่ว่างเปล่าดูเหมือนเพียงห้อยอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ความจริงมันลดไหล่ถ่วงศอก ข้อมืออยู่ในภาวะกึ่งผ่อนคลายและส่งผ่านแรง สามารถพลิกมือชักเจ้าพยัคฆ์ที่ห้อยไว้ตรงข้างเอวออกมาได้อย่างรวดเร็วทุกเมื่อ

    เงาของป่าแม้บดบังแสงแดด ต้นไม้หนาแน่นจนลมลอดผ่านออกมามิได้ พวกมันเดินอยู่บนทางเนินอย่างร้อนอบอ้าว แถบผ้าที่พันแผลบนร่างและใบหน้าเยียนเหิงล้วนมีเหงื่อซึมเปียก

    สายตาเฉียบแหลมจากการฝึกฝนวิชาเพ่งพิรุณแห่งสำนักชิงเฉิงสองปีของเยียนเหิงกวาดมองซ้ายขวา กอปรกับหูเงี่ยฟัง รับรู้ได้ว่าคนที่รวมตัวอยู่สองฝั่งข้างทางมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังติดตามพวกมันอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด

    มันมองเหลือบเห็นเงาหนึ่งแวบผ่านระหว่างต้นไม้อย่างรวดเร็ว เป็นคนหนุ่มผอมสูงโพกผ้าสกปรกบนศีรษะ สวมเกราะอกเรียบง่ายที่ทำจากแผ่นไม้ไผ่ สายคาดเอวมีเคียวหนึ่งเล่มเสียบเฉียง ในมือถือทวนไม้ไผ่ สวมรองเท้าที่ใกล้จะพังกำลังวิ่งไปข้างหน้า คนหนุ่มผู้นี้ปราดเปรียวอย่างยิ่ง ฝีเท้าวิ่งแทบไม่มีเสียง แต่ก็ไม่พ้นสัมผัสของเยียนเหิงไปได้

    เยียนเหิงมองเห็นฝ่ายตรงข้ามก็คิดว่าก่อนหน้าในอำเภอหลูหลิงสองวันนี้เห็นมีบุรุษวัยฉกรรจ์และวัยเยาว์มีน้อยนัก บัดนี้รู้แล้วว่าพวกมันไปอยู่ที่ใด

    มันเข้าใจในที่สุดว่าที่ใต้เท้าหวังจะยืมมิใช่ ‘ทหาร’ แต่เป็นโจร

    “จนปัญญา” หวังโส่วเหรินกล่าวเสียงแผ่วเบา “เวลานี้จะหากำลังอาวุธที่พร้อมที่สุดก็มีเพียงคนเหล่านี้”

    เมื่อขึ้นถึงยอดเนินเยียนเหิงพลันรู้สึกว่าเบื้องหน้าโปร่งโล่งในบัดดล สามารถก้มมองทิวทัศน์ของทางลงเนินเขาที่คดเคี้ยวไปยังสถานที่ไกลโพ้นฝั่งตรงข้ามด้านล่างจากที่ตรงนี้ได้ ระหว่างไหล่เขาฝั่งตรงข้ามปรากฏกระท่อมและบ้านเรือนขนาดใหญ่หลายหลังรางๆ

    แต่เมื่อหวังโส่วเหรินและเยียนเหิงถึงยอดเนินก็เหมือนข้ามเส้นระวังภัยบางอย่างแล้ว ในป่าหน้าหลังพวกมันสองด้านเหมือนมีสัตว์ป่าฝูงใหญ่เคลื่อนไหวแผ่บรรยากาศอันตรายออกมา

    เสียงประหลาดแทรกด้วยเสียงแหวกอากาศของวัตถุชิ้นหนึ่งลอยหมุนมาจากด้านหลังพวกมันอย่างรวดเร็ว

    เยียนเหิงใช้สายตามือกระบี่ที่เหนือคนธรรมดาชำเลืองเล็กน้อยก็แน่ใจว่าวิถีของอาวุธที่ลอยมาหาได้เล็งมันและใต้เท้าหวังไม่ จึงมิได้ทำการตอบสนองเกินเหตุ เพียงยื่นมือขวางไว้ตรงหน้าอกใต้เท้าหวังเพื่อไม่ให้มันขยับส่งเดชปล่อยให้อาวุธลับนั้นโฉบผ่านข้างลำตัวไปครึ่งฉื่อ

    อาวุธนั้นสับเข้าลำต้นของต้นไม้ข้างทาง ที่แท้เป็นขวานขนาดเล็กที่คมหยาบและขึ้นสนิมเล็กน้อยเล่มหนึ่ง

    โจรภูเขาที่จับตามองและสะกดรอยตามอยู่ตลอดต่างกระโดดออกมาจากป่าทั้งหมด คนยี่สิบสามสิบคนปิดตายเส้นทางหน้าหลังไว้สิ้น

    เยียนเหิงสังเกตกลุ่มคนที่รุมล้อมตนเองอยู่ การแต่งกายพวกมันมอมแมมไม่ต่างกับคนหนุ่มที่มองเห็นเมื่อครู่ และพกอาวุธติดเกราะป้องกันที่เรียบง่ายไม่ประณีต อาวุธที่ถือจำนวนมากเป็นเพียงเครื่องมือในบ้านทั่วไปจำพวกมีดผ่าฟืน เคียว หรือนำลำไม้ไผ่มาเหลาให้แหลมเป็นทวน มีไม่กี่เล่มที่เป็นอาวุธสำหรับลงสนามต่อสู้อย่างแท้จริง แววตาของพวกมันแต่ละคนเปล่งความดุร้ายดุจหมาป่าหิวโหยจ้องตรงไปยังหวังโส่วเหรินและเยียนเหิง ซ้ำยังจับจ้องกระบี่บนร่างคนทั้งสองเป็นพิเศษ

    เยียนเหิงสังเกตเห็นว่าโจรภูเขาพวกนี้ส่วนใหญ่เยาว์วัยนัก ในนั้นมีเพียงสามสี่คนเป็นวัยกลางคน ชายหนุ่มผอมสูงที่เห็นวิ่งผ่านในป่าก่อนหน้าก็อยู่ในนั้นด้วย ขณะนี้มันมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใบหน้าสกปรกนั้นแท้จริงอ่อนวัยอย่างมาก น่าจะโตกว่าเยียนเหิงเพียงสองสามปี

    บุรุษค่อนข้างสูงวัยอีกคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้า มันตาขวาบอดแต่ไม่ใช้แถบผ้าหรือที่ปิดตาปิดบัง ปล่อยให้รอยบากลักษณะคล้ายอักษรหมี่ (米) ชวนสยดสยองนั้นแสดงต่อหน้าผู้คน มือทั้งสองถือขวานคู่หนึ่ง มือขวาโยนรับขวานเล่นกลางอากาศไม่หยุด ขวานบินเมื่อครู่ย่อมเป็นมันที่ขว้างมา

    “นายอำเภอหวัง จะมาจับพวกเราอีกแล้วหรือ” บุรุษวัยกลางคนเรียกหวังโส่วเหรินด้วยตำแหน่งเก่า ตาข้างเดียวของมันเล็งมองไปยังเด็กหนุ่มที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยแผลและพกกระบี่คู่สั้นยาว ก่อนยิ้มเยาะยิงฟันเหลืองซีด “เหตุใดครานี้ไม่นำคนมาเล่า”

    เมื่อครู่บุรุษตาเดียวใช้ขวานบินทดสอบเยียนเหิง ผลสุดท้ายเห็นเยียนเหิงคล้ายไร้การตอบสนองจึงเหยียดหยามมันอย่างมาก

    หวังโส่วเหรินเคยเห็นและจำไม่ลืม คนผู้นี้แต่ก่อนเคยเป็นโจรภูเขาที่ถูกปราบปรามและอภัยโทษ ชื่อนามว่าเหลียงฝูทง หวังโส่วเหรินใช้มือหนึ่งดึงเชือกบังเหียนม้าอีกมือหนึ่งพาดอยู่บนด้ามกระบี่ ใบหน้าซูบผอมถมึงทึงปราศจากรอยยิ้มใช้สายตาจริงจังจ้องเหลียงฝูทง

    ใต้เท้าหวังที่เยียนเหิงพบเห็นในสองวันมานี้ ไม่ว่าเผชิญหน้ากับนักสู้เช่นพวกมันทั้งหลาย ลูกศิษย์ที่ติดตามหรือชาวบ้านชาวเมืองก็มักมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นกันเอง ขณะคุมเชิงกับจอมเวทปัวหลงก็แผ่บารมีอันทรงธรรมน่าเกรงขาม แต่หน้าตาเดือดดาลเช่นขณะนี้กลับเผยออกมาเป็นครั้งแรก เยียนเหิงเห็นแล้วอดมิได้ที่จะรู้สึกผิดคาดอย่างมาก

    แม้แต่เหลียงฝูทงที่เห็นท่าทีหวังโส่วเหรินก็ยังสั่นสะท้าน ขวานที่โยนเล่นอยู่ในมือขวายังเกือบหล่นลงมา แต่พี่น้องมากมายเพียงนี้ยืนอยู่ด้านหลังเหลียงฝูทงทำได้เพียงแสร้งไม่สะทกสะเทือน

    มันกำลังจะกล่าวอีกหลายประโยคเพื่อปลุกขวัญ แต่หวังโส่วเหรินกลับเอ่ยปากขัดจังหวะมัน

    “ข้าไม่ว่างคุยเล่นกับเจ้า พาข้าไปหาเมิ่งชีเหอ”

    โจรภูเขาหลายคนที่ค่อนข้างเยาว์วัยเดิมทีไม่รู้จักหวังโส่วเหริน พอได้ยินดังนั้นก็นึกโมโห บุรุษผอมสูงเยาว์วัยที่โพกผ้าบนศีรษะผู้นั้นก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมชูทวนไม้ไผ่ขึ้น แต่มันกลับถูกเหลียงฝูทงยื่นขวานออกมาขวางไว้

    “จะพบมันก็ได้” เหลียงฝูทงกล่าว “แต่ธรรมเนียมในค่ายเราต้องทิ้งอาวุธไว้ที่นี่”

    หวังโส่วเหรินพอได้ยินก็แย้มยิ้ม…แต่รอยยิ้มนี้ไม่เหมือนมันตอนอยู่หลูหลิง ใบหน้าที่ยกมุมปากขึ้นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก

    “แค่คนสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นข้าเสียด้วย พวกเจ้ากลัวหรือ ความกล้าเช่นนี้ยังเรียกตนว่าผู้กล้ากลางขุนเขา?”

    กลุ่มโจรภูเขารู้สึกคล้ายร่างหวังโส่วเหรินแผ่อำนาจที่ยากจะต้านทานออกมา มันยิ้มพลางชายตามองเหล่าโจรภูเขาต่อมิได้ถูกความประหม่าสกัดกั้นหรือรุมล้อมแม้แต่น้อย แต่กลับเหมือนคนหลายสิบคนนี้ออกมาต้อนรับมันด้วยความเคารพ

    เหลียงฝูทงถูกหวังโส่วเหรินถากถางจนหน้าแดงฉานไปครู่หนึ่งและนิ่งเงียบไป แต่สุดท้ายก็ยังคงถูกอำนาจของหวังโส่วเหรินข่มเอาไว้ มันเสียบขวานคู่กลับใส่สายคาดเอวยื่นมือไปยังทางลงเนินด้านหน้า บอกเป็นนัยให้หวังโส่วเหรินและเยียนเหิงเข้าไปในเขา

     

    หากกล่าวว่าสิ่งก่อสร้างหลังนี้คือที่มั่น มิสู้กล่าวว่าเหมือนยุ้งข้าวจะดีกว่า กำแพง คาน และเสาครึ่งหนึ่งใช้ไม้ครึ่งหนึ่งใช้ลำไม้ไผ่สร้าง หลังคามุงไว้ด้วยหญ้าแห้ง ว่ากันตามตรงก็เป็นเพียงกระท่อมที่ค่อนข้างใหญ่หลังหนึ่งเท่านั้น

    ทุกแห่งในค่ายนอกจากเตียงและสิ่งต่างๆ ในการดำรงชีพที่วางกองระเนระนาด ยังมีถุงผ้าใบเล็กใบใหญ่กองเต็มไปหมด ส่วนมากล้วนบรรจุธัญพืช มีเนื้อแห้งและผลไม้อีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีเป็ดไก่หลายตัววิ่งพล่านอยู่ทุกแห่ง ทั้งหมดคือสิ่งที่เหล่าโจรภูเขาปล้นชิงมาได้จากหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียง แม้แลจำนวนมากแต่ยังห่างไกลคำว่าอุดมสมบูรณ์ จัดว่าแค่พอยาไส้ได้เท่านั้น

    รอบด้านในค่ายอัดแน่นไปด้วยโจรหลายสิบคน บ้างนั่งอยู่บนกองหญ้าแห้ง บ้างพิงถุงเสบียง ล้อมกันเป็นวงกลมวงใหญ่วงหนึ่ง ดวงตาหลายสิบคู่จ้องเขม็งไปยังคนแซ่หวังและแซ่เยียนที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างไม่หวังดี

    นอกจากนี้ยังมีโจรภูเขาหลายสิบคนที่เบียดเข้ามามิได้และล้อมอยู่นอกค่ายยื่นศีรษะชะโงกหน้ามองมา คนเหล่านี้ละทิ้งบ้านมาอาศัยอยู่ไกลถึงกลางป่าเขา ผ่านชีวิตที่ต้องเอาโลหิตอาบย้อมคมดาบมาได้ย่อมห้าวหาญกว่าคนทั่วไป ฆ่าคนปล้นทรัพย์เป็นเพียงเรื่องธรรมดา หวังโส่วเหรินเยียนเหิงบุกมาในค่ายเทือกเขาหมาผีเพียงสองคนเช่นนี้ ในสายตาพวกมัน นี่ไม่ต่างจากคนที่ก้าวขาเข้ามาในโลงแล้วข้างหนึ่ง

    เบื้องหน้าคนทั้งสองมีเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ทำจากไม้ไผ่ตัวหนึ่ง ด้านบนปูด้วยขนสัตว์ที่ขาดหลายแห่งแล้ว มองไม่ออกว่าถลกมาจากบนร่างของสัตว์ป่าประเภทใด เก้าอี้นี้ว่างอยู่ตลอด คนทั้งสองยืนรอโดยไม่เอ่ยคำและไม่สนใจคำนินทากับเสียงหัวเราะเยาะโดยรอบ

    หลังถูกซุ่มโจมตีที่พรรคหม่าไผแห่งเฉิงตูคราก่อน เยียนเหิงก็ระแวดระวังต่อสถานที่แปลกตาและการปิดล้อมเช่นนี้อย่างยิ่ง มันลอบสำรวจทางหนีไว้ก่อนแล้ว ซ้ำยังสังเกตอย่างรอบคอบว่ามีคนซ่อนอาวุธลับจำพวกเกาทัณฑ์เอาไว้หรือไม่

    …ยามจำเป็น ข้าต้องคุ้มกันใต้เท้าหวังฝ่าออกไปอย่างสุดชีวิต

    กลุ่มโจรเห็นเยียนเหิงเยาว์วัยแลไร้เดียงสา ซ้ำทั่วร่างล้วนเป็นแผลสดใหม่ที่เพิ่งพันแผลได้ไม่นาน และยังพกกระบี่สั้นยาวที่ดูเหมือนของมีราคาควรแก่การทะนุถนอมอย่างยิ่งคู่หนึ่งสำหรับมือกระบี่ในยุทธภพ พวกมันเพียงมองมันไม่กี่แวบก็มุ่งความสนใจไปทางหวังโส่วเหรินแทน

    …ได้ยินว่ามันเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักแล้ว จะมาด้วยเหตุใดอีก

    รออยู่พักหนึ่งฝูงชนตรงประตูก็ส่งเสียงเอะอะขึ้นและเปิดทางสัญจรให้

    เยียนเหิงหันหน้าไปมอง เห็นเพียงบุรุษรูปร่างเตี้ยผมเผ้ายุ่งจนเหมือนรังนกเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาในค่าย บริเวณที่มันผ่านโจรภูเขาแต่ละคนล้วนเผยสีหน้านอบน้อมออกมา เห็นได้ว่าวินัยในค่ายนี้เด็ดขาดยิ่ง

    เมิ่งชีเหอหัวหน้าโจรภูเขา อายุเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ใบหน้าสีทองแดง จมูกงุ้ม ภาพลักษณ์สง่ากล้าหาญ มันเตี้ยกว่าเยียนเหิงอยู่บ้าง ร่างท่อนบนเปลือยโต้งๆ เผยกล้ามเนื้อที่ลายเส้นลึกเหมือนมัดเหล็ก หน้าแขนสองข้างผูกไว้ด้วยเกราะไม้ไผ่ บนผิวไม้ยังตอกแผ่นทองแดงบางๆ หนึ่งชั้น เพียงเกราะชิ้นนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามันตำแหน่งสูงกว่าคนอื่นในกลุ่มโจร

    ฝีเท้าที่เมิ่งชีเหอเดินเข้ามาในค่ายรวดเร็วอย่างยิ่ง แต่กลับชวนให้รู้สึกมั่นคงผิดปกติ แม้กล้ามเนื้อมันดูแข็งแรง แต่ความจริงไม่นับว่าล่ำสันมาก ทว่าทุกย่างก้าวกลับราวมีน้ำหนักที่เหนือกว่ารูปร่างออกมา เหมือนในร่างกายสอดไส้ตะกั่ว

    เยียนเหิงสังเกตฝีเท้าของเมิ่งชีเหอ เห็นชัดว่าทักษะท่านั่งม้าช่วงล่างแข็งแรงอย่างยิ่ง จึงรู้ได้ว่าคนผู้นี้หาใช่นักสู้ชนบททั่วไป วรยุทธ์เทียบกับกลุ่มโจรในค่ายนี้ล้วนสูงกว่าหนึ่งขุมใหญ่

    ยังมีลูกน้องอีกคนหนึ่งตามเมิ่งชีเหอเข้ามาติดๆ ห่างจากด้านหลังมันไม่เกินครึ่งฉื่อ โจรภูเขาศีรษะล้านคนนี้สูงหนากว่าเมิ่งชีเหออย่างมาก…ดวงตาของเมิ่งชีเหอเพียงสูงประมาณอกมัน…บนไหล่มันแบกดาบเดี่ยวยักษ์ยาวราวห้าฉื่อเล่มหนึ่ง สีหน้ามันเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ท่วงท่าวางอำนาจ ขณะที่โจรภูเขาคนอื่นซึ่งถืออาวุธเช่นกันมิได้ทำ จึงเดาได้ว่าดาบยักษ์เล่มนี้หาใช่ของตัวมันเอง

    แต่แบกให้เมิ่งชีเหอผู้เป็นหัวหน้า

    เยียนเหิงพอได้เห็นก็นึกถึงฉากคล้ายกันที่เคยเห็นก่อนหน้าโดยฉับพลัน ที่ซีอานผู้อาวุโสอิ่นอิงชวน ‘ตัดจันทรากลางวารี’ ก็ให้ศิษย์แบกดาบยักษ์ไว้เช่นกัน ดาบยักษ์เล่มนี้ของเมิ่งชีเหอแม้เล็กกว่าดาบเล่มนั้นของผู้อาวุโสอิ่น แต่รูปลักษณ์กลับคล้ายคลึงอยู่บ้าง

    เยียนเหิงมองดูการเดินของเมิ่งชีเหออย่างละเอียดอีกครั้ง มิน่ามันคล้ายเคยรู้จัก

    …เมิ่งชีเหอคือคนสำนักปากว้าขนานแท้!

    เมื่อเมิ่งชีเหอเข้ามา มันไม่แม้แต่จะมองหวังโส่วเหรินกับเยียนเหิงสักแวบและเดินตรงไปยังเก้าอี้ไม้ไผ่หนังสัตว์แล้วนั่งลงจับผมยุ่ง ขยี้เปลือกตา บิดขี้เกียจวงใหญ่ ให้ลูกน้องยื่นกล้องสูบยามา หลังจุดไฟก็สูบลึกเงยหน้าพ่นควันสีขาวหอบหนึ่งแล้วจึงประสานสายตากับหวังโส่วเหรินเป็นครั้งแรก

    หวังโส่วเหรินมองเมิ่งชีเหอเหมือนกับที่มองเหลียงฝูทงที่เนินเขาก่อนหน้า มันเผยหน้าตาถมึงทึงอันเดือดดาลจริงจังออกมา ราวเมิ่งชีเหอผู้นี้คือคนน่ารังเกียจสุดขั้ว เยียนเหิงเห็นแล้วก็กังวลอยู่บ้าง

    ใต้เท้าหวังบอกว่ามายืมทหารชัดๆ แต่กลับไม่มีท่าทางที่จะขอร้องผู้อื่นสักนิด ซ้ำยังเหมือนมาทวงหนี้…เช่นนี้จะไหวจริงๆ หรือ…

    ก่อนหน้าอย่างไรเหลียงฝูทงก็เรียกว่า ‘นายอำเภอหวัง’ แต่เมิ่งชีเหอไม่มีแม้กระทั่งคำเรียก มันกล่าวโดยตรง “ท่านเลื่อนขั้นร่ำรวยไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดยังวิ่งกลับมาสถานที่กันดารแห่งนี้อีก แล้วยังจะมาหาที่ตายที่นี่!” เมิ่งชีเหอกล่าวประโยคแรกก็มีคำว่าตาย เยียนเหิงกดดันอย่างมากแทบจะชักกระบี่ทันที แต่มันนึกถึงสัญญากับใต้เท้าหวัง ไม่ถึงที่สุดก็อย่าลงมือโดยพลการจึงอดกลั้นไว้ไม่ปล่อยออก

    หวังโส่วเหรินมิได้ถูกคำพูดของเมิ่งชีเหอสั่นคลอนสักนิด มันเพียงตอบกลับหนึ่งประโยคอย่างใจเย็น “คนหน้าไม่อาย”

    “ท่านว่าอะไร” พอได้ยินเส้นผมยุ่งเหยิงของเมิ่งชีเหอล้วนเหมือนตั้งขึ้นมา มันร่างเอนจากพนักเก้าอี้ มือทั้งสองจับที่วางแขนเก้าอี้ที่ทำจากลำไม้ไผ่แน่น ตาทั้งสองถลึงด้วยโทสะ

    โจรภูเขาที่ล้อมอยู่รอบด้านต่างก็ลุกฮือตวาดด่า “ผายลมสุนัขเถอะ! เป็นขุนนางกระจ้อยร่อยคิดว่าตัวเองวิเศษวิโส? กล้าลบหลู่หัวหน้าพวกเรา ข้าจะฟันเจ้าซะ!” เสียงคนในค่ายเดือดพล่านครู่หนึ่ง

    “หุบปาก! ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพูดของพวกเจ้า!” หวังโส่วเหรินตวาดรอบด้านด้วยเสียงเกรี้ยวกราด อำนาจรุนแรงที่แผ่ออกมานั้นสยบสุ้มเสียงของกลุ่มโจรได้จริงๆ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยด่าอีก

    ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกมันเป็นเพียงขุนนางบุ๋นอายุเกินสี่สิบปี ร่างกายผอมจนเหมือนไม้ไผ่ แต่ลักษณะอันน่าเกรงขามนั้นกลับชวนให้ไม่อยากเป็นศัตรูกับมัน

    หวังโส่วเหรินกล่าวเสียงดุกับเมิ่งชีเหออีกครั้ง “ข้าพูดผิดหรือ วันนั้นใครกันที่รับปากข้าว่าชาตินี้จะไม่เป็นโจรอีก เจ้าพูดแล้วรักษาคำพูดหรือไม่ ดูความอดสูของเจ้าในตอนนี้ นี่ยังไม่นับว่าหน้าไม่อาย?”

    เมิ่งชีเหอหน้าขาวซีดวูบหนึ่ง ฝ่ามือมันออกแรงบีบที่วางแขนเก้าอี้จนกล้องสูบยาที่หนีบอยู่ตรงง่ามนิ้วหัก แต่มิได้โต้เถียงแม้ประโยคเดียว

    สองปีก่อนหวังโส่วเหรินดำรงตำแหน่งนายอำเภอหลูหลิง ปัญหาที่แก้ยากหนึ่งในนั้นก็คือโจรภูเขาชุกชุมในพื้นที่ หวังโส่วเหรินลงมือจากต้นตอช่วยชาวบ้านป้องกันและรักษาโรคระบาดรวมถึงลดภาษีมหาโหด ทำให้หมู่บ้านตำบลในพื้นที่กลับคืนสู่การหาเลี้ยงชีพ โจรภูเขาและโจรปล้นม้าที่หลูหลิงส่วนมากเดิมเป็นชาวนาธรรมดา แต่เพราะถูกการหาเลี้ยงชีพบีบบังคับจึงยอมเสี่ยงอันตราย ด้วยกลยุทธ์ของหวังโส่วเหรินเพียงแวบเดียวก็ทำให้โจรกว่าครึ่งวางดาบลงและหยิบเครื่องมือเกษตรขึ้นมาอีกครั้ง ทว่ายังมีโจรที่ค่อนข้างห้าวหาญอีกมากที่คุ้นเคยกับชีวิตองอาจท่ามกลางพงไพรแล้วจึงไม่ยอมการอภัยโทษและยังคงดื้อรั้นเป็นโจร หนึ่งในนั้นคือกลุ่มโจรสี่สิบกว่าคนที่เมิ่งชีเหอเป็นผู้นำ

    หวังโส่วเหรินรวบรวมทหารบ้านผู้คุ้มกันเขตรุกไปปราบปราม มันรู้ดีว่าผู้คุ้มกันเขตแม้มีจำนวนมาก แต่หากกล่าวถึงกำลังรบยังห้าวหาญไม่เท่าโจร หากปะทะซึ่งหน้าต้องบาดเจ็บล้มตายน่าเวทนาเป็นแน่ จึงใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม ล่อให้เมิ่งชีเหอนำคนออกตีก่อน ค่อยให้กำลังหลักอีกกองหนึ่งลอบโจมตีคลังเก็บซ่อนทรัพย์สินและเสบียงของพวกมัน พวกเมิ่งชีเหอสูญเสียเสบียงอาหาร แม้กล้าหาญเพียงใดก็ไม่ชนะความหิวโหย หวังโส่วเหรินไล่ตามบีบคั้นอยู่ตลอด มิให้พวกมันมีเวลาว่างปล้นชิงอีกระหว่างหลบหนี ลูกน้องส่วนมากของเมิ่งชีเหอล้วนยอมแพ้ เหลือเพียงมันกับพวกเหลียงฝูทงคนสนิทไม่กี่คนถูกไล่ต้อนไปอยู่ในเขา

    เมิ่งชีเหอคิดว่าตนเองคือหัวหน้าโจร ก่อนหน้าก็ไม่ยอมรับการเยียวยา ครั้งนี้นายอำเภอหวังต้องไม่ละเว้นเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นแน่ ไหนเลยจะคาดคิดว่าหวังโส่วเหรินกลับปล่อยโจรภูเขาที่ถูกจับเป็นคนหนึ่งให้มาถ่ายทอดคำพูดให้เมิ่งชีเหอว่านายอำเภอหวังยังคงยินยอมอภัยโทษ ขอเพียงพวกมันทิ้งอาวุธออกจากเขารับปากว่าจากนี้ไปจะเป็นสุจริตชน เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป

    เมิ่งชีเหอใช้เถาวัลย์มัดอาวุธของตนเองและลูกน้องแบกลงเขาเดินไปในเมือง หมอบกราบยอมแพ้แก่หวังโส่วเหริน ขณะหวังโส่วเหรินพยุงมันขึ้นยังชักดาบเดี่ยวขนาดยักษ์สำนักปากว้าของเมิ่งชีเหอจากในมัดอาวุธมอบกลับสู่มือมัน

    ที่แท้หวังโส่วเหรินเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่า เมิ่งชีเหอถือกำเนิดในเมืองฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังเป็นผู้สืบทอดสำนักชื่อดังในยุทธภพ เคยกราบเข้าโรงมวยสาขาย่อยของสำนักปากว้าในเมืองฝู่โจวและร่ำเรียนอย่างหนักหกปี

    ‘เจ้าคือผู้มีความสามารถคนหนึ่ง’ หวังโส่วเหรินในตอนนั้นกล่าวกับเมิ่งชีเหอ ‘บุรุษเกิดมาบนโลก มิอาจแสวงหาความสุขชั่วครู่พึงหาเส้นทางลืมตาอ้าปาก ต่อให้ไม่ทำเพื่อเชิดชูบรรพบุรุษและบิดามารดาก็ทำเพื่อไม่ละอายต่อตนเอง’

    เมิ่งชีเหอหลั่งน้ำตาโขกศีรษะตรงนั้น หวังโส่วเหรินยังแนะนำมันให้ไปสอบทหาร ต่อมาหวังโส่วเหรินแม้ออกจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงเรื่องนี้ไม่ลืมและให้คนนำจดหมายแนะนำมายังเมืองจี๋อัน

    แต่สุดท้ายจดหมายกลับมิได้ส่งถึงมือเมิ่งชีเหอ เนื่องเพราะมันขึ้นเขาไปเป็นโจรอีกครั้งแล้ว

    ยามนี้พบกันอีกครั้ง ความผิดหวังและเดือดดาลของหวังโส่วเหรินเหนือคำบรรยาย เมิ่งชีเหอไม่ตอบสักคำเพราะในวันนั้นมันเคยให้สัญญากับหวังโส่วเหริน อนึ่งปีก่อนมันถูกหวังโส่วเหรินเอาชนะบนสมรภูมิ ยิ่งไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้งต่อหน้าลูกน้องจำนวนมาก

    หวังโส่วเหรินมองดูรอบด้านแล้วส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “วันนี้เจ้าเรืองอำนาจกว่าเมื่อก่อนแล้ว…เมื่อครู่ที่ข้าเห็น ลูกน้องของเจ้ามิใช่หนึ่งร้อยก็แปดสิบกระมัง? น่าเกรงขามเสียจริง ตำแหน่งหัวหน้าโจรของเจ้าเป็นได้อย่างภาคภูมิมากกระมัง”

    เมิ่งชีเหอถูกหวังโส่วเหรินติเตียนจนเลือดลมพลุ่งพล่าน กระทั่งลมหายใจก็เร่งถี่ขึ้น มันลูบลำคอที่คล้องไว้ด้วยเชือกเส้นหนึ่งซึ่งแขวนเขี้ยวเสือทั้งโค้งทั้งยาว นิ้วทั้งห้าของเมิ่งชีเหอจับสร้อยเขี้ยวเสือนั้นเอาไว้และหลับตาครู่หนึ่ง อารมณ์จึงค่อยๆ สงบลง

    “ยังมีอะไรจะพูดอีก” เมิ่งชีเหอควบคุมอารมณ์พลางกล่าวอย่างเฉื่อยชา “พวกเราหนีเข้าป่าเป็นโจรเพื่อกินข้าวหนึ่งคำ ทิ้งบรรพบุรุษไว้ข้างหลังนานแล้ว ท่านพูดหลักการอันใดอีกก็เปล่าประโยชน์”

    “กินข้าว?” หวังโส่วเหรินแย้มยิ้มอีก “ใช่แล้ว ข้าเห็นสภาพทรุดโทรมของค่ายนี้ของเจ้าดูเหมือนทำได้เพียงพอยาไส้จริงๆ มีกินวันต่อวัน เสี่ยงชีวิตเป็นโจรก็ทำได้เพียงเท่านี้ กระจอกเสียจริง”

    หวังโส่วเหรินคำก็ ‘โจร’ สองคำก็ ‘โจร’ คนทั้งหมดโมโหในใจมานานแล้ว ยามนี้ได้ยินประโยคติเตียนซ้ำ เหลียงฝูทงอดมิได้ที่จะกล่าวเสียงดัง “เจ้าว่าพวกเราอยากมีชีวิตรันทดเช่นนี้หรือ หากมิใช่เพราะ…” มันใคร่กล่าวคำแต่หยุดกะทันหัน

    “เจ้าหมายถึงจอมเวทปัวหลงอมนุษย์พวกนั้นกระมัง?” หวังโส่วเหรินกล่าวต่อแทนมัน

    เมื่อได้ยินคำว่าจอมเวทปัวหลง กลุ่มโจรภูเขาก็ล้วนสีหน้าไม่สู้ดี หลายคนในพวกมันถูกจอมเวทปัวหลงอาละวาดใส่จนแถบหลูหลิงสิ้นหนทางหาเลี้ยงชีพจึงขึ้นเขาเข้าร่วมกองโจร ทว่าถึงแม้เป็นโจรภูเขาแล้วก็ยังคงต้องหวาดกลัวและหลบเลี่ยงการระรานของกลุ่มศิษย์จอมเวทที่ร้ายกาจ ทำได้เพียงปล้นชิงหรือรีดไถเสบียงอาหารของหมู่บ้านยากจนประทังชีวิตไปวันๆ

    ส่วนตัวเมิ่งชีเหอเองเป็นโจรตั้งแต่ก่อนที่จอมเวทปัวหลงจะปรากฏตัว ที่แท้หลังหวังโส่วเหรินออกจากตำแหน่งเพียงไม่กี่เดือน ขุนนางละโมบในจวนว่าการก็เริ่มรีดภาษีทุกประเภทอีกครั้ง เมิ่งชีเหอที่ไม่ยอมทำตามจึงทำได้เพียงจับงานชั่วคราวในเมือง อดมื้อกินมื้อเป็นประจำ และเพราะมีประวัติต้องโทษจึงมักถูกเหล่าขุนนางรังแก มีครั้งหนึ่งชาวนาคิดรวมตัวปฏิเสธการส่งเสบียง สวีหงเต๋อผู้เป็นนายอำเภอกลัวว่ามันจะเป็นผู้นำก่อเรื่อง ไม่ถามต้นสายปลายเหตุก็จับมันไปขังในคุกสามวัน ต่อมาเหลียงฝูทงและลูกน้องเก่าสิบกว่าคนชักจูงมันไม่หยุด เมิ่งชีเหออดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไปและถือดาบยักษ์ปากว้าขึ้นนำลูกน้องปล้นเสบียงทางการชุดหนึ่ง ไม่รอถึงวันสอบของการสอบทหารระดับเมืองก็ขึ้นเขาไปอีกครั้ง

    เมิ่งชีเหอแม้มิได้เป็นโจรเพราะจอมเวทปัวหลง แต่มันรู้ว่าวรยุทธ์และยาพิษของกลุ่มศิษย์จอมเวทร้ายกาจ ตลอดมาจึงมิกล้าหาเรื่อง พอได้ยินว่าหวังโส่วเหรินเองก็รู้เรื่องของจอมเวทก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงหูร้อน

    “ท่านมาที่นี่ต้องการอะไรกันแน่” เมิ่งชีเหอมองหวังโส่วเหรินพลางกล่าว ก่อนหน้ามันให้ลูกน้องทอดมองสำรวจบริเวณโดยรอบล่างเขาของเทือกเขาหมาผีอย่างละเอียด ให้แน่ใจว่าหวังโส่วเหรินมิได้นำทหารมาปราบปราม

    หวังโส่วเหรินลูบเครายาวพลางกล่าวช้าๆ

    “ข้ามาเพื่อจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ใช้ชีวิตให้เหมือนบุรุษอีกครั้ง”

    ชายหนุ่มที่มีผ้าโพกศีรษะซึ่งสะกดรอยตามพวกเยียนเหิงมาตลอดทางผ่านป่าบัดนี้กระโดดออกมาเหมือนค่างตัวหนึ่ง ในมือมันถือเคียวโค้งยาวเอาไว้แล้ว

    “เจ้ารู้หรือไม่…” แววตาดุร้ายของชายหนุ่มเปล่งประกาย มันยกเคียวชี้ไปยังหวังโส่วเหรินพลางกัดฟันกล่าว “พวกเราฟันเจ้าได้ทุกขณะ”

    “เจ้าลองดูได้” หวังโส่วเหรินมองกลับมายังชายหนุ่มผอมสูงผู้นี้ ในดวงตาเปี่ยมด้วยความท้าทาย

    ชายหนุ่มผู้นี้นามว่าถังป๋า เป็นผู้ที่ห้าวหาญทรงพลังและปราดเปรียวที่สุดในบรรดาคนของเมิ่งชีเหอ ทุกครั้งที่ปล้นสะดมล้วนเป็นมันที่ออกแนวหน้าสำรวจเส้นทาง ซ้ำยังรับหน้าที่ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยของค่าย มันเรียนวิชากับอาจารย์สอนยุทธ์ในชนบทตั้งแต่เด็ก หลังเข้าร่วมกองโจรก็ได้รับการชี้แนะจากเมิ่งชีเหอ ถ่ายทอดทักษะของสำนักปากว้าให้ไม่น้อย ปีที่ผ่านมานี้ต่อสู้ล้วนไม่เคยพ่าย เห็นได้ว่าอยู่ในระดับทัดเทียมเมิ่งชีเหอ

    ถังป๋าเห็นหัวหน้าถูกลบหลู่อย่างต่อเนื่องก็เดือดดาลนานแล้ว ขณะนี้ได้ยินหวังโส่วเหรินกล่าวท้าทาย ยิ่งระงับอารมณ์ไม่อยู่ มันไม่รอเมิ่งชีเหอสั่งการก็กระโดดแกว่งเคียวหาหวังโส่วเหริน

    มันเหลือบเห็นเพียงเบื้องหน้าปรากฏแสงสีเงิน แรงปะทะถ่ายทอดมายังมือวูบหนึ่ง…

    พอหยุดฝีเท้าสงบสติลงก็พบว่าเคียวในมือเหลือครึ่งท่อนแล้ว

    นอกจากเมิ่งชีเหอ ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างไร

    ทำได้เพียงมองเห็นคมหักทรงโค้งครึ่งท่อนปักอยู่บนคาน

    ยังมีเยียนเหิงที่มือซ้ายพลิกจับเจ้าพยัคฆ์ คุ้มกันอยู่เบื้องหน้าหวังโส่วเหริน

    อายุและประสบการณ์ของถังป๋าล้วนอ่อนกว่าเฉินดาบปีศาจแห่งอำเภอก้วนเซี่ยนมณฑลซื่อชวนอยู่มาก เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่เร็วเหนือธรรมดาของเยียนเหิงก็มิอาจรับรู้ถึงระยะห่างอันใหญ่หลวงของฝ่ายตรงข้ามกับตนเองได้อย่างสิ้นเชิง มันที่เปรียบดั่งลูกวัวแรกเกิด* ถูกโทสะครอบงำจนเลอะเลือน ยังคงตั้งเคียวที่เหลือครึ่งท่อนขึ้นหันไปยังเยียนเหิงแล้วพุ่งฝ่าไป

    “อย่าฆ่ามัน!” เพียงหนึ่งกระบวนดาบที่เพิ่งผ่านไปก็ทำให้เมิ่งชีเหอมองออกถึงความเร็วและพลังที่เหนือโลกหล้าของเยียนเหิง กระบี่สั้นคมกว้างเล่มนั้นในมือยิ่งมิใช่ของธรรมดา แต่มันไม่อาจยับยั้งการรนหาที่ตายของถังป๋า ได้แต่ตะโกนไปยังเยียนเหิงอย่างร้อนรน

    “ตัดชุดมัน!” หวังโส่วเหรินที่อยู่หลังเยียนเหิงไม่ถึงหนึ่งฉื่อตะโกนเสียงดังพร้อมกัน

    เยียนเหิงได้ยินใต้เท้าหวังสั่งการเช่นนี้ก็ตกใจ

    เพลงกระบี่สำนักชิงเฉิงที่มันฝึกหนักตั้งแต่เด็กล้วนยึดการสัประยุทธ์สังหารศัตรูเป็นเป้าหมาย ทุกศึกต้องทุ่มสุดแรงลงมือไม่ไว้ไมตรี ไม่ได้มีไว้มาใช้เล่นปาหี่ดังเช่นที่พี่จิงเคยเย้ยหยันคนสำนักซินอี้ใช้การขว้างจอกสุราแสดงทักษะเมื่อครั้งอยู่โรงเตี๊ยมหลินเหมินที่ซีอานเป็นอันขาด เช่นนั้นมิใช่วิทยายุทธ์โดยสิ้นเชิง

    แต่เยียนเหิงรับปากให้ใต้เท้าหวังยืมกระบี่แล้วจึงไม่สนว่ามันจะใช้อย่างไร

    คิดว่าเป็นการฝึกกระบี่มือซ้ายก็แล้วกัน… มันสะบัดข้อนิ้วหมุนเจ้าพยัคฆ์กลางฝ่ามือแปรเป็นจับตั้งตรง

    ถังป๋าแทงเคียวหักที่ยังคงแหลมคมไปยังใบหน้าเยียนเหิงสุดแรง

    แต่สำหรับเยียนเหิงที่มีพลังแท้โดยกำเนิด ความเร็วในการตอบสนองของถังป๋าก็ไม่ต่างกับหุ่นไม้มากนัก

    มือซ้ายเยียนเหิงถือกระบี่คว่ำ ตวัด ‘เจ้าพยัคฆ์’ จากขวาสู่ซ้ายในแนวราบ เฉี่ยวผ่านระหว่างอกและคอของถังป๋า จากนั้นยกหน้าแขนซ้ายสกัดแขนที่แทงเคียวมาของถังป๋าออกไป

    กระบี่ที่ฟันออกนี้คล้ายมิได้โจมตีถูกวัตถุใด แต่บนกระดูกไหปลาร้าสองด้านของถังป๋าล้วนส่งเสียงประหลาด ที่แท้ปลายกระบี่เจ้าพยัคฆ์ตัดสายสะพายสองเส้นของเกราะอกแผ่นไม้ไผ่ของมันจนขาดและพลิกตกลงมาห้อยอยู่ตรงเอว

    ถังป๋ายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เยียนเหิงมือซ้ายก็ใช้ปลายด้ามกระบี่เกี่ยวข้อมือขวาของถังป๋าที่จับเคียวให้วาดกรีดครึ่งวงลงไปทางด้านล่าง เยียนเหิงตบฝ่ามือขวาออกไปต่อ ตรึงยึดข้อมือนั้นเอาไว้ กระบี่มือซ้ายถือโอกาสผลักไปข้างหน้า คมกระบี่ของเจ้าพยัคฆ์ติดอยู่ข้างเอวขวาของถังป๋าแล้ว

    ถังป๋ารู้สึกว่าโลหะเย็นเฉียบของกระบี่สั้นแนบติดกับผิวหนังตรงเอวก็คิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว

    ขอเพียงเยียนเหิงตวัดกระบี่ก็ตัดท้องสะบั้นไส้ถังป๋าได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ แต่มันกลับหมุนเปลี่ยนใช้ตัวกระบี่แนบติดเอวของถังป๋าแล้วฟันคมกระบี่ไปด้านล่างสั้นๆ

    การตัดนี้ทำให้เชือกรัดเอวและสายรัดกางเกงที่ใช้ผูกเกราะอกของมันขาดทั้งหมด

    ดูคล้ายเป็นการละเล่นที่น่าเบื่อหน่าย แต่สองกระบี่นี้ของเยียนเหิงแสดงการลงมืออันแม่นยำโดยไม่พลาดเป้าแม้แต่นิดเดียวออกมา

    เกราะไม้ไผ่บนร่างถังป๋าตกลงสู่พื้นพร้อมกับกางเกงเก่าขาดที่ผ่านการเย็บปะนับครั้งไม่ถ้วนตัวนั้น

    มันทำตามสัญชาตญาณ ขว้างคมหักในมือออกไป แล้วใช้มือทั้งสองจับกางเกงดึงกลับขึ้นไปอย่างเร่งร้อน

    ในขณะเดียวกันเยียนเหิงก็ถอยกลับมาที่เดิมและพลิกมือสอดเจ้าพยัคฆ์คืนฝักกระบี่ด้านหลัง ซ้ำยังคืนสู่ท่วงท่ายืนอย่างเป็นธรรมชาติ มือทั้งสองว่างเปล่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    นี่คือความรู้สึกของโจรภูเขาที่มุงดูเช่นกัน พวกมันมองไม่ทันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง เห็นเพียงเงาร่างเยียนเหิงแวบสองแวบ เสื้อผ้าทั้งตัวของถังป๋าก็ร่วงลงมาเหมือนถูกถลกหนังทั้งหมด

    เมิ่งชีเหอขณะนี้ยืนขึ้นแล้วมันยื่นมือจับด้ามดาบยักษ์ปากว้าข้างกายเอาไว้ เมื่อเห็นถังป๋าปลอดภัยจึงโล่งอกและไม่คิดสอดมือ

    “ข้าลืมแนะนำตัวให้พวกเจ้าทราบ” หวังโส่วเหรินยามนี้ยิ้มให้เมิ่งชีเหออย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านนี้คือเยียนเหิง มือกระบี่สำนักชิงเฉิง”

    กลุ่มโจรภูเขาล้วนตกใจอ้าปากค้างจนยัดกำปั้นเข้าไปได้

    เด็กน้อยที่บาดเจ็บทั่วร่างดูเหมือนตกที่นั่งลำบากอย่างผิดวิสัยผู้นี้กลับเป็นศิษย์สำนักชิงเฉิงปาสู่ไร้สองที่ชื่อเสียงสะท้านทั่วหล้า

    ไม่มีผู้ใดตกใจไปกว่าเมิ่งชีเหอ กลุ่มโจรพเนจรเมืองจี๋อันมณฑลเจียงซีแม้เคยได้ยินชื่อของสำนักชิงเฉิง แต่อย่างไรหากมิใช่ชาวซื่อชวนและมิใช่ชนชาวยุทธภพก็หาได้รู้ถึงความน่ากลัวของมือกระบี่ชิงเฉิงอย่างแท้จริง มีเพียงเมิ่งชีเหอที่เคยเรียนที่โรงมวยสำนักปากว้าและได้ฟังคำเล่าลือมากมายจากปากของอาจารย์มาก่อนจึงรู้ดีว่านักสู้เร้นกายแห่งหกขุนเขาใน ‘หกขุนเขาสามสำนักบ้าน’ แห่งเก้าสำนักใหญ่ร้ายกาจเพียงไร

    หวังโส่วเหรินจิ้งจอกเฒ่า…มิน่าถึงกล้าเพียงนี้ นำคนผู้เดียวขึ้นเทือกเขาหมาผี…เหตุใดมันจึงผูกเป็นพวกพ้องกับมือกระบี่สำนักชิงเฉิงได้ เห็นว่าพวกมันล้วนยากที่จะลงเขามิใช่หรือ อีกทั้งที่นี่คือเจียงซี…

    หนึ่งปีกว่านี้เมิ่งชีเหอล้วนเก็บตัวอยู่ในเขา มิเคยได้ยินข่าวสำนักชิงเฉิงถูกอู่ตังทำลายล้าง

    หวังโส่วเหรินกล่าวสืบต่อ “นอกจากจอมยุทธ์น้อยเยียนยังมีจอมยุทธ์อีกหลายท่าน ล้วนให้สัตย์ชักอาวุธช่วยกำจัดจอมเวทปัวหลงมารร้ายตนนั้นเพื่อชาวหลูหลิง!” พอกล่าวคำพูดนี้ออกไปกลุ่มโจรก็ฮือฮาพักหนึ่ง

    “จะฆ่าตัวประหลาดเหล่านั้น…ได้หรือ…”

    “…แต่ดูจากวรยุทธ์ของมันเมื่อครู่ ไม่แน่ว่า…”

    “เจ้าไม่เห็นหรือว่าทั่วร่างมันมีแต่บาดแผล คนเช่นนี้เชื่อมิได้…”

    “หากว่าขับไล่จอมเวทปัวหลงไปได้จริง พวกเราก็จะมีชีวิตที่ดี…”

    เมิ่งชีเหอยกฝ่ามือหยุดยั้งเสียงเซ็งแซ่ของกลุ่มโจร

    “คนแซ่หวัง…ที่เจ้าขึ้นมาครั้งนี้ก็เพื่อจะให้พวกเรานำพี่น้องเข้าร่วมกับพวกเจ้าไปสู้จอมเวทปัวหลงกระมัง”

    หวังโส่วเหรินพยักหน้า

    “นี่คือโอกาสที่ข้าว่า เป็นคนใหม่อีกครั้ง” ใบหน้าเดือดดาลของหวังโส่วเหรินก่อนหน้าเลือนหายไปแล้ว ในสีหน้าเข้มงวดนั้นมีความโอบอ้อมเพิ่มขึ้นมา “ขอเพียงพวกเจ้ารับปากร่วมพันธมิตร หลังศึกสำเร็จข้าหวังโส่วเหรินป๋ออันรับรองว่าจะให้พวกเจ้าเป็นสุจริตชนอีกครั้งดังเช่นคราวก่อน เรื่องที่แล้วก็แล้วไป”

    “ท่านรับรองได้?” เมิ่งชีเหอแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา

    “บัดนี้ข้ารับราชการตำแหน่งรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงขั้นสี่แห่งหนานจิง เรื่องเล็กแค่นี้น่าจะทำได้”

    “เช่นนั้นก็ขอบคุณเหลือเกินจริงๆ” เมิ่งชีเหอปล่อยด้ามดาบออกและนั่งลงบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มบนหน้ากลับเปี่ยมด้วยความเหยียดหยาม “แต่ว่าใต้เท้า ท่านโปรดมองดูสีหน้าของลูกน้องข้าเหล่านี้ ท่านจะให้ข้าพาพวกมันไปหาที่ตายหรือ เพื่ออะไรกัน”

    หวังโส่วเหรินและเยียนเหิงมองไปโดยรอบ เห็นเพียงโจรภูเขากลุ่มใหญ่นี้ที่โอ้อวดอำนาจอยู่ตลอด พอได้ยินว่าจะให้พวกมันไปโจมตีจอมเวทปัวหลงก็เงียบกริบทันที ทุกใบหน้าล้วนซีดกลัว

    “ข้ามิใช่คนพื้นที่นี้ พวกจอมยุทธ์น้อยเยียนเองก็มิใช่” หวังโส่วเหรินกล่าว “แต่พวกเราล้วนเอาชีวิตออกมาเสี่ยงเช่นเดียวกัน พวกเจ้าล่ะ ทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานเมืองจี๋อันกระมัง ศึกนี้เดิมทีพวกเจ้าก็ควรไปสู้ ให้คนถิ่นอื่นไปเสี่ยงภัยแทนพวกเจ้า ไม่ละอายบ้างหรือ”

    ได้ยินคำพูดนี้ของหวังโส่วเหริน ทั้งถังป๋า เหลียงฝูทง และโจรภูเขาจำนวนมากในที่นั้นล้วนสีหน้าเปลี่ยนไป

    เมิ่งชีเหอเก็บรอยยิ้ม คำพูดของหวังโส่วเหรินสั่นคลอนหัวใจของมันเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันมันก็รู้ดีว่าจอมเวทที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์อู่ตังน่าหวาดกลัวเช่นไร มันคือหัวหน้าคนนับร้อยของค่ายเทือกเขาหมาผีแห่งนี้ หมายความว่าหนึ่งร้อยชีวิตล้วนอยู่ในมือมัน มันไม่ยอมทำลายพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเหล่านี้เพราะอารมณ์ชั่ววูบเป็นอันขาด

    “เช่นนั้นพวกท่าน…สู้เพราะเหตุใดกันล่ะ” เมิ่งชีเหอมองหวังโส่วเหรินพลางถาม

    “จอมยุทธ์น้อยเยียน ให้ข้าตอบมิสู้ท่านมาตอบจะดีกว่า” หวังโส่วเหรินหันมองเยียนเหิง

    หวังโส่วเหรินกำชับมันว่าอยู่ในเขาห้ามพูดแม้แต่ประโยคเดียว เยียนเหิงจึงค่อยผ่อนคลายสบายใจ อย่างไรการพูดก็มิใช่สิ่งที่มันสันทัด ไหนเลยจะคาดคิดว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ใต้เท้าหวังกลับให้มันกล่าวคำอีก ใบหน้าของเยียนเหิงแดงขึ้นไม่เข้ากับท่วงท่าโจมตีด้วยกระบี่อันผ่าเผยเมื่อครู่แม้แต่น้อย

    มันมองหวังโส่วเหรินอย่างปากอ้าลิ้นพัน กลับมองเห็นแววตาให้กำลังใจของอีกฝ่าย

    …ขอเพียงเป็นคำพูดที่กล่าวตรงจากใจ ย่อมต้องมีคุณค่าแน่แท้

    เยียนเหิงสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกและยืดอกขึ้นกล่าวกับเมิ่งชีเหอ

    “เพื่อคุณธรรมและมโนธรรม”

    พอเยียนเหิงเอ่ยปาก ในค่ายก็หัวเราะครื้นเครงขึ้นทันที

    เมิ่งชีเหอเองก็ปล่อยหัวเราะกุมท้อง

    “เช่นนั้นพวกท่านไยต้องลำบากมาหาพวกเราอีก ก่อนหน้าพวกเราเคยพูดแล้วมิใช่หรือ พวกเราเป็นโจร ทิ้งแม้กระทั่งบรรพบุรุษไปนานแล้ว ศีลธรรมจรรยาอะไรก็ลืมจนหมดสิ้น! พวกท่านยังมาพูดเรื่อง ‘มโนธรรม’ อะไรกับพวกเราอีก ใต้เท้าหวังท่านอ่านหนังสือมากไปหรือไม่ อ่านจนบ้าไปแล้ว”

    หวังโส่วเหรินกลับหูทวนลมต่อเสียงหัวเราะรอบด้าน มันเพียงกล่าวเสียงกังวาน “ไม่…ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ายังมีมโนธรรม” มันยื่นมือชี้ไปยังเอวของถังป๋าซึ่งเจ้าตัวยังคงจับกางเกงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

    “ดูสิ นั่นก็คือที่ซึ่งมโนธรรมของเจ้าอยู่”

    เสียงหัวเราะเยาะหยุดลงทันใด โจรภูเขาแต่ละคนนิ่งเงียบมิอาจโต้เถียงที่หวังโส่วเหรินกล่าว

    เมิ่งชีเหอกลับกระโดดออกมาถอดเกราะไม้ไผ่หุ้มทองแดงที่แขนทั้งสองของตนเองลง เตะรองเท้าฟางทั้งสองออกไป ปลดสายคาดเอวถอดกางเกงลง พริบตาเดียวก็ถอดเสื้อผ้าทั่วร่างจนล่อนจ้อน เผยร่างเปลือยที่ไม่มีไขมันส่วนเกินสักนิด

    เมิ่งชีเหอกางแขนทั้งสองเผชิญหน้ากับหวังโส่วเหรินและเยียนเหิงอย่างไม่มีสีหน้าละอายแม้แต่น้อย สีหน้ามันเต็มไปด้วยความไม่ยอมรับและถามเหมือนท้าทาย “นี่เป็นเช่นไร”

    “ถอดเจ้านั่นออกด้วย” หวังโส่วเหรินชี้ตรงไปยังลำคอของเมิ่งชีเหอ

    เมิ่งชีเหอสีหน้าแปรเปลี่ยน มันยื่นมือจับสร้อยเขี้ยวเสือนั้น แต่เนิ่นนานก็มิอาจดึงลงมา

    เขี้ยวเสือนี้คือสิ่งที่บิดาผู้เป็นนายพรานมอบให้ขณะมันอายุสิบห้าปี ทั้งหมดอาศัยการขายหนังเสือตัวนั้น เมิ่งชีเหอจึงมีเงินข้ามฝั่งไปเรียนวิชาที่เมืองฝู่โจวทางตะวันออกเฉียงเหนือและเปลี่ยนแปลงชีวิตของมัน

    ‘เสี่ยวชี ฆ่าเสือตัวนี้ตายนับเป็นเรื่องที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตนี้ของข้าแล้ว’ บิดามันกล่าวเช่นนี้ขณะคล้องสร้อยคอให้ ‘แต่ว่าเจ้าไม่เหมือน เจ้าทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าได้’

    เมิ่งชีเหอหลบสายตามิอาจสบตากับหวังโส่วเหรินได้อีก

    …ราวกับว่าหวังโส่วเหรินได้กลายเป็นบิดาผู้ล่วงลับของมัน

    เหลียงฝูทงมองเห็นอำนาจของหัวหน้าสลายไปแล้ว ในใจหมดความอดทนและเข้าไปหยิบหนังสัตว์จากเก้าอี้ห่มบนไหล่ของเมิ่งชีเหอ

    “ข้าจะรอเจ้า”

    หวังโส่วเหรินกล่าวประโยคนี้จบก็หมุนตัวเดินไปยังประตู เยียนเหิงเองก็ติดตามไปอย่างระแวดระวัง

    หลังคนทั้งสองออกจากประตูใหญ่ก็เดินไปยังประตูรั้วรอบนอกที่สร้างจากไม้ไผ่ พวกมันอยู่บนลานโล่ง ระหว่างทางไร้คนขัดขวาง เหล่าโจรภูเขาเพียงแค่มองส่งจนคล้อยหลังของเงาร่างผู้พกดาบทั้งสองอย่างเงียบๆ

    หลังออกมานอกประตูแล้ว พวกมันก็แก้เชือกบังเหียนม้าที่ผูกไว้กับต้นไม้จูงเดินไปยังทางลงเขา ระหว่างทางเยียนเหิงคิดอยู่ตลอดว่าเมิ่งชีเหอผู้นั้นสังกัดสำนักปากว้า ถือเป็นศิษย์สำนักชื่อดังแห่งเก้าสำนักใหญ่ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นโจร

    สิ่งที่มันไม่รู้คือสาขาย่อยฝู่โจวสำนักปากว้าที่เมิ่งชีเหอกราบเข้า ถ่ายทอดมาจากสายแยกเจ้อเจียง ถึงเจียงซีก็ห่างกันหลายรุ่นแล้ว กับสำนักหลักที่ฮุยโจวยิ่งไม่มีความเกี่ยวอันใด หลังเรียนสำเร็จออกไปดำรงชีวิตภายนอกก็ไม่มีเส้นสายของสำนักชื่อดังช่วยเหลือ แม้วิทยายุทธ์จะขนานแท้แต่วิถีทางกลับต่างกันอย่างมาก

    “ใต้เท้าหวัง…” เยียนเหิงถามด้วยความลังเล “ท่านเชื่อมันจริงหรือ”

    หวังโส่วเหรินหันหน้าเล็กน้อย มองดูรั้วไม้ไผ่และกระท่อมที่หลบอยู่กลางป่า มันแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา

    “พวกเราไม่มีวิธีอื่นแล้วกระมัง”

    เยียนเหิงเกาศีรษะ “ก็ใช่…”

    “แต่นี่ยังมิใช่สิ่งสำคัญที่สุด” แววตาของหวังโส่วเหรินเก็บความขมขื่นแทนที่ด้วยประกายแรงกล้า

    “ข้าหวังว่าจะเชื่อถือมันได้”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook