ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 25 ตอนที่ 2
บทที่2ความมืดของท้องฟ้าทางทิศเหนือ
เมื่อเห็นความล้มเหลวของธนูดอกแรกที่เกือบจะสำเร็จ หนิงเชวียก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้ แต่มีสีหน้าสงบราวกับคาดคิดไว้อยู่แล้ว ควันสีขาวตรงสายธนูที่เกิดจากการเสียดสียังไม่ทันจางไป ธนูอีกสี่ดอกก็ถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็วตามลำดับ
เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพไหนเลยจะถูกสังหารง่ายดายเช่นนี้ ถ้าถูกลูกธนูดอกเดียวของหนิงเชวียยิงตายในสนามรบ วีรกรรมที่กลายเป็นตำนานเหล่านั้นในคัมภีร์เทพแห่งซีหลิงคงกลายเป็นเรื่องขำขัน
ตามหลักพิชัยยุทธ์ ในเมื่อหนิงเชวียไม่มั่นใจก็ไม่ควรเสียโอกาสที่ล้ำค่าของธนูดอกแรกไปกับเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ แต่การสู้รบในวันนี้ไม่เหมือนกับการสู้รบทั่วไป ถ้าไม่สามารถสังหารเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ เช่นนั้นแล้วต่อให้มันสังหารคนไปมากมายเท่าใดก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์สู้รบตรงหน้า อีกทั้งการที่เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพอาจถูกปฐมธนูสิบสามดอกของสถานศึกษายิงตายก็เป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดต่างอดไม่ได้ต้องให้ความสนใจ หนิงเชวียเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นหากไม่ลองดูสักตั้งมันก็ไม่หายข้องใจจริงๆ
ลำดับการเลือกเป้าหมายของหนิงเชวียธรรมดาอย่างยิ่ง คนที่แข็งแกร่งมากหรือเป็นภัยคุกคามมากจะถูกจัดไว้ลำดับต้นๆ ดอกแรกยิงเจ้านิกาย ดอกที่สองย่อมเป็นเยี่ยหงอวี๋
ในรถลากสีโลหิต ร่างกายของเยี่ยหงอวี๋หักพับล้มไปด้านหลัง ตอนนี้ลูกธนูมาถึงแล้ว ได้ยินเสียงลูกธนูแหวกอากาศ ม่านของรถลากขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ เส้นผมของเยี่ยหงอวี๋ขาดร่วงไปหลายเส้น โลหิตสายหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผาก เยี่ยหงอวี๋นอนลงบนพื้นรถลาก ชุดหน่วยพิพากษาสีโลหิตเหมือนเมฆยามสนธยาที่กระจายออก นี่สมควรเป็นภาพที่งดงามยิ่ง หากความจริงกลับดูทุลักทุเล แต่แม้จะดูทุลักทุเลสุดท้ายนางก็ยังรอดมาได้ เพียงแต่เมื่อนึกถึงลูกธนูที่เมื่อครู่อยู่ใกล้กับหว่างคิ้วของตน นึกถึงความตายที่อยู่ใกล้ขนาดนั้น กระทั่งนางใบหน้าก็ยังซีดเผือด
ดอกที่สาม เป้าหมายคือต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้า
ก่อนหน้านี้ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าใช้พลังจิตสู้กับหัวหน้าผู้อาวุโสชาวฮวง แม้ชนะฝ่ายตรงข้ามได้แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย ตอนนี้กำลังทำสมาธิอยู่ในรถลาก ตั้งใจจะฟื้นฟูพลังจิตให้ได้โดยเร็ว
ตอนนี้เจ้านิกายตอบสนองได้ทันแล้ว เงาร่างสูงใหญ่พลันลุกขึ้นยืน เสียงตวาดดังก้องในทุ่งร้าง พร้อมกันนั้นเสียงฟ้าร้องระเบิดขึ้นหน้ารถลากของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้า สายฟ้าสีขาวบริสุทธิ์เส้นเล็กๆ มากมายหมุนวนราวกับว่าสามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในวงสายฟ้าได้
ลูกธนูยิงเข้าไปในวงสายฟ้า จากนั้นก็ถูกลอกเปลือกจนบางลงเรื่อยๆ แต่สุดท้ายมันไม่ได้ถูกสายฟ้ากลืนกินจนหมด เพียงเปลี่ยนเป็นเส้นบางๆ ทะลุผ่านเข้าไปในรถลาก
ลูกธนูถูกวงสายฟ้าทำให้บางลง อานุภาพจึงถูกลดทอนลงมาก ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ายื่นมือขวาออกมาคีบลูกธนูที่ยิงตรงมาที่เบื้องหน้าเบาๆ การเคลื่อนไหวดูนุ่มนวล เหมือนใช้ตะเกียบคีบกับข้าว เหมือนถือพู่กันแต้มภาพวาด แต่สีหน้าของมันกลับไม่ผ่อนคลาย ริ้วรอยบนใบหน้ากดลึกลงไปอีกครั้ง หางตาเริ่มมีเลือดไหล กระทั่งสุดท้ายแม้แต่ในริ้วรอยบนใบหน้าก็มีเลือดไหล นั่นเองลูกธนูที่คีบอยู่จึงค่อยหยุดนิ่ง
การฟื้นฟูพลังจิตของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าถูกปฐมธนูสิบสามดอกบังคับให้ต้องยุติลง หลังจากบาดเจ็บสาหัสแล้วก็บาดเจ็บสาหัสอีก อย่างน้อยภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่สามารถสู้ได้อีก การสู้รบตัดสินในวันนี้มันจึงเข้าร่วมไม่ได้แล้ว
ธนูดอกที่สามของหนิงเชวียบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าธนูดอกที่สามยังมีเป้าหมายที่สำคัญกว่าอยู่อีก นั่นคือช่วยปกป้องธนูดอกที่สี่
ธนูดอกที่สี่ยิงไปที่กลางแนวรบของกองทัพร่วมอาศรมเทพอีกครั้ง ครั้งนี้ทิศทางที่ลูกธนูพุ่งไปไม่ใช่รถลากคันใหญ่ของเจ้านิกาย แต่เป็นหลัวเค่อตี๋ที่อยู่ด้านข้าง
ที่เมืองเฉาหยาง หลัวเค่อตี๋ถูกมันยิงบาดเจ็บสาหัส คอหอยขาดทะลุเกือบตาย หนิงเชวียไม่รู้ว่าคนผู้นี้รอดมาได้อย่างไร ซ้ำพลังฌานยังฟื้นฟูกลับมา น่าจะเป็นเพราะวิชาเทพ แต่หนิงเชวียตัดสินใจแล้วว่าวันนี้มันจะไม่ให้อาศรมเทพมีโอกาสรักษาคนผู้นี้อีก
เจ้านิกายช่วยต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าป้องกันลูกธนูจึงไม่มีเวลาไปสนใจลูกธนูที่ยิงหลัวเค่อตี๋ เพราะไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนอย่างไรมันก็คือคน ย่อมมีเรื่องที่ทำไม่ได้
ลูกธนูยิงโดนคอหอยของหลัวเค่อตี๋อย่างแม่นยำ เหมือนเส้นด้ายในมือของหญิงสาวสอดเข้ารูเข็มอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติ
โลหิตสาดกระจาย ลูกธนูหายไปในทุ่งร้าง
กระดูกคอแหลกละเอียด เลือดเนื้อแหลกเละ ตาของหลัวเค่อตี๋ดูเหม่อลอย มันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันอยากมองคอหอยที่รู้สึกเจ็บปวดของตนเองพร้อมกับกังวลว่าต่อไปตนจะพูดไม่ได้ แต่พอก้มหน้าศีรษะก็ร่วงลง ร่างของมันสูงใหญ่ดั่งขุนเขา ศีรษะที่ร่วงลงจึงเหมือนก้อนหินที่กลิ้งลงมาจากยอดเขา เมื่อตกถึงพื้นก็เกิดเสียงดังตุบ!
เหล่าองครักษ์เทพเข้ามาห้อมล้อมศพของหลัวเค่อตี๋ มองถงหลิ่งของตนศีรษะขาดตายไปอย่างน่าพิศวง ในแววตาปรากฏความหวาดกลัวอย่างรุนแรง รวมทั้งความเจ็บปวดอย่างประมาณมิได้
ทันใดนั้นเอง บริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกลพลันเกิดเสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจและเสียงร้องไห้ครวญครางดังสนั่น พวกมันหันไปมองอย่างตกตะลึง เห็นค่ายของกองทัพหนานจิ้นเกิดความโกลาหล ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
บนพื้นบริเวณค่ายของกองทัพหนานจิ้นมีกองเลือดกองใหญ่ ในกองเลือดมีเศษเนื้อแหลกเละและศพคนครึ่งตัว ดูจากรองเท้าไหมทองที่สวมอยู่น่าจะเป็นราชนิกุลคนหนึ่ง ขันทีมากมายรวมถึงยอดฝีมือของศาลากระบี่หลายคนต่างหน้าถอดสีมองเลือดเนื้อกองนั้น พวกมันตกใจสุดขีดและหวาดกลัวจนตัวสั่น มีขันทีคนหนึ่งร้องไห้จนเป็นลม
“องค์รัชทายาท!องค์รัชทายาท!”แม่ทัพของหนานจิ้นคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างกองเลือด หน้าซีดเผือด แววตามีแต่ความหวาดกลัว ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ร้องตะโกนไม่หยุด คิดจะตะโกนให้เลือดเนื้อกองนี้คืนชีพขึ้นมา
ถ้าเลือดเนื้อกองนี้ไม่คืนชีพขึ้นมา แม่ทัพหนานจิ้นผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน และวันนี้ทหารของแคว้นหนานจิ้นมากมายรวมถึงพวกขันทีก็คงต้องกลายเป็นกองเลือดด้วยในอนาคตอันใกล้
นี่คือธนูดอกที่ห้าของหนิงเชวีย
รัชทายาทของแคว้นหนานจิ้นที่นำทัพมาแทนองค์จักรพรรดิสิ้นชีพไปอย่างง่ายดายและรวบรัด
ทุ่งร้างเงียบสนิท
ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ไม่ว่าจะเป็นกองทัพร่วมอาศรมเทพหรือชาวฮวงต่างล้วนไม่มีใครปริปาก ทุกคนต่างตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ถึงขั้นอกสั่นขวัญหายวิญญาณแทบหลุดจากร่าง เห็นกองทัพร่วมอาศรมเทพกำลังจะได้ชัยชนะ เพียงแค่ควบม้าไปข้างหน้าก็จะสามารถตัดศีรษะชาวฮวงได้จนหมดสิ้น กวาดล้างชาวฮวงจนสิ้นเผ่า แต่ทันใดนั้นกลับมีลูกธนูห้าดอกยิงเข้ามา
ลูกธนูห้าดอกยิงคนห้าคน
เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ ต้าเสินกวนแห่งซีหลิงสองคน ถงหลิ่งขององครักษ์เทพหลัวเค่อตี๋ และรัชทายาทของแคว้นหนานจิ้น ทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญในกองทัพร่วม โดยเฉพาะบุคคลทั้งสี่ยกเว้นหลัวเค่อตี๋ ด้วยอำนาจ ชื่อเสียง ฐานะแล้วต่างอยู่ในระดับเดียวกับองค์จักรพรรดิ ยิ่งเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพและต้าเสินกวนทั้งสองยิ่งเป็นบุคคลที่เปรียบประดุจเทพเจ้า
ในอดีตที่ผ่านมามีใครบ้างที่กล้าโจมตีบุคคลทั้งห้านี้พร้อมกัน ก่อนหน้านี้ถ้ามีใครได้ยินเรื่องเช่นนี้ต้องคิดว่าคนผู้นั้นเสียสติแน่ๆ
และผลลัพธ์ของธนูห้าดอกนี้คือต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าบาดเจ็บสาหัส สู้ต่อไม่ได้ เท่ากับถูกบังคับให้ออกจากการสู้รบในวันนี้ ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาหลบรอดมาได้อย่างทุลักทุเล หลัวเค่อตี๋และรัชทายาทแห่งแคว้นหนานจิ้นสิ้นชีพ
หนิงเชวียไม่เพียงให้ความสำคัญกับพลังและอำนาจของเป้าหมายที่เลือก แต่พิจารณาไปถึงกลยุทธ์ในการทำสงครามด้วย สำคัญที่สุดคือมันมีความสามารถที่จะทำให้กลยุทธ์นี้สัมฤทธิผล
หลัวเค่อตี๋เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้านิกายไว้วางใจที่สุด เป็นตัวแทนของขุมกำลังที่จงรักภักดีต่อเจ้านิกาย ตายไปอย่างอนาถเช่นนี้ขุมกำลังเหล่านั้นย่อมอยู่ไม่เป็นสุข ถึงขนาดจิตใจหวั่นไหวหรือกระทั่งว่าบังเกิดความคิดเป็นอื่นแล้ว
กองทัพแคว้นหนานจิ้นเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของกองทัพร่วมอาศรมเทพ ติดตามรับใช้อยู่ข้างรถลากของเจ้านิกายมาตลอด รัชทายาทที่นำทัพสิ้นชีพไปแล้วย่อมทำให้กองทัพเกิดความระส่ำระสาย ทำให้เหล่าแม่ทัพและทหารม้าเกิดความสะเทือนใจ ขวัญกำลังใจในการต่อสู้ลดลงอย่างรวดเร็ว
นี่ถ้าธนูดอกแรกของหนิงเชวียสามารถสังหารเจ้านิกายได้จริง หรือเพียงแค่ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์การสู้รบในวันนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับตาลปัตรเพราะลูกธนูห้าดอก
หากพิจารณาเจาะลึกเฉพาะเป้าหมายด้านกลยุทธ์ แม่ทัพของทัพทหารม้าเกราะเหล็กของต้าถัง รวมถึงปรมาจารย์อักษรหวังเซียนเซิงแห่งแคว้นต้าเหอที่มีด่านฌานสูงในกองทัพร่วมอาศรมเทพ ดูเหมือนว่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นเป้าของลูกธนูมากกว่าหลัวเค่อตี๋และรัชทายาทแห่งหนานจิ้น
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดหนิงเชวียจึงไม่เลือกยิงสองคนนี้