ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 30 ตอนที่ 2
บทที่ 2 ทุกข์ใจอยู่ในเมือง
สงครามที่ทั้งโลกบุกโค่นต้าถังครั้งนี้เริ่มต้นจากแผนการที่เมืองเฉิงจิง แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเกิดขึ้นที่เขตชิงเหอ การทรยศของตระกูลใหญ่ทำให้กองทัพเรือของต้าถังถูกทำลายย่อยยับ น้ำในบึงต้าเจ๋อถูกย้อมจนแดงฉาน จากนั้นกองทัพร่วมยืมเส้นทางเพื่อบุกขึ้นเหนือ กองกำลังปราบแดนใต้มาช่วยไม่ทัน ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์สถานศึกษาจ่ายค่าตอบแทนด้วยการบาดเจ็บสาหัสรวมถึงแขนที่ขาดเพื่อรักษาหุบเขาชิงสยาไว้ ต้าถังอาจล่มสลายไปแล้วก็ได้
นี่เป็นการก่อกบฏครั้งแรกนับตั้งแต่ต้าถังสถาปนาแคว้นเป็นต้นมา จากข่าวที่แพร่ออกไปหลังเกิดเรื่อง ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตมากอย่างไม่อาจทนดู ดังนั้นเมื่อเทียบกับอาศรมเทพและเผ่าจินจั้งแล้ว ตระกูลใหญ่เขตชิงเหอจึงเป็นพวกที่ชนชาวถังโกรธแค้นมากที่สุด
เพื่อรับประกันว่าจะก่อกบฏได้อย่างฉับพลันและยังคงได้ความไว้วางใจจากหลี่อวี๋ ตระกูลใหญ่เขตชิงเหอจึงทำตามกฎระเบียบแต่โบราณที่ให้ทิ้งคนในตระกูลนับร้อยไว้เป็นตัวประกันในฉางอัน คนในตระกูลเหล่านี้ย่อมมีคนสำคัญของตระกูลใหญ่รวมอยู่ด้วย เมื่อข่าวการก่อกบฏแพร่มาถึงฉางอัน คนพวกนี้ย่อมกลายเป็นพวกที่ต้าถังเฝ้าระวังมากที่สุด คนในชุมนุมเคยหนีจนเกือบสำเร็จ แต่สุดท้ายถูกเจ้าเมืองฉางอันซั่งกวนหยางอวี่ใช้วิธีการที่เด็ดขาดจับกลับมา จากนั้นก็ไม่อาจออกจากหอชุมนุมได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว
จะจัดการกับลูกหลานตระกูลใหญ่พวกนี้อย่างไรนั้นชาวต้าถังมีความเห็นต่างกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรสังหารคนพวกนี้โดยเร็วที่สุดและโหดเหี้ยมที่สุด ทำเช่นนี้จึงจะข่มขวัญกองกำลังกบฏของเขตชิงเหอได้ ขณะเดียวกันก็เท่ากับเป็นการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเหล่าทหารเรือและขุนนางนับร้อยที่ต้องพลีชีพด้วย ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าถ้าจะข่มขวัญกองกำลังกบฏเขตชิงเหอและควบคุมพวกตระกูลใหญ่ ก็ควรคุมตัวคนพวกนี้ไว้เป็นเครื่องต่อรอง
หลังการมาถึงของคณะทูตของอาศรมเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสถานการณ์ สัญญาของทั้งสองฝ่ายกำลังจะลงนามอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าความเห็นของฝ่ายไหนล้วนไม่สำคัญแล้ว บรรดาขุนนางของต้าถังคงได้แต่มองคนพวกนี้ถูกรับตัวออกจากหอชุมนุมแล้วส่งกลับไปเขตชิงเหออย่างลอยนวล แม้จะไม่ยินยอมอย่างไรก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ
ตอนนี้เองที่หนิงเชวียเดินเข้ามาในหอชุมนุม คนที่ต้อนรับมันเป็นขุนนางวัยกลางคนที่สวมชุดขุนนางของต้าถังแต่ไม่ได้สวมหมวก คิ้วตรง ดวงตาสดใส ดูสง่าหล่อเหลา
“คารวะเซียนเซิงสิบสาม”ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยอย่างสุภาพ
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“ในเมื่อไม่ยอมรับว่าตนเป็นชาวถัง เหตุใดยังใส่ชุดของราชสำนักต้าถัง”
ขุนนางวัยกลางคนผู้นี้ชื่อชุยหยวน บุตรคนรองของชุยเหล่าไท่เหยียแห่งเขตชิงเหอ เป็นขุนนางในฉางอันมาหลายปี ก่อนเกิดสงครามมีตำแหน่งขุนนางที่ไม่ค่อยมีความสำคัญในกรมพิธีการ
ชุมนุมชิงเหอแม้ถูกจับตามองอย่างเข้มงวด แต่ราชสำนักไม่ได้จงใจสร้างความอัปยศให้ลูกหลานตระกูลใหญ่เหล่านี้ การดำรงชีวิตและที่พักอาศัยล้วนมีให้เหมือนที่เคยเป็นมา เพียงแต่คนเป็นร้อยคนอาศัยอยู่ในหอชุมนุม จะพูดได้อย่างไรว่าสะดวกสบาย ดังนั้นชุยหยวนจึงสวมชุดขุนนางอยู่ตลอดเวลา
ชุยหยวนยิ้มอย่างเจื่อนขม เอ่ยว่า
“เดิมทีข้าก็เป็นขุนนางของต้าถัง พวกผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลเลอะเลือนเบาปัญญา กล้ามีใจคิดคด ที่จริงแล้วไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
คนทั่วไปอาจต้องพิจารณาคำพูดเหล่านี้ แต่หนิงเชวียไม่ต้อง มันไม่สนใจว่าท่าทีของชุยหยวนตอนนี้จริงใจหรือเสแสร้ง มันรู้เพียงว่าคนผู้นี้คือบุตรคนรองของชุยเหล่าไท่เหยีย เป็นบุคคลสำคัญที่สุดของตระกูลใหญ่
“ได้ยินว่าในชุมนุมมีลูกหลานหลายคนที่เหล่าไท่เหยียรักใคร่เอ็นดู”
ชุยหยวนมองสีหน้าหนิงเชวีย รู้ว่าการปกปิดใดๆ ต่อหน้าเซียนเซิงสิบสามผู้นี้ล้วนไม่จำเป็น จึงคารวะด้วยธรรมเนียมอย่างสูงจนจรดพื้นก่อนเอ่ยอย่างถอนใจว่า
“เซียนเซิงโปรดใจเย็น”
“การทำใจให้เย็นก็เหมือนการระวังตัวแม้อยู่ลำพัง เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ยิ่งตลอดมาชาวถังคิดว่าคนของเขตชิงเหอเป็นคนของตน ตระกูลใหญ่ทรยศก็เหมือนแทงพวกเราจากข้างหลัง หรือเจ้าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองยังจะยิ้มแย้มเป็นมิตรกับพวกเจ้าได้”
ชุยหยวนเอ่ยว่า
“ตระกูลใหญ่สืบทอดคัมภีร์คำสอนมานับพันปี มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าฉางอัน ตอนนี้เพียงอยากกลับไปเป็นเหมือนพันปีก่อนหน้านั้น จึงไม่อาจเรียกว่าทรยศ”
“กล่าวได้มีเหตุผล ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลสิ่งใด ไม่เช่นนั้นด้วยธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลใหญ่ แม้ถูกขังอยู่ที่นี่ อีกทั้งข้าเป็นแขกที่ไม่น่าต้อนรับ แต่ก็คงไม่ถึงกับไม่มีน้ำชาสักถ้วย”
“ใครบ้างไม่กลัวตาย ข้ากังวลจนเกินไป เซียนเซิงโปรดอภัย”
“แม้ข้าไม่อาจใจเย็นลง แต่วันนี้ที่มาไม่อาจไม่บอกเจ้าด้วยความไม่ยินดีว่าอาศรมเทพจะรักษาชีวิตของพวกเจ้านับร้อยนี้ไว้”
ขณะพูดมันสังเกตใบหน้าของชุยหยวนอยู่ตลอด เห็นคนผู้นี้เมื่อได้ยินข่าวนี้แล้วยังสงบนิ่ง เพียงแต่ในดวงตาฉายแววยินดี
นี่คือสิ่งที่มันอยากเห็น
ชุยหยวนคารวะมันจนจรดพื้นอีกครั้ง เอ่ยเสียงสั่นอย่างตื้นตันว่า
“รู้ว่าเซียนเซิงโกรธเคืองเป็นอย่างมาก แต่ผู้น้อยยังคงซาบซึ้งใจนัก หลังกลับถึงชิงเหอจะควบคุมคนในตระกูลให้รักษาความสัมพันธ์อันดีกับต้าถัง”
หนิงเชวียชื่นชมการแสดงของคนผู้นี้มาก คิดในใจว่าตระกูลใหญ่เขตชิงเหอไม่ธรรมดาจริงๆ แม้เป็นคนที่เข้าเมืองหลวงมาเป็นตัวประกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ยังแสดงได้สมบูรณ์แบบ ไม่เผยวาจาหรือบรรยากาศที่อาจทำให้ชาวถังไม่พอใจหรือโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของอาศรมเทพ”
ชุยหยวนคิดในใจว่าเจ้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ตอนนี้ที่ถามเพียงเพื่ออยากให้ตนพูดออกมาจากปากเท่านั้น
“ถ้ารักษาเขตชิงเหอไว้ไม่ได้ โลกนี้ยังจะมีใครเชื่อมั่นในอาศรมเทพ”
“มีเหตุผล”
หนิงเชวียครุ่นคิดก่อนเอ่ยต่อว่า
“แต่มีเหตุผลหรือไม่มิได้อยู่ที่ว่าใครเสียงดังกว่า แต่อยู่ที่ว่าใครหมัดใหญ่กว่า ตอนนี้หมัดของอาศรมเทพค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นพวกมันจึงค่อนข้างมีเหตุผล”
ชุยหยวนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“สถานศึกษาเพียงแค่ซ่อนประกายชั่วคราว เซียนเซิงไยต้องถ่อมตน”
“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่ชอบถ่อมตน แม้ตอนนี้ในโลกนี้หมัดของนิกายเต๋าจะใหญ่ แต่ในฉางอันแน่นอนว่าหมัดของสถานศึกษาใหญ่กว่า ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะใช้เหตุผลก่อน”
หนิงเชวียเอ่ยพลางมองมัน
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้ารักษาเขตชิงเหอไว้ไม่ได้ โลกนี้ยังจะมีใครเชื่อมั่นในอาศรมเทพ คำพูดนี้มีเหตุผลมาก เช่นนั้นเจ้าว่าข้ามีเหตุผลใดที่ไม่ฆ่าพวกเจ้า”
ชุยหยวนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คิดในใจว่าถ้าจะฆ่าพวกเรา เหตุใดต้องพูดจามากมายขนาดนี้
หนิงเชวียเอ่ยอีก
“ตระกูลใหญ่เขตชิงเหออาจมีเกียรติภูมิเหมือนอย่างเมื่อพันปีก่อนได้อีกครั้งจริงๆ แต่ที่น่าเสียดายคือเจ้ารวมถึงคนในชุมนุมคงไม่มีโอกาสได้เห็น”
ฟังจบสีหน้าชุยหยวนแปรเปลี่ยนในทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า
“เซียนเซิงกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือวาจาก่อนหน้านี้เป็นคำเท็จ หรือว่าอาศรมเทพไม่ได้ร้องขอเรื่องนี้”
หนิงเชวียมองมันพลางเอ่ยว่า
“อาศรมเทพอยากให้พวกเจ้ารอดเป็นเรื่องจริง เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของเฮ่าเทียนให้ประจักษ์
ปัญหาอยู่ที่เขตชิงเหอของเจ้าฆ่าขุนนางต้าถังไปสามร้อยกว่าคน กองทัพเรือตั้งแต่แม่ทัพยันทหารส่งเสบียงตายไปพันกว่านาย ยังมีอีกพันกว่านายเป็นแรงงานทาสอยู่ที่เหมืองถ่านหินปลายแม่น้ำฟู่ชุน เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของเฮ่าเทียนแล้วข้าคิดว่าเรื่องนี้สำคัญกว่า”
ชุยหยวนเข้าใจความหมายของมันแล้ว จึงตัวสั่นอย่างยากจะควบคุม ตวาดอย่างโกรธแค้นว่า
“เซียนเซิงสิบสาม หรือท่านคิดจะทำลายการเจรจา ท่านไม่อยากให้อาศรมเทพลงนามในสัญญาหรือ!”
“ตระกูลใหญ่เขตชิงเหอภายใต้การปกครองของต้าถัง พันปีเต็มๆ แล้วที่ไม่ได้เป็นสุนัข กาลเวลาล่วงเลยมานาน ดูเหมือนพวกเจ้าลืมไปแล้วว่าการเป็นสุนัขนั้นเป็นอย่างไร เป็นสุนัขก็ต้องสำนึกว่าตัวเองเป็นสุนัข
จะตีสุนัขต้องดูเจ้าของ เจ้าของสุนัขย่อมอยากปกป้องสุนัขของตน แต่ถ้าข้าจะฆ่าสุนัขอย่างพวกเจ้าจริงๆ เจ้าของของพวกเจ้าจะทำอย่างไรได้ อย่างมากก็ให้ข้าชดใช้ด้วยเงิน หรือหวังจะให้ข้าชดใช้ด้วยชีวิต? ชีวิตสุนัขสุดท้ายแล้วมีค่าแค่เงิน ไม่มีวันมีค่าเทียบเท่าชีวิตคน ตั้งแต่วันที่เขตชิงเหอทรยศ พวกเจ้าก็เป็นสุนัขของอาศรมเทพแล้ว ชีวิตของพวกเจ้าไร้ค่าแล้ว”
ชุยหยวนถลึงตาตวาดว่า
“ถ้าท่านจะฆ่าก็ลงมือเถอะ ข้ารออยู่ที่ชุมนุมมาหลายวัน ไม่เคยคิดว่าจะสามารถรอดกลับไป แม้แต่ลูกหลานพวกนั้นยังเตรียมพร้อมที่จะพลีชีพอยู่แล้ว เซียนเซิงไยต้องกล่าววาจาดูหมิ่น หรือว่านี่คือธรรมเนียมปฏิบัติของชาวถัง”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเตรียมตัวตายอยู่แล้ว เมื่อครู่ที่บอกเรื่องที่อาศรมเทพร้องขอให้พวกเจ้าฟังไม่ใช่เพื่อดูหมิ่นพวกเจ้า แต่เพื่อให้พวกเจ้ามีความหวังอีกครั้ง ความหวังที่ดีงามอย่างนั้น ความสิ้นหวังที่ตามมาจะเจ็บปวดสักเพียงไหนนะ ก็เหมือนพวกขุนนางและทหารที่ตายด้วยฝีมือตระกูลใหญ่อย่างไรเล่า
ที่จริงนี่ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติของต้าถังเรา เพียงแต่ข้าไม่ใช่ชาวถังตามแบบมาตรฐาน เพื่อมอบความเจ็บปวดคืนให้ศัตรูข้าอาจทำเรื่องราวต่างๆ ได้มากมาย ข้ามีความอดทนอดกลั้นอย่างมาก พวกเจ้าจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้สัมผัส แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย”
สีหน้าชุยหยวนซีดเผือด เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินว่าอาศรมเทพขอให้ต้าถังส่งตนและคนในตระกูลนับร้อยกลับเขตชิงเหอ ดวงตาของมันทอแววยินดีขึ้นวูบหนึ่ง ยามนี้ความยินดีนั้นหายไปแล้ว ทั้งมองไม่เห็นความหวังใดๆ แม้แต่ความสงบนิ่งก็ไม่ดำรงอยู่ เหลือเพียงความสิ้นหวัง
“เมื่อครู่ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีรำไร คิดว่าการสนทนาของพวกเราคงได้ยินกันทั้งหอชุมนุม พอนึกถึงว่าเสียงโห่ร้องยินดีพวกนั้นอีกครู่จะกลายเป็นเสียงโหยหวนครวญคราง ทั้งกายใจของข้าก็รู้สึกมีความสุขแล้ว”หนิงเชวียกล่าวจบก็ชักดาบออกมาจ้วงแทง
ฉัวะ!
คมดาบที่แหลมคมแทงทะลุท้องของชุยหยวน หนิงเชวียดึงดาบออกช้ามากและนุ่มนวลมาก ชุยหยวนจึงเจ็บปวดอย่างมาก
ชุยหยวนกุมหน้าท้องที่เลือดไหล นั่งช้าๆ ลงบนเก้าอี้ หน้าซีดเผือด หอบหายใจไม่หยุด ดูสุดแสนทรมานแต่กลับไม่อาจตายอย่างรวดเร็ว
หนิงเชวียถือดาบเดินไปที่ปากประตู ทหารกองกำลังอวี่หลินและพี่น้องพรรคมัจฉามังกรปิดล้อมหอชุมนุมเขตชิงเหอไว้เรียบร้อยแล้ว
หนิงเชวียสั่งการว่า
“พวกที่ใส่ชุดขุนนางต้าถังฆ่าพวกมันให้ตายช้าหน่อย อีกอย่างเวลาเก็บศพอย่าลืมถอดชุดขุนนางออกมาด้วย พวกที่อายุไม่ถึงสิบสี่ให้ลงมือกับพวกมันอย่างรวบรัด”
“รับทราบ”
ทหารกองกำลังอวี่หลินและคนของพรรคมัจฉามังกรรับคำโดยพร้อมเพรียง ทั้งตัวเต็มไปด้วยไอสังหารเดินผ่านข้างกายหนิงเชวียไป
ในหอชุมนุม เด็กหนุ่มเขตชิงเหอคนหนึ่งวิ่งลงมาจากชั้นบนโอบร่างชุยหยวนซึ่งหายใจรวยรินอยู่ที่เก้าอี้ ร้องไห้น้ำตานองหน้า ตะโกนร้องเรียก
“ท่านพ่อ!”
คนของพรรคมัจฉามังกรฟันมันจมกองเลือด
การสังหารหมู่ชุมนุมชิงเหอเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ทุกซอกทุกมุมมีแต่คนตาย ทุกซอกทุกมุมมีแต่โลหิต เสียงคมดาบฟันเข้ากระดูกและเลือดเนื้อ เสียงร้องโหยหวนลอยล่องไปไกลพร้อมสายฝน
หนิงเชวียถือดาบยืนอยู่หน้าธรณีประตูของหอชุมนุม มองสายฝนที่ยังคงตกลงมา น้ำฝนบนเสื้อผ้ามันแห้งแล้ว แต่ตอนนี้เปื้อนเลือดจำนวนมากแทน
เมื่อทหารกองกำลังอวี่หลินหรือคนของพรรคมัจฉามังกรเจอกรณีพิเศษที่สังหารไม่ลง เพื่อไม่ให้พวกมันเสียเวลาลังเล หนิงเชวียจะลงมือด้วยตัวเอง
หนิงเชวียไม่ได้เช็ดเลือด เพราะไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็คงเช็ดไม่สะอาด
หนิงเชวียกลับไปถึงบ้านริมทะเลสาบเยี่ยนหมิง เลือดที่เปรอะเสื้อผ้าตลอดทางมาถูกน้ำฝนสาดพรม ตอนนี้อ่อนจางรางเลือน ดูแล้วเหมือนภาพพู่กันสี
คนมากมายกำลังรอมันอยู่ รอมันลงนามเพื่อให้สัญญาฉบับนี้สมบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่ของต้าถัง หรืออาจารย์ใหญ่ของเทียนอวี้ย่วน รวมถึงคนสำคัญในคณะทูตของอาศรมเทพ พอเห็นมันเดินเข้ามาในบ้านก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
หนิงเชวียรับผ้ามาจากสาวใช้ เช็ดน้ำฝนบนใบหน้าเสร็จก็เดินไปที่โต๊ะ ดูรายละเอียดในสัญญารอบหนึ่ง ก่อนจะหยิบพู่กันเตรียมลงนามโดยไม่ลังเล
อาจารย์ใหญ่ของเทียนอวี้ย่วนเห็นคราบเลือดบนตัวมัน ในใจพลันรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ช้าก่อน ขอถามเซียนเซิงสิบสาม ท่านไปไหนมา”
หนิงเชวียยังไม่ทันตอบก็มีคนลุยฝนมาที่ทะเลสาบเยี่ยนหมิง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหอชุมนุมเขตชิงเหอให้ทุกคนฟัง
ในห้องโถงพลันเงียบสนิท สมาชิกในคณะทูตของอาศรมเทพต่างมีสีหน้าขุ่นเคือง หลิ่วอี้ชิงก้มหน้าจับด้ามกระบี่มั่น เซี่ยเฉิงอวิ้นมองหนิงเชวียอย่างแตกตื่น จินตนาการไม่ออกเลยว่าคนที่เคยเรียนมาด้วยกันเลือดเย็นถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
บรรดาขุนนางต้าถังก็แตกตื่นเช่นกัน แต่ความรู้สึกของพวกมันเป็นไปในทางตรงข้ามกับฝ่ายอาศรมเทพ เจิงจิ้งต้าเสวียซื่อมองหนิงเชวียแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเป็นทำนองชื่นชม แม่ทัพใหญ่ซูเฉิงที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่งมาตลอดถึงกับตบโต๊ะอย่างแรงแล้วตวาดว่า
“ดีจริงๆ!”
“คดีเลือดของชุมนุมชิงเหอเป็นฝีมือของเซียนเซิงสิบสามหรือ”
อาจารย์ใหญ่ของเทียนอวี้ย่วนจ้องตาหนิงเชวีย
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“ข้าทำสิ่งใดต้องรายงานท่านหรือ”
“เช่นนี้แสดงว่าท่านยอมรับ”อาจารย์ใหญ่ของเทียนอวี้ย่วนขุ่นเคืองอย่างมาก“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หรือท่านยังคิดจะลงนามในสัญญา”
แม้ฝ่ายตรงข้ามเป็นหัวหน้าคณะทูตของอาศรมเทพ แต่หนิงเชวียยังคงไม่สนใจ โยนพู่กันกลับไปในจานฝนหมึกแล้วเดินไปสวนหลังบ้านเพื่ออาบน้ำ สั่งให้สาวใช้ต้มน้ำชามากาหนึ่งแล้วตรงไปสวนดอกเหมย
เยี่ยหงอวี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตรงระเบียงทางเดิน มองมันพลางเอ่ยว่า
“ทำไมต้องก่อเรื่องเพิ่ม”
หนิงเชวียเดินไปข้างกายนาง รินน้ำชาลงในถ้วยสองใบ ตนเองถือไว้ถ้วยหนึ่ง ทำให้อุ้งมือที่เย็นเพราะน้ำฝนอุ่นขึ้นมาหน่อย จากนั้นเอนตัวลงที่เก้าอี้ไม้ไผ่
“ที่ผ่านมาต้าถังให้ความสำคัญกับคำสัญญาเป็นอย่างมาก เมื่อลงนามแล้วก็ไม่สะดวกจะลงมือ ดังนั้นข้าต้องชิงลงมือก่อนจะลงนาม ฆ่าคนที่ข้าอยากฆ่าเสียก่อน”
เยี่ยหงอวี๋จ้องตามันก่อนเอ่ยว่า
“เจ้ารับปากข้าว่าจะไม่ลงมือกับพวกมัน”
หนิงเชวียดันถ้วยน้ำชาไปใกล้ๆ มือนาง เอ่ยว่า
“ข้ารับปากเจ้าว่าจะส่งลูกหลานของตระกูลใหญ่ในชุมนุมชิงเหอกลับไป ไม่ได้บอกว่าจะส่งกลับไปแบบเป็นๆ ศพของพวกมันตอนนี้อยู่หน้าบ้าน ถ้าอาศรมเทพสนใจก็ลากกลับไปเขตชิงเหอได้ทุกเมื่อ ข้าไม่สนใจจะเก็บศพให้พวกมัน”
“เจ้าคิดว่าทำแบบนี้สนุกนักใช่ไหม”
“แน่นอน ไม่เช่นนั้นข้าจะทำไปทำไม ต่อให้เจ้าคิดว่าการเล่นแบบนี้ไม่สนุก แต่เจ้าก็รู้ว่าข้ายังไม่ได้ลงนามในกระดาษแผ่นนั้น เช่นนั้นข้าจะทำอะไรก็ได้”
“หรือเจ้าไม่กลัวว่าจะยั่วโทสะข้า”
หนิงเชวียดื่มน้ำชาไปคำหนึ่งก่อนเอ่ยว่า
“โทสะไม่อาจกำหนดผลลัพธ์ เหมือนอย่างที่เจ้าทำให้ข้าเกิดโทสะแล้ว แต่ข้าไม่อาจฆ่าเจ้า เพราะข้าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เช่นเดียวกันเจ้าก็ไม่อาจกำหนดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้านิกายหรือคนผู้นั้นที่ซ่อนอยู่หลังม่านล้วนต้องการให้เจ้านำสัญญาฉบับหนึ่งกลับอาศรมเทพ ดังนั้นโทสะของเจ้าจึงไม่มีประโยชน์อันใด
โดยเฉพาะสิ่งที่พวกเจ้าต้องการมากที่สุดพวกเราได้ให้ไปแล้ว พวกคนในชุมนุมชิงเหอเป็นแค่ของแถมซึ่งไม่มีความสำคัญ”
“สำคัญหรือไม่ เจ้าไม่ใช่คนตัดสิน”
“ตระกูลใหญ่เขตชิงเหอเป็นแค่สุนัขฝูงหนึ่งที่อาศรมเทพเลี้ยงไว้ สุนัขพวกนี้ถูกคนฆ่าตาย พวกเจ้าอาจมีโทสะ แต่คงไม่ถึงกับเพราะเรื่องนี้จึงจะแตกหักกับสถานศึกษา หรือเจ้าไม่คิดว่าการให้ข้าได้ระบายความแค้นสักหน่อยเป็นเรื่องดีสำหรับอาศรมเทพ”
หนิงเชวียยิ้มแล้วเอ่ยต่อไปว่า
“อีกอย่างข้าอาจไม่สามารถตัดสินจริงๆ ว่าเรื่องนี้สำคัญต่อพวกเจ้าหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงทำก่อนแล้วค่อยมาบอกพวกเจ้าซึ่งเป็นการช่วยพวกเจ้าตัดสิน”
เพราะฝนตก ฟ้าจึงค่อนข้างหม่นหมอง ชุดหน่วยพิพากษาของเยี่ยหงอวี๋ดูคล้ายธงสีโลหิต ทว่ากลบกลิ่นคาวเลือดที่แผ่ออกมาจากตัวของหนิงเชวียไม่มิด
หนิงเชวียอาบน้ำแล้ว แต่ตอนนี้เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่รู้จริงๆ ว่าก่อนหน้านี้ฆ่าคนในชุมนุมชิงเหอไปมากเท่าไร คิดว่าต่อให้ดื่มชาขมยิ่งกว่านี้ก็ยากจะล้างใจมันให้สะอาด
ระเบียงทางเดินเงียบอยู่นาน ในที่สุดเยี่ยหงอวี๋ก็เอ่ยว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว”
“หรืออาจเพิ่งเริ่มต้น”
เยี่ยหงอวี๋มองมันพลางถามว่า
“วันหน้าเจ้ายังจะฆ่าคนเหมือนวันนี้อีกไหม”
หนิงเชวียครุ่นคิดก่อนตอบ
“ที่จริงยังมีอีกมากมายหลายคนที่ข้าอยากฆ่า”
เยี่ยหงอวี๋เลิกคิ้ว
“ในสัญญาต้องมีชื่อของเจ้า”
หนิงเชวียยิ้ม
“เจ้ารู้ระดับความหน้าด้านไร้ยางอายของข้า”
“แม้ด้วยชื่อของสถานศึกษาน่ะรึ”
“แม้เป็นชื่อเสียงของอาจารย์ ข้าก็ไม่เคยสนใจ”
หนิงเชวียวางถ้วยน้ำชาลง ยืนขึ้นแล้วยืดเส้นยืดสาย ก่อนตะโกนใส่สายฝนว่า
“ถ้าอาศรมเทพสนใจมากนัก ข้าลาออกจากสถานศึกษาก็ได้!”
“ราวกับเจ้าไม่เคยคิดว่าถ้าฆ่าคนมาก อาศรมเทพก็อาจไม่รักษาสัญญา”
หนิงเชวียหันกลับมามองนาง
“คนที่ทำให้สถานศึกษาหวั่นเกรงได้เดิมทีไม่ได้อยู่ในอาศรมเทพ ในสายตาของสองคนนั้น คนธรรมดาบนโลกล้วนเป็นเหมือนมดปลวก จะมีโทสะเพราะมดตายไปไม่กี่ตัวได้อย่างไร แน่นอนว่าข้าฆ่าได้เฉพาะคนที่ข้าสามารถฆ่า และจะพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้อาศรมเทพมีโทสะมากเกินไป”
“เจ้าอยากทดสอบขีดจำกัดของนิกายเต๋า?”
หนิงเชวียยิ้มเยาะ
“นิกายเต๋ามีขีดจำกัดตั้งแต่เมื่อใด”
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงจะไม่สนใจเรื่องของชุมนุมชิงเหอ”
“ย่อมไม่ใช่เพราะเจ้าเห็นคนพวกนั้นเป็นสุนัขแน่”
“มิผิด คนพวกนั้นตายแล้ว อีกอย่างข้าเชื่อว่าต่อให้เจ้าอยากฆ่าคนมากขนาดไหน หรือมีคนอีกมากมายเท่าใดที่เจ้าอยากฆ่า เจ้าก็ไม่มีทางฆ่าได้อีก”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเจ้าออกจากฉางอันไม่ได้”
นางมองตาหนิงเชวียด้วยแววตาที่เฉยเมย
“ชีวิตนี้เจ้าจะถูกขังในฉางอัน และเป็นนักโทษที่ทำได้แค่บันดาลโทสะ”
หนิงเชวียไม่พูดอะไร เพราะนี่คือความจริง
ถ้ามันออกจากฉางอัน นิกายเต๋าต้องทำทุกวิถีทางและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฆ่ามันอย่างแน่นอน ในเมืองมันไร้พ่าย นอกเมืองมันอ่อนแอ
เพราะมันคือดวงตาค่ายกลของฉางอัน
คณะทูตของอาศรมเทพออกจากฉางอันแล้ว
ตอนพวกมันมาอันที่จริงไม่ได้หอบหิ้วความหวังมามากสักเท่าไร ยามจากไปกลับได้เงินทองทรัพย์สมบัติมากมายรวมถึงชัยชนะที่คนรุ่นก่อนไม่เคยได้รับ
คนที่รู้ความลับที่แท้จริงของการเจรจาครั้งนี้ภายในคณะทูตของอาศรมเทพมีเพียงเยี่ยหงอวี๋และอาจารย์ใหญ่ของเทียนอวี้ย่วนเท่านั้น
เพราะรู้ว่านิกายเต๋ามียอดผู้ฝึกฌานผู้เร้นกายที่ด่านฌานลึกล้ำเกินหยั่งคาดอยู่สองคน อาจารย์ใหญ่ของเทียนอวี้ย่วนไม่เพียงไม่รู้สึกพอใจกับสัญญาฉบับนี้ ซ้ำยังเกิดความไม่เข้าใจอย่างมากด้วย มันไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาศรมเทพจึงไม่ถือโอกาสนี้โจมตีต้าถังให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่เลือกที่จะสงบศึก
เยี่ยหงอวี๋มองเงาเป็นเส้นๆ นอกหน้าต่างที่เกิดจากกิ่งหลิวกลางสายฝน คิดในใจว่า
ดื่มสุราสามารถฆ่าคน คัดตัวอักษรก็สามารถฆ่าคน แม้แต่อ่านตำรายังสามารถฆ่าคน นอกจากจ้าวบัลลังก์เหลียนเซิงในอดีต ไม่มีใครอยากเห็นโลกมนุษย์แบบนี้ โดยเฉพาะเซียนเซิงใหญ่ก็รู้จักต่อยตีกับผู้อื่นแล้ว เซียนเซิงรองหมวกหล่นพื้นยังไม่เก็บ เซียนเซิงสามคือจักจั่นตัวนั้น หนิงเชวียก็ไม่กลัวตาย สถานศึกษาที่เป็นแบบนี้ใครกล้าพูดว่าเอาชนะได้
หนิงเชวียยืนอยู่ที่ประตูเมืองทิศใต้ มองสายฝนที่ตกลงมา เอ่ยว่า
“ฝนเบาลงแล้ว”
มันมาส่งคน แน่นอนว่าคนที่มันมาส่งไม่ใช่คณะทูตของอาศรมเทพ แต่เป็นโม่ซันซัน นางเอ่ยว่า
“เช่นนั้นข้าก็ควรไปแล้ว”
หนิงเชวียนิ่งเงียบอยู่ครู่
“อันที่จริงไปช้าอีกสักหลายวันก็จะดีมาก”
“แม้ช้าอีกกี่วัน สุดท้ายก็ต้องไป”
หนิงเชวียไม่รู้ควรพูดอะไรอีก จึงไม่พูดต่อ โม่ซันซันมองมันแล้วถามอย่างจริงจังว่า
“ต่อไปท่านจะฆ่าคนอีกมากหรือ”
หนิงเชวียครุ่นคิดก่อนตอบว่า
“ใช่ ถ้าออกจากฉางอันได้ ข้าจะฆ่าคนอีกมาก”
โม่ซันซันมองรองเท้าขาวของตนที่ยื่นพ้นชายกระโปรงออกมา นิ่งเงียบอยู่นาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จากนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยว่า
“ขอให้ท่านฆ่าคนอย่างมีความสุข”
หนิงเชวียรู้สึกว่าสายฝนอ่อนโยนลงมาก
“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ”
คณะทูตของอาศรมเทพจากไปแล้ว สงครามสงบลงอย่างเป็นทางการมาได้ระยะหนึ่ง แม้ย่างเข้าปลายวสันต์ เผ่าจินจั้งที่ยึดครองที่ราบเซี่ยงหวั่นทดลองบุกลงใต้ แต่ถูกกองกำลังปราบแดนเหนือตอบโต้อย่างเข้มแข็งและรุนแรง ทั้งถูกอาศรมเทพส่งสารตำหนิอย่างเข้มงวด ไม่อาจไม่ถอยกลับไปค่ายชายแดนเจ็ดเมืองและยอมรับสภาพความจริง
ไฟสงครามในทุกพื้นที่เริ่มสงบลง ทหารม้าทุ่งร้างตะวันออกหนีกลับไปแคว้นเยี่ยน กองทัพร่วมส่วนใหญ่ถอนกำลังกลับหนานจิ้นและแคว้นเทพซีหลิงแล้ว สถานการณ์สงบลงตามกาลเวลา เพียงแต่มีคนตายไปมากมาย
ธงขาวที่ตำหนักชินอ๋องไม่อาจระงับโทสะของชาวถังได้ทั้งหมด เพื่อการนี้ราชสำนักต้องทำงานหลายอย่าง หวังว่าจะสามารถชักนำเพลิงโทสะไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้องได้ นั่นคือนิกายเต๋า
หนิงเชวียไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ในช่วงเวลาแห่งความสงบสุข ภูเขาหลังสถานศึกษายังคงรักษากฎเดิมที่ห้ามก้าวก่ายเรื่องในราชสำนัก แต่เหตุผลสำคัญที่สุดเป็นเพราะตอนนี้มันไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจ
มันอยากออกนอกเมือง หลายวันแล้วที่มันไม่ได้ออกจากฉางอัน
มีคนมากมายอยากเข้าฉางอันแต่เข้าไม่ได้ เพราะมันอยู่ในเมือง ส่วนมันอยากออกนอกเมืองแต่ไม่กล้าออก เพราะที่เมืองเล็กๆ ที่ไหนสักแห่งมีคนกำลังดื่มสุราและกินเนื้อ
หนิงเชวียพบว่าตนเป็นอย่างที่เยี่ยหงอวี๋บอก กลายเป็นนักโทษของเมืองนี้
ในใจมันยังมีปริศนามากมายที่แก้ไม่ได้ ใครกันที่หาปีศาจสุราเจอและส่งมันมาฉางอัน คนผู้นั้นเหตุใดต้องคืนรถม้าและธนูเหล็กให้แก่ตน คนผู้นั้นเหตุใดต้องให้ปีศาจสุรามาพูดประโยคนั้น
‘การตายแต่ละครั้งของโลกนี้คือการจากลาเพื่อพานพบใหม่’
ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร
มันเคยคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง แต่สติปัญญาบอกมันว่านั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้มันจึงได้แต่ทุกข์ใจอยู่ในเมือง