ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา 14 บทที่ 48 – 50
ตอนที่ 48
ข้าไร้คู่ต่อสู้ในขั้นเดียวกัน
ข่าวลือนั้นแพร่ไปทั่วเมื่อสองปีก่อน ทว่าไม่มีใครเชื่อ ดังนั้นจึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน
เพราะข่าวลือนั้นเหลวไหลเกินไป
ต่อให้เฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์ในมรรคากระบี่สูงส่ง ก็ยังเป็นเรื่องเหลวไหล
แต่เมื่อวันนี้ยอดฝีมือเหล่านี้ได้เห็นภาพตรงหน้าเองกับตา ก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริง
มันเหลวไหลเกินไปจริงๆ
อย่างแรก จะทำเช่นนี้ได้ต้องครอบครองกระบี่มากมาย
อย่างที่สอง จะควบคุมกระบี่มากมายเช่นนั้นได้ก็ต้องมีพลังจิตอันแข็งแกร่ง ทรงพลัง และมั่นคงเกินกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการ อีกทั้งนี่มิใช่แค่การควบคุมธรรมดา หากทำได้เพียงใช้พลังจิตสั่งให้กระบี่เหล่านี้ฟันหรือแทงแต่ไม่สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วหรือออกกระบวนท่าอันซับซ้อนได้ กระบี่เหล่านั้นย่อมไร้อำนาจต่อกรกับยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างพวกเขา และพวกเขาก็จะมองข้ามกระบี่เหล่านี้ไปอย่างสิ้นเชิง
ใช่แล้ว คนผู้หนึ่งต้องมีกระบี่จำนวนมาก มีพลังจิตที่แข็งแกร่งพอจะควบคุมพวกมันทั้งหมด และยังต้องรู้เพลงกระบี่ที่หลากหลาย
คุณสมบัติเหล่านี้สูงส่งเกินไป ดังนั้นหากว่ากันตามเหตุผล ไม่มีใครที่สามารถมีคุณสมบัติเช่นนี้อยู่ใต้ท้องฟ้าดวงดาว
ทว่าเงื่อนไขเหล่านี้ราวกับตั้งไว้เพื่อเฉินฉางเซิงโดยเฉพาะ
เขาครอบครองกระบี่มากมาย อีกทั้งยังสามารถควบคุมพวกมันได้ดังใจนึก หรืออาจกล่าวได้ว่ากระบี่เหล่านี้ยินยอมเคลื่อนไหวตามเจตจำนงของเขา ที่สำคัญคือเขารอบรู้เพลงกระบี่จำนวนมหาศาล
ดังนั้นเฉินฉางเซิงย่อมสามารถทำเรื่องที่ฟังดูเหลวไหลนี้ได้
ดังนั้นสำหรับยอดฝีมือของราชสำนัก การต่อสู้ในวันนี้จึงกลายเป็นเรื่องเหลวไหล
เพียงแค่เฉินฉางเซิงสั่งให้กระบี่ที่อยู่กลางอากาศเหล่านั้นออกกระบวนท่า ก็จะเท่ากับการโจมตีจากเฉินฉางเซิงหลายสิบหรืออาจถึงหลายร้อยคน
แล้วพวกเขาจะสู้ได้อย่างไร
เกล็ดหิมะร่วงหล่นจากฟากฟ้า ปกคลุมไหล่ของเฉินฉางเซิงจนเกิดเป็นชั้นหิมะบางๆ สีขาวนวล
ในเวลาเดียวกัน เกล็ดหิมะก็ตกลงปกคลุมกระบี่หลายร้อยเล่มที่ล้อมเขาเอาไว้ กลายเป็นเส้นสายสีขาวมากมายลอยอยู่กลางอากาศ
เขาก้าวไปข้างหน้า กระบี่หลายร้อยเล่มในอากาศก็เคลื่อนตามไปอย่างเงียบงัน
เป็นภาพอันเหนือจริงซึ่งชวนให้รู้สึกครั่นคร้าม
กระบี่หลายร้อยเล่มสั่นไหวในสายลมหิมะโดยไม่ส่งเสียงอันใด ต่อเมื่อพลังภายนอกมารบกวนเท่านั้น กระบี่จึงจะส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
จิตกระบี่หลายสายพลันส่องประกายท่ามกลางพายุหิมะ เสียงกระจ่างใสของกระบี่และเสียงปะทะดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน
เลือดสาดกระจายในอากาศและตกลงบนพื้น
กระบี่ที่แตกเป็นเสี่ยงปักเข้าใส่กำแพงจนมิดด้าม
จิตกระบี่ทั้งหมดสลายไปและกลับคืนสู่ความเงียบสงบในทันที
สองยอดฝีมือจากวังหลวงพยายามลอบโจมตี ทว่ายังไม่ทันจะฝ่าม่านกระบี่หลายร้อยเล่มไปได้ พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บและถูกบีบให้ล่าถอยไป
ร่องรอยความเสียหายหลงเหลืออยู่ในสายลมและหิมะ ทำให้พอจะมองออกได้ว่าเฉินฉางเซิงเพิ่งใช้กระบวนท่าที่สองของเพลงกระบี่สัตย์จริงของศาสนาหลวงและกระบวนท่าเก็บเมฆสนธยาของสามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ย
เฉินฉางเซิงเดินออกจากซากปรักหักพังของลานเรือน กระบี่หลายร้อยเคลื่อนทัพตามไปและพุ่งใส่กำแพงลานเรือนราวกับฝูงปลาแหวกว่ายผ่านก้อนหิน
ลานเรือนแห่งนั้นที่เขาเดินเข้าไปมีโอ่งน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ภายนอก
เฉินฉางเซิงมองไปทางนั้น
กระบี่หลายร้อยเล่มเคลื่อนไหวตามสายตาของเขาและเล็งไปยังโอ่งน้ำ
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ! เสียงตัดนับไม่ถ้วนดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน แผ่นน้ำแข็งบางถูกตัดออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับโอ่งน้ำที่แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อยเช่นกัน
น้ำพุ่งออกจากโอ่งน้ำซึ่งแตกเป็นเสี่ยง ชะล้างหิมะบนพื้นจนเสียรูป เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างโชกเลือดของมือสังหารล้มลงบนพื้น
ร่างของมือสังหารเต็มไปด้วยรอยกระบี่ เลือดไหลเจิ่งนอง แต่ตัวเขาดูเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด เพียงมองเฉินฉางเซิงด้วยความตกใจเท่านั้น
“ถอยไปอีกหน่อย!” เจ้าหน้าที่จากกองชำระความตะโกนเสียงดัง
พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนจึงตอบสนองได้รวดเร็ว ตราบใดที่พวกเขาอยู่ห่างพอ แรงกดดันจากกระบี่พวกนี้ก็จะอ่อนลงมาก
บางคนประมาณการไว้ว่าระยะปลอดภัยอยู่ที่ประมาณแปดจั้ง
ยอดฝีมือหลายสิบคนพุ่งตัวผ่านอากาศไปทันที ก่อนจะกระจายตัวล้อมรอบลานเรือนโดยทิ้งระยะห่างกับเฉินฉางเซิงประมาณสิบกว่าจั้ง แต่ไม่มีผู้ใดจากไป
เฉินฉางเซิงไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นภาพนี้ เขามุ่งหน้าต่อไป กลับเข้าสู่ลานเรือนในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งอย่างรวดเร็ว
ต้นไห่ถังต้นนั้นไม่เหลือใบ ส่วนกิ่งเปลือยเปล่าที่ยืดสู่ท้องฟ้าก็กินพื้นที่ภายในลานเพียงเล็กน้อย
ทว่าการมาถึงของกระบี่หลายร้อยเล่มก็ทำให้พื้นที่ในลานเรือนกลายเป็นแออัดอยู่บ้าง
เมื่อกิ่งไม้หักลงมาก็ไม่มีเสียงดังกรอบแกรบให้ได้ยิน แตกต่างจากใบไม้แห้ง
ต้นไห่ถังซึ่งเพิ่งจะถูกย้ายมาจากภูเขานอกเมืองจิงตูเมื่อไม่กี่สิบวันก่อน ในตอนนี้กลายสภาพเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วนกองอยู่บนหิมะอย่างเงียบเชียบ
ก็ยังคงเป็นภาพอันเหนือจริง
ในลานเรือนเต็มไปด้วยกระบี่แผ่กลิ่นอายกร้าวแกร่งปราดเปรียวถึงขีดสุด
ในโลกหล้าเต็มไปด้วยจิตกระบี่แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามไร้ใดเปรียบ
ใครก็ตามที่ต้องการจะบุกฝ่ากลุ่มกระบี่เข้าไปโจมตีเฉินฉางเซิง ต้องเผชิญกับพลังของจิตกระบี่อันน่าเกรงขามเหล่านี้
บนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ เขากับหวังพั่วได้แยกทางกัน ต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง
หวังพั่วไปต่อสู้กับเถี่ยซู่เพราะเขาชำนาญด้านการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งกว่า และสิ่งที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้จริง
ในขณะที่เฉินฉางเซิงมายังลานเรือนที่มีต้นไห่ถังเพื่อสังหารโจวทง เพราะเขาชำนาญด้านการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากกว่า
“ในที่สุดก็ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าออกมาแล้วหรือ”
เสี่ยวเต๋อยืนมองเฉินฉางเซิงจากบริเวณประตูหินของลานเรือน
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนบันไดหิน ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป คำนวณได้แปดจั้งพอดี
ระยะห่างนี้บ่งบอกหลายสิ่ง อย่างแรกคือเสี่ยวเต๋อเองก็ไม่มั่นใจว่าจะต้านทานการโจมตีจากกระบี่หลายร้อยเล่มไหวเช่นกัน ส่วนอย่างที่สองคือ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจวิชากระบี่ที่เฉินฉางเซิงใช้อย่างล้ำลึก
ดังเช่นคำพูดนี้ของเขา
หลายวันก่อนหลินกงกงได้รับบาดเจ็บสาหัสในสำนักศึกษาศาสนาหลวง ทำให้ผู้คนมากมายที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต้องตกตะลึง
สำหรับคนระดับเสี่ยวเต๋อ วิชาของเฉินฉางเซิงไม่ได้เป็นความลับนานแล้ว
“กับคนที่อยู่ในขั้นเดียวกัน เจ้าเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อสู้อย่างแท้จริง”
เสี่ยวเต๋อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหดหู่อยู่บ้าง
การไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันนั้นฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่อันที่จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครทำได้ ไม่แม้แต่คนเดียว
ก่อนที่หวังพั่วจะทะลวงขั้น เขาแข็งแกร่งระดับเดียวกับเซวียสิ่งชวน ตอนที่ซูหลีอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวระดับต้นก็ยังเคยถูกหญิงสาวบางคนในทุ่งหิมะแดนเหนือทุบตีราวสุนัขตัวหนึ่ง แม้แต่ผู้ครองภพโจวที่ได้รับการขนานนามว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดใต้ท้องฟ้าดวงดาว ขณะที่ขั้นทะลวงอเวจีระดับสูงก็ยังไม่ใช่คู่มือของเฉินเสวียนป้า ถึงแม้ว่าในตอนนั้นเฉินเสวียนป้าจะอยู่ขั้นขั้นทะลวงอเวจีระดับสูงเช่นกันก็ตาม
ทว่าตอนนี้เฉินฉางเซิงกลับนับได้ว่าไร้คู่ต่อสู้ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันอย่างแท้จริง
ในตอนนี้เขาอยู่ขั้นรวบรวมดวงดาวระดับต้น และมีสัญญาณเลือนรางว่าเขากำลังจะทะลวงสู่ขั้นต่อไป
ถึงกระนั้นก็อย่าว่าแต่ยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวระดับต้นเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวระดับกลางก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้
ไม่แม้แต่คนเดียว
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
เพราะจำนวนกระบี่ที่เฉินฉางเซิงมีนั้นเป็นตัวแทนจำนวนตัวเขาเอง
สู้กับเขาก็เท่ากับสู้กับเฉินฉางเซิงจำนวนนับไม่ถ้วน
แล้วใครจะสู้เขาได้
“ดีที่เจ้าแค่ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นเดียวกันเท่านั้น” เสี่ยวเต๋อถอนหายใจก่อนจะกล่าว “ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องหันกลับและจากไปจริงๆ”
ตอนที่ 49
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ยังคงเป็นการสังหาร
“ดังนั้นวิชานี้ของเจ้าจึงไร้ประโยชน์เมื่อใช้กับข้า” เสี่ยวเต๋อเอ่ยกับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง
เติมน้ำร้อนใส่อ่างไม้มากเพียงไรก็ไม่อาจทำให้น้ำเดือด ทับถมดินโคลนให้สูงกว่าสุสานเทียนซูก็ไม่อาจแข็งกว่าก้อนศิลาไปได้ ต่อให้เฉินฉางเซิงกลายเป็นเฉินฉางเซิงหมื่นคนจริงๆ ก็ไม่อาจอาศัยจำนวนทะลวงขั้นไปได้
เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากนัก
การบำเพ็ญเพียรเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลก ไม่มีใครเชื่อว่าความขยันจะสามารถชดเชยการขาดพรสวรรค์หรือการเพิ่มปริมาณจะสามารถเพิ่มคุณภาพได้
ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวระดับต้นหรือแม้แต่ระดับกลางหลายคนได้พร้อมกัน แต่ก็ยังยากยิ่งนักหากจะสังหารอีกฝ่ายทั้งหมด ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต่อหน้ายอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวระดับสูงสุดอย่างเสี่ยวเต๋อหรือเซียวจาง ระยะห่างของระดับการบำเพ็ญเพียรก็ลดความได้เปรียบด้านจำนวนของเขาไปมาก
ที่เขาสามารถต่อกรกับพญาปักษาปีกทองในสวนโจวได้หาใช่เพราะเขาแข็งแกร่งทัดเทียมกัน ทว่าเป็นเพราะหมื่นกระบี่ตื่นขึ้นจากสระกระบี่ได้เปลี่ยนความปรารถนาที่สั่งสมมาหลายศตวรรษเป็นเจตจำนงในการต่อสู้ เช่นนี้เขาถึงสามารถแสดงกระบี่ขั้นสุดยอดจนสั่นสะเทือนฟ้าดินได้
ตอนนี้สวนโจวสงบนิ่งและเหล่ากระบี่เลื่องชื่อก็กลับคืนสู่สำนัก กระบี่ที่เหลืออยู่ข้างกายเขาได้รับการหล่อเลี้ยงและขัดเกลาอยู่ในมหาสมุทรของซ่อนคม จึงค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพขึ้นอีกครั้ง ทว่าพวกมันไม่อาจรวบรวมเจตจำนงต่อสู้เช่นนั้นได้อีกแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือภาพหมื่นกระบี่กลายเป็นมังกรอันน่าอัศจรรย์ไม่อาจปรากฏขึ้นในโลกนี้ได้อีกแล้ว
“แน่นอนว่าเจ้าก็ยังน่ากลัวอยู่มาก” ถ้อยคำของเสี่ยวเต๋อแฝงความรู้สึกโศกเศร้าต่อปัจจุบันและหวาดหวั่นต่ออนาคต “หากข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้ากับกระบี่ของเจ้าจะสร้างสถานการณ์เช่นไรขึ้นมาเมื่อไปถึงจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว”
หากคำพูดของเสี่ยวเต๋อเป็นจริง เฉินฉางเซิงในอนาคตเพียงคนเดียวก็สามารถรับมือทั้งกองทัพ จะยึดเมืองหรือทำลายอาณาจักรใดๆ ก็ย่อมได้
“ในตอนนั้นคนอย่างพวกเราคงไม่มีความสามารถจะต่อต้านเจ้าได้แม้แต่น้อย และอาจถูกเจ้าทุบตีราวสุนัข” เสี่ยวเต๋อหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “และนั่นไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเรา”
ทั่วทั้งลานเรือนเงียบงัน ต้นไห่ถังแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว แม้แต่สายลมก็ไม่กล้าพอจะพัดผ่านหรือทำให้กระบี่ที่ลอยอยู่เหล่านั้นสั่นไหว
เมื่อเหล่ายอดฝีมือจากราชสำนักได้ยินคำพูดของเสี่ยวเต๋อ พวกเขาก็จมอยู่ในความคิด สารพัดอารมณ์ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เฉินฉางเซิงไม่ตอบ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเห็นเป็นเส้นเดียว
เฉกเช่นเส้นสายนับร้อยที่เกิดจากกระบี่ในหิมะ
ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดยินดีเห็นอนาคตเช่นนั้นหรือยินยอมเป็นสุนัขที่ถูกกระบี่ของผู้แข็งแกร่งทุบตี
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นศัตรูกันอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้อนาคตอันน่าหวาดกลัวเกิดขึ้น ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้และจำเป็นต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือฆ่าเฉินฉางเซิงเสียตั้งแต่ตอนนี้
เสี่ยวเต๋อยังจ้องมองเฉินฉางเซิงอย่างสุขุม ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ฉายแสงสีน้ำตาล และร่างกายก็ระเบิดพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
พลังปราณนี้เปี่ยมด้วยกลิ่นอายโบราณและป่าเถื่อน ราวกับมีเลือดสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่ในนั้นแม้แต่ส่วนที่เล็กที่สุด
เสื้อผ้าของเขาคับแน่นมากขึ้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อภายในที่แข็งแกร่งกำยำประหนึ่งขุนเขา จากนั้นขนที่เล็กละเอียดและแข็งดุจเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนก็แทงทะลุเสื้อผ้าจนเป็นรูถี่ยิบ
บนอกเขามีแผลลึกซึ่งเกิดจากกระบี่เพลิงผลาญของเฉินฉางเซิงในตอนที่ปะทะกันครั้งแรก นับจากตอนนั้นเลือดก็ไหลออกมาตลอดเวลา ทว่าตอนนี้ปากแผลพลันสมานปิดและเลือนหายไป
เฉินฉางเซิงกระชับด้ามกระบี่ให้แน่นขึ้น เพราะเขารู้ว่าเสี่ยวเต๋อกำลังจะใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด
เผ่ามารมีข้อได้เปรียบเหนือเผ่ามนุษย์มากมาย อย่างเช่นความเร็ว ความแข็งแกร่งและความทนทานตามธรรมชาติของร่างกาย และความได้เปรียบสูงสุดของยอดฝีมือเผ่ามารก็คือพวกเขาสามารถแสดงร่างที่แท้จริงได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยการยืมสายเลือดของบรรพบุรุษมาทำให้ตนรวดเร็วยิ่งขึ้น แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และทนทานยิ่งขึ้น
นี่คือการแปลงร่าง
เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้นในลานเรือน สายลมแรงหอบหนึ่งพัดเอาเศษกิ่งไห่ถังบนพื้นดินไปกระแทกใส่กำแพงจนแหลกละเอียดยิ่งกว่าเดิม
เสี่ยวเต๋อหายตัวไปจากประตูหิน ก่อนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินฉางเซิง
กระบี่หลายร้อยเล่มซึ่งส่งเสียงครืนครั่นขณะขยับไหวอยู่ในอากาศพลันนิ่งไป
เสี่ยวเต๋อได้ข้ามระยะห่างแปดจั้งในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ก่อนจะถูกกระบี่หกเล่มกรีดแทงใส่ทันที
ทว่าแม้กระบี่ทั้งหกเล่มจะออกกระบวนท่างดงามติดต่อกัน ก็ไม่อาจชะลอฝีเท้าของเสี่ยวเต๋อได้
ฝากไว้ได้เพียงรอยแผลตื้นๆ บนร่างของเขาเท่านั้น
ในฐานะยอดฝีมือรุ่นกลางของเผ่ามาร ร่างกายของเสี่ยวเต๋อเรียกได้ว่าทนทานจนน่าขนลุก และยิ่งกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวเกินจินตนาการหลังจากแปลงร่าง หากไม่ใช่เพราะกระบี่ทั้งหมดที่เฉินฉางเซิงได้มาจากสระกระบี่ล้วนเป็นกระบี่เลื่องชื่อเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกมันคงไม่อาจสร้างรอยแผลแม้เพียงเล็กน้อยให้เสี่ยวเต๋อได้
หมัดของเสี่ยวเต๋อพุ่งเข้าใส่เฉินฉางเซิงท่ามกลางสายลมหิมะ
เขายังคงไม่ใช้อาวุธเช่นเดียวกับครั้งแรกที่พวกเขาปะทะกันด้านนอกกำแพง
หลังกลับจากเขาหานซานเสี่ยวเต๋อก็สำรวมขึ้นกว่าเดิม ทั้งการบำเพ็ญเพียรยังก้าวหน้าขึ้นมาก ส่วนที่ต่างออกไปที่สุดคือเขามีมั่นใจในหมัดของตัวเองมากขึ้น
เขามีอาวุธ แต่บนเส้นทางภูเขาบนเขาหานซานก่อนที่จะถูกหลิวชิงแทงใส่ เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะชักมันออกมา
จากนั้นเขาก็ได้พบกับราชาปีศาจในป่าต้นพลับริมลำธาร อาวุธของเขายิ่งเป็นสิ่งน่าขันไม่ว่าเขาจะชักมันออกมาได้หรือไม่ก็ตาม
หลังจากนั้นเสี่ยวเต๋อก็ทิ้งอาวุธและใช้เพียงมือของตนเท่านั้น
เมื่อเทียบกับดาบ กระบี่ หอกหรือศัสตราวิเศษ มือต่างหากคืออาวุธที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญเพียร
มือนั้นโจมตีได้เร็วกว่ากระบี่มาก
และเร็วกว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงเช่นเดียวกัน
ก่อนเฉินฉางเซิงจะมีโอกาสออกกระบี่ หมัดของเสี่ยวเต๋อก็มาถึงแล้ว โชคดีที่เขาถือร่มกระดาษทองไว้ในมือซ้ายตลอดเวลา
ร่มยืมกำลังจากสายลมลอยขึ้นและต้านรับหมัดของเสี่ยวเต๋อเอาไว้
ร่มยุบลงเมื่อแรงมหาศาลกดลงมา ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น เท้าซ้ายของเฉินฉางเซิงจมลึกลงไปในพื้นดิน
พื้นหินแข็งถูกเฉินฉางเซิงเหยียบจนแตกเป็นรอยคล้ายใยแมงมุม ก่อนเท้าซ้ายของเขาจะจมลึกลงไปเสมือนอยู่ในน้ำวน
เสียงกร๊อบดังมาจากร่างของเฉินฉางเซิง กระดูกบางท่อนในร่างของเขาแตกร้าว บางทีอาจจะหักแล้ว
จิตกระบี่ที่แหลมคมอย่างมากส่องประกายออกมาจากขอบของร่มกระดาษทอง
เสี่ยวเต๋อร้องคำรามพร้อมยกกำปั้นฟาดลงอีกครั้ง ก่อให้เกิดลมกระโชกแรง กิ่งของต้นไห่ถังถูกพัดออกจากลานเรือนจนหมดสิ้น รอยร้าวนับไม่ถ้วนปกคลุมกำแพง เศษหินค่อยๆ ร่วงลงมาจนดูราวกับว่ากำแพงได้ผ่านเวลานับหมื่นปีในชั่วพริบตา
หมัดซัดลงมาราวกับภูเขาใหญ่ ในขณะเดียวกันยอดฝีมือจากราชสำนักลงมือโจมตีเฉินฉางเซิงพร้อมกัน จิตกระบี่ปรากฏขึ้นเต็มลานเรือนเมื่อเพลงกระบี่หลากรูปแบบถูกใช้ออกมาอย่างไม่ขาดสาย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเรือนความเงียบสงบก็กลับมาสู่ลานเรือนอีกครั้ง
เสี่ยวเต๋อยืมกำลังจากแรงสะท้อนถอยไปด้านหลังสู่ประตูหินของลานเรือน ดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บ
ทันใดนั้นเสียงครูดก็ดังมาจากใบหน้าเขา
พร้อมกันกับเสียงนี้ ใบหน้าเขาก็ปรากฏรอยแผลยาวถึงครึ่งชุ่น แผลอันน่ากลัวจากคมกระบี่นี้ลึกจนเห็นกระดูกและมีเลือดไหลออกมา
เฉินฉางเซิงที่ยืนตรงหน้าบันไดหินเก็บกระบี่เข้าฝัก
ขนอันแข็งแกร่งหลายเส้นร่วงลงและตกลงกระทบพื้นจนเกิดเสียงราวกับเข็มเหล็กตกพื้น
พร้อมกันกับเสียงนี้ เฉินฉางเซิงก็เริ่มไอ ไออย่างรุนแรง ใบหน้าซีดขาวขึ้นทุกครั้งที่ไอ เท้าที่เหยียบลงบนเศษหินสั่นเล็กน้อย และร่างของเขาก็ส่ายเอนจนแทบล้ม
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บหนักกว่าเสี่ยวเต๋อ
สีหน้าเสี่ยวเต๋อเคร่งเครียดอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่เพราะเฉินฉางเซิงทำให้เขาบาดเจ็บอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะร่างกายอันแข็งแกร่งและทนทานของเขาไม่อาจต้านทานกระบี่ไร้ราคีที่ติดอันดับในทำเนียบร้อยศัสตราวุธ แต่เป็นเพราะบนร่างเฉินฉางเซิงไม่มีรอยกระบี่เลยสักนิด นี่หมายความว่าในการปะทะกันอย่างชุลมุนเมื่อสักครู่ ไม่มีกระบี่ใดของยอดฝีมือจากราชสำนักหลายสิบคนเข้าใกล้เฉินฉางเซิงได้เลย
เมื่อเผชิญกับการลงมือเต็มกำลังของเสี่ยวเต๋อ เฉินฉางเซิงก็ได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขายังสามารถควบคุมกระบี่หลายร้อยเล่มพร้อมกันได้อย่างไร
เสี่ยวเต๋อสับสนยิ่งนัก พึงรู้ว่าแม้พลังจิตของเฉินฉางเซิงจะแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป แต่ก็ไม่เกินรับมือสำหรับยอดฝีมืออย่างเสี่ยวเต๋อ
แล้วเฉินฉางเซิงทำได้อย่างไรกัน
เสี่ยวเต๋อมองกระบี่หลายร้อยเล่มที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบงัน
เขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าหากเฉินฉางเซิงต้องการควบคุมกระบี่ทั้งหมดพร้อมกัน เขาต้องสิ้นเปลืองพลังจิตอย่างมาก
หากการต่อสู้เป็นเช่นนี้ต่อไป แม้เฉินฉางเซิงจะยังไม่ล้มลง แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าพลังจิตของเขาจะแห้งเหือดไปจนหมด
“เจ้าจะทนได้อีกสักแค่ไหนเชียว” เสี่ยวเต๋อดึงสายตากลับมาจากกระบี่เหล่านั้นและหันไปทางเฉินฉางเซิง “หากเจ้าฝืนอยู่ที่นี่ ก็มีแต่จบลงด้วยการที่ข้าต่อยเจ้าหมัดแล้วหมัดเล่าจนตาย”
กระบี่หลายร้อยเล่มลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบเชียบ คุ้มกันอยู่รอบตัวเฉินฉางเซิง
นี่อาจนับได้ว่าเป็นค่ายกลกระบี่ป้องกันหรือเป็นค่ายกลโจมตี และยังเป็นกรงขังอีกด้วย
เป็นเรื่องยากที่ผู้อื่นจะบุกเข้าไปในกรงขังนี้ แต่ก็ยากที่เฉินฉางเซิงจะออกมาเช่นกัน เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าที่จะเปิดประตูนี้
ดังนั้นเขาจะทนได้นานเท่าใด
“ข้าไม่รู้” เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญอีกเล็กน้อยแล้วกล่าว “อย่างน้อยที่สุดข้าทนจนกว่าโจวทงจะตาย”
เมื่อได้ฟังคำตอบนี้ เสี่ยวเต๋อก็เข้าใจในที่สุดและตกตะลึงอยู่บ้าง
อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว แต่เสี่ยวเต๋อกับยอดฝีมือของราชสำนักที่ล้อมเขาอยู่ล้วนไม่ยอมเชื่อ
ทว่าตอนนี้เสี่ยวเต๋อเริ่มเชื่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเฉินฉางเซิงยังคงไม่จากไป ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าบันไดหิน
เฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่ ดังนั้นเสี่ยวเต๋อและยอดฝีมือจากราชสำนักทั้งหมดก็ต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน
ราชสำนักต้าโจวได้วางแผนสังหารหวังพั่วกับเฉินฉางเซิงในวันนี้ แต่ตอนนี้เสี่ยวเต๋อก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้แล้ว
เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงยังมีลูกไม้ซ่อนอยู่ หากมีเพียงกระบี่ที่ลอยอยู่ในอากาศพวกนี้ เฉินฉางเซิงไม่มีทางเอาชนะหลินกงกงในสำนักศึกษาศาสนาหลวงได้
หากเฉินฉางเซิงใช้ลูกไม้นั้นออกมา อย่างน้อยเขาก็จะฝ่าวงล้อมออกไปได้
แล้วเหตุใดเขาจึงไม่จากไป หรือเขากำลังถ่วงเวลารอให้บางคนลงมือสังหารโจวทงจริงๆ
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรอีก เพราะเขาได้ตอบคำถามนั้นไปแล้ว ตอบถึงสองครั้ง
นับตั้งแต่วันนี้เริ่มขึ้น เขากับหวังพั่วก็ต้องการสังหารโจวทง
หลังจากนั้น ราชสำนักก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาใช้สังหารเขากับหวังพั่ว
สถานการณ์แปรผันอยู่ตลอดเวลา พลิกกลับไปมาอยู่เสมอ
คนผู้นั้นไม่เคยปรากฏตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นไปได้มากว่าถูกศิษย์พี่รั้งเอาไว้ในวังหลวง
ตำหนักหลีกงนิ่งเงียบตลอดมา คาดว่าคงถูกผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นสะกดเอาไว้ชั่วคราว แต่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นย่อมไม่มีกำลังไปทำเรื่องอื่นอีกเช่นเดียวกัน
การพลิกผันครั้งสำคัญที่สุดในสถานการณ์ทั้งหมดก็คือเถี่ยซู่ไม่อาจสังหารหวังพั่วได้ ทั้งยังถูกหวังพั่วสังหารเสียเอง
ดังนั้นทุกอย่างจึงกลับคืนสู่ต้นกำเนิด
คืนสู่จุดเริ่มต้นที่สุด
ยังคงเป็นการสังหารโจวทง
ดังนั้นเขาจึงต้องฝืนทนอยู่ที่นี่ ทนจนกว่าโจวทงจะตาย
เขาเชื่อว่าโจวทงต้องตายอย่างแน่นอน
ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ เขาก็ต้องถูกสังหารอยู่ดี
ตอนที่ 50
คุกใต้ดิน (ตอนต้น)
เฉินฉางเซิงต้องสังหารโจวทงด้วยเหตุผลมากมาย เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูที่เดิมทีก็เป็นผลพวงจากการพยายามสังหารโจวทงครั้งก่อนของเขา
ครั้งที่แล้วที่เขาเดินเข้ามาในลานเรือนแห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เป็นชนวนเหตุของความเป็นตายทั้งมวล ตอนนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตายไปแล้ว คนอื่นอีกมากมายก็ตายไปแล้ว กระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ได้ไหลไปสู่จุดโค้งใหญ่แห่งการเปลี่ยนแปลง ทว่าโจวทงก็ยังมีชีวิตอยู่ดี ดีกว่าที่เคยเป็นมาเสียอีก เฉินฉางเซิงจึงรู้สึกว่าการที่เขาจะจบเรื่องนี้ลงนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้โจวทงไปอยู่ที่ไหนก็ตาม
จากนั้นเขากับเสี่ยวเต๋อก็ก้มหน้าลง มองเกล็ดหิมะเกลื่อนกลาดบนพื้นลานเรือนในเวลาเดียวกัน
หิมะนั้นสั่นไหวเล็กน้อยราวกับว่าลึกลงไปในพื้นดินมีการสั่นสะเทือนเบาๆ
เจ้าหน้าที่กองชำระความหลายคนสบตากันด้วยสีหน้าตกใจ จากนั้นความตกใจในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยว พวกเขากำกระบี่แน่นก่อนจะหันไปหาเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงไม่ได้มองพวกเขา ดวงตายังคงจับจ้องหิมะบนพื้น
ทันใดนั้นจิตกระบี่สิบกว่าสายก็ส่องสว่างไปทั้งลานเรือนแล้วฟาดลงกับพื้น
หิมะปลิวกระจายอย่างบ้าคลั่งเพราะจิตกระบี่อันรวดเร็วและรุนแรง พื้นหินแหลกไปในทันที ดินสีดำกระดอนขึ้น เพียงชั่วพริบตาหลุมลึกครึ่งฉื่อก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
เจ้าหน้าที่เหล่านั้นคำรามอย่างเดือดดาล ต่างคนต่างออกเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อพยายามหยุดเฉินฉางเซิงเอาไว้
เสี่ยวเต๋อพอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหมายความเช่นไร แล้วประกายความมุ่งร้ายก็สาดพุ่งออกมาจากดวงตา ก่อนหมัดทั้งสองที่หนักราวกับขุนเขาจะเหวี่ยงเข้าใส่กระบี่หลายร้อยเล่มในอากาศ
ลานเรือนแห่งนี้เคยมีต้นไห่ถัง แต่ถูกเฉินฉางเซิงทำลายไป หลังจากนั้นต้นไห่ถังต้นใหม่ที่แทบจะเหมือนต้นเดิมไม่มีผิดเพี้ยนก็ถูกย้ายมาปลูก ทำให้แม้แต่เจ้าหน้าที่กองชำระความจิตใจโหดเหี้ยมซึ่งไม่สนใจในความงามยังต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็น แต่แน่นอนว่าต้นไห่ถังต้นนี้ก็ถูกทำลายไปเช่นกัน ด้วยฝีมือของเฉินฉางเซิงอีกเช่นเคย
เจ้าหน้าที่กองชำระความทุ่มเทหยาดเหงื่อและหยดน้ำตารวมถึงใช้เวลาอย่างมากมายในการหาต้นไห่ถังหน้าตาเหมือนเดิม จากนั้นก็ใช้เวลาอีกไม่น้อยขุดหลุมริมกำแพงของลานเรือน มีคืนหนึ่งในฤดูสารทที่น้ำฝนทำให้หลุมนั้นถึงกับกลายเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ด้วยซ้ำ แต่ก่อนรุ่งสางน้ำในนั้นก็ได้ซึมลงไปในดินและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กองชำระความตั้งอยู่ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งและยังมีชื่อที่ผู้คนเรียกกันอีกชื่อว่าคุกโจว แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วคุกโจวนั้นอยู่ใต้หลุมซึ่งขุดไว้ปลูกต้นไม้ลึกลงไปสิบเจ็ดจั้ง คุกโจวสร้างเป็นห้องขังห้าห้อง รอบผนังหินอัดแน่นด้วยดินและเศษหินแหลมคมจำนวนมาก และยังวางค่ายกลป้องกันจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
สถานที่ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินและถูกซ่อนเร้นด้วยค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าแห่งนี้ลึกลับอย่างที่สุด ไม่เคยมีคนนอกได้เข้าไป เป็นสถานที่อันแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นจิตกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนและเจตนารมณ์ดาบรุนแรงของเฉินฉางเซิงเมื่อครั้งที่เขาบุกมาคุกโจวครั้งแรก หรือจิตกระบี่ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศในขณะนี้ล้วนไม่ส่งผลกระทบต่อที่นี่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่แรงสั่นสะเทือนสักนิดก็ไม่มี
ลึกเข้าไปในห้องขังห้องหนึ่ง แสงไฟสลัวแต่มั่นคงส่องแสงสว่างให้โต๊ะตัวเล็กภายในห้อง
บนโต๊ะมีถั่วจานหนึ่ง สุราสองไห และตะเกียบสองคู่
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านตะวันออกของโต๊ะเป็นบุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำยำ แม้ว่าชุดนักโทษจะเปรอะเปื้อนด้วยเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีดำ ผมยุ่งเหยิงยาวเลยบ่า อีกทั้งแขนยังขาดไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจปกปิดความองอาจห้าวหาญของเขาเอาไว้ได้ เขาก็คือขุนพลเทพเซวียเหอที่ถูกจับกุมและนำตัวกลับมาจิงตูเมื่อหลายวันก่อน ส่วนผู้ที่นั่งตรงข้ามเขาคือชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ได้สวมชุดขุนนางแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดา มีร่างผอมบาง แก้มตอบ หน้าซีด และดวงตาสงบลึกล้ำ ดูประดุจภูตผี
ผู้คนมากมายตายในคุกโจว แต่ไม่มีใครรู้ว่าคุกนี้มีผีหรือไม่ ทว่าต่อให้มี พวกผีก็คงถูกคนผู้นี้ทรมานจนเกินจะบรรยายได้และไปเกิดใหม่นานแล้ว
เขาคือนายแห่งคุกโจว ในที่แห่งนี้แม้แต่ผีก็ยังกลัวเขา
กระบี่อันยอดเยี่ยมก่อนหน้านี้ที่แทงทะลุตัวเขาบนเก้าอี้ไท่ซือเพียงแค่แทงใส่ชุดขุนนางสีแดงของเขาเท่านั้น นับจากนั้นเฉินฉางเซิงและคนมากมายก็คาดเดาว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน หลายคนคิดว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง ในขณะที่บางคนเชื่อว่าเขาเสียขวัญและหนีไปจากจิงตูแล้ว
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขาจะยังอยู่ที่นี่ ภายในลานเรือนแห่งนี้ เพียงแต่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขากับเฉินฉางเซิงนั้นอยู่ห่างกันเพียงสิบเจ็ดจั้งเท่านั้น
เขาไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย และยังกินถั่วดื่มสุราอย่างใจเย็น ราวกับห่าฝนกระบี่ด้านบนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ว่ามันจะเกรี้ยวกราดเพียงใดก็ตาม
เซวียเหอมองไปในดวงตาเขาก่อนจะกล่าว “เจ้ากลัว”
เขาเป็นขุนพลเทพที่มีชื่อเสียงไปทั่วต้าโจวในฐานะน้องชายของเซวียสิ่งชวน กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไร้ความสามารถ ในสมรภูมิแดนเหนือเซวียเหอได้นำทหารต่อสู้กับพลหมาป่าเผ่าปีศาจซึ่งมีข้อพิพาทกันมายาวนานหลายสิบปี เขาจึงเข้าใจเรื่องความตายและความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้ง
ยามที่ผู้คนหวาดกลัวที่สุดก็มักยืนกรานจะอยู่ในที่ที่พวกเขาคุ้นเคยที่สุด ต่อให้นั่นจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาดนักก็ตาม การตัดสินใจอยู่ที่นี่แทนที่จะไปวังหลวงของโจวทงอาจทำให้ผู้อื่นอุทานด้วยความชื่นชมความฉลาดและนิ่งสงบของเขา แต่ในสายตาของเซวียเหอ นี่เป็นเพียงข้อพิสูจน์ว่าโจวทงกำลังหวาดกลัว
คุกโจวที่ซ่อนอยู่ใต้ดินแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งโจวทงคุ้นเคยที่สุด ในที่แห่งนี้เขาเคยทรมานและสังหารมนุษย์ เผ่ามาร และเผ่าปีศาจไปมากมายเหลือเกิน
โจวทงไม่ได้ไปที่วังหลวงเพราะลางสังหรณ์ลึกๆ ในใจและความไม่ไว้วางใจผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น แต่เขาจะไม่อธิบายเรื่องนี้ให้เซวียเหอฟัง เพราะเซวียเหอเป็นนักโทษของเขา ย่อมไม่มีสิทธิ์ได้รับคำอธิบาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการให้มีผู้ล่วงรู้แม้แต่คนเดียวว่าความภักดีของเขาต่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นไม่ได้แน่วแน่อย่างที่คนอื่นคิดกัน
คุกใต้ดินนี้อับชื้นแฉะมืดมัวเกินไปจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกสะดวกสบาย แม้แต่สำหรับโจวทงเองก็ตาม ห้องขังห้องนี้ที่เซวียเหออยู่นั้นเป็นห้องที่แห้งที่สุด หยดน้ำที่หยดลงจากเพดานหินทิ้งระยะห่างยาวนานที่สุด และหยดน้ำก็ไม่ตกลงบนโต๊ะตัวนี้หรือที่นอนสุมฟาง
นี่นับว่าเป็นการดูแลที่พิเศษทีเดียว ถึงแม้เข็มทองสำหรับสะกดการบำเพ็ญเพียรหลายเข็มบนร่างเซวียเหอจะเป็นโจวทงที่ลงมือปักลงทีละเข็มด้วยตัวเองก็ตาม
“อย่าได้พยายามทำให้ข้าโกรธ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ถึงอย่างไรเขาก็เคยบอกว่าพวกเราล้วนเป็นพี่น้องกัน” โจวทงพูดอย่างสุขุม
โจวทงกับเซวียสิ่งชวนเป็นพี่น้องกัน เซวียสิ่งชวนก็ยังเป็นพี่น้องกับเซวียเหอด้วย
มีแค่สามพี่น้องกับเซวียฮูหยินที่รู้เรื่องนี้
ในอดีตเซวียสิ่งชวนหวังมาเสมอว่าเซวียเหอกับโจวทงจะกลายเป็นพี่น้องกันจริงๆ
เซวียเหอไม่ชอบโจวทง แต่เขาก็ไม่เคยพูดอะไร
ตอนที่พบว่าโจวทงเป็นผู้วางยาพิษพี่ชายจนตายด้วยตัวเอง เขาก็ตัวแข็งไปด้วยความโศกสลดและโกรธแค้นเดือดดาล แต่เซวียเหอก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้เพราะเขาไม่เคยนับโจวทงเป็นพี่น้อง และเขาก็รู้ดีว่าโจวทงเป็นคนเช่นนั้น ถึงกระนั้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองอีกต่อไป ถ่มน้ำลายปนเลือดใส่โจวทง
โจวทงหันหลบ แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา
เขาคงท่วงท่านั้นไว้ จ้องมองไปที่มุมผนังทางตะวันตกเฉียงใต้ของห้องขัง
เขาสัมผัสได้ว่ามีด้านหลังของผนังหินมีแรงสั่นสะเทือนแผ่วเบาทว่าชัดเจนยิ่ง
มีใครบางคนกระตุ้นค่ายกล