• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา 14 บทที่ 54 – 56

    ตอนที่ 54

    ถนนโลหิต (ตอนต้น)

     

    “ข้าไม่มีคำแนะนำแต่มีคำอธิบาย” โจวทงหอบหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “คำอธิบายของข้าไม่มีความหมายกับผู้อื่น แต่ข้าคิดว่าเจ้าต่างออกไป ถึงอย่างไรหลายปีมานี้พวกเราก็ตกที่นั่งเดียวกัน ข้าทำสิ่งที่เรียกว่าการหักหลังด้วยความกลัวและความต้องการป้องกันตัว เจ้าเองก็ทำหลายสิ่งด้วยเหตุผลเดียวกัน”

    นี่หมายถึงตอนที่โม่อวี่ปกปิดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และทำตามความประสงค์ของใต้เท้าสังฆราช ลอบจัดการให้เฉินฉางเซิงได้เข้าสำนักศึกษาศาสนาหลวง

    โม่อวี่ส่ายหน้าแย้ง “ความกลัวและความต้องการป้องกันตัวเองของข้าอยู่เบื้องหลังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางไม่”

    “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ในสายตาข้า ในเมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยสนใจชะตากรรมของเราเลย เหตุใดเราต้องใช้ชีวิตเพื่อนางด้วย คืนนั้นเฉินฉางเซิงมาที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเพื่อฆ่าข้าและข้าก็เกือบตาย แล้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำอะไร” โจวทงเอ่ยหยัน “นางไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า นางสนใจแต่บุตรของนางเท่านั้น น่าเสียดายที่นางตาบอด ถึงกับเข้าใจผิดว่าคนอื่นเป็นบุตรของตัวเอง”

    ภาพเหงือกสีม่วงดำตัดกับใบหน้าซีดขาวยามเขาหัวเราะเยาะเย้ยนั้นเลวร้ายยิ่งนัก

    โม่อวี่กล่าวด้วยความภูมิใจอยู่บ้าง “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ห่วงใยข้า นางให้ข้ากับโหย่วหรงไปจากจิงตูล่วงหน้า”

    โจวทงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้น “เจ้าคงไม่คิดว่าเมื่อวางยาพิษข้าแล้วจะฆ่าข้าได้อย่างง่ายดายหรอกนะ”

    โม่อวี่ไม่อธิบายแต่ประกาศว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า”

    “ปัญหาใหญ่สุดของเจ้าก็คือยังเยาว์เกินไป” โจวทงอธิบาย “เป็นผู้เยาว์หมายถึงขวบปีในชีวิตเจ้ายังไม่มากพอ อาศัยแค่พรสวรรค์สูงส่งไม่เพียงพอให้ระดับการบำเพ็ญเพียรของเจ้าก้าวหน้าไปกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังขาดความอดทน เจ้าควรปรากฏตัวช้ากว่านี้อีกหน่อย ปล่อยให้พิษซึมเข้าสู่ร่างข้าลึกกว่านี้ และเจ้าก็ไม่ควรเลือกที่แห่งนี้ นี่คือบ้านของข้าและการฆ่าใครสักคนในบ้านของคนผู้นั้นก็ท้าทายกว่าที่อื่นเสมอ”

    สำหรับคนส่วนใหญ่ เรือนของพวกเขาก็คือที่ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยที่สุด คือป้อมปราการสุดท้าย คือถิ่นที่แท้จริงของเขา

    โจวทงเก็บทรัพย์สมบัติทั้งหมดและความสงบสุขอันล้ำค่าที่สุดสำหรับเขาไว้ในเรือนเล็กๆ แห่งนี้ ดังนั้นเขาย่อมเตรียมการเอาไว้อย่างเหมาะสมด้วยการวางกลไกและค่ายกลนานับชนิดเอาไว้

    ขณะที่เขาพูด เสียงกลไกทำงานก็ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง แสงที่ส่องลอดช่องว่างเข้ามาดูจะอ่อนแสงลงไปเมื่อพลังงานจากค่ายกลอันแข็งแกร่งหลายสายพุ่งขึ้นจากพื้นดิน

    ยาลูกกลอนล้ำค่าสองเม็ดนั้นได้สลายคลายตัวยาออกมาในท้องของเขา ฤทธิ์ยาไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง และยับยั้งไม่ให้พิษสร้างความเสียหายมากไปกว่าที่เป็นอยู่เป็นการชั่วคราว ทำให้เขาฟื้นคืนกำลังกลับมาได้บางส่วน

    ดวงตะวันบนท้องฟ้านำมาซึ่งความอบอุ่นจอมปลอม ลมแผ่วเบาก็เย็นเยียบอยู่บ้าง กลิ่นคาวเลือดอบอวลไปทั่วลานเรือนเป็นจังหวะเดียวกับที่ค่ายกลสำแดงพลัง

    เขาใช้วิชาภูษาสีชาดโดยไม่ลังเล หากมองภาพนี้ด้วยพลังวิญญาณ จะพบว่าลานเรือนนั้นอยู่ใต้ทะเลโลหิตไปแล้ว

    ภูษาสีชาดเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขา อีกทั้งยังเป็นวิชาซึ่งสิ้นเปลืองปราณแท้และพลังจิตอย่างมาก ยิ่งในยามนี้มีพิษร้ายแรงสองขนานแล่นไปทั่วร่างของเขา โจวทงย่อมไม่อาจใช้วิชานี้ได้นานนัก แต่ถึงกระนั้นโม่อวี่ก็ไม่อาจต้านทานทะเลโลหิตได้เช่นกัน หากนางไม่ต้องการตายไปพร้อมกับโจวทง นางต้องถอยไปชั่วขณะหนึ่ง

    เขาแค่ต้องฉวยโอกาสชั่วขณะที่นางถอยไปเพื่อหนีออกจากลานเรือนแห่งนี้ หากเขาไปถึงถนนได้ เขาก็รักษาชีวิตไว้ได้

    นี่เป็นวิธีที่ใช้การได้ที่สุดที่โจวทงคิดออกเมื่อเงาแห่งความตายคืบคลานเข้ามา

    ลานเรือนเล็กๆ ดูธรรมดายิ่งนัก ทว่าบนถนนเส้นเดียวกันมีจวนของบุคคลสำคัญผู้โดดเด่นมากมาย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกที่แห่งนี้

    สิ่งที่เกิดตามมานั้นถือว่าเกินความคาดหมายของโจวทง หากกล่าวให้ชัดเจน นี่เกินความเข้าใจและความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับโม่อวี่

    โม่อวี่ไม่ได้ถอยไปแต่ยังยืนอยู่ตรงประตู ปล่อยให้ทะเลโลหิตไร้รูปลักษณ์อาบย้อมชุดชาววังของนางจนมีสีสันน่าขนลุก

    นางนิ่งสงบและจิตใจจดจ่ออย่างมาก ความนิ่งเฉยดุจความตายเข้าแทนที่สีหน้าซีดเซียวของนาง

    แสงดาวเปล่งประกายอยู่ในเสื้อผ้าของนาง ส่องผ่านสีแดงเลือดจนเกิดเป็นภาพอันงดงาม

    กระบี่นั้นเรียวยาวดูประณีตงดงามทว่าบรรจุความทุกข์ยากผ่านกระแสวันเวลาเอาไว้ มันทะลวงผ่านทะเลโลหิต ราวกับสายธารแห่งแสงดาวสายหนึ่ง

    กระบี่เรียวบางแทงทะลุท้องของโจวทงพร้อมเสียงฉึกเบาๆ ปลายแหลมคมที่ยื่นออกจากเอวของเขาอาบย้อมด้วยเลือดสีดำ

    โจวทงไม่ได้ส่งเสียงร้องโหยหวน เพียงแต่มองไปที่นางอย่างตกตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

    กระบี่ของโม่อวี่แทงทะลุร่างของเขา

    แต่ทะเลโลหิตก็ได้กลืนกินพลังจิตของโม่อวี่เช่นกัน

    อย่าว่าแต่เรื่องที่โม่อวี่เป็นเพียงผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวระดับกลาง ต่อให้นางทะลวงสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวระดับสูงสุดได้ในตอนนี้ นางก็ยังไม่อาจหนีจากทะเลโลหิตและลานเรือนแห่งนี้ได้

    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือนางต้องตายอย่างแน่นอน

    โจวทงเข้าใจเหตุผลอย่างรวดเร็ว นางไม่เคยคิดจะรอดชีวิตกลับไปอยู่แล้ว

    เขาขู่ว่าจะลากนางไปตายด้วยกันเพราะต้องการให้นางถอยไป ทว่านี่กลับเป็นความตั้งใจของนางตั้งแต่แรกแล้ว

    นางกลับมาจิงตูก็คือเดินทางสู่ความตาย และนางต้องการจะลากเขาไปด้วย

    ไม่ว่าจะตกนรกหรือกลับคืนมหาสมุทรดวงดาว นางก็ต้องการลากเขาไปด้วย ลากเขาไปอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

    ใบหน้าโจวทงซีดเผือด

    เขาไม่ต้องการจะตายพร้อมกับนาง

    ลานเรือนแห่งนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ยังมีกลไกและค่ายกลที่เขายังไม่ได้เปิดใช้ เขายังต้องการดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย

    แต่เขาก็ล้มเหลว มิใช่เพราะกระบี่ที่แทงทะลุร่างของเขา แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาแข็งทื่อขึ้นมา

    มือคู่หนึ่งวางลงบนบ่าของเขา

    มือคู่นี้ผอมบางเหี่ยวแห้งราวกับกิ่งไม้ ขาวซีดราวกับไม่ได้ต้องแสงตะวันมาหลายวัน เล็บยาวแหลมคมเต็มไปด้วยดินโคลน

    นี่เป็นกรงเล็บหมาป่าคู่หนึ่ง เล็บแหลมคมแทงลงในกระดูกไหล่ของโจวทงจนเลือดสีดำพุ่งกระฉูดจากปากแผล

    โจวทงรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขากำลังจะแย่ลง และกระดูกไหล่ของเขากำลังจะแตก

    ทั่วร่างเย็นเฉียบ เขาหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไปมอง

    เขาคาดเดาได้ว่าผู้ที่ปรากฏกายขึ้นด้านหลังเขาอย่างเงียบงันราวกับภูตผีผู้นี้เป็นใคร

    เขาเคยอ่านเอกสารเกี่ยวกับการสังหารผู้คนในทุ่งหิมะของคนผู้นี้ จึงรู้ว่าหากตนหันหน้าไป คนผู้นี้ย่อมกัดคอเขาอย่างแน่นอน

    เมื่อมาถึงเขตแดนระหว่างความเป็นความตาย โจวทงก็ไม่สนใจพิษทั้งสองในร่างอีก เขาถึงกับรีดเอาปราณแท้ที่น่าจะเป็นหยดสุดท้ายออกมา

    คลื่นยักษ์ยกตัวขึ้นสูงในทะเลโลหิตที่ปกคลุมทั้งลาน

    เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นลำแสงสีเลือดพุ่งไปยังประตูพร้อมกับเสียงโหยหวน

    เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น กระบี่เรียวบางที่ปักอยู่ในท้องเขาหักเป็นสองท่อนด้วยการกระทำนี้

    คนที่เหมือนภูตผีด้านหลังไม่มีเวลาพอจะหักคอเขา มีแค่เสียงฉีกขาดและเลือดหลายสายที่พุ่งขึ้นสู่อากาศ

    กลไกจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเปิดใช้พร้อมกัน ค่ายกลมากมายระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟเป็นการสำแดงพลังครั้งสุดท้าย ภูเขาจำลองและกำแพงสำท้อนภายในลานเรือน รวมถึงตัวเรือนล้วนถูกกระแทกจนพังราบ ฝุ่นควันคลุ้งในอากาศ ไผ่เขียวถูดตัดเป็นท่อน แผ่นหินปูพื้นแตกเป็นเสี่ยง แม้แต่แสงแดดก็ราวกับถูกสะบั้นเป็นริ้วๆ

    โจวทงล้มลงบนเศษท่อนไม้ไผ่

    เขาผลักหน่อไม้ปลอมหน่อหนึ่งด้วยความรวดเร็ว ทำให้กำแพงส่วนที่เหลืออยู่พังทลายลง

    จากนั้นคลื่นพลังปราณก็ผลักร่างเขาออกจากลานเรือน ไปตกลงบนพื้นหิมะอย่างหนักหน่วง

    ภาพร่างที่ชุ่มโชกด้วยเลือดของเขาตัดกับหิมะขาวบริสุทธิ์ไม่ใช่ทิวทัศน์ที่งดงามเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้ให้ความรู้สึกกร้าวแกร่งแต่อย่างใด

    เลือดของเขาเป็นสีดำ ส่งกลิ่นคาวคลุ้งยามที่ไหลออกมาจากแผลที่ท้องของเขา

    แผ่นหลังของเขาดูน่าอนาถ เสื้อผ้าฉีกขาด เนื้อแหลกเละ รอยข่วนสิบรอยลึกจนเห็นกระดูกได้รางๆ

    โจวทงใช้ชีวิตอยู่มาหลายปี และนี่เป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขา

    ทว่าดวงตาเขาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดก็มองเห็นความหวังขึ้นมาบ้าง ทำให้เขายินดีอย่างยิ่ง

    เพราะในที่สุดเขาก็มาถึงถนนแล้ว

     

    ฝุ่นฟุ้งในอากาศ เศษหินปลิวไปทั่ว ลานเรือนแห่งนี้กลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วพริบตา

    โม่อวี่ไม่ประหลาดใจเรื่องนี้นัก นางรู้ว่าคนอย่างโจวทงย่อมต้องสร้างความวุ่นวายอย่างมากก่อนตาย และที่นี่ก็เป็นถิ่นของเขา สิ่งเดียวที่นางประหลาดใจคือมีคนลอบตามรอยโจวทงผ่านอุโมงค์มาได้ ขนาดนางมีแผนที่อุโมงค์คุกโจวอย่างละเอียดยังไม่เคยคิดที่จะลงไปข้างล่างนั่นเลย ทว่าเมื่อนางเห็นว่าคนผู้นี้คือเจ๋อซิ่ว เรื่องที่คาดไม่ถึงก็กลายเป็นไม่เกินคาดเดา นางรู้ว่าลูกหมาป่าผู้นี้เป็นยอดฝีมือด้านการแกะรอยและซ่อนตัวเพื่อทำการสังหาร

    นางกับเจ๋อซิ่วสบตากัน จากนั้นก็เดินออกจากลานเรือน พวกเขาต่างบาดเจ็บแต่ก็ไม่สาหัสนัก

    ระดับการบำเพ็ญเพียรของโจวทงสูงกว่าโม่อวี่และเจ๋อซิ่วมาก หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป ต่อให้โม่อวี่กับเจ๋อซิ่วจะร่วมมือกันก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

    โม่อวี่กับเจ๋อซิ่วเป็นสองคนในโลกที่ต้องการให้โจวทงตายมากที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงมีการเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเขาเลือกใช้ยาพิษโดยไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนด้วยซ้ำ

    ทว่าแม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ โจวทงก็ยังเอาชีวิตรอดหนีไปจากลานเรือนได้

    แต่โม่อวี่กับเจ๋อซิ่วไม่ได้รีบร้อน โจวทงแทบเอาชีวิตไม่รอด ความตายของเขาจึงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

    ตอนที่พวกเขาก้าวขึ้นบนถนน โจวทงยังคงอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลจากพวกเขา

     

    โจวทงได้กลายเป็นมนุษย์โลหิตไปแล้ว อย่าว่าแต่ใช้วิชาเพื่อมุ่งไปข้างหน้าเลย แม้แต่เดินเขาก็ไม่อาจเดินได้เร็วนักด้วยซ้ำ ทำได้เพียงเดินโผลกเผลกไปข้างหน้า

    เลือดยังคงไหลและหยดลงบนพื้นหิมะ สีดำคล้ำราวกับน้ำหมึก

    เจ๋อซิ่วหายตัวไป แต่เงาบนถนนก็ดูจะเปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย

    โม่อวี่มาถึงด้านหลังเขา ผมนางยุ่งเล็กน้อย เคลียอยู่ข้างใบหน้าซีดเล็กน้อยของนาง

    นางไม่กล่าวคำ เพียงจับจ้องแผ่นหลังของเขาอย่างเฉยชา

    นางกลับมาจิงตูเพื่อที่จะลากโจวทงให้ตายตกไปตามกัน นางไม่คาดคิดว่าตนจะมีชีวิตอยู่ถึงบัดนี้

    นางไม่สนหากมีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกลับมาจิงตู ไม่สนว่าจะถูกพบเห็น

    โจวทงรู้ว่านางมาแล้วจึงทุ่มสุดกำลังเพื่อเดินให้เร็วขึ้น แต่ไม่สามารถทำได้

    ถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของเขา

    โม่อวี่กำกระบี่หักและฟันออกไป

    โจวทงทรุดลงท่ามกลางหิมะ มีรอยแผลปรากฏที่ต้นขาซ้าย

    เขายังไม่หันกลับไป ดิ้นรนลุกขึ้นและมุ่งหน้าต่อไปพร้อมหอบหายใจ

    ข้างถนนมีจวนแห่งหนึ่ง เป็นจวนที่มีประตูสีแดง มุมกำแพงมีธงขาวที่ฉีกขาดเล็กน้อยปักไว้

    ประตูจวนเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นคนผู้หนึ่งก็ก้าวออกมา

    โจวทงรู้ว่าจวนนี้เป็นของใคร ใบหน้าเปื้อนเลือดไม่แสดงอารมณ์อันใดยามที่ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

    จิตกระบี่อีกสายปรากฏขึ้น บาดแผลอีกรอยปรากฏบนร่างของเขา เขาจึงล้มลงในหิมะอีกครั้ง

    เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นบนบันไดหิน

    โจวทงที่ล้มลงบนหิมะกระอักไออย่างเจ็บปวด เลือดไหลพุ่งไปทุกทิศทาง

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็แบกร่างตนลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับเสียงของสัตว์อสูรออกมา

    โม่อวี่อยู่ด้านหลังเขา มือกุมด้ามกระบี่ กระบี่นั้นเปื้อนเลือด

    เขาไม่ได้หันกลับไป มองไปเพียงข้างหน้าเท่านั้น ยังคงหอบหายใจถี่รัวอย่างเจ็บปวด

    ถนนอันปกคลุมไปด้วยหิมะเบื้องหน้าเปล่าเปลี่ยว ไม่มีผู้สัญจรผ่านมาให้เห็นแม้แต่คนเดียว แล้วเขาต้องการจะไปที่ใดกัน

     

    ตอนที่ 55

    ถนนโลหิต (ตอนกลาง)

     

    ตอนเหนือของจิงตูมีถนนยาวที่ชื่อว่าถนนผิงอัน (สันติ) เป็นถนนที่อยู่ใกล้กับเขตวังหลวง เมื่อข้ามสะพานซานเส่อก็จะเข้าสู่ถนนจูเชวี่ยและไปถึงราชสำนักได้อย่างสะดวกสบาย ถนนสายนี้เป็นที่ตั้งจวนขุนนางและชนชั้นสูงมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจวบจนปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงเจ้าของจวนบนถนนสายนี้ที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

    ในรัชศกเจิ้งถ่ง จวนใหญ่ที่ใกล้เขตวังหลวงที่สุดและทำเลดีที่สุดบนถนนผิงอันย่อมเป็นของตระกูลเทียนไห่ และยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมหลังการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู ทว่าจวนหลายแห่งทางตะวันออก ได้เปลี่ยนเจ้านายและก่อสร้างต่อเติมใหม่ นี่เป็นเพราะเซียงอ๋อง จงซานอ๋อง และอ๋องสกุลเฉินอีกสิบกว่าคนเริ่มย้ายเข้ามาอาศัย

    จวนทางตะวันออกสุดของถนนผิงอันและยังอยู่ใกล้กับต้นไหวที่ผลิดอกเบ่งบานก็คือจวนสกุลเซวีย ด้วยฐานะคนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้วางใจที่สุดในกองทัพต้าโจว เซวียสิ่งชวนย่อมได้รับอภิสิทธิ์นี้ ทว่าบัดนี้สกุลเซวียไม่อาจรักษาจวนนี้เอาไว้ได้แล้ว อ๋องหรือขุนพลเทพสักคนอาจได้เป็นเจ้าของคนใหม่ แต่ใครจะรู้ได้

    เซวียฮูหยินเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของจวนคนใหม่เป็นใคร แต่นางรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจเลี่ยงได้ นางไม่หวังว่าจะได้อยู่ในที่แห่งนี้ต่อและได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว นางส่งคนรับใช้ออกไปหมดแล้ว และหลังงานศพสิ้นสุดลงก็ได้ใช้เงินจากสินสอดของนางซื้อเรือนเล็กๆ บนถนนด้านนอกตรอกไป่ฮวาไว้แล้ว

    หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว นางก็คิดว่าตนคงจะสงบใจได้ในที่สุด ทว่าเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นจากด้านข้าง นางก็ตระหนักว่าตนคาดหวังมากเกินไป เซวียฮูหยินรู้สึกปวดหัวจึงเอ่ยถามเสียงแข็ง “เจ้าร้องไห้เพราะเจ็บหรือร้องเพราะเสียใจ”

    บุตรสาวสกุลเซวียผู้ถูกขับออกจากจวนขุนนางผู้ช่วยเมื่อหลายวันก่อนผู้นี้พำนักในจวนสกุลเซวียโดยมีน้ำตานองหน้าตลอดเวลาที่ผ่านมา วันนี้หลังจากได้ยินข่าวสามี นางก็ยิ่งส่งเสียงสะอื้นไห้ปิ่มขาดใจ ทว่าหลังจากได้ยินเซวียฮูหยินตะคอกถาม นางก็ตกใจและเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดเกรง เช็ดน้ำตาและถามกลับ “ท่านแม่มีอะไรหรือ”

    ดวงตานางแดงก่ำ น้ำเสียงแหบพร่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยรอยช้ำราวกับถูกคนทุบตี

    เซวียฮูหยินชี้ใบหน้าของบุตรสาวซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังคงฟกช้ำก่อนจะกล่าวอย่างโมโห “หากเจ้าร้องไห้เพราะเจ็บจากการโดนตีก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ยอมโตและไม่คู่ควรกับการเป็นบุตรสาวของบิดาเจ้า หากเจ้าร้องไห้เพราะเขาตาย ก็หมายความว่าสมองเจ้ามีปัญหา ร้องไห้ให้กับคนเช่นนั้นมันคุ้มหรือ”

    ข่าวเรื่องขุนนางผู้ช่วยเว่ยแห่งกรมพิธีการถูกเฉินฉางเซิงกับหวังพั่วสังหารได้แพร่กระจายไปทั่วจิงตู ทุกครั้งที่บุตรสาวสกุลเซวียคิดถึงวิธีการอันโหดเหี้ยมไร้หัวใจของผู้เป็นสามี นางก็โกรธจนแทบคลั่งและไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความตายของเขาอีกแล้ว ทว่าทันทีที่นางรู้ว่าชายผู้นั้นตายไปแล้วจริงๆ ก็หวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาและไม่อาจหักห้ามความโศกเศร้าในใจได้ ทั้งยังรู้สึกว่าโชคชะตาของตนช่างขื่นขมเหลือเกิน

    หลังจากได้ยินคำพูดของมารดา คุณหนูเซวียก็รู้สึกว่าตนเองช่างไม่เอาไหน แต่…เหตุใดเจ้าสำนักเฉินต้องฆ่าเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาควรทุบตีชายผู้นั้นเพียงเล็กน้อยแล้วลากตัวเขามาจวนสกุลเซวียเพื่อขออภัย ให้เขาสาบานต่อท้องฟ้าว่าจะดูแลนางให้ดีเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้หรอกหรือ…

    เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทำลายความคิดฟุ้งซ่านของนาง

    เสียงร้องนี้มาจากลานเรือนหลังข้างๆ จวนสกุลเซวีย

    จากนั้นเสียงดังโครมครามนับครั้งไม่ถ้วนก็ตามมา นางถึงกับแว่วเสียงฟ้าร้องแผ่วเบา จากนั้นตัวเรือนก็ถล่มลงและฝุ่นก็คละคลุ้งในอากาศ

    คุณหนูเซวียตกใจกลัวหน้าขาวซีด ทั้งความโศกเศร้าและน้ำตาล้วนจางหายไป

    เซวียฮูหยินมองกลุ่มฝุ่นที่ลอยขึ้นจากลานเรือนข้างเคียงด้วยสีหน้าสงสัย

    การถล่มของเรือนข้างเคียงไม่ส่งผลกระทบกับจวนสกุลเซวีย ทว่านางกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับจวนสกุลเซวียด้วยเหตุผลบางอย่าง

    หลายปีก่อนตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มอบจวนบนถนนผิงอันแห่งนี้แก่เซวียสิ่งชวน เรือนด้านข้างก็ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน

    ประตูเรือนนั้นเปิดไปทางใต้สู่ต้นไหว เป็นเรือนที่คนทั่วไปไม่รู้ว่ามีอยู่ ใครที่เดินผ่านถนนผิงอันจะคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของจวนเซวีย

    เจ้าของเรือนนี้ลึกลับยิ่งนักและไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร จนถึงวันนี้เซวียฮูหยินก็ไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านของตนเป็นใคร แต่ก็พอจะคาดเดาได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของนาง เพราะนางเคยได้ยินเซวียสิ่งชวนออกคำสั่งสองอย่างเกี่ยวกับเรือนหลังนั้น ทั้งยังกำชับให้ระวังถึงที่สุดทั้งสองครั้ง

    นางถึงกับเคยคิดว่าเพื่อนบ้านลึกลับของนางคือรัชทายาทเจาหมิงที่เล่าลือกัน แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าการคาดเดานี้ผิด

    เรือนที่ถล่มลงทำให้ฝุ่นทั้งหลายทั้งมวลคละคลุ้งขึ้นมา เศษไม้ไผ่ลอยข้ามรั้วมาตกลงในสวนของจวนสกุลเซวีย

    เซวียฮูหยินโอบกอดบุตรสาวที่หวาดกลัวพลางกระซิบปลอบโยน

    เรือนข้างเคียงยังคงพังทลายลงพร้อมส่งเสียงโครมครามอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนจะมีคนผู้หนึ่งกระเด็นออกจากตัวเรือนหลังนั้นและร่วงลงบนถนน เซวียฮูหยินไม่รู้ว่าทำไมเรือนข้างๆ ถึงได้ถล่ม แต่ดูจากความโกลาหลที่เกิดขึ้น นางคิดว่าต่อให้คนผู้นั้นหนีออกจากเรือนได้ก็ต้องบาดเจ็บจากการร่วงหล่นครั้งนี้ นางจึงสั่งให้พ่อบ้านเปิดประตูออกดูว่าคนผู้นั้นต้องการความช่วยเหลือหรือไม่

    ขณะนี้ใกล้ค่ำแล้วจึงมืดสลัวอยู่บ้าง แต่ความขาวสว่างของหิมะก็ทำให้มองเห็นคนที่อาบเลือดผู้นั้นได้อย่างชัดเจน

    แม้ว่าเลือดของคนผู้นั้นจะเป็นสีดำก็ตาม

    เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูออก สิ่งแรกที่เซวียฮูหยินกับบุตรสาวเห็นคือภาพอันสยดสยองนี้

    คุณหนูเซวียร้องออกมาอย่างตกใจ “รีบช่วยเขาเร็ว!”

    สิ้นคำ ภาพที่ประหลาดยิ่งนักก็ปรากฏต่อหน้านาง

    หญิงงามในชุดชาววังปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันด้านหลังชายที่อาบไปด้วยเลือด

    หญิงงามผู้นี้ก็เลือดไหลเช่นกัน ฝุ่นผงบดบังใบหน้านางไปบางส่วน แต่ไม่อาจปกปิดความงามของนางได้

    นางเป็นใคร แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่คุณหนูเซวียกำลังตะลึง หญิงงามในชุดชาววังก็เงื้อกระบี่หักขึ้นฟันไปทางชายที่ทั้งร่างชุ่มโชกด้วยเลือด

    เลือดสาดลงบนพื้นหิมะ แม้ปริมาณจะไม่มากนัก ไม่พอที่จะทำให้คนตายคาที่ แต่ไม่น้อยจนถึงกับมองไม่เห็น

    “ฆาตกร!” คุณหนูเซวียกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก จากนั้นเสียงของนางก็ขาดหายไปอย่างฉับพลัน

    เซวียฮูหยินปิดปากบุตรสาวตนไว้ มือนางสั่นเทาแต่ก็แข็งแรง ไม่ปล่อยให้บุตรสาวนางส่งเสียงได้

    นางบอกได้อย่างชัดเจนว่าหญิงงามในชุดชาววังคือโม่อวี่ ส่วนคนอาบเลือดผู้นั้นก็คือ…โจวทง

    กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านของนางคือโจวทง

    นางเข้าใจในที่สุด และเมื่อนางคิดได้ว่าว่าเซวียสิ่งชวนปิดบังนางเรื่องนี้มาตลอด นางก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม ร่างกายสั่นรุนแรงขึ้น

    “นั่นโจวทง” น้ำเสียงพร่าเลือนของเซวียฮูหยินเย็นชาอยู่บ้าง

    คุณหนูเซวียตัวแข็งทื่อ และค่อยๆ กำหมัดช้าๆ เมื่อนางจ้องร่างอาบเลือดตรงหน้า

    โจวทงเป็นเหมือนสัตว์อสูรที่บาดเจ็บปางตาย เขาส่งเสียงร้องประหลาดตอนที่คลานขึ้นจากหิมะอย่างเจ็บปวดและเดินต่ออีกสองสามก้าว

    เขารู้ว่าที่แห่งนี้คือจวนสกุลเซวีย รู้ว่าคู่แม่ลูกบนบันไดหินคือพี่สะใภ้กับหลานสาว ดังนั้นเขาจึงไม่หันไปมองคนทั้งสอง

    เขาจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนพวกนั้น เพราะนั่นถือเป็นความอัปยศ เขาไม่ต้องการให้ใครมาเห็นเขาทำตัวเป็นสุนัขจรจัด

    เขาต้องการหนีไปโดยเร็วที่สุด ทว่าตอนนั้นเองที่เสียงหวีดหวิวของกระบี่ก็ตกลงบนต้นขาด้านซ้าย

    กระบี่ตัดเนื้อของเขาในแนวขวาง เลือดไหลช้าๆ ราวกับโจ๊กที่ล้นออกจากหม้อ เขาล้มลงอย่างอย่างรุนแรงจนหิมะกระเด็นขึ้นในอากาศ

    ครั้นเห็นภาพนี้ คุณหนูเซวียก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มีความพึงพอใจมากกว่าหวาดกลัว

     

    ตอนที่ 56

    ถนนโลหิต (ตอนปลาย)

     

    สัตว์อสูรที่บาดเจ็บปางตายจะส่งเสียงครางทุ้มต่ำประหลาดเพราะพวกมันต้องการกักเสียงไว้ในลำคอให้มากที่สุดด้วยไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยินความอ่อนแอของตน อย่างไรก็ตามหลังจากถูกฟันที่ต้นขาและล้มลงตรงหน้าประตูจวนสกุลเซวีย โจวทงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไปและปล่อยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา

    เสียงร้องโหยหวนนี้กลบเสียงกรีดร้องของของคุณหนูเซวีย แต่มันก็ยังชัดเจนในหูของทุกคนที่อยู่ตรงนี้

    คุณหนูเซวียร่าเริงขึ้นอีก ในขณะที่พ่อบ้านสกุลเซวียตื่นเต้นจนตัวสั่น

    แต่เซวียฮูหยินที่น่าจะมีปฏิกิริยามากที่สุดกลับยังคงสงบนิ่ง มองดูร่างของโจวทงที่ล้มลงในหิมะอย่างเงียบงัน

    หน้าจวนสกุลเซวียเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของโจวทง

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง โจวทงก็ลากตัวเองขึ้นจากหิมะและโซซัดโซเซไปตามถนน ทิ้งรอยคราบเลือดเอาไว้

    โม่อวี่เดินไปหยุดตรงหน้าบันไดหิน ก่อนจะหันไปพยักหน้าทักทายเซวียฮูหยิน

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางกับเซวียสิ่งชวนเป็นคนสำคัญที่สุดสองคนในราชสำนักในรัชสมัยจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองย่อมต้องเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน

    เซวียฮูหยินคำนับนางอย่างจริงใจ “ขอบคุณ”

    โม่อวี่ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าก่อนที่จะตามโจวทงต่อไป

    เซวียฮูหยินมองไปยังท้องฟ้าสีแดงอบอุ่นทว่าหม่นมัวและหวนคิดถึงวันนั้น นางขอบคุณเฉินฉางเซิงอยู่เงียบๆ ในใจ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

    เมื่อสิ้นรัชสมัยของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สามีนางผู้เป็นขุนนางผู้ภักดีแห่งราชสำนักต้าโจวก็ถูกประณามเป็นคนทรยศ ในขณะที่คนทรยศตัวจริงอย่างโจวทงกลับกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักต้าโจว

    นี่คือความอยุติธรรมอย่างไร้ข้อกังขา ทว่าในโลกนี้ที่ไม่มีใครกล้ามาเคารพศพคนทรยศยังจะมีผู้ใดกล้าเรียกร้องความยุติธรรมให้

    ในวันนั้นที่สำนักศึกษาศาสนาหลวง นางเคยบอกว่านางเกลียดที่โจวทงไม่ตาย นางเกลียดความจริงข้อนี้ เกลียดจนถึงขั้นสิ้นหวัง เกลียดเข้ากระดูกดำ

    ในครั้งนั้นเฉินฉางเซิงไม่ได้พูดหรือปลอบใจเพื่อให้นางสบายใจขึ้น เพียงมองนางเงียบๆ

    เมื่อส่งนางออกจากสำนักศึกษาศาสนาหลวง เขาก็ขอร้องให้นางอย่าไปจากจิงตู

    นั่นคือคำสัญญา

    เขาจะสังหารโจวทง และให้นางได้รับรู้

    ดังนั้นเซวียฮูหยินจึงไม่กลับบ้านเกิดแต่รั้งอยู่ในจิงตู

    นางต้องการเห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง

    ในที่สุดนางก็ได้เห็นแล้ว

    นับจากตอนที่เซวียสิ่งชวนถูกวางยาพิษจนตาย ถูกทิ้งศพไว้กลางแจ้ง จนถึงวันงานศพ นางแทบไม่เคยหลั่งน้ำตา

    ทว่าตอนนี้น้ำตาอุ่นๆ จนเกือบถึงขั้นร้อนลวกสองสายก็ไหลลงอาบหน้า

    นางมองไปยังโจวทงซึ่งพยายามดึงตัวเองขึ้นจากกองหิมะดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวังเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ออกคำสั่งกับพ่อบ้าน “ปิดประตู”

    คุณหนูเซวียรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางกอดแขนมารดาและกล่าวอย่างไม่ยินยอม “ท่านแม่ ข้ายังอยากดูต่อ ข้ายังดูไม่พอ”

    ได้เห็นศัตรูที่เย่อหยิ่งและแข็งแกร่งจนแทบจะไร้เทียมทานกลายเป็นแค่สุนัขจรจัดที่ถูกทุบตีจนฟกช้ำดำเขียวตัวหนึ่ง เป็นใครก็ต้องอยากดู เป็นใครก็ไม่มีวันดูพอ

    “พอแล้ว”

    เซวียฮูหยินไม่รู้ว่านางกำลังพูดถึงเรื่องนี้หรือพูดกับบุตรสาวของนาง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดนางก็กลับเข้าจวนอยู่ดี

    ประตูปิดลงช้าๆ กันเรื่องราวและความทรงจำมากมายไว้ภายนอก

     

    ถนนผิงอันปกคลุมด้วยหิมะ ส่วนหิมะก็ปกคลุมด้วยเลือด

    เลือดไหลรินออกจากร่างโจวทงมากขึ้นทุกที พิษจำนวนมากก็ถูกขับออกมาพร้อมกันด้วย เลือดจึงเริ่มมีสีแดงขึ้นมาบ้างแล้ว

    บาดแผลปรากฏขึ้นบนร่างของโจวทงมากขึ้นทุกที รอยแผลปรากฏถี่ยิบบนร่างของเขา ไม่ว่าตำแหน่งใดก็ล้วนมองเห็นบาดแผล ดูแล้วน่าอนาถหาใดเปรียบ

    รอยแผลเหล่านี้ประณีตยิ่งนัก ทั้งตำแหน่งที่ฟันและความลึกของบาดแผลล้วนสร้างความเจ็บปวดสูงสุด กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะจบชีวิตเขา

    ขณะลงมือ ใบหน้างดงามของโม่อวี่ไม่แสดงอารมณ์อันใด ทั้งความไม่แยแสและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดส่งให้นางดูราวกับข้ารับใช้หญิงของเทพแห่งความตาย

    จิตกระบี่ส่องประกายขึ้นเป็นระยะๆ บนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะอันหม่นมัว

    โจวทงตะเกียกตะกายฝ่าหิมะไป เขาไม่อาจยืนอย่างมั่นคงได้อีก ต้องอาศัยมือและเท้าเพื่อพยุงร่างตนไปข้างหน้าทีละน้อย เขาดูเหมือนจะทรุดลงกับพื้นจนไม่อาจลุกขึ้นได้อีกทุกขณะ ทว่าแม้จะยังเคลื่อนไหวต่อได้ เขาก็ไม่อาจสะกดความเจ็บปวดและความกลัวหรือทำตัวเช่นหมาป่าเฒ่าที่ไม่ส่งเสียงร้องใดๆ ต่อไปได้อีก เสียงร้องโหยหวนจึงดังขึ้นทุกครั้งที่จิตกระบี่โจมตี

    นี่เป็นการเหยียดหยามและทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นการลงทัณฑ์อันโหดเหี้ยมที่ดูจะไม่มีวันจบ

    ที่แท้นี่คือการลงทัณฑ์ด้วยทัณฑ์หลิงฉือ*

    หากเป็นคนอื่นก็คงล้มลงแล้วในตอนนี้ต่อให้เป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็งอดทนที่สุดก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถึงกับคุกเข่าร้องขอความเมตตาแทบเท้าศัตรู ก็คงต้องคิดหาวิธีฆ่าตัวตาย ทว่าโจวทงไม่ทำเช่นนั้น เพราะในชีวิตนี้เขาได้ทรมานและเหยียดหยามคนมามากมายยิ่งนัก ทั้งยังลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์อย่างโหดร้ายมามากมายเหลือเกิน เขาได้เห็นความมืดมิดที่สุดและความเจ็บปวดที่สุดในโลกมนุษย์มาแล้ว เขาจึงรู้ว่านรกที่แท้จริงเป็นเช่นไร หัวใจของเขาเสมือนหินที่แช่อยู่ในยาพิษถึงเจ็ดหมื่นปี บาปกรรมทั้งปวงจับตัวเป็นผืนตะไคร่บนก้อนหินนี้ ต่อให้โม่อวี่ใช้วิธีโหดเหี้ยมที่สุดหวังให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน เขาก็จะไม่มีทางยอมแพ้ทั้งต่อนางและต่อโชคชะตา เมื่ออยู่ต่อหน้าเงาแห่งความตาย เขาจะไม่เดินไปหามันด้วยความตั้งใจของตนเองอย่างแน่นอน ในทางกลับกันเขาเป็นเหมือนขอทานที่กำลังรอคอยชัยชนะในตอนสุดท้าย

    ขอเพียงข้าสามารถคลานออกไปจากถนนโลหิตสายนี้ได้ข้าก็ชนะ

    เขาร้องอย่างเจ็บปวดและบอกตัวเองเช่นนี้

    สนธยาเคลื่อนคล้อยสู่ค่ำคืน แสงดาวซึ่งตกกระทบพื้นหิมะบนถนนผิงอันไม่อาจส่องแสงสว่างให้โลกนี้ได้เพียงพอ

    ทันใดนั้นแสงหม่นมัวก็ส่องต้องร่างของโจวทง เผยให้เห็นบาดแผลอันน่ากลัวและมองเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน

    แสงโคมที่ห่างออกไปไม่ได้ให้ความอบอุ่น แต่โจวทงกลับพลันรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น การมองเห็นของเขาเสียหายหนักจากเหตุการณ์ในลานเรือนจนเห็นทุกอย่างเป็นภาพเลือน และคาดเดาได้จากภาพโดยรวมเท่านั้น ถึงกระนั้นเขาก็มั่นใจว่าแสงนั้นมาจากด้านขวามือของเขา ซึ่งก็คือทางเหนือของถนนผิงอัน

    นั่นเป็นจวนที่ราชครูเฉิงเคยใช้พักอาศัยในจิงตูก่อนที่จะเกษียณ และไม่นานมานี้ก็มีอ๋องทรงอำนาจผู้หนึ่งเข้ามาครอบครอง ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นจวนอ๋อง

    เขาใช้เวลาประมาณหนึ่งเค่อคลานไปยี่สิบกว่าจั้งแม้จะได้รับความทรมานคล้ายถูกลงทัณฑ์ด้วยทัณฑ์หลิงฉือ ในที่สุดก็พ้นจากเขตจวนสกุลเซวียไปถึงที่แห่งนี้ได้

    เขาอดทนมาตลอดเพราะมีความหวัง เขาฝากความหวังไว้กับที่แห่งนี้ตั้งแต่ต้น

    สายตาของเขายังพร่าเลือน แต่ดวงตาเป็นประกายราวกับว่าถูกโคมไฟนั้นจุดให้ลุกโชน

    เขายังมีปราณแท้เหลือซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของเส้นลมปราณ ไม่ว่ากระบี่ของโม่อวี่จะแหลมคมเพียงใด ใช้วิธีอันโหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใช้มันออกมาเพราะมันไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เขาหนีไปจากสถานการณ์อันสิ้นหวังนี้ได้

    ทว่าตอนนี้ปราณแท้ที่เหมือนกับหยดน้ำค้างนี้ก็ลุกไหม้ขึ้น ทำให้ร่างของเขาพุ่งขึ้นจากหิมะตรงไปยังแสงนั้น!

    เขาพุ่งตรงไปด้านหน้าของจวนอ๋อง และในตอนนี้เขาก็สิ้นกำลังแล้ว ล้มลงตรงเชิงบันไดหิน

    “ข้าคือโจวทง! จงซานอ๋องช่วยข้าด้วย!”

    เขาเค้นแรงเฮือกสุดท้ายตะโกนออกมา

    เขาไม่เคยสิ้นหวัง นั่นเพราะเขาเคยเล่นกับจิตใจของผู้ที่อยู่ในกำมือตนมานานปี จึงรู้ดีว่าทั้งโม่อวี่และเจ๋อซิ่วไม่มีทางปล่อยให้เขาตายอย่างฉับพลันทันที โดยเฉพาะในยามที่พวกเขาควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างหมดจด เพราะหากทั้งสองทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่อาจระบายความรู้สึกคับแค้นใจรวมถึงความปรารถนาจะแก้แค้นซึ่งฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจได้

    นี่เป็นโอกาสของเขา และเขาต้องไขว่คว้ามัน

    เขาคิดอย่างโกรธแค้นและเย้ยหยันว่าต่อให้เหล่าอ๋องต้องการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขา ก็ไม่มีทางอ้างว่าไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้ สำหรับโจวทงในตอนนี้การจะพูดสักคำนั้นไม่ง่าย ทว่าเมื่อเขาพูดออกไปเขาไม่พูดเพียง ‘ช่วยด้วย’ กลับเอ่ยขอให้ท่านอ๋องช่วยอย่างชัดเจน และถึงกับขานนามอ๋องผู้นั้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบีบให้อีกฝ่ายออกมา

    ข้าคือโจวทง ขุนนางใหญ่ของราชสำนักต้าโจว!

    ข้ากำลังจะถูกฆ่า

    จงซานอ๋องช่วยข้าด้วย!

     

    เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนมารวมตัวกันในเวลานี้ บดบังแสงดาวและโปรยหิมะลงสู่โลก

    ประตูจวนจงซานอ๋องเปิดออกเช่นเดียวกับประตูบานอื่นๆ ของจวนบนสองฝั่งถนนผิงอัน แสงโคมไฟมากมายปรากฏขึ้นในความมืด สว่างจนดูแสบตาอยู่บ้าง

    ถนนมืดได้เปลี่ยนเป็นธารสีเงิน

    เมื่ออยู่ในแม่น้ำสายนี้ โจวทงก็ไม่อาจหักห้ามอารมณ์ได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความลุ่มหลงในอำนาจและหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่งคล้ายคนเสียสติ

    ยอดฝีมือหลายคนจากจวนอ๋องทั้งหลายปรากฏตัวขึ้นบนถนนพร้อมกับเสียงสายลมหวีดหวิว

    โม่อวี่ซึ่งอยู่ห่างจากโจวทงไปหลายจั้งสาวเท้าเดินมาท่ามกลางหิมะโปรยปราย

    โจวทงมองนาง ใบหน้าเปื้อนเลือดแสดงสีหน้าโหดเหี้ยมชั่วร้าย

    ตอนนี้เจ้าจะฆ่าข้าได้อย่างไร ตอนนี้เป็นเวลาที่คนอื่นจะฆ่าเจ้า

    สายตาเขาสื่อความคิดนี้ได้อย่างชัดเจน

    โม่อวี่ไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำ

    สายลมพัดโชยผ่านชุดชาววังของนาง หิมะตกลงบนขมับ

    นางกวาดสายตามองถนนผิงอันที่จุดไฟสว่างแล้ว จากนั้นมองดูจวนอ๋องเหล่านั้น สุดท้ายก็กล่าวขึ้นว่า “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำเรื่องไม่ดีทุกชนิดกับพวกท่าน แต่นางก็ยังเมตตาพวกท่านอย่างน้อยเรื่องหนึ่ง” คำพูดนี้มุ่งเป้าไปที่เหล่าอ๋องซึ่งยังไม่ปรากฏตัว “บุตรของจักรพรรดิองค์ก่อนทุกคนยังมีชีวิตอยู่”

    แสงโคมส่องต้องใบหน้ายิ่งขับเน้นความงามของนางมากขึ้นอีก

    แต่สีหน้านางยังเย็นชาและท่าทางก็ไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย คล้ายคลึงกับผู้ล่วงลับผู้นั้นอยู่บ้าง

    “ไม่มีใครถูกกำจัด พวกท่านทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่”

    “เป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พวกท่านทั้งหมดมีชีวิตอยู่จนถึงคืนนี้”

    “คืนนี้ข้าขอถามพวกท่านทั้งหลายว่าจะตอบแทนเรื่องนี้อย่างไร”

    “ข้าต้องการให้เขาตาย”

    หิมะโปรยลงมาอย่างเงียบงันเช่นเดียวกับถนนทั้งสายในเวลานี้

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนโบกมืออยู่ในแสงไฟ

    สายตาของโจวทงพร่ามัวจึงมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นไม่ชัดเจน เห็นเพียงอีกฝ่ายสวมชุดสีเหลืองสดใส

    ประตูจวนจงซานอ๋องไม่ได้ปิดลง แต่ทุกคนที่ออกมาจากจวนได้ถอยกลับไป

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น

    โจวทงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลและคิดในใจ พวกเจ้าไม่กลัวปรมาจารย์พรตเต๋าโกรธหรือ

    โม่อวี่เดินไปด้านหลังเขา

    ความหวาดกลัวเข้าห่อหุ้มร่างของเขาไว้อีกครั้งหนึ่ง

    เขาหอบหายใจและคลานต่อไป

    มีจวนอ๋องสิบกว่าหลังบนถนนผิงอัน และยังมีจวนสกุลเทียนไห่อีกด้วย จวนขุนนางก็ไม่น้อย จงซานอ๋องอาจบ้าไปแล้วก็จริงแต่ทุกคนจะถึงกับเป็นบ้าไปด้วยหรือ

    เขาคลานและคลานต่อไป คลานไปข้างหน้า เขาต้องการจะคลานไปยังที่ซึ่งโคมไฟกำลังอ่อนแสงลง

    แล้วมันก็ดับลงตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ห่างออกไป

    จวนอ๋องแห่งนั้นก็ถึงกับปิดประตู

    ต่อมา เสียงปิดประตูครั้งแล้วครั้งเล่าสะท้อนไปทั่วทั้งถนน ในขณะที่แสงโคมดวงแล้วดวงเล่าก็ดับไป

    ความมืดยิ่งมายิ่งมากขึ้น

    โจวทงก็รู้สึกหนาวเหน็บมากขึ้นเรื่อยๆ

    เขาคลานไปบนพื้นหิมะ ถนนอาบไปด้วยเลือด ความนิ่งเงียบและการดิ้นรนทั้งหมดของเขาจุดขึ้นมาจากความหวัง ทว่าในตอนนี้ท้ายที่สุดมันก็ได้กลับกลายเป็น…ความสิ้นหวัง

     

     

    * ทัณฑ์หลิงฉือ คือการประหารนักโทษอุกฉกรรจ์ด้วยการเฉือนชำแหละเนื้อทีละชิ้นจนกว่าจะขาดใจตาย บ้างว่าเริ่มจากการตัดแขนขาทีละข้างก่อนด้วยค่อยตัดศีรษะเป็นการปิดท้าย ถือเป็นหนึ่งในการลงทัณฑ์ที่ทารุณ เพราะนักโทษจะเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุดก่อนจะค่อยๆ ขาดใจตายอย่างเชื่องช้า

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook