ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่13-14
ตอนที่ 13
สหายที่ทำให้กล่าวสิ่งใดไม่ออก (ตอนปลาย)
“ถ้าหากข้ามองไม่ผิด เจ้าคงจะเป็น…คนธรรมดาใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร”
“การสอบใหญ่…เจ้าต้องการที่จะเป็นอันดับแรกบนป้ายประกาศใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ข้าจะต้องเอาอันดับที่หนึ่งเท่านั้น”
คำถามของถังซานสือลิ่วตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงกล่าวตอบอย่างจริงจังและสงบนิ่งยิ่งนัก ราวกับว่ากำลังเอ่ยถึงเรื่องธรรมดาสามัญสักเรื่องหนึ่ง เช่นการกินอาหารควรจัดให้มีเนื้อสัตว์และผักในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่ควรกินเค็มมากและมันมาก ควรนอนหัวค่ำแล้วตื่นเช้าตรู่ อย่างนี้ถึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
ชีวิตคนเราก็คือกินดื่ม ขับถ่าย เข้านอน การที่มีมุมมองต่อเรื่องราวต่างๆ ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญนั้นนับเป็นทัศนคติที่ดี แต่ปัญหาอยู่ตรงที่การจะได้ขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งในการสอบใหญ่ไม่ใช่การกิน ดื่ม ขับถ่าย เข้านอนธรรมดาๆ
เพราะต้องการแค่อันดับที่หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจำเป็นต้องได้อันดับที่หนึ่งเท่านั้น เป็นตรรกะที่เรียบง่าย บรรยายอย่างสมเหตุสมผล เหมือนการบอกว่าสายลมแผ่วเบาพัดก้อนเมฆอ่อนบางลอยไป แต่ในความเป็นจริงคำพูดนั้นไร้สาระเป็นที่สุด
ไม่ผิดแผกกับเด็กน้อยที่ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่บอกว่าอยากดึงหนวดมังกรทองยักษ์ที่แกร่งกล้าที่สุดบนโลกนี้มาทำเป็นกระบี่ ฟังดูเป็นนิทานที่น่าสนุกยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ ไม่แคล้วผู้พูดจะถูกมองว่าเป็นคนบ้าหรือไม่ก็คนโง่เขลา หรือไม่ก็ตรงกันข้าม คือเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า
ระหว่างผู้มีพรสวรรค์และคนโง่เขลาห่างกันเพียงเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง เส้นที่ว่านั้นมีชื่อว่า ‘ความเป็นไปได้’
เหมือนว่าเฉินฉางเซิงจะมองไม่เห็นเจ้าเส้นที่ว่านี้ในสายตา และเขายังเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายแล้วควรจัดให้อยู่ฝั่งไหนกันเล่า
ถังซานสือลิ่วแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนที่ทะนงตนอย่างยิ่ง ถึงขั้นลุ่มหลงตัวเอง วันนี้กลับพบผู้ที่ตัวเขาเองก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าอีกฝ่ายสงบนิ่งหรือดันทุรัง ไร้เดียงสาหรือว่าอ่อนต่อโลก ที่รู้แน่ๆ คือเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ทำเอาความทะนงตนและการลุ่มหลงตัวเองของเขาสลายหายไป
ปกติแล้วคนโง่เขลาที่พูดจาเพ้อเจ้อไม่สามารถคุกคามผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงเช่นเขาได้ ปัญหาอยู่ตรงที่แววตาเด็ดเดี่ยวของเฉินฉางเซิงยามกล่าวเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อนั่นกลับไม่ได้ทำให้เขาตอกกลับไปหรือหัวเราะเยาะ ราวกับจิตใจเบื้องลึกของเขาคิดว่าสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้นั่นอาจจะสามารถเกิดขึ้นได้!
ถ้าหากถังซานสือลิ่วรู้ว่าเฉินฉางเซิงเคยทำให้ฮูหยินแห่งจวนขุนพลเทพตงอวี้ หญิงรับใช้อาวุโส รวมถึงสาวใช้ซวงเอ๋อร์เคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดมาแล้ว เขาคงจะโล่งอกขึ้นมากทีเดียว อาจถึงขั้นเห็นอกเห็นใจพวกนางด้วยซ้ำ
ถังซานสือลิ่วดื่มชาหอมจนเหือดแห้ง กระทั่งเคี้ยวใบชาโดยไม่รู้ตัว และความเคลื่อนไหวในปากนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกตัว หลุดจากภวังค์ เขาจ้องมองลักษณะท่าทางที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ราวกับว่าก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงไม่ได้กล่าวประโยคนั้นออกมา อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เจ้าเด็กคนนี้ทำให้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดได้จริงๆ
“เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งปี…ถึงแม้ข้าจะเคารพเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า แต่ก็ไม่มีหนทางที่จะสนับสนุนเจ้าได้ ดังนั้นข้าคงไม่มีคำพูดที่จะกล่าวอวยพรให้เจ้า ข้าไม่อยากเป็นพวกจอมปลอม เพียงแค่อยากเตือนเจ้าว่าทางจวนขุนพลเทพตงอวี้คงไม่ยอมวางมือง่ายๆ”
ถังซานสือลิ่วไม่รู้ว่าระหว่างเฉินฉางเซิงและจวนขุนพลเทพตงอวี้มีความแค้นอะไรกัน เขาคิดๆ ดูแล้วอย่างไรเสียจิงตูก็เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองอันดีงามของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จวนขุนพลเทพตงอวี้จะลงมือกีดขวางความก้าวหน้าใครสักคนอย่างลับๆ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นทำเรื่องราวให้มันเลยเถิด
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะพยายามหลีกเลี่ยงพวกเขาอย่างเต็มที่”
“สามารถหลีกเลี่ยงได้รึ แม้แต่สำนักไจซิงยังไม่รับเจ้า”
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเช่นกัน”
“จวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสำนักไจซิง สวีซื่อจี้ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ได้ยินมาว่า…ในวังมีคนพูดคุยกัน ดังนั้นข้าจึงแปลกใจยิ่งนัก ปัญหาระหว่างเจ้ากับจวนขุนพลเทพตงอวี้แท้ที่จริงมีความลับอะไรปกปิดไว้กันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะพัวพันไปถึงวังหลวง”
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ก็ตอนนี้ว่าสาเหตุที่สำนักไจซิงไม่รับตนเข้าศึกษาเบื้องหลังยังมีความลับเช่นนี้ จึงแปลกประหลาดใจยิ่งนัก ลืมคำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง เนิ่นนานจึงได้สติกลับมา รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
เขาเคารพเลื่อมใสในหลักการของสำนักไจซิง ที่แท้เป็นเพราะเผชิญหน้าเหตุสุดวิสัย ถึงได้ทำเรื่องไม่น่าเคารพเหล่านั้น
ปัญหาต่อมาคือเพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุสุดวิสัยนั่นได้
ยังไม่ต้องพูดถึงเกาะต้าซีอันลึกลับและไกลโพ้น เอาแค่ในผืนพิภพจงถู่ก็มีผู้สูงส่งและสถานที่มากมายที่ชาวบ้านธรรมดาห้ามล่วงเกินหรือแม้แต่เข้าใกล้ ดังเช่นประตูใหญ่ของสำนักพรรคต่างๆ ทางแดนใต้หรือเมืองหิมะในแดนเหนือ ทว่านับแต่ราชวงศ์ต้าโจวเป็นผู้นำเผ่ามนุษย์มีชัยในสงครามกับเผ่าปีศาจก็ทำให้พระราชวังและเมืองหลวงจิงตูของต้าโจวกลายเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เล่าขานกันว่าในพระราชวังแห่งนั้นมีองครักษ์ผู้แกร่งกล้าที่บรรลุขั้นทะลวงอเวจีจำนวนนับไม่ถ้วน เล่าขานกันว่าในพระราชวังมีขันทีผู้บรรลุถึงขั้นรวบรวมดวงดาว เล่าขานกันว่าในพระราชวังมีสะพานไม้ไผ่สองแห่ง และถึงขั้นมีตำนานเล่าขานกันว่าในพระราชวังมีมังกรยักษ์ทรงพลังอายุพันปีตัวหนึ่ง!
ชีวิตสิบสี่ปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงรู้จักพระราชวังต้าโจวผ่านตำรามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของตนเองจะมีความเกี่ยวพันกันกับสถานที่ที่ลึกลับน่ากลัวนั่น คำพูดของถังซานสือลิ่วทำให้เขานิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด ขบคิดอย่างไรก็มิอาจทำความเข้าใจ
“หน้าม่านบัลลังก์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีสุนัขนั่งคุกเข่าอยู่นับไม่ถ้วน สวีซื่อจี้ก็เป็นสุนัขตัวหนึ่งที่ดุร้ายน่ากลัว แต่ไม่มีทางที่เขาจะสามารถเชิญให้คนในวังเหล่านั้นไปข่มขู่สำนักไจซิง ต่อให้สามารถเขาก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเททำถึงเพียงนี้ มันไม่คุ้มกันเลย ถ้าอย่างนั้นแล้วยังจะมีเหตุผลอะไรอีกที่ไม่ต้องให้ใครมาทุ่มเทก็ทำให้ผู้มีฐานะสูงส่งในวังปรารถนาจะลงมือทำเอง…”
พูดมาถึงตรงนี้ถังซานสือลิ่วที่ก่อนหน้านี้คาดเดาอย่างคลุมเครือมาตลอดพลันเปลี่ยนเป็นชัดแจ้งขึ้นมา แต่เมื่อมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ซีดเซียวของเฉินฉางเซิงก็ยังมีความรู้สึกสับสนเล็กน้อย แม้แต่เชิญแขกกินอาหารเจ้าเด็กคนนี้ยังทำไม่เป็น แล้ว…จะเกี่ยวข้องกับหงส์ตัวนั้นได้อย่างไร
เขาอยากจะถามไปตรงๆ เหลือเกินว่าที่แท้แล้วเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร แต่วันนี้เขาเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิงอย่างยิ่ง รู้ว่าเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ยินยอมพูดอย่างไรก็คงไม่พูด สุดท้ายแล้วเขาเพียงกล่าวว่า “…จวนขุนพลเทพตงอวี้ คนที่สำคัญอย่างแท้จริงก็คือนาง เจ้าต้องเข้าใจจุดนี้”
ขณะกล่าวประโยคนี้เขาจ้องมองดวงตาของเฉินฉางเซิงตลอดเวลา
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวถาม “นาง…เป็นคนอย่างไร”
ถังซานสือลิ่วมิได้เปลี่ยนแปลงท่าที ทว่าภายในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่สะท้านสะเทือน ได้ยินคำถามนี้ของเฉินฉางเซิง และยังลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขามั่นใจว่าระหว่างเฉินฉางเซิงกับหงส์ตัวนั้นต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่รู้ว่าคืออะไร
“ยากมากที่จะบรรยายว่านางเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะในข่าวลือที่ใครต่อใครเล่าต่อๆ กันมาก็ไม่เผยให้เห็นถึงอุปนิสัยใจคอของนาง”
ถังซานสือลิ่วหมายความอย่างที่พูด เขาพบว่าการอธิบายถึงนางเป็นเรื่องยากมากจริงๆ จนกระทั่งเขามองเห็นดวงตาของเฉินฉางเซิง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
“นาง…เหมือนกับเจ้ามาก”
“…”
“นางก็เป็นเด็กสาวที่ทำให้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดเช่นกัน”
“…”
“แน่นอนว่าเจ้าทำให้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดเพราะลักษณะท่าทางของเจ้าสงบนิ่งยิ่งนัก น้ำเสียงที่พูดก็ช่างฟังแล้วน่าเบื่อยิ่งนัก ส่วนเนื้อหาที่พูดยิ่งทำให้ผู้คนกลัดกลุ้มจนอยากจะอาเจียนออกมาเป็นโลหิต ส่วนนาง…ในข่าวลือที่เล่าต่อกันมาบอกว่านางไม่ชอบพูดคุย น้อยมากที่จะคบค้าสมาคมกับผู้อื่น แต่นางก็เหมือนกับเจ้านั่นล่ะ ล้วนแต่ทำให้ผู้คนกลัดกลุ้มจนอยากอาเจียนเป็นโลหิต”
เฉินฉางเซิงงุนงงไม่เข้าใจ
“เจ้ากับนางล้วนทำให้ผู้อื่นไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด เพียงแค่วิธีต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางไม่ต้องการพูดคุย นางไม่พูดเยาะเย้ย นางไม่เหยียดหยาม นางไม่ปรารถนาอยู่ที่สูงมองดูผู้ที่ต่ำกว่า…นางเพียงแค่ดำรงอยู่ ปรารถนายืนอยู่ที่นั่น แค่นี้ก็เพียงพอให้ผู้คนจำนวนมากกลัดกลุ้มจนอยากจะอาเจียนเป็นโลหิตออกมา” ถังซานสือลิ่วตกอยู่ในความเงียบงันชั่วครู่ก่อนเอ่ยว่า “ข้ายอมรับว่าคนเหล่านั้นรวมถึงตัวข้าด้วย…มีสายเลือดของหงส์ฟ้า ตื่นขึ้นด้วยตนเองตั้งแต่เยาว์วัย บำเพ็ญเพียรด้วยความราบรื่นอย่างยิ่ง สติปัญญาหลักแหลม จิตใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง ไม่ว่าด้านใดก็ล้วนแกร่งกล้า เจ้าไม่คิดว่าคนที่เป็นเช่นนี้ช่างเกินเลยเกินไปหรอกหรือ”
“เกินเลยเกินไปอยู่บ้าง” เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ เอ่ยอีกครั้ง “แต่…เหมือนกับว่าไม่สามารถโทษนางได้”
“เป็นเด็กสาวที่ทำให้ผู้มีพรสวรรค์ทั่วทั้งโลกสิ้นหวัง ทำให้ผู้มีพรสวรรค์ทั้งโลกไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด คนเช่นนี้ก็คือคนที่น่าชิงชัง”
“คำพูดนี้ไม่มีเหตุผล”
“นี่เจ้ายืนอยู่ข้างไหนกันแน่”
“เหตุใดข้าจะยืนอยู่ข้างนางไม่ได้”
“เพราะ…ข้างกายของนางไม่ใช่ว่าใครก็สามารถยืนอยู่ได้” ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “นางช่างพิเศษเหลือเกิน คนมากมายล้วนแต่คิดว่าคงมีเพียงแค่ชิวซานจวินที่มีคุณสมบัติจะยืนอยู่ข้างนาง”
กล่าวประโยคนี้จบถังซานสือลิ่วก็ออกจากโรงเตี๊ยมไป
เฉินฉางเซิงยืนมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ เขาเช็ดทำความสะอาดโต๊ะไม่ให้เปื้อนฝุ่นละออง แต่วันนี้เขากลับไม่ไปอาบน้ำ ไม่อ่านตำรา ซึ่งน้อยนักที่จะเป็นแบบนี้ เขาเดินไปกลางสวนหย่อม ย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่มาไว้ใต้ต้นไม้แล้วเอนนอนลงบนนั้น จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวงดงามผ่านใบไม้อ่อนที่กำลังจะกลายเป็นสีเขียวเข้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่มีความรู้สึกใดๆ
เขาเคยได้ยินชื่อของสวีโหย่วหรงและชิวซานจวิน แม้ลักษณะท่าทางของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ยากจะหลีกเลี่ยงอารมณ์ไม่ให้หวั่นไหว เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี
อารมณ์ในตอนนี้ทั้งโศกเศร้าทั้งกลัดกลุ้ม เป็นอารมณ์ที่เขาขับไล่ไปแล้วก็วกกลับมา นับแต่มาถึงจิงตูนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
แม้จะพ่ายให้แก่การสอบเข้าสำนักทั้งสี่แห่งติดต่อกันเพราะจวนขุนพลเทพตงอวี้ แต่เหตุผลที่คนในวังออกหน้ายับยั้งสำนักไจซิงไม่ให้รับเขาไว้ไม่ใช่เพราะขุนพลเทพตงอวี้ จึงแน่นอนว่าต้องเป็นเพราะนาง เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธ อารมณ์ทั้งโศกเศร้าทั้งกลัดกลุ้มจึงยิ่งเข้มข้น เขาพบว่าตนเองนับวันจะยิ่งชิงชังเด็กสาวที่ชื่อสวีโหย่วหรงเข้าไปทุกที
เมื่อครั้งเยาว์วัย ตอนที่อยู่ในวัด เขาเคยกล่าวกับศิษย์พี่ว่าตนอาจจะโกรธผู้คน แต่ไม่รู้จักการชิงชังผู้คน
ทว่าตอนนี้เขาเริ่มที่จะชิงชังเด็กสาวคนนั้นแล้ว
ต่อให้ผู้มีพรสวรรค์ของสำนักพรรคต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนไม่กล้าที่จะมีปากมีเสียงกับหงส์ฟ้าตัวนี้ แต่ในความคิดของเฉินฉางเซิง นางก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่ง
เขาจำได้ชัดเจนอย่างยิ่ง นางเกิดวันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ด อ่อนกว่าตนสามวัน
อ่อนกว่าหนึ่งวันก็คืออ่อนกว่า ไม่ต้องพูดถึงว่าอ่อนกว่าสามวัน
เด็กสาวคนนี้ช่างทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่ายจริงๆ
เฉินฉางเซิงยิ่งนานอารมณ์ยิ่งย่ำแย่ ในใจครุ่นคิด เหตุใดอาจารย์ถึงได้หมั้นหมายนางให้กับตนด้วยเล่า เขาพลิกกายลุกจากเก้าอี้ เดินเข้าไปในห้อง หยิบสิ่งของเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ออกจากสายคาดเอวแล้วใส่เข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของสัมภาระ หลังจากนั้นเริ่มล้างหน้าล้างมือ ทำตนเองให้สะอาดสะอ้าน ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นมา
ในกล่องมีหนังสือสมรสหนึ่งฉบับ ส่วนสิ่งของเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่นั่นถูกส่งมาจากจิงตูตอนที่เขาอายุสิบเอ็ดปี เขายังจำนกกระเรียนที่มาส่งของตัวนั้นได้ ยังจำจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งมาพร้อมของสิ่งนั้นได้ ยังจำข้อความที่อยู่ในจดหมายฉบับนั้นได้ และยังจำได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากวันนั้นนกกระเรียนขาวก็ไม่กลับมาอีกเลย
ค่ำคืนนี้
นกกระเรียนขาวตัวหนึ่งได้ร่อนลงบนยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ทางแดนใต้
ใต้ดวงดาวเดียรดาษเต็มท้องฟ้า เด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าผา
ตอนที่ 14
สวีโหย่วหรง
ทุกวันนี้ศาสนาหลวงคือผู้สืบทอดปณิธานของคัมภีร์สวรรค์ เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของผู้คน สุสานเทียนซูตั้งอยู่ที่จิงตู แท่นพิธีคำสอนย่อมอยู่ที่จิงตู ก่อนแผ่นดินนี้จะปกครองโดยราชวงศ์ต้าโจว สังฆราชทุกองค์ต่างก็เป็นชาวต้าซาง เมื่อต้าซางล่มสลาย ต้าโจวเข้าแทนที่ สังฆราชจึงไม่พ้นเปลี่ยนเป็นชาวต้าโจว ราชวงศ์ต้าโจวปลุกปั้นจิงตูให้เป็นศูนย์รวมของอำนาจ และตนเป็นผู้ปกปักรักษาศาสนาหลวง ทำให้ต้าโจวและจิงตูกลายเป็นศูนย์กลางของใต้หล้า
เปรียบเทียบกับราชวงศ์ต้าซางในอดีตและราชวงศ์ต้าโจวที่สืบทอดต่อมา ขุมอำนาจทางใต้ของผืนพิภพจงถู่กลับมีมากมายหลากหลาย แต่ละแคว้น แต่ละสำนักพรรคตระกูลที่ปกครองพื้นที่ของตนต่างคานอำนาจกันอย่างกระจัดกระจาย จำนวนผู้แกร่งกล้ามีอยู่ไม่น้อย กระทั่งยังอาจมากกว่าต้าโจวเสียอีก ในบรรดานั้นที่โดดเด่นก็คือสำนักศึกษาหนานซี (ธารใต้) แห่งยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ พรรคฉางเซิง และสกุลชิวซาน สามที่นี้นับว่ามีอิทธิพลเกรียงไกรที่สุด
หลักจากการสู้รบที่น่าเวทนาระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ แดนใต้สูญเสียกองกำลังจำนวนมากมาย เป็นธรรมดาที่ปรารถนาจะได้รับตำแหน่งที่ตนควรจะได้รับ พวกเขาคิดว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีกรรมสิทธิ์ในสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งสุสานเทียนซูเหล่านั้นร่วมกัน ไม่ควรที่ราชวงศ์ต้าโจวจะยึดครองไว้ผู้เดียว เช่นเดียวกันกับปณิธานของคัมภีร์สวรรค์ก็ไม่สมควรถูกควบคุมไว้ในมือสังฆราชซึ่งอ้างตนเป็นตัวแทนแห่งศรัทธาทั้งมวล
เพราะเหตุนี้กลุ่มอำนาจในแดนใต้จึงได้ถกเถียงกับต้าโจวมายาวนานถึงสามรุ่นจักรพรรดิ กระทั่งได้ข้อสรุปร่วมกันนั่นก็คือการสอบใหญ่และการแบ่งแยกอำนาจของศาสนาหลวงออกมาเป็นนิกายฝ่ายใต้
นิกายฝ่ายใต้โดยหลักการยังอยู่ภายใต้ศาสนาหลวง และให้ความเคารพสังฆราชในฐานะผู้นำด้านจิตวิญญาณ แต่กิจธุระต่างๆ ของนิกายมีธิดาเทพเป็นผู้ดูแล
ธิดาเทพแห่งนิกายฝ่ายใต้ทุกคนย่อมล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุด่านขั้นเหนือธรรมดาและเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่เพราะแดนใต้ขาดเสถียรภาพ ธิดาเทพทุกรุ่นต้องคอยรักษาสมดุลระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ทั้งที่ไร้ซึ่งกองกำลังของตน ทำให้ทั้งอำนาจและตำแหน่งยากจะเปรียบกับสังฆราชฝ่ายเหนือ ถึงกระนั้นธิดาเทพทุกรุ่นก็ยังคงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับความเคารพสูงสุดของแดนใต้ ในด้านจิตใจและความเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธายังนับว่าสามารถเทียบเคียงสังฆราชได้
ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งธิดาเทพล้วนแต่มาจากสำนักศึกษาหนานซีแห่งยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อที่จะสืบทอดนามธิดาเทพนั่นเอง อีกทั้งตลอดมาพวกนางล้วนเป็นหญิงสาวซึ่งถือกำเนิดที่แดนใต้ หลายพันปีไม่เคยมีข้อยกเว้น กระทั่งวันนี้ที่ในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลง
เพราะตอนนี้สำนักศึกษาหนานซีมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว
เด็กสาวมีนามว่าสวีโหย่วหรง เป็นสายเลือดหงส์ฟ้า มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ถูกยกให้เป็นที่หนึ่งในโลก แตกฉานเนื้อหาของคัมภีร์เต๋า อายุสิบสองออกเดินทางไปยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ ยิ่งแจ่มแจ้งในคัมภีร์สวรรค์ บรรดาผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ไม่สนใจว่านางคือชาวต้าโจว ประกาศให้ทั่วหล้าได้รับรู้ รับนางเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสำนักศึกษาหนานซี สภาพการณ์เช่นนี้ หากไม่เกิดเรื่องเกินความคาดหมายอะไร เด็กสาวที่ชื่อสวีโหย่วหรงจะกลายเป็นธิดาเทพคนต่อไปของนิกายฝ่ายใต้ กลายเป็นผู้นำศาสนาที่สามารถต่อกรกับสังฆราชฝ่ายเหนือ!
ราตรีมืดสนิท ดวงดาวเต็มท้องฟ้าเหล่านั้นคล้ายกับจะไม่เคลื่อนย้ายไปที่ใดอีกตลอดกาล ทั้งยังคล้ายกำลังเคลื่อนย้ายอยู่ในทุกเสี้ยวเวลา บรรยากาศเงียบสงบจนทำให้ผู้คนทั้งลุ่มหลงทั้งหวาดกลัว เมฆหมอกราตรีบนเทือกเขาลอยผ่านบางเบา ทันใดนั้นเสียงร้องของนกกระเรียนที่ใสกังวานทะลุผ่านเมฆลงมา ผ่านไปชั่วครู่นกกระเรียนสีขาวตัวหนึ่งก็บินลงมาจากฟากฟ้า
นกกระเรียนขาวท่ามกลางความมืดยามราตรีถูกแสงของดวงดาวส่องสว่าง ดูแล้วเหมือนไม่ใช่ของจริง ราวกับว่าทำมาจากกระดาษก็มิปาน บนตัวมันไม่มีคราบสกปรกแม้แต่นิดเดียว เสียงร้องของนกกระเรียนกระจายจากหน้าผาของเทือกเขาไปทั่วท้องฟ้าที่เงียบสงัด แหวกเมฆหมอกกระจายออก แต่บางทีคงเพราะถึงเวลาที่ราตรีจะอำลาพอดี ความมืดถึงค่อยๆ สลายไป ขอบฟ้าทางด้านตะวันออกปรากฏริ้วสีขาว แสงยามเช้าตรู่ส่องลงมายังโลก
เด็กสาวที่นั่งอยู่ที่หน้าผาปลดถุงผ้าไหมบนตัวของนกกระเรียนขาว ดึงจดหมายฉบับนั้นออกมา เปิดจดหมายออกอ่านอย่างสงบ ขณะอ่านจดหมายคิ้วเรียวบางประหนึ่งพู่กันวาดขมวดขึ้นเป็นครั้งคราว แสงอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนนัยน์ตาจนสุกสว่างสดใสประหนึ่งผิวน้ำของทะเลสาบ ใบหน้าอ่อนเยาว์ช่างงดงาม ดูไม่รู้เรื่องราวทว่าก็มิได้โง่เขลา
แสงยามเช้าค่อยๆ ทวีขึ้น เป็นเพราะแดนใต้อากาศชื้น ด้วยเหตุนี้หมอกจึงตกลงมาอีก แสงอาทิตย์ถูกไอน้ำในหมอกหักเห เมื่อตกกระทบลงบนใบหน้าของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล ทำให้นางดูงดงามยิ่งขึ้น ในความงดงามถึงขนาดที่ว่าแฝงไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
‘เด็กหนุ่มคนนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง กล่าวอยู่ตลอดว่าจะมาถอดถอนการหมั้นหมาย แต่เพราะเหตุผลพิลึกพิลั่นที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจจึงไม่ถอนการหมั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าเขากำลังเล่นแง่อะไรอยู่ เดิมทีข้าคิดว่าเขาคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนจึงจงใจกล่าวเช่นนั้น แต่กลับมิใช่ เพราะขณะเขาพูดประโยคเหล่านั้นช่างสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่มีความรู้สึกโกรธแค้นใดๆ
แม่เฒ่าเฝ้ามองเขามาหลายวัน ได้ยินว่าเช้าตรู่เวลาปลายยามห้าของทุกวันเด็กหนุ่มคนนี้จะตื่นนอนตรงเวลา ทำสิ่งใดเอาจริงเอาจัง เหมือนกับหุ่นท่อนไม้ก็มิปาน แต่รักความสะอาดสะอ้าน ฟังแล้วคล้ายกับคนวิปริตลามกที่คุณหนูเคยเล่าให้ข้าฟัง ทำให้สตรีกลัวจนตัวสั่น เอาเถิด คุณหนู ข้ายอมรับว่าเด็กหนุ่มคนนี้ที่จริงแล้วหน้าตาไม่ได้น่าเกลียด เวลาที่ข้าได้คุยกับเขารู้สึกว่าเขาทั้งน่ารำคาญทั้งน่าชื่นชม ทำให้ผู้คนอยากใกล้ชิด แต่นี่กลับยิ่งทำให้น่ากลัว เพราะเป็นครั้งแรกที่ข้าเจอกับเขาไม่ใช่หรือ
เรื่องหนังสือสมรสเขาไม่ได้เอาไปคุยกับคนภายนอก ก็ไม่รู้ว่าเขาโง่หรือฉลาด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนในตระกูลก็ส่งคนไปตามดูเขาตลอด ข้าคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เสแสร้งอย่างยิ่ง ความคิดล้ำลึก แผนการมากมาย ข้ามองสถานการณ์อันใกล้ ถ้าเขายังคงรบกวนจิตใจเช่นนี้ ฮูหยินก็เตรียมการที่จะจัดการบางอย่าง
คุณหนู ถึงแม้ข้าจะคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีโทษไม่ถึงตาย แต่เขามีหนังสือสมรสในมือจึงกล้าลบหลู่จวนของเรา ลักษณะท่าทางมิได้เกรงกลัวประหนึ่งมีคนคอยหนุนหลัง จุดนี้ข้าคิดว่าเขาช่างน่ารังเกียจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ได้ยินมาว่าสกุลชิวซานปีหน้าจะมาจิงตูเพื่อสู่ขอท่าน ถ้าหากตอนนั้นมาถึงแล้วเจ้าคนไม่มีสัจจะก่อความไม่สงบจะทำอย่างไร’
เด็กสาวนั่งอยู่ริมหน้าผา จ้องมองจดหมายด้วยความเงียบงัน ผ้าคลุมไหล่ปลิวสะบัดไปตามสายลมยามเช้าตรู่ เส้นผมสีดำประหนึ่งเส้นไหมพลิ้วไหวตามลม ปะทะเข้ากับใบหน้าเบาๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกเจริญหูเจริญตากับความสวยงามและความอ่อนเยาว์ที่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม
หลังจากอ่านจดหมายเรียบร้อยแล้วนางนิ่งเงียบชั่วครู่ พึมพำกับตนเอง “คาดไม่ถึงว่าจะมาจิงตูจริงๆ”
นกกระเรียนขาวตัวนั้นรออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ถึงแม้จะนั่งอยู่ก็สูงเท่าครึ่งหนึ่งของคน ในเวลานี้นางได้พับจดหมายเข้าหากัน นกกระเรียนขาวหันตัวไป ไม่รู้ว่าไปคาบพู่กันหนึ่งด้ามมาจากไหน ปลายพู่กันชุ่มหมึกทว่ากลับไม่หยดไหล และหมึกนั้นก็ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร ถึงมีกลิ่นหอมเย็นกระจายออกมาเช่นนี้
เด็กสาวยิ้มอ่อน ยื่นมือลูบไปมาบนลำคอที่เกลี้ยงเกลาของนกกระเรียนขาว รับเอาพู่กันมาเพื่อเขียนจดหมายตอบกลับ แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเขียนสิ่งใด
นางกับท่านปู่ใกล้ชิดกันตั้งแต่เยาว์วัย ถ้าหากว่าท่านปู่ไม่จากไป บางทีตอนที่นางอายุสิบสองปีก็คงไม่ต้องจากจิงตูเพื่อมาศึกษาหาความรู้ที่สำนักศึกษาหนานซี นกกระเรียนขาวที่อยู่ข้างๆ ตัวนี้ก็เป็นท่านปู่ทิ้งไว้ให้กับนาง ถ้าหากเป็นเรื่องอื่นที่ท่านปู่ให้นางสานต่อ นางต้องปฏิบัติตามอย่างแน่นอน แต่…การหมั้นหมายคงจะทำไม่ได้เป็นแน่
เด็กหนุ่มนักพรตจากซีหนิงคนนั้นคงจะแซ่เฉินกระมัง
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องในวัยเยาว์ นางจำได้ว่าหนังสือสมรสฉบับนั้นท่านปู่เชิญให้ใต้เท้าสังฆราชรับรองให้โดยเฉพาะ มีเพียงแค่ฝ่ายชายถึงจะสามารถถอนการหมั้นหมายได้ ทำให้คิดไปถึงคำพูดของซวงเอ๋อร์ในจดหมาย ไหล่เรียวเล็กสั่นไหวเล็กน้อย ใคร่ครวญเงียบๆ เด็กหนุ่มนักพรตคนนั้นเป็นคนเสแสร้งไม่มีสัจจะจริงรึ ยังจำได้เมื่อครั้งเป็นเด็กก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น
นางรู้ว่าผู้คนจำนวนมากมายในจิงตูรวมถึงบิดาล้วนแต่หวังว่านางจะเป็นตัวแทนของต้าโจวกับทางแดนใต้ในการที่จะเกี่ยวดองกัน ย่อมไม่ยินยอมให้เด็กหนุ่มนักพรตแซ่เฉินคนนั้นมาทำลายเรื่องทั้งหมดอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะสังหารเขาก็เป็นได้
นางคิดว่าเด็กหนุ่มโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง เจ้าตัวนึกว่าตนฉลาดเจ้าเล่ห์ สามารถรับผลประโยชน์มากมายจากจวนขุนพลเทพอย่างนั้นหรือ
คิดมาถึงตรงนี้นางพลันรู้สึกไม่ยินดี
ไม่ยินดี ความรู้สึกนี้สำหรับนางแล้วเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก เพียงแค่ไม่รู้ว่าหนนี้เป็นเพราะเด็กหนุ่มนักพรตไม่รู้จักรักตัวเองปกป้องตัวเอง หรือว่าเป็นเพราะ…
ช่างเถิด เด็กหนุ่มนักพรตทำให้ผู้คนรู้สึกรำคาญนั้นเป็นเรื่องจริง
ช่างเถิด ไม่ว่าเด็กหนุ่มนักพรตจะเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไร การหมั้นหมายก็ต้องถูกถอดถอนเป็นแน่
เพียงแค่…ไยต้องทำร้ายเขาด้วยเล่า
เสียงร้องใสกังวาน นกกระเรียนขาวนำจดหมายที่นางเขียนทั้งสองฉบับทะลุผ่านเมฆไปโดยมีสายลมยามเช้าตรู่คอยส่ง แสงยามเช้าตรู่เป็นเพื่อนเดินทาง บินมุ่งตรงไปยังจิงตูอันไกลโพ้น
เด็กสาวได้นำเอาพู่กันวางจุ่มลงในแอ่งระหว่างก้อนหิน ยืดตัวลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อเดินไปยังริมหน้าผา ไพล่มือไว้ด้านหลัง
คิ้วตาของนางยังคงอ่อนเยาว์ บุคลิกไม่ธรรมดา ไม่ได้กล่าวว่านางเหมือนกับเฉินฉางเซิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่และใจเย็นมากกว่าอายุจริงอย่างยิ่ง แต่นางมีสิ่งที่ทำให้บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา เรือนร่างบอบบางอ่อนช้อยยืนอยู่ริมหน้าผา ต้องสายลมพัดโชยแผ่วๆ ให้ความรู้สึกลุ่มลึกดังสายน้ำ ตระหง่านดังเทือกเขา
ลุ่มลึกดังสายน้ำ ตระหง่านดังเทือกเขา โดยปกติแล้วจะใช้ยามบรรยายถึงปรมาจารย์ที่ดำรงชีวิตหลายร้อยปี
นางปีนี้อายุสิบสี่ปี ทว่าก็เหมาะสมกับคำบรรยายนั้น
สายลมยามเช้าตรู่ยังคงพัดโชยต่อไป พัดมาถึงไหล่ของนาง กระจายไปตามเสื้อผ้า บนไหล่มีเส้นผมสีดำปรกลง เส้นผมบางส่วนปลิวไสวระใบหน้าที่อ่อนเยาว์งดงามของนาง ทำให้นางยิ้มขึ้นมา
นางใช้เวลาเพียงแค่ห้าอึดใจ ลืมเลือนจดหมายก่อนหน้าฉบับนั้น ลืมของนอกกาย หลงเหลือเพียงแค่ความสงบเงียบ ดังนั้นจึงยิ้มขึ้นมา
รอยยิ้มของนางในฤดูวสันต์ดังดอกไม้ทั่วทุกหุบเขาและป่ากำลังเบ่งบาน
มีนกบินมานับไม่ถ้วน ส่งเสียงร้องไม่หยุด พอเข้ามาใกล้มากพอก็มองเห็นว่าเป็นหงส์คราม จำนวนหนึ่ง
นกมากมายเข้ามาทำความเคารพนาง
นางคือลูกพญาหงส์ที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
นางคือธิดาเทพแห่งแดนใต้คนต่อไป
นางเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอวิ๋น
นางคือสวีโหย่วหรง
นางยังคงไร้เดียงสา แต่ความไร้เดียงสานั้นมิใช่ความใสซื่อ แต่คือความกระจ่างบริสุทธิ์
รอยยิ้มของนางช่างเจิดจ้า แต่ความเจิดจ้านี้มิได้แสดงออกซึ่งความรู้สึก แต่แสดงถึงลมฤดูวสันต์
นางมิได้ใส่ใจผู้คนและเรื่องราวบนโลกนี้ คนบนโลกคิดว่าเกี่ยวข้องกับนาง แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวพันกัน ดังเช่นการหมั้นหมายที่นางเกือบจะลืมไปแล้วนั้น รวมถึงชิวซานจวินด้วย
นางยอมรับว่าศิษย์พี่ชิวซานจวินแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังดีเลิศอย่างยิ่ง ในสายตาของผู้คนเขาเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุด แต่เรื่องนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับนางเล่า
สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี แต่นางไม่ปรารถนา
แน่นอน เด็กหนุ่มนักพรตคนนั้นนางก็ไม่ปรารถนาเช่นกัน
สิ่งที่นางปรารถนาจะทำตอนนี้มีเพียงแค่ยืนอยู่ริมหน้าผา เก็บยาสมุนไพร อ่านตำรา อ่านตำรา และก็อ่านตำราตลอดไป
ในตำรามีมหามรรค ตำราหนึ่งม้วนดีกว่าความรักจำนวนนับไม่ถ้วน
หนึ่งใจของนางอุทิศให้เต๋า ใครเล่าจะสามารถสั่นคลอนใจของนางได้
เฉินฉางเซิงออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งไปยังสำนักแห่งที่สองนับจากท้ายสุดของใบรายชื่อ
เขาอยากรู้ยิ่งนัก วันนี้คุณหนูสวีจะมีวิธีอะไรมาทำให้ตนพ่ายแพ้
แน่นอนว่าต่อให้ครั้งนี้พ่ายแพ้อีก เขาก็ยังคงไม่สั่นคลอน
เมื่อครั้งเยาว์วัยเขาทำเพียงอยู่เฝ้าวัด เก็บกวาดหิมะ ปิดกั้นน้ำฝน กินโอสถ อ่านตำรา อ่านตำรา และก็อ่านตำรา
ในตำรามีมหามรรค ตำราหนึ่งม้วนดีกว่าพันภูผาหมื่นสายน้ำ
หนึ่งใจของเขาศึกษาหาความรู้ ใครเล่าจะสามารถยับยั้งก้าวเดินของเขาได้