• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน นาโนมาชิน ภาค มารสวรรค์ข้ามเวลา เล่ม 1 ครั้งที่ 1

     

    บทนำ

    Day of Future

     

    ข้าคือชอนยออุน ประมุขคนที่ยี่สิบสี่แห่งพรรคมารสวรรค์ ฉายาของข้าอาจฟังดูหยิ่งผยอง แต่ผู้คนในยุทธภพต่างเรียกข้าว่าเทพมาร กว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ข้าต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนและพัฒนาในรูปแบบที่ต่างจากคนทั่วไป ซึ่งข้ามีความลับที่เหล่าจอมยุทธ์และชาวพรรคมารไม่เคยรู้

    สิ่งนั้นคือนาโนแมชชีน
    ข้าได้รับความช่วยเหลือจาก ‘นาโน’ สุดยอดนาโนแมชชีนรุ่นที่เจ็ดซึ่งทายาทจากอนาคตนำมาให้ หลังจากแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย ข้าก็เข้าจัดระเบียบกลุ่มอำนาจที่ปกครองพรรคมารแล้วขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขพรรค
    ว่ากันว่าในโลกใบนี้มีแกนเวลาอยู่มากมาย แน่นอนว่าข้าไม่อาจล่วงรู้ถึงแกนเวลาอื่นนอกจากแกนเวลาที่ข้ามีชีวิตอยู่ แต่ข้ามีเหตุผลที่จะพูดถึงเรื่องนี้
    ทายาทของข้าที่มาจากโลกอนาคตอันไกลโพ้นบอกว่า ‘เทพดาบอรหันต์’ แห่งบริษัทเบลดซิกซ์ (Blade Six) ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่…ไม่สิ ในยุคของข้า เขาคือเจ้าสำนักหกดาบอรหันต์ที่เชี่ยวชาญวิชาดาบ เขาผู้นี้กำลังปกครองโลกอนาคตอยู่
    ทว่าเรื่องนี้มีความลับอย่างหนึ่งซ่อนอยู่
    นั่นคือแท้จริงแล้วเทพดาบอรหันต์ผู้ครอบครองความเป็นอมตะก็เป็นผู้ย้อนเวลาจากอนาคตมายังอดีตเหมือนทายาทของข้า เขาบิดเบือนอดีตเพื่อเปลี่ยนแกนเวลา ทายาทข้าจึงต้องเดินทางมาอดีตเพื่อแก้ไขช่วงเวลาอันบิดเบี้ยว เทพดาบอรหันต์ไม่รู้เรื่องผู้ย้อนเวลาคนอื่น พอเห็นพัฒนาการอันก้าวกระโดดของข้าจึงนึกกลัว แม้เขาจะพยายามกำจัดข้า แต่ก็ล้มเหลว เพราะข้ามีนาโนแมชชีน อีกทั้งเป็นยอดฝีมือระดับกลมกลืนหนึ่งเดียว ข้าจึงทำร้ายเขาได้
    ตัวข้าปรารถนาอยากกำจัดเทพดาบอรหันต์ผู้เป็นศัตรูให้สิ้นแล้วสร้างยุคแห่งพรรคมารสวรรค์ขึ้นมาเพื่อรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่ง แต่เรื่องราวในโลกนั้นไม่อาจเป็นไปตามใจนึกทุกอย่าง เพราะกองกำลังใต้สังกัดองค์การสหประชาชาติที่ชื่อว่าไทม์พาโทรล (Time Patrol) ซึ่งคอยเฝ้าดูการเดินทางข้ามเวลารับรู้ถึงตัวตนของทายาทข้าและพยายามเรียกคืนนาโนแมชชีนจากตัวข้า
    พวกนั้นมีเทคโนโลยีที่ใช้ติดตามนาโนแมชชีนได้ แต่นาโนแมชชีนในตัวข้าเกิดจากการรวบรวมเทคโนโลยีของบริษัทสกายคอร์เปอเรชั่นหรือก็คือพรรคมารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นสุดยอดนาโนแมชชีนรุ่นที่เจ็ดที่สร้างจากเกตลิเนียม โลหะจากโลกอื่นที่ไม่มีใครรู้จักจึงไม่อาจติดตามได้
    ไทม์พาโทรลรู้เรื่องนี้ระหว่างสืบหาเพื่อจับกุมชอนมูซองทายาทของข้า และยังแสวงหาวิธีต่างๆ มาจับตัวข้า เมื่อสถานการณ์ยุ่งยากขึ้นพวกเขาก็ส่งหน่วยรบพิเศษที่เคยผ่านการทำสงครามเกตครั้งใหญ่มา ข้าจัดการหน่วยรบพิเศษนี้แล้วเตรียมแสร้งทำเหมือนว่าตัวข้าและทายาทได้ตายไปแล้วเพื่อให้พวกเขาเลิกติดตาม
    แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเทพดาบอรหันต์ปรากฏตัวและพยายามชิงไทม์เจ็ตซึ่งเป็นเครื่องบินท่องเวลาที่พวกไทม์พาโทรลนั่งมา เขาตระหนักว่าไม่อาจกำจัดข้าในยุคนี้ได้จึงพยายามเดินทางไปยังอดีตอีกครั้ง ข้าขึ้นไทม์เจ็ตไปสกัดเขาและกำจัดเทพดาบอรหันต์ที่กำลังฮึกเหิมด้วยแรงไฟแห่งความปรารถนาได้ในที่สุด
    ทว่ากลับเกิดปัญหาขึ้นเมื่อนักบินไทม์เจ็ตที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวได้ทำลายแผงควบคุมอุปกรณ์ที่ใช้เคลื่อนที่ไปในห้วงเวลา

    ชอนยออุนวิ่งไปยังที่นั่งนักบินของไทม์เจ็ต
    นาโน ช่วยควบคุมมันแล้วพาเราออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยได้ไหม
    [อุปกรณ์ของแผงควบคุมเสียหาย แม้จะเข้าควบคุมระบบได้ แต่การบินอาจเป็นเรื่องยาก]
    ทำอย่างไรก็ได้ ไม่อย่างนั้นเราได้ตายหมดแน่
    [จะลองควบคุมระบบ กรุณาวางฝ่ามือลงบนแผงควบคุมการบิน]
    ได้เลย!
    ชอนยออุนรีบวางมือขวาบนแผงควบคุม บนมือขวาของเขาสวมถุงมือนาโนสูทอยู่ เมื่อวางทาบลงไปเกตลิเนียมก็ยืดออกมาเป็นสายและแทรกเข้าไปด้านในแผงควบคุมที่พัง
    [กำลังทำการควบคุมระบบ]
    แกรก!
    หูของชอนยออุนได้ยินเสียงน้ำแข็งค่อยๆ แตกออกพร้อมเสียงนาโน หากไม่รีบเร่งมือก็อาจเกิดอันตรายขึ้นจริงๆ ขณะรออย่างกระวนกระวายใจ หลอดไฟแอลอีดีบนไทม์เจ็ตที่กะพริบมาตลอดก็สว่างเต็มที่
    วู้! ปี๊บ! ปี๊บ!
    ขณะเดียวกัน ไฟปุ่มบนแผงควบคุมหลักของที่นั่งนักบินก็สว่างขึ้น แม้บางส่วนจะยังมืด แต่ดูเหมือนบางส่วนกำลังจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว
    นาโน ได้ไหม
    [อุปกรณ์ปรับพิกัดบนแผงควบคุมระบบเสียหาย ต้องออกจากห้วงเวลาแล้วลงจอดฉุกเฉิน]
    หมายความว่าอย่างไร
    [ต้องลงจอดในจุดที่ไม่ใช่ห้วงเวลาเดิม]
    ใบหน้าของชอนยออุนนิ่งไป หากเป็นไปตามที่นาโนบอก แปลว่าเขาอาจจะต้องเดินทางไปยังห้วงเวลาที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่ห้วงเวลาที่จากมา
    แกรก!
    เสียงน้ำแข็งอุดรูไทม์เจ็ตค่อยๆ แตกดังแว่วมาอีกครั้ง ไม่มีเวลาแล้วหากปล่อยไว้อย่างนี้ไทม์เจ็ตก็จะหลุดเป็นชิ้นๆ แล้วถูกม้วนเข้าไปในห้วงเวลา
    มุนคยู
    ชอนยออุนนึกถึงลูกและมุนคยูคนรักของตนขึ้นมาในหัว หากตายไปเช่นนี้เขาคงไม่ได้เจอทั้งคู่อีก ฉะนั้นเขาต้องรอดไปให้ได้ ชอนยออุนกัดริมฝีปากแน่นก่อนสั่งนาโนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
    “ไปกัน!”
    [รับทราบ กำลังออกจากห้วงเวลา]
    ครืน! ครืน!
    สิ้นเสียงนาโน ไทม์เจ็ตก็สั่นอย่างรุนแรง จากหน้าต่างตรงหน้าที่นั่งนักบิน เขามองเห็นโลกภาพนอกที่ประกอบไปด้วยเส้นแสงห้าสีโอบล้อมไทม์เจ็ตที่ใกล้จะแยกเป็นชิ้นๆ เอาไว้
    ครืน!
    เกิดแรงกดดันอย่างหนักบนตัวเครื่องเหมือนตอนเข้ามากาลอวกาศครั้งแรก
    “อึก!”
    ชอนยออุนจับราวตรงที่นั่งนักบินและพยายามอดทน หากมือหลุดออกจากจุดนี้แม้เพียงนิดเดียว นาโนก็อาจจะควบคุมการบินลำบาก
    โครม! ฟิ้ว!
    ขณะที่กำลังทนนิ่งให้มากที่สุด พื้นที่ที่ประกอบด้วยเส้นแสงห้าสีนอกหน้าต่างก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
    และตอนนั้นเอง
    แกรก! เคร้ง!
    ขณะออกจากห้วงเวลา น้ำแข็งที่หุ้มไทม์เจ็ตเอาไว้ก็แตกออก ร่างของชอนยออุนที่จับราวบริเวณที่นั่งนักบินอยู่ถูกแรงมหาศาลดูดออกไปนอกลำ
    ฟิ้ว!
    “เหวอ!”
    [เกตลิเนียมนาโนสูททำงาน!]
    ฟึ่บ!
    ชอนยออุนพลันสวมนาโนสูททันใด เขาหลุดออกมาข้างนอกโดยไม่ทันตั้งตัว และตอนนี้เขาเพิ่งเห็นว่าผิวของนาโนสูทกำลังเสียดสีกับอากาศจนกลายเป็นสีแดง ส่วนรอบตัวเห็นเป็นแสงสีฟ้ากับสีครามผสมกัน
    ที่นี่ที่ไหน
    [ตอนนี้เราอยู่บนชั้นมีโซสเฟียร์ในระดับความสูงหกสิบกิโลเมตร]
    มันสูงกว่าชั้นสตราโทสเฟียร์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไทม์เจ็ตแล่นไปในกาลอวกาศ
    นี่คือบนท้องฟ้ารึ
    เช่นนั้นเขาต้องรีบกลับเข้าไปในไทม์เจ็ต ทว่าไทม์เจ็ตกลับอยู่ห่างไปไกลจนเห็นเป็นขนาดเท่าฝ่ามือและกำลังส่องแสงสีแดง มันใกล้จะระเบิดแล้ว
    ตูม!
    ปัดโธ่!
    ทว่าหากออกมาช้าอีกนิดเขาคงได้ระเบิดไปพร้อมกับไทม์เจ็ตแน่ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องหาทางลงพื้นด้วยกำลังของตัวเอง
    นาโน โหมดบิน!
    [เปลี่ยนเข้าสู่โหมดบิน]
    พลังสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากฝ่ามือและเท้าของนาโนสูท ร่างของชอนยออุนตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อใช้อนุภาคของสนามแม่เหล็กในปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะมากได้มาช่วยลดความเร็ว ด้านนอกของนาโนสูทที่เป็นสีแดงเนื่องจากความร้อนก็กลับมาเป็นสีเดิม
    ฟิ้ว!
    ไม่รู้ว่าตกลงมาถึงไหนแล้ว แต่ในที่สุดพื้นดินก็ปรากฏสู่สายตาของชอนยออุน แต่มันไม่ใช่ที่ราบจงหยวนที่เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม
    [ระดับความสูงสิบห้ากิโลเมตร]
    [ระดับความสูงสิบสี่จุดห้ากิโลเมตร]
    [ระดับความสูงสิบสามกิโลเมตร]
    เมื่อตกลงมาเรื่อยๆ เขาก็มองเห็นหมู่อาคารสูงใหญ่
    นั่น…คืออะไร
    บริเวณโดยรอบดูไม่ใช่ภูเขาหรือป่า แม้เหมือนจะมี แต่กลับดูเหมือนโลกสีเทาเสียมากกว่า ขณะมองเห็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมแทนที่จะเป็นบ้านหลังคามุงกระเบื้อง ร่างของชอนยออุนก็ใกล้พื้นเข้าไปทุกที
    แล้วในที่สุด
    [ระดับความสูงสามร้อยเมตร]
    เมื่อถึงความสูงระดับนี้ร่างของชอนยออุนก็พุ่งผ่านแนวอาคารสูงใหญ่เหล่านั้น ดวงตาเขาเบิกโพลงเมื่อเห็นผนังอาคารใสจนเห็นภายใน แม้จะตกมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็มองเห็นผู้คนจำนวนมากด้านหลังผนังใสนั้น
    [ระดับความสูงหนึ่งร้อยเมตร ใกล้ถึงพื้นแล้ว]
    ตึง!
    ร่างของชอนยออุนตกลงบนพื้นสีเทาเข้ม เขางอเข่าข้างหนึ่งเพื่อให้ลงมาได้อย่างมั่นคง ก่อนจะลุกขึ้น
    แกรก!
    หมวกเกราะของนาโนสูทถูกเก็บไป ดวงตาทั้งสองของชอนยออุนจึงมองเห็นโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยอาคารสูง ที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมที่เขาเคยรู้จัก
    จ้อกแจ้กๆ!
    “คะ…คนตกลงมาจากบนฟ้า!”
    “ตกจากตึกรึเปล่า”
    “เมื่อกี้! ซูเปอร์ฮีโร่แลนดิ้งใช่ไหม กำลังถ่ายหนังเรื่องคนเหล็กอยู่รึเปล่า”
    ผู้คนต่างอยู่ในชุดที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คนเหล่านั้นห้อมล้อมชอนยออุนและมองด้วยสายตาตกใจ พวกเขามีท่าทีระแวดระวังคนไม่รู้มาอย่างเขา อาจเพราะไม่มีใครเคยเห็นคนใส่ชุดนาโนสูท
    ที่นี่คือที่ไหนกันนะ
    ขณะที่มองไปรอบตัวด้วยสายตาสับสน เสียงนาโนก็ดังขึ้น
    [จับสัญญาณไวไฟได้ ยุคของพิกัดคือวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2069]

     

    บทที่ 1

    ชายผู้ตกจากฟ้า (1)

     

    แต่ก! ต่อกแต่ก! แต่ก!
    ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าผู้มีขอบตาดำไม่เข้ากับใบหน้าอันคมสันกำลังยุ่งกับการใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองกดบางอย่าง มันคือเฟล็กซิเบิลสมาร์ตโฟนที่โค้งงอได้และใสเหมือนกระจก ไม่รู้ว่าข้อความในสมาร์ตโฟนสนุกมากหรือไร ชายหนุ่มจึงขยับปากเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่ แต่แล้วหูเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
    [ท่านอีมยอง ขณะรถหยุดนิ่งโหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติจะหยุดทำงาน กรุณาวางมือบนพวงมาลัย]
    เสียงเอไอประจำรถที่เขาขับอยู่ดังขึ้น
    “จิ๊ นี่มันยุคไหนแล้ว แถมตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติก็ควรจะทำงานสิ”
    อีมยองบ่นพึมพำ โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถยนต์ถูกนำมาใช้งานจริงตั้งแต่ ค.ศ. 2026 เป็นต้นมา กลุ่มบริษัทรถยนต์มุ่งมั่นพยายามขออนุมัติจากรัฐบาลอยู่หลายรอบ จนท้ายที่สุดก็ได้นำรถขับเคลื่อนอัตโนมัติออกมาจำหน่าย แต่ก็ไม่อาจสกัดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้ แม้จะติดเซ็นเซอร์ไว้จำนวนมากและพยายามพัฒนาเอไอรถยนต์แล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือเกิดขณะรถหยุดนิ่ง โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติจะตอบสนองไม่ทันเมื่อเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น สุดท้ายรัฐบาลจึงจำกัดการใช้โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    ปึก!
    เมื่ออีมยองตีเฟล็กซิเบิลสมาร์ตโฟนอันโปร่งใสใส่ข้อมือซ้าย มันก็ม้วนเข้ากับข้อมืออย่างนุ่มนวล
    “เฮ้อ”
    พอสมาร์ตโฟนโปร่งใสโอบรัดข้อมือเหมือนนาฬิกา อีมยองก็ถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นจับพวงมาลัย เขาตั้งใจจะไปให้ถึงสำนักงานตำรวจสันติบาล (สำนักงานตำรวจของจีนที่ดูแลพื้นที่ระดับเมือง) เมืองเสิ่นหยางก่อนเวลารถติดที่สุด แต่เขามัวยืดยาดอยู่ในสถาบันวิทยาศาสตร์จนรถจำนวนมากพากันหลั่งไหลมาสู่ถนนเพราะเป็นเวลาเลิกงาน
    “ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวไอ้รองโวยอีก”
    รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาลคือหัวหน้าของเขา ซึ่งพออยู่ในที่ลับตาเขาจะเรียกว่าไอ้รอง
    บรื้น!
    เขากดแรงจากเท้าขวาไปยังคันเร่ง ตอนนี้เวลาห้าโมงสิบนาที คงเพราะยังเป็นเดือนกุมภาพันธ์อากาศจึงยังหนาว ท้องฟ้าเป็นสีเหลือง แต่อีกไม่นานดวงอาทิตย์คงจะลับขอบฟ้าแล้ว
    เมื่อผ่านป่าตึกและขึ้นทางยกระดับมาจนอยู่สูงกว่าตึกเตี้ยๆ ก็จะมองเห็นกำแพงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางตะวันตกไกลๆ กำแพงที่โอบล้อมเมืองเอาไว้เต็มไปด้วยร่องรอยการถูกซ่อมแซมและถูกทาทับด้วยสีเทา แนวกำแพงนั้นถูกเรียกว่ากำแพงป้องกันภัยเกต
    “ให้ตายเถอะ อึดอัดจริงๆ”
    ทุกครั้งที่เห็นกำแพงนั่นเขาจะอึดอัดใจยิ่งนัก เพราะกำแพงขนาดมหึมาเป็นเหมือนหลักฐานที่ทำให้ผู้คนรวมทั้งตัวเขารู้สึกว่ามนุษย์ต่ำต้อยและอ่อนแอแค่ไหนในโลกใบนี้
    “เวลาผ่านมาตั้งยี่สิบแปดปีแล้วแท้ๆ”
    วันที่ไดเมนชั่นเกตเปิดเป็นครั้งแรก (First Dimension Gate) คือวันที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ วันเวลานั้นผ่านมากว่ายี่สิบแปดปีแล้ว เหตุการณ์อันเลวร้ายนั่นทำให้มนุษย์โลกกว่าหนึ่งในห้าต้องตาย ความจริงแล้วมนุษย์อาจเสียหายมากกว่านี้ แต่พลังแฝงจากอีกด้านหนึ่งของเกตก็ได้ปรากฏขึ้นทำให้ความเสียหายลดน้อยลง
    หมับ! ตึก!
    เขาล้วงซองบุหรี่เมนทอลออกมาจากกระเป๋าด้านในก่อนกระแทกซองเพื่อหยิบออกมามวนหนึ่ง แต่พอจะจุดไฟเสียงเอไอรถยนต์ก็ดังขึ้น
    [ห้ามสูบบุหรี่ในรถยนต์สำหรับปฏิบัติหน้าที่ หากละเลยคำเตือนจะถูกหักคะแนน]
    “แม่งเอ๊ย”
    เขารำคาญเสียงเตือนซึ่งดังขึ้นทุกครั้งที่จะจุดไฟสูบบุหรี่ รถคันนี้เป็นรถสำหรับปฏิบัติหน้าที่ซึ่งทางสำนักงานให้มาใช้จึงเอาเสียงเตือนออกไม่ได้
    พึ่บ!
    เมื่อใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่ได้แล้ว เขาก็สูบยาวราวกับจะรมปอดให้ดำแล้วพ่นควันออกมาทางปาก
    “ฟู่”
    ภายในรถเต็มไปด้วยควันบุหรี่ทันที
    ตื๊ด!
    เพดานซันรูฟแง้มออกเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ ควันบุหรี่ที่อัดแน่นอยู่เต็มรถพลันลอยออกไปตามช่องเพดานซันรูฟที่เปิดแง้ม
    วู้ๆ!
    “หนวกหูชะมัด”
    อีมยองผ่อนแรงจากเท้าขวาที่เหยียบคันเร่งออกแล้วความเร็วก็ลดลง แม้จะวิ่งเพียงแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เสียงลมที่แทรกเพดานซันรูฟเข้ามาก็ดังจนปวดหู
    ระหว่างนั้นเอง
    ปี๊บ! ปี๊บ!
    เสียงสมาร์ตโฟนบนข้อมือซ้ายก็ดังขึ้น จากนั้นใบหน้าของผู้หญิงที่อายุราวหกสิบต้นๆ และมีผมสีเทาแซมอยู่ประปรายก็ปรากฏบนหน้าจอของแผงหน้าปัดกลางคอนโซลรถ
    “หือ?”
    คนที่โทรมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่ของเขาเอง
    “ยังไม่เลิกงานเลย”
    ด้วยความคิดว่าอาจจะมีเรื่องอะไร เขาจึงตัดสินใจเชื่อมโทรศัพท์ด้วยบลูทูธ
    “ฮัลโหล”
    [นี่! เจ้าลูกชาย]
    “ผมทำงานอยู่นะครับ…”
    [คิดว่าแม่ไม่รู้หรือไง]
    “มีอะไรรึเปล่าครับ ถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษผมขอวางสายก่อน เพราะใกล้จะถึงสันติบาลแล้ว”
    [โธ่ อุตส่าห์จัดการให้ แต่กลับทำพังซะได้]
    “อะไรครับ”
    อีมยองทำเป็นไม่รู้เรื่องและถามกลับไป แม่ของเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
    [แม่ปล่อยให้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจแล้ว ทำอะไรให้แม่สักอย่างไม่ได้เลยเหรอไง แค่แวะเป่ยจิงไปกินข้าวกับลูกสาวคนที่สี่ของท่านกรรมการชังน่ะ…]
    “มันยากนะครับ แม่ก็รู้จักงานที่ผมทำดีนี่”
    [นี่คิดจะหลบเลี่ยงไปเรื่อยๆ ใช่ไหม]
    “อีกไม่นานสัญญาณเตือนภัยเกตครั้งที่ยี่สิบหกก็จะดังแล้ว เราออกไปนอกกำแพงไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ”
    [สัญญาณเตือนภัยงั้นเหรอ]
    “เดี๋ยวแต่ละมณฑลก็จะประกาศเฝ้าระวังออกมาพร้อมข่าวนั่นแหละ”
    […]
    พอแม่ได้ยินดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก
    สัญญาณเตือนภัยเกตเป็นสัญญาณเตือนให้ประชาชนในเมืองเฝ้าระวังการเปิดของเกตตามลางบอกเหตุ เพราะไม่มีใครรู้ว่าถ้าเกตเปิดขึ้นครั้งหนึ่งจะเกิดอะไรบ้าง
    [รอบนี้สั้นจริงๆ ถ้าเป็นเกตครั้งที่ยี่สิบหก…เขาก็คงจะถูกเรียกกลับมา เฮ้อ…]
    “จะถึงสันติบาลแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ”
    [แม่เชื่อเพราะลูกทำงานอยู่สันติบาล แล้วแม่ก็หวังว่าลูกจะไม่ทำลายโอกาสที่แม่พยายามจัดหาให้เจอกับ ‘เด็ก’ คนนั้นอีก]
    “ครับผม…”
    พอได้ยินน้ำเสียงเหมือนยอมแพ้ของแม่ อีมยองก็ตอบกลับด้วยสีหน้าพึงพอใจ
    แต่ว่า…
    [แม่อุตส่าห์โน้มน้าวจนกรรมการชังเข้าใจแล้ว สิ้นสัญญาณเตือนภัยเมื่อไรก็ไปเป่ยจิงสักที ในเมื่อมีเบอร์โทรกับไอดีเมสเซนเจอร์อยู่แล้ว ลูกก็นัดเองแล้วกัน]
    “ฮึ!”
    ใบหน้าอีมยองยับย่นขึ้นมาทันที เขาอุตส่าห์พูดคุยแบบไม่แยแสและยังปฏิเสธไปแล้วด้วย แต่แม่กลับบอกว่าโน้มน้าวให้กรรมการชังเข้าใจแล้วงั้นเหรอ ขณะที่เขากำลังอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แม่ก็พูดต่อ
    [ลูกออกมาจากท้องใคร ทำไมแม่จะไม่รู้ความคิดของลูก]
    แม่นำอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ
    [ฟังที่แม่พูดนะ ตอนนี้ลูกอายุสามสิบหกแล้วจะอยู่เป็นโสดแล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ เหมือนคนไม่มีหัวคิดได้ยังไง เป็นเพราะแม่เห็นแก่ลูกนะ…]
    พอเสียงบ่นของแม่ดำเนินต่อเนื่อง อีมยองก็สูดบุหรี่ที่ไหม้ไปกว่าครึ่งเข้าปอดลึกอีกครั้ง
    เห็นแก่ผมงั้นเหรอ
    ไม่ใช่เลย เขาเป็นลูกที่ถูกเลี้ยงอยู่นอกบ้าน หากต้องการให้เขาออกเรือนก็คงอนุญาตให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาต้องการไปหลายรอบแล้ว
    ทำอย่างกับจะรวมตระกูล…โธ่เอ๊ย!
    แม้เขาจะเป็นคนปากเสีย แต่ก็ไม่กล้ากล่าวคำรุนแรงใส่แม่ เพราะอย่างน้อยแม่ก็เป็นคนที่คลอดเขามา
    [ฟังแม่พูดให้ดี คราวนี้ถ้าทำพังอีกแม่จะไม่อยู่เฉยแล้วนะ เฮ้อ ถ้าซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วบินไปไหนก็ได้เหมือนเมื่อก่อนก็คงจะดี ทำไมถึงได้ยุ่งยากอย่างนี้]
    “ผมว่าผมได้ยินเรื่องเครื่องบินมาเป็นร้อยครั้งแล้วนะครับ”
    เครื่องบิน
    ตอนนี้มันเป็นเพียงสัญลักษณ์ของโลกยุคโบราณ แม่เคยเล่าว่าสมัยแม่ยังสาว เครื่องบินเป็นยานพาหนะที่พาให้เคลื่อนที่ไปยังมณฑลอื่นหรือแม้แต่ต่างประเทศได้ แต่พอเกตเปิดเครื่องบินก็ขึ้นบินไม่ได้ เพราะเหตุนี้ตั้งแต่เกิดมาอีมยองจึงไม่เคยเห็นเครื่องบินแม้แต่ครั้งเดียว แม้แม่จะเล่าว่าเขาเคยขึ้นเครื่องบินตอนสามขวบ แต่เขากลับจำมันไม่ได้เลย
    [กำลังมองว่าแม่ล้าสมัยสินะ เพราะลูกไม่เคยรู้น่ะสิว่าเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่สะดวกสบายแค่ไหน]
    “คงงั้นมั้งครับ ถ้าอยากเคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้าก็คงต้องใช้มัน แต่ยุคที่มนุษย์ครอบครองท้องฟ้ามันนาน…”
    อยู่ๆ อีมยองก็หยุดพูดเพราะสงสัยสายตาตนเอง เมื่อครู่เขาเหมือนเห็นบางอย่างตกลงมาท่ามกลางหมู่ตึกสูงระฟ้า
    อะไรน่ะ
    เพราะอยู่ไกลจึงมองเห็นไม่ชัด แต่มี ‘อะไร’ ตกลงมาจากท้องฟ้าแน่นอน
    [ทำไมอยู่ๆ ก็หยุดพูด…]
    ตู๊ด!
    โทรศัพท์ถูกตัดสาย แล้วหน้าจอก็ปรากฏเครื่องหมายของสำนักงานตำรวจสันติบาล จากนั้นเสียงพนักงานสื่อสารของสำนักงานตำรวจสันติบาลอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น
    [ข้อความจากห้องสื่อสารของสำนักงานตำรวจสันติบาล กลางถนนหมายเลขสอง เขตเถี่ยซี มีวัตถุนิรนามบินได้ตกลงมา]
    “วัตถุนิรนามบินได้?”
    ถนนที่เขาอยู่ตอนนี้ใกล้กับถนนหมายเลขห้า ซึ่งใกล้กับจุดนั้นมาก ฉะนั้นมันต้องเป็นสิ่งที่เขาเห็นไม่ผิดแน่ บางทีวัตถุบินได้ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าอาจจะเกี่ยวข้องกับเกตก็ได้
    [ขอให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยและตำรวจสันติบาลที่อยู่ใกล้ถนนหมายเลขสองเข้าไปดูสถานการณ์พร้อมอาวุธ]
    โชคร้ายสิ้นดี ทำไมต้องเกิดเรื่องระหว่างทางกลับด้วยนะ
    “โธ่โว้ย สัญญาณเตือนภัยเกตยังไม่ดังเลย แต่ดันเกิดเรื่องเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ”
    แล้วไซเรนตรงหลังคาด้านซ้ายของรถสีเทาที่เขาขับอยู่ก็ส่งเสียงดัง
    หวอ!
    พอเสียงไซเรนดังขึ้นเขาก็หมุนพวงมาลัยไปด้านข้าง เวลาเสียงไซเรนดังมีข้อดีอยู่เพียงข้อเดียว นั่นคือแม้รถจะติดเพราะเป็นช่วงเลิกงาน แต่รถมากมายก็จะหลบไปด้านข้างเพื่อให้รถของเขาขับผ่านไปได้อย่างสบาย เขากดปุ่มลำโพงที่หน้าจอแล้วพูดว่า
    “ผมอีมยองหัวหน้าหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สามเมืองเสิ่นหยาง ตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับสำนักงาน จะเข้าไปดูสถานการณ์ที่ถนนหมายเลขสองครับ”
    [รับทราบ]
    ทันทีที่ได้ยินคำตอบรับ อีมยองก็ละมือจากปุ่มลำโพงแล้วเหยียบคันเร่งให้รถแล่นผ่านเส้นทางที่รถมากมายพากันขยับไปด้านข้างราวกับทะเลแหวก ถนนหมายเลขสองอยู่ไม่ไกลเท่าไร และไม่นานเขาก็รู้ว่าวัตถุนิรนามนั้นตกลงที่ไหน
    จ้อกแจ้กๆ!
    มันคือจุดที่ผู้คนรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นั่นมีรถของตำรวจสันติบาลที่เดินทางมาถึงก่อนอยู่สามคัน
    ปัง!
    อีมยองลงจากรถสีเทา ก่อนหยิบบัตรประจำตัวออกมาพร้อมมองไปยังฝูงชน
    อยากรู้อยากเห็นกันจริงๆ
    ถ้าเกี่ยวข้องกับเกตย่อมอาจเกิดอันตรายได้ แต่ผู้คนยังรวมตัวกันอยู่อย่างน่าประหลาด หากสิ่งมีชีวิตอันตรายกระโจนออกมาจากเกต ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่คงได้ตายกันหมด เพราะประชาชนทั่วไปไม่สามารถรับมือมันได้แม้จะมาเพียงตัวเดียวก็ตาม
    “ไอ้พวกบ้า มาถึงก่อนก็กันคนออกไปสิ มัวทำอะไรอยู่”
    อีมยองตวาดใส่ผู้คนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
    “สันติบาลครับ ถอยหน่อยครับ ถอยหน่อย!”
    จ้อกแจ้กๆ!
    แม้เขาจะตะโกนเสียงดัง แต่ผู้คนกลับไม่ยอมถอย และเอาแต่สนใจวัตถุนิรนามที่พวกตนกำลังยืนล้อมอยู่ แม้ในมือจะมีสมาร์ตโฟน แต่ก็ไม่มีใครถ่ายวิดีโอเลย
    ปล่อยสัญญาณขัดขวางการบันทึกวิดีโอแล้วสินะ
    เมื่อโลกนี้เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าใครต่างก็ถ่ายภาพหรือวิดีโอได้ด้วยสมาร์ตโฟน รัฐบาลและสำนักงานตำรวจสันติบาลจึงสร้างเครื่องปล่อยสัญญาณขัดขวางอุปกรณ์บันทึกวิดีโอขึ้นมาใช้ หากสมาร์ตโฟนเครื่องไหนถูกจับสัญญาณได้ไฟล์วิดีโอที่ถ่ายในวันนั้นก็จะถูกลบโดยอัตโนมัติ
    ติ๊ด!
    สมาร์ตโฟนที่อยู่ตรงข้อมือซ้ายถูกปิดเครื่องทันที รัฐบาลอื่นในสหภาพเอเชียไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ มีเพียงรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้นที่นำเครื่องมือนี้มาใช้ได้ ซึ่งมันป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลไร้ประโยชน์ได้ชะงัดนัก
    ไล่คนออกไปไม่ได้แล้ว
    ตราบใดที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วยังไม่เข้ามาสลายผู้คน ลำพังเขาก็คงไม่สามารถไล่ผู้คนจำนวนมากออกไปได้
    หรือสิ่งที่กำลังมุงดูกันอยู่จะไม่อันตรายนะ
    เพราะหากมันอันตรายเหมือนเมื่อก่อนผู้คนคงวิ่งหนีกันวุ่นวายไปหมดแล้ว อีมยองพยายามเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปให้เร็วที่สุด เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้คนกำลังจ้องมองอะไรกัน
    เฮ้ย!
    อารมณ์ของอีมยองที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ถึงกับห่อเหี่ยว และพึมพำด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
    “อะไรกันชุดแบบนี้”
    ตรงนั้นมีชายหนุ่มผมยาว หน้าตาสะอาดสะอ้านและคมสันยืนอยู่ เขาคนนั้นสวมชุดเกราะสีดำพร้อมผ้าคลุมสีเข้มราวกับออกมาจากละครย้อนยุค และไม่ได้มีท่าทางเคอะเขินใดๆ
    ตอนนี้ไม่ได้มีเทศกาลอะไรนี่นา หรือกำลังถ่ายละครย้อนยุคกันอยู่
    อุตส่าห์ตื่นตกใจเพราะได้ยินว่าเป็นวัตถุนิรนามบินได้ แต่กลับน่าขัน เพราะนอกจากชายที่ดูเหมือนจะมาจากยุคไหนก็ไม่รู้แล้วก็ไม่เห็นมีร่องรอยของวัตถุนิรนามบินได้แต่อย่างใด
    แกร๊ก!
    ตำรวจสันติบาลสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มสี่นายยกปืนพกเล็งไปยังชายหนุ่มคนนั้น หนึ่งในนั้นยังหยิบกุญแจมือออกมาจากข้างเอว พวกเขาคือตำรวจสันติบาลจากสถานีตำรวจในท้องที่ ตำรวจสองนายเดินเข้าไปหาชายหนุ่มชุดโบราณผู้ไร้อาวุธอย่างช้าๆ อีมยองจึงเดินเข้าไปหาตำรวจอีกสองนายที่กำลังยกเล็งปืนพกเพื่อควบคุมสถานการณ์แล้วแสดงบัตรประจำตัว เนื่องจากพวกเขากำลังเล็งปืนอยู่จึงทำเพียงพยักหน้าให้เบาๆ และอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขามียศสูงกว่าอีมยอง
    “ผมอีมยองหัวหน้าหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สามเมืองเสิ่นหยาง ได้รับรายงานว่ามีวัตถุนิรนามบินได้ตกลงมาแถวนี้เลยเข้ามาดู แล้วทำไมถึงได้เล็งปืนใส่ประชาชนที่ไร้อาวุธอย่างนี้ล่ะครับ”
    เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากไม่นับชุดที่ดูแปลกตาไปสักหน่อยอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นประชาชนธรรมดา แล้วทำไมถึงได้พยายามจับกุมชายหนุ่มคนนี้ หนึ่งในตำรวจจึงบอกเขาว่า
    “ก็คนนั้นน่ะแหละ”
    “คนนั้น?”
    “คนแต่งตัวโบราณคนนั้นนั่นแหละคือวัตถุนิรนามบินได้ที่ตกลงมาจากฟ้า!”
    “พูดเป็นเล่น…”
    แล้วตอนนั้นเองเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นก่อนอีมยองจะพูดจบ
    ฟึ่บ!
    “อั้ก!”
    หนึ่งในตำรวจที่กำลังเข้าไปใส่กุญแจมือชายชุดโบราณคนนั้นพลันลอยละลิ่วออกไปก่อนตกกระแทกพื้น ทั้งที่ชายชุดโบราณแค่โบกมือเบาๆ เท่านั้น
    ตุ้บ!
    “อึก!”
    ท่าทางจะเจ็บหนักจึงลุกขึ้นไม่ไหว
    “ปัดโธ่!”
    ตำรวจอีกนายทำท่าจะเข้าไปใส่กุญแจมือชายหนุ่มชุดโบราณ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาโดนคว้าข้อมือไว้เสียเอง
    หมับ!
    “อ๊ะ”
    กร๊อบ!
    เสียงกระดูกถูกหักดังขึ้น ดวงตาของอีมยองพลันเบิกกว้าง
    “อ๊าก! แขนฉัน!”
    แขนขวาของตำรวจที่จะเข้าไปใส่กุญแจมือถูกบิดจนผิดรูป เมื่อถูกบิดจนสุดกระดูกข้อศอกก็ทะลุโผล่ออกมา
    “โอ๊ย!”
    “เฮ้ย!”
    “กระ…กระดูกข้อศอกโผล่ออกมาเลย!”
    ประชาชนที่เฝ้าดูสถานการณ์ต่างพากันหันหน้าหนีอย่างตกใจ
    “ไอ้บ้า!”
    แกรก!
    เมื่อครู่อีมยองยังถามตำรวจคนอื่นอยู่เลยว่าเล็งปืนใส่ประชาชนธรรมดาทำไม แต่ตอนนี้เขากลับรีบหยิบปืนพกออกจากซองแล้วเล็งไปยังชายผู้นั้น

    บทที่ 1

    ชายผู้ตกจากฟ้า (2)

     

    ชายหนุ่มผมยาวปราดมองไปรอบๆ ด้วยสายตาคมเฉียบไม่ต่างจากกระบี่ แท้จริงแล้วชายหลงยุคผู้นี้ก็คือชอนยออุน ประมุขคนที่ยี่สิบสี่แห่งพรรคมารสวรรค์ที่ผู้คนในยุทธภพต่างเรียกขานเขาว่าเทพมาร แม้เขาจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ตอนนี้เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ชวนตื่นตระหนก
    อนาคต…งั้นรึ
    หากเป็นไปตามคำพูดของ ‘นาโน’ ซึ่งเป็นนาโนแมชชีน ที่นี่คืออนาคตอันแสนไกล ทุกสิ่งจึงดูแปลกตาไปหมด ตั้งแต่พื้นยางมะตอยไปจนถึงหมู่ตึกสูงที่สร้างจากคอนกรีต ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่มีในยุคที่ชอนยออุนอาศัยอยู่
    ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าเช่นนั้น
    มันดูเข้ารูปมากกว่าชุดที่เขาใส่อยู่ อีกทั้งยังมีสีสันต่างๆ ผสมกันจนหาคนที่ใส่เสื้อสีเดียวแทบไม่เจอ และกระโปรงที่พวกผู้หญิงสวมใส่ก็สั้นมากจนแทบจะเห็นต้นขาทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนเขาหลุดมาอีกโลกหนึ่ง
    แปลกเสียจริง
    ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ชอนยออุนรู้สึกว่าแปลก
    ขุ่นมัวจริงๆ
    อากาศรอบตัวเขาขุ่นมัวมากเหมือนเต็มไปด้วยสิ่งเจือปน ชอนยออุนมาจากพื้นที่ธรรมชาติและพลังธรรมชาติก็ส่งผลโดยตรงต่อเขา เขาจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจน
    หากจอมยุทธ์ที่ยังไม่เก่งพอมานั่งสมาธิที่นี่ คงรวบรวมลมปราณไม่ได้
    อากาศที่ไม่บริสุทธิ์อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย จอมยุทธ์เต๋าหรือพุทธอาจจะตื่นตระหนกกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่สน เพราะเขาสามารถเปลี่ยนพลังไม่บริสุทธิ์ให้เป็นพลังธรรมชาติ อีกทั้งยังดูดซับจุดกำเนิดพลังของสัตว์เทพทั้งห้ามาแล้วจึงสามารถนำพลังมารวมกันเพื่อสร้างปราณในร่างกายได้
    “อ๊าก! แขนฉัน!”
    ชอนยออุนหันไปมองตำรวจสันติบาลที่กำลังนอนกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด เขาถูกหักแขนเพราะพยายามเข้ามาจับกุมตน
    กลุ่มชายสวมชุดเช่นนี้คือขุนนางของยุคนี้รึ
    [ถูกต้อง]
    นาโนยืนยันว่าคนเหล่านี้คือขุนนางยุคนี้ แต่ต่อให้บอกว่าพวกเขาเป็นเหมือนทหารในกองทัพ ชอนยออุนก็ไม่กลัว เพราะเขาไม่เคยกลัวเกรงแม้แต่จักรพรรดิของยุคตนเอง จึงไม่ยอมให้จับใส่กุญแจมือง่ายๆ
    น่ารำคาญจริงๆ
    การตกลงมาในสถานที่ที่มีหูตาเยอะแยะเช่นนี้เป็นเรื่องวุ่นวายอย่างยิ่ง แค่ผู้คนที่รายล้อมอยู่ก็น่าจะมากกว่าร้อยคนแล้ว หากรวมกับคนที่จ้องมองลงมาผ่านหน้าต่างของตึกสูงด้วย ตอนนี้ก็น่าจะมีคนจ้องมองเขาอยู่มหาศาลเลยทีเดียว และตอนนั้นเองหูของชอนยออุนก็ได้ยินเสียงตะโกน
    “การทำร้ายตำรวจสันติบาลเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ยกมือทั้งสองข้างแล้วคุกเข่า ไม่เช่นนั้นเราจะยิง!”
    ชายหน้าใหม่อายุราวสามสิบกว่าปรากฏตัวพร้อมเล็งปืนมาที่ชอนยออุน เขาคืออีมยองหัวหน้าหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สามแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยาง การยกสองมือขึ้นและคุกเข่าถือเป็นการยอมแพ้ ชอนยออุนจึงถามนาโนในหัวพร้อมความอึดอัดที่ปรากฏอยู่ในแววตา
    นาโน ยังรวบรวมข้อมูลไม่ได้รึ
    [มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขัดขวางการเชื่อมต่อเครือข่าย จึงไม่สามารถเชื่อมต่อได้]
    ชิ
    ชอนยออุนส่ายหน้า เมื่อตำรวจสันติบาลซึ่งเป็นขุนนางในยุคนี้ปรากฏตัว การเชื่อมต่อเครือข่ายของนาโนก็ถูกระงับ ชอนยออุนไม่รู้จักยุคนี้ แต่เขาคิดว่านาโนแมชชีนที่ถูกสร้างขึ้นในอนาคตน่าจะรู้ จึงใช้สมองสั่งการให้นาโนวิเคราะห์ข้อมูลของยุคสมัยนี้ แต่กลับถูกขัดขวาง
    ทำอย่างไรต่อไปดี
    ชอนยออุนกลุ้มใจ ครั้นจะพาตัวเองออกจากที่นี่ไปซ่อนตัวก็คงทำได้ยาก แต่จากที่นาโนบอก หมายความว่าหากออกจากพื้นที่ที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้ได้ นาโนก็จะเชื่อมต่อเครือข่ายได้อีกครั้ง
    แต่มีคนหนึ่งขวางอยู่
    ปราณสัมผัสของชอนยออุนรับรู้ถึงการมีอยู่ของใครคนหนึ่งได้อย่างชัดเจน คนผู้นั้นกำลังจ้องมองเขาจากหน้าต่างบานหนึ่งของตึกฝั่งตรงข้าม การมีอยู่ของคนผู้นั้นทำให้ชอนยออุนรู้สึกว่ายุคนี้ไม่ได้ต่างจากโลกที่เขารู้จักโดยสิ้นเชิง
    ออกจากตรงนี้ไปก่อนน่าจะดีที่สุด
    หูตาเยอะเกินไป ตอนนี้เขายังไม่รู้จักยุคนี้ดีพอ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นอาจจะยิ่งวุ่นวาย แต่ขณะที่ชอนยออุนกำลังจะก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
    “ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย! ยกมือขึ้นแล้วคุกเข่าลง!”
    เสียงตะโกนของอีมยองดังขึ้น ในสถานที่ที่มีคนรวมตัวกันเยอะแบบนี้ หากสถานการณ์ไม่แย่จริงๆ เขาจะไม่ยิง แต่สัญชาตญาณกลับบอกว่า…
    เจ้านี่อันตรายมาก
    ถ้าจำเป็นก็อาจยิงไปที่ข้อเท้าหรือต้นขา ในเมื่อชายผู้นั้นเกี่ยวข้องกับวัตถุนิรนามบินได้ที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็ต้องจับตัวไว้ตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจสันติบาล
    หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วยังไม่มาอีกเหรอ
    การร่วมมือกับตำรวจอีกสองนายเพื่อจับผู้ชายนั้นด้วยมือเปล่าน่าจะเป็นเรื่องอันตรายเกินไป คนที่จะรับมือผู้ที่จัดการตำรวจฝีมือดีด้วยการขยับมือเพียงเบาๆ แบบนี้ได้มีเพียงเกตคีปเปอร์ (Gate Keeper) เท่านั้น
    จอม…
    ตึก!
    เมื่อชอนยออุนทำท่าจะขยับตัว อีมยองก็เล็งปืนไปที่ต้นขาและเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดคิด
    ปัง!
    อีมยองคิดว่าขอแค่จับเป็นก็พอ แต่กลับเกิดเรื่องที่ทุกคนต้องตกใจ
    ฉับ! แก๊ง!
    ประชาชนที่เฝ้ามองสถานการณ์ต่างส่งเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์
    “เป็นไป…ได้ยังไง”
    “ผะ…ผ่ากระสุน”
    กระสุนปืนที่อีมยองยิงไปถูกผ่าเป็นสองส่วนและตกลงบนถนนยางมะตอย เพราะผ้าคลุมของชอนยออุนจึงไม่มีใครเห็นว่าดาบสีขาวถูกชักออกมาจากข้างเอวตั้งแต่เมื่อไร
    ดาบมังกรขาวคือหนึ่งในสองอาวุธเทพ โดยชิ้นหนึ่งเป็นกระบี่ อีกชิ้นหนึ่งเป็นดาบ เป็นอาวุธที่เทพมารชอนยออุนภูมิใจมากพอๆ กับกระบี่มารสวรรค์
    และตอนนี้อีมยองก็ได้รู้ถึงตัวตนของชายผู้นั้น
    “จอมยุทธ์!”
    ดูแค่เสื้อผ้าอาจจะยืนยันได้ยาก แต่การชักดาบออกมาผ่ากระสุนปืนที่พุ่งเข้าหา ในโลกนี้มีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นที่ทำได้
    จอมยุทธ์แต่งชุดโบราณมาทำอะไรแถวนี้…
    แล้วตอนนั้นเอง
    ฟึ่บ!
    “เฮ้ย!”
    เพียงชั่วพริบตาร่างของชอนยออุนก็มาอยู่ตรงหน้าอีมยอง แม้จะตกใจ แต่เขาไม่ลืมเล็งปืนไปหาชอนยออุน ทว่ากลับไร้โอกาสยิง
    หมับ!
    “แค่ก!”
    อีมยองถูกบีบคอแน่นจนต้องปล่อยปืนจากมืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าถูกออกแรงมากขึ้นอีกหน่อย คอของเขาคงได้หักเป็นแน่ ตำรวจที่ยืนขนาบข้างต่างตกใจและเล็งปืนไปที่ชอนยออุน แต่ชอนยออุนไม่สนใจและเอ่ยปากว่า
    “คิดจะยิงดินระเบิดใส่ข้าก็ต้องโดนเช่นนี้”
    แม้คำพูดของเขาจะฟังดูเหมือนคนโบราณ แต่มันไม่ใช่ปัญหาที่ควรใส่ใจตอนนี้ อีมยองพยายามปัดมือของชอนยออุนออกด้วยทักษะยูโดที่เคยเรียนสมัยเริ่มเป็นตำรวจสันติบาล
    แต่ว่า…
    ระ…เรี่ยวแรงนี่มันอะไรกัน!
    เขาทำให้นิ้วอีกฝ่ายขยับไม่ได้เลย ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต้องคอหักตายแน่ๆ
    “ปล่อยเขานะ!”
    ตำรวจสองนายเตรียมจะยิงปืนเพื่อช่วยอีมยอง แต่ว่า…
    ฉับ!
    “เฮ้ย! ปะ…ปืน”
    ไม่รู้ว่าปืนของพวกเขาถูกฟันตั้งแต่เมื่อไร แต่ตอนนี้พวกมันขาดเป็นสองท่อนแล้ว
    “เหวอ!”
    ตำรวจทั้งสองนายก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าถ้าชายคนนั้นตั้งใจ ไม่ใช่แค่ปืนที่ถูกฟัน แต่ร่างของพวกเขาอาจถูกดาบฟันเมื่อไรก็ได้ ลำพังพวกเขาสามคนไม่อาจจัดการชายคนนี้ได้
    ชอนยออุนเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
    “พวกเจ้ารู้จักจอมยุทธ์สินะ”
    “แค่ก”
    ชอนยออุนได้ยินคำพูดเมื่อครู่อย่างชัดเจน คำว่าจอมยุทธ์หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายหลังจากเห็นเขาผ่าวัตถุที่พุ่งเข้ามาเป็นสองส่วน คนธรรมดาที่ไม่เชี่ยวชาญวรยุทธ์แต่กลับรู้จักจอมยุทธ์ แสดงว่าอาจจะใกล้ชิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์ ชอนยออุนจึงผ่อนแรงมือเพื่อให้อีกฝ่ายพูดได้
    “แฮกๆๆ”
    เมื่อแรงบีบที่คอคลายลง อีมยองก็พยายามสูดอากาศ แล้วชอนยออุนก็เอ่ยปากถามอีกครั้ง
    “เจ้ารู้จักจอมยุทธ์ใช่หรือไม่”
    อีมยองย้อนถามกลับด้วยคำถามที่เหนือความคาดหมาย
    “แค่ก…แค่ก…ท่าน…เป็นจอมยุทธ์ไม่ได้ลงทะเบียนสินะ”
    ชอนยออุนชักสีหน้า
    “ไม่ได้ลงทะเบียนรึ”
    หากเข้าใจไม่ผิด การลงทะเบียนคงหมายถึงการรายงานตัวและบันทึกข้อมูลต่อที่ไหนสักแห่ง แต่เขาก็ยังติดใจที่ตำรวจสันติบาลซึ่งเป็นขุนนางยุคนี้พูดถึงเรื่องนี้
    หมายความว่าอย่างไร หรือจะเป็นข้อตกลงระหว่างจอมยุทธ์กับขุนนางกันนะ
    มีอะไรแปลกๆ ดูเหมือนการลงทะเบียนจะเกี่ยวข้องกับขุนนางยุคนี้ ชอนยออุนคิดว่าคงต้องถามต่ออีกหน่อย แต่อยู่ๆ เขาก็เจอความผิดแปลกอีกอย่างหนึ่ง
    หือ? เจ้านี่ ท่าจะไม่ใช่คนธรรมดา จุดตันเถียน*…หือ?
    ในตอนนั้นเองชอนยออุนพลันพบว่าบนหลังมือของตนที่บีบคออีมยองอยู่ปรากฏจุดสีแดงขึ้นมา
    นี่มัน?
    มันไม่ได้มีแค่จุดเดียว และเสียงของนาโนก็ดังขึ้นในหัว
    [เลเซอร์จากปืนสามสิบกระบอกกำลังเล็งมา]
    แต่ก่อนที่คำพูดนั้นจะจบลง ชอนยออุนก็จับความเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งได้ พวกเขาเป็นกลุ่มชายหนุ่มหลายสิบคนพร้อมอาวุธครบมือในชุดสีดำทับด้วยเสื้อกั๊กกันกระสุนและหมวกนิรภัยกำลังแทรกตัวอยู่ท่ามกลางประชาชน ตราตำรวจสันติบาลที่อยู่ตรงอกขวาบ่งบอกว่าพวกเขาคือหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาล
    มากันเร็วนี่
    ริมฝีปากของอีมยองซึ่งถูกบีบคอจนหน้าซีดเผือดปรากฏรอยยิ้มแล้วเขาก็พูดว่า
    “สถานการณ์พลิกกลับซะแล้ว ท่านจอมยุทธ์เถื่อน”

    บทที่ 1

    ชายผู้ตกจากฟ้า (3)

     

    วียางหัวหน้าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สองแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยางได้รับรายงานว่ามีวัตถุนิรนามตกลงมาจากท้องฟ้าจึงออกปฏิบัติการอย่างตื่นตกใจ เพราะการมีเหตุเกิดขึ้นทั้งที่สัญญาณเตือนภัยเกตยังไม่ดังถือเป็นเรื่องอันตรายมาก
    ทำไมระบบสกัดกั้นของกำแพงป้องกันภัยกับข่ายเรดาร์ถึงจับไม่ได้นะ
    ถ้าไม่กระทำการแบบลักลอบ ระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่เพดานบินระดับกลาง (HQ-36) จะต้องทำงานก่อนเป็นอันดับแรกและเริ่มโจมตีด้วยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน แต่มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนตกลงมาจากฟ้าจริงๆ เขารีบขึ้นรถบัสของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วแล้วค่อยมาแต่งตัวบนรถ ระหว่างนั้นก็ได้ยินรายงานอื่นอีก
    “ว่าไงนะ คนงั้นเหรอ”
    มันเป็นข้อมูลที่เหนือความคาดหมาย ทว่าก็ทำให้หัวใจที่หงุดหงิดเพราะคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายจากนอกเกตผ่อนคลายลง ทว่ากลับเกิดอีกคำถามขึ้นในใจ
    “มีคนตกลงมาจากท้องฟ้าเหรอ”
    “ชะ…ใช่แล้วครับ”
    ต่อให้ตะคอกถามลูกน้องในหน่วยไปก็ไม่มีทางรู้รายละเอียดมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้
    เป็นเกตคีปเปอร์หรือจอมยุทธ์กันนะ
    หากเป็นคนพวกนั้นก็ถือว่าอันตรายไม่ต่างกัน บางครั้งพวกคนเก่งก็มักออกมาแสดงความมหัศจรรย์เหนือมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง
    ถ้าเป็นเกตคีปเปอร์ พวกเขาก็ต้องขออนุญาตจากทางสันติบาลก่อน ถ้าขออนุญาตแล้วก็ไม่น่าเกิดเหตุการณ์โกลาหลแบบนี้
    ฉะนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจอมยุทธ์ แต่เขาก็ยังติดใจอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เพราะปกติเหล่าจอมยุทธ์จะต้องลงทะเบียนตัวตนและไม่ค่อยทำอะไรสะดุดตาผู้คน
    ไปดูก็รู้ จอมยุทธ์บางคนก็มักใหญ่ใฝ่สูง เลยชอบแสดงความกร่างออกมา
    การค้นหาพื้นที่เกิดเหตุนั้นไม่ยากนัก เพราะมีทั้งรถของตำรวจท้องที่และผู้คนรวมตัวกันอยู่ วียางหัวหน้าหน่วยผู้มากประสบการณ์ส่งพลซุ่มยิงขึ้นไปประจำการบนตึกรอบบริเวณ จากนั้นก็หยิบกล้องส่องทางไกลอิเล็กทรอนิกส์มาส่องดูสถานการณ์จากที่ไกลๆ
    วิ้ง!
    แม้จะอยู่ห่างออกมากว่าสามร้อยเมตร แต่ก็ยังมองเห็นสถานการณ์
    “อะไรกัน ไอ้บ้านั่น”
    “โอ้! จริงเหรอนี่”
    เขาเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นจอมยุทธ์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะแต่งตัวเหมือนจอมยุทธ์ในละครย้อนยุคแบบนี้ ภาพของชายหนุ่มผมยาวแต่งชุดโบราณที่มองเห็นผ่านกล้องส่องทางไกลปรากฏขึ้นบนหน้าจอแท็บเลตที่โซพยองรองหัวหน้าหน่วยถืออยู่ข้างๆ
    “ลองเช็กข้อมูลส่วนตัวจากใบหน้าซิ”
    “รับทราบครับ”
    หลังจากโซพยองเคาะหน้าจอแท็บเลตอยู่สองสามครั้ง หน้าต่างค้นหาข้อมูลก็ถูกเปิด จากนั้นเขาก็ลากรูปใบหน้าของชายผู้นั้นใส่เข้าไป เมื่อโปรแกรมทำงานใบหน้าต่างๆ ก็ถูกดึงมาเทียบอย่างรวดเร็ว
    พึ่บ!
    ใบหน้าของชายคนนั้นถูกเทียบเคียงด้วยรูปใบหน้าอื่นๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนนับไม่ทัน และในที่สุดผลก็ออกมา โซพยองทำหน้ามุ่ยก่อนยื่นหน้าจอแท็บเลตให้วียางดู

    ‘ไม่พบข้อมูล’

    “ไม่พบข้อมูลเหรอ”
    ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย เขาค้นหาด้วยเครือข่ายข้อมูลของรัฐบาลกลางแล้ว แต่หน้าจอกลับไม่ปรากฏผลใดๆ ปกติอย่างน้อยควรมีข้อมูลอะไรสักอย่าง แต่นี่กลับหาไม่เจอเลย
    “อะไรกัน”
    ในกรณีแบบนี้สามารถคาดการณ์ต่อไปได้สองแบบ หนึ่งคืออีกฝ่ายอยู่ในสถานะไม่ลงทะเบียนตัวตน หรือปกปิดตัวตนด้วยการศัลยกรรมใบหน้าหรือใช้เทคนิคบางอย่าง
    “ฮึ ไม่รู้อะไรสักอย่าง”
    ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องจับกุมแล้วนำตัวมาตรวจลายนิ้วมือ ม่านตา และเลือด ถึงจะรู้ข้อมูลส่วนตัวของชายผู้นี้ และตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงจากหูฟังไร้สายที่เสียบอยู่ในหู
    [A1 พร้อมยิงจากหน้าต่างบันไดชั้นหกของศูนย์การค้าซังมยอง]
    [A2 พร้อมยิงจากดาดฟ้าชั้นสิบเจ็ดของตึกยอนวอน]
    [A3…]
    เจ้าหน้าที่ในหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วส่งเสียงรายงานความพร้อมตามลำดับ หากประจำตำแหน่งยิงครบก็ถือว่าหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วปิดล้อมพื้นที่ได้หมด วียางกดหูฟังแล้วพูดว่า
    “ตรงนี้มีประชาชนรวมตัวกันเยอะ ระวังให้ดี ใช้เลเซอร์เล็งรอ”
    [รับทราบ!]
    [รับทราบ!]
    วียางส่งสัญญาณมือให้หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วค่อยๆ เคลื่อนพล และตอนนั้นเอง
    [B4 รายงาน! หัวหน้าหน่วยคดีอาชญากรรมรุนแรงหน่วยที่สามถูกจับเป็นตัวประกันครับ!]
    เมื่อได้ยินรายงานทางหูฟัง วียางก็ชักสีหน้า
    “หัวหน้าหน่วยสามอีมยองไม่ใช่เหรอ ไอ้งี่เง่านั่นมาได้ยังไง!”
    ไม่มีเวลาให้ตกใจแล้ว หากมีการจับตัวประกันก็ต้องกดดันทุกวิถีทางไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปหรือทำอะไรเกินกว่าเหตุ การติดเลเซอร์ไว้กับปืนก็เพื่อประโยชน์ข้อนี้
    “พลซุ่มยิงทุกนายใช้เลเซอร์เล็งไปที่ผู้ต้องสงสัย”
    [รับทราบ!]
    ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง เลเซอร์สีแดงก็ส่องไปยังชายหนุ่มผมยาวชุดโบราณพร้อมกัน ระหว่างนั้นหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วก็ยกเลิกแผนแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้คนเพื่อปิดล้อมและลอบเข้าจับกุม
    วียางตะโกนเสียงดัง
    “อย่าขยับ! แกถูกล้อมแล้ว”
    “เฮ!”
    “เราคือหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาล!”
    เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วสิบกว่านายปรากฏตัวพร้อมอาวุธ ประชาชนก็ส่งเสียงร้องอย่างยินดี สำหรับพวกเขาแล้ว ชายชุดโบราณที่หักแขนตำรวจสันติบาลคนนี้ดูน่ากลัวมาก
    “หึ…ถ้าปล่อยมือออกจากคอฉัน ฉันจะรับรองความปลอดภัยให้แกเอง”
    อีมยองยื่นข้อเสนอแก่ชอนยออุนที่บีบคอเขาอยู่ อย่างไรเสียเกมก็จบลงแล้ว มีเลเซอร์เล็งมาตัวเองจนเต็มไปหมดแบบนี้จะสบายใจอยู่ได้อย่างไร
    “รีบปล่อยมือออกจากคอฉัน…”
    “ยังยิ้มออกอีกรึ”
    “อะไร”
    ฉึบ!
    “เฮ้ย!”
    ใบหน้าของอีมยองซีดเผือดทันที ทั้งที่ถูกล้อมไว้หมดแล้วและมีเลเซอร์สีแดงของพลซุ่มยิงปรากฏอยู่ทั่วตัว เขาจึงคิดว่าต่อให้เป็นจอมยุทธ์ก็คงยอมแพ้ แต่ชายผู้นี้กลับยกดาบคมวับมาจ่อคอเขาอย่างไม่สนใจ
    “จะ…จะทำอะไรน่ะ…อยากตายจริงๆ เหรอ”
    อีมยองตระหนกจนพูดตะกุกตะกัก ถึงอย่างนั้นชอนยออุนกลับมองไปรอบๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สา
    อา…ไม่กลัวตายหรือไงนะ
    วียางเองก็คาดไม่ถึง แม้จะมีปืนหลายกระบอกเล็งอยู่แบบที่ปลิดชีพได้ในทันที แต่ชายผู้นั้นกลับยังยกดาบขึ้นมาขู่
    คิดว่าตัวเองแน่นักเหรอ
    หรือคนร้ายบางคนก็แสร้งทำเป็นใจกล้าไม่กลัวการข่มขู่ วียางผ่านประสบการณ์แบบนี้มาเยอะ
    จับตำรวจสันติบาลเป็นตัวประกัน หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
    ชื่อเสียงของตำรวจสันติบาลถือว่าไม่ด้อยไปกว่าตำรวจหน่วยอื่นในสหภาพเอเชียเลย ยิ่งถ้าจับตำรวจสันติบาลเป็นตัวประกันด้วยแล้ว สามารถถูกยิงตายได้เลย
    จัดการแขนกับขาก่อนแล้วกัน
    วียางยกมือส่งสัญญาณ จากนั้นหูฟังไร้สายของเขาก็มีเสียงพลซุ่มยิงนายหนึ่งดังขึ้น
    [จุดยิง A3 รับทราบ!]
    พลซุ่มยิงของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วเล็งเลเซอร์ไปยังข้อมือของชอนยออุนที่บีบคออีมยองอยู่ ทันทีที่ยิงออกไปข้อมือของชอนยออุนก็จะขาดสะบั้น
    หาเรื่องเองนะ
    สิ้นคำสั่งของหัวหน้า พลซุ่มยิงก็เหนี่ยวไกโดยไม่ลังเล
    ปัง!
    ข้อมือของชอนยออุนที่มองเห็นผ่านกล้องส่องทางไกลยังคงสะอาดหมดจด…
    เสียงร้องดังขึ้นพร้อมเสียงกระสุนปืนทะลวงร่าง
    “โอ๊ย!”
    ดวงตาของพลซุ่มยิงที่เหนี่ยวไกเมื่อครู่เบิกกว้าง เขาคือหนึ่งในสามสุดยอดพลซุ่มยิงของหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วแห่งสำนักงานตำรวจสันติบาลเมืองเสิ่นหยางจึงได้รับหน้าที่ให้เล็งไปยังข้อมือซึ่งเป็นจุดที่ยิงยากที่สุด โดยคาดหวังว่าจะไม่ผิดพลาด
    “อะไรกัน…”
    ข้อมือของชอนยออุนยังคงปกติ แต่ผู้ที่ส่งเสียงร้องคืออีมยอง เพราะตอนกระสุนพุ่งมาชอนยออุนขยับมือที่กำลังบีบคออีมยองเข้ามาใกล้ตัว กระสุนจึงเจาะเข้าที่ไหล่ซ้ายของอีมยองแทน
    ไอ้โง่! มาพลาดตอนนี้ได้ยังไง
    วียางคิดว่าเป็นความผิดของพลซุ่มยิงที่พลาดเป้า ซึ่งนั่นอาจทำให้ชายชุดโบราณระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่การตอบสนองของชายผู้นั้นกลับดูแปลกๆ
    อะไรกัน ทำไมถึงได้สงบขนาดนี้
    ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรือเป็นใคร ถ้าถูกข่มขู่ถึงชีวิตก็ต้องแสดงอาการออกมาบ้าง แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ประชาชนกำลังจับตามองอยู่ ยิ่งแก้ไขสถานการณ์ช้าสถานะของตำรวจก็จะยิ่งย่ำแย่
    ฟึ่บ!
    วียางเปลี่ยนสัญญาณมือ ในเมื่อการยิงข้อมือนั้นเสี่ยงเกินไป ดังนั้นการยิงขาของจอมยุทธ์เถื่อนก็น่าจะดีกว่า
    [รับทราบ!]
    เมื่อได้รับคำสั่ง พลซุ่มยิงที่เล็งไปยังน่องด้านหลังก็เหนี่ยวไก
    ปัง!
    จุดนี้มีพื้นที่ใหญ่กว่าข้อมือและมีโอกาสน้อยที่ตัวประกันจะบาดเจ็บ
    ขวับ!
    “โอ๊ย!”
    เสียงร้องดังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงร้องของอีมยองเช่นเดิม
    ปะ…เป็นไปไม่ได้
    วียางงุนงงอย่างหนักจนพูดไม่ออก พอลูกกระสุนถูกยิงออกไป ชอนยออุนดึงตัวอีมยองมาบังกระสุนด้วยท่าทางเหมือนกำลังกวัดแกว่งกระบองสองท่อนจึงทำให้ต้นขาของอีมยองถูกกระสุนเจาะจนเจ็บเจียนตาย
    รู้วิถีการยิงด้วยเหรอ
    ไม่น่าเป็นไปได้ แต่จะว่าบังเอิญก็ไม่น่าใช่ เพราะอีกฝ่ายใช้อีมยองเป็นโล่ป้องกันได้ถูกจุด
    กรอด!
    วียางกัดฟันแน่น แม้ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายจะไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา
    หรือจะเป็นยอดฝีมือ
    ถ้าเป็นอย่างนั้นแม้จะรู้สึกเสียใจต่ออีมยอง แต่วียางก็ไม่อาจปล่อยชายคนนั้นไปเพียงเพื่อความปลอดภัยของอีมยอง ขณะวียางลังเล อีมยองที่กำลังเจ็บปวดก็ตะโกนเสียงดัง
    “อ๊าก! หัวหน้าหน่วย! ไม่ต้องสนใจความปลอดภัยของผม…”
    หมับ!
    “แค่กๆ!”
    แม้คอจะถูกบีบแรงขึ้นจนพูดต่อไม่ได้ แต่ก็มองเห็นถึงความพร้อมเสียสละของอีมยองได้อย่างชัดเจน
    แม้จะอันตรายไปเสียหน่อย แต่…
    การโจมตีพร้อมกันน่าจะเป็นคำตอบ แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้วิถีกระสุนได้อย่างไร แต่หากกระสุนยิงมาจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกันก็ยากจะเอาอีมยองเป็นโล่กำบัง
    อีมยอง แม้แกจะงี่เง่า แต่ก็เป็นตำรวจสันติบาลที่น่าภาคภูมิใจ
    วียางพยักหน้าพร้อมมองด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือให้พลซุ่มยิงโจมตีจอมยุทธ์เถื่อนพร้อมกัน
    แต่ทันใดนั้นเอง
    พึ่บ!
    “เฮ้ย!”
    ฟิ้ว!
    ร่างของวียางที่กำลังจะส่งสัญญาณมือก็ถูกแรงปริศนาดึงลอยขึ้นอย่างไม่อาจขัดขืนแล้วลากออกไปราวกับโดนแม่เหล็กดูด ชายในเงามืดที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ตรงหน้าต่างของตึกฝั่งตรงข้ามถึงกับอุทานอย่างตกใจ
    “พลังจิตเคลื่อนย้าย!”
    พลังจิตเคลื่อนย้ายคือการเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยพลังจิตระดับสูง มีเพียงเหล่ายอดฝีมือระดับเลิศล้ำขึ้นไปเท่านั้นถึงจะทำได้ หากถึงขนาดดึงคนเข้าไปหาได้แบบนี้ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพขั้นต้น
    ยอดฝีมือผู้เก่งกาจ
    แววตาของชายหนุ่มทอประกายแห่งความละโมบ

    อีกด้านหนึ่ง วียางที่ถูกลากตัวเข้าไปด้วยวิชาพลังจิตเคลื่อนย้าย สุดท้ายก็ถูกชอนยออุนใช้อีกมือหนึ่งบีบคอเอาไว้เหมือนอีมยอง
    “แค่ก!”
    ตอนนี้ดูเหมือนชอนยออุนจะมีโล่กำบังถึงสองอันแล้ว เขาพูดกับวียางด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
    “เจ้าเป็นหัวหน้าสินะ”
    ดูจากการส่งสัญญาณมืออยู่หลายรอบจะไม่ใช่หัวหน้าได้อย่างไร และทันทีที่หัวหน้าถูกจับตัว หน่วยจู่โจมเคลื่อนที่เร็วก็ทำตัวไม่ถูกอย่างชัดเจน
    “แค่กๆ”
    “เอาล่ะ ส่งสัญญาณให้เจ้าพวกที่รออยู่ในที่ไกลยิงมาได้เลย”
    !?
    คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าของวียางถึงกับซีดเผือด ในเมื่อเขาถูกจับเป็นตัวประกันเสียเองแบบนี้แล้วจะให้สั่งให้ยิงได้อย่างไร
    อึก! แก!
    พอวียางเงียบ ชอนยออุนก็ยิ้มมุมปากแล้วถามอีมยองที่ยังถูกบีบคออยู่เช่นเดิม
    “สถานการณ์จะพลิกกลับเมื่อไรรึ”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook