• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน นาโนมาชิน 1 ครั้งที่ 6

    บทที่ 5

    เด็กน้อย ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ (2)

     

    รู้จากเสียงลมหายใจงั้นรึ

    ขณะชอนยออุนกำลังรู้สึกทึ่งเสียงของนาโนก็ดังขึ้นในหัวเขา

    [จำนวนลมหายใจโดยเฉลี่ยของผู้ชายอายุสิบห้าถึงยี่สิบปีคือประมาณสิบหกครั้งต่อหนึ่งนาที จำนวนลมหายใจของนายท่านเมื่อครู่นี้อยู่ที่แปดครั้งต่อนาทีซึ่งเป็นการทำเพื่อปกปิดความรู้สึกตื่นเต้นอย่างสุดขีด]

    ไม่ต้องอธิบายมากมายก็ได้นะ

    เพราะนาโนเป็นเครื่องจักรกลที่อยู่ในร่างกายของตนจึงทำเช่นนั้นได้ แต่ชอนยออุนไม่เคยรู้เลยว่ายอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์เหลือล้นจะมีประสาทสัมผัสที่ดีถึงขั้นนี้

    พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของชอนยออุน ซอบแมงก็หัวเราะจนเห็นฟันเหลืองอีกคราว

    “ฮ่าๆๆ ข้าคิดว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ สนใจแต่เปลือกนอกที่ดูดีก็เลยไม่มีใครถูกใจข้าสักคน แต่เจ้านี่ไม่เลวนะ”

    อ๊ะ

    ตอนแรกชอนยออุนคิดว่าตนถูกจับได้ว่าแสดงละครตบตาในลานฝึกแต่เขาคิดผิดไป แค่เห็นสีหน้าของซอบแมงที่กำลังจ้องมองมาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

    “เด็กสมัยนี้ไม่มีความอดทนอดกลั้น แค่ลำบากนิดหนึ่งก็ล้มเลิกแล้วหันไปเลือกแต่เส้นทางง่ายๆ”

    แปลบๆ!

    พอได้ฟังคำพูดยืดยาวของซอบแมง ชอนยออุนก็รู้สึกเหมือนถูกแทงใจดำโดยไม่รู้ตัว เพราะให้พูดตามตรงเขาก็ไม่ได้อดทนอดกลั้นได้เพราะพลังใจอันกล้าแกร่ง แต่เป็นเพราะความสามารถของนาโนแมชชีนที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ เขาจึงไม่ได้ยินอะไรเลย มันไม่ใช่ความอดทนเลยสักนิด

    “แต่เจ้ามีพลังใจอันกล้าแกร่งซึ่งต่างจากเด็กสมัยนี้”

    ยิ่งซอบแมงเอ่ยชมชอนยออุนก็ยิ่งอึดอัดเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ตอนแรกเขาตั้งใจจะหลอกหมอแพ็กจงมยองก่อนแล้วค่อยให้นาโนดำเนินการรักษาที่ทำค้างเอาไว้ แต่เขากลับต้องมาฟังคำพูดยืดยาวทั้งที่ตัวเองกำลังช้ำในอย่างรุนแรง

    พอเห็นว่าใบหน้าของชอนยออุนค่อยๆ เขียวคล้ำ หมอแพ็กจงมยองก็พูดขึ้นมาอย่างตกใจ

    “ท่านองครักษ์เบื้องขวาขอรับ คนไข้ยังอาการไม่ดีควรรีบรักษาโดยด่วนนะขอรับ”

    “ก็ได้”

    ซอบแมงพูดตัดรำคาญด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก จากนั้นเขาที่ละอายต่อการกระทำของตัวเองก็คลายกำลังภายใน ทำให้ชอนยออุนที่กำลังนั่งตัวแข็งทื่อนอนลงบนเตียงได้อีกครั้ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงทรงพลัง

    “ขอพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมนะ เด็กน้อย ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์”

    ข้อเสนอที่จะรับศิษย์อย่างกะทันหันของซอบแมงทำให้ดวงตาของชอนยออุนเบิกโพลง แพ็กจงมยองที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตกใจเช่นกัน เพราะองครักษ์เบื้องขวาฉายาดาบคลั่งซอบแมงคือบุคคลทรงอำนาจหนึ่งในสิบอันดับแรกของพรรคมาร ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงของเขายังขจรขจายไปทั่วยุทธภพอีกด้วย

    “หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”

    สำหรับชอนยออุนผู้ถูกปฏิเสธจากทุกคนมาโดยตลอดย่อมต้องสงสัยว่าซอบแมงจะเล่นลูกไม้อะไร แต่แววตาของซอบแมงที่กำลังมองมาที่ตนนั้นดูจริงจังมากแม้จะคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราและกลิ่นปากที่รุนแรงก็ตาม

    “หมายความว่าอย่างไรน่ะรึ ก็หมายความว่าข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างไรล่ะ”

    “ท่านองครักษ์เบื้องขวา…ท่านไม่รู้หรือขอรับว่าข้าเป็นใคร”

    ในพรรคมารอาจมีบางคนที่ไม่เคยเห็นใบหน้าของชอนยออุน แต่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาอย่างแน่นอน เพราะเขาคือบุตรนอกสมรสลำดับที่เจ็ด ผู้ที่พรรคทั้งหกเกลียดชังและอยากจะกำจัดให้พ้นทาง

    “มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเจ้า”

    “หากท่านรับข้าเป็นศิษย์ คนของพรรคทั้งหกอาจจะไม่พอใจนะขอรับ”

    แม้ชอนยออุนจะพูดถึงความเป็นจริงอย่างใจเย็น แต่ซอบแมงกลับทำหน้าไม่แยแส ในทางตรงข้ามเขายังพูดราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่

    “หึๆ น่าขันดีนะ จะเป็นอย่างไรถ้าองครักษ์บอกว่าจะรับพวกกระจอกมาเป็นศิษย์ ต่อให้มีหรือไม่มีเจ้า พวกมันก็ต้องแย่งกันกราบข้าเป็นอาจารย์อย่างดุเดือดอยู่แล้ว”

    องครักษ์เบื้องขวาซอบแมงเป็นคนที่พูดและทำตามใจตนเอง ซึ่งต่างกับองครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองโดยสิ้นเชิง คนเดียวที่เขาเกรงกลัวและยอมก้มหัวให้ก็คือท่านประมุข

    ส่วนชอนยออุนที่ได้ฟังคำพูดที่อยากได้ยินเป็นครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใจ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังเอาไว้แต่เขาก็หวั่นไหวไปกับข้อเสนอขององครักษ์เบื้องขวาซอบแมงที่ถูกอกถูกใจตน

    แต่ถ้ามันเป็นกับดักล่ะ

    ตลอดชีวิตของเขาต้องเผชิญกับการถูกลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วน เขาจึงต้องระวังตัวเป็นธรรมดา ซึ่งใบหน้าของแพ็กจงมยองที่มองดูอยู่ข้างๆ ก็เต็มไปด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง

    เด็กหนุ่มคนนี้คือคุณชายที่เขาลือกันสินะ

    เขามองชอนยออุนที่เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนามแล้ววิเคราะห์อาการช้ำใน

    การเปิดสำนักมารในครั้งนี้คือการเริ่มศึกชิงตำแหน่งรองประมุข อาการบาดเจ็บนี้มันต้องเกิดจากแผนที่วางเอาไว้แน่ๆ แต่ทำเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย

    ก่อนจะจับชีพจร ไม่ว่าจะครุ่นคิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเลือดถึงชุ่มโชกบนเสื้อเช่นนี้ แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าหากเป็นแผนบางอย่างของพรรคทั้งหกก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งการเข้าใจผิดของแพ็กจงมยองเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นโชคดีสำหรับชอนยออุน

    “จู่ๆ ท่านก็ยื่นข้อเสนอมาเช่นนั้น ข้าก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นพอเข้าสำนักแล้ว ท่านก็เปรียบเสมือนอาจารย์ของข้าขอรับ”

    “เฮ้ ข้าเหมือนมาขอร้องอ้อนวอนให้เจ้าเป็นศิษย์อย่างนั้นรึ”

    ป๊อก!

    เอื๊อกๆ!

    ท่าทีลังเลของชอนยออุนทำให้ซอบแมงชักหงุดหงิด จึงเปิดฝาน้ำเต้าสุราแล้วกระดกดื่ม

    ขี้ระแวงเหลือเกินนะ

    เขาไม่เคยรับใครเป็นศิษย์จนกระทั่งวันนี้ เพราะถูกใจความมุ่งมั่นของชอนยออุนที่อดทนต่อเสียงพิณพิฆาตได้ด้วยพลังใจอันกล้าแกร่งทั้งที่ไม่มีกำลังภายใน จึงตัดสินใจรับชอนยออุนมาเป็นศิษย์คนแรก แต่ท่าทีลังเลของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาถึงกับหัวเสีย

    “ได้ ถ้าระแวงมากนักข้าจะมอบข้อเสนอที่เจ้าจะลืมไม่ลง”

    ซอบแมงหยิบบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ สิ่งนั้นคือกระดาษสีเหลืองยับยู่ยี่ เขาวางมันลงบนหัวเตียงของชอนยออุน แต่อาการช้ำในทำให้ชอนยออุนขยับตัวไม่ได้จึงไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    “หึๆ สงสัยใช่หรือไม่ เจ้าเด็กน้อย”

    “มันคืออะไรหรือขอรับ”

    “มันคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับเจ้าในการเอาชีวิตรอดจากที่นี่”

    “ขอรับ?”

    “เจ้าบาดเจ็บภายในตั้งแต่วันแรกที่เข้าสำนักมาร ดังนั้นก็เลิกฝันที่จะเอาชนะคนอื่นๆ ไปได้เลย”

    ถึงแม้องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองจะทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักมารในครั้งนี้ แต่ในฐานะที่เป็นชาวพรรคมารคนหนึ่ง เขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาของการเป็นเด็กใหม่ในสำนักเหมือนกัน ถึงแม้แต่ละครั้งจะมีวิธีการที่แตกต่าง แต่รูปแบบพื้นฐานก็ยังคงคล้ายคลึงกัน

    “แม้เจ้าจะผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งมาได้เพราะความอดทนและพลังใจอันกล้าแกร่ง แต่เจ้าผู้ไม่มีกำลังภายในจะผ่านการทดสอบขั้นสองได้รึ”

    “เอ่อ…คือ…”

    “หึๆ แค่เริ่มต้นเจ้าก็ต่างจากคนอื่นๆ แล้ว เจ้าคิดจะขลุกอยู่ในห้องรักษาตลอดช่วงพักฟื้นเลยรึ อย่างน้อยถ้าอยากพัฒนาให้ตัวเองเป็นนักรบก็ต้องปีนขึ้นไปให้เหนือกว่าคนอื่นๆ สิ อยากให้คนอื่นนำหน้าไประหว่างอยู่ที่นี่งั้นรึ”

    ซอบแมงเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันของชอนยออุนเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ซอบแมงพูดก็เป็นความจริงทั้งหมดจนไม่อาจปฏิเสธ

    ความจริงแล้วชอนยออุนรักษาตัวเองอย่างรวดเร็วได้ด้วยนาโน แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในห้องรักษาไปอีกกี่วันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พรรคทั้งหกนั้นสงสัย

    “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดไอ้หัวแดงถึงส่งเจ้ามาที่นี่”

    “หัวแดง? องครักษ์เบื้องซ้ายน่ะหรือขอรับ”

    “ใช่แล้ว ไอ้เจ้านั่น!”

    “ไม่ใช่เพราะข้าช้ำในหรอกหรือขอรับ”

    ชอนยออุนถามพร้อมทำหน้างงงวย

    “แน่นอนว่าถ้าบาดเจ็บก็ต้องถูกส่งตัวมาที่ห้องรักษา แต่มันไม่แปลกรึ นอกจากเจ้าแล้วเด็กคนอื่นๆ ก็บาดเจ็บเหมือนกัน แต่เหตุใดเด็กพวกนั้นถึงไม่ถูกส่งตัวมาที่นี่”

    อ๊ะ! จริงด้วย

    ในการทดสอบขั้นที่หนึ่งอันสุดโหดนั้น นอกจากชอนยออุนแล้วเด็กใหม่เกือบครึ่งก็ล้มลงไปนอนกับพื้น ซึ่งส่วนใหญ่ต่างบาดเจ็บภายในกันหมด แต่กลับไม่มีใครถูกหามมาห้องรักษายกเว้นเขา

    “หากเป็นคนที่เคยฝึกวรยุทธ์ก็จะรักษาอาการช้ำในผ่านการกำหนดลมปราณได้ แต่หากได้รับยาหรือได้รับการรักษาจากหมอก็จะหายเร็วขึ้นไปอีก”

    “ท่านหมายถึงอะไรหรือขอรับ”

    “อย่างน้อยคนอื่นๆ ก็กำหนดลมปราณได้ จึงไม่ถูกส่งมายังห้องรักษาเพียงเพราะแค่ช้ำในอย่างไรล่ะ”

    “อ๋อ!”

    ชอนยออุนเพิ่งเข้าใจคำพูดของซอบแมง นี่เป็นเพราะองครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองตรวจสอบแล้วพบว่าเขาไม่มีกำลังภายในและกำหนดลมปราณเองไม่ได้ จึงตัดสินใจส่งตัวมายังห้องรักษา

    หึๆ ได้เวลาจบเรื่องแล้ว

    เมื่อเห็นว่าพูดหว่านล้อมจนเกือบได้ที่แล้ว ซอบแมงก็เตรียมปล่อยหมัดเด็ด

    “แต่คนที่กำหนดลมปราณไม่เป็นก็พอจะมีวิธีรักษาอาการช้ำในได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนะ”

    เป็นไปได้หรือ

    แน่นอนว่าชอนยออุนมีนาโนแมชชีน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบไหน แค่วันเดียวก็รักษาหายแล้ว แต่เรื่องนี้ถือเป็นความลับสุดยอดที่บอกให้ใครรู้ไม่ได้

    ท่านองครักษ์เบื้องขวาพูดถูก ถ้าจะเข้าสู่การทดสอบขั้นต่อไป กำลังภายในก็…อ๊ะ

    จู่ๆ เรื่องที่ไม่เคยนึกถึงก็ลอยเข้ามาในหัว

    “ข้าลืมไปเลย เมื่อครู่ตอนอยู่ในพิธีข้าได้ยินว่าคนที่ผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งจะได้รับโอสถมังกรมาร และใช้งานชั้นหนึ่งของหอตำราเคล็ดวิชาในสำนักมารได้นะขอรับ”

    แม้ชั้นหนึ่งของหอตำราเคล็ดวิชาภายในสำนักมารซึ่งเรียกได้ว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งพรรคมารจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่ก็มีตำราวรยุทธ์และหลักกำลังภายในมากมายอยู่ที่นั่น

    “ฮ่าๆๆๆๆ!”

    คำพูดของชอนยออุนทำให้ซอบแมงหัวเราะตัวโยน ชอนยออุนผู้ไม่เข้าใจเหตุผลจึงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

    “เฮ้อ ขนาดข้าที่เป็นองครักษ์ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเลย ไอ้หัวแดงมันอธิบายง่ายๆ แบบรวบรัดเลยไม่ได้บอกเรื่องสำคัญไป”

    “ลืมบอกเรื่องอะไรหรือขอรับ”

    “หอตำราเคล็ดวิชาของสำนักมารนั่นใช่ว่าจะเข้าออกเมื่อไรก็ได้ แต่ละครั้งที่ผ่านการทดสอบก็จะใช้งานหอตำราได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น”

    “จริงหรือขอรับ”

    ซึ่งมันเป็นคำพูดที่ห่างไกลจากคำว่าเปิดให้ใช้งานอย่างยิ่ง

    “หึๆ สำนักมารเต็มไปด้วยเคล็ดวิชาและตำราลับมากมาย เจ้าคิดว่าจะเข้าออกหอตำราที่เปรียบดั่งขุมสมบัติได้ตามใจชอบงั้นรึ”

    ในพรรคมารยังต้องระวังสายลับจากสองขั้วอำนาจอย่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมแฝงตัวเข้ามาอีกด้วย ดังนั้นการปกป้องหอตำราที่เป็นดั่งขุมสมบัติจึงเข้มงวดยิ่งกว่าเรือนท่านประมุขเสียอีก

    ซอบแมงพูดต่อราวกับชอบอกชอบใจกับท่าทางตกใจของชอนยออุน

    “และเวลาที่จะได้อยู่ในชั้นหนึ่งของหอตำราเคล็ดวิชาก็มีแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น ยิ่งขึ้นไปบนชั้นสูงๆ ระดับของเคล็ดวิชาก็ยิ่งสูงขึ้น ดังนั้นเวลาจึงเพิ่มขึ้น แต่ถึงกระนั้นเวลาก็ยังกระชั้นชิดอยู่ดี”

    “มีการจำกัดเวลาด้วยหรือขอรับ อา…ข้ามภูเขาไปก็ยังเจอภูเขาอีกลูก*”

    “ยิ่งไปกว่านั้นภายในยังไม่อนุญาตให้คัดลอกไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ต้องจดจำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หึๆ แค่ตำราเคล็ดวิชาหนึ่งถึงสองเล่มก็ต้องจำมากมายแล้ว ยังต้องเสียเวลาหาตำราวรยุทธ์ที่ตัวเองต้องการอีก”

    สิ่งที่อีฮวามยองพูดตกหล่นไปคือข้อมูลที่สำคัญที่สุดเหมือนที่ซอบแมงบอก หากไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ได้รู้ตอนเข้าไปในหอตำราเคล็ดวิชาแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องสับสนและตื่นตระหนกจนเลือกตำราไม่ถูกอย่างแน่นอน

    แต่เดี๋ยวก่อน ข้ามีนาโนนี่นา

    ชอนยออุนที่เคยคิดจะถอดใจพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตนมีความสามารถของนาโนแมชชีนอยู่ นาโนสามารถสแกนตำราได้อย่างรวดเร็วถึงขั้นเพียงพลิกหน้าตำราผ่านๆ ก็บันทึกข้อมูลได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นมันยังโอนถ่ายข้อมูลไปยังสมองได้โดยตรงโดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรือจดจำข้อมูลเลย

    นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าได้เปรียบ!

    ในเวลาหนึ่งชั่วยามไม่เพียงหนึ่งเล่มหรือสองเล่ม แต่นาโนอาจสแกนได้เป็นสิบเป็นร้อยเล่ม ข้อมูลต่างๆ ที่ซอบแมงตั้งใจพูดให้ชอนยออุนหมดหวังกลับทำให้ชอนยออุนรู้สึกสนุก ซึ่งซอบแมงผู้ไม่รู้ถึงความจริงเรื่องนี้ก็คิดว่าบรรยากาศในตอนนี้กำลังสุกงอมขึ้นเรื่อยๆ

    “เด็กน้อยอย่างเจ้าผู้ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่เรื่องกำลังภายในจะเอาชีวิตรอดเพียงลำพังในสำนักมารสุดแสนอันตรายแห่งนี้ตลอดระยะเวลาสี่ปีได้อย่างไร”

    อย่างน้อยคนที่เข้ามาอยู่ในสำนักมารก็ต้องผ่านการฝึกวรยุทธ์พื้นฐานในพรรคของตน ซอบแมงตั้งใจจะบอกให้ชอนยออุนผู้มีต้นทุนต่ำกว่าคนอื่นจับมือของตนเอาไว้เพื่อการอยู่รอด

    ชอนยออุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปาก

    “กระดาษบนหัวเตียงคือ…หลักกำลังภายในหรือขอรับ”

    ข้าแค่โยนเหยื่อล่อและสุดท้ายปลาอย่างเจ้าก็มากินเหยื่อ! หึๆ

    ซอบแมงดีใจที่ในที่สุดชอนยออุนก็ติดกับ แต่เขาเพียงรู้สึกอยู่ในใจไม่ได้แสดงออกมา

    “หึๆ เจ้าไม่ใช่คนโง่สินะ ใช่แล้ว นั่นคือหลักกำลังภายในของข้า”

    “แล้วข้าต้องทำอย่างไรกับมันหรือขอรับ”

    “หากเจ้ามาเป็นศิษย์ของข้า ข้าก็จะสอนหลักกำลังภายในให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย”

    แววตาของชอนยออุนกำลังสั่นไหว มันคือหลักกำลังภายในที่เขาปรารถนามาตลอด แต่ไม่ได้ฝึกฝนเพราะคำสาบานที่ให้ไว้กับพรรคทั้งหก เมื่อเห็นแววตาของชอนยออุนเปี่ยมไปด้วยความโลภเป็นครั้งแรก ซอบแมงก็ยิ้มจนเห็นฟันเหลืองเพราะคิดว่าการจู่โจมของตัวเองได้ผล

    คนคนนี้อยากรับข้าเป็นศิษย์จริงรึ

    ภายนอกซอบแมงดูเหมือนคนขี้เมา แต่ตำแหน่งของเขาเป็นถึงองครักษ์เบื้องขวา ตอนแรกชอนยออุนเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย แต่พอฟังอีกฝ่ายพูดไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกถูกใจและคิดว่าซอบแมงน่าจะช่วยเหลือตนได้

    ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้คนคนนี้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า

    ชอนยออุนยังจำคำพูดขององครักษ์จางได้อย่างแม่นยำ คำพูดที่บอกว่าในยามที่ทุกคนเป็นศัตรูกับเรา ขอเพียงมีหนึ่งคนที่เป็นฝ่ายเดียวกับเราเท่านี้ก็ช่วยเยียวยาหัวใจได้มากมายแล้ว แม้ใบหน้าจะยังซีดและไม่มีแรงจะขยับตัวเพราะอาการช้ำใน แต่ชอนยออุนก็พยายามลุกจากเตียงลงไปที่พื้น

    “โอ้”

    ชอนยออุนคุกเข่าคำนับแล้วพูดกับซอบแมงที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

    “ข้าขอยกให้ท่านองครักษ์เบื้องขวาเป็นอาจารย์ของข้าขอรับ ได้โปรดรับการคำนับจากข้าด้วยเถิด!”

    เมื่อได้เห็นชอนยออุนคุกเข่าคำนับด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ความพึงพอใจก็ฉายอยู่บนใบหน้าของซอบแมง มารยาทระหว่างศิษย์กับอาจารย์ก็คือการคุกเข่าแล้วโค้งคำนับจนศีรษะจรดพื้น ชอนยออุนอยากจะคำนับต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างของเขาถูกกำลังภายในอันกล้าแกร่งบังคับให้ลุกขึ้น

    “หยุด คนที่มีสายเลือดของตระกูลชอนจะไม่คุกเข่าโค้งคำนับจนศีรษะจรดพื้นให้ใครยกเว้นท่านประมุข”

    นั่นคือกฎของพรรคมาร แม้ซอบแมงจะคิดว่าชอนยออุนยังเป็นเด็กและตั้งใจรับเป็นศิษย์ แต่เขาผู้เป็นคนของพรรคมารก็ไม่เคยคิดจะฝืนกฎเลยแม้แต่น้อย

    “หึๆ เจ้าลูกศิษย์”

    ซอบแมงรู้สึกขัดเขินอยู่บ้างเมื่อเอ่ยคำว่าลูกศิษย์จากปากตนเอง เขาใช้กำลังภายในพาร่างของชอนยออุนขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วพูดว่า

    “วันนี้เจ้าคงต้องพักก่อน ระหว่างนี้ก็ท่องจำสาระสำคัญของหลักกำลังภายในจนกว่าข้า…ไม่สิ จนกว่าอาจารย์คนนี้จะมาหาอีกครั้ง”

    พอพูดจบองครักษ์เบื้องขวาซอบแมงก็ออกไปจากห้องรักษาพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ ชอนยออุนรู้สึกเหมือนมีพายุลูกใหญ่พัดผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป แต่อย่างไรก็ตามเขาได้ชายผู้แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของพรรคมารมาเป็นอาจารย์อย่างไม่คาดคิด เพราะเคยมีแต่ศัตรูเขาจึงคิดว่านี่เป็นโชคชะตาที่แปลกประหลาดมาก

     

    อีกด้านหนึ่ง บริเวณลานฝึกใหญ่ที่ใช้จัดพิธีเข้าสำนักมารก็กำลังทำการแบ่งกลุ่มศิษย์มาได้สักพักแล้ว และเมื่อเสร็จสิ้นการแบ่งกลุ่มอันแสนยาวนาน ชอนมูกึมแห่งพรรคมารปีศาจผู้อยู่ลำดับสามของลำดับการสืบทอดก็แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

    ข้าอยู่กลุ่มเดียวกับไอ้ชั้นต่ำนั่น หึๆๆ

     

    บทที่ 6

    หลักสูตรเร่งรัดพิเศษเป็นเช่นนี้เอง (1)

     

    ตอนที่ชอนยออุนบาดเจ็บภายในจนถูกหามไปยังห้องรักษาของสำนักมาร พิธีเข้าสำนักมารเองก็ต้องหยุดลงชั่วคราว เนื่องจากเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักหลายคนต้องพักเพื่อกำหนดลมปราณรักษา เสียงพิณพิฆาตของผู้อาวุโสห้าฮังโซยูมีอานุภาพรุนแรงถึงขั้นทำให้เด็กนับพันส่วนใหญ่ที่อยู่ในลานฝึกบาดเจ็บภายใน

    อืม

    ก่อนหน้านั้นความสนใจทั้งหมดพุ่งตรงไปหาชอนยออุนที่เลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ แต่ตอนนี้ความสนใจขององครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองกำลังมุ่งไปยังเด็กคนอื่นๆ ชอนมูยอนแห่งพรรคมารทมิฬซึ่งเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขลำดับหนึ่งกับชอนยูชันแห่งพรรคมารดาบซึ่งอยู่ลำดับห้า ทั้งสองทนต่อเสียงพิณพิฆาตได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

    เด็กพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย

    การไม่สะทกสะท้านต่อเสียงพิณพิฆาตที่ผู้อาวุโสห้าฮังโซยูปล่อยพลังออกมาเกินห้าส่วน อย่างน้อยจะต้องฝึกกำลังภายในมากกว่าสามสิบปี

    อืม…เจ้าพวกนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเด็กใหม่แล้ว

    แค่เริ่มต้นก็อยู่ในระดับยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง ข่าวลือที่ว่าศึกชิงตำแหน่งรองประมุขครั้งนี้อาจเป็นการช่วงชิงระหว่างสองพรรคอย่างพรรคมารทมิฬกับพรรคมารดาบคงจะไม่ใช่แค่ข่าวลือ แน่นอนว่าอีกสี่คนก็เก่งเหมือนกัน แต่สองคนนั้นมีฝีมือเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

    เหนือความคาดหมายจริงๆ

    ไม่ได้มีแต่ผู้สืบทอดจากพรรคทั้งหกเท่านั้นที่ทนต่อเสียงพิณพิฆาตได้โดยไม่บาดเจ็บภายใน แต่ในบรรดาพรรคระดับสูงก็ยังมีผู้ที่เอาชนะเสียงพิณพิฆาตได้ถึงแปดคน

    ตอนแรกคิดว่าจะน่าเบื่อ แต่ตอนนี้ชักเริ่มน่าสนุกขึ้นมาแล้ว หึๆ

    เขาสังหรณ์ว่าหากเป็นไปได้ด้วยดีก็จะบ่มเพาะศิษย์ฝีมือดีได้มากมายจากบรรดาเด็กรุ่นนี้ แต่แน่นอนว่าเวลาต้องผ่านไปสี่ปีเสียก่อนผลลัพธ์ถึงจะปรากฏ ดังคำกล่าวที่ว่าต้องเปิดฝาขวดเสียก่อนถึงจะรู้ เพราะคนที่จบออกไปจากสำนักมารโดยอยู่แถวหน้าตั้งแต่ต้นและครองระดับสูงๆ จนจบนั้นมีเพียงไม่กี่คน

    คนที่ผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งมีทั้งหมดสี่ร้อยสิบห้าคน หากเทียบกับเด็กใหม่ที่ผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน ครั้งนี้มีน้อยกว่าประมาณสองร้อยคน เพราะการทดสอบครั้งนี้โหดกว่าครั้งก่อนเนื่องจากมีชอนยออุน

    ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสังเกตเห็น แต่พวกเด็กหนุ่มที่หันหลังมองไปพร้อมกับชอนมูกึมนั้นก็อดที่จะโกรธไม่ได้เมื่อได้รู้ความจริงว่าทุกอย่างเกิดจากชอนยออุน

    ดูเหมือนว่าชอนยออุนได้พันธมิตรเพิ่มมาหนึ่ง แต่ได้ศัตรูเพิ่มอีกเป็นสิบ แต่แน่นอนว่าพันธมิตรหนึ่งคนที่มีนั้นมีพลังอำนาจล้นเหลือโดยที่สิบคนที่อยู่ตรงนี้ไม่อาจเทียบได้

    แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่คนที่ทนต่อเสียงพิณพิฆาตไม่ได้จนหมดสติไปก็ถือว่าสอบตกและถูกคัดออกไปโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว

    “เปล่านะ! ข้าไม่ได้หมดสติ!”

    “แค่มีฟองออกจากปาก ทำไมต้องถูกคัดออกด้วยขอรับ”

    ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนที่ไม่ยอมรับผลการตัดสินนี้ เพราะผู้ที่เติบโตมาจากพรรคต่างๆ ของพรรคมารที่มีระบบปลาใหญ่กินปลาเล็กทำให้หลายคนมีนิสัยดื้อรั้นและดุดัน

    “จะไม่ยอมรับงั้นรึ”

    “อย่างพวกเจ้าน่ะ ต้องทำงานรับใช้หรือไม่ก็ทำไร่ไถนาไปตลอดชีวิต”

    การดำรงชีวิตด้วยการทำไร่ไถนา ค้าขาย หรืองานรับใช้ในพรรคมารที่บูชาการต่อสู้นั้นก็หมายความว่าจะต้องดำรงชีวิตโดยไม่ได้รับการปฏิบัติใดๆ ในแบบที่นักรบได้รับ ท่าทีต่อต้านของพวกเขาทำให้เหล่าครูฝึกวรยุทธ์เหนื่อยหน่าย

    “ไม่ยอมรับผลการตัดสินสินะ”

    “นั่นสิ”

    “เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือก นอกจากลากตัวออกไปให้หมด”

    หลังจากส่งเสียงคัดค้านไม่นาน พวกเขาก็ถูกทำให้หมดสติอีกครั้งแล้วโดนลากออกไปนอกสำนักมารตามคำของเหล่าครูฝึกวรยุทธ์ ซึ่งเรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือองครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองผู้เป็นเจ้าสำนักมารคนปัจจุบัน เพราะครูฝึกวรยุทธ์ทั้งสามสิบหกคนล้วนมีฝีมือระดับหัวหน้ากอง ไม่ใช่คนที่เด็กสอบตกจะต่อกรด้วยได้

    “การไม่มีโชคถือเป็นฝีมือเหมือนกัน และนี่ก็คือโชคชะตาของพวกเจ้า”

    องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองมองดูเด็กถูกลากออกไปด้วยสายตาเย็นชา

    หลังจากที่จัดการคนไม่ผ่านการทดสอบและทำความสะอาดลานฝึกใหญ่เรียบร้อย เด็กหนุ่มสาวทั้งสี่ร้อยสิบห้าคนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศิษย์ของสำนักมารอย่างเป็นทางการ และได้รับแผ่นป้ายทองแดงที่สลักว่า ‘สาม’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักรบระดับล่างของพรรคมารนั่นเอง

    “เริ่มแล้วสินะ”

    “ต้องขึ้นไประดับสูงๆ ให้ได้!”

    ในบรรดานั้นย่อมมีศิษย์ที่เปี่ยมไปด้วยขวัญและกำลังใจ พวกเขาดีใจไม่น้อยที่ได้ผ่านการทดสอบขั้นแรกจากทั้งหมดหกขั้นได้อย่างปลอดภัย

    การจัดกลุ่มเริ่มต้นตามแผ่นป้ายสถานะที่ทุกคนได้รับ ซึ่งองครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองและเหล่าครูฝึกวรยุทธ์ได้จัดกลุ่มตามข้อมูลที่พวกเขาเขียนเอาไว้ในใบสมัครเข้าสำนักมารและผลการทดสอบขั้นที่หนึ่ง

    ศิษย์สี่ร้อยสิบห้าคนถูกแบ่งออกเป็นยี่สิบกลุ่ม โดยห้ากลุ่มมีสมาชิกยี่สิบคนและอีกสิบห้ากลุ่มมีสมาชิกยี่สิบเอ็ดคน

    “สงสัยกันใช่ไหมว่าเหตุใดถึงแบ่งออกเป็นยี่สิบกลุ่ม”

    “พรรคมาร!!!”

    เมื่ออีฮวามยองถามออกไปเช่นนั้น ศิษย์ทุกคนก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่าพรรคมาร นั่นเป็นเพราะศิษย์ทุกคนถูกสั่งให้พูดคำว่าพรรคมารแทนคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน และอีกความหมายก็คือการรับทราบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิธีการค่อนข้างคล้ายการฝึกทหาร และคำพูดขององครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองซึ่งเป็นเจ้าสำนักมารถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดสูงสุด

    “ศิษย์ทุกคนจะทำการทดสอบในวันและเวลาเดียวกันจนกระทั่งถึงการทดสอบขั้นที่สามซึ่งขึ้นไปสู่การเป็นนักรบระดับสูงของพรรคมารของเรา”

    แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสำนักมารที่คอยสร้างยอดฝีมือรุ่นใหม่ แต่ก็ต้องไม่เสียเงินในคลังโดยเปล่าประโยชน์ไปกับการฝึกศิษย์จำนวนหลายร้อยคนตลอดช่วงเวลาสี่ปี

    โดยปกติแล้วนักรบระดับล่างจะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและทำงานเบ็ดเตล็ด จึงไม่จำเป็นต้องใช้กำลังภายในมากมาย และมีตำแหน่งทางทหารเพียงขั้นที่สามเท่านั้น ด้วยเหตุนี้คนที่มีขีดจำกัดพอๆ กับนักรบระดับล่างก็จะถูกคัดออกผ่านการทดสอบในระยะเวลาอันรวดเร็ว

    ในทางกลับกัน หากอยากจะเป็นนักรบระดับกลางก็ต้องชำนาญในกระบวนยุทธ์หรือยุทธวิธีพื้นฐานที่พรรคมารใช้ตอนทำศึกกับมหาอำนาจอย่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม

    “ระยะเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนกระบวนยุทธ์กับยุทธวิธีที่จำเป็นสำหรับการเป็นนักรบระดับกลางคือยี่สิบเอ็ดวันหรือสามสัปดาห์”

    แค่ยี่สิบเอ็ดวันเองรึ

    แววตาของเหล่าศิษย์ที่ยืนเรียงแถวอยู่ในลานฝึกเต็มไปด้วยความงงงวย เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะทำตามระบบระเบียบของสำนักมารซึ่งดำเนินการทุกอย่างรวดเร็วกว่าที่พวกเขาคิด

    “พอครบสามสัปดาห์ทั้งยี่สิบกลุ่มจะต้องมาเผชิญหน้ากันด้วยกระบวนยุทธ์และยุทธวิธีที่ฝึกฝนมา มีเพียงสิบกลุ่มที่ชนะเท่านั้นจึงจะได้ขึ้นไปสู่ขั้นที่สูงกว่า”

    จากยี่สิบกลุ่มมีแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่จะผ่านไปได้ ซึ่งหมายความว่าต้องมีคนสอบตกถึงสองร้อยกว่าคนเลยทีเดียว

    “นี่เป็นการทดสอบครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน ฉะนั้นหากยังมีความอวดดีเย่อหยิ่งก็มีสิทธิ์จะสอบตกและออกจากสำนักมารไปพร้อมกัน”

    องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองยังคงพูดข่มขวัญได้เก่งเหมือนเช่นเคย

    ศิษย์ที่พออกพอใจกับการทดสอบแบบกลุ่มคือศิษย์ที่ถูกจัดอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่มาจากพรรคระดับสูง แต่ในทางตรงกันข้ามแม้จะถูกจัดกลุ่มอย่างเท่าเทียม ศิษย์ที่มาจากพรรคระดับสูงนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด พวกเขาจึงไม่ยินดีกับการทดสอบแบบกลุ่มเท่าไหร่นัก

    “ขอจบกำหนดการของวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ แยกไปพักผ่อนกันตามที่พักที่แบ่งเอาไว้เป็นกลุ่มๆ และตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เหล่าครูฝึกวรยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าในตอนนี้จะสอนกระบวนยุทธ์กับยุทธวิธีให้พวกเจ้าอย่างใจดีที่ลานฝึกใหญ่แห่งนี้”

    เบื้องหน้าของเหล่าศิษย์ที่กำลังยืนเรียงแถวตามกลุ่มนั้น มีครูฝึกวรยุทธ์ที่ทำหน้าที่ดูแลแต่ละกลุ่มยืนเอามือไพล่หลังพร้อมทำหน้านิ่งเฉย

    ใจดีรึ

    เฮ้อ…ให้ตายสิ

    เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งเห็นภาพที่ครูฝึกหยิบไม้กระบองสีดำออกมาจากเอวแล้วฟาดใส่คนที่ต่อต้านและขัดขืนการถูกขับไล่ออกจากสำนักมารอย่างไร้ปรานี

    “จบเพียงเท่านี้ เลิกแถว!”

    “เลิกแถว!!!”

    ศิษย์ทุกคนตะโกนทวนคำสั่งสุดเสียงแล้วสลายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อแยกย้ายไปยังห้องพักของแต่ละกลุ่ม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการทดสอบขั้นที่หนึ่ง แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังออกจากลานฝึกนั้น ศิษย์คนหนึ่งก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

    เขาคือชอนมูกึมแห่งพรรคมารปีศาจผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขลำดับที่สาม

    พอเห็นว่าเหลือเขาอยู่คนเดียวในขณะที่ทุกคนออกไปจากลานฝึกจนหมดแล้ว ครูฝึกอิมพยองผู้ทำหน้าที่ดูแลกลุ่มแปดซึ่งเป็นกลุ่มของชอนมูกึมก็รู้สึกแปลกๆ จึงเอ่ยถามออกไป

    “ศิษย์หมายเลขสาม เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่อีก”

    พวกศิษย์จะถูกเรียกตามหมายเลขบนป้ายจนกว่าจะทำการทดสอบขั้นที่สี่ผ่านแล้วเลื่อนเป็นระดับหัวหน้ากอง

    “ข้ามีคำถามจะถามครูฝึกขอรับ”

    “รู้ใช่ไหมว่าหากเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึก ข้าก็ตอบให้ไม่ได้”

    “ทราบขอรับ”

    แม้จะเป็นครูฝึก แต่ก็ใช่ว่าจะจำหน้าศิษย์ได้ตั้งแต่วันแรก แต่เหล่าผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขพรรคมารทั้งหกคนมีป้ายสีดำซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับพรรคทั้งหกจึงจำง่ายกว่าใครๆ เพราะในวันข้างหน้าหนึ่งในหกคนนี้อาจกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคมาร

    “เอาสิ สงสัยอะไรรึ”

    “ข้าน่าจะได้เป็นหัวหน้าของกลุ่มแปด”

    เอ่อ

    ตอนนี้ยังไม่มีการเลือกหัวหน้ากลุ่มเพราะตามกำหนดการจะให้เลือกกันในวันพรุ่งนี้ แต่ชอนมูกึมรู้อยู่แล้วว่าในระบบกลุ่มอย่างนี้จะต้องมีหัวหน้า

    คิดว่ากฎเป็นเรื่องน่าขำมากสินะ

    อิมพยองเคยคิดว่าไม่มีทางที่เหล่าพรรคทั้งหกผู้ทรงอิทธิพลจะไม่เล่าเกี่ยวกับการทดสอบในสำนักมารให้ผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขฟัง ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ

    “ตอนนี้ศิษย์หมายเลขเจ็ดที่อยู่กลุ่มของเราถูกส่งตัวไปห้องรักษาขอรับ”

    “แล้วทำไมรึ”

    “ครั้งหน้าเป็นการทดสอบแบบกลุ่ม ข้าจึงไม่อยากให้ทั้งกลุ่มต้องสอบตกเพราะมีใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มพลาดในการทดสอบขอรับ”

    “โอ้ แล้วอย่างไรต่อ”

    “เพราะศิษย์หมายเลขเจ็ดไม่ได้อยู่ร่วมฟังกำหนดการที่เหลือในพิธีเข้าสำนักมาร เขาจึงไม่รู้อะไรเลย ข้าเลยอยากไปบอกสิ่งต่างๆ ที่ได้ยินมาในวันนี้ให้เขาฟังเพื่อจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มขอรับ”

    ใครๆ ต่างก็รู้ว่าพวกผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขจากทั้งหกพรรคล้วนคิดว่าชอนยออุนเป็นเสี้ยนหนาม การได้เห็นชอนมูกึมเป็นห่วงเป็นใยสมาชิกในกลุ่มเดียวกันเช่นนี้จึงช่างแตกต่างจากข่าวลือที่ได้ยินมา อิมพยองรู้สึกชื่นชมจึงพูดออกไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ

    “เป็นความคิดที่ดีมาก ดูเหมือนศิษย์หมายเลขสามจะเข้าใจพื้นฐานของการทดสอบแบบกลุ่มตั้งแต่วันแรก ข้าขอชื่นชมและเห็นชอบกับความคิดเห็นของเจ้า เช่นนั้นข้าจะไปที่อาคารกลางแล้วแจ้งข้อมูลให้ศิษย์หมายเลขเจ็ดด้วยตัวเอง”

    “ท่าน…ท่านครูฝึกไม่ต้องไปก็ได้ขอรับ ข้าไปเอง…”

    “ศิษย์ทั่วไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอาคารกลางของสำนักมาร เว้นแต่มีกรณีพิเศษ”

    ชอนมูกึมอึ้งไปเมื่อได้ยินอิมพยองพูดแทรกขึ้นมาเช่นนี้

    ให้ตายเถอะ! ไม่ได้การแล้ว

    ความตั้งใจแรกของชอนมูกึมก็คือไปหาชอนยออุนแล้วหักแขนหักขาซะ โดยไม่สนใจว่าชอนยออุนจะเป็นคนไข้หรือเป็นอะไร แต่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเข้าไปในอาคารกลางไม่ได้ เขาคิดจะอ้างความเป็นพรรคทั้งหกของตน แต่พอคิดได้ว่ามันไม่ได้ผลในสำนักมาร เขาเลยไม่อาจพูดอะไรได้อีก

    “รับทราบขอรับ เช่นนั้นข้าฝากท่านครูฝึกด้วยนะขอรับ อ้อ! ถ้าเป็นไปได้ช่วยถามให้หน่อยนะขอรับว่าศิษย์หมายเลขเจ็ดจะกลับมาได้เมื่อไร”

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ชอนมูกึมจึงจำต้องรอให้ชอนยออุนกลับมายังที่พักก่อน เขาได้แต่หวังให้ชอนยออุนหายจากอาการช้ำในแล้วรีบกลับมาในเร็ววัน เขาอยากให้ชอนยออุนทรมานมากพอกับอยากให้ชอนยออุนตาย จากนั้นอารมณ์โกรธที่เคยพลุ่งพล่านเพราะสิ่งที่ไม่เป็นดั่งใจหวังก็ค่อยๆ เย็นลง

     

    เย็นวันนั้น

    ครูฝึกอิมพยองมายังห้องรักษาที่อยู่ในอาคารกลางตามที่สัญญาไว้กับชอนมูกึม ซึ่งชอนยออุนกำลังนอนหลับอยู่เนื่องจากนาโนแมชชีนที่อยู่ในร่างกายกำลังเพิ่มปริมาณเลือดและรักษาอวัยวะภายในที่เสียหาย อิมพยองไม่กล้าปลุกชอนยออุนที่บาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง จึงตัดสินใจถามแพ็กจงมยองหมอประจำห้องรักษาว่าชอนยออุนต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน

    “อืม…ช้ำในรุนแรงมาก ต้องอยู่ที่นี่อย่างต่ำก็สิบสี่วันหรือสองสัปดาห์ขอรับ”

    “สิบสี่วันหรือขอรับ เฮ้อ ถ้านานขนาดนั้นก็น่าจะขึ้นไประดับสูงๆ ได้ยาก เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือขอรับ”

    อิมพยองไม่อยากให้กลุ่มที่ตนดูแลต้องสอบตกเพราะคนเพียงคนเดียว สำหรับพวกศิษย์มันคือการอยู่รอด แต่สำหรับครูฝึกวรยุทธ์มันเหมือนการแข่งขันอย่างหนึ่ง

    “ก็อย่างว่านะขอรับ ถ้ามีกำลังภายในก็ว่าไปอย่าง แต่ศิษย์หมายเลขเจ็ดไม่มีทั้งกำลังภายในทั้งยังกำหนดลมปราณไม่ได้ เลยต้องใช้เวลานานขอรับ”

    สุดท้ายอิมพยองก็ต้องเดินออกมาหลังจากที่ได้รู้ว่าชอนยออุนต้องพลาดการฝึกเป็นเวลานานถึงสิบสี่วัน ในขณะที่การทดสอบขั้นที่สองจะเริ่มขึ้นในอีกสามสัปดาห์หลังจากนี้

    อุตส่าห์ดวงดีผ่านการทดสอบขั้นแรกมาได้แท้ๆ จบกัน เฮ้อ

    เขาคิดว่าโชคชะตาของชอนยออุนคงจบลงตรงนี้ แต่หลังจากนี้สิบสี่วันเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองกังวลอย่างไร้ประโยชน์

     

    วันต่อมา

    ในยามอิ๋น* ที่อากาศเหน็บหนาว ท้องฟ้ายังคงมืดมิดเพราะดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า

    ปัง!

    ใครบางคนเดินมาเตะประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้องรักษาที่หมอแพ็กจงมยองไม่อยู่ เขาคนนั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นองครักษ์เบื้องขวาดาบคลั่งซอบแมงผู้ใส่เสื้อผ้ามอมแมมและมีจมูกแดงเหมือนคนขี้เมา

    “หึๆ ลูกศิษย์ อาจารย์มาแล้ว”

    เขาช่างเป็นคนที่รวดเร็วเสียจริง

     

    (ติดตามเรื่องราวความสนุกของ นาโนมาชิน กันต่อได้ในฉบับรูปเล่ม)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook