ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นาโนมาชิน 1 ครั้งที่ 1
บทนำ
จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา
ตั้งแต่โบราณนานมา เหล่านักรบในจงหยวนต่างเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้เพื่อใช้ป้องกันตัวจากศัตรู
เมื่อวันเวลาผ่านไปศิลปะการต่อสู้ก็พัฒนาจากการป้องกันตัวเองอย่างง่ายๆ ไปเป็นการสังหารศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งนานวันก็ยิ่งพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อน
ศิลปะการต่อสู้ที่เคยเรียบง่ายกลับกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและก่อเกิดเป็นกระบวนท่าต่างๆ โดยมีการหายใจเป็นพื้นฐานของกำลังภายใน
เหล่านักรบได้ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ของตนไปสู่คนรุ่นหลังผ่านคำสอนและตำรา ก่อนจะพัฒนาจนกลายเป็นวรยุทธ์
นักรบที่ได้ฝึกวรยุทธ์จะมีความสามารถเหนือปุถุชนทั่วไป ต่อกรกับคนจำนวนมากเพียงลำพังได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังวิ่งเร็วดุจสายลมหรือกระทั่งเหาะเหินเดินอากาศจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งได้ พวกเขามีพลังมหัศจรรย์เหนือมนุษย์อยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้หมัดทลายก้อนหินหรือใช้กระบี่ฟันต้นไม้ขาดเป็นท่อนก็ล้วนทำได้ จึงถูกเรียกขานว่าจอมยุทธ์
นักรบที่อยากมีพลังมหัศจรรย์เช่นนั้นต่างมาฝากตัวเป็นศิษย์ของเหล่ายอดฝีมือ และเมื่อมีศิษย์เพิ่มมากขึ้นก็ก่อเกิดเป็นสำนักในที่สุด
กลุ่มที่ปฏิบัติตามทำนองคลองธรรมเรียกว่าฝ่ายธรรมะ กลุ่มที่ใฝ่แต่ความโหดร้ายรุนแรงเรียกว่าฝ่ายอธรรม แต่ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาแสวงหาหนทางแห่งการปกครองด้วยพละกำลัง บูชาเพียงความแข็งแกร่ง คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าพรรคมารหรือลัทธิมาร
ความสมดุลในยุทธภพเกิดจากทั้งสามฝ่ายคอยคานอำนาจซึ่งกันและกัน
บริเวณระหว่างมณฑลก่วงซีและมณฑลก่วงตงทางตอนใต้ของจงหยวนเป็นที่ตั้งของเขาสิบหมื่น ที่ซึ่งถูกเรียกขานตามความอลังการของเทือกเขาที่มียอดเขาหลายสิบลูกทอดยาวสุดลูกหูลูกตา และที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ต้องห้ามในยุทธภพ เนื่องจากเขาสิบหมื่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพรรคมาร อีกทั้งยังเป็นฐานที่มั่นของพวกเขา
ในป่าลึกที่อยู่ห่างไกลจากเขตของพรรคมาร เด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งกำลังวิ่งหนีสุดชีวิต
“แฮก…แฮก!”
เด็กหนุ่มหายใจเหนื่อยหอบโดยไร้คำพูดใดๆ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับขณะหลบหนีมา
“หะ…ให้ตายเถอะ!”
เสียงติดๆ ขัดๆ หลุดจากปากเขาเมื่อเห็นกลุ่มชายสวมหน้ากากห้าคนมาดักรออยู่บนทางที่กำลังมุ่งหน้าไป เขาวิ่งหนีมาประมาณหนึ่งชั่วยาม* จนแทบหมดแรงแล้ว แต่สุดท้ายกลับมาตกอยู่ในวงล้อมพวกมันอยู่ดี
“เวรเอ๊ย!”
เด็กหนุ่มหยุดวิ่งและกุมขาที่สั่นเทาพร้อมจดจ้องกลุ่มชายสวมหน้ากากด้วยสีหน้าเคืองแค้น แต่กลุ่มชายสวมหน้ากากกลับหัวเราะราวกับชอบใจเมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของเด็กหนุ่มตากลม
“โธ่ อุตส่าห์วิ่งหนีมาจนถึงที่นี่เลยนะขอรับ คุณชายชอน”
“หึๆ พวกข้ามารอจนหาวไปหลายหวอดแล้วขอรับ”
คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายชอนอึ้งงัน เพราะการมารอล่วงหน้าหมายความว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าตนจะหนีมาทางนี้
ชิ้ง!
กลุ่มชายสวมหน้ากากชักกระบี่ออกจากฝักที่สะพายอยู่บนหลัง ดวงตาเป็นประกายของพวกเขาจดจ้องไปที่คอและหัวใจของเด็กหนุ่ม
ทำยังไงดี
เป้าหมายของคนพวกนี้คือมาเอาชีวิตของตนตั้งแต่แรก จะพูดอย่างไรก็คงโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจไม่ได้ เด็กหนุ่มใช้กำลังที่มีเพียงน้อยนิดไปจนหมดแล้ว จึงไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะพาตัวเองหนีต่อไปได้อีก
แต่ถึงความตายจะอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นมากกว่าความเกรงกลัว
“เพราะเหตุใดกัน อย่างข้าน่ะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่คิดที่จะเข้าสำนักด้วยซ้ำ แล้วพวกเจ้าหมายจะปลิดลมหายใจข้าไปเพื่ออะไร”
“คุณชายชอนไม่รู้หรือขอรับ ต่อให้ท่านไม่คิดจะเข้าสำนักหรือมีวรยุทธ์ย่ำแย่เพียงใด พวกข้าก็ไม่สน”
เด็กหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดที่เปี่ยมด้วยนัยของชายสวมหน้ากาก เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่เด็กว่าช่วงเวลาเช่นนี้ต้องมาถึง แต่ไม่นึกว่ามันจะมาก่อนเขาได้เข้าสำนักมาร
“มันเป็นลำดับขั้นตอนที่ถูกกำหนดเอาไว้สำหรับผู้สืบทอดน่ะขอรับ คุณชาย”
เมื่อชายสวมหน้ากากที่อยู่หน้าสุดพูดจบ พวกที่อยู่ข้างหลังก็เริ่มพูดยั่ว
“ค่อยๆ ยื่นคอออกมาขอรับ”
“แม้ว่าท่านจะมีเลือดชั้นต่ำผสมอยู่มากแค่ไหน แต่พวกข้าก็จะส่งท่านไปอย่างไม่ทรมานเลยขอรับ”
เด็กหนุ่มถึงกับเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคำว่าเลือดชั้นต่ำ แม้เขาจะไม่ได้มีชีวิตมายาวนานนัก แต่มันก็เป็นคำพูดที่เขาเกลียดมากๆ เพราะคำว่าเลือดชั้นต่ำมันเป็นถ้อยคำที่ดูถูกมารดาของเขา
จะส่งข้าไปอย่างไม่ทรมานอย่างนั้นรึ ไอ้พวกเวร!
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี เสี่ยงสู้สักตั้งยังจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็หยิบกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเสื้อ เขาไม่เคยเรียนวรยุทธ์อย่างจริงจัง ได้แต่ลักจำจากการลอบมององครักษ์จางที่คอยคุ้มครองเขา
“หือ? กระบี่สั้น? เคยเรียนวรยุทธ์จากองครักษ์จางด้วยรึ”
น่าเศร้าที่คำตอบคือไม่ใช่ หากเคยเรียนเคล็ดวิชากระบี่สั้นจากองครักษ์จางฝีมือของเขาก็คงไม่เบาอย่างแน่นอน แต่หากใครมาเห็นท่าจับกระบี่สั้นนี้ก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ชำนาญเอาเสียเลย
ช่างเงอะงะเสียจริง แต่สายเลือดมันไม่มีทางหลอกกันสินะ ทั้งที่ไร้ฝีมือกลับไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด
สายตาของกลุ่มชายสวมหน้ากากเต็มไปด้วยความชอบอกชอบใจ เพราะการสังหารเป้าหมายที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นั้นควรค่าแก่การลงมือยิ่งกว่าการฆ่าคนที่ถอดใจไปแล้วยิ่งนัก
“ฆ่ามัน!”
ทันทีที่ชายสวมหน้ากากที่อยู่หน้าสุดออกคำสั่ง อีกสี่คนด้านหลังก็พลันพุ่งตัวเข้าใส่เด็กหนุ่ม
เดิมทีเด็กหนุ่มคิดว่าจะยื้อเวลาให้ตัวเองได้อีกสักนิด แต่ความจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน
“ฮึบ!”
ไม่มีทางที่กลุ่มชายสวมหน้ากากซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับที่หนึ่งจะถูกฟันด้วยกระบี่สั้นของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้แม้แต่เพลงยุทธ์ใดๆ หลังจากหลบหลีกการกวัดแกว่งของกระบี่ได้หลายครั้ง สุดท้ายข้อมือของเด็กหนุ่มก็ถูกกระแทกด้วยด้ามกระบี่
ปั้ก!
“โอ๊ย!”
เด็กหนุ่มพยายามฝืนทน แต่สุดท้ายกระบี่สั้นก็หลุดจากมือพร้อมกับใบหน้าเหยเก พอเห็นดังนั้นชายสวมหน้ากากผู้โจมตีด้วยด้ามกระบี่ก็รีบคว้าคอของเด็กหนุ่มไว้ทันใด
หมับ!
“เลิกขัดขืนได้หรือยัง หึๆ”
“อึก!”
เมื่อลำคอถูกบีบ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ทว่าแววตาของเขายังคงไม่ยอมแพ้
“หลบ!”
ตอนนั้นเองชายสวมหน้ากากอีกคนที่อยู่ข้างหลังก็รีบตะโกนออกมา
“อะไรนะ”
“กระบี่สั้น!”
ฉึก!
กระบี่สั้นแทงเข้าที่ใต้คางของชายสวมหน้ากากโดยที่ไม่ทันระวังตัว ทุกคนต่างคิดว่าเด็กหนุ่มมีกระบี่สั้นเพียงเล่มเดียว แต่ความจริงเขายังซ่อนกระบี่สั้นเอาไว้ในเสื้ออีกเล่ม
แม้ชายสวมหน้ากากจะเก่งกาจเพียงใด แต่การถูกแทงเข้าที่ใต้คางก็ทำให้ตายในทันที ชายสวมหน้ากากล้มทั้งยืนโดยไม่ทันได้ส่งเสียงใดๆ
เป็นไปได้อย่างไร มันไม่เคยฝึกวรยุทธ์ แต่กลับฆ่าคนของเราได้
เด็กหนุ่มสบตากับหัวหน้ากลุ่มชายสวมหน้ากากที่กำลังมองมา เมื่อหัวหน้ากลุ่มชายสวมหน้ากากเห็นแววตาของเด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่านี่เป็นแผนการที่อีกฝ่ายวางไว้ แสร้งทำเป็นจับกระบี่สั้นอย่างเงอะงะให้พวกตนตายใจไม่ทันระวังตัว จากนั้นก็ลอบแทงด้วยกระบี่สั้นอีกเล่มที่ซ่อนไว้
ในสถานการณ์คับขันยังมีไหวพริบถึงขั้นนี้ หากได้ฝึกวรยุทธ์อย่างจริงจังจะต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ไอ้สารเลว! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้!”
ผัวะ!
ชายสวมหน้ากากอีกคนปรี่เข้ามาอย่างโกรธจัดและเตะเด็กหนุ่มจนล้มลง ตามด้วยแทงกระบี่เข้าที่ท้อง
ฉึก!
“อ๊ากกก!”
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มถูกกระบี่แทง ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาแล่นปราดขึ้นมา พร้อมเลือดที่กระอักทะลักออกมาจากปาก
ข้าหลอกพวกมันได้
เขาคิดจะฆ่าพวกมันสักคนสองคน และในที่สุดความตั้งใจนี้ก็สำเร็จ เขารู้สึกโล่งใจเหลือเกิน แต่สุดท้ายการถูกกระบี่แทงเข้าที่ท้องก็ทำให้ยากจะรอดอยู่ดี
ปึก!
“อ่อก!”
ชายสวมหน้ากากเหยียบซ้ำตรงท้องที่ถูกแทง บริเวณพื้นดินที่เด็กหนุ่มกำลังนอนทุกข์ทรมานเจิ่งนองไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ชายสวมหน้ากากจะแทงเข้าที่หน้าผากหรือเชือดคอเด็กหนุ่มให้ตายไปเลยก็ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะทรมานอีกฝ่ายราวกับต้องการแก้แค้นให้สหายของตน
“ให้มันค่อยๆ ตายอย่างทรมาน”
แม้ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ยากจะเข้าไปห้ามปรามคนที่กำลังแก้แค้นให้สหาย
และในตอนนั้นเอง
วาบ!
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่แสงจากฟ้าผ่าอย่างแน่นอน แสงนั้นปรากฏและอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา ดวงตาของบรรดาชายสวมหน้ากากต่างเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
“นั่นมันอะไรกัน”
ซู่!
เลือดพุ่งราวกับสายน้ำพุ ร่างท่อนบนของชายสวมหน้ากากที่กำลังเหยียบท้องเด็กหนุ่มหายไป เหลือเพียงร่างกายท่อนล่างเท่านั้น
“อะไรกัน!”
เด็กหนุ่มก็ไม่อาจเก็บซ่อนความงุนงงได้ หากมองไม่ผิดเขาเห็นแสงสีขาวพุ่งเข้าใส่ชายสวมหน้ากากที่กำลังเหยียบตนอยู่ จากนั้นร่างท่อนบนของอีกฝ่ายก็หายวับไปราวกับถูกหลอมละลาย
“เจ้านั่น!”
หัวหน้ากลุ่มชายสวมหน้ากากชี้นิ้วไปที่ไหนสักแห่งพร้อมมองตามไปอย่างตกใจ ที่ตรงนั้นปรากฏบุคคลปริศนาที่สวมเสื้อผ้าแปลกประหลาด แต่พอชายสวมหน้ากากชี้นิ้วร่างของบุคคลปริศนาก็หายวับไป
“อ๊ะ”
นั่นไม่ใช่วิชาตัวเบา แต่เป็นการทำให้ร่างตนเองโปร่งแสงจนหายไป
วาบ!
ลำแสงพุ่งผ่านไปยังชายสวมหน้ากากอีกคนหนึ่ง ร่างท่อนบนของชายสวมหน้ากากคนนั้นหายไปเหมือนกับชายสวมหน้ากากคนก่อน ตอนนี้เหลือชายสวมหน้ากากเพียงสองคนรวมผู้เป็นหัวหน้าด้วย
ต้องมียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งคอยช่วยเหลือมันอยู่แน่นอน เพราะแสงสีขาวนี้มีพลังรุนแรงมาก
เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ ร่างกายของคนเราจะหายไปทั้งตัวเช่นนี้ เว้นแต่จะเป็นพลังสุดแกร่งของยอดฝีมือผู้สำเร็จวรยุทธ์ขั้นสูงสุดเท่านั้นที่ใช้ได้
อีกไม่นานเด็กหนุ่มคนนี้ก็ต้องตายจากการเสียเลือดมาก
เป้าหมายบรรลุแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบหนีดีกว่า!
วาบ!
ขณะผู้เป็นหัวหน้ากำลังจะส่งสัญญาณถอยให้สมาชิกอีกคนที่เหลือ ร่างท่อนบนของเขาก็ถูกแสงสีขาวพุ่งผ่านและหายวับไปกับตา
“อ๊ากกก!”
หลังจากหัวหน้าและสหายทยอยเสียชีวิตไปทีละคน ชายสวมหน้ากากคนสุดท้ายก็ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามใช้วิชาตัวเบาเพื่อหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองข้างหลัง
วาบ!
แต่ทว่าแสงที่มาจากด้านหลังก็พุ่งทะลุศีรษะทำให้เขาตายในทันใด เมื่อเห็นกลุ่มชายสวมหน้ากากถูกสังหารหมู่ภายในพริบตา เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นก็ขยับมุมปากและพึมพำอย่างโล่งใจ
“เยี่ยมมาก”
อึง!
ระหว่างนั้นอากาศตรงหน้าของเด็กหนุ่มก็เริ่มบิดเบี้ยว บุคคลปริศนาในชุดแปลกประหลาดปรากฏตัวออกมา เด็กหนุ่มตกใจสุดขีดจนอยากแผดเสียงตะโกน แต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้น
“เอ๊ะ หรือว่าบรรพบุรุษของเราดีใจที่กำลังจะตาย”
บรรพบุรุษ?
คำพูดที่ฟังไม่เข้าใจทำให้เด็กหนุ่มนิ่วหน้า ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด ร่างกายก็เริ่มเย็นลงทุกที การเสียเลือดมากเกินไปก็ทำให้สายตาค่อยๆ พร่ามัว ดูเหมือนว่าความตายกำลังกล้ำกรายเข้ามา
ข้าจะต้องตายเช่นนี้น่ะหรือ
บี๊บ!
ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังขึ้น บุคคลปริศนาผู้สวมเสื้อผ้าเป็นประกายสีเงินแปลกประหลาดทั้งตัวก้มมองบางอย่างที่อยู่บนข้อมือของตัวเอง จากนั้นใบหน้าก็แสดงความงงงันออกมา
“เจอแล้วเหรอเนี่ย โธ่เอ๊ย! ให้มันได้แบบนี้สิ ตั้งใจจะมาเร็วๆ เพื่อสอนวิธีใช้งานให้แท้ๆ”
บุคคลปริศนาหยิบสิ่งของสองชิ้นออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่อยู่บริเวณเอว มันคือกระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลายแหลมติดอยู่
ตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพที่ดวงตาค่อยๆ พร่าเลือน ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนเป็นความมืด ความตายกำลังมาเยือนในอีกไม่นาน
“ต้องรีบแล้ว”
จึก!
บุคคลปริศนาปักเข็มเข้าที่หลังหูของเด็กหนุ่ม แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกทรมานแต่อย่างใด บุคคลปริศนาหยิบกระบอกฉีดยาขึ้นมาอีกอันแล้วปักเข็มเข้าไปบริเวณหัวใจของเด็กหนุ่ม
จึก!
“โอ้! แค่เห็นก็เจ็บแทนแล้ว ทีนี้ก็เสร็จเรียบร้อย อ๊ะ ท่านบรรพบุรุษ”
บุคคลปริศนาดึงเข็มออกแล้วเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็เรียกเด็กหนุ่มที่สติกำลังเลือนรางลงไปทุกที
“โปรดทำให้สำเร็จเพื่อลูกหลานด้วยนะครับ วิธีใช้งานก็ง่ายมาก เพราะมันเป็นนาโนแมชชีนรุ่นล่าสุด แป๊บเดียวก็เข้าใจแล้ว”
พูดอะไรของเขากันนะ
อากาศรอบตัวของเด็กหนุ่มพลันกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นแล้วบุคคลปริศนาก็หายวับไป จากนั้นเสียงประหลาดก็ดังขึ้นภายในหูของเด็กหนุ่มที่กำลังจะสิ้นชีวิต
[หมายเลขผลิตภัณฑ์ : 034-4532-5893 นาโนแมชชีนรุ่นที่เจ็ดของ Sky Corporation เริ่มทำงาน ก่อนอื่นจะทำการสแกนร่างกายของผู้ใช้งาน]
เมื่อคำพูดแปลกๆ ที่ดังก้องในหัวของเด็กหนุ่มจบลง แสงประหลาดก็เปล่งออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขา แสงสีขาวนั้นคลุมไปทั่วทั้งร่างไล่แต่ศีรษะไปจนถึงหัวใจ เขารู้สึกราวกับมดนับร้อยนับพันตัวกำลังไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนร่าง แล้วน้ำเสียงสุภาพก็ดังภายในหัวอีกครั้ง
[สแกนเสร็จเรียบร้อย เหตุฉุกเฉิน! เหตุฉุกเฉิน! พบบาดแผลบริเวณท้องของผู้ใช้งาน อัตราการเสียเลือดของผู้ใช้งานคือสิบสามเปอร์เซ็นต์ เข้าสู่ขั้นตอนการรักษาบาดแผลและเพิ่มเลือดเพื่อช่วยชีวิต]
เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในร่างกายของเด็กหนุ่มที่กำลังจะสิ้นลม
และนี่คือการเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนในชีวิตของเด็กหนุ่มซึ่งถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
บทที่ 1
มาชิน (?) มาอยู่ในร่างข้า (1)
คุณชายชอนถูกกลุ่มชายสวมหน้ากากโจมตีและถูกกระบี่แทงเข้าที่ท้องจนสิ้นลม
องครักษ์จางเคยคิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงกลับไม่ใช่ หลังจากทราบข่าวการลอบสังหารเขาก็ใช้วิชาตัวเบาออกตามหาคุณชายชอนอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดเขาพบร่างเด็กหนุ่มนอนหมดสติอยู่ท่ามกลางศพของกลุ่มชายสวมหน้ากากที่ดูไม่ออกว่าใครเป็นใครเพราะร่างท่อนบนหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงศพเดียวที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งศพนั้นเสียชีวิตในสภาพที่ถูกกระบี่สั้นเสียบเข้าที่คาง
กระบี่สั้นที่ข้าให้ไว้นี่
มันคือกระบี่สั้นที่องครักษ์จางมอบให้เป็นของขวัญตอนคุณชายชอนอายุสิบขวบ เนื่องจากชอนยออุนให้คำสาบานที่ว่าจะไม่ฝึกวรยุทธ์จนกว่าจะได้เข้าสำนักมาร องครักษ์จางจึงไม่เคยสอนอะไรให้เลยแม้แต่เคล็ดวิชากระบี่สั้น มันจึงน่าทึ่งมากเมื่อได้เห็นว่าคุณชายชอนจัดการชายสวมหน้ากากจนเสียชีวิตไปหนึ่งคน
“โธ่! คุณชาย!”
องครักษ์จางสำรวจร่างของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น เลือดที่นองเต็มพื้นบ่งบอกถึงบาดแผลสาหัส
ได้โปรด!
หากคุณชายชอนจบชีวิตที่นี่ เขาคงไม่มีหน้าไปพบมารดาของคุณชายชอน แต่มันแปลกมาก…
ฟี้…ฟี้…
“หือ?”
เสียงลมหายใจของคุณชายชอนดังมากระทบหูขององครักษ์จางผู้เป็นยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง พอมองร่องรอยการฉีกขาดของเสื้อบริเวณท้อง เขาก็พบว่าคุณชายชอนถูกแทงด้วยกระบี่ไม่ผิดแน่ แต่เสียงลมหายใจกลับดังอย่างสม่ำเสมอ องครักษ์จางเลิกเสื้อของคุณชายชอนขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่มีบาดแผลเลย”
น่าแปลกที่ไม่มีบาดแผลใดๆ ปรากฏอยู่บนท้องของคุณชายชอนที่น่าจะถูกแทงด้วยกระบี่ หากดูจากเลือดที่นองอยู่เต็มพื้นบริเวณที่เด็กหนุ่มนอนอยู่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัสหรือต้องตายอย่างแน่นอน องครักษ์จางคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกมากกว่าเป็นเรื่องที่น่าโล่งอกเสียอีก
นี่มันเรื่องอะไรกัน
คุณชายชอนที่เขาคิดว่าน่าจะบาดเจ็บสาหัสกลับนอนอย่างไร้ซึ่งบาดแผลอยู่ท่ามกลางศพของกลุ่มชายสวมหน้ากาก
หรือว่าท่านประมุข…ไม่หรอก ไม่มีทางที่ท่านประมุขจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เช่นนี้ ว่าแต่ใครกันที่ฆ่าคนพวกนี้แล้วช่วยชีวิตคุณชายชอน
องครักษ์จางอยากไขข้อข้องใจให้กระจ่าง แต่หลังจากกวาดตามองหาร่องรอยอยู่พักหนึ่งก็ไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ เพิ่มเติม เขาจึงจัดการฝังศพของกลุ่มชายสวมหน้ากากแล้วยกร่างของคุณชายชอนพาดบ่าและใช้วิชาตัวเบาพากลับไปยังอาณาเขตของพรรคมาร
ฟึ่บ!
เมื่อมือขององครักษ์จางสัมผัสร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายชอน อะไรบางอย่างที่อยู่ในหัวของเด็กหนุ่มก็ทำการกระตุ้นให้เขาฟื้นจากภาวะหมดสติ
[หยุดโหมดฟื้นฟูตัวเองเอาไว้ที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ตื่นได้แล้ว มาสเตอร์]
เสียงที่ดังอยู่ในหัวทำให้เด็กหนุ่มผู้เดิมทีไม่ได้สติลืมตาขึ้นมา
หือ?
เขาควรจะต้องตายเพราะเสียเลือดมากจากการถูกคมกระบี่ของชายสวมหน้ากากแทงเข้าที่ท้อง แต่ตอนนี้เขากลับอยู่บนบ่าของใครบางคน มันเป็นความรู้สึกที่แสนคุ้นเคย ชายที่แบกเขาอยู่ต้องเป็นจางกาคยององครักษ์ของเขาเป็นแน่
“องครักษ์จาง!”
เขาคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่พอได้เห็นองครักษ์จางใบหน้าก็พลันสดใสขึ้นทันที และตอนนั้นเองเสียงแข็งทื่อก็ดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง
[ยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูของผู้ใช้งาน ยกเลิกโหมดเฝ้าระวังอัตโนมัติ ดำเนินการรักษาตัวเองในส่วนที่เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์]
“โอ๊ย!”
ทันทีที่เสียงนิรนามดังก้องในหัว เด็กหนุ่มก็ปวดหัวอย่างรุนแรงจนต้องยกสองมือขึ้นมากุมเอาไว้
“คุณชาย! ฟื้นแล้วหรือขอรับ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”
ทันทีที่เด็กหนุ่มที่แบกอยู่บนบ่าได้สติ องครักษ์จางซึ่งกำลังใช้วิชาตัวเบาก็แย้มยิ้มอย่างยินดีก่อนจะเอ่ยถามถึงอาการ
“คุณชาย?”
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็หมดสติไปอีกครั้งเพราะไม่อาจทนอาการปวดหัวได้ หลังจากตะโกนเรียกเด็กหนุ่มอยู่พักใหญ่ องครักษ์จางก็เร่งวิชาตัวเบาให้เร็วยิ่งขึ้น
กว่าเด็กหนุ่มจะฟื้นจากการหมดสติก็เป็นช่วงเช้าของวันถัดมา
เฮือก!
ทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มชุ่มโชกไปด้วยเหงื่ออันเย็นเฉียบราวกับเมื่อคืนเขาฝันถึงเรื่องราวน่าสะพรึงกลัว แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ฝันอะไรเลย
พอรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเปียกชุ่ม เขาก็ยกหลังมือขึ้นมาเช็ดหน้าผาก แต่สิ่งที่ติดมาบนหลังมือกลับไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นบางอย่างที่เหนียวเหนอะหนะ
“อะไรกัน นี่ข้าตาฝาดไปรึ”
เขาไม่อาจซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้เมื่อเห็นของเหลวสีดำเหนียวๆ บนหลังมือ หนำซ้ำของเหลวสีดำนี้ยังมีกลิ่นรุนแรงมาก
“แหวะ!”
มันเหม็นมากจนทำให้เขาคลื่นไส้ ของเหลวเหนียวสีดำนี้ไม่ได้ติดอยู่บนหน้าผากเท่านั้น แต่ทั่วทั้งร่างล้วนเหนียวเหนอะหนะไปด้วยสิ่งนี้ราวกับว่ามันถูกขับออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย
“นี่มันคืออะไรกัน”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นในหัว
[ได้สติแล้วหรือ มาสเตอร์]
“อะไรนะ”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
[ได้สติแล้วหรือ มาสเตอร์]
“ท่าน…ท่านเป็นใครหรือขอรับ”
เขารีบลุกจากเตียงอย่างตกใจแล้วหันมองไปรอบๆ ด้วยสายตาระแวดระวัง แต่ไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากภายนอก
[ใจเย็นก่อน มาสเตอร์]
หรือเสียงนี้ดังอยู่ในหัวของข้า
[ใช่แล้ว มาสเตอร์]
เฮือก!
เขาไม่ได้พูดออกมาจากปาก แค่คิดอยู่ในหัวเท่านั้น แต่เสียงนั้นกลับตอบราวกับได้ยินความคิดของเขา ความตกใจสุดขีดทำให้เหงื่อเย็นเยียบไหลอาบใบหน้า
นี่คือเสียงวายุหรือ ไม่น่าใช่เสียงวายุนะ
เสียงวายุเป็นวิชาที่เหล่ายอดฝีมือผู้มีกำลังภายในใช้ลอบส่งเสียงไปยังเป้าหมายที่ต้องการ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินเสียงวายุมาแล้วครั้งหนึ่ง เสียงวายุจะรับรู้ผ่านกำลังภายใน ดังนั้นมันจึงใกล้เคียงกับคลื่นเสียงชนิดหนึ่ง
[ฉันไม่รู้ว่าเสียงวายุคืออะไร แต่เสียงนี้ไม่ใช่เสียงที่ได้ยินผ่านหูเหมือนที่ท่านคิด มาสเตอร์]
“ท่าน…ท่านเป็นใครกันขอรับ”
เด็กหนุ่มกวาดมองไปในอากาศและเอ่ยอย่างตกใจ เขาคิดว่าผู้ที่มีวิชาน่าทึ่งที่ส่งเสียงมาภายในหัวของเขาได้จะต้องเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจอย่างแน่นอน
[ฉันเป็นนาโนแมชชีนรุ่นที่เจ็ด ผลิตโดย Sky Corporation ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับสมองของมาสเตอร์]
“อะไรนะ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร”
เหตุการณ์ที่เกินความเข้าใจทำให้เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดเผือด ซึ่งนาโนแมชชีนที่ฝังอยู่ในสมองของเขาก็รู้ดีว่าผู้ใช้งานไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูด
“ท่านเป็นใครหรือขอรับ ทำไมถึงทำเช่นนี้กับข้า”
[ฉันคือนาโนแมชชีนรุ่นที่เจ็ด]
“นาโนมาชินหรือขอรับ”
[ใช่แล้ว ฉันคือนาโนแมชชีน]
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มแสดงอาการเครียด เพราะมาชินคือเทพมารอันเป็นที่เคารพเหมือนไฟศักดิ์สิทธิ์ในพรรคมาร ซึ่งมีเพียงประมุขพรรคมารที่จะทำหน้าที่สื่อสารกับเทพมาร
“ท่านคือท่านมาชินหรือขอรับ”
เด็กหนุ่มพลันคุกเข่าลงและถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ท่าทีนั้นทำให้นาโนแมชชีนซึ่งฝังอยู่ในสมองรู้ทันทีว่าผู้ใช้งานของตนกำลังเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
บทที่ 1
มาชิน (?) มาอยู่ในร่างข้า (2)
ชื่อของเด็กหนุ่มคือชอนยออุน
เขาเป็นคนในตระกูลชอนอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีคุณสมบัติก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของพรรคมาร
คำว่าตระกูลชอนทำให้หลายคนคิดว่าเขาน่าจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีภายในพรรคมารเพราะมีสายเลือดของประมุขพรรคมารผู้ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้น สายเลือดของตระกูลชอนนี้จะไม่มีปัญหาใดๆ เลยหากก่อนขึ้นเป็นรองประมุข เขาเป็นลูกของฮูหยินจากพรรคทั้งหกที่ค้ำชูพรรคมาร
ชอนยออุนไม่ได้เกิดในพรรคทั้งหก แต่เกิดจากหญิงรับใช้ที่ทำงานอยู่ในเรือนของท่านประมุข แม้จะคลอดออกมาจากมารดาที่เป็นหญิงรับใช้ แต่เพราะมีสายเลือดของตระกูลชอน เขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นรองประมุขพรรคมาร แต่ชีวิตที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ ก็ทำให้เขาแทบไม่อยู่ในสายตา
หากถามว่าเพราะเหตุใดชอนยออุนจึงถูกดูหมิ่นถึงเช่นนั้น คำตอบก็คือฮูหยินฮวาผู้เป็นแม่ของเขา
ท่านประมุขผู้เย็นชาไม่เคยมอบความรักให้ฮูหยินจากพรรคทั้งหกที่เกี่ยวดองกันเพื่ออำนาจ แต่กลับหลงรักและทะนุถนอมหญิงรับใช้ผู้ต่ำต้อย ด้วยเหตุนี้บรรดาฮูหยินจากพรรคทั้งหกที่เป็นภรรยาหลวงจึงต่างเดือดดาล อิจฉาริษยา และความหึงหวงของพวกนางก็ไม่ได้จบลงด้วยความโกรธแค้นธรรมดา
ตลอดชีวิตสิบห้าปีของชอนยออุน เขาทั้งถูกดูหมิ่นและถูกลอบสังหารหลายครั้ง เพียงเพราะเขาเป็นลูกของหญิงรับใช้ และด้วยการที่เขามีคุณสมบัติที่จะได้ขึ้นเป็นรองประมุขพรรคมาร ความโกรธที่เจือไปด้วยความอิจฉาริษยาของบรรดาฮูหยินของพรรคทั้งหกก็ยิ่งกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพยายามกำจัดชอนยออุนออกไปโดยไม่สนใจว่าเขาไร้ซึ่งกำลังและอำนาจใดๆ
เมื่อเจ็ดวันที่แล้วจนถึงตอนนี้ การลอบสังหารได้เกิดมากขึ้นจนไม่อาจเทียบกับเมื่อก่อน นั่นเพราะใกล้จะถึงวันเข้าสำนักมารซึ่งจะมีการทดสอบคุณสมบัติของการเป็นรองประมุขพรรคมารอย่างเป็นทางการ
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ชอนยออุนไม่มีทั้งส่วนเกี่ยวข้องในการแย่งชิงตำแหน่งรองประมุขและไม่มีอำนาจใดๆ แต่หากได้เข้าศึกษาในสำนักมาร เขาก็จะมีโอกาสได้เรียนวรยุทธ์และเพาะบ่มพลังอำนาจของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นหากเข้าไปอยู่ในสำนักมารแล้วก็ยังมีกฎห้ามคนนอกเข้าออกเป็นการส่วนตัว แม้จะเป็นคนของพรรคทั้งหกก็ไม่มีข้อยกเว้นจึงทำให้การลอบสังหารเป็นเรื่องยากกว่าเดิม
เพราะความร้อนใจเช่นนั้น เมื่อคืนวานซึ่งเป็นสองวันก่อนที่จะเข้าสำนักมาร คนพวกนั้นจึงส่งมือสังหารมาแบบโจ่งแจ้ง ต่างจากปกติที่จะทำอย่างลับๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังสกัดกั้นองครักษ์จางผู้คอยช่วยปกป้องเขาจากการถูกลอบสังหารอีกด้วย
“ท่าน…ท่านมาชินได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดขอรับ”
ชอนยออุนก้มหมอบกับพื้นและพูดกับน้ำเสียงที่พูดอยู่ในหัวของเขา เท่าที่จำได้ชะตาของเขาน่าจะขาดไปแล้วหลังจากถูกแทงด้วยกระบี่ แต่เหล่าศัตรูกลับตายด้วยน้ำมือของบุคคลปริศนาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาจึงมีชีวิตรอด
แล้วนาโนแมชชีนที่ฝังอยู่ในสมองของชอนยออุนก็ตอบกลับ
[ถ้าหมายถึงเหล่าศัตรูรายรอบที่หมายเอาชีวิตมาสเตอร์ คำตอบคือไม่ใช่ แต่ถ้าหมายถึงผู้ที่สร้างโหมดรักษาตัวเองให้ร่างกายของมาสเตอร์ที่กำลังจะตาย นั่นคือฉันเอง]
“โหมดรักษาตัวเองหมายความว่าอย่างไรขอรับ”
คำศัพท์ที่นาโนแมชชีนพูดอยู่ในหัวของชอนยออุนส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์ที่ยากจะเข้าใจ หลังจากประมวลผลสักครู่นาโนแมชชีนก็สรุปได้ว่าหากยังคงสนทนาแบบนี้ต่อไปจะยิ่งลำบาก
[โอนถ่ายข้อมูลพื้นฐานเข้าไปในหัวของมาสเตอร์…]
“มาสาเตอคืออะไรหรือขอรับ”
อย่าว่าแต่เข้าใจภาษาอังกฤษเลย แม้แต่ออกเสียงชอนยออุนก็ยังออกเสียงไม่ถูก นาโนแมชชีนรับรู้ได้ถึงความจำเป็นที่จะต้องค้นหาคำที่เหมาะสมกับมาสเตอร์ของตน
[เริ่มการค้นหาและเปลี่ยนแปลงการใช้คำตามยุคสมัย]
นาโนแมชชีนค้นหาคำที่ชอนยออุนน่าจะฟังเข้าใจเพื่อเริ่มการสนทนา เมื่อการจำแนกภาษาสิ้นสุดลง นาโนแมชชีนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
[นายท่าน ฉันไม่ใช่ท่านมาชินอย่างที่นายท่านเข้าใจ]
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหมือนข้ารับใช้ซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ความประหลาดใจก็ปรากฏบนใบหน้าของชอนยออุน เขาจึงถามกลับไปทื่อๆ เหมือนเดิม
“หากไม่ใช่ท่านมาชินแล้วท่านคือใครหรือขอรับ”
[ฉันกำลังจะถ่ายโอนข้อมูลของฉันและคู่มือการใช้งานอย่างง่ายๆ เข้าไปในสมองของนายท่าน นายท่านจะอนุญาตหรือไม่]
นาโนแมชชีนประมวลผลได้ว่าการถ่ายโอนข้อมูลรวดเร็วกว่าการอธิบาย ส่วนชอนยออุนผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ได้แต่พยักหน้ารับทั้งที่ไม่เข้าใจ ทันใดนั้นในหัวของชอนยออุนก็เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบ ภาพต่างๆ ผ่านเข้ามาในหัวราวกับมีใครบางคนยัดใส่เข้ามา
ซ่า!
หากมีใครมาเห็นสภาพของชอนยออุนในตอนนี้คงต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน เพราะเขามีอาการแปลกประหลาด ลูกตาดำเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เกิดอาการวิงเวียนจนต้องคว่ำหน้าลงกับพื้นแล้วอาเจียนออกมา
“อ่อก!”
[นี่เป็นครั้งแรกที่นายท่านได้สัมผัสกับการถ่ายโอนข้อมูล หากมีการถ่ายโอนข้อมูลครั้งที่สองก็จะไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะหรืออาเจียนอีกต่อไป]
หลังจากวิงเวียนอยู่พักหนึ่งชอนยออุนก็ค่อยๆ ตั้งสติ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งนัก เขาไม่เคยได้ยินหรือเรียนรู้มาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับรู้แล้วว่าสิ่งที่ฝังอยู่ในหัว ไม่สิ สิ่งที่ฝังอยู่ในสมองของเขาคือเครื่องจักรกลที่ผสานนาโนเทคโนโลยี
“นาโนแมชชีน?”
[ใช่แล้ว นายท่าน]
“ตอนนี้มีเครื่องจักรมากมายอยู่ในร่างของข้า…เป็นความจริงหรือขอรับ”
[ใช่แล้ว นาโนแมชชีน 6,482,400,000 ชิ้นถูกติดตั้งในร่างกายของนายท่าน]
ตอนแรกชอนยออุนเกิดความรู้สึกต่อต้านเมื่อได้รู้ว่ามีสิ่งประดิษฐ์อยู่ในร่างกายของตัวเอง แต่พอได้รู้ว่ามันไม่ใช่ทั้งคนและไม่ใช่ทั้งเทพมาร การพูดจาของชอนยออุนก็เปลี่ยนจากคำสุภาพมาเป็นถ้อยคำที่เป็นกันเองมากขึ้น
“หากข้าต้องการ เจ้าจะออกไปจากตัวข้าได้หรือไม่”
[ตามที่ได้โอนถ่ายข้อมูลไปให้นายท่านแล้ว ฉันถูกตั้งโปรแกรมให้ออกจากร่างกายของนายท่านก็ต่อเมื่อนายท่านเสียชีวิตโดยสมบูรณ์]
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือจะออกไปก็ต่อเมื่อตายเท่านั้น ชอนยออุนไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับตัวเองได้อย่างไร พวกพี่น้องต่างมารดาทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าตนที่ไร้ทางสู้ เท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้กลับมีเครื่องจักรกลที่เรียกว่านาโนแมชชีนเข้ามาอยู่ในร่างกายตนอีก
“เช่นนั้นใครเอาเจ้ามาใส่ไว้ในร่างของข้า…”
แต่ก่อนที่ชอนยออุนจะพูดจบเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อกๆ!
“คุณชาย ท่านหมอแพ็กมาแล้วขอรับ”
เมื่อเสียงขององครักษ์จางดังขึ้น ชอนยออุนที่หมอบอยู่บนพื้นก็พลันสับสนว่าต้องทำตัวอย่างไร เขากลัวว่าหากคนอื่นรู้ว่าเขาพูดคุยกับเครื่องจักรกลที่อยู่ในหัวของตัวเองได้ คนอื่นจะพลอยคิดว่าเขาประหลาด
“เอาล่ะ เจ้าอยู่เงียบๆ สักครู่นะ”
[เพียงคิดก็สามารถสนทนากันได้โดยอ่านคลื่นสมอง]
“เข้าใจแล้ว แต่เงียบสักครู่ก่อน”
[เข้าสู่โหมดปิดเสียงชั่วคราว]
ชอนยออุนกลับขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบนอนลงแล้วห่มผ้า ระหว่างนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก องครักษ์จางซึ่งเป็นชายวัยกลางคนผู้มีร่างกายสูงใหญ่เดินเข้ามาพร้อมหมอชราผู้มีผมสีขาวยาวประบ่า และทันใดนั้นเองความวุ่นวายก็เกิดขึ้น
“คุณชายอาจจะยังไม่ตื่น รบกวนท่านหมอตรวจอาการเงียบๆ…อ๊ะ คุณชาย!”
เมื่อองครักษ์จางพบว่าชอนยออุนกำลังนอนจ้องมองตัวเองอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองของเขาก็พลันเบิกโพลงแล้วพุ่งไปหาชอนยออุนทันที
“คุณชาย! ร่างกายเป็นอย่างไรบ้างขอรับ อึก!”
กลิ่นเหม็นรุนแรงที่โชยมาจากตัวของชอนยออุนทำให้องครักษ์จางรีบยกมือขึ้นปิดจมูกทันที
“นี่มันอะไรกันขอรับ”
ชอนยออุนมัวแต่คุยกับนาโนแมชชีนจนลืมสภาพของตัวเองไปเสียสนิท เขากำลังอยู่ในสภาพที่มีของเหลวเหนียวสีดำที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรไหลออกมาจากร่าง ซึ่งกลิ่นของมันรุนแรงมาก
“โอ๊ะ”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าหมอแพ็กเดินเข้ามาใกล้พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนอกสนใจ ชายชราผู้นี้มีชื่อว่าแพ็กจงอู เป็นหมอประจำตัวของท่านประมุข ในพรรคมารเรียกเขาว่าหมอมารซึ่งขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูสง่างามกับผมขาวยาวสลวยของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“คุณชายชอนรู้จักข้าใช่ไหม”
“ข้าจะไม่รู้จักท่านหมอแพ็กได้อย่างไรกันขอรับ”
ไม่มีใครในพรรคมารไม่รู้จักหมอมาร ตอนที่ฮูหยินฮวาแม่ของเขาล้มป่วย หมอผู้นี้ก็มาช่วยรักษาในนามของท่านประมุข ดังนั้นเขาจึงรู้จักเป็นอย่างดี
“ข้าจะจับชีพจร ยื่นมือมา”
“เอ่อ คือว่า…”
เพราะตั้งแต่มือไปจนถึงแขนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีดำ เขาจึงอายที่จะยื่นมือออกไป แต่หมอมารแพ็กจงอูเน้นย้ำอีกครั้งว่าไม่เป็นไรและให้ส่งมือออกมา เขาจึงยื่นมือออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หมอมารแพ็กจงอูใช้สองนิ้วจับชีพจร ทันใดนั้นดวงตาเขาก็พลันเป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความสนใจ
“เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ”
“หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ ท่านหมอแพ็ก คุณชายมีอะไรผิดปกติหรือขอรับ”
เมื่อองครักษ์จางทำหน้าเครียดและถามอย่างเป็นกังวล แพ็กจงอูก็ส่ายหน้าแล้วยิ้ม
“ตรงกันข้าม สำหรับคุณชายชอนแล้วมันอาจเรียกได้ว่าโชคชะตา”
“หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“ของเสียทั้งหมดของร่างกายถูกขับออกไปจนทำให้การไหลเวียนของเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดทำงานเป็นปกติ ท่านกินยาวิเศษจากไหนมารึ”
ชอนยออุนส่ายหน้าราวกับไม่เข้าใจที่แพ็กจงอูพูด
“ข้าหมายถึง…ร่างกายท่านเหมาะกับการฝึกวรยุทธ์แล้ว”
“ว่าอย่างไรนะขอรับ”
ในตอนนั้นเองชอนยออุนก็ทำหน้าตกใจต่อคำพูดของแพ็กจงอูแล้ว
ของเหลวเหนียวสีดำที่เปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัวของชอนยออุนไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นของเสียจากร่างกายของเขาเอง และที่โชคดียิ่งกว่าก็คือนี่ไม่ใช่เพียงการขับของเสียออกมาเท่านั้น แต่การไหลเวียนของเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดก็ยังกลับมาทำงานเป็นปกติอีกด้วย ซึ่งทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพพร้อมที่สุดสำหรับการฝึกวรยุทธ์
เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับชอนยออุน เขาไม่เคยได้รับสิ่งใดรวมถึงไม่เคยฝึกวรยุทธ์เพียงเพราะเขาเป็นลูกที่เกิดจากหญิงรับใช้ ซึ่งมันทำให้เขาไม่มีกำลังภายในเลย
นี่ นาโนแมชชีน เจ้าเป็นคนทำให้ข้ากลายเป็นเช่นนี้รึ
[…]
[จะยกเลิกโหมดปิดเสียงหรือไม่]
ยกเลิก…
[ยกเลิกโหมดปิดเสียง นาโนแมชชีนมากมายที่ฝังไว้ทั่วร่างกายของนายท่านช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกายส่วนที่เสียหายและกำจัดของเสียที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย อีกทั้งยังเปลี่ยนเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นให้อยู่ในสภาพเหมาะสมที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวร่างกาย]
เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่
หลังจากฟังคำพูดของหมอมารแพ็กจงอู ชอนยออุนก็พอจะคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นฝีมือของนาโนแมชชีน แต่พอได้ยินเองในหัวเขาก็ถึงกับอึ้งในความสามารถอันน่าทึ่งของมัน
แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ใช่ท่านมาชิน
[ฉันคือแมชชีนไม่ใช่มาชิน]
นาโนแมชชีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อในแบบฉบับของเครื่องจักรกล