ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 25 ตอนที่ 1
บทที่1 เสียงกู่ร้องของชาวฮวง
ห่างออกไปประมาณสิบลี้ สองข้างซ้ายขวาของรถลากของเจ้านิกายยังมีรถลากอีกสองคัน รถลากคันด้านขวามีสีแดงโลหิต แผ่กลิ่นอายหนาวยะเยือก นี่คือรถลากของต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาเยี่ยหงอวี๋ ส่วนคันด้านซ้ายมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ คือต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้า
ตอนที่รถม้าสีดำแล่นผ่านชาวฮวงลงมาทางใต้ ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าที่ตั้งแต่เริ่มสงครามจนกระทั่งบัดนี้เอาแต่ก้มหน้าอ่านคัมภีร์มาตลอดโดยไม่ปริปากพูดสักคำพลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศเหนือ มองเส้นขอบเมฆที่เกิดจากเมฆดำตรงฟ้าไกลพลางกล่าวเบาๆ ว่า
“มืดจริงๆ”
ครู่ต่อมาเงาร่างสูงใหญ่ในหอบนรถลากคันมโหฬารพลันสั่นเล็กน้อย มองกลุ่มเมฆดำทางทิศเหนือพลางกล่าวว่า
“รัตติกาลใกล้มาถึงแล้ว พวกเจ้ายังลังเลสิ่งใด”
น้ำเสียงของเจ้านิกายไม่ได้กระแทกกระทั้น แต่ดังกึกก้อง เหมือนเสียงฟ้าร้องแผ่กระจายไปรอบรถลาก พวกเสินกวนและยอดฝีมือที่อยู่ริมรถลากหน้าซีดในทันที เมื่อได้ยินเนื้อหาและกลิ่นอายของความตื่นตัวระแวดระวังที่แฝงอยู่ในวาจานั้นแล้วสีหน้าก็ซีดลงอีก
ในสนามรบคนที่สามารถมองเห็นรถม้าสีดำที่อยู่ห่างไกลคันนั้นเหมือนต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าและเจ้านิกายมีน้อยมาก แต่กลุ่มเมฆดำทะมึนจากทางเหนือซึ่งเคลื่อนตามลงมากลับสะดุดตายิ่ง ผ่านไปไม่นานทุกคนก็สังเกตเห็นกลุ่มเมฆตรงขอบฟ้า
ความเงียบสนิทมาเยือนที่ตั้งค่ายของทั้งสองฝ่าย จากนั้นฝ่ายชาวฮวงก็มีเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้อง บรรยากาศของฝ่ายกองทัพร่วมจึงค่อนข้างอึดอัด บางคนมีสีหน้าหวาดกลัว
สงครามครั้งนี้ถงหลิ่งขององครักษ์เทพหลัวเค่อตี๋ไม่ได้อยู่ข้างกายเยี่ยหงอวี๋ แต่ไปอยู่อารักขาเจ้านิกาย ในเมืองเฉาหยางมันถูกหนิงเชวียเล่นงานจนปางตาย ทว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บคล้ายหายดีแล้ว คงเป็นเพราะเจ้านิกายใช้วิชาเทพช่วยรักษามัน
พอได้ยินวาจาที่ดังประหนึ่งเสียงฟ้าร้องของเจ้านิกาย หลัวเค่อตี๋ก็ขานรับอย่างหนักแน่นแล้วโบกธงในมือเป็นคำสั่งให้ทัพต่างๆ ของกองทัพร่วมที่ตั้งค่ายเรียงรายกันยาวยี่สิบกว่าลี้ออกโจมตี
การต่อสู้ที่เพิ่งหยุดพักได้ไม่นานเริ่มขึ้นอีกครั้งภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพ และภายใต้การอวยพรจากวิชาเทพของเหล่าเสินกวนชุดแดง กองทัพร่วมที่เหนื่อยล้าคล้ายได้รับพลังและความกล้าเพิ่มขึ้นมาในพริบตา โห่ร้องพุ่งเข้าหาแนวรบของชาวฮวง กีบเท้าม้าจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียบพื้นดิน ฝุ่นควันฟุ้งตลบ แผ่นดินสั่นสะเทือน
นักรบชาวฮวงเหนื่อยล้ามากเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นชายวัยกลางคนที่ผมเริ่มขาวหรือชายหนุ่มที่ใบหน้าดูเยาว์วัย ล้วนลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมรับมือศัตรู พวกมันไม่ได้ตะโกนโห่ร้องเหมือนกองทัพร่วม สีหน้าก็ไม่มีความคึกคัก แต่นิ่งเงียบกำขวานในมือไว้แน่น
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกัน ขวานกับดาบปะทะกัน หมัดกับศีรษะของม้าปะทะกัน กระบี่กับร่างกายปะทะกัน ยันต์กับขวานบินปะทะกัน โลหิตกับโลหิตปะทะกัน เสียงปะทะกันอย่างหนักหน่วงดังขึ้นมากมายในทุ่งร้าง ม้าศึกมากมายร้องโหยหวนล้มลง ทหารม้ามากมายล้มลง และตอนที่ชาวฮวงล้มลงจะมีอาวุธแหลมคมมากมายโจมตีเข้ามา
หลัวเค่อตี๋ที่รอรับคำสั่งอยู่ข้างรถลากคันใหญ่ใช้หางตามองเงาร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในหอ รู้ว่าเจ้านิกายไม่พอใจการบุกของกองทัพร่วม จึงกัดฟันกรอดนำเหล่าองครักษ์เทพในสังกัดและทหารม้าพิทักษ์นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งพันนายตวาดก้องบุกเข้าไปสมทบ
นักรบชาวฮวงสองพันคนที่ยืนรออยู่ในแนวหลังซึ่งตลอดมาไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ นิ่งเงียบสังเกตความเคลื่อนไหวของทางรถลากคันมโหฬารอยู่ ตอนนี้เห็นอาศรมเทพใช้ทหารม้าพิทักษ์นิกายในตำนานแล้ว นักรบชาวฮวงเหล่านั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกันโดยมีถังวิ่งอยู่หน้าสุด
ทันใดนั้นเอง ทางทิศตะวันตกก็มีเสียงกีบเท้าม้าดังถี่ยิบ เสียงกีบเท้าม้าเหล่านั้นดังหนักแน่น แสดงว่าน้ำหนักของทหารม้าและม้าศึกนั้นไม่ธรรมดา อีกทั้งเสียงกีบเท้ายังพร้อมเพรียง ดังถี่ยิบเช่นนี้แต่ไม่ชุลมุนวุ่นวาย เสียงเหมือนคนหลายพันคนกำลังตีกลองอย่างพร้อมเพรียงกัน แสดงให้เห็นถึงระดับความแข็งแกร่งและความมีระเบียบวินัย
ทหารม้าชั้นดีของต้าถังหนึ่งหมื่นกว่านายออกโจมตี เพียงไม่นานแนวรบด้านขวาของชาวฮวงก็เริ่มรับแรงกดดันไม่ไหว มีทีท่าว่าจะพังทลาย
ถังและพวกหัวหน้านักรบเดาได้ถึงสาเหตุที่กองทัพร่วมอาศรมเทพเข้าจู่โจมพวกตนอีกครั้งราวกับคลุ้มคลั่ง…เพราะรถม้าสีดำคือตัวแปรหนึ่งที่อาจไม่มีความหมายใดๆ หรืออาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในสนามรบได้ ดังนั้นชาวฮวงจึงไม่ลังเลที่จะเข้ารับศึกอย่างไม่ยอมถอย
แม้ต้องมีคนตายมากมายอย่างแน่นอนภายใต้การโจมตีของกองทัพร่วม แต่พวกมันมั่นใจว่าสามารถยืนหยัดจนกระทั่งรถม้าสีดำมาถึง ทว่าเมื่อเห็นทหารม้าของต้าถังหมื่นกว่านายเริ่มจู่โจม พวกมันจึงเริ่มรู้สึกถึงอันตราย
ตอนนี้สนามรบมีแต่ความชุลมุน ถังและกลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดไม่สามารถไปช่วยคนในเผ่ารบทางปีกขวา อีกทั้งต่อให้ตอนนี้ไปทันก็ไม่สามารถรบชนะทหารต้าถังนับหมื่นที่บุกทะลวงเข้ามา
ดังนั้นพวกมันจึงบุกตะลุยต่อไปตรงกลางอย่างสุขุมและดุดัน หวังว่าจะสามารถข่มขวัญกองทัพร่วมอาศรมเทพได้ ดีที่สุดคือสามารถทำลายทหารม้าพิทักษ์นิกายกลุ่มนั้นให้ย่อยยับ ถ้าสามารถทำได้ไม่แน่ว่าสงครามที่จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนในครั้งนี้อาจมีโอกาสพลิกผัน อย่างน้อยก็สามารถทำให้ห้วงยามที่น่าเศร้าของการสิ้นเผ่ามาถึงช้าลงอีกหน่อย
ใจกลางของกองทัพร่วมคือกองทัพของแคว้นหนานจิ้น แต่ไรมาแคว้นหนานจิ้นคิดว่าตนเองคือแคว้นที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของโลก ทหารม้าของหนานจิ้นก็โอ้อวดว่าตนคือกองทัพที่แข็งแกร่งอันดับสอง จนกระทั่งพวกมันมาสู้รบกับชาวฮวงที่ทุ่งร้างจึงรู้ว่านั่นคือการยกหางตัวเองที่น่าอายแค่ไหน และตอนนี้พวกมันต้องเผชิญกับการโจมตีที่หนักหน่วงของนักรบชาวฮวงที่แข็งแกร่งที่สุดสองพันกว่าคน กระบวนทัพจึงรวนในทันที ผู้ฝึกฌานหลายคนถึงขนาดโดนม้าเหยียบตาย
เฉิงจื่อชิงยอดฝีมือจากศาลากระบี่แห่งหนานจิ้นสวมชุดทหารม้าหนานจิ้นธรรมดา ขี่ม้าตวัดกระบี่ฟาดฟันซ้ายขวา สายตาจับจ้องอยู่ที่หัวหน้านักรบชาวฮวงคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง
หัวหน้านักรบคนนั้นมีพละกำลังแข็งแกร่งยิ่ง มีศิษย์ศาลากระบี่สามคนแล้วที่ถูกคนผู้นี้ฆ่าตาย ทหารม้าหนานจิ้นอย่างน้อยหลายสิบนายก็ถูกคนผู้นี้ใช้สิ่งของที่คล้ายกระบองเหล็กตีจนล้ม
ตอนนี้สถานการณ์ของทัพทหารม้าหนานจิ้นย่ำแย่ยิ่ง หากปล่อยให้หัวหน้านักรบคนนั้นบุกเข้ามาต้องเกิดความระส่ำระสายอย่างแน่นอน หากกลางทัพถูกตีแตกชาวฮวงจะสามารถเผชิญหน้ากับทหารม้าพิทักษ์นิกายได้โดยตรง ดูจากท่าทีของชาวฮวงในตอนนี้ เป้าหมายคือต้องการบดขยี้ทหารม้าพิทักษ์นิกายหนึ่งพันนายนั้น
ใบหน้าของเฉิงจื่อชิงพลันขาวซีด เจตนารมณ์กระบี่ที่บริสุทธิ์ไหลซึมออกมาจากใต้ชุดทหารธรรมดาของมัน กระบี่พุ่งออกไปจากมือกลายเป็นสายรุ้งยาวแทงตรงไปที่หัวหน้านักรบคนนั้น
เสียงดังฉึก!กระบี่บินที่แฝงพลังฌานทั้งชีวิตของมันแทงทะลุท้องของหัวหน้านักรบคนนั้น โลหิตไหลทะลักออกมาราวสายฝน แต่สภาวะกระบี่ยังไม่สิ้นสุด ด้ามกระบี่ยังพาร่างท่อนล่างของหัวหน้านักรบคนนั้นลอยไปไกล
ชาวฮวงหลายคนมีสีหน้าเจ็บปวดระคนเศร้าใจ กระโดดเข้าหาเฉิงจื่อชิง
เฉิงจื่อชิงสีหน้าไม่หวั่นไหว ใช้นิ้วแทนกระบี่โจมตีชาวฮวงพวกนั้นจนล้มลงอย่างง่ายดาย มันเป็นยอดฝีมือของศาลากระบี่แห่งหนานจิ้น ที่นั่นด่านฌานของมันต่ำกว่าเพียงเทพกระบี่หลิ่วไป๋ มันคือยอดผู้ฝึกฌานด่านรู้ชะตาขั้นกลาง ชาวฮวงธรรมดาหาใช่คู่ต่อสู้ของมันไม่ ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้มันออมกำลังไว้ก็เพื่อการโจมตีที่น่าตื่นตะลึงในครั้งนี้
ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้วมันย่อมไม่คิดจะสู้ต่อ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฌานที่แข็งแกร่งขนาดไหนร่างกายยังคงอ่อนแอ ในสนามรบที่เต็มไปด้วยลูกธนู ขวานบิน และการสั่นสะเทือนของพลังปฐมแห่งฟ้าดิน ไม่ว่าผู้ใดก็อาจตายได้ทุกเมื่อ ตอนนี้มันใช้กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตไปแล้วจึงต้องรีบทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลัง
เฉิงจื่อชิงชี้นิ้วขึ้นฟ้า คิดเรียกกระบี่กลับมา ทว่าทันใดนั้นเองมันก็ได้ยินเสียงเท้ากระทืบดินดังมาแต่ไกล สีหน้ามันแปรเปลี่ยนในทันที
เสียงเท้ากระทืบดินเหมือนดั่งเสียงตีกลอง คนผู้นั้นมาเร็วมาก แต่ที่เร็วกว่าคือหมัด เจตนารมณ์แห่งหมัดที่ร้อนลวกอย่างน่ากลัวโจมตีมาที่ใบหน้าของเฉิงจื่อชิงจากระยะห่างหลายสิบจั้ง!
เฉิงจื่อชิงตอนนี้หมดสิ้นพลังจิต ร่างกายเหนื่อยล้า กระบี่แก่นฐานชีวิตไม่รู้ลอยไปไกลกี่ลี้ ไหนเลยจะสามารถต้านทานเจตนารมณ์แห่งหมัดที่น่ากลัวนี้ได้ มันจึงได้แต่รอความตาย