• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ปริศนาด่านปีศาจอวี้เหมิน 1 บทที่ 1 – 2

    มีคนบอกว่าตอนกลางคืนท่ามกลางพายุทรายซัดโหม หากคุณมองเห็นกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นจากดินเหลืองได้รางๆ ล่ะก็ อันที่จริงนั่นคือวิญญาณของด่านอวี้เหมิน

     

     

    บทที่ 1

     

    เมืองซีอัน

    กำแพงเมืองโบราณล้อมรอบพื้นที่ใจกลางเมืองซีอัน ที่อยู่ตรงกลางคือหอกลองหอระฆัง ด้านหลังของหอมีถนนสายหนึ่ง ไม่ว่าจะฤดูท่องเที่ยวหรือไม่ ฝนตกหรือว่าแดดออก ที่นี่ก็เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ นักท่องเที่ยวแออัดยัดเยียด

    ถนนสายนี้ชื่อถนนหุยหมิน หรือที่ถูกเรียกขานอีกหลายหลาก เช่น ‘ถนนสายวัฒนธรรมและอาหารรสเลิศอันโด่งดัง’ ‘ตัวแทนแห่งซีอัน’ หรือ ‘จุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดของซีอัน’

    บรรยากาศคึกคัก ทุกตารางนิ้วมีค่าดุจทองคำ ร้านค้าสารพัดสารพันเบียดเสียดกันอย่างสุดกำลังอยู่บนพื้นที่ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับปลายเหล็กหมาด หากผิวถนนไม่พอ ก็ขยับขยายเข้าไปภายในตรอกแคบ ขอแค่มีที่ให้วางป้ายไว้บนผิวถนนก็ได้แล้ว ข้อความบนป้ายก็อย่างเช่น ‘ห้องพัก ข้างใน 15 เมตร’ อะไรประมาณนี้

    ห่างจากท้ายถนนประมาณเศษหนึ่งส่วนสาม มีตรอกแบบที่ว่าอยู่แห่งหนึ่ง ที่ขายอยู่หน้าปากตรอกคือน้ำบ๊วยเปรี้ยว ที่อยู่ทางด้านบนมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘ละครหุ่นเงา แสดงตามเวลาที่กำหนด’

    ที่อยู่ต่ำลงมาคือป้ายร้านงดงามชวนมอง มีหุ่นตัวละครเงาผู้หญิงตัวหนึ่งประดับอยู่ รูปร่างหน้าตาสะสวยพริ้มเพรา เอวเล็กบาง ถักเปียยาวดำขลับไว้ทางด้านหลัง

    นักท่องเที่ยวที่สนใจหรือเดินเล่นจนเหนื่อยแล้วจะยืนถือแก้วน้ำบ๊วยเปรี้ยวอยู่หน้าปากตรอก ซื้อตั๋วละครใบละสิบหยวนเพื่อเข้าชมการแสดงละครหุ่นเงาสิบนาที

    โรงละครมีขนาดไม่ใหญ่นัก หักเวทีออกก็จะเหลือพื้นที่แค่สิบกว่าตารางเมตร มีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ด้วยกันสามแถว บนผนังประดับประดาไว้ด้วยหุ่นเงาหลากสี หากนักท่องเที่ยวคนไหนถูกใจ ก็หิ้วพวกมันกลับบ้านได้ในราคาสามตัวห้าสิบหยวน

    คนเชิดหุ่นเงาคือชายชราอายุหกสิบกว่า เส้นผมขาวโพลน แข้งขาไม่สู้ดี ชื่อติงโจว เพราะไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับผู้คน จึงทำเพียงนั่งอยู่หลังม่านขาวเรียบแข็งโปร่งแสงที่ขัดด้วยน้ำมันปลาอยู่เป็นเวลาช้านาน สองมือควบคุมหุ่นเงาสองสามตัว พาพวกมันขยับไหวตามจังหวะกลอง โลดแล่นไปตามเส้นเรื่องยอดนิยมในอดีต

    บ้างก็ ‘พ่อค้าเร่จีบสาว’ บ้างก็ ‘เทพนาจาสำรวจสมุทร’

    คืนนี้ละครหุ่นเงาเปิดทำการแสดงตอนหนึ่งทุ่มตรง ทว่าเพียงหกโมงห้าสิบ ที่นั่งด้านล่างของเวทีก็ถูกผู้คนเข้าจับจองเต็ม

    ติงโจวเลิกม่านมองลงไป

    ผู้ชมส่วนมากล้วนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองที่จูงลูกหลานมาดู เด็กส่วนใหญ่มักนั่งไม่เป็นสุข ขยับก้นไปมาอยู่บนม้านั่ง ปากก็พร่ำถาม “การ์ตูนจะเริ่มฉายตอนไหน”

    ติงโจวเดาได้ว่าหลังจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น หลังเริ่มแสดง เด็กพวกนี้ก็จะเริ่มหมดสนุก รู้ว่าละครหุ่นเงาเทียบกับการ์ตูนไม่ได้ ท่ามกลางเสียงดังโฉ่งฉ่างเสียงร้องแหบพร่ายากเข้าใจ เด็กพวกนั้นจะพากันโวยวายต้องการออกไปเล่นข้างนอก พวกผู้ใหญ่เอ่ยปากตำหนิ เด็กเริ่มร้องไห้เอะอะเอ็ดตะโร

    ส่วนเขาก็พยายามประคับประคองละครให้ดำเนินไปตามจังหวะท่วงทำนองสมัยเก่าอยู่ท่ามกลางบรรยากาศโกลาหล

    แค่คิดก็หมดแรงแล้ว ทว่าชีวิตส่วนใหญ่ของคนเรา แต่ไหนแต่ไรก็ชวนอ่อนล้าสิ้นแรงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

    ขาดอีกสองนาทีจะหนึ่งทุ่ม หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

    ติงโจวใจเต้น

    มาอีกแล้ว มาสามวันติดๆ หนำซ้ำยังหนึ่งทุ่มตรงตลอด

    เขาสังเกตเห็นเธอได้ตั้งแต่ครั้งแรก หญิงสาวหน้าตาสะสวย เส้นผมยุ่งๆ ยาวปรกไหล่ พาดกระเป๋าผ้าใบสีดำกลางเก่ากลางใหม่อยู่บนไหล่ สวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีนขาดๆ รองเท้าหนังหัวโตพื้นยางดิบผูกเชือก แขนเสื้อพับถึงข้อศอก บนแขนกับบนกางเกงมีคราบน้ำมันเครื่องปรากฏให้เห็น

    ท่าทางคล้ายพวกช่างซ่อมหัวรถจักร แต่แน่นอนว่าไม่ใช่

    ละครหุ่นเงานี้ คนที่มาดูเป็นครั้งแรกส่วนใหญ่ล้วนเพราะรู้สึกแปลกใหม่ ครั้งที่สองอาจเป็นไปได้ว่าเพราะความสนใจ แต่มาครั้งที่สามน่าจะเพราะมีวัตถุประสงค์อื่น หนึ่งทุ่มตรงเรื่องที่เล่นทุกครั้งก็ล้วนแต่เรื่อง ‘พ่อค้าเร่จีบสาว’ ละครเกี้ยวพาราสีตรงไปตรงมาแบบนี้มีค่าอะไรให้ดูซ้ำกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนช่วงหยุดพัก เขาแอบชำเลืองมองจากขอบม่านลงไปหลายต่อหลายครั้ง พบว่าผู้หญิงคนนั้นอันที่จริงไม่ได้ตั้งใจดูละครเลยแม้แต่น้อย

    เธอคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สายตาราวกับต้องการมองทะลุผ่านม่านเข้ามา

    หลังม่านมีอะไรหรือไง นอกจากแสงไฟต้นกำเนิดกับเครื่องเสียงแล้วก็มีแต่…เขาเท่านั้น

    ติงโจวลุกลี้ลุกลน

     

    ละครเลิก แสงไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง

    คนดูส่วนใหญ่เดินออกจากประตูไปพร้อมเสียงบ่นพึมพำ ‘ไม่สนุก’ อาจมีสักสองสามคนที่ยังยืนเลือกหุ่นเงาบนผนัง เตรียมเอากลับบ้านไปเป็นของที่ระลึก

    หญิงสาวคนนั้นนั่งนิ่งไม่ขยับ กระเป๋าผ้าใบแขวนอยู่กับมุมเก้าอี้ มือข้างหนึ่งฟั่นตั๋วไปมา บนข้อมือเหมือนสักรูปงูไว้รอบๆ หากมองดูเผินๆ อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสร้อยข้อมือ

    ติงโจวกระแอมกระไอ เดินลากขาลงมาจากขอบเวที แสร้งทำเป็นจัดโต๊ะเก้าอี้ ตอนเดินผ่านหญิงสาว เขายิ้มเกรงอกเกรงใจให้เธอเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “มาเที่ยวหรือ”

    “จะว่างั้นก็คงได้”

    “เห็นคุณมาสองสามครั้งแล้ว ทำนองร้องสมัยเก่า ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า เด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ชอบ”

    หญิงสาวมองดูม่านที่ดับมืดลง “หุ่นเงาตั้งหลายตัว แต่คุณกลับควบคุมบังคับคนเดียว ร้ายกาจจริงๆ”

    ติงโจวพูดถ่อมตัว “ใช่เสียที่ไหนกัน ถ้าไปดูที่ด้านหลังเวที คุณจะเห็นว่าเสียงกลองเสียงร้องอะไรพวกนั้นล้วนถูกบันทึกไว้ก่อนแล้ว คนเชิดหุ่นเงาตัวจริงต้อง ‘สองมือโลดแล่นทหารร้อยหมื่น’ มือคุมหุ่นเงาสิบกว่าตัว ทำศึกไม่สับสน ไหนยังจะต้องร้องเคาะท่องตีอีก นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าร้ายกาจ…ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร”

    “ฉันแซ่เยี่ย เยี่ยหลิวซี”

    ติงโจวไม่ได้แนะนำตัวเอง เพราะบนตั๋วบนป้ายล้วนแต่มีชื่อของเขาด้วยกันทั้งนั้น เธอไม่มีทางไม่รู้

    เขาชี้ไปยังหุ่นเงาบนผนัง “เอาไปสักสองตัวสิ พวกมันทำจากหนังวัว ขัดจนโปร่งแสง เจาะสลักด้วยมีด เป็นงานทำด้วยมือล้วนๆ งานซับซ้อนแบบนี้ต้องลงมีดถึงสามพันกว่าครั้งกว่าจะได้ ตัวตัวหนึ่งต้องใช้เวลาทำถึงสองสามวัน ของดีทั้งนั้น”

    เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดเหลวไหล ตอนนี้มีเครื่องจักรที่ใช้แกะสลักหุ่นเงาหนังโดยเฉพาะ ผลิตได้ครั้งละมากๆ ปั๊มหุ่นเงาหนังออกมาได้วันละหลายร้อยตัว ช่างฝีมือที่ยินดีนั่งหลังขดหลังแข็งบรรจงแกะเจาะสลักมันด้วยมีดทีละเล็กละน้อยในเวลานี้เรียกได้ว่าเหลือน้อยเต็มที…ทว่าทำการค้ากับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าใครก็พูดแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น

    เยี่ยหลิวซียิ้ม “คุณคงดูออกแต่แรกแล้ว งั้นฉันพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน เป้าหมายของฉันไม่ได้มาดูละครหุ่นเงา…ฉันมาที่นี่เพื่อหาคน ได้ยินว่าชางตงเป็นหลานของคุณ?”

    มือของติงโจวสั่นระริก

    คนดูเดินออกไปกันพอสมควรแล้ว แสงไฟสาดอยู่บนหุ่นเงาสีแดงท้อหลิ่วเขียวเหลืองแอปปริคอตที่แขวนอยู่บนผนัง ดวงตาเรียวยาวของพวกมันถูกสลักด้วยมีด เบียดเสียดอยู่ด้วยกัน แลดูหลอนหลอกลวงคน

    ติงโจวเดินไปที่ข้างประตู แขวนป้าย ‘หยุดพัก’ ก่อนจะลงกลอน

    บานประตูปิดกั้นเสียงอึกทึกของผู้คนบนถนนหุยหมินไม่อยู่ รวมถึงกลุ่มควันปิ้งย่างสารพัดด้วย

    เขามองไปทางเยี่ยหลิวซี น้ำเสียงเฒ่าชรากว่าเมื่อครู่ “คุณมีธุระกับเขา?”

    เยี่ยหลิวซีบอก “ได้ยินว่าเขาชำนาญเรื่องทะเลทรายโกบี เคยขับรถบุกเดี่ยวตะลุยหลัวปู้พัว บางคนเรียกเขาว่า ‘เขี้ยวทะเลทราย’ คนทั่วไปพอถึงที่นั่นก็มีแต่ปล่อยตัวตามยถากรรม ทว่าเขากลับเอาตัวรอดจากคมเขี้ยวของทะเลทรายมาได้”

    ติงโจวเข้าใจแล้ว “คุณตั้งใจจะเข้าทะเลทราย เลยมาหาชางตงให้เขาช่วยนำทาง?”

    “ใช่แล้ว”

    “งั้นคุณรู้หรือเปล่า เมื่อสองปีก่อนเกิดเรื่องกับชางตง หนำซ้ำยังเป็นข่าวใหญ่ ถูกคนบนอินเตอร์เน็ตด่าว่าไม่ต่างอะไรกับหมูกับหมา”

    เยี่ยหลิวซีเปิดกระเป๋าผ้าใบออก หยิบเอาม้วนนิตยสารออกมาวางลงบนโต๊ะ “ถ้าเรื่องที่คุณจะพูดคือเรื่อง ‘คามีเลียสีดำกลางทะเลทราย’ ล่ะก็ เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว”

    สายตาของติงโจวจับจ้องอยู่บนปกนิตยสาร

    นั่นเป็นนิตยสารผจญภัยฉบับหนึ่ง หน้าปกเป็นภาพหัวข้อข่าวร้อนบนโลกออนไลน์ ติงโจวเคยอ่านหัวข้อข่าวนั่นมาก่อน มันเป็นกระทู้ที่ฮอตฮิตที่สุดในเพจของผู้รักการเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนานตลอดสองปี

    เจ้าของกระทู้เป็นนักผจญภัยอาวุโสที่ประสงค์ดีคอยเตือนนักเดินทางรุ่นหลังอยู่ตลอด เขารวบรวมสรุปเหตุหายนะครั้งใหญ่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเหล่านักผจญภัยเมื่อสองสามปีก่อนไว้ ไม่ว่าจะเรื่อง ‘หายสาบสูญบนเส้นทางเดินเท้าโม่ทัว’ ‘ทางน้ำมรณะซย่าเท่อ’ ‘ขาดการติดต่อบนดินแดนหิมะคาน่าซือ’ รวมถึงเรื่อง ‘คามีเลียสีดำกลางทะเลทราย’

     

    สองปีก่อน มีกลุ่มนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘คามีเลีย’ วางแผนเดินทางไปยังดินแดนไร้ผู้ครอบครองใหญ่ทั้งสี่แห่งในประเทศ โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่หลัวปู้พัว เรื่องนี้กลายเป็นข่าวโด่งดัง มีการติดต่อขอสัมภาษณ์จากสำนักข่าวต่างๆ และคนที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำหน้าที่นำทางก็คือชางตงนั่นเอง

    คืนเกิดเหตุ อันที่จริงพวกเขาเพิ่งเดินทางเข้าทะเลทราย แม้แต่ชายขอบหลัวปู้พัวก็ยังไม่ทันได้เฉียดผ่าน…บล็อกเกอร์อย่างเป็นทางการของกลุ่ม ‘คามีเลีย’ ได้ส่งข่าวออกมา ใจความสำคัญเกี่ยวข้องกับการตั้งแคมป์ที่ตั้งในคืนนั้น บอกว่าหัวหน้ากลุ่มคามีเลียกับชางตงสองคนถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะหัวหน้ากลุ่มคิดตั้งแคมป์พักตรงจุดที่พวกเขาอยู่ในเวลานั้น แต่ชางตงกลับยืนกรานให้เดินทางต่ออีกสองชั่วโมงแล้วค่อยไปตั้งแคมป์หยุดพักแถวเนินทรายเอ๋อโถว (เนินทรายหัวห่าน)

    ความคิดเห็นของสหายนักผจญภัยออนไลน์จำนวนมากเทไปทางชางตง

     

    รักหมีไม่กลับบ้าน : ชางตงเป็นถึง ‘เขี้ยวทะเลทราย’ ประสบการณ์เต็มเปี่ยม แน่อยู่แล้วว่าควรฟังเขา ส่วนพวกไม่มีประสบการณ์ทางที่ดีควรหุบปากเลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว

    ข้าคือเจ้าชายซาอุดิอาระเบีย : นักท่องเที่ยวบางคนในหัวมีก็แต่สมองลา แค่เคยไปทะเลทรายมาหน่อยเดียวก็คิดว่าตัวเองเดินทางกลางทะเลทรายได้แล้ว แน่นอนว่าควรฟังชางตง ชาวบ้านเคยตะลุยหลัวปู้พัวมาแล้ว ขนาดอวี๋ฉุนซุ่น* ที่ว่าแน่ก็ยังเดินออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ

    ผักชีไปตาย : ฟังชางตงรับรองไม่ผิด ชาวบ้านเป็นมืออาชีพ ในใจผม เขาคือเจ้าชายทะเลทรายเหมือนกับจ้าวจื่ออวิ่น**!

     

    คืนนั้น ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ พายุทรายที่พบเจอได้น้อยครั้งจะโถมกระหน่ำเข้าใส่พื้นที่ราบเนินทรายที่พวกเขาตั้งแคมป์อยู่ หายนะที่เกิดขึ้นคร่าชีวิตผู้คนไปแทบสิ้น

    นอกจากชางตงแล้ว คนที่เข้าร่วมเดินทางทั้งสิบแปดคนล้วนประสบหายนะ หนำซ้ำการเคลื่อนตัวของเนินทรายยังเป็นไปอย่างรุนแรง ภายในคืนเดียวร่างและแคมป์ที่พักล้วนถูกผลักเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมไปไกลหลายร้อยเมตร ทำให้การค้นหาร่างของผู้เสียชีวิตประสบความล้มเหลว

    นับแต่นั้นภาพโพรไฟล์ของบล็อกทีมคามีเลียก็กลายเป็นสีดำ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก

    พอเกิดเรื่องถึงชีวิตคน ข่าวก็แพร่สะพัดกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมขึ้นมาทันที จำนวนผู้ที่สนใจทวีจำนวนเพิ่มเป็นเท่าตัว

    เรื่องราวยังไม่จบ หลังจากนั้นอีกสองวัน คนที่บอกว่าตัวเองรู้ข่าววงในก็แปะกระทู้ โยนระเบิดลูกใหญ่ออกมา

     

    การเดินทางไปหลัวปู้พัวของกลุ่มคามีเลีย นอกจากคนนำทางแล้วก็ยังมีสมาชิกในทีมอีกสิบเจ็ดคน แต่จำนวนผู้ประสบภัยกลับมีด้วยกันสิบแปดคน ในเมื่อชางตงยังมีชีวิตอยู่ แล้วคนที่เกินมาอีกคนหนึ่งเป็นใคร

    ‘ชางตงทำไมถึงยืนกรานจะเดินทางต่ออีกสองชั่วโมง การตัดสินใจของเขาเกิดจากการคำนึงถึงความเหมาะสมในการเดินทางและความปลอดภัยในการตั้งแคมป์จริงงั้นหรือ’

     

    ผู้คนบนอินเตอร์เน็ตต่างพากันโกรธแค้นเมื่อพบว่าคนที่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งนั้นเป็นแฟนสาวของชางตงที่ชื่อว่าข่งยาง และเหตุผลที่ชางตงยืนกรานจะไปเนินทรายเอ๋อโถวนั่นก็เพราะว่าที่นั่นมีหินกุหลาบทะเลทรายโผล่พ้นผืนทรายออกมาเป็นจำนวนมาก เขาคิดจะไปขอข่งยางแต่งงานที่นั่น

    เสียงก่นด่าจากทั่วทุกสารทิศดังก้อง โหดร้ายยิ่งกว่าพายุทราย กลืนกินชางตงสิ้นภายในชั่วพริบตา

     

    ติงโจวถามเยี่ยหลิวซี “ในเมื่อรู้เรื่อง ‘คามีเลียสีดำ’ แล้ว คุณยังคิดจะจ้างชางตงให้นำทางไปอีกงั้นหรือ”

    เยี่ยหลิวซีไม่รู้สึกมีอะไรขัดแย้งกันตรงไหน “ให้เขานำทางก็เพราะเห็นในความสามารถของเขา ถึงจะเคยทำผิดพลาดก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีความสามารถ”

    ติงโจวบอก “งั้นก็ตามมา”

    เขาค้อมกาย เดินกระแอมกระไอไปตลอดทาง พาเยี่ยหลิวซีเข้าไปที่หลังเวที

    หลังเวทีแออัดคับแคบ นอกจากใช้เป็นที่เชิดหุ่นเงาแล้วยังมีการตีไม้กระดานกั้นห้องขนาดเล็กขึ้นอีกหลายห้อง ติงโจวเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องเล็กสุดที่อยู่ปลายทาง หยิบกุญแจออกมาไขประตู

    ทันทีที่ประตูเปิด กลิ่นราอับชื้นก็พุ่งปะทะใบหน้า ด้านในมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงสะท้อนสีขาวบนกระจกเล็กๆ บานหนึ่งเท่านั้น

    ขณะที่เยี่ยหลิวซีกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ติงโจวก็กระตุกเชือกเปิดสวิตช์ไฟ

    ภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลัวๆ เธอมองเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด กระจกเล็กๆ บานนั้นอันที่จริงคือกรอบรูปกรอบหนึ่ง ที่อยู่ภายใต้กรอบสีดำคือภาพถ่ายขาวดำใบหนึ่ง เป็นภาพของชายหนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี หน้าตาหล่อเหลา ทว่าแววตากลับมีเพียงความสิ้นหวัง

    ที่อยู่หน้าภาพถ่ายคือกระถางธูป ด้านในคือกองขี้เถ้าตื้นๆ นอกจากนี้ยังมีถ้วยกระเบื้องเล็กๆ อีกสองใบ ใบหนึ่งบรรจุข้าวสาร ส่วนอีกใบบรรจุถุงใส่ลูกอมคุกกี้ขนาดเล็กที่กองอยู่ด้วยกันจนเต็ม

    ชางตงตายแล้ว?

    ติงโจวบอก “ทำคนตายไปสิบแปดคน โลกทั้งโลกล้วนก่นด่าเขา ไม่ใช่แค่ด่าเขา แต่ยังด่าไปถึงข่งยางว่าเป็นหญิงแพศยาด้วย ชางตงขายทรัพย์สินทั้งหมด หลังไหว้วานให้คนเอาไปชดใช้ให้กับญาติของผู้ตายเสร็จ เขาก็แวะมาหาผม”

    เขาพักอยู่กับติงโจว วันๆ ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ทางด้านล่างของเวทีเป็นชั่วโมงๆ ดูติงโจวเชิดหุ่นเงารอบแล้วรอบเล่า จ้องมองดูหุ่นเงาไร้ชีวิตพวกนั้น ฟังท่วงทำนองโบราณเนิ่นนาน น้ำตาอาบนองใบหน้า

    สามเดือนต่อมาหลังเที่ยงคืนของคืนคืนหนึ่ง ชางตงกรีดข้อมือตัวเองอยู่ในห้อง เลือดนองเต็มพื้น ไหลออกนอกประตูไปจนถึงทางเดินหลังเวที

    วันนั้นติงโจวตื่นแต่เช้า ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้าเขามองเห็นลูกกรงทางเดินบ้านเต็มไปด้วยของเหลวสีแดง เขาตกใจ นี่มันอะไรกัน…

    เยี่ยหลิวซีกระซิบเสียงแผ่ว “นึกไม่ถึงจริงๆ…”

    เธอขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง นิ้วลูบไปบนขอบกระถางธูป ยกมันขึ้นดู

    ที่อยู่บนนิ้วของเธอคือคราบฝุ่นหนา

    แมงมุมตัวหนึ่งที่กำลังถักทอใยอยู่ยังมุมหนึ่งของโต๊ะบูชาตกใจ มันขยับขาเรียวยาวรวดเร็ว ใยแมงมุมที่ฉาบไว้ด้วยแสงสีเงินส่ายไหว

    เยี่ยหลิวซีดีดนิ้ว พ่นลมเป่าฝุ่นบนนิ้ว “ดูท่าคุณคงไม่ได้เซ่นไหว้หลานคนนี้สักเท่าไหร่”

    ติงโจวสีหน้าเย็นชา “ชาวบ้านไว้วางใจให้เขานำทาง แต่เขากลับทะนงตนคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ ผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงแบบนี้ ผมเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าเขาสมควรตายแล้ว ในรายงานข่าว คนที่เสียชีวิตบางคนเพิ่งได้เป็นพ่อคนด้วยซ้ำ ต่อให้เขาตายอีกสักหลายหนก็ชดใช้ความผิดบาปที่ก่อไว้ไม่พอ”

    เยี่ยหลิวซีถอนหายใจ “คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก สถานที่อย่างทะเลทราย ไม่ว่าใครก็คาดการณ์อะไรไม่ได้ทั้งนั้น…”

    เธอถอยออกมา

    ติงโจวปิดประตูลงกลอน พาเยี่ยหลิวซีเดินออกมา “คุณเยี่ย คุณคงต้องไปหาคนอื่นแล้ว แต่ผมขอเตือนคุณไว้อย่าง ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปเลย ทะเลทรายอันตรายขนาดนั้น มีแต่มันเท่านั้นที่กินคน ไม่มีคนกินมัน สมญานาม ‘เขี้ยวทะเลทราย’ อะไรนั่นน่าขันแท้”

    เยี่ยหลิวซียิ้ม เธอชักเท้าเดินลงจากบันไดไปอย่างรวดเร็ว คว้ากระเป๋าผ้าใบขึ้นเปิด หยิบเอาจดหมายด่วนฉบับหนึ่งออกมายื่นส่งให้ติงโจว

    ติงโจวประหลาดใจ “นี่อะไร”

    เขาถามพลางพลิกดูซองจดหมาย ไม่มีตราประทับ ไม่มีป้ายฉลาก คงเอาไว้ใส่ของแค่นั้น

    เยี่ยหลิวซีบอก “ด้านในมีของบางอย่าง คุณค่อยๆ ดูเอา ตอนฉีกก็ระวังหน่อย อย่าทำมันขาดเชียว ฉันไปล่ะ หลังพ้นจากตรอกไป ฉันจะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ถ้าคุณอยากไล่ตามก็วิ่งกวดให้เร็วหน่อย”

    ติงโจวรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมผมต้องไล่กวดคุณด้วย”

    เยี่ยหลิวซีสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่ พยักพเยิดไปที่ซองจดหมายฉบับนั้น “นั่นก็แล้วแต่คุณ อยากตามก็ตาม ไม่อยากตามก็ช่าง”

    เธอเปิดประตู

    บรรดาผู้ชมที่ซื้อตั๋วรอบใหม่แล้วต่างรอจนแทบหมดความอดทน พอเห็นประตูเปิดก็ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งกรูกันเข้าไปข้างใน เยี่ยหลิวซีเดินย้อนฝูงคนออกมา เงาร่างหายลับไปอย่างรวดเร็ว

    ติงโจวแกะซองจดหมาย

    ของที่อยู่ด้านในคืออะไรกันแน่ ดูจากน้ำหนักแล้วมันไม่ใช่ของมีน้ำหนักอะไร หนำซ้ำยังดูแบนๆ น่าจะเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง

    พอดึงออกมาดู เขาก็พบว่าที่อยู่ด้านในเป็นซองจดหมายที่ทำจากกระดาษคราฟต์ซองหนึ่ง

    เขาแกะมันออก สอดมือล้วงเข้าไป ที่เขาหยิบออกมาได้คือซองจดหมายสีขาวขนาดกลางอีกซอง

    ติงโจวเริ่มหงุดหงิด ใส่ซองจดหมายซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าแบบนี้คิดล้อเขาเล่นหรือไง

    ยังดีที่สุดท้ายก็มีของอยู่ในซองจดหมายสีขาวนั่น

    จากที่สัมผัสได้ในซองน่าจะเป็นภาพถ่ายใบหนึ่ง เขาดึงมันออกดู

    เพียงหนึ่งถึงสองวินาที หูของติงโจวก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีก หากกลับได้ยินเสียงที่อยู่ไกลโพ้น พายุทรายซัดโหม ธารน้ำแข็งปริแตก ก้อนหินถล่ม

    ติงโจวพุ่งตัวออกไป

    นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ออกจากบ้าน จนลืมหมดสิ้นว่าถนนสายนี้ผู้คนเบียดเสียดขนาดไหน ทันทีที่ออกพ้นจากปากตรอก เขาก็แทบจะชนเข้ากับบรรดานักท่องเที่ยว โซซัดโซเซเจียนล้ม ที่ปรากฏอยู่เต็มสองตาคือแผงลอย ร้านค้า แม้แต่พื้นที่กลางถนนก็ยังถูกยึด เสียงร้องตะโกนดังขึ้นๆ ลงๆ แสงจากแฟลชกล้องถ่ายรูปสว่างวาบไม่หยุด

    กว่าจะยืนนิ่งอยู่กับที่ได้ก็ไม่ใช่ง่าย รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คน ทุกหนแห่งล้วนมีแต่ใบหน้ากับแผ่นหลังที่ถูกแสงไฟหลากสีกรีดเฉือนแลดูพิลึกพิลั่น

    เสียงคนไม่ต่างอะไรกับงู เลื้อยลามมุดเข้าไปในหู บ้างก็โอดครวญ ตาแก่คนนี้คงบ้าไปแล้ว บ้างก็เร่งเร้าบอกให้ถอยออกไปห่างๆ อย่าได้มาหกล้มทำพวกเขาลำบากเด็ดขาด

    ติงโจวยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ ตะโกนก้อง “เยี่ยหลิวซี!”

    ไม่มีเสียงขานตอบ

    เสียงเอะอะมะเทิ่งไม่ต่างอะไรกับคลื่นในมหาสมุทร ยิ่งดึกคลื่นก็ยิ่งสูง

     

    คนขายตั๋วที่ชื่อเสี่ยวเหอกำลังวุ่นวายกับการปลอบใจเหล่าผู้ชมที่เริ่มหมดความอดทน พอเห็นติงโจวเดินกลับเข้ามา เขาก็รีบขึ้นไปรับหน้า ยังไม่ทันได้เอ่ยปากเร่งเร้าอะไร ติงโจวก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “คืนค่าตั๋วไป”

    เขาผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน เผชิญหน้ากับสายตาแปลกประหลาดเต็มห้อง ติงโจวเดินตัวแข็งผ่านเวที มุดเข้าไปทางด้านหลัง ก่อนจะหายเข้าไปภายในห้องนอนเล็กแคบของตนเอง หย่อนก้นนั่งลงบนเตียง

    เสียงเอะอะโวยวายนอกประตูลั่นดัง ปนอยู่กับเสียงขอโทษขอโพยของเสี่ยวเหอ ติงโจวนั่งนิ่งอยู่กับที่ จู่ๆ เขาก็ยื่นมือจับผมตัวเอง ดึงวิกผมทิ้ง กระชากยางซิลิโคนยับย่นเป็นชั้นๆ บนใบหน้าออก

     

    คืนเงิน คืนตั๋ว ก่นด่า ในที่สุดเสี่ยวเหอก็พยักหน้าค้อมเอวส่งแขกคนสุดท้ายออกไป

    หลังจากนั้นเขาก็รีบมุดเข้ามาที่หลังเวที ตะโกนเรียก “พี่ตง…”

    คำพูดที่เหลือถูกกลืนกลับลงคอ ชางตงนั่งอยู่ที่นั่น วิกผมสีขาวถูกโยนทิ้งลงบนพื้น หนังยางซิลิโคนบนใบหน้าบางส่วนถูกฉีกทิ้งไปแล้ว เหลือเพียงบางส่วนที่ยังติดค้างอยู่ หนวดเคราปลอมยุ่งเหยิง แลดูดุดันแปลกประหลาด ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ที่ใบหน้าห้อยตก

    นี่มันอะไรกัน

     

    เสี่ยวเหออยู่กับติงโจวมานานแล้ว ติงโจวเชิดหุ่นเงา เสี่ยวเหอรับหน้าที่โฆษณาป่าวประกาศ ต้อนรับแขก จัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และเพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีปริมาณนักท่องเที่ยวมากโข ถึงจะไม่กล้าบอกว่ามีกำรี้กำไร แต่ก็ใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีปัญหา

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเรื่องให้กังวล ติงโจวอายุมากแล้ว สุขภาพหรือก็ไม่สู้ดี ไม่ต่างอะไรกับใบไม้เหลืองกรอบที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ในฤดูใบไม้ร่วง พร้อมจะหล่นร่วงกลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินได้ทุกเมื่อ

    สองปีก่อน ชางตงหลานชายของติงโจวจู่ๆ ก็บากหน้ามาหาเขาที่นี่

    เสี่ยวเหอเพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับการเก็บเงินแต่งเมีย เลยไม่เคยสนใจข่าวสารอะไรและไม่นึกอยากท่องโลกอินเตอร์เน็ต ดังนั้นเรื่อง ‘คามีเลียสีดำ’ อะไรนั่นเขาจึงไม่เคยได้ยิน รู้สึกก็แต่ชางตงทำตัวแปลกประหลาด อายุก็ป่านนี้แล้ว ความสามารถหรือก็มี แต่กลับไม่ทำการทำงาน วันๆ เอาแต่ซึมกะทือ หลายวันผ่านพ้นแต่คำพูดสักประโยคกลับไม่มีออกจากปาก หนำซ้ำยังไม่ยอมออกจากห้อง ทำตัวราวกับเป็นแวมไพร์กลัวแสงอาทิตย์

    ติงโจวเองก็เตือนชางตง ‘หาอะไรทำสักหน่อยเถอะ จะได้เบี่ยงเบนความสนใจไปที่เรื่องอื่นบ้าง อย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องเลวร้ายพวกนั้น’

    หลังจากนั้นชางตงก็เริ่มฝึกเล่นหุ่นเงา โดยมีติงโจวเป็นคนสอนวิธีควบคุมเชือก บังคับให้หุ่นเงาพวกนั้นวิ่ง ยืน นั่ง ฉวยคว้า กลิ้ง พลิกตัวหมุน จู่โจมสวนกลับ บางครั้งก็แกะแผ่นหนังเอง ใช้มีดเจาะสลักดวงตาคู่สวย ดอกท้อ ตราสวัสติกะ ใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ละลายสีย้อม แต่งแต้มสีสันลงไปตอนยังร้อนอยู่

    เสี่ยวเหอแอบนึกยินดี รู้สึกว่าในที่สุดติงโจวก็มีผู้สืบทอดเสียที เชิดละครหุ่นเงานี้เดิมก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการอะไร คนดูสมัยนี้ที่มาดูแบบจริงจังมีอยู่แค่หยิบมือ ส่วนใหญ่ก็แค่มาดูเอาสนุกเท่านั้น ยิ่งพวกมืออาชีพยิ่งแทบไม่เห็น…ชางตงเรียนรู้ได้แบบนี้ วันหน้าย่อมเปิดโรงละครเลี้ยงปากท้องได้

    หนึ่งปีก่อน ติงโจวป่วยเสียชีวิต โรงละครแขวนป้าย ‘หยุดพัก’ สองสามวัน ด้วยเพราะกลัวส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เลยไม่ได้มีการป่าวประกาศออกไป หลังเสร็จสิ้นงานศพ ขณะที่เสี่ยวเหอกำลังคิดว่าจะเอ่ยปากกับชางตงยังไง ใครจะไปรู้จู่ๆ อีกฝ่ายกลับเอ่ยปากเสนอตัวบอกจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ชั่วคราว

    เสี่ยวเหอดีใจออกนอกหน้า ทว่าหลังจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นบนเวทีแสดงของชางตงก็ทำเอาเขาตะลึงพรึงเพริดทำอะไรไม่ถูก

    ชางตงรื้อเอาพิมพ์ปูนปลาสเตอร์หน้าคนออกมา หลังจากนั้นก็ไปหาซื้อยางซิลิโคนสำหรับงานเมกอัพที่ใช้ในวงการภาพยนตร์ สวมวิกผม ติดหนวดเคราปลอมลงไป ปลอมตัวเป็นชายชรา สวมใส่เสื้อผ้าเก่าที่ติงโจวทิ้งไว้ แม้แต่ท่าเดินลากขาก็ยังเหมือนติงโจวไม่มีผิดเพี้ยน

    แรกๆ ฝีมือแปลงโฉมของเขายังไม่สู้ดีนัก หากสังเกตดูดีๆ จะพบว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่หลายจุด แต่เพราะไม่ได้ออกไปพบปะผู้คน ทำเพียงเชิดหุ่นอยู่หลังม่านจนการแสดงจบสิ้น จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชายชราที่อยู่หลังม่านรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงกันแน่ หนำซ้ำยังมีผู้ชมบางคนบอก ‘คนแก่คนนี้ฝีมือไม่เลวเลยจริงๆ ตัวคนเดียวเชิดหุ่นเงาตั้งสามตัว’

    เสี่ยวเหอไม่ใช่พวกขี้สงสัย เพียงไม่นานเขาก็ยอมรับเรื่องนี้ได้ คนเราทุกคนล้วนแต่มีนิสัยแปลกประหลาดด้วยกันทั้งนั้น ชางตงเองก็ทำตัวพิลึกพิลั่นมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้ก็ปล่อยไปเถอะ อีกอย่าง ศิลปินเฒ่ายังไงก็ดูสุขุมเยือกเย็นกว่าคนหนุ่ม ใช้โฆษณาได้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อธุรกิจด้วย

    นานวันเข้าฝีมือแต่งหน้าของชางตงก็ไม่ต่างอะไรกับทักษะควบคุมหุ่นเงาที่ดีวันดีคืน หนำซ้ำยังจงใจกดเสียงให้ทุ้มต่ำเหมือนคนแก่อีก แต่ถ้าจะบอกว่าเขาปลอมตัวเป็นคนแก่เพื่อการค้า หลังปลอมตัวเสร็จเขาก็น่าจะถอดเมกอัพพวกนั้นทิ้ง แต่ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะกินข้าวนอนหลับเขาล้วนปล่อยมันไว้อย่างนั้น นอกจากเริ่มชำรุดแล้วเท่านั้นเขาถึงจะลงมือทำใหม่

    เสี่ยวเหอเคยเตือนเขา ‘พี่ตง ปล่อยเมกอัพพวกนี้อยู่บนหน้านานๆ เดี๋ยวรอยย่นพวกนั้นจะกลายเป็นจริงเข้าหรอก ผู้ชายสมัยนี้มีใครบ้างไม่ดูแลผิวพรรณ ทำแบบนี้ไม่ดีต่อผิวหน้า สิวจะเห่อเอาง่ายๆ…’

    ต่อมาเขาก็เลิกพูด เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือตอนชางตงแต่งตัวเป็นคนแก่ เขาจะทำตัวเป็นปกติ รู้จักคุยเล่น หัวเราะ แต่พอถอดเมกอัพออก สีหน้าเขาก็จะกลับกลายเป็นซึมกะทือชวนขวัญผวา

    สภาพเมกอัพฉีกขาดของชางตงที่ปรากฏต่อสายตาในเวลานี้ทำเอาเสี่ยวเหอขนหัวลุก

    เสี่ยวเหอถามอย่างระมัดระวัง “พี่ตง เกิดอะไรขึ้น”

    ชางตงกลัดกลุ้มอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้นายไปเที่ยวตุนหวงมาใช่หรือเปล่า”

    “ใช่”

    ก่อนหน้านี้เสี่ยวเหอเคยพาแฟนสาวกับว่าที่พ่อตาในอนาคตไปเที่ยวแถวๆ ถ้ำโม่เกา หลังเที่ยวถ้ำโม่เกาเสร็จพวกเขาก็ไปเที่ยวสันเขาทะเลทราย ต่อด้วยกำแพงเมืองชั้นนอก (ฮั่นฉางเฉิง) เขาเอาแต่ส่งภาพให้เพื่อนรัวๆ

    “นายลองดูภาพนี้”

    เสี่ยวเหอรับภาพไปดู เขากวาดตามองผ่านๆ “โห นี่มันภาพโฟโต้ช็อปหรือภาพจากหนังสยองขวัญกันแน่ เหมือนจริงชะมัด”

    ที่อยู่บนภาพถ่ายคือภาพระยะใกล้ของกลางสันเขาทะเลทรายที่ถูกลมกัดเซาะหรือที่รู้จักกันในนามหย่าตัน เป็นรูปร่างคล้ายหัวเรือ ที่ถูกฝังอยู่ด้านบนคือหญิงสาวคนหนึ่ง ร่างของเธอคล้ายงอกโผล่ทะลุดินออกมา รูปร่างหน้าตางดงาม ใบหน้าซีดขาว มือทั้งสองทับซ้อนอยู่บนอก คล้ายภาพสลักฝาผนังที่ฝังติดอยู่กับตัวเรือ ดวงตาเบิกกว้าง เส้นผมปลิวไสวอยู่กลางสายลม

    ทว่ายิ่งดูนานกลับยิ่งอัปลักษณ์

    ชางตงถาม “รู้หรือเปล่าว่าภาพนี้ถ่ายที่ไหน”

    สำหรับเสี่ยวเหอแล้วสันเขาทะเลทรายไม่ว่าจะลูกไหนก็เหมือนกันหมด “ที่หมัวกุ่ยเฉิง (เมืองผี) มั้ง สันเขาลูกนี้รูปร่างคล้ายเรือ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นที่ซีไห่เจี้ยนตุ้ย (กองเรือรบซีไห่) ก็เป็นได้”

    ซีไห่เจี้ยนตุ้ยเป็นสันเขาทะเลทรายที่มีชื่อเสียงของหมัวกุ่ยเฉิง พวกมันถูกลมกัดเซาะเรียงเป็นแนว คล้ายกองเรือรบที่พร้อมเคลื่อนขบวน

    ชางตงพึมพำ “ลักษณะภูมิประเทศแบบนี้ในประเทศไม่ได้มีแค่ที่หมัวกุ่ยเฉิง ที่อยู่ในภาพดูคล้ายที่หลงเฉิง (เมืองมังกร) มากกว่า”

    หลงเฉิงคือที่ไหน ขณะที่เสี่ยวเหอกำลังคิดจะถาม มือถือเขาก็ดังขึ้น พอหยิบขึ้นดูเขาก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก

    เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ธุรกิจ เบอร์ของเสี่ยวเหอจึงถูกแขวนไว้ตามเว็บไซต์การท่องเที่ยวต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่บนตั๋ว จึงมักมีโทรศัพท์จากนักท่องเที่ยวติดต่อสอบถามเข้ามาเป็นประจำ

    หลัง “ฮัลโหล” ออกไปสองที เขาก็ยื่นโทรศัพท์ส่งให้ชางตงอย่างเซ็งๆ “พี่ตง เขาบอกว่า…ให้พี่รับสาย”

    แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีคนโทรหาชางตงผ่านทางเขา นี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    ชางตงรับสาย ที่ดังมาจากปลายสายอีกด้านเป็นเสียงเย้ยหยันของหญิงสาวคนหนึ่ง

    “เยี่ยหลิวซี?”

    เสียงของเยี่ยหลิวซีระคนไว้ซึ่งน้ำเสียงหยันเย้ย “ไล่ตามไม่ทันเพราะแต่งตัวเป็นคนแก่จนติดเป็นนิสัยไปแล้วใช่หรือเปล่า แขนขาก็เลยไม่คล่องแคล่วเหมือนเก่า”

    “คุณเป็นใครกันแน่ แล้วภาพนั่นมันอะไร”

    “คุณคิดว่าฉันจะตอบคุณผ่านทางโทรศัพท์?”

    ชางตงเงียบไปชั่วขณะ “คุณบอกว่าคุณต้องการคนนำทาง ผมตกลงรับปาก”

    เยี่ยหลิวซีหัวเราะคิกคัก

    “ชางตง คุณเลิกทำงานนี้มาตั้งสองปีแล้ว ใครจะรู้ว่าเขี้ยวเล็บของคุณยังใช้การได้อยู่หรือเปล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันให้เวลาคุณหนึ่งสัปดาห์ ถ้าคุณหาฉันพบ นั่นแปลว่าคุณยังมีสมองอยู่ พวกเราร่วมมือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกันได้ แต่ถ้าหาไม่พบ คุณก็กอดหุ่นเงาของคุณต่อไปก็แล้วกัน”

     

    เยี่ยหลิวซีวางสาย

    อันที่จริงเธอไม่ได้ไปไหนไกล แค่ซ่อนตัวอยู่บนรถตู้ขนาดเล็กสีขาวที่จอดอยู่ท้ายถนนเท่านั้น ที่อยู่บนที่นั่งข้างคนขับคือกองอาหารที่เธอซื้อมาจากร้านค้าบนถนนหุยหมิน มีทั้งขนมถั่วแดง น้ำทับทิม นมโยเกิร์ต ยังมีเนื้อแพะย่างสิบกว่าไม้ในถุงพลาสติกอีก

    แทนที่จะรีบหยิบกิน เธอกลับขยับกระจกภายในรถลง บิดเปิดอายไลเนอร์ไม่มียี่ห้อที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ลงมือส่องกระจกเขียนขอบตา

    มือนิ่ง ไม่มีสั่น พอถึงหางตา เดิมเธอตั้งใจจะตวัดขึ้น แต่มือกลับลากออกไปคล้ายเคยชิน

    เยี่ยหลิวซีใจเต้น พยายามปล่อยไปตามความรู้สึก

    ร่าง ยก ถม บิด เก็บ เพียงไม่นานหางตาของเยี่ยหลิวซีก็เหมือนมีแมงป่องตัวเล็กๆ ปรากฏขึ้น หางของมันยกสูง ไม่ต่างอะไรกับหงส์แดงสยายปีกเปี่ยมพละกำลัง ขอบบนล่างทั้งสองไม่ต่างอะไรกับก้ามใหญ่ คล้ายพร้อมจะควักเอาตาของเธอออกมาได้ทุกเมื่อ

    เยี่ยหลิวซีส่งเสียง “อืม” อยู่ในลำคอทีหนึ่งก่อนจะโยนอายไลเนอร์ทิ้ง หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กกับปากกาออกมาจากกระเป๋าผ้าใบ เปิดไปหน้าใหม่ เธอคาบปลอกปากกาไว้ เขียนข้อความประโยคหนึ่งลงบนสมุดบันทึก

     

    วาดแมงป่องได้ไม่เลว

     

    หลังเขียนเสร็จเธอก็โยนสมุดทิ้ง หยิบเอาเนื้อแพะย่างออกมาจากถุง ลงมือกินเป็นจังหวะไม่เร็วไม่ช้า

    เนื้อแพะพอเย็นก็จะมีกลิ่นสาบ ไม่ว่าเครื่องเทศมากสักแค่ไหนก็กลบกลิ่นไม่อยู่ ไม่เหมือนแพะจากด่านจยาอวี้ที่ดื่มน้ำที่ละลายมาจากภูเขาหิมะฉีเหลียน กินหญ้าสมุนไพรโกบี หนังกรอบเนื้อนุ่ม กินแกล้มกับเบียร์ กลิ่นสาบอะไรไม่มีแม้แต่น้อย

    นักท่องเที่ยวทยอยเดินกันออกมาจากตรอกผ่านหน้ารถไปเป็นกลุ่มๆ เยี่ยหลิวซีมองดูชายหนุ่มหญิงสาวพวกนั้นอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเลิกคิ้วมองดูแมงป่องที่อยู่บนหางตาตัวเองในกระจก

    เธอพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่ต่างอะไรกับปริศนาจริงๆ”

     

    เรื่องตามหาคน อันที่จริงก็ไม่ได้ยากอะไร ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะบุคคลสมัยนี้ล้วนเชื่อมโยงเป็นโครงข่ายทั่วประเทศ แค่มีชื่อจริงนามสกุลจริง ผนวกกับมีเพื่อนอยู่ในกรมตำรวจอีกสักคน ข้อมูลพวกนั้นย่อมถึงมือได้เพียงชั่วพริบตา

    ชางตงขอให้เสี่ยวเหอช่วยเหลือ เสี่ยวเหอมีเพื่อนสมัยเด็กทำงานอยู่ในสำนักงานเทศบาล เรื่องนี้สำหรับเขาจึงง่ายดายไม่ต่างอะไรกับปอกกล้วยเข้าปาก

    ทางนั้นตอบกลับมารวดเร็ว ทั้งประเทศมีคนที่ชื่อเยี่ยหลิวซีอยู่ห้าหกคน แต่ติดว่าอายุไม่ใช่ หรือไม่ก็เพศไม่ถูก ไม่มีสักคนที่ตรงกับที่ชางตงบอก ไม่แม้แต่จะฉิวเฉียด

    ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของชางตงแม้แต่น้อย หากตามหาตัวเยี่ยหลิวซีได้ง่ายๆ มันย่อมไม่ท้าทาย แต่ขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็ไม่มีทางยากเกินไป เยี่ยหลิวซีมาหาเขาเองถึงที่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรให้กระจ่างก็สร้างปัญหาให้เขาเสียแล้ว คนธรรมดาที่ไหนเขาทำกัน

    ในเมื่อสืบเบาะแสฐานะของอีกฝ่ายไม่สำเร็จ วิธีการที่น่าจะได้ผลที่สุดก็คงเป็นการติดตามดูความเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด และเพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของตำรวจทั่วไป ชางตงจึงไม่ได้พูดถึงอีก

     

    ตลอดระยะเวลาสองปีที่ชางตงเข้ามาอยู่ในโรงละคร เขาไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่ง ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก น้อยครั้งที่จะพ้นออกนอกประตูไป

    ทว่าสองสามวันนี้เขาเริ่มจากยกเลิกการแสดง หลังจากนั้นก็ไหว้วานให้เสี่ยวเหอช่วยสืบข่าว จากน้ำที่เคยนิ่งจู่ๆ กลับมีฟองผุดพราย เสี่ยวเหอตระหนักได้ถึงภาวะวิกฤต นับแต่เริ่มชางตงก็แค่ช่วยเขากอบกู้สถานการณ์ ‘ชั่วคราว’ เป็นเพียงพนักงานพาร์ตไทม์เท่านั้น การร่วมมือกันของพวกเขาสองคนพร้อมจบลงได้ทุกเมื่อ

    ถึงเวลาที่ต้องเตรียมพร้อมแล้ว ตลอดเช้าเสี่ยวเหอล้วนสาละวนอยู่กับการไหว้วานคนรู้จัก ถึงกับโทรไปเว่ยหนานอำเภอฮวาเซี่ยนที่ได้ชื่อว่า ‘หมู่บ้านหุ่นเงา’ ตระเวนสอบถามดูว่ามีใครพอจะรับงานพิเศษนี้บ้าง

    หนึ่งวันผ่านพ้น ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดเขาก็ได้ชื่อคนมาสองสามชื่อ ทว่าคนพวกนั้นกลับเทียบชางตงไม่ได้ แถมยังเรียกราคาค่าตัวสูงลิ่ว เสี่ยวเหอตัดสินใจไปหยั่งเชิงถามชางตง ไม่แน่ว่างานนี้ตนเองอาจคิดไปเองก็ได้ ชาวบ้านไม่ได้มีความคิดแบบนั้นสักหน่อย

    หลังกินข้าวเป็นเพื่อนแฟนสาวเสร็จ เสี่ยวเหอก็รีบกลับถนนหุยหมิน โรงละครไม่เปิดทำการ ทั่วทั้งตรอกมืดมิด เห็นการค้าของชาวบ้านคึกคักแบบนั้นเสี่ยวเหอก็อดนึกอิจฉาไม่ได้

    เปิดประตู เดินผ่านโรงละครมืดมิดเข้าไป เขามองเห็นไฟห้องน้ำที่ปลายทางสว่าง ประตูถูกงับปิดไว้ เสียงน้ำดังลอดออกมาจากด้านใน

    เสี่ยวเหอเปิดประตูทัก “พี่ตง…หวา!”

    สองเท้าพันกัน และเพราะลืมไปว่าหน้าประตูห้องน้ำมีธรณีกั้นอยู่ เขาเลยสะดุดล้มไปนั่งอยู่กับพื้น มือเท้าสะเปะสะปะตั้งใจจะฉวยคว้าอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับทำถังขยะข้างประตูล้มคว่ำ สกปรกเลอะเทอะไปทั่ว

    ชางตงขมวดคิ้วมองดูเขา “เป็นอะไร!”

    เสี่ยวเหอกระเซอะกระเซิงลุกขึ้นจากพื้น มือค้ำยันเอวยิ้มกระอักกระอ่วน “ไม่มีอะไร ผมประสาทไปเอง…”

    เขาเห็นชางตงในสภาพชายแก่หลังค่อมผมขาวจนชิน จู่ๆ มาเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดออกกำลังกายสีดำยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ปิดบังใบหน้าไว้ใต้หมวกเบสบอลแบบนั้น เขาก็ตั้งตัวไม่ทัน คิดว่ามีขโมยบุกเข้ามาในร้าน

    ชางตงบิดก๊อกน้ำ ดึงกระดาษทิชชูออกมาซับหน้า เปลือกตาหลุบต่ำไม่มองกระจก

    เสี่ยวเหอหัวเราะหึๆ หาเรื่องคุยกับอีกฝ่าย “พี่ตง พี่แต่งตัวแบบนี้ดูเท่จริงๆ…ว่าแต่ดึกป่านนี้แล้วพี่คิดจะไปไหน ต้องให้ผมไปส่งหรือเปล่า ผมลืมของไว้เลยแวะกลับมา…”

    ชางตงขยำทิชชูโยนเข้าไปในถังขยะที่ล้มคว่ำ “ฉันมีธุระต้องออกไปจัดการ”

    เสี่ยวเหอรีบเปิดทางให้ตามสัญชาตญาณ หลังมองส่งอีกฝ่ายไปไกล เขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ถามเรื่องที่คิดอยากจะถามเลย ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขากลับรู้สึกโล่งอก นั่งยองๆ ลงเก็บกวาดถังขยะที่ล้มคว่ำนั่น

    ขณะกำลังยุ่ง จู่ๆ เสียงของชางตงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เสี่ยวเหอ”

    เสี่ยวเหอหันหน้ากลับไป “เอ๋?”

    ชางตงกลับมาอีก บนระเบียงทางเดินไม่มีแสงไฟ เขากดปีกหมวกลงต่ำ สองมือสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง คล้ายเงามืดที่กำลังยืนอยู่

    “นายหาคนมาทำงานต่อแทนฉันเถอะ”

     

    เพราะเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่ใต้ใบหน้าของคนอื่นมาเป็นเวลานาน การที่ต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิมเช่นนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกถลกหนัง จากถนนหุยหมินถึงหน้าถนนใหญ่ แค่ระยะทางไม่กี่นาที แต่ชางตงกลับเหงื่อเต็มมือ รู้สึกเหมือนกำลังถูกคนทั้งถนนจ้องมอง

    ในที่สุดชางตงก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ เขาสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังตลาดของเก่าบนถนนจูเชวี่ย

    เห็นได้ชัดว่าคนขับคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนั้นเป็นอย่างดี เขาเคี้ยวหมากฝรั่งพลางกลับรถ เอ่ยปากชวนคุย “ไปเลือกซื้อของ? ตลาดขายของเก่าย้ายไปแล้ว คุณไม่รู้หรือไง”

    ชางตงไม่ได้ตอบ คนขับเข้าใจดีจึงไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงขับรถตรงไปยังเป้าหมาย

    ตลาดของเก่าบนถนนจูเชวี่ยเปิดดำเนินการมาประมาณหนึ่งแล้ว เคยมีเวลารุ่งโรจน์อยู่ช่วงหนึ่ง ทว่าสองปีมานี้ หนึ่งเพราะการค้าไม่สู้ดี สองเพราะกระบวนการปรับโครงสร้างการดูแลตามมาตรฐานกลาง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่การค้าจะกลับกลายซบเซา ทว่าได้ยินว่าทุกวันเสาร์จะมีตลาดเช้า แค่ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ ไม่ก็ใช้ชอล์กวาดวงกลมบนพื้นไว้ เพียงเท่านี้ก็สามารถจับจองพื้นที่วางแผงได้แล้ว

    วันนี้ไม่ใช่วันเสาร์จึงไม่มีตลาดเช้า

    ชางตงจ่ายเงินค่ารถ เดินเข้าไปในตรอกเฟิงหวาที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ข้างซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ แห่งหนึ่ง

    บนป้ายกล่องไฟของซูเปอร์มาร์เก็ตคือตัวอักษรสี่ตัว ‘ฮั่นถังเฟิงอวิ้น’

    ภายในถูกชั้นวางของแบ่งออกเป็นสามส่วน ด้านซ้ายขายเครื่องกระเบื้อง เครื่องสำริด ภาพวาดอักษร หนังสือโบราณ เหรียญเก่า ด้านขวาขายไข่ไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยในท้องถิ่น แอปเปิ้ลแดงฟูจิจากส่านซี ถั่วธัญพืชอบแห้งนานาชนิดพร้อมรับติดฟิล์มโทรศัพท์มือถือ

    ที่เคาน์เตอร์เก็บเงินมีชายหนุ่มรูปร่างผอมดวงตาเล็กตี่คนหนึ่งนั่งอยู่ อีกฝ่ายน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบกว่า ทว่าไรผมกลับเลิกสูง น่าจะเพราะคิดมากเป็นเหตุ

    คนคนนั้นคือเฝยถัง

    ว่ากันว่าตั้งแต่เกิดมาเขาก็ผอมแห้งเป็นลิงแล้ว แม่ของเขาหวังว่าเขาจะอ้วนมากขึ้นสักนิด เลยตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า ‘พั่งโถว’ ต่อมาเพราะ ‘โดราเอมอน’ ได้รับความนิยม เลยเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ไจแอนท์’ เขาเองก็รู้ดีถึงความคิดอ่านของผู้เป็นแม่ เลยตั้งชื่อบนโลกออนไลน์ว่า ‘ยอดซูโม่ระดับสมบัติประจำชาติ’ หลังเข้ามาโลดแล่นอยู่บนโลกวัตถุโบราณ เขาก็ตั้งชื่อเล่นในวงการให้ตัวเองว่าเฝยถัง

    ทว่าก้อนไขมันจะโปรดปรานก็แต่คนที่ไม่ต้องการมันเท่านั้น

    ชางตงกับเฝยถังเคยติดต่อกันอยู่สองสามครั้ง เพราะไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายเท่าไรนัก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงไม่ได้ลึกซึ้งมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น หลังเกิดเรื่องนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พบเจอกันอีก

    ชางตงลังเลไม่รู้จะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายยังไง

     

    เฝยถังกำลังยุ่ง

    เขาเบิกตากว้างทำแก้มป่อง เส้นเลือดดำบนหน้าผากปูดโปน เขย่ากระดองเต่าเสี่ยงทายสำริดในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงก๊องแก๊งดังไม่ขาดสาย เสียง ‘เคร้ง’ สุดท้ายดัง เขาก็พลิกเทกระดองเต่า เทเหรียญเฉียนหลงทงเป่า* หกเหรียญออกมา

    เฝยถังขยับหมอบเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ หรี่ตามองดูเหรียญทำนายไปทีละอัน ในใจคิดคำนวณ ก่อนจะยิ้มหน้าตาเบิกบาน ร้องเสียงดัง “ใช่แล้ว ออกจากร้านไปทางทิศตะวันตก มีลาภก้อนใหญ่!”

    ในร้านไม่มีลูกค้า เขาผลักประตูเปิดด้วยท่าทีลิงโลดยินดี มองไปทางทิศตะวันตก

    ชางตงก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ ก่อนจะรู้สึกว่ายิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งผิดสังเกต หลังจากยืนเนื้อตัวแข็งทื่ออยู่สองวินาที เฝยถังก็จำเขาได้ “พี่…พี่ตง?”

    ชางตงขานรับอย่างกระอักกระอ่วนออกมาคำหนึ่ง

    เฝยถังได้สติ รีบพาเขาเข้าไปในร้าน “พี่ตง พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันเกือบสองปีแล้วใช่หรือเปล่า พี่ไปยืนอยู่ที่หน้าประตูทำอะไร ผมนึกว่าพี่เป็นพวก…”

    เขากลืนคำที่เหลือกลับลงท้อง มืดค่ำแบบนี้ อีกฝ่ายไม่เพียงใส่ชุดดำ หนำซ้ำยังกดหมวกบนหัวเสียต่ำ ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าบ้านชาวบ้าน ไม่ต่างอะไรกับพวกโรคจิตในหนังอาชญากรรมสักนิด

    ชางตงพูด “ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย”

    “พี่ตงเกรงใจกันเกินไปแล้ว มีเรื่องอะไรพี่ว่ามาได้เลย”

    สองปีก่อน เฝยถังการค้าเจริญรุ่งเรือง คบเพื่อนฝูงเศรษฐีไว้ไม่น้อย คนพวกนี้แม้มีเงินแต่ก็รู้สึกว่ามีแต่เงินไม่สนุก เลยคิดพิชิตทะเลทรายโกบี ด้วยเหตุนี้จึงมักขอให้เฝยถังช่วยติดต่อหาหนทางให้ เขากับชางตงรู้จักกันเพราะเหตุนี้ ดังนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่ารู้จักมักคุ้น

    ส่วนท่าทีกระตือรือร้นที่เขาแสดงออกในเวลานี้ล้วนเกิดจากความรู้สึกกระหายใคร่รู้เท่านั้น พระเจ้า ถึงขนาดพาคนไปตาย ตายทีตั้งสิบกว่าคน ถึงขนาดเป็นข่าวใหญ่ออกทีวี สองปีมานี้นายใช้ชีวิตแบบไหนยังไง แล้วทำไมถึงยังกล้าโผล่หน้ามาอีก

    ชางตงถาม “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินนายบอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเก่งคอมพิวเตอร์มาก?”

     

    เฝยถังโทรติดต่อเพื่อน อีกฝ่ายบอกเรื่องเล็ก เขาเองก็ว่างอยู่ ให้แวะมาได้เลย

    ไหนๆ ก็ได้เวลาปิดร้านพอดี เฝยถังเลยปิดร้านแล้วเรียกชางตง “เพื่อนของผมอยู่ใกล้นิดเดียว เดินไปสองถนนก็ถึง พวกเราเดินไปก็แล้วกัน”

    ระหว่างทาง เดิมเขาตั้งใจจะลองเอ่ยปากถามชางตงถึงสถานการณ์ตลอดสองปีมานี้ดูสักหน่อย ทว่าเพราะชางตงไม่ค่อยพูด ตอบแต่ละทีล้วนทำชาวบ้านไปต่อไม่ถูก บวกกับกลุ่ม ‘นักเล่นของเก่า’ ในวีแชตกำลังคุยกันคึกคัก เพียงไม่นานเฝยถังก็หันไปสนใจเรื่องอื่นแทน

    หลังจากคุยได้พักหนึ่ง เฝยถังก็วางท่าพูดกรอกใส่โทรศัพท์ “วันนี้ฉันได้ของเด็ดๆ มาชิ้นหนึ่ง รู้หรือเปล่าว่าอะไร หยกเหอซื่อปี้** ไงล่ะ!”

    ชางตงมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง

    เฝยถังรับรู้ได้ทันที เขาหัวเราะแห้งๆ “พี่ตง ผมแค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไอ้หนุ่มนั่นคุยโม้บอกว่าเมื่อสองวันก่อนที่ร้านเขามีคนเอาจอกโมราหัวสัตว์ไปขาย ผมเลยต้องพูดข่มเขาไว้บ้าง”

    เขาเปิดเสียงให้ชางตงฟัง

    จริงอย่างที่เฝยถังบอก ผู้คนในกลุ่มต่างแย่งกันพูดอุตลุด บ้างก็บอกว่าวันนี้ได้ภาพ ‘เทศกาลชิงหมิงเหนือลำน้ำ* บ้างก็มีคนบอกว่าจ่ายเงินสองหมื่นหยวนซื้ออารัมภกถาหลันถิงของหวังซีจือ** ไว้

    ‘ไอ้หนุ่ม’ ที่ถูกชาวเน็ตรุมสกรัมคนนั้นเอ่ยปากกระหืดกระหอบ เขาตะโกน “ถ้าโกหกให้ฟ้าผ่าผมตายเลยเอ้า! ผมเห็นเต็มสองตาจริงๆ! แม้แต่อาจารย์ในร้านก็ตรวจสอบแล้ว หลายสิบปีมานี้เขาไม่เคยมองพลาดสักครั้ง!”

    ชางตงบอก “พูดอย่างกับเป็นเรื่องจริง”

    เฝยถังส่งเสียงประชดออกมาคำหนึ่ง “จอกโมราหัวสัตว์เป็นสมบัติล้ำค่าของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซี ไม่ใช่ของที่จะเข้าชมกันได้ง่ายๆ พี่ตง ถ้าจอกโมราหัวสัตว์หายไปจริง รับรองได้ว่าต้องเป็นข่าวใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วแน่…ถึงแล้ว”

     

    เพื่อนของเฝยถังผอมไม่ต่างอะไรกับเขา ชื่อฉีหลิวไห่ คนไม่ต่างกับชื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีก็แต่หน้าม้า (หลิวไห่) นั่นเท่านั้นที่เรียบร้อยเป็นระเบียบจนน่าประหลาดใจ

    หลังจากวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มอบแผ่นซีดีบันทึกเหตุการณ์หน้าถนนในวันนั้นให้กับชางตง “ค่อยๆ ดูเอาแล้วกัน หาที่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นชัดหน่อยก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”

    ชางตงพิจารณาดูโดยละเอียด เพราะงานนี้ต้องค่อยๆ จับตาดูไปทีละคน จะรีบกวาดตามองผ่านไม่ได้ ฉีหลิวไห่คิดว่างานนี้คงไม่เสร็จง่ายๆ แน่ เลยไปนั่งคุยกับเฝยถังเป็นการฆ่าเวลา

    หลังจากพูดนั่นพูดนี่อยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็เอ่ยปากแขวะชางตง “เพื่อนของนายคนนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ฉันอุตส่าห์ช่วย แทนที่จะยิ้มให้สักนิดก็ไม่มี”

    เฝยถังชำเลืองมองไปที่ชางตง กดเสียงกระซิบ “มีชีวิตคนสิบกว่าชีวิตทับอยู่บนตัว เป็นนาย นายยิ้มออกได้หรือไง”

    ฉีหลิวไห่นึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที

    เฝยถังพูดอย่างออกรสออกชาติ “สองปีก่อนเขาพาคนเข้าทะเลทราย เลือกที่ตั้งแคมป์ผิด ทำเอาคนถูกพายุทรายกลบฝังทั้งเป็น แม้แต่แฟนสาวของตัวเองก็ยังไม่รอด…เฮ้อ นายลองหาคลิปดู ญาติคนตายบุกเข้าไปหาเขาถึงบ้าน เล่นงานเขาไม่ยั้ง ตอนนี้บนเน็ตก็ยังมี”

    ฉีหลิวไห่รีบควักมือถือออกมา ป้อนคีย์เวิร์ดค้นหา หลังจากไล่ดูไม่กี่เว็บเขาก็พบว่ามันมีจริงตามที่อีกฝ่ายบอก เฝยถังยื่นหูฟังส่งให้ ทั้งสองใจตรงกัน ยัดหูฟังใส่หูกันคนละข้างก่อนจะกดปุ่มเล่น

    คลิปถูกถ่ายโดยคนที่เดินผ่านอยู่แถวนั้น พิกเซลต่ำ ภาพสั่น แต่ก็ยังคงดูออกว่าคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นคือชางตง หญิงชายวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งดึงทึ้งเขา โอดครวญร่ำไห้เสียงดังพร้อมระดมทุบตีเขาด้วยกำปั้น จิกทึ้งผมเขา บ้างก็ถึงกับยกเท้าถีบ

    ฉีหลิวไห่สองตาเป็นประกาย “ลงมือกันไม่มียั้งเลยแฮะ!”

    เฝยถังดูคลิปอย่างใจจดใจจ่อพลางล้วงมือเข้าไปในถุงมันฝรั่งแผ่นที่เปิดไว้ หยิบมันออกมาเคี้ยวดังกรอบแกรบ “ตอนหลังยังมีคนเอาอิฐทุบใส่หัวเขาด้วย ลองคิดดู นี่มันชีวิตคนเชียวนา ได้ยินว่าหลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าออกจากบ้าน…”

    จู่ๆ เสียงของชางตงก็ดังขึ้น “เจอแล้ว”

    เฝยถังสะดุ้ง รีบปลดหูฟังออกจากหูพลางผลักฉีหลิวไห่ ด้วยเพราะรีบร้อน ทำให้สายหูฟังหลุดจากช่องเสียบ เสียงร้องไห้คร่ำครวญราวจะขาดใจของผู้หญิงดังก้องไปทั่วทั้งห้อง

    “ตอนไปพร้อมกับนายเขายังมีชีวิตอยู่เลย แต่พอตายไปฉันกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะเห็นหน้า ขนาดโลงก็ยังไม่มี…”

    ฉีหลิวไห่ลนลาน มือไม้สั่นกดปุ่มปิดบนหน้าจอไม่ถูก กว่าจะปิดได้หน้าเขาก็แดงก่ำไม่ต่างอะไรกับตูดลิง

    ชางตงบอก “หาเจอแล้ว ฉันกดปุ่มหยุดเอาไว้แล้ว มีรถคันหนึ่งด้วย ถ้าหาทะเบียนรถเจอทุกอย่างน่าจะง่ายขึ้น”

    ฉีหลิวไห่ราวกับได้รับอภัยโทษ “ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”

    เขารีบชักเท้าเดิน ทิ้งเฝยถังให้อยู่รับหน้าชางตงเพียงลำพัง

    บรรยากาศกระอักกระอ่วน เฝยถังรู้สึกว่าทำอะไรก็ล้วนไม่เหมาะ จึงได้แต่เพียงแกล้งทำเป็นตั้งอกตั้งใจกินมันฝรั่งแผ่น หนำซ้ำยังชวนชางตงให้ร่วมกินด้วย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็แอบส่งวีแชตให้ฉีหลิวไห่

     

    ‘หาข้ออ้างอะไรออกมาก่อนก็ได้ ไล่เขาไปก่อน ข้าทนจะไม่ไหวแล้ว…’

     

    ฉีหลิวไห่ไม่ทำให้เฝยถังผิดหวัง เพียงไม่นานเขาก็มุดออกมาพร้อมยื่นโพสต์อิตแผ่นหนึ่งให้ชางตง

    “โชคดีจริงๆ กล้องบนถนนแถวนี้จับภาพทะเบียนรถได้พอดี ผมตรวจสอบเจอชื่อเจ้าของรถแล้ว เบอร์โทรศัพท์ด้วย แต่เจ้าของรถไม่ได้แซ่เยี่ย คุณจะลองโทรไปถามดูก่อนก็ได้ คืนนี้ผมจะลองตามดูอีกที มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวผมจะส่งไปให้เฝยถัง”

    ชางตงรับกระดาษแผ่นนั้นมา

    เจ้าของรถชื่อหวงเต๋อฝู อายุสี่สิบหก พักอยู่ที่ตำบลน่าฉี บนเส้นแบ่งเขตระหว่างมองโกเลียในกับกานซู่

     

    ระหว่างทางกลับ ทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังมีไม่มาก แต่ชางตงก็ยังคงโทรไปหาหวงเต๋อฝู

    คำตอบของหวงเต๋อฝูอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา

    “รถน่ะเหรอ…ผมไม่ขับแล้ว เลยให้คนเช่าไป”

    “เหมือนจะแซ่เยี่ย ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่เป็นผู้หญิงไม่ผิดแน่”

    “ตามหาเธอ? ช่วงนี้เธอเหมือนจะขายแคนตาลูปอยู่ข้างถนน”


    บทที่ 2

     

    สัมภาระของชางตงมีแค่ไม่กี่ชิ้น เก็บหมดก็มีแค่กระเป๋าถือใบเดียวเท่านั้น แบนกว่าตอนมาเสียอีก

    บรรยากาศชวนเงียบเหงา ตอนส่งอีกฝ่ายออกจากประตู เสี่ยวเหอยังอดถามย้ำไม่ได้ “พี่ตงดูดีหรือยัง ลืมของอะไรไว้บ้างหรือเปล่า”

    คำพูดของอีกฝ่ายเตือนชางตง เขาย้อนกลับไปที่หลังเวที คว้าเอาหีบหุ่นเงาใบหนึ่งออกมา

    ก่อนยุคปลดแอก คณะละครหุ่นเงาขนาดเล็กที่ตระเวนไปตามถนนตรอกเล็กซอยน้อยพวกนั้น อุปกรณ์ประกอบฉากทรัพย์สินทั้งหลายทั้งปวงมีก็แค่สองหีบบนคานหามเท่านั้น

    ชางตงบอก “ฉันเป็นพวกเก็บตัว ไม่มีงานอดิเรกอะไร หีบหุ่นเงานี้ขอก็แล้วกัน เวลาไม่มีอะไรทำจะได้พอแกะหุ่นเงาฆ่าเวลา”

    หีบหุ่นเงาไม่มีราคาค่างวดอะไร เสี่ยวเหอยินดียกให้อีกฝ่ายเป็นการแสดงน้ำใจ เขาส่งชางตงไปถึงหน้าปากตรอก พูดเกรงอกเกรงใจออกมาประโยคหนึ่ง “พี่ตง ถ้าพี่อยากกลับมาก็กลับมาได้ทุกเมื่อ โทรบอกผมสักคำก็พอ”

    ชางตงเอ่ย “ขอบใจมาก”

    เขาเดินตรงไปที่หน้าถนนเงียบๆ มือข้างหนึ่งถือกระเป๋า มือข้างหนึ่งถือหีบหุ่นเงา แต่เพราะหีบมีน้ำหนักค่อนข้างมาก จึงทำเอาไหล่เขาข้างหนึ่งลู่ตก

    เสี่ยวเหอถอนหายใจ รู้สึกว่าเรื่องชางตงจะกลับมานั้นแทบเป็นไปไม่ได้

     

    ชางตงเรียกรถไปตรอกเป่ยเจียว ที่นี่เป็นหมู่บ้านกลางเมืองที่กำลังรอการรื้อทิ้ง เพราะเงินทุนพัฒนาไม่พอจึงทำๆ หยุดๆ เศษอิฐเศษกระเบื้องปะปนอยู่กับบ้านเรือนที่ยังหลงเหลือ ลมพัดทีหนึ่งฝุ่นละอองก็ปลิวว่อน ตอนนี้ไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแล้ว

    เขาอาศัยความทรงจำ เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง หยิบเอากุญแจเปิดประตูม้วนอัตโนมัติ ออกแรงผลักมันขึ้นบน

    ฝุ่นที่จับตัวหนาอยู่ทางด้านบนหล่นร่วง เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนผมของเขาให้กลับกลายเป็นสีเทา แสงอาทิตย์พาดผ่าน ฝุ่นละอองภายในลอยละล่อง

    รถออฟโรดคันหนึ่งจอดอยู่ด้านใน

    ชางตงเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างรถ กระจกมองข้างนอกตัวรถมีดอกกุหลาบที่ถูกลมพัดแห้งกรอบจนกลายเป็นสีน้ำตาลดำดอกหนึ่งเสียบอยู่ ครั้นเอื้อมมือแตะถูก มันก็สลายกลายเป็นผงลอยไปในอากาศ

    รถคันนี้ข่งยางมอบให้เขาเมื่อหลายปีก่อน หลังได้มันมา ชางตงก็ใช้เงินไปกว่าครึ่งของมูลค่ารถดัดแปลงมันเสียใหม่ ทะเลทรายโกบีไม่ใช่ทางหลวงชนบท รถติดหล่มทรายง่ายดาย หนำซ้ำหลัวปู้พัวก็ยังมีผลึกเกลือขนาดใหญ่ที่เล่นงานล้อรถจนมีสภาพยับเยินไม่ต่างอะไรกับถูกหมากัดได้

    หลังประกอบเหล็กกันโครง ยกรถสูง เปลี่ยนล้อทั้งสี่เป็นล้อยักษ์ทนทุกสภาพถนน ติดตั้งกว้านไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อย รถออฟโรดที่ทระนงองอาจสง่างามอยู่แต่เดิมก็กลับกลายเป็นกำยำล่ำสันหัวมังกุท้ายมังกรขึ้นหลายส่วน ข่งยางติว่ามันดูไม่สวย แต่ชางตงบอกว่าขอแค่ใช้การได้จริงก็พอแล้ว

    บนถนนส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ฮัมเมอร์ แลนด์โรเวอร์ที่รูปลักษณ์ภายนอกงามสง่าน่าเกรงขาม เรียกร้องความสนใจจากพวกสาวๆ ได้ ทว่าสำหรับเขา รถมีไว้เพื่อใช้ ยามเผชิญอันตรายจะได้เอาตัวรอดได้

    ตัวรถเต็มไปด้วยฝุ่น ชางตงใช้มือปัด เขายืนอยู่ที่ท้ายรถครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดมันขึ้นช้าๆ

    ทันทีที่เปิดออกกลิ่นยางพลาสติกอับๆ ก็โชยปะทะใบหน้า ที่อยู่ด้านในคือถุงพลาสติกใส่ศพสีดำหนาพิเศษที่ถูกห่อเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ต้องนับ ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันสิบแปดใบ และยังมีถุงใส่ข้าวของกระจุกกระจิกอีกถุง มีทั้งของเขาและของข่งยาง

    ชางตงขยับถุงใส่ศพไปทางด้านข้าง ก่อนจะวางหีบหุ่นเงาลงไป

    ไม่รู้ว่าพวกเฝยถังได้เปิดดูคลิปนั้นต่อหรือเปล่า นาทีที่สี่จุดหนึ่งสองตอนเขาถูกคนใช้อิฐทุบหัวจนเลือดอาบหน้า เขาพูดน้ำเสียงแหบพร่าออกมาประโยคหนึ่ง ‘ผมจะพยายามช่วยตามหาศพของพวกเขาให้’

    ไม่มีญาติผู้ตายคนไหนเชื่อคำพูดประโยคนั้นของชางตง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกกับพวกเขาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ‘หาศพไม่พบเป็นเรื่องปกติ รู้จักเผิงจยามู่* ใช่ไหม ที่หายตัวไปตอนต้นปี 80 นั่น ขนาดทำการค้นหาขนาดใหญ่กันถึงหกครั้งแล้ว แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ก็ยังออกสำรวจ แต่จนถึงตอนนี้สามสิบกว่าปีผ่านไป ร่างเขาอยู่ที่ไหนก็ยังหาไม่พบ’

    หลังจัดวางข้าวของเป็นที่เรียบร้อย ชางตงก็นั่งลงบนที่นั่งคนขับ ตอนเก็บกวาดช่องเก็บของตรงที่นั่งด้านหน้าเขาพบช็อกโกแลตหมดอายุแท่งหนึ่ง มันผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสองปี จากละลายกลับกลายเป็นแข็งใหม่ รูปร่างผิดเพี้ยนไปหมด เขาแกะกระดาษห่อออก ยัดมันเข้าปากเคี้ยวช้าๆ

    รสหวานด้านในกลับกลายเป็นเปรี้ยวบูด

    เขาหยิบเอาภาพในกระเป๋าเสื้อใบนั้นออกมา

    ข่งยางที่โผล่ออกมาจากดินเหลืองนั่น สองตาเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ เส้นผมยุ่งเหยิงอยู่กลางสายลม คล้ายมือที่กำลังกวักเรียกเขา

     

    หลังตื่นขึ้นมา เฝยถังก็ยังคงรู้สึกอึดอัด นินทาชาวบ้านลับหลังไม่ใช่เรื่องแปลก ทำเรื่องผิดมโนธรรมก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถูกชาวบ้านจับได้ซึ่งหน้าต่างหากที่โคตรเสียหน้า

    ดังนั้นหลังตื่นนอนเขาจึงอารมณ์เสียหนักกว่าเมื่อวาน เขาเปิดร้าน แต่ตอนเดินผ่านส่วนขายของชำ เพราะไม่ระวังตัวเลยชนไข่ตกลงมาแตกสองใบ เลอะเทอะเต็มพื้น แยกไม่ออกว่าอันไหนไข่แดงอันไหนไข่ขาว เป็นเพราะขายไม่ออก นานวันเข้าเลยเสียหมด

    เฝยถังนึกอยากสบถด่า สองปีมานี้ธุรกิจค้าของเก่าไม่สู้ดี เขาเลยแบ่งร้านครึ่งหนึ่งมาขายของชำ ตั้งใจจะหารายได้ชดเชย แต่นึกไม่ถึงว่าสภาพเศรษฐกิจจะไม่ต่างกัน เปิดร้านวันหนึ่งขาดทุนวันหนึ่ง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเมื่อไหร่จะรวยกับชาวบ้านสักที

    โบราณว่าไว้ไม่ผิด คนไม่มีลาภลอยย่อมไม่รวย ม้าไม่กินหญ้ากลางคืนย่อมไม่อ้วน อยากรวยยังไงก็ต้องมีลาภลอยเสียก่อน

    หลังอาบน้ำแปรงฟันเสร็จ ตะวันลอยโด่งสามลำไผ่** แล้วแต่กลับยังไม่มีลูกค้าเข้าร้าน เฝยถังหยิบเอาบะหมี่กับนมบนชั้นมากินเป็นอาหารเช้า กินพลางเปิดคอมพิวเตอร์ดูพลาง เตรียมเข้าโปรแกรมคิวคิว*** เล่นไพ่นกกระจอกสองวงดับอารมณ์กลัดกลุ้ม

    ทันทีที่ออนไลน์ เขาก็ได้รับข้อความจากฉีหลิวไห่

     

    ‘…เมื่อคืนหลังจากเทียบดูอยู่พักหนึ่ง ฉันก็เจอคลิปที่เกี่ยวข้องกับคนที่ชื่อเยี่ยหลิวซีอยู่สองสามคลิป ทั้งหมดส่งเข้าเมลนายแล้ว ลองดูสิว่าจะส่งต่อให้เพื่อนของนายหรือเปล่า’

     

    เฝยถังคลิกเข้าไปในกล่องข้อความอย่างไม่อินังขังขอบ เปิดดูคลิปพวกนั้น

    เขาไม่ได้อดทนเหมือนชางตง เขาลากแถบเลื่อนไปมา มองเพียงผ่านๆ จนกระทั่งบังเอิญมองเห็นภาพประตูใหญ่คุ้นตาบานหนึ่ง

    พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซี?

    สมัยนี้คนทำธุรกิจขายของเก่าคิดอาศัยเพียงคำพูดคุยโม้โอ้อวดเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว จำต้องมี ‘ความรู้ด้านวัฒนธรรม’ ด้วย เฝยถังกล่อมเกลาตัวเองด้วยการขยันพลิกอ่านหนังสือและมักไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซีเป็นประจำ ดังนั้นเวลาชักจูงลูกค้าเขาจึงมักอ้างถึงพิพิธภัณฑ์ตลอด ‘คุณดูสิ เจ็ดสตรีในอาภรณ์ชาวหู* เขียนสีนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับที่เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่านซีตัวนั้นเลยสักนิด…’

    เขาคุ้นเคยกับการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ดีราวกับชั้นในร้านของตัวเอง

    เฝยถังหรี่ตามองคลิปภาพตัดต่อ เยี่ยหลิวซีเดินไม่เร็วไม่ช้า แต่ก็ไม่ได้หยุด อีกฝ่ายเดินตามเจ้าหน้าที่นำทางเข้าไปในห้องแสดงสมบัติล้ำค่า

    ที่อยู่ตรงปากทางเข้ามีไหอยู่สองใบ เธอไม่แม้แต่จะชายตามอง เครื่องหยกเครื่องทองวับวาวจับตา เยี่ยหลิวซีล้วนมองข้าม…

    ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เธอหยุดยืน เฝยถังชาไปทั้งหนังหัว

    จอกโมราหัวสัตว์

    ในห้องแสดงสมบัติล้ำค่าคนเดินไปมาขวักไขว่ หน้าตู้แสดงจอกโมราหัวสัตว์ ผู้บรรยายมาแล้วก็ไป คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปมาไม่รู้ตั้งกี่กลุ่มต่อกี่กลุ่ม แต่เยี่ยหลิวซีกลับยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เฝยถังแทบหยุดหายใจ

    ในที่สุดก็มาถึงตอนเยี่ยหลิวซีจากไป เฝยถังใจเต้นราวกับกลองรัว ตั๋วผ่านเข้าชมห้องแสดงสมบัติล้ำค่าราคาสามสิบหยวน สมบัติล้ำค่าควรเมืองเยอะแยะขนาดนั้น แต่เธอกลับไม่สนใจกาม้าเต้นระบำคาบแก้ว ไม่มองเตาเครื่องหอมเงินทรงกลม ทำไมถึงมองก็แต่จอกโมราหัวสัตว์เท่านั้น

    ความคิดอ่านอะไรบางอย่างกำลังจะปะทุออกมาจากหัวสมองของเขา เหมือนฟองอากาศจวนเจียนใกล้แตกก่อนน้ำเดือด ขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…

    เขาโทรหาเพื่อนร่วมอาชีพของเขารายนั้นและถามอย่างสับสน “ถามตรงๆ เลยนะ คนที่เอาจอกโมราหัวสัตว์ไปให้ที่ร้านของนายดูนั่นผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วใช่ของจริงหรือเปล่า”

    ปลายสายตอบ “ผู้หญิง ผมกับอาจารย์ในร้านดูกันสี่ตา มันใช่ของแท้แน่นอน โมราเส้นลายทั้งก้อน แกะสลักตามลวดลายสีสัน มีจุกทองอยู่ตรงบริเวณปากจมูก…”

    “แล้วทำไมถึงไม่รับซื้อไว้”

    อีกฝ่ายเองก็หงุดหงิดโมโหแทบตายเช่นกัน “จอกโมราหัวสัตว์มีชื่อเสียงขนาดไหน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซีเป็นคนเก็บรักษา ตอนแรกที่เห็นผมยังคิดอยู่เลยว่าเป็นของทำเลียนแบบ ใครจะคิดว่าเป็นของจริง ยิ่งไปกว่านั้นเธอเองก็ไม่คิดจะขายด้วย

    พอผู้หญิงคนนั้นชักเท้าออกจากร้าน ผมก็ได้สติขึ้นมาทันที พล่ามพูดอยู่ตลอดว่าจอกโมราหัวสัตว์นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน มีอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นจอกใส่เหล้านี่นา ต่อให้มีไว้ให้องค์จักรพรรดิใช้ ทว่ามีฉลองพระองค์มังกรก็ต้องมีฉลองพระองค์หงส์ ว่ากันตามหลักแล้วจอกนั่นก็น่าจะมีเป็นคู่…”

    พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นระแวดระวัง “ว่าแต่ถามเรื่องนี้ทำไม หรือว่าคุณเองก็เห็นมันแล้วเหมือนกัน”

    เฝยถังตอบเฉไฉ บอกว่าเขามาเดินเล่นอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซีพอดี พอเห็นของเข้าก็เลยลองโทรมาถามดู

    หลังจากวางสาย เขาก็ปากคอแห้งผาก บอกกับตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้ เรื่องบังเอิญแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ถ้ามีจอกโมราหัวสัตว์อยู่ข้างนอกอีกชิ้นจริง ป่านนี้วงในคงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสให้เขาได้คิดฝัน

    เฝยถังส่ายหัว ยกนมขึ้นดื่มสองสามทีหมด ตอนโยนกล่องนมลงถังขยะ เขาคิด เจ้าของชิ้นนี้มูลค่าของมันต้องมากมายมหาศาลแน่

    เขาเข้าไปเล่นไพ่นกกระจอกต่อ ทว่าเล่นไปได้แค่ครึ่งเกมก็เสียสมาธิ ถ้าเกิดมันเป็นของจริงล่ะ ต่อให้ตัวเองได้ส่วนแบ่งแค่นิดเดียวก็ตามที…

    เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ รสชาติของฝันหวานตอนกลางวันนี่มันช่างหอมหวานจริงๆ

    เขาขดตัวขึ้นบนเก้าอี้ ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มหลัง พอเอื้อมมือไปคลำดูก็พบว่าที่แท้คือกระดองเต่าสำริดเครื่องมือทำนายดวงชะตาของเขานั่นเอง

    เมื่อคืนเขาลองทำนายดู คำทำนายบอกว่าออกจากบ้านไปทางทิศตะวันตก จะพบกับโชคลาภก้อนใหญ่ พอชะโงกหน้าออกไปก็พบชางตงยืนอยู่ที่ทางฝั่งตะวันตกของประตู ส่วนชางตงต้องการหาตัวเยี่ยหลิวซี บางทีตัวอักษรคำว่า ‘ซี (ตะวันตก)’ นี้อาจหมายถึงเยี่ยหลิวซีก็เป็นไปได้ โชคลาภก้อนใหญ่ จอกโมราหัวสัตว์นั่นไม่ใช่ลาภก้อนใหญ่หรือไง

    ภายใต้สถานการณ์นอกเหนือการควบคุม เบาะแสร่องรอยมากมายเช่นนี้ หรือจะเป็นการชี้ทางของสวรรค์

    ใบหน้าของเฝยถังร้อนผ่าว เขาหยิบเอากระดองเต่าขึ้นมา กลืนน้ำลายอึกใหญ่

    เขาลงมือเขย่ามันอีกครั้ง หากผลลัพธ์ยังเป็นเหมือนเดิม ต่อให้…ต่อให้เป็นการล้อเล่นของสวรรค์ เขาก็พร้อมจะเอาด้วย!

     

    ชางตงใช้เวลาสามวันกว่าจะเดินทางถึงตำบลน่าฉี

    ตำบลน่าฉีตั้งอยู่บนเส้นแบ่งเขตระหว่างมองโกเลียในกับกานซู่ ชาวมองโกลกับชาวฮั่นอาศัยอยู่ด้วยกันจนเกือบจะถูกวัฒนธรรมฮั่นกลืนกินหมดสิ้น จากตำบลเล็กๆ แห่งนี้ หากขับรถออกไป จะไปถึงเถิงเก๋อหลี่หรือทะเลทรายปาตันจี๋หลินได้ไม่ยาก ทั้งนี้เพราะพวกมันอยู่ห่างกันออกไปไม่ไกลนัก ผนวกกับเมื่อหลายปีก่อนบริเวณรอบๆ มีการค้นพบร่องรอยเมืองโบราณซีซย่าอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้น่าฉีกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายการเดินทางเส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือที่แสนคึกคักสายใหม่ ทว่าเพราะระบบสาธารณูปโภคของตำบลเล็กๆ แห่งนี้ไม่อาจตามทัน เมื่อนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น การดำรงชีวิต การจราจรก็กลับกลายเป็นไม่สะดวกขึ้นมาทันที ทุกอย่างสับสนวุ่นวายอย่างเห็นได้ชัด

    ระหว่างทางชางตงซื้อเสื้อกันหนาวเพิ่มอีกตัว เดือนสิบกลางเดือนปลายเดือน สถานที่ที่ตอนกลางวันใส่เสื้อหนาวตอนบ่ายใส่เสื้อฝ้าย ตอนกลางคืนห่มผ้าห่มสองชั้นก็ยังตัวสั่นแบบนี้ จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

    ทันทีที่รถเคลื่อนเข้าสู่ตำบลน่าฉี เขาก็พบว่าผลจากการบุกเบิกอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทำให้ที่นี่พัฒนาไปไม่ใช่น้อย ถนนนอกสถานีขนส่งซ่อมแซมจนดูไม่ต่างอะไรกับถนนในเมืองขนาดกลางและเล็ก ไม่ว่าจะร้านสะดวกซื้อ ร้านขายอะไหล่รถยนต์ ร้านฟาสต์ฟู้ดจำพวกไก่ทอดอะไรล้วนมีครบ

    ทว่าเพราะขาดการวางแผนที่ดี ทำให้ใหม่เก่าปะปนอยู่ด้วยกัน บางครั้งแค่หัวเลี้ยวเดียว ถนนซีเมนต์จู่ๆ ก็กลายเป็นถนนดินลูกรัง หมาจรจัดหาอาหารอยู่ในร่องระบายน้ำ ลมพัดฝุ่นละอองโหมกระหน่ำใส่ต้นไม้ใกล้ตายข้างถนน ร้านอาหารเล็กๆ ริมถนนมีโต๊ะเพียงสามถึงห้าโต๊ะ หน้าประตูแขวนม่านพลาสติกที่ถูกควันน้ำมันรมจนดำเขรอะ

    ชางตงหาโรงแรมพัก เขาซื้อแผนที่เมืองใหม่มาฉบับหนึ่ง เดิมตั้งใจว่าจะเดินให้รอบๆ เมืองก่อนสักรอบ ทว่านึกไม่ถึงว่าโชคจะเข้าข้าง เดินไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เขาก็พบเยี่ยหลิวซีเข้าโดยบังเอิญ

    เธออยู่ข้างทางแยกบนถนนหลวง กระโปรงหลังรถเปิดค้าง เธอใช้มันแทนแผงลอย ที่อยู่ด้านในคือแคนตาลูปกองหนึ่ง ตอนนี้ที่ออกตลาดคือแคนตาลูปเขียวที่สุกค่อนข้างช้า จัดเป็นสินค้าพิเศษประจำถิ่น ริมถนนเต็มไปด้วยแผงขายแคนตาลูปแผงแล้วแผงเล่า

    ชางตงไม่อยากเชื่อว่าเยี่ยหลิวซีจะเป็นคนขายแคนตาลูปจริงๆ

    เขาเดินเข้าไปในร้านฟาสต์ฟู้ดที่ตั้งอยู่บริเวณทางแยก เลือกโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่างจะได้สังเกตการณ์ได้โดยสะดวก

    ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย เขาสั่งอาหารเครื่องดื่มไปหลายต่อหลายรอบ ส่วนเยี่ยหลิวซีก็ขายแคนตาลูปไม่หยุด

    บนรถของเยี่ยหลิวซีคือเขียงหนาหนึ่งนิ้ว ที่วางอยู่ทางด้านบนคือมีดหั่นแตงทรงตรงยาวประมาณฉื่อ* กว่า แคนตาลูปเขียวทั้งหมดล้วนยาวรีเปลือกหนา ขนาดผู้ชายหั่นยังเปลืองแรงไม่ใช่น้อย แต่เธอกลับทำได้สบายๆ ทันทีที่สับมีดลงไป แคนตาลูปก็แยกออกจากกันง่ายดายไม่ต่างอะไรกับหั่นเต้าหู้

    เกิดมาหน้าตาสะสวยนับว่าได้เปรียบ การค้าของเธอดีกว่าแผงที่ตั้งอยู่ข้างๆ หลายเท่า

    ตอนเที่ยง เธอไปซื้อข้าวกล่องจากร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ นั่งลงบนเก้าอี้พับพลางใช้ช้อนตักกิน หมาจรจัดตัวหนึ่งกระดิกหางเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยหลิวซีตักซี่โครงชิ้นหนึ่งโยนให้มัน

    ตอนบ่ายคนไม่เยอะ อุณหภูมิลดต่ำลงเล็กน้อย เยี่ยหลิวซีนั่งอ่านนิตยสารอยู่ใต้เสื้อกันหนาวทหารสีเขียว นิตยสารรักๆ ใคร่ๆ ที่พวกแผงลอยชอบอ่านเหล่านี้ หน้าปกล้วนแต่เป็นหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย พอใกล้พลบค่ำ ครั้นมั่นใจว่าคงไม่มีอะไรอื่นอีก เขาก็เรียกพนักงานให้มาคิดเงิน

    พนักงานหญิงในร้านหน้าตาไม่รับแขกอยู่แต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งที่มาส่งอาหารให้เขาเธอล้วนทำหน้าตาบูดบึ้งคล้ายไม่พอใจ เดิมชางตงคิดว่าคนในพื้นที่เล็กๆ ห่างไกลความเจริญแบบนี้อาจไม่เข้าใจเรื่องงานบริการ แต่ตอนเรียกเก็บเงินเขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าไม่ใช่

    พนักงานหญิงคนนั้นพอได้รับเงินก็ชำเลืองมองไปยังเยี่ยหลิวซีที่อยู่นอกหน้าต่าง ตอนเดินไปยังพูดเหยียดออกมาคำหนึ่ง “ดูมาทั้งวัน มีอะไรน่ามองขนาดนั้นเชียว ก็แค่ไก่* เท่านั้นไม่ใช่หรือไง”

     

    ชางตงกลับโรงแรม

    สองวันมานี้เขาใจเย็นขึ้นมาก ไม่รีบร้อนคิดไปรายงานตัวกับเยี่ยหลิวซีอีก อีกฝ่ายเดินทางไกลพันหลี่** ไปซีอัน ดูเขาเชิดหุ่นเงาถึงสามรอบ ไม่เพียงหิ้วนิตยสาร ‘เรื่องอื้อฉาว’ ที่มีข่าวของเขาติดตัวไปด้วย หากยังมีภาพถ่ายแปลกประหลาดของข่งยางอีกใบ

    เธอต้องมีเรื่องขอความช่วยเหลือจากเขาแน่ๆ แค่ทำเป็นลึกลับเพื่อตบตาคนเท่านั้น เขาไม่อยากถูกคนจูงจมูก เรื่องตามหาศพยังไงก็ผ่านมาสองปีแล้ว จะต้องรีบร้อนแข่งกับเวลาไปทำไม

    ตอนเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาสังเกตเห็นว่าที่ช่องว่างใต้ประตูมีนามบัตรให้บริการทางเพศเล็กๆ ใบหนึ่งสอดเข้ามา เขาก้มลงหยิบก่อนจะโยนมันทิ้งลงถังขยะ

    กว่าจะถึงเวลานอนยังอีกนาน ชางตงเปิดหีบหุ่นเงา หยิบเอาผืนหนังที่ขัดเรียบร้อยแล้วผืนหนึ่งออกมาแกะหุ่นเงา

    เครื่องมือแกะสลักถูกวางลงบนโต๊ะ แค่มีดแกะก็ต้องใช้ตั้งแต่ทรงกลม ครึ่งวงกลม ตัวอักษรคำว่าคน(人) ดอกจัน สิ่วเจาะมีดขูด วิธีการแกะสลักใบหน้าหุ่นคล้ายดังอยู่ข้างหู…

    คิ้วใบหลิ่ว ดวงตาเมล็ดอัลมอนด์ ปากผลเชอรี่ทีละเล็กละน้อย…

    ว่ากันว่าละครหุ่นเงาเกิดขึ้นในสมัยฮั่น จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทรงคิดถึงหลี่ฟูเหรินพระสนมคนโปรดที่ตายไป จึงให้นักพรตตั้งแท่นทำพิธีเชิญวิญญาณ ตอนกลางคืนจุดเทียน แขวนม่านโปร่ง องค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทำได้เพียงมองดูจากหลังม่าน ใต้แสงไฟส่ายไหวสิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นคือเงาร่างคล้ายพระสนมหลี่ฟูเหรินบนม่าน

    หลังจากนั้นมันก็ถ่ายทอดมาสู่พวกชาวบ้าน ก่อกำเนิดเป็นละครหุ่นเงา

    หลี่ฟูเหรินตายไปแล้ว องค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ก็ตายไปแล้ว นักพรตรายนั้นก็เช่นกัน ทว่าหุ่นเงากลับยังมีชีวิตอยู่จวบจนปัจจุบัน

    สรรพสิ่งต่างๆ บนโลก ทั้งมีรูปร่างและไม่มีรูปร่างต่างล้วนอายุขัยยืนยาวกว่ามนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นคนจึงไม่เอาไหนที่สุด

    แกะไปแกะมา นิ้วของชางตงก็เย็นแข็ง อุณหภูมิตอนกลางคืนของที่นี่จะลดต่ำลงเรื่อยๆ เครื่องปรับอากาศทำความร้อนไม่ไหว เปิดจนร้อนที่สุดก็ไม่ได้ช่วยอะไร เขาเป่าปากลงบนมือทั้งสองข้าง ถูมันไปมา จู่ๆ สายตาเขาก็หยุดอยู่บนนามบัตรเล็กๆ ในถังขยะใบนั้น

    ‘…น่ามองขนาดนั้นเชียว ก็แค่ไก่เท่านั้นไม่ใช่หรือไง’

    ชางตงค้อมตัวหยิบเอานามบัตรใบนั้นขึ้นมา หลังจากชะงักอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็หยิบโทรศัพท์กดมันไปตามเบอร์ที่เขียนไว้ด้านบน

    คนที่รับสายเหมือนจะเป็นมืออาชีพด้านการบริการ เขาถาม “ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าชอบแบบไหน ชอบผอมๆ หน่อยหรือชอบมีเนื้อมีหนังนิด ใสๆ หรือว่าเซ็กซี่ๆ พวกเราจะได้ช่วยคัดเลือกให้ก่อน ส่งไปคุณลูกค้าจะได้ไม่ผิดหวัง”

    ชางตงคิด “ผอมหน่อย ใสๆ…เซ็กซี่นิดๆ…”

    เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเยี่ยหลิวซีเป็นจำพวกไหน เธอคล้ายเข็มที่ชี้อยู่ระหว่างคำว่าใสกับเซ็กซี่ บางครั้งก็เอียงซ้าย บางครั้งก็เอียงขวา แต่ทั้งหมดล้วนเป็นแค่การแสดง ไม่อาจปิดบังกลิ่นอายปีศาจบนตัวมิด

     

    ผู้หญิงที่มาชื่อซันนี่

    ตอนได้รับโทรศัพท์แจ้งว่ามีลูกค้า เธอกำลังดูบรรดาพี่สาวน้องสาวคลำไพ่กันอยู่ในห้องเล่นไพ่นกกระจอกในโรงแรมที่อยู่ข้างๆ ดังนั้นพอคว้ากระเป๋าได้เธอก็รีบวิ่งมาทันที

    พอเข้าลิฟต์ เธอก็หยิบกระจกออกมาเขียนลิปสติก เม้มปาก เติมแป้ง หลังออกจากลิฟต์เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องชางตง เธอจงใจปลดกระดุมเสื้อลงสองเม็ด เผยให้เห็นขอบบราลูกไม้สีชมพู ขยับกระโปรงหนังตัวน้อยให้เข้าที่

    เธอกดกริ่ง ยิ้มอย่างมืออาชีพ

    พอประตูเปิด เธอก็ตะลึงไปชั่วขณะ

    ชางตงบอก “เข้ามาสิ”

    ซันนี่เดินเข้าไปด้านใน สายตากวาดมองไปยังโต๊ะเล็กในห้องรับแขก ครั้นเห็นเครื่องมือแกะสลักสิบกว่าอันเรียงแถวส่องประกายวับวาวแบบนั้น เธอก็ใจเต้นโครมครามลนลานหนัก

    เธอพบเจอลูกค้าอ้วนหัวล้านปากเหม็นมาก็มาก ทว่าได้เจอลูกค้าอย่างชางตงเข้า เธอกลับไม่รู้สึกเหมือนถูกลอตเตอรี่ บรรดาสาวบริการรุ่นก่อนล้วนแต่พร่ำสอนบอก ‘ชายหนุ่มหน้าตาดี คนพวกนั้นขาดผู้หญิงด้วยหรือไง ระวังตัวเอาไว้ให้ดีเถอะ ยิ่งแบบนั้นยิ่งวิตถาร โดยเฉพาะพวกหล่อๆ ดูสะอาดๆ เงียบขรึมไม่ค่อยพูดค่อยจา เรียกใช้บริการแต่กลับไม่รีบร้อนขึ้นเตียง ท่าทางแลดูน่าสนใจเป็นพิเศษพวกนั้น…’

    ชางตงมีคุณสมบัติตรงตามแบบทุกข้อ ยิ่งไปกว่านั้น ค่ำมืดดึกดื่นอยู่ในห้องแท้ๆ แต่เขากลับยังสวมหมวกเบสบอลสีดำ ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ใต้ปีกหมวกอีก

    ซันนี่กลืนน้ำลาย เมื่อสองสามวันก่อนเถ้าแก่พาพวกเธอไปดูหนัง หนังเกาหลีเรื่องนั้นพูดถึงคนวิกลจริตที่เที่ยวไล่ฆ่าหญิงขายบริการพลางเตือนพวกเธอให้รู้จักระวังตัว…คืนนั้นหลังดูหนังจบเธอถึงกับฝันร้าย ทำเอาสองวันมานี้เธอแทบไม่ต่างอะไรกับคนเป็นโรคหวาดระแวง

    เธอพูดช้าๆ “ถ้าอย่างนั้น…ฉันไปอาบน้ำก่อน?”

    ชางตงนั่งลงบนโซฟา ยื่นมือลูบแผ่นหนังที่ผ่านการแกะสลักแล้ว “ค้างคืนสามร้อย แล้วอยู่เป็นเพื่อนคุยเท่าไหร่”

    ซันนี่ครุ่นคิดฉับไว “ราคาเดียวกัน ไม่ลด เพราะคืนนี้ฉันต้องมาหาคุณที่นี่เลยรับลูกค้าต่อไม่ได้”

    ชางตงควักธนบัตรใบละร้อยออกมาจากกระเป๋าสตางค์สามใบ ใช้แก้วชาทับมันเอาไว้ “ผมเพิ่งมาถึง สนใจอยากเปิดร้าน แต่ไม่คุ้นเคยกับที่นี่ เลยคิดจะหาคนท้องถิ่นคุยด้วยสักหน่อย สืบข่าวดูสักนิด”

    ที่แท้ก็แบบนี้ ซันนี่ถอนหายใจโล่งอก เธอนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ตรงกันข้าม “เถ้าแก่ ไม่ใช่ฉันว่าอะไรหรอกนะ คิดจะเปิดกิจการอย่างพวกเรา ไม่มีเส้นสาย ไม่มีทางทำได้”

    ชางตงพูดน้ำเสียงราบเรียบ “ไหนลองว่ามาสิ”

    เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับทางการค้าอะไร ซันนี่เจื้อยแจ้วไม่หยุด ไม่มีก่อนไม่มีหลัง นึกอะไรได้ก็พูดสิ่งนั้น

    …ธุรกิจประเภทนี้สำหรับที่นี่แล้วจะออกมาทำเองไม่ได้ โดยหลักๆ แล้วจะมีกลุ่มอยู่สองกลุ่มคอยรับพวกเธอเข้าเป็นสมาชิก คนในท้องถิ่นไม่มีใครกล้าทำงานแบบนี้ ดังนั้นสาวๆ ทั้งหมดจึงเป็นคนต่างถิ่น แบ่งเป็นเหนือใต้สองกลุ่ม ต่างฝ่ายต่างมีกลุ่มของตัวเอง มีเถ้าแก่เป็นหัวหน้า

    …เดิมทีพวกเขาสองกลุ่มต่างไม่ลงรอยกัน ต่อมาเพราะมีอีกกลุ่มคิดเข้าร่วมวงด้วย ทำให้เหนือใต้ร่วมใจ หลังขับไล่คนนอกออกไปได้ พวกเขาก็เริ่มแบ่งเค้ก แยกเขตอิทธิพลกัน เพราะซันนี่เป็นคนใต้ และสัปดาห์นี้โรงแรมที่ชางตงพักก็เป็นรอบของกลุ่มใต้ปล่อยโฆษณา ดังนั้นเธอถึงออกมาบริการลูกค้าได้ ส่วนสัปดาห์หน้าซึ่งก็คือพรุ่งนี้ นามบัตรโฆษณาก็จะเป็นของอีกกลุ่ม

    พูดๆ ไปซันนี่ก็เริ่มระบายความกลัดกลุ้ม

    “หากินแบบนี้ลำบากจะแย่ คุณรู้หรือเปล่า คนอย่างพวกเรานอนเช้าตื่นค่ำ ผิวพรรณหมองคล้ำ อดตาหลับขับตานอน ไหนยังจะต้องแต่งหน้าอีก ฉันเพิ่งจะยี่สิบสองเอง ล้างเครื่องสำอางออกทีไรเห็นก็แต่ใบหน้าอิดโรย ใครๆ ก็บอกว่านึกว่าฉันอายุสามสิบกว่าแล้ว…”

    ชางตงอืมมาคำหนึ่ง เขาทำเพียงนิ่งฟังไม่พูดไม่จา ซันนี่เลยต้องพูดไม่หยุด อยู่คุยเป็นเพื่อนแขกแบบนี้อันที่จริงก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

    เธอเค้นหัวสมองจนเกลี้ยง เรื่องราวใกล้เคียงอะไรเธอล้วนเล่าออกมาจนหมด “พวกเราเข้างานเลิกงาน ส่วนใหญ่ก็เที่ยงคืน เดินกลับบ้านค่ำมืดอันตรายมาก ปีที่แล้วมีพี่น้องตั้งหลายคนถูกพวกวิตถารเดินตาม ทุกคนต่างบอกว่าคนคนนั้นหน้าเหมือนผี…”

    ชางตงนึกสนใจ “หน้าเหมือนผี?”

    ซันนี่ทำมือทำไม้ประกอบ “ก็มันคลุมหน้าด้วยหนังนิ่มๆ โผล่ออกมาแต่ตากับจมูก ค่ำมืดดึกดื่น น่ากลัวจะตาย โชคดีที่ยังไม่เคยเกิดอะไรขึ้น…ต่อมาพวกเราเลยยอมจ่ายเงินค่ารถเพิ่ม ให้ช่วยรับส่ง ขาหนึ่งสิบหยวน…”

    ชางตงถาม “มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเยี่ยหลิวซี คุณรู้จักหรือเปล่า”

    ซันนี่รู้สึกงุนงง พี่น้องของเธอล้วนแต่ชื่อภาษาอังกฤษ อย่างแมรี่เอย อแมนด้าเอย ไคลี่เอย ไม่มีสักคนที่จะชื่อเยี่ยหลิวซี ชื่อนี้ฟังดูเหมือนเป็นชื่อจริงมากกว่า ใครจะใช้ชื่อจริงมาทำงานแบบนี้กัน เกิดข่าวแพร่สะพัดไปถึงบ้านเกิด จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน

    ชางตงบอกใบ้ออกมาประโยคหนึ่ง “ตอนกลางวันขายแคนตาลูปอยู่ที่ทางแยกบนถนน”

    ซันนี่นึกขึ้นได้ทันที “อ๋อ คุณหมายถึงผู้หญิงคนนั้น! พวกเราไม่เคยคุยกัน เธอมักจะไปร่วมวงอยู่กับพวกสาวๆ ภาคเหนือโน่น น่าจะทำมาหากินอยู่กับทางนั้น”

    งั้นหรือ…

    ซันนี่เป็นคนฉลาด “พูดมาตั้งมากมาย ที่แท้คุณก็อยากรู้เรื่องเธอนี่เอง พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาโฆษณาของทางโน้นแล้ว คุณลองถามดูได้”

    ซันนี่ยอมเปิดปากเล่า ทว่าชางตงกลับไม่ได้นึกอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรของเยี่ยหลิวซี

    ขอแค่พาเขาไปหาศพของข่งยางได้ อีกฝ่ายจะขายแคนตาลูปหรือขายบริการ เป็นหญิงหรือชาย…ก็ไม่สำคัญ

     

    ชางตงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาฝันถึงพายุทราย ทรายเคลื่อนตัวราวกับหมอกสีทอง กลิ้งม้วนผ่านทางหลวงลาดยางถ่าเค่อล่าหม่ากาน หงหลิ่ว* พุ่มแล้วพุ่มเล่าเปลี่ยนทรายสีเหลืองให้กลายเป็นสุสานสูงหลายเมตร

    ในฝันไม่มีคน ไม่มีภัยพิบัติ ไม่มีเสียง

    ฝันเช่นนี้สำหรับเขาแล้วเรียกได้ว่าเป็นฝันดี

    เขาตื่นขึ้นมาเที่ยงตรงพอดี ชางตงมุ่งหน้าไปหาเยี่ยหลิวซี

    เธอกำลังสาละวนผ่าแคนตาลูปกินเอง ก้มหน้ากัดได้คำเดียวก็มองเห็นเงาของใครบางคนทอดลงมา

    เยี่ยหลิวซีวางแคนตาลูปในมือลงแล้วเช็ดมุมปาก ก่อนเลิกคิ้วน้อยๆ “ซื้อแคนตาลูป?”

    เธอจำเขาไม่ได้

    ชางตงยืนนิ่งไม่ขยับ แสงอาทิตย์สาดแสงอบอุ่นลงบนใบหน้าเขา

    เยี่ยหลิวซีหรี่ตามองดูชางตง ดวงตาของเธอชี้ขึ้นเล็กๆ ตอนแววตาส่องประกาย มันดูคล้ายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่มีจิตคิดร้าย ทว่ารอยยิ้มกลับประหนึ่งสามารถมอมเมาจิตใจคน เชื่อว่าเก้าในสิบคนต้องคิดว่าเยี่ยหลิวซีคนนี้ไม่ใช่ตัวอันตรายอะไร

    เธอจำเขาได้แล้ว รอยยิ้มฉาบแฝงไว้ซึ่งความหมายบางอย่าง เธอเอ่ยปากชมเขาก่อน “ไม่ปลอมตัวเป็นคนแก่แล้ว? แบบนี้ดูหล่อดีออก”

    ขณะกำลังพูดเธอก็ลากเอาเก้าอี้พับผ้าใบตัวหนึ่งออกมาจากบนรถ ตบฝุ่นบนผ้า โยนมันมาให้เขา

    ชางตงรับมันไว้ด้วยมือข้างเดียว เขาไม่ได้นั่ง ทว่าใช้มืออีกข้างหยิบเอาภาพถ่ายใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

    เยี่ยหลิวซีหลุดหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “รีบเข้าเรื่องเร็วขนาดนี้เชียว จะไม่ทักทายกันสักหน่อยก่อนหรือไง ฉันกำลังคิดว่าจะผ่าแคนตาลูปเลี้ยงคุณอยู่เชียว”

    เยี่ยหลิวซีพูดพลางดึงภาพถ่ายใบนั้นไปแล้วคีบมันด้วยสองนิ้ว พลิกข้อมือหันภาพไปทางชางตง “คุณไม่นึกสงสัยบ้างหรือว่าบางทีภาพนี้ฉันอาจทำปลอมขึ้น”

    ชางตงตอบ “สัญชาตญาณของผู้หญิงแม่นยำเป็นพิเศษ ผมตั้งใจจะขอข่งยางแต่งงาน ถึงจะไม่ได้บอกเธอ แต่เธอก็ยังคงทายถูก ถึงกับจงใจซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ คืนนั้นตอนอยู่ในเต็นท์ เธอเปลี่ยนไปใส่ชุดนี้เป็นครั้งแรกแล้วถามผมว่าสวยหรือเปล่า ผมยังไม่ทันได้แสดงความคิดเห็นอะไร เสียงกระดิ่งลมข้างนอกก็ดังลั่น”

    กระดิ่งลมที่ว่าก็คือขวดเหล้านั่นเอง ตอนตั้งแคมป์เขาขึงเชือกไว้เส้นหนึ่ง แขวนขวดเหล้าห่างๆ กันประมาณหนึ่ง…นอกจากแขวนเล่นสนุกๆ แล้วยังใช้บอกทิศทางลมได้ด้วย ขวดแก้วมีน้ำหนัก เสียงที่เกิดขึ้นดังลั่นแบบนั้นแสดงว่าลมต้องรุนแรงไม่ใช่เล่น

    พอเลิกประตูเต็นท์ออกไปดู เขาก็มองเห็น ‘หัวห่าน’ ที่เป็นสัญลักษณ์ของเนินทรายเอ๋อโถวถูกพายุทรายบดบัง เกิดเป็นหมอกทรายยามกลางคืน

    เสื้อผ้าชุดใหม่ของข่งยาง กระโปรงยาวสีแดงสดใสนั้น เธอไม่เพียงเพิ่งได้ใส่มันเป็นครั้งแรก แต่ยังกลายเป็นชุดไว้ทุกข์ที่ได้สวมเป็นครั้งสุดท้าย รูปสักใบก็ยังไม่ทันได้ถ่ายเก็บไว้ เธอในเวลานั้นผมเผ้ายุ่งเหยิง ปลิวไสวอยู่ท่ามกลางฝุ่นทรายที่โถมกระหน่ำใส่สันเขาทะเลทราย ไม่ต่างอะไรกับที่ปรากฏอยู่บนภาพถ่ายตรงหน้า

    เยี่ยหลิวซีพอใจกับคำตอบของชางตง “คำถามข้อที่สอง สันเขาทะเลทรายที่เห็นในภาพอยู่แถวไหน”

    คำว่าหย่าตันหรือสันเขาทะเลทรายนั้นอันที่จริงเป็นภาษาของชาวอุยกูร์ ความหมายของมันคือ ‘เนินดินสูงชันอันตราย’ ลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้มีอยู่ทั่วดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บางแห่งด้วยเพราะลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว อย่างซานหล่งซา (ทรายสามคันดิน) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตุนหวงที่ถูกขนานนามว่าหมัวกุ่ยเฉิง (เมืองผี) หรือวูเอ่อร์เหอที่ตั้งอยู่แถวๆ เค่อลาหม่าอีที่ถูกเรียกว่าเฟิงเฉิง (เมืองแห่งลม) และก็แถวๆ แม่น้ำซูเล่อที่ถูกเรียกว่าเมืองเหรินโถวเกอตา (เมืองหัวชันนะตุ)

    และยังมีพวกไม่ค่อยมีชื่อเสียงเล็กใหญ่อีกจำนวนมาก บางครั้งขับออฟโรดอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ปรากฏให้เห็นอยู่ข้างทางเป็นผืนเล็กๆ นั่นก็คือสันเขาทะเลทรายเช่นกัน

    ดังนั้นมันเป็นสันเขาทะเลทรายแถวไหนกัน

    ชางตงตอบ “หลงเฉิง”

    “คุณรู้ได้ยังไง”

    ชางตงชี้ไปที่ภาพถ่าย “เนินดินในภาพมีส่วนผสมของเกลืออยู่ค่อนข้างมาก รวมถึงหินยิปซัมด้วย เทียบกับสันเขาทะเลทรายที่อื่นแล้ว สีของมันค่อนไปทางขาวเทา ตอนกลางวันหากแสงอาทิตย์ดีๆ ล่ะก็มันจะส่องประกายสีเงินยวงไม่ต่างอะไรกับเกล็ดปลา ดังนั้นคนสมัยโบราณจึงเรียกที่นี่ว่าไป๋หลงตุย (เนินมังกรขาว) ปัจจุบันมันถูกผนวกเข้ากับหลงเฉิง เรียกรวมๆ กันว่าสันเขาทะเลทรายหลงเฉิง”

    เยี่ยหลิวซีพูดใส่เขาฉอดๆ “ทำไมถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าสีขาวเทาที่เห็นอาจเป็นหิมะน้ำค้างแข็งก็ได้”

    “หากหิมะตกมันย่อมต้องขาวโพลนไปทั่ว ไม่เหมือนอย่างในภาพ น้ำค้างแข็งเกิดจากการควบแน่นของไอน้ำ จะปรากฏให้เห็นได้ก่อนหลังอาทิตย์ขึ้น แต่ในภาพเป็นตอนเที่ยงตรง แสงอาทิตย์จ้าแบบนั้น น้ำค้างแข็งย่อมละลายไปหมดก่อนหน้าแล้ว”

    เยี่ยหลิวซี “อ๋อ…”

    เธอลากเสียงยาว เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับคำตอบของเขา หลังจากนั้นก็หันกลับไปหยิบมีดผ่าแตง หั่นแคนตาลูปออกเป็นสองส่วน

    แคนตาลูปสีเหลืองทอง ฉ่ำน้ำ หอมสดใหม่

    เยี่ยหลิวซียื่นแคนตาลูปให้ชางตง “คุณพาฉันไปหลงเฉิง ฉันพาคุณไปหาศพข่งยาง”

    ไม่ใช่น้ำเสียงปรึกษาหารือ ชางตงมองดูอีกฝ่ายปราดหนึ่ง เขาไม่เอื้อมมือออกไปรับแคนตาลูปที่อีกฝ่ายยื่นส่งให้

    เยี่ยหลิวซียิ้มอบอุ่น น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงแข็งกร้าว “หาคนนำทางเข้าหลัวปู้พัวนั้นไม่ยาก ทว่าคุณไม่มีทางหาคนที่รู้ว่าศพของข่งยางอยู่ที่ไหนได้”

    ชางตงยังคงไม่รับ “ภาพถ่ายนั่นมันเรื่องอะไร เนินทรายเอ๋อโถวห่างจากไป๋หลงตุยไกลโข ทำไมศพของข่งยางถึงไปอยู่ที่นั่นได้ แล้วทำไมศพของเธอถึงถูกผนึกฝังอยู่ในเนินดินแบบนั้น”

    เยี่ยหลิวซีหมดความอดทน “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันแค่ช่วยคุณหาเธอก็เท่านั้น ส่วนคุณก็แค่มาเป็นคนนำทางให้ฉัน อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ยกเลิก”

    ยังไม่ทันพูดจบ เยี่ยหลิวซีก็คว่ำมือ แคนตาลูปชิ้นนั้นหล่นร่วงลงพื้น

    ชางตงยื่นมือรับตามสัญชาตญาณ แต่กลับรับได้เพียงความว่างเปล่า

    แคนตาลูปยังอยู่ในมือของเยี่ยหลิวซี เธอแค่แสร้งทำเท่านั้น ทันทีที่ปล่อยมือเธอก็รีบพลิกมือรับ ชิงตัดหน้าแย่งมันไปก่อนจะถึงมือเขา หลังจากนั้นก็ยิ้มวางมันลงบนมือว่างเปล่าของชางตง “ในเมื่อรับแล้วงั้นก็แปลว่าโอเค ตกลงกันตามนี้ มือถือ”

    ชางตงยื่นมือถือให้อีกฝ่าย เยี่ยหลิวซีโทรหาตัวเอง พอโทรศัพท์ดังเธอก็วางสาย ก่อนจะยื่นกลับให้ชางตง “พร้อมออกเดินทางเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกให้ฉันรู้ ตอนกลางวันฉันอยู่ที่นี่ ถ้าหาไม่เจอก็โทรมา”

    เยี่ยหลิวซีพูดเองเออเองหมด ดูท่าเขาคงไม่มีโอกาสต่อรองอะไรได้อีก ชางตงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ขณะที่หันหลังเตรียมเดินจากไป เยี่ยหลิวซีก็เรียกชื่อเขา

    “นี่ ชางตง”

    ชางตงหันหน้ากลับไป

    “คุณพักอยู่ที่โรงแรมใช่ไหม”

    ชางตงอืมออกมาคำหนึ่งพร้อมชี้นิ้วไปที่โรงแรม โรงแรมที่เขาพักจัดเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในน่าฉี อีกทั้งยังเด่นสะดุดตาที่สุดด้วย

    “ตอนกลางคืนฉันแวะไปอาบน้ำที่นั่นได้หรือเปล่า” เธออธิบาย “ไหนๆ คุณก็จ่ายค่าห้องแล้ว จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำไปเปล่าๆ ฉันเองก็ได้ประหยัดเงินไม่ต้องจ่ายค่าอาบน้ำสาธารณะด้วย”

    ชางตงขมวดคิ้ว “บ้านคุณไม่มีห้องน้ำ?”

    เยี่ยหลิวซีหยิบมีดผ่าแตงขึ้นมาถือ เคาะสันมีดลงบนห้องโดยสารสองที เสียงดังตึงๆ

    “ฉันพักอยู่ในรถ”

     

    ชางตงเอารถไปเช็กสภาพที่ร้านขายอะไหล่รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในตำบลก่อนออกเดินทาง ช่างซ่อมที่รับรถพอเห็นรถดูไม่เตะตา แรกๆ ก็แสดงทีท่าไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่พอถึงตอนตรวจเช็กสภาพโดยละเอียด เขาก็อุทานออกมาเป็นพักๆ “คุณนี่รู้จักรถจริงๆ ดัดแปลงได้สุดๆ เลย!”

    ชางตงไม่ได้ปริปากพูดอะไร ทำเพียงนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ยืมกระดาษปากกาจากพวกคนงาน ลงมือวาดภาพเส้นทางช้าๆ

    สองปีแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของเขาล้วนถูกใช้ไปกับพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรหลังเวทีในโรงละครบนถนนหุยหมิน บนพื้นที่คับแคบมีก็แต่หุ่นเงาที่โลดแล่นอยู่บนฉากเท่านั้น แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมีพายุโหมกระหน่ำ เปลี่ยนเสียงจ้อกแจ้กจอแจภาพสีละลานตาที่อยู่รายรอบให้กลับกลายเป็นฝุ่นเล็กละเอียด ครั้นกวาดตามองไปรอบๆ เขาก็เห็นตัวเองอยู่ท่ามกลางทะเลทรายโกบีหมื่นหลี่

    เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าต้องมีสักวันที่เขาจะกลับไปที่นั่น คนตายสิบแปดคน เขามีสิทธิ์อะไรถึงรอดตายอยู่คนเดียว

    ปากกาเลื้อยลดคดเคี้ยวเกิดเป็นเส้นทางคดโค้งอยู่บนกระดาษ ทุกจุดล้วนราวสลักอยู่ในหัวสมองเขา

    เส้นทางบนหลัวปู้พัวจะวิ่งตัดผ่านจากตะวันออกไปตะวันตก ดังนั้นไม่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็เหมือนกัน แต่หากเริ่มต้นที่ด่านอวี้เหมิน คนวงในจะเรียกมันว่าซีชูอวี้เหมิน (ตะวันตกออกจากอวี้เหมิน)

    เขามองดูเส้นทางที่เขาวาดไว้

    ด่านอวี้เหมิน…หมัวกุ่ยเฉิง ซานหล่งซา…จุดที่เผิงจยามู่หายสาบสูญ…เนินหงหลิ่ว…ตำบลหลัวปู้พัว…หูซิน…สุสานอวี๋ฉุนซุ่น…หลงเฉิง

    ‘หลงเฉิง’ เขาวาดวงกลมวงแล้ววงเล่าไว้รอบสองคำนี้

    ศพของข่งยาง ทำไมถึงไปปรากฏอยู่ที่นั่นได้

    ใจกลางทะเลทรายมีเรื่องเล่าขานแปลกประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง…

    คนที่ตายอยู่ในทะเลทราย แต่ไหนแต่ไรศพของพวกเขาล้วนหาไม่พบ นั่นก็เพราะว่าใต้ทะเลทรายสูงๆ ต่ำๆ นั้นมีวิญญาณที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ พวกมันจะอาศัยลมพายุนำพาร่างของคนตายไปนั่นมานี่อยู่กลางทะเลทรายโกบี จนออกพ้นรัศมีร้อยพันหลี่

    นอกจากข่งยางแล้วยังมีคนอื่นๆ อีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาเองก็ถูกผนึกฝังอยู่ในเนินดินสีขาวเทานั่น

    กว่ารถจะตรวจสภาพซ่อมแซมเรียบร้อยก็ตกค่ำ อะไหล่บางตัวไม่มีของ ต้องรอวันพรุ่งนี้ถึงจะจัดหาให้ได้ ชางตงกินบะหมี่อยู่ในร้านอาหารข้างๆ ก่อนจะเดินกลับโรงแรม

    พอถึงหน้าประตูโรงแรม มองผ่านประตูกระจกเข้าไป เขาก็พบว่าห้องโถงโรงแรมในเวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อสองวันก่อน หญิงสาววัยรุ่นในชุดยั่วยวนสองสามคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องน่าขันอะไรถึงได้หัวร่องอหายกันแบบนั้น

    ส่วนที่บริเวณหน้าลิฟต์ มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังโอบกอดพากันเดินขึ้นชั้นบน ผู้หญิงคนนั้นดูคุ้นตาไม่ใช่น้อย

    เยี่ยหลิวซี?

    ชางตงนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของซันนี่

    ‘…พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาโฆษณาของทางโน้นแล้ว’

    เหนือใต้มีความแตกต่างกันจริงๆ ทางใต้ค่อนข้างกระมิดกระเมี้ยน ส่วนโฆษณาของพวกทางเหนือกลับทำกันอย่างโจ่งแจ้ง

    ในเมื่อคืนนี้เยี่ยหลิวซีหาห้องพักได้แล้ว งั้นเธอก็คงไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำที่ห้องของเขา

    ชางตงผลักประตูเดินไป ตอนก้มหน้าเดินผ่านโซฟา เสียงกระซิบสองสามประโยคก็ดังลอยมาเข้าหูเขา

    “เขาแอบวางยาหลิวซี เธอเห็นหรือเปล่า”

    “เห็นแล้ว คงนึกอยากเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ แต่กลัวชาวบ้านจะไม่เล่นด้วยแน่…คืนนี้ตานั่นได้สบายตัวแหงๆ”

    “ฉันไม่ได้เอ่ยปากเตือน ไหนๆ หล่อนก็ยินดีตามชาวบ้านเขาไปอยู่แล้วนี่…”

    คนพวกนั้นหัวเราะคิกคัก วงการนี้แต่ไหนแต่ไรไม่มีคำว่าน้ำใจอยู่เป็นทุนเดิม เพราะชีวิตตัวเองไม่สมปรารถนา ถึงได้ยินดีตอนเห็นผู้อื่นโชคร้าย

    ชางตงขมวดหัวคิ้ว เดินไปกดปุ่มที่ลิฟต์ แขกที่เดินขึ้นบันไดไปส่วนใหญ่ล้วนพักอยู่ชั้นสอง ส่วนคนที่อาศัยอยู่ชั้นสามขึ้นไปต่างใช้ลิฟต์

    ลิฟต์มาถึงแล้ว ชางตงเข้าไปกดเลขชั้น ไม่มีคนอื่นโดยสารลิฟต์มาด้วย ประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ ภายในลิฟต์เล็กแคบ ผนังสี่ด้านล้วนมีแต่โฆษณา แม้แต่บนพรมก็ยังพิมพ์สโลแกนภัตตาคาร บอกชัดเจนว่าปีนี้ทั้งปีลดสิบห้าเปอร์เซ็นต์

    นี่คือ ‘งาน’ ของเยี่ยหลิวซี ไม่ว่าจะเป็นแขกแบบไหน เชื่อว่าเธอคงเคยพบเจอมาหมดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องชาวบ้าน

    ครั้นลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้น ชางตงก็เดินออกจากลิฟต์ ขณะกำลังใกล้จะถึงห้อง จู่ๆ เขาก็ลังเล

    มีคนวางยาเธอ ว่ากันตามหลักแล้วเขาควรเอ่ยปากเตือนเธอสักหน่อยถึงจะถูก

    เขาเดินผ่านประตูห้องลงไปยังชั้นสองผ่านทางบันไดหนีไฟ

    ระเบียงทางเดินเงียบสงัด

    เพราะห้องโถงของโรงแรมยกสูง พื้นที่ของชั้นสองจึงถูกบีบ ห้องมีจำนวนไม่มาก ล้วนถูกจัดวางไว้ฝั่งเดียว ประตูหันเข้าหาระเบียงทางเดิน ห้องสองสามห้องที่ไฟเข้าพักไม่ติดแสดงว่าเป็นห้องว่าง ส่วนห้องที่มีคนเข้าพักมีอยู่ด้วยกันสิบกว่าห้อง แต่มีอยู่เพียงห้องเดียวที่หน้าห้องแขวนป้าย ‘ห้ามรบกวน’

    ชางตงเดินเข้าไปเคาะประตู แต่กลับไม่มีคนตอบ เขาเคาะประตูหนักมือขึ้น “เยี่ยหลิวซี?”

    เขาลองเคาะอยู่หลายครั้ง แต่ด้านในกลับไม่มีความเคลื่อนไหว ชางตงก้มหน้ามองดูกุญแจ ในตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงคนดังขึ้นจากทางด้านหลัง “คุณเรียกฉันงั้นหรือ”

    ชางตงหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว

    เป็นเยี่ยหลิวซีจริงๆ มือซ้ายของเธอถือตะกร้าอาบน้ำกับถุงเสื้อผ้า มือขวาถือรองเท้าแตะคู่หนึ่ง สีหน้าประหลาดใจยิ่งกว่าเขา “คุณรู้อยู่แก่ใจว่าฉันไม่มีเงินพักโรงแรม แล้วทำไมถึงมาเคาะประตูห้องพักแขกตะโกนเรียกชื่อฉันแบบนี้”

    ชางตงชักมือกลับ “ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่”

    “พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือไงว่าตอนกลางคืนฉันจะไปอาบน้ำที่ห้องคุณ รถของฉันจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลัง เดินตามบันไดขึ้นมา ได้ยินเสียงคุณกำลังเรียกชื่อฉันอยู่…คุณบอกว่าพักอยู่ชั้นสามไม่ใช่หรือไง”

    ชางตงบอก “ผมจำคนผิด”

     

    ตอนเยี่ยหลิวซีอาบน้ำ ชางตงลงไปชั้นสองอีกครั้ง เรื่องเมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

    เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไฟหน้าประตูห้องนั้นสว่างอยู่ แต่ทำไมเคาะประตูถึงไม่มีคนขานรับ เขาลองใช้โทรศัพท์บนระเบียงทางเดินโทรเข้าไป แต่ก็เหมือนกัน ไม่มีคนรับสาย

    ชางตงใช้บันไดอ้อมไปยังลานจอดรถด้านหลังโรงแรม

    ลานจอดรถนี้อันที่จริงเป็นพื้นที่กึ่งเปิด ด้านในมีรถจอดอยู่ไม่น้อย มีทั้งรถส่วนตัวและสามล้อไฟฟ้า ไม่ใช่พื้นที่สำหรับแขกในโรงแรมแต่เพียงอย่างเดียว เขายืนอยู่ที่ลานจอดรถครู่หนึ่ง เงยหน้ามองไปยังอาคารโรงแรม

    กำแพงดำๆ แทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับความมืด แสงไฟสว่างไสวจากหน้าต่างดูไม่ต่างอะไรกับดวงตาคู่ยักษ์ที่ฝังติดอยู่บนม่านสีดำ บางห้องดึงม่านปิดไว้ มีเงาคนปรากฏอยู่บนม่านให้เห็นเป็นครั้งคราว

    สายลมเย็นพัดผ่าน ชางตงเนื้อตัวสั่น หันหลังเตรียมเดินกลับขึ้นตึก แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว จู่ๆ เขาก็นึกเอะใจ

    เขาหันหน้ามองไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่บนชั้นสอง

    ด้านในไม่มีไฟ เรื่องนี้ไม่แปลก โรงแรมแห่งนี้อัตราคนเข้าพักไม่สูง ย่อมมีห้องว่างอยู่มาก

    แต่ที่แปลกก็คือห้องนั้นเปิดหน้าต่างไว้ ตำบลน่าฉีเกิดพายุทรายบ่อย น้อยมากที่จะมีใครเปิดหน้าต่างห้อง ต่อให้อยากเปิดหน้าต่างระบายอากาศ ยังไงก็ต้องเลือกเปิดตอนเที่ยงในจังหวะที่ไม่มีลม ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เป็นเวลากลางคืน อุณหภูมิลดต่ำลงไม่หยุด

    ตึกทั้งตึกมีก็แต่ห้องนั้นห้องเดียวที่เปิดหน้าต่างไว้

    ชางตงรูดซิปเสื้อลง ขยับคอไปมาครู่หนึ่ง เขาเดินถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่ง กระโดดขึ้นไปบนกำแพง เหยียดยืดร่างกาย แขนจับยึดอยู่กับที่แขวนคอมเพรสเซอร์แอร์ด้านนอก หลังจากนั้นก็ออกแรงส่งตัวผ่านหน้าต่างเข้าไป

    ภายในห้องมีความเคลื่อนไหว

    ชางตงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างครู่หนึ่ง แสงไฟสลัวๆ ด้านนอกช่วยให้เขามองเห็นภาพภายในได้ชัดขึ้นทีละน้อย

    ที่นอนอยู่บนเตียงคือชายร่างอ้วนคนหนึ่ง เนื้อตัวเปลือยเปล่า มือเท้าถูกมัดไว้ ปากถูกอุดไว้ด้วยปลอกหมอน เขาส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

    ชางตงเดินไปที่ข้างเตียง

    ชายคนดังกล่าวดิ้นรนหนักขึ้น คล้ายคิดขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็คล้ายกลัวคนที่มาจะทำร้ายตนเอง

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชางตงก็ค้อมเอว หยิบเอาผ้าห่มที่ถูกโยนลงไปกองอยู่บนพื้นขึ้นมาคลุมลงบนร่างของอีกฝ่าย

     

    น้ำร้อนภายในโรงแรมไหลแรงสม่ำเสมอ เทียบกับห้องอาบน้ำสาธารณะแล้ว น้ำที่นั่นไม่ต่างอะไรกับวัวแก่ลากเกวียนผุ เร่งยังไงก็ไม่ขึ้น

    หลังอาบจนพอใจ เยี่ยหลิวซีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมาพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม

    ชางตงกำลังดูทีวี นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กลับชอบดูละครโทรทัศน์แม่ผัวลูกสะใภ้น้ำเน่าประเภทนี้ ลูกสะใภ้กำลังทุบตีชายหนุ่มไม่หยุด อีกด้านแม่ผัวก็นั่งคร่อมอยู่บนหน้าต่าง แหกปากโวยวาย “ถ้าวันนี้ไม่ไล่นังนั่นไป ฉันจะกระโดดลงไปให้ดู!”

    เยี่ยหลิวซีเช็ดผม กวาดตาไปบนจอทีวี…เธออยากเห็นว่าสุดท้ายแม่ผัวนั่นจะกระโดดลงไปหรือเปล่า

    ทันใดนั้นชางตงก็หยิบรีโมตขึ้นมากด จอทีวีมืดดับ

    เยี่ยหลิวซีรู้สึกว่าเขาจงใจ เธอขมวดคิ้วหันมองไปทางเขา

    ชางตงจ้องตาเธอ “ผมไปห้องนั้นมาแล้ว”

    “อะไรนะ”

    “คุณทำอะไรของคุณ”

    ดูท่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็คงไม่มีประโยชน์ เยี่ยหลิวซีวางผ้าขนหนูลงพลางใช้มือจัดผม “คุณปล่อยเขาแล้ว?”

    “แค่ช่วยห่มผ้าให้”

    เยี่ยหลิวซีพูดประชดประชัน “ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณจะมีจิตเมตตาขนาดนั้น”

    “คุณรู้หรือเปล่าว่าสภาพอากาศแบบนี้ เปิดหน้าต่างปล่อยชาวบ้านนอนแก้ผ้าล่อนจ้อนตลอดทั้งคืนแบบนั้น เบาหน่อยเขาอาจแค่ล้มป่วย หนักกว่านั้นอาจถึงตายเพราะร่างกายสูญเสียความร้อนได้”

    เยี่ยหลิวซีไม่แยแส “แล้วไง”

    ชางตงจ้องมองดูเธอ “เกิดเขาตายขึ้นมา คุณเท่ากับเป็นคนร้ายคดีฆาตกรรม มีสายตามากมายหลายคู่เห็นคุณกับเขาโอบกอดอยู่ด้วยกัน คนแรกที่ตำรวจตามหาต้องเป็นคุณแน่”

    เยี่ยหลิวซียิ้ม “เป็นห่วงเป็นใยกันแบบนี้กลัวฉันเข้าคุกสินะ”

    ชางตงตอบ “คุณจะติดคุกหรือตายตกตามเขาไปก็แล้วแต่คุณ แต่อย่าทำผมเสียเรื่อง ก่อนเรื่องที่หลงเฉิงจะสิ้นสุด ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำตัวล้ำเส้น รู้จักกฎหมายบ้านเมือง ไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ชาวบ้าน หลังเสร็จงาน คุณจะฆ่าคนวางเพลิงอะไรก็แล้วแต่คุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม”

    เยี่ยหลิวซีไม่พูดอะไรอีก เธอเผยยิ้มออกมาน้อยๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมา “ได้”

    น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับไม่คิดถือสาแม้แต่น้อย ทว่าตอนกลับออกไปเธอกลับเหวี่ยงประตูดังปัง เสียงก้องดังไปทั่วระเบียงทางเดิน

    เสียงนี้…ชางตงรู้ดีว่าตัวเองล่วงเกินอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว

     

    ขณะลงจากตึก เยี่ยหลิวซีนึกด่าชางตงอยู่ในใจ กล้าสั่งสอนฉันงั้นหรือ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน

    เธอเข้าไปในลานจอดรถ หันหน้ากลับไปดูหน้าต่างมืดมิดที่ถูกเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งบานนั้น หากเธอปีนกลับเข้าไปก่อเรื่องอีก นั่นก็เท่ากับว่าเธอเป็นคนใจแคบ

    นับว่านายยังโชคดี!

    ขณะอยู่ห่างจากตัวรถประมาณสามถึงห้าก้าว จู่ๆ เธอก็หยุดชะงักเท้า

    ประตูรถถูกเปิด มองเห็นเงาคนในรถได้อยู่รางๆ

    เยี่ยหลิวซียิ้ม นี่มันวันอะไรกันถึงได้มีคนวิ่งเข้าหาปากกระบอกปืนของเธอไม่หยุด

    เยี่ยหลิวซีย่องเข้าไปเงียบๆ แนบร่างเข้ากับประตูที่ถูกแง้มเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มือล้วงเข้าไปบริเวณใต้เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ดึงมีดออกมาช้าๆ

    มีดหั่นแตงยาวฉื่อกว่า คมมีดส่องประกายวับวาวเย็นเยียบอยู่ท่ามกลางความมืด

    คนคนนั้นยังคงรื้อหาอะไรบางอย่างภายในรถ เคลื่อนไหวแผ่วเบา มีก็แต่เสียงกุกกักคล้ายหนูกำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหาร

    เยี่ยหลิวซีใช้สันมีดเคาะลงบนขอบประตูรถ คนคนนั้นตั้งตัวไม่ทัน สะดุ้งตกใจ เนื้อตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ

    เยี่ยหลิวซีเอ่ย “กำลังหาอะไรอยู่ ฉันรู้จักรถคันนี้ดี บอกมาสิ ฉันจะได้ช่วยหาให้”

     

    หลังรับสาย ชางตงก็รีบลงจากห้องพัก

    ห่างออกไปไม่กี่เมตร เขามองเห็นเฝยถังสองมือกุมหัว ที่วางอยู่ข้างเท้าคือกระเป๋าเดินทาง คุกเข่าอยู่ข้างประตูรถที่เปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง สภาพไม่ต่างอะไรกับนักโทษผู้ต้องขัง เยี่ยหลิวซีพิงร่างอยู่ข้างตัวรถ ท่าทางคล้ายกำลังหมดความอดทน

    พอเห็นชางตง เฝยถังก็ราวกับเห็นญาติสนิท เขาตะโกนเรียกน้ำเสียงแหบพร่า “พี่ตง รีบบอกเธอเร็วเข้าว่าผมมากับพี่ พี่ให้ผมมาค้นรถเธอ! รีบบอกเธอสิ”

    เขาตะโกนพลางขยิบตาให้กับชางตง

    หลายวันก่อนเขาขอให้เฝยถังใช้เส้นสายส่วนตัวช่วยตรวจสอบค้นหาคลิปวิดีโอ นึกไม่ถึงว่าหนี้บุญคุณที่ติดค้างต้องตอบแทนกันเร็วขนาดนี้

    ชางตงหยุดยืนอยู่ห่างจากเยี่ยหลิวซีประมาณจั้ง* กว่า เขาพยักหน้า “ใช่ เขามากับผมเอง”

    เยี่ยหลิวซีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แสร้งยิ้มประหลาดใจ “คิดว่าคุณจะเป็นคนซื่อๆ เสียอีก นึกไม่ถึงที่แท้ก็ทำเรื่องน่าละอายเป็นกับเขาด้วย…แล้วเป็นไง ค้นเจออะไรหรือเปล่า”

    คำพูดประโยคสุดท้ายเธอพูดกับเฝยถังพร้อมยกเท้าถีบอีกฝ่าย เฝยถังล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ไม่กล้าส่งเสียงโอดครวญ สองมือสองเท้าคลานพาตัวถอยห่างออกไป ก่อนจะคุกเข่าอยู่เหมือนเดิมต่อ

    ชางตงเอ่ยปากขอโทษเยี่ยหลิวซี “ขอโทษด้วย ผมไม่มีเจตนาอื่น แค่อยากรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ก็เท่านั้น ขอโทษที่ทำเกินไป วันหน้ารับรองจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีก”

    เห็นเขายอมรับออกมาตรงๆ แบบนั้น เยี่ยหลิวซีก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรขึ้นมาอาละวาด เธอกระตุกมุมปากยิ้ม

    “ไม่เป็นไร ทุกคนล้วนเป็นคนแปลกหน้า ทำงานด้วยกันแรกๆ ก็ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งไม่ลงรอยกันบ้างเป็นธรรมดา ฉันเองก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ทว่าชางตง…”

    เธอพูดแฝงเจตนาอื่น “อย่าให้มีครั้งที่สองอีกก็แล้วกัน คนอย่างฉัน ไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายอะไร”

     

    เฝยถังเดินตามชางตงอยู่ทางด้านหลัง ทีแรกเขายังไม่กล้าเอ่ยปากอะไร ต่อมาพอเห็นว่าเยี่ยหลิวซีไม่ได้ยินแล้วเขาก็เริ่มร้องด่า คำพูดสกปรกมากมายล้วนหลุดออกจากปาก

    หลังเข้าไปในห้อง เขาก็กวาดตามองไปรอบๆ “พี่ตง ผมเพิ่งมาถึง ห้องพี่ใหญ่ขนาดนี้ ให้ผมนอนโซฟาก็แล้วกัน คืนนี้ผมจะได้ไม่ต้องไปหาที่พักอื่น”

    ชางตงบอก “เพิ่งมาถึง โรงแรมยังไม่ทันได้หาก็ไปรื้อรถชาวบ้านแล้ว อะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญนายรู้ดีแล้วใช่หรือเปล่า”

    ครั้นได้ยินน้ำเสียงไม่เป็นมิตรและอีกฝ่ายยังมีท่าทีแบบนั้น เฝยถังก็ถึงกับสะดุ้ง จะดีจะเลวยังไงเขาก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ ‘เขี้ยวทะเลทราย’ และนั่นไม่ได้บอกว่าชางตงเป็นคนเป็นกันเอง เฝยถังครุ่นคิดรวดเร็วว่าควรต้องทำยังไงถึงจะพูดได้ถ้วนถี่

    “เรื่องมันเป็นแบบนี้ พี่ตง ผมบอกกับพี่ตามตรงก็ได้ เยี่ยหลิวซีคนนี้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เธอเคยอยู่ที่ซีอันมาระยะหนึ่งเหรอ ผู้หญิงคนนี้เบื้องหลังทำเรื่องผิดกฎหมาย ยักยอกของของเพื่อนผม พวกข้าวของแพงๆ อะไรพวกนั้น”

    เพื่อนของเฝยถังล้วนแต่เป็นพวกเล่นของเก่า ข้าวของแพงๆ ที่เขาพูดถึงย่อมหมายถึงพวกที่มีราคาค่างวดไม่ธรรมดา…

    “เพื่อนผมพวกนั้น ข้าวของของพวกเขาไม่ใช่ของที่จะได้มาแบบตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นจะให้ไปแจ้งตำรวจก็คงไม่ได้ พวกเขาประกาศว่าใครช่วยพวกเขาเอาของกลับคืนมาได้ จะมีค่าเสียเวลาให้ไม่ต่ำกว่าสิบหมื่น จะว่าไปก็ต้องขอบคุณพี่ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่ไปหาคลิปวิดีโอที่ฉีหลิวไห่ ผมเองก็คงไม่มีทางรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอด้วย

    พี่ตง พี่เองก็รู้ การค้าตลอดสองปีมานี้ของผมไม่สู้ดี เปิดร้านแล้วยังต้องแบกหนี้…พี่คงไม่คิดขวางหนทางร่ำรวยของพี่น้องใช่หรือเปล่า”

    เยี่ยหลิวซียักยอกข้าวของ เจ้าของประกาศค่าหัว เฝยถังอยากรวย เรื่องนี้แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ชางตงพยักหน้า “ได้”

    เฝยถังนึกยินดี ทว่าเขาเองก็รู้ว่าชางตงยังพูดไม่จบ

    “แต่ว่าช่วงนี้ฉันยังต้องการความช่วยเหลือจากเธอ ไม่อยากให้เกิดเรื่องอื่น นายจะหาของก็ดี คิดบัญชีกับเธอก็ช่าง เลื่อนเวลาออกไปก่อน อย่าขวางงานของฉัน”

    เฝยถังรีบพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวัง “พี่ตง ผมรู้ว่าพี่เอารถมาด้วย พี่คิดจะไปทะเลทรายโกบีใช่หรือเปล่า เยี่ยหลิวซี…ก็จะไปด้วยใช่ไหม”

    ชางตงอืมออกมาคำหนึ่ง

    เฝยถังใจเต้นโครมคราม “พี่พาผมไปด้วยได้หรือเปล่า ถ้าไม่จับตามองเธอไว้ ผมก็ไม่วางใจ…”

    ชางตงบอก “เหตุผลคงไม่ใช่แค่นี้ล่ะมั้ง”

    เขาพูดพลางเปิดหีบหุ่นเงา หยิบเอามีดแกะสลักออกมาและลับมันเข้ากับหินลับมีดอย่างเบามือ ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาทำมันจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ทุกคืนหากไม่ลับมีดเขาจะรู้สึกกระสับกระส่าย

    เฝยถังอึ้งไปกับคำถามของอีกฝ่าย ทว่าไหนๆ ก็ถูกจับได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไรอีก “ออกมาแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่า เรื่องนี้พี่ตงเองก็คงรู้”

    ค้นรถของเยี่ยหลิวซีจะพบเจอสมบัติหรือเปล่า ว่ากันตามตรงไม่มีใครรู้ แต่ในเมื่ออยากได้เงินก้อนโต ก็ต้องเตรียมสองมือไว้ให้พร้อม

    เส้นทางที่ชางตงจะไปกับเส้นทางสายไหมสมัยโบราณนั้นมีจุดที่เหมือนกันอยู่หลายจุด เส้นทางนี้ถ้าไม่ใช่พื้นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนก็เป็นทะเลทราย…ยังไม่พูดถึงร่องรอยเมืองเก่าที่ถูกกลบฝัง หลายพันปีมานี้ไม่รู้ว่ามีกองคาราวานของพวกพ่อค้ากี่มากน้อยที่ถูกพายุทรายกลบฝังอยู่ใต้ผืนทราย ไหนจะยังข้าวของที่มีราคาค่างวดอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะชิ้นไหนสำหรับในเวลานี้ก็ล้วนมีค่าไม่ใช่น้อยๆ ขอเพียงเก็บได้สักชิ้นสองชิ้น…

    นี่ไม่ใช่เรื่องฝันกลางวัน นักเผชิญโชคที่รวมกลุ่มไปทะเลทรายมีกันทุกปี ถึงจะบอกว่าเมืองโบราณโหลวหลันมีการก่อตั้งสถาบันปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมขึ้น เช่นเดียวกับสุสานเสี่ยวเหอที่ได้รับความคุ้มครองแล้วเช่นกัน แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนักเผชิญโชคอย่างพวกเขาสักหน่อย ไม่แน่ว่าดีไม่ดีพวกเขาอาจพบเจอเมืองโบราณโหลวหลันที่สอง หรือไม่ก็สุสานเสี่ยวเหอเวอร์ชั่นหรูหราก็เป็นได้

    คนเรายังไงก็ต้องรู้จักฝัน ใครจะไปรู้ไม่แน่ฝันอาจเป็นจริงขึ้นมาก็ได้

    ในที่สุดชางตงก็เอ่ยปาก

    “ฉันเดินทาง ไม่พาคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่พาพวกปากว่างเปลืองข้าวสุกไปด้วย อยากให้ฉันพาไป…นายทำอะไรได้บ้าง”

    เฝยถังไม่แม้แต่จะหยุดคิด “พี่ตง ขอแค่พี่เอ่ยปาก เรื่องกฎระเบียบผมเข้าใจ จะให้ออกเงินหรือออกแรงก็ได้ ผมไม่ขอตามไปฟรีๆ แน่”

    ชางตงพยักหน้า ท้องนิ้วลูบไปบนตัวมีดที่เพิ่งลับเสร็จเพื่อทดสอบคม “แล้วค้นเจออะไรหรือเปล่า”

    เพราะต้องให้ชาวบ้านช่วยเหลือ เฝยถังจึงตอบอย่างกระตือรือร้น “เต็มไปหมด ไม่ว่าอะไรก็มีทั้งนั้น เตา กระทะ กะละมัง ยังมีแคนตาลูปด้วย ผู้หญิงคนนี้นอนในรถ ใช้กระดานแขวนวางแทนเตียง ที่อยู่ใต้เตียงมีนวมต่อยมวยคู่หนึ่ง อ้อ ใช่ ยังมีหน้ากากด้วย…”

    ชางตงชะงัก “หน้ากาก?”

    “เป็นหน้ากากหนังนิ่มๆ วางพับอยู่ในกล่องที่นั่งด้านหน้า แรกๆ ผมก็คิดว่าอะไรเสียอีก พอสะบัดดูถึงได้เห็นว่าเป็นหน้ากาก ด้านบนมีรูสำหรับตากับปากเจาะไว้ เล่นเอาผมตกใจแทบตาย…”

     

    ราวตีสองตีสาม ชางตงตื่นขึ้นมากลางดึก เข้าห้องน้ำล้างมือ เดิมตั้งใจจะกลับห้องนอน แต่ใครจะไปคิด เขากลับราวกับถูกภูตผีกระซิบสั่งจึงเดินไปที่ข้างผ้าม่าน เลิกม่านออกเล็กน้อย

    ที่ลานจอดรถ จุดที่เยี่ยหลิวซีเคยเอารถไปจอดไว้ยามนี้ว่างเปล่า

    ชางตงบ่นพึมพำพลางปล่อยม่านลง

    ในทะเลทรายมีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อหงหลิ่ว คนใช้มันเพื่อตรึงผืนทราย หลังตรึงทรายเรียบร้อยสภาพของมันจะดูไม่ต่างกับสุสาน ต้นไม้ชนิดนี้ไม่สูงมากนัก แค่ราวๆ เมตรกว่าเท่านั้น แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ารากของมันใหญ่แน่นหนามาก แผ่ลึกลงไปได้ถึงสามสิบกว่าเมตร

    ความรู้สึกที่เขามีต่อเยี่ยหลิวซีก็ไม่ต่างอะไรกับต้นหงหลิ่ว ขอเพียงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง เขาจะไม่ไปสืบค้นเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรของเธอทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตามมาจะเป็นความลับใหญ่โตอะไรแบบไหน

    บางทีเขาอาจควรเตือนเฝยถังด้วยเช่นกัน คนบางจำพวก ต่อให้เดินเฉียดไหล่ก็ยังห้ามชำเลืองมอง พยายามอย่าไปมีเรื่องด้วยเป็นดี

     

    คืนวันที่สอง ชางตงเอารถกลับมา เขาจงใจขับอ้อมจากถนนลูกรังไป ตั้งใจจะแวะไปบอกเยี่ยหลิวซีว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว สามารถออกเดินทางได้เลย

    ที่เขาบอกว่า ‘ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ คือการเขียนรายการของที่ต้องเอาติดตัวไปด้วยรวมถึงฝ่ายสนับสนุน…ตำบลน่าฉีเป็นตำบลขนาดเล็ก แม้แต่โทรศัพท์ดาวเทียมก็ยังไม่มีขาย เขาเตรียมแวะซื้อระหว่างทาง ส่วนพวกอาหารน้ำดื่มของใช้สำคัญๆ ไว้ใกล้ถึงโกบีแล้วค่อยโหลดลงรถอีกรอบ

    เยี่ยหลิวซีไม่อยู่ ที่ตั้งแผงลอยถูกสามีภรรยาเฒ่าคู่หนึ่งยึดไปแล้ว ชางตงลองเข้าไปถาม ชายชราบอกแค่ว่า “วันนี้เธอไปทำงานอยู่ที่อื่น”

    ทำงานอีกแล้ว?

    ชางตงโทรหาเยี่ยหลิวซี อีกฝ่ายรับสายทันที ทว่าเพราะเสียงรบกวนดังมาก อีกทั้งกำลังยุ่งเธอจึงตอบกลับมาเพียงไม่กี่ประโยค “ถ้ามีธุระก็แวะมาที่ถนนเต๋อเถิง ถ้าไม่มีอะไร ไว้ฉันเสร็จงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ก่อนจะวางสาย

    ชางตงพลิกดูแผนที่เมืองที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เขาพบชื่อถนนเต๋อเถิงปรากฏอยู่บนหน้า ‘สถานที่แนะนำ’ มันเขียนเอาไว้ว่า ‘เป็นถนนสายอาหารและวัฒนธรรมที่คึกคักที่สุดของชาวน่าฉี’ ‘ไม่ควรพลาด’ ถ้อยความที่ใช้ไม่ต่างอะไรกับข้อความแนะนำถนนหุยหมินเลยแม้แต่น้อย

    ชางตงตัดสินใจแวะไปกินข้าวที่นั่น

    พอไปถึงเขาถึงได้พบว่าที่นี่เป็นถนนขายอาหารที่ค่อนข้างคึกคัก เขามาได้จังหวะพอดี ร้านแต่ละร้านจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้กลางแจ้งเป็นจำนวนมาก ที่ขายดีที่สุดคือบรรดาอาหารปิ้งย่างกับหม้อไฟหม้อเล็ก มีรถเข็นขายน้ำเปลือกผลแอปปริคอต* ถังใหญ่วิ่งไปมา

    ส่วนเยี่ยหลิวซี ยืนเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด…เธอกำลังย่างเนื้อขาย

    เตาย่างเปลวไฟลุกโชน เนื้อเสียบไม้พวกนั้นบ้างก็เพิ่งถูกวางลงไป บ้างก็ต้องกลับด้าน บ้างก็ต้องทาน้ำมัน บ้างก็ต้องทาเครื่องปรุง แต่เธอกลับไม่มีทีท่าลนลานเลยแม้แต่น้อย

    ชางตงนั่งลงบนโต๊ะว่างเล็กๆ ตัวหนึ่ง เขาสั่งเนื้อย่างชุดหนึ่งกับเบียร์อีกขวด ตอนออเดอร์ของเขาถูกส่งออกไป เยี่ยหลิวซีก็เงยหน้ามองมาทางเขาปราดหนึ่ง เขาพยักหน้าให้เธอเล็กๆ ถือเป็นการทักทาย

    เขารู้สึกนับถือเธออยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่พบเจอกัน อีกฝ่ายล้วนเปลี่ยนงานไปได้เรื่อยๆ แถมแต่ละงานยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก หากจะบอกว่าเธอเชี่ยวชาญสารพัดอาชีพเขาก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร

    ขณะที่เขากินกำลังจะเสร็จ เยี่ยหลิวซีก็พอมีเวลา เธอเคี้ยวแผ่นปิ่งย่างเดินตรงมาหาเขา “มาหาฉัน?”

    ชางตงบอก “คนที่คุณเจอเมื่อวานชื่อเฝยถัง เขาจะตามพวกเราไปด้วย ผมให้เขาไปเช่ารถออฟโรดขับเคลื่อนสี่ล้อมาอีกคัน พวกเราจะได้มีรถบรรทุกสัมภาระเพิ่ม ช่วยให้มั่นใจเพิ่มมากขึ้นด้วย”

    เยี่ยหลิวซีตอบ “ก็ดี”

    เธอพูดพลางหยิบเอากระปุกเครื่องปรุงขึ้นมาปรุงรสแผ่นปิ่งย่าง

    “พวกเราจะเข้าไปทางตุนหวง หากการเดินทางไม่มีอุปสรรคอะไร ก็คาดว่าภายในสี่วัน ผมน่าจะจัดการเรื่องฝ่ายสนับสนุนได้เรียบร้อยก่อนเข้าทะเลทรายโกบี จะมีการติดต่อรายงานตำแหน่งจีพีเอสตามเวลากับพวกเขาทุกวัน ถ้าไม่ได้รับการติดต่อภายในสี่สิบแปดชั่วโมง พวกเขาจะเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือทันที”

    เยี่ยหลิวซีพยักหน้า “เยี่ยม”

    “อีกเรื่องคือหลงเฉิงมีอาณาเขตใหญ่มากกว่าครึ่งเมืองเซี่ยงไฮ้ เหนือใต้ออกตกล้วนหน้าตาคล้ายคลึงกัน ไปถึงข้างในอาจหลงทิศได้ง่าย คุณอาศัยอะไรถึงมั่นใจว่าจะหาข่งยางเจอ”

    เยี่ยหลิวซีหรี่ตาชำเลืองดูเขาปราดหนึ่ง “ไม่ไว้ใจฉัน?”

    ชางตงหยิบเอาลิสต์ข้าวของออกมาแล้ววาดภาพลงด้านหลัง “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจคุณ แต่อย่างน้อยคุณก็ควรบอกตำแหน่งคร่าวๆ ไว้ให้ผม แบบนี้ผมถึงจะวางเส้นทางเดินทางได้ จะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา”

    ครั้นวาดภาพแผนผังบอกตำแหน่งเสร็จเขาก็ยื่นมันให้เยี่ยหลิวซีดู

    “ภูมิประเทศของหลงเฉิงมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า มีคนเคยเข้าไปเป็นจำนวนมาก แต่ล้วนเดินทางไปตามเส้นทางของคนก่อนหน้า รีบเข้ารีบออก โดยหลักก็จะเดินทางเฉียงจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…”

    เขาวาดเส้นโค้งผ่านกลางภาพแผนผังขึ้นเส้นหนึ่ง

    “เส้นทางนี้ทุกปีล้วนมีกองคาราวานรถยนต์แล่นผ่านเป็นจำนวนมาก ถ้าศพของข่งยางอยู่บริเวณนั้นก็น่าจะถูกค้นพบนานแล้ว ดังนั้นตอนคุณไปคราวก่อน คงต้องเดินทางลึกเข้าไปถึงใจกลางของหลงเฉิงแน่ เส้นทางนี้มีจุดบอกทิศทางอยู่สามจุด ที่นี่คือหอไฟสัญญาณสมัยฮั่น ส่วนตรงนี้มีถังน้ำมันขนาดใหญ่ที่ถูกกรอกไว้ด้วยทรายจนเต็มสองถัง ตัวถังมีสัญลักษณ์บอกทิศทางสีแดงทาไว้ เป็นสัญลักษณ์ที่พวกนักโบราณคดียุค 70 ทำไว้ ส่วนจุดนี้คือร่องลึกร้อยเมตร ด้านในคือโครงกระดูกอูฐ…ตอนนั้นคุณอยู่ห่างจากแนวเส้นปลอดภัยอันไหน”

    เยี่ยหลิวซีมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่าเธออยู่ระหว่างถังน้ำมันกับหอไฟสัญญาณ “ตรงนี้”

    ชางตงขมวดคิ้ว “บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผลึกเกลือ เดินทางยากลำบาก”

    เยี่ยหลิวซียักไหล่ “ดังนั้นคนที่เข้าไปในหลงเฉิงพวกนั้นถึงไม่มีใครพบเจอข่งยางของคุณ หากเดินทางได้สะดวกง่ายดาย พวกเขาคงเห็นกันนานแล้ว”

    ชางตงเรียกเก็บเงิน เขาใช้กระปุกเครื่องปรุงวางทับเงินค่าอาหาร “พรุ่งนี้เช้าตรู่ ตีสี่ครึ่ง นอกตำบลน่าฉี ทุกคนไปเจอกันที่หัวสะพานเฉียนจิ้น”

    สะพานเฉียนจิ้นอยู่ห่างจากตัวตำบลออกไปทางทิศตะวันตกประมาณสิบกว่าหลี่ ลำน้ำแห้งขอดนานแล้ว เหลือก็แต่ตัวสะพาน

    เยี่ยหลิวซีรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมต้องไปเจอกันที่นั่นด้วย ไปเจอกันในตำบลก่อนแล้วค่อยออกเดินทางพร้อมกันไม่ได้หรือไง”

    “ไม่ได้”

    “ตีสี่ครึ่งไม่เช้าเกินไปหน่อยหรือ ต้องรีบเดินทางขนาดนั้น?”

    “ใช่”

    เยี่ยหลิวซีนึกขัน “จะไม่บอกกันให้รู้สักหน่อยก่อน?”

    “ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นผมจะอธิบายให้ฟังเอง”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook