ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปริศนาด่านปีศาจอวี้เหมิน 1 บทที่ 3
บทที่ 3
เยี่ยหลิวซีออกเดินทางจากในตำบลตอนตีสี่ เธอมีนิสัยชอบไปถึงก่อนเวลานัด ไม่ชอบให้คนอื่นรอ
ตอนรถแล่นอยู่บนถนนลูกรัง เธอมองเห็นคนกลุ่มหนึ่ง บ้างก็ยืนบ้างก็นั่งอยู่ใต้ไฟถนน ห่มร่างไว้ใต้เสื้อบุนวม หดคอหลบลม คนพวกนี้ล้วนแต่มาจากชนบท มารอคนพาไปทำงานรับจ้างชั่วคราว ว่ากันว่าตีห้ากว่าหัวหน้าคนงานจะขับรถมาเลือกคน ใครเลือกก็ไปตามคนนั้น ระยะนี้งานมีไม่มากทำให้ต้องแย่งชิงกัน ดังนั้นเวลาที่ออกมาต่อแถวจึงเช้ามากขึ้นเรื่อยๆ
แผงค้าริมถนนเปิดร้านกันแต่เช้า บ้างก็ขายน้ำเต้าหู้ ซาลาเปากับปาท่องโก๋ เยี่ยหลิวซีลงไปซื้อข้าวกล่องมากล่องหนึ่ง ตอนจ่ายเงิน แสงจากโคมแขวนข้างครอบกระจกเปลี่ยนธนบัตรให้แลดูโปร่งแสง
นี่เป็นเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก
ตีสี่สิบห้ารถจอดอยู่ที่หัวสะพานเฉียนจิ้น บรรยากาศรอบๆ มืดดำ กินข้าวตอนนี้ออกจะเช้าเกินไปหน่อย เยี่ยหลิวซีเปิดเครื่องเสียงในรถ
รถคันนี้มีอายุมากพอสมควรแล้ว แผ่นซีดีเองก็เป็นของที่หวงเต๋อฝูซื้อไว้ รสนิยมของหวงเต๋อฝูเป็นแบบไหน เธอก็ฟังมันไปตามนั้น ไม่เคยเลือกและคร้านเกินกว่าจะเปลืองเวลาไปกับเรื่องแบบนั้น
เสียงกลองเสียงฉาบเสียงพิณดวงจันทร์ดังประโคมอยู่ด้วยกัน พร้อมเสียงร้องขับขานตามท่วงทำนองแบบเก่าของบทเพลง ‘จ๋าเหม่ยอั้น (คดีประหารราชบุตรเขย)’ ตัวอักษรคำหนึ่งลากยาวจนคนแทบลืมหายใจ…
“เปาเจิ่งเปิดศาลไคเฟิงพิพากษาคดี เชิญราชบุตรเขยรับฟังข้อกล่าวหา…”
เยี่ยหลิวซีพ่นลมหายใจลงบนกระจกรถ เกิดเป็นหมอกบดบังดวงดาวที่อยู่ด้านนอก ก่อนจะยื่นมือเช็ดมันออก
ตีสี่ครึ่ง ชางตงยังมาไม่ถึง เยี่ยหลิวซีลงจากรถ มองไปตามถนน แต่ก็ยังไม่พบเห็นการเคลื่อนไหวใดๆ บทเพลงจากเครื่องเล่นวิทยุเปลี่ยนไปเป็นเพลง ‘ซูซานฉี่เจี่ย (คลี่คลายคดีซูซาน)’ ตามทำนองซีผีหลิวซุ่ย*
เสียงร้องที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครนั้นบีบเค้นแหลมสูง ยามสายลมพัดส่งออกไป เสียงร้องดังกล่าวฟังดูไม่ต่างอะไรกับภูตผีปีศาจอาละวาดหลอกหลอนอยู่กลางทุ่ง
เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับให้ผู้หญิงต้องมารอ นี่มันอะไรกัน
เยี่ยหลิวซีขึ้นรถ ปิดประตูรถดังปัง เธอตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีห้า เป็นคนต้องใจกว้าง ความสามารถในการอดทนรอของเธอปกติแล้วอยู่ที่ครึ่งชั่วโมง
รถถูกดัดแปลงเพื่อให้มีพื้นที่มากพอสำหรับเก็บสินค้ากับกระดานแขวนสำหรับนอน ที่นั่งด้านหลังเลยถูกรื้อออก เหลือไว้ก็แต่ที่นั่งคนขับกับที่นั่งข้างคนขับเท่านั้น เยี่ยหลิวซีไม่มีอะไรทำจึงวางเท้าพาดเข้ากับพนักเก้าอี้ ทำท่าซิตอัพกลางอากาศ
หลังผ่านไปยี่สิบครั้ง เธอก็เริ่มรู้สึกปวดเมื่อยหน้าท้องกับต้นขา เยี่ยหลิวซีหยุดนิ่งไม่ต่างอะไรกับค้างคาวห้อยหัว
บทเพลงเปลี่ยนไปเป็นเพลง ‘เยี่ยเปิน (ห้อตะบึงยามราตรี)’ บทตัวเอกบู๊แวะพักโรงพักม้า “คืนค่ำงดงามเนิ่นนาน…รีบเร่งเดินทางกลางทางสายเปลี่ยว…เคลื่อนไหวแคล่วคล่องไม่กลัวหนทางไกล”
นี่เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว หลังร้องจบมันก็หยุดเล่นอัตโนมัติ เสียงแกรกดัง บรรยากาศในรถเงียบสงัดราวกับเฉินซื่อเหม่ย* ถูกตัดหัว
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีห้า เยี่ยหลิวซีโทรหาชางตง แต่เขากลับปิดเครื่อง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าตัวเองควรอดทนอีกหน่อย ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
หกโมงตรง เยี่ยหลิวซีห่อร่างอยู่ใต้เสื้อนวมมองดูท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นท้องฟ้าจะปกคลุมด้วยแสงสีแดงจางๆ หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ เข้มขึ้นทีละน้อย คล้ายสถานที่เกิดอุบัติเหตุ…ถ้าชางตงไม่ใช่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเคลื่อนไหวไม่ได้ก็คงตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้เธอไม่มีทางอภัยให้อีกฝ่ายเด็ดขาด
ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เยี่ยหลิวซีก็ยกน้ำเต้าหู้ที่เย็นชืดหมดสิ้นขึ้นดื่มจนเกลี้ยง เธอเงยหน้าหรี่ตามองดวงอาทิตย์ ก่อนสบถออกมาสองคำ “บัดซบ”
รถแล่นกลับเข้าตัวตำบลอีกครั้ง คนที่นั่งยองๆ อยู่ตลอดสองข้างทางของถนนลูกรังในเวลานี้หายไปหมดแล้ว คาดว่าคงหางานได้สมตามต้องการแล้ว
ทว่าเธอได้อะไร ทนรออยู่สองสามชั่วโมง ได้เห็นก็แต่ดวงอาทิตย์ขึ้น
เยี่ยหลิวซีขับรถมาถึงหน้าประตูโรงแรมที่ชางตงพัก
เธอตรงดิ่งเข้าไปสอบถามว่าชางตงคืนห้องพักหรือยัง แล้วคืนเมื่อไหร่ แต่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์กลับไม่ให้ความร่วมมือ สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนจะบอกว่า ‘พวกเราต้องรักษาความลับของลูกค้า’ เยี่ยหลิวซีจึงเดินตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่เสียเวลาคุยกับพวกเขาอีก
ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิด ด้านนอกก็มีคนตะโกน “เฮ้ โทษที ขอไปด้วยคน”
เยี่ยหลิวซีกดปุ่มเปิดประตู คนคนนั้นพุ่งตรงเข้ามารวดเร็ว ขณะจะหันมาเอ่ยปากขอบคุณ จู่ๆ รอยยิ้มเขาก็ชะงักค้าง
เฝยถัง
เยี่ยหลิวซีจ้องมองดูอีกฝ่าย “ชางตงยังพักอยู่ที่นี่?”
เฝยถัง “ใช่…ใช่แล้ว”
เขากลัวผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่น้อย คืนนั้นตอนถูกอีกฝ่ายจิกหลังคอลากลงจากรถ มันทำให้เขานึกถึงตอนเห็นหมูถูกเชือดเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
สายตาของเยี่ยหลิวซีเคลื่อนไปหยุดอยู่บนถุงที่อยู่ในมือเขา
เฝยถังรีบตอบ “เต้า…เต้าฮวย อาหารเช้าของพี่ตง”
เยี่ยหลิวซี “อ๋อ”
‘อ๋อ’ ของเยี่ยหลิวซีทำเฝยถังขนลุกขนพอง พื้นที่ในลิฟต์คับแคบ มีอีกฝ่ายยืนหายใจอยู่ข้างๆ แบบนี้เขาก็ให้นึกกระอักกระอ่วน ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก
ในที่สุดลิฟต์ก็มาถึงชั้นสาม เขาให้เธอเดินออกไปก่อน
เยี่ยหลิวซียื่นมือออกไป “เอาเต้าฮวยมาให้ฉัน”
ใครจะเอาไปให้ชางตงก็เหมือนกัน เฝยถังรีบส่งถุงเต้าฮวยให้อีกฝ่าย เยี่ยหลิวซีใช้นิ้วเกี่ยวถุง พอเดินผ่านถังขยะ เธอก็ปล่อยนิ้ว เต้าฮวยกระแทกเข้ากับฝาถังอย่างแม่นยำ ก่อนจะผลุบหายลงไปในถัง
เฝยถังชะงักเท้า ตัดสินใจไม่เดินตามไป เช้าๆ อากาศดี ไปเดินเล่นสักครู่ก่อนดีกว่า
ประตูไม่ได้ปิด แค่งับไว้เฉยๆ เท่านั้น เยี่ยหลิวซีผลักประตูเดินเข้าไปหาชางตงที่อยู่ในห้องน้ำ เขากำลังแปรงฟัน ในปากเต็มไปด้วยฟองขาว พอชำเลืองเห็นเธอ เขาก็กลั้วปากสองสามทีก่อนหยิบผ้าขนหนูขึ้นเช็ดมุมปาก
ตอนจะเดินออกมา เยี่ยหลิวซีก็พิงร่างเข้ากับวงกบประตูด้านหนึ่ง ยกเท้าขึ้นยันเข้ากับกลางวงกบประตูอีกด้าน
ชางตงช้อนตามองดูอีกฝ่าย เยี่ยหลิวซีไม่ยิ้ม “ชางตง เป็นคนควรรักษาเวลาไม่ใช่หรือไง”
ชางตงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเป็นคนก็ควรซื่อสัตย์ใช่หรือเปล่า”
“หมายความว่ายังไง”
“ภาพถ่ายนั่นคุณเป็นคนถ่ายเองงั้นหรือ คุณเคยไปหลงเฉิงจริงหรือเปล่า”
พูดจบเขาก็งอนิ้วเคาะลงบนเข่าของเยี่ยหลิวซี “เอาขาลง”
เหมือนมีภูตผีสั่ง เยี่ยหลิวซีทำตามที่เขาบอกโดยไม่รู้ตัว
ชางตงเดินอ้อมเธอออกมา เข้าไปรินน้ำในห้องรับแขก เยี่ยหลิวซีเดินตาม คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กๆ “มีอะไรเข้าใจผิดกันใช่ไหม”
มีคนประเภทหนึ่ง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ชางตงนั่งลงบนโซฟา ดันกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
นั่นเป็นภาพเส้นทางในหลงเฉิงที่เขาวาดไว้เมื่อวาน เยี่ยหลิวซีเห็นท่าไม่สู้ดี หรือว่าตำแหน่งที่ตัวเองบอกไปมีปัญหา
จริงอย่างคาด ชางตงชี้ไปยังตำแหน่งหอไฟสัญญาณ “บนภาพนี้ ผมจงใจวาดผิดไปจุดหนึ่ง ในหลงเฉิงไม่มีหอไฟสัญญาณ”
เยี่ยหลิวซีครุ่นคิดรวดเร็ว แววตาจริงจังจริงใจ “รูปร่างหน้าตาของสันเขาทะเลทรายเดิมก็พิลึกพิลั่นแปลกประหลาด จะบอกว่าคล้ายหอไฟสัญญาณก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่าง ที่ฉันชี้คือตำแหน่งคร่าวๆ…”
“ก็ดี งั้นคุณลองชี้ใหม่อีกที”
เยี่ยหลิวซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าชางตงกำลังหลอกเธออยู่
หากเธอเปลี่ยนตำแหน่ง นั่นก็เท่ากับติดกับเขา เมื่อวานชี้ตรงนั้น วันนี้ชี้ตรงนี้ นั่นย่อมแปลว่าเธอไม่รู้จริงๆ ว่าตำแหน่งที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน
ก็แค่ไม่มีหอไฟสัญญาณเท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงชี้ไปที่ตำแหน่งเดิม “ที่นี่”
ชางตงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “ฉลาดมาก”
เยี่ยหลิวซียิ้มงดงาม น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสยิ้มจนสุด…
“…นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอคนที่ไม่นึกสนใจอะไรเลยแม้แต่น้อยแบบนี้ คุณก็น่าจะทำการบ้านบ้าง แค่ออนไลน์ตรวจสอบข้อมูลสักหน่อยก็ยังไม่มีเวลาเลยหรือไง”
เขาหยิบปากกาขึ้นมาขีดภาพเส้นทางทิ้ง “หลงเฉิงไม่มีจุดบอกเส้นทางถังน้ำมัน”
หลังจากนั้นเขาก็ขีดเส้นลงไปตามจุดต่างๆ “ไม่มีร่องลึกร้อยเมตรที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกอูฐ ไม่มีเส้นทางจากตะวันออกเฉียงใต้ไปตะวันตกเฉียงเหนือ รูปร่างของหลงเฉิงก็ไม่ใช่รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า…ผมพูดแบบนี้ชัดเจนพอหรือยัง“
ชัดเจนพอแล้ว บ้าเอ๊ย
เยี่ยหลิวซีนั่งลงบนโซฟาและยิ้มขอโทษ “เรื่องนี้ฉันผิดเอง ต้องขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้เจตนา…แบบนี้ก็แล้วกัน คุณว่ามาว่าคุณจะเอายังไง”
ยอมรับออกมาง่ายดาย หนำซ้ำยังยิ้มหวานใส่เขาอีก โบราณว่าไว้ มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนส่งยิ้มให้* คำพูดนี้นับว่ามีเหตุผลจริงๆ…ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้พูดจาปลิ้นปล้อนตลบตะแลง แต่เขาก็ยังคงไม่อาจอาละวาดเหวี่ยงวีนใส่อีกฝ่าย
หากเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้ เธอต้องพูดอย่างไม่เกรงอกเกรงใจออกมาแน่ๆ ว่า ‘ชางตง ฉันขอโทษแล้วไม่ใช่หรือไง คุณยังจะเอาอะไรอีก คุณเป็นผู้ชาย ทำไมถึงคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้’
ชางตงหยิบเอาภาพถ่ายใบนั้นออกมาวาง “ผมรู้แล้วว่าข่งยางอยู่ที่หลงเฉิง แต่คุณกลับไม่รู้ว่าตำแหน่งของศพนั่นอยู่ที่ไหน ซึ่งนั่นก็แปลว่าผมไม่จำเป็นต้องมีคุณก็ได้ ผมไปที่นั่นเองก็ได้ อย่างมากก็พักอยู่ที่คู่เอ่อร์เล่อ เดินทางเข้าหลงเฉิงเป็นระยะๆ ค่อยๆ หามันไปทีละเขตทีละโซน หลงเฉิงมีพื้นที่สามพันห้าร้อยตารางกิโลเมตร ใช้เวลาสักปีสองปีก็น่าจะพอ เพราะฉะนั้นคุณลองพูดมาดูว่าทำไมผมต้องพาคุณไปด้วย”
เยี่ยหลิวซีบอก “เรื่องนี้ อันที่จริง…”
ชางตงตัดบท “ผมขอเตือนคุณไว้ก่อน คนเราโกหกหนึ่งครั้งยังพอมีโอกาสครั้งที่สอง แต่หากยังโกหกครั้งที่สอง ย่อมไม่มีค่าให้เชื่อถืออะไรอีก”
เยี่ยหลิวซีถอนหายใจ “ที่ฉันไม่พูดความจริง เพราะพูดไปคุณก็ไม่มีทางเชื่อ…”
ชางตงบอก “แล้วคุณคิดว่าเรื่องที่คนคนหนึ่งถูกฝังอยู่ในเนินดินกลางพื้นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนแบบนั้นจะมีคนเชื่อสักกี่คน ผมไม่ใช่เชื่อคุณแล้วหรือไง แล้วยังมีอะไรที่คุณคิดว่าผมจะไม่เชื่ออีก”
เยี่ยหลิวซีเปลี่ยนคำพูด “นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ…”
เธอกดเสียง เอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเขาไม่หยุด “ฉันกลัวคุณตกใจ”
นับแต่เกิดมาสำหรับเขาแล้วผู้หญิงคนนี้นับว่าเป็นคนที่น่ารำคาญที่สุด
ชางตงหมดความอดทน เขาชี้นิ้วไปที่ประตู “หากผมยังได้ยินคำพูดเหลวไหลออกจากปากคุณอีกแม้แต่คำเดียว แค่คำเดียว คุณไปจาก…”
“สี่โมงครึ่ง หัวสะพานเฉียนจิ้น ไม่พบไม่เลิกรา ฉันรับรอง คุณอยากรู้อะไร รับรองถึงตอนนั้นจะได้รู้ทุกอย่าง ฉันไปล่ะ เจอกันตอนเย็น…”
เพื่อแสดงความจริงใจ ตอนปิดประตูเยี่ยหลิวซีปิดประตูอย่างเบามือ สลักเกลียวลั่นแกร๊กแผ่วเบา เอาอกเอาใจเป็นที่สุด
ทว่าเยี่ยหลิวซีกลับไม่ได้เดินจากไปทันที เธอยืนอยู่หน้าประตูประมาณสองวินาที กางนิ้วมือทั้งห้าลากผ่านไปบนผิวประตู
ตอนห้าโมงกว่า ชางตงลวกบะหมี่สำเร็จรูป เฝยถังกระตือรือร้นเขยิบเข้ามาเสนอจะเติมไส้กรอกแฮมให้เขา
สองวันนี้เพื่อหารถออฟโรดขับเคลื่อนสี่ล้อที่ถูกที่สุด เขาเรียกได้ว่าทุ่มเทแรงกายสติปัญญาอย่างสุดกำลัง สุดท้ายก็ได้รถจี๊ปเก่าๆ มาคันหนึ่ง ราคาค่าเช่าตกลงกันที่สองพันหยวนต่อเดือน เจ้าของรถเองก็ได้รถมาในราคาที่ไม่สูงนัก เป็นรถมือสองราคาสามหมื่นกว่า แต่เพราะชอบตกแต่ง เลยเปลี่ยนตัวรถใหม่เป็นสีลายพราง บนล้อสำรองมีการติดตั้งพลั่วทหารไว้ พร้อมแขวนธงโจรสลัดไว้ที่ไฟสัญญาณหน้ารถ
เฝยถังเองรู้สึกว่ารสนิยมของอีกฝ่ายดูงี่เง่าไปหน่อย แต่นึกไม่ถึงว่าหลังชางตงกวาดตามองดูรถทีหนึ่ง เขากลับตอบตกลง
เพราะรู้สึกซาบซึ้ง เขาจึงช่วยซื้ออาหารเช้า เติมไส้กรอกแฮมให้เป็นการแสดงน้ำใจ รวมถึงคอยถามไถ่เอาใจใส่ชางตงในทุกเรื่อง…
“พี่ตง เย็นนี้พี่นัดผู้หญิงคนนั้นไว้ใช่หรือเปล่า กี่โมง”
ชางตงหยิบส้อมพลาสติกขึ้นม้วนเส้นบะหมี่ “สี่โมงครึ่ง”
“สี่โมง…ครึ่ง…” เฝยถังเปิดมือถือดูเวลา “หวา พี่ตง นี่มันเลยเวลาแล้ว”
“เธอไม่มีทางตรงเวลา”
เขาให้เธอรอตั้งเกือบสามชั่วโมง แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวันอีกต่างหาก
หลังกินบะหมี่เสร็จ เฝยถังก็กระตือรือร้นเสนอตัว บอกจะช่วยเขาเอาถ้วยบะหมี่ไปทิ้ง เหตุผลคือถึงในห้องจะมีถังขยะ แต่ทิ้งมันไว้ในห้องจะเกิดกลิ่นได้
ตอนกลับมา เขาเห็นชางตงเปิดหีบหุ่นเงา หยิบเอามีดแกะสลักวับวาวเล่มหนึ่งออกมา สอดมันไว้ในแขนเสื้อ
มีดแกะสลักเล่มนั้นมีลักษณะคล้ายแท่งปากกา ปลายมีดเฉียงแหลม คนสลักหนังกลัวที่สุดคือมีดทื่อทำเสียเวลา ดังนั้นมีดจึงต้องคมกริบ…ชางตงมักลับมีดอยู่เป็นประจำ สองวันมานี้เฝยถังเห็นอีกฝ่ายทำมันอยู่บ่อยๆ จนเผลอเก็บเอาไปฝัน มีอยู่คืนหนึ่งเขาฝันเห็นปลายมีดนั่นปาดผ่านลำคอตัวเองไป เลือดพุ่งกระฉูดออกมาเป็นวงโค้งงดงาม
ชางตงเงยหน้า พอเห็นเฝยถังจ้องแบบนั้นเขาก็อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“เอาไว้ป้องกันตัว เผื่อถูกเล่นงาน”
เฝยถังยิ้มแห้งหัวเราะ “พี่ตงพูดล้อเล่นอะไร…พวกเราอยู่ในสังคมที่ปกครองกันด้วยกฎหมาย…”
ยิ้มอยู่ดีๆ จู่ๆ รอยยิ้มของเฝยถังก็หายไปเสียดื้อๆ
เขานึกถึงตอนที่ถูกจับได้ในคืนนั้น เยี่ยหลิวซีในมือถือมีด ตอนเธอเข้ามาในรถ คมมีดส่องประกายวับวาวปรากฏอยู่ในแววตาของเธอ
เยี่ยหลิวซีมาสายจริงๆ
กว่าเธอจะปรากฏตัวก็หลังดวงอาทิตย์ตก รถพุ่งตรงมาจากทางทิศตะวันตกคล้ายลูกกระสุนที่พุ่งออกมาจากแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
พอใกล้ถึง จู่ๆ เยี่ยหลิวซีก็ลงจากรถ วิ่งเหยาะๆ ตรงเข้ามา เอ่ยปากขอโทษเขาผ่านหน้าต่างรถ “ขอโทษที พอดีมีธุระนิดหน่อย”
ชางตงบอก “ไม่เป็นไร ผมส่งคุณไปดูดวงอาทิตย์ขึ้น คุณให้ผมดูดวงอาทิตย์ตก ยุติธรรมดี”
เยี่ยหลิวซียิ้ม “งั้นฉันขับรถนำทาง คุณตามฉันมา ราวๆ ชั่วโมงครึ่งก็ถึง”
“พวกเราจะไปไหน”
ระยะทางประมาณชั่วโมงครึ่งจากตำบลน่าฉี เหนือใต้ออกตกล้วนทะเลทรายโกบี ยิ่งไปกว่านั้น…ตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็ตกแล้ว
เยี่ยหลิวซีค้อมเอวลงเล็กน้อย แขนค้ำอยู่บนขอบหน้าต่างรถ “คุณกลัวงั้นหรือ ฉันมันก็แค่สาวสวยตัวคนเดียว มืดค่ำแบบนี้ตามคุณไปที่เปลี่ยว คนที่ต้องกลัวควรเป็นฉันมากกว่า”
ชางตงบอก “คุณคงไม่เคยอ่าน ‘เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ’* สินะ”
เส้นทางชั่วโมงครึ่งนี้ หนึ่งชั่วโมงแรกเป็นการเดินทางอยู่บนทางหลวง ส่วนครึ่งชั่วโมงหลังเป็นการเดินทางอยู่ในทะเลทรายโกบี มืดมิดไร้แสงไฟ ทว่าเยี่ยหลิวซีกลับรู้จักทางดี…ถึงจะอ้อมไปอ้อมมา แต่ก็มั่นใจได้ว่าไม่ได้ย้อนกลับหลัง
เยี่ยหลิวซีจอดรถ
ชางตงลงจากรถตามมา ตอนกลางคืนอากาศในทะเลทรายเย็นยะเยือก เขากระชับเสื้อคลุมตามสัญชาตญาณ ใต้ฝ่าเท้าคือผืนทราย ไม่หนา หากลองกระทืบเท้าดูก็จะสัมผัสได้ถึงชั้นดินแข็งๆ ที่อยู่ทางด้านล่างของทะเลทรายโกบี
ที่นี่คือบริเวณชายขอบของทะเลทราย เม็ดทรายทั้งหมดล้วนถูกลมพายุหอบพัดมาจากทะเลทราย วันแล้ววันเล่า ทับถมกันจนกลายเป็นเนินทราย
เยี่ยหลิวซีบอกให้เขาตามเธอไป ยังต้องเดินเท้าอีกประมาณหนึ่ง ทั้งคู่ไม่มีใครเปิดไฟฉาย กลางค่ำกลางคืน หลังสายตาปรับตัวได้ก็จะมองเห็นได้ไกลกว่า
จันทร์เสี้ยวแขวนค้างอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาเดินผ่านต้นหนามอูฐแห้งๆ แต่ยังไม่ตาย ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เงาหนามเหล่านั้นทอดตัวอยู่กับพื้น ส่ายไหวไปมายามต้องเข้ากับสายลม
หลังเดินไปหยุดอยู่บนเนินทรายแห่งหนึ่ง เยี่ยหลิวซีก็ยื่นมือชี้ไปยังพื้นที่ด้านหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ดูนั่น”
จากเค้าโครงมืดดำสูงราวๆ ครึ่งตัวคน ที่เขามองเห็นคือกำแพงสั้นๆ ผืนหนึ่ง
“กำแพงดินอัด หน่วยงานด้านการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมเคยแวะมาตรวจสอบ บอกว่าอาจเป็นกำแพงจุดพักม้าสมัยโบราณ ทว่าเพราะเหลือแค่ด้านนี้ด้านเดียว ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน รอบๆ ขุดไม่พบข้าวของอะไร บวกกับการจราจรไม่สะดวก ดังนั้นจึงถูกปล่อยทิ้งไม่มีใครสนใจ”
“คุณพาผมมาดูกำแพง?”
เยี่ยหลิวซีชี้ไปทางด้านหลังของกำแพงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “แน่นอนว่าไม่ใช่ คุณเห็นต้นไม้ต้นนั้นหรือเปล่า”
เขาเห็นแล้ว มันยืนต้นอยู่โดดเดี่ยวลำพัง โครงร่างแนบอยู่กับแผ่นฟ้าสีฟ้าเข้ม
ชางตงบอกได้ทันทีว่านั่นคือต้นหูหยาง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นต้นหูหยางที่ตายแล้ว ทั้งนี้เพราะท่าทางของมันเศร้าสลดเกินบรรยาย…มองโกเลียในมีเมืองร้างที่มีชื่อเสียงอยู่แห่งหนึ่งชื่อโม่สุ่ย ละแวกนั้นก็มีต้นหูหยางยืนต้นตายอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้คนในพื้นที่เล่าขานกันว่าพวกมันถือกำเนิดมาจากวิญญาณพยาบาทของเหล่าทหารหาญที่ตายอนาถ ทุกต้นล้วนมีท่าทางไม่ต่างกับคนที่อยู่กลางขุมนรกในแดนมนุษย์
ดังนั้นแม้จะมีถ้อยความขับขานถึงจิตวิญญาณของต้นหูหยางอย่าง ‘เกิดแต่ไม่ตายหนึ่งพันปี ตายแต่ไม่ล้มหนึ่งพันปี ล้มแต่ไม่ผุพังหนึ่งพันปี’ ชางตงก็ชอบต้นหูหยางไม่ลงอยู่ดี ภาพต้นหูหยางบิดเบี้ยวยืนต้นแห้งเหี่ยวตาย มักทำให้เขานึกถึงคำพูดที่ว่าตายตาไม่หลับอยู่เสมอ
“ดูต้นไม้?”
“ไม่ใช่ ตำแหน่งที่คุณยืนอยู่ไม่ถูกต้อง ต้องขยับอีกนิด”
เธอจับไหล่เสื้อของชางตง ลากเขาขยับไปทางด้านข้างอีกหนึ่งถึงสองก้าว ช่วยเขาปรับทิศทางการมอง “ตอนนี้ลองดูอีกที”
สิ่งที่มองเห็นทำชางตงชาไปทั้งหนังหัว
มันคือบ่วงที่ห้อยแขวนอยู่บนต้นไม้ มองจากความสูง มองจากขนาดของบ่วง มันมีไว้เพื่อแขวนคอตายชัดๆ
กลางค่ำกลางคืน สถานที่เปลี่ยวร้าง ซากปรักหักพังของจุดพักม้าโบราณที่ไม่มีคนเหลียวแล ต้นไม้แห้งเหี่ยว บ่วงสำหรับผูกคอตาย…ภาพตรงหน้าในเวลานี้จะขาดก็แค่ร่างที่ไร้วิญญาณของใครสักคนเท่านั้น
ชางตงกุมด้ามมีดแกะสลักที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเงียบๆ
เยี่ยหลิวซีถามเขา “คุณเคยฝันร้ายบ้างหรือเปล่า”
“เคย”
เยี่ยหลิวซีบอก “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันฝันร้าย…ฟังให้ดีล่ะ ฉันจะเริ่มเล่าจากความฝันนี้
ในฝัน ฉันอายุไม่มาก สักสิบเอ็ดสิบสองเห็นจะได้ กำลังซ่อนตัวอยู่ในโอ่งน้ำมุมกำแพง บนโอ่งมีฝาปิดไว้ ปากโอ่งบิ่นแตก นอกโอ่งคือกองฟืนกองหนึ่ง ฉันมองลอดผ่านรอยแตกของปากโอ่งกับร่องระหว่างไม้ฟืนออกมา
ที่ฉันมองเห็นคือตอนกลางคืน ประตูไม้ถูกลมกระแทกเหวี่ยงไปมา ในบ้านเรียบง่ายซอมซ่อ กลางบ้านเปลวไฟสุกสว่าง ไอร้อนแผ่ปกคลุมไปทั่ว ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ
ที่อยู่ข้างกองไฟ มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ กำลังกินคน เสียงฉีกเคี้ยวดังแจ๊บๆ
ฉันจ้องเขม็ง ทันใดนั้นฉันก็พบว่าปากของคนคนนั้นคาบไส้กรองบุหรี่อยู่ ปากที่กินของอยู่นั้นอันที่จริงไม่ใช่ปากของเขา”
เธอชี้นิ้วลงบนตำแหน่งที่เหนือจมูกของตนเอง “หากจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าตรงนี้ยังมีปากอีกปาก ปากนั้นมีขนาดใหญ่มาก คนถูกกินไปจนเกือบหมด เหลือก็แค่เท้าข้างหนึ่งที่โผล่ออกมาข้างนอก มันส่ายไหวไปมาตามจังหวะเคี้ยว บนเท้ายังมีรองเท้าอยู่อีกข้าง เชือกผูกรองเท้าคลายออก
ขณะที่รองเท้ากำลังจะเลื่อนหลุด คนคนนั้นก็กลืนมันลงไปหมดพร้อมกัน ทั้งเท้าทั้งรองเท้า
หลังกินเสร็จ เขาก็เรอออกมาทีหนึ่ง ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ปากหดเล็กลงเรื่อยๆ ตอนนั้นเองฉันถึงสังเกตเห็นว่าที่แท้ปากที่เขาใช้กินคนนั้นเป็นตาดวงหนึ่งของเขา ตาดวงนั้นแดงก่ำราวกับมีเลือดเนื้อปะปนอยู่ภายใน หลังจากนั้นเขาก็หยิบเอากาน้ำข้างตัวขึ้น ก้าวเท้ากว้างๆ เดินตรงมาทางโอ่งน้ำ คงกินจนปากคอแห้งเลยนึกอยากดื่มน้ำ”
พูดถึงตรงนี้เธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ใช้มือตบอก “ทำเอาฉันกลัวสะดุ้งตกใจตื่น”
ตื่นแล้ว? ฝันนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เขาสนใจหรือไง
เยี่ยหลิวซีคล้ายเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เธอยกมือชี้ไปทางบ่วงที่แขวนอยู่บนต้นไม้นั่นช้าๆ
มองจากมุมนี้ไป จันทร์เสี้ยวเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่กลางบ่วงนั่นพอดี กลายเป็นรูปปากที่กินอิ่มหมีพีมันกำลังเม้มปิด
“พอตื่นขึ้นมา ฉันก็พบว่าคอตัวเองแขวนอยู่ในบ่วงนั่น”
ชางตงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ตาย?”
เยี่ยหลิวซีหัวเราะหึๆ “คนอย่างคุณนี่จะหวังให้เกิดเรื่องดีๆ กับชาวบ้านสักนิดไม่ได้หรือไรกัน ถ้าฉันตายไปจริง คนที่กำลังคุยกับคุณอยู่ตอนนี้ไม่แคล้วคงเป็นผี น่ากลัวแย่…บ่วงนั่นเป็นบ่วงตาย หลังจากกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของฉันก็หล่นตกพื้น หลังจากนั้นฉันก็พยายามย้อนนึกว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
ชางตงมีลางสังหรณ์ไม่สู้ดี ปกติสถานการณ์แบบนี้ หากให้ว่ากันตามที่เธอเล่ามา เป็นไปได้ว่าเยี่ยหลิวซีน่าจะสูญเสียความทรงจำ
“ฉันพบว่าความทรงจำของตัวเองเกิดช่องว่างขนาดใหญ่…คล้ายฟันเลื่อย”
ชางตงเกือบหลุดหัวเราะออกมา ไม่ง่ายเลยจริงๆ สองปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากหัวเราะ “คุณความจำเสื่อม หนำซ้ำความจำยังมีรูปร่างอีก?”
เยี่ยหลิวซีบอก “ฉันไม่ได้ความจำเสื่อม มีเรื่องราวมากมายที่ฉันจำได้…ฉันจำได้ว่าตัวเองเดินทางไปซื้อสินค้าที่ตุนหวง ด่านจยาอวี้ จิ่วเฉวียนหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็ไปไกลถึงจางเยีย ของที่ซื้อมีสารพัด ไม่ว่าจะรองเท้า เสื้อผ้า แผ่นซีดี หนังสือ โปสเตอร์ดารา…ทุกครั้งหลังขับรถเข้าโกบี การเดินทางก็เป็นอันสิ้นสุด
แต่เรื่องสำคัญๆ ฉันกลับจำไม่ได้ อย่างเช่นตัวเองเกิดและเติบโตที่ไหน คนในครอบครัว เพื่อนฝูง ตัวเองตกลงเป็นใครกันแน่ แล้วใครเอาฉันไปแขวนไว้บนนั้น…ฉันล้วนจำไม่ได้ จะพูดยังไงดี ถ้าความทรงจำเป็นเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง ของฉันก็เหมือนถูกคนฉีกขาด เรื่องบางเรื่องฉันจำครึ่งแรกได้ แต่บางเรื่องกลับจำได้แต่ครึ่งหลัง ไม่จำได้มากหน่อยก็จำได้น้อยหน่อย อย่างกับถูกหมากัดแทะขาดวิ่น”
ชางตงสรุปออกมาประโยคหนึ่ง “นั่นก็แปลว่าเรื่องที่ผมอยากรู้ คุณลืมมันไปพอดี คุณอยากจะพูดแบบนี้ใช่หรือเปล่า”
เยี่ยหลิวซีถอนหายใจ “คุณพูดแบบนี้เหมือนจะบอกว่าฉันจงใจเลือกลืมเรื่องที่คุณอยากรู้…แต่ก็ประมาณนั้น มันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนเลือกสูญเสียความทรงจำได้ ชางตงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาชัดเจน ไม่คิดแม้แต่จะปกปิดซ่อนงำความรู้สึก
เรื่องนี้ล้วนอยู่ภายใต้การคาดเดาของเยี่ยหลิวซี “ฉันยังพูดไม่จบ ไว้ฟังจบแล้วค่อยสรุปเถอะ…หลังตกลงมาฉันก็กวาดตามองไปรอบๆ พบว่าใต้ต้นไม้มีกระเป๋าอยู่ใบหนึ่ง กระเป๋าสะพายไหล่สีดำ คุณจำได้หรือเปล่า ตอนไปดูละครหุ่นเงาฉันก็สะพายมันไปด้วย ในกระเป๋าหนักอึ้ง ด้านในมีของบางอย่างอยู่ ฉันหยิบเอาไฟฉายมาส่องไปรอบๆ พบว่าบนพื้นไม่มีรอยเท้า หลังจากนั้นฉันก็ส่องดูในกระเป๋าอีกครั้ง มองเห็นกล้องฟิล์มตัวหนึ่ง…”
ชางตงใจเต้นระส่ำ ในที่สุดเขาก็ได้ยินถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายเสียที
“ยี่ห้อไห่โอว เป็นกล้องถ่ายรูปที่ผลิตในประเทศ ได้รับความนิยมมากในยุค 80-90 ด้านในมีฟิล์มอยู่ม้วนหนึ่ง…ภาพของข่งยางก็ล้างออกมาจากฟิล์มม้วนนั้น
ยังมีของอีกชิ้นที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า คือจอกโมราหัวสัตว์ สลักมาจากหินทั้งก้อน แถมยังมีจุกฝาเป็นทองคำ แค่มองดูจากวัสดุก็รู้ได้แล้วว่าเป็นของล้ำค่ามีราคา ยิ่งภายหลังฉันพบว่ายังมีอีกชิ้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซี เป็นสมบัติล้ำค่าของพิพิธภัณฑ์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันเดินทางไปซีอันคราวนั้นก็เพราะตั้งใจจะไปหาร้านขายของเก่าให้ช่วยพิสูจน์ให้ อายุของเจ้าสิ่งนั้นอย่างน้อยก็สมัยถังหรือไม่ก็ก่อนหน้านั้น…”
ชางตงตัดบท “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“น่าจะสักหนึ่งปีก่อน”
“ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน แต่คุณกลับเพิ่งมาสืบหาความจริงเอาตอนนี้?”
เยี่ยหลิวซียิ้มหยัน “ชางตง คนเราหากกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ใครหน้าไหนจะไปคิดเรื่องสืบหาความลับในจักรวาล ฉันเป็นคนใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ความลับกินไม่ได้ แต่คนอดตายได้ อีกอย่างรู้ความจริงก็แค่กินกับนอนวันหนึ่ง ไม่รู้ก็กินกับนอนวันหนึ่งเหมือนกัน แล้วทำไมต้องรีบร้อนด้วย”
เธอชี้นิ้วไปยังทางที่มา “ฉันคว้ากระเป๋าขึ้น เดินไปตามทางนั้น ตอนฟ้าใกล้สว่าง ฉันมาถึงตำบลหนึ่ง ซึ่งก็คือตำบลน่าฉี…เรื่องราวหลังจากนั้นคุณก็รู้เกือบหมดแล้ว ก็แค่หาทางเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง”
“ขายแคนตาลูป?”
“ใช่แล้ว เป็นการค้าที่หาเงินได้เร็วที่สุด”
“ขายปิ้งย่าง?”
“แคนตาลูปใช่ว่าจะออกผลตลอดทั้งปี พอไม่ใช่ฤดูก็ต้องหาอย่างอื่นขาย”
“แล้วหน้ากากนั่นล่ะ”
เยี่ยหลิวซีรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ “เรื่องนี้คุณก็รู้ด้วย?”
เธอพิงร่างเข้ากับกำแพงดินที่เหลืออยู่เพียงครึ่ง เอ่ยปากยอมรับ “ก็เพื่อหาเงินนั่นแหละ ผู้หญิงพวกนั้นไม่เข้าใจเรื่องความปลอดภัยอะไร ดึกดื่นเที่ยงคืนเดินสับสนวุ่นวายอยู่ในตรอก ถ้าฉันไม่ตาม เร็วช้ายังไงก็ต้องมีคนตามแน่…ทำแบบนี้ไม่ได้หรือไง พวกเธอปลอดภัย ฉันเองก็ได้เงิน ตำบลน่าฉีสงบสุข ความดีความชอบนี้ฉันก็มีส่วนด้วย หรือคุณว่าไม่ใช่ หลังหาเงินมาได้นิดหน่อยฉันก็ติดต่อไปทางคู่ค้าพวกนั้น”
ทว่าคนพวกนั้นล้วนจำเธอได้ พวกเขาทักทายเธออย่างกระตือรือร้น บอก ‘คุณเยี่ย คุณไม่ได้มาหาพวกเราระยะหนึ่งแล้ว’
เยี่ยหลิวซีกินข้าวกับพวกเขาสองสามครั้ง ดื่มเหล้าพูดคุยกัน สุดท้ายเธอก็ล่วงรู้ถึงข้อมูลบางอย่าง
‘คุณเยี่ยทำการค้าเปิดเผยตรงไปตรงมา มือเติบ ไม่เหมือนคนบางจำพวกที่ขี้เหนียวเอาแต่ต่อราคาหยวนสองหยวนอยู่ตลอด’
‘ทุกครั้งคุณเยี่ยล้วนเดินทางคนเดียว ผมยังนึกเป็นห่วงแทนเสียด้วยซ้ำ สาวสวยขับรถคันเบ้อเริ่ม ดีที่ไม่ถูกหมายตาเข้า โดยเฉพาะช่วงนั้นที่มักมีกลุ่มโจรออกมาดักปล้นก่อนถูกกองปราบกวาดล้าง มีรถตั้งหลายคันถูกเล่นงาน คุณนับว่าโชคดี เข้าออกแต่ละทีล้วนไม่เคยเกิดเรื่อง’
จากคำพูดของคู่ค้าพวกนั้น บางครั้งเธอก็เป็นคนใต้ บางทีก็เป็นคนเหนือ บางครั้งแต่งงานแล้ว บางครั้งกำลังรอออกเรือน บางครั้งทำงานให้ชาวบ้าน บางครั้งทำการค้าของตัวเอง
เยี่ยหลิวซีจดบันทึกความเป็นไปได้ต่างๆ ไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ คล้ายใช้ก้อนอิฐเรียงซ้อนต่อกัน หมายออกจากเขาวงกต
เธอตีหน้าตายถามชางตง “เป็นไง รู้สึกว่าฉันไม่ต่างอะไรกับปริศนา น่าสนใจมากใช่ไหม”
ชางตงรู้สึกก็แต่อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์เพทุบายหนำซ้ำยังรัดกุมไม่ใช่น้อย จงใจสวมบทเป็นคนความจำเสื่อม ไม่เพียงอ้างเหตุผลเอาตัวรอดไปได้ง่ายดาย อีกทั้งยังทิ้งปมปริศนาไว้กองโต
เขาบอก “คุณคิดว่าผมจะเชื่อ?”
เธอเบี่ยงตัวเปิดทางให้เขา “ไม่เชื่อก็ไปสิ ฉันขวางคุณไว้หรือไง”
ชางตงนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเดินเฉียดผ่านข้างกายอีกฝ่ายลงจากเนินทรายไป
เยี่ยหลิวซียิ้มหยันออกมาทีหนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้ขวางเขาไว้
ผืนทรายอ่อนยวบ ทันทีที่ย่ำถูกเท้าก็จมหายไปกว่าครึ่ง ทรายละเอียดไหลเข้าไปในรองเท้าตามร่อง ไม่แข็งไม่ทิ่มตำ แต่ก็ไม่สบาย
เขาไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องแปลกประหลาดนี้
คนที่เดินทางอยู่ในหลัวปู้พัวบ่อยๆ มักให้ความยำเกรงต่อเรื่องที่ไม่รู้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป การหายสาบสูญของผู้คน ความตายแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่นี่ไม่เคยหยุดหย่อน เรื่องราวยอดฮิตบนอินเตอร์เน็ตอย่าง ‘หยกประดับปลาคู่’ ก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน จวบจนถึงวันนี้ก็ยังมีคนรู้สึกว่าใจกลางหลัวปู้พัวมีโลกคู่ขนานซ่อนอยู่
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมพอเห็นภาพถ่ายของข่งยางใบนั้นชางตงถึงไม่ได้ปฏิเสธหรือนึกเคลือบแคลงสงสัยนัก
ทว่าคำพูดของเยี่ยหลิวซีพวกนี้เชื่อถือได้หรือไม่นั้นยังต้องพิสูจน์กันต่อ
ตอนเดินเกือบถึงปลายเนิน มือถือของเขาก็ดังขึ้น คนที่โทรมาคือเยี่ยหลิวซี
ชางตงรับสาย เขาหันมองกลับไป
พวกเขาสองคนอยู่ห่างกันประมาณหนึ่ง จึงเห็นก็แค่เพียงเงาร่างของอีกฝ่าย เยี่ยหลิวซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนซากกำแพง ต้นหูหยางที่อยู่ทางด้านหลังดูไม่ต่างอะไรกับกรงเล็บบิดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยหนามแหลม
“ชางตง คนอย่างฉันไม่ชอบฝืนใจใคร ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกแล้ว อยากตามก็ตาม อยากทำก็ทำ ทว่าฉันขอเตือนคุณเรื่องหนึ่ง เรื่องทุกเรื่องล้วนมีที่มาที่ไป ภาพถ่ายของข่งยางมาอยู่กับฉัน มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ถ้าคุณคิดว่าไม่มีฉันก็ตามเก็บศพแฟนของคุณได้ล่ะก็ คุณคงมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อยแล้ว
ถ้าคุณคิดว่าฉันมีแผนชั่วคิดเล่นงานคุณล่ะก็ งั้นคุณลองคิดดูก็แล้วกันว่าตัวเองมีค่าอะไรให้ฉันต้องทำแบบนั้นด้วย…เงินคุณก็ชดใช้ให้ชาวบ้านไปไม่ใช่น้อยแล้ว ตัวคุณเองก็น่าเบื่อ วันๆ ได้แต่ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย ได้ยินว่าจนถึงตอนนี้ แม้แต่จะมองหน้าตัวเองคุณก็ยังไม่อยากทำ จะยืดอกได้ก็ต้องอาศัยหนังหน้าคนอื่น
ชาตินี้คุณก็คงได้แต่เป็นแบบนี้ กลับไปแกะหุ่นเงาต่อเถอะ หวังว่าคุณจะคว้ารางวัลมีดทองคำกับชาวบ้านเข้าสักวัน”
ชางตงไม่พูดไม่จา เยี่ยหลิวซีวางมาดหยิ่งยโส แม้แต่เสียงลมหายใจที่ดังผ่านสายมาก็ยังฟังดูยั่วยุ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยปาก “คุณเองก็เรียกได้ว่าเป็นแม่ค้าอยู่ครึ่งตัว ถึงจะเจรจาการค้าไม่สำเร็จก็ควรถนอมน้ำใจอีกฝ่าย ชาวบ้านไม่ตกลงด้วยก็ชักสีหน้าไม่พอใจแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ เกิดตอนนี้ผมเปลี่ยนใจล่ะ”
เฝยถังกลัวชางตงจะถูกเยี่ยหลิวซีฆ่าทิ้งขึ้นมาจริงๆ
คำพูดแบบนั้น หนึ่งหมายความว่าคนอย่างเยี่ยหลิวซีไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ยิ่งคนขลาดอย่างเขาด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรคิดเรื่องจอกโมราหัวสัตว์นั่นอีก สองหากชางตงตายความฝันที่จะเข้าไปเก็บสมบัติในโกบีย่อมสลาย ขืนเป็นแบบนั้นการเดินทางของเขาคราวนี้มิเท่ากับเสียเปล่าหรือ
ดังนั้นเขาจึงชงกาแฟสำเร็จรูป อดตาหลับขับตานอนรอชางตงกลับมา
เที่ยงคืนผ่านไป เสียงประตูดัง ชางตงกลับเข้ามา โยนถุงพลาสติกลงบนโต๊ะเล็ก
ถุงพลาสติกมีน้ำหนักนิดหน่อย เฝยถังสองตาจ้องเขม็ง หลุดปากพูด “แม่งเอ๊ย เงิน!”
ที่อยู่ในถุงพลาสติกกว่าครึ่งคือเงิน บ้างก็เป็นม้วน บ้างก็เป็นปึก บ้างก็ขยุ้มเป็นก้อน ร้อยบ้าง ห้าสิบบ้าง แม้แต่เหรียญห้าก็มี…มิน่าถึงได้หนักนัก ที่มีอยู่มากที่สุดคือเหรียญกษาปณ์เล็กใหญ่
ชางตงบอก “เยี่ยหลิวซีให้มา เข้าโกบีไปมีที่ที่ต้องใช้เงินอยู่หลายที่ นี่เป็นส่วนของเธอ พรุ่งนี้สิบโมงเช้าออกเดินทาง”
เฝยถังใช้มือแหวกดูเงินในถุงพลาสติก พบว่าตัวเองมองคนผิดไป “ขัดสนขนาดนี้เชียว”
ก้อนธนบัตรกินพื้นที่เยอะ หากมองดูผ่านๆ จะเข้าใจผิดคิดไปว่ามีเงินอยู่เต็มถุง แต่พอลองแหวกดูถึงได้พบว่าด้านในส่วนใหญ่ล้วนเป็นธนบัตรสิบยี่สิบหยวน
ดูไม่เหมือนคนที่มีจอกโมราหัวสัตว์อยู่ในกำมือเลยสักนิด
ชางตงอืมออกมาคำหนึ่ง “ถ้าว่างก็ช่วยนับดูหน่อย”
ตอนเยี่ยหลิวซีมอบถุงเงินให้เขา เธอบอกว่า ‘คนอย่างฉันไม่เอาเปรียบคนอื่น ฉันรู้ว่าเข้าโกบีต้องใช้เงิน ในเมื่อตกลงร่วมมือกันแล้ว ฉันย่อมต้องให้เงินคุณ’
ท่าทางของเธอทำเอาชางตงคิดไปว่าอีกฝ่ายจะมอบทองแท่งให้เขาเสียอีก ทว่าแสงไฟรถกลับเผยให้เห็นเหรียญกษาปณ์กับธนบัตรใบย่อย เขานึกซาบซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง…นี่คงเป็นเงินที่รวบรวมได้มาจากการขายแคนตาลูป ขายปิ้งย่าง ทำงานขับรถรับส่งสาวๆ พวกนั้นกลางดึกล่ะมั้ง เรียกได้ว่าเป็นเงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายโดยแท้
มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่เขาคิดจะปฏิเสธ…ถึงเขาจะขายทรัพย์สมบัติจนไม่เหลือ แต่หนึ่งปีมานี้เสี่ยวเหอก็แบ่งปันค่าแรงให้เขาอยู่ตลอด อย่างน้อยๆ ก็มีหลักแสน เพียงพอให้ใช้ในการเดินทาง ไม่ขาดแคลนถึงกับต้องรีดไถเศษเงินจากอีกฝ่ายแบบนี้
แต่สุดท้ายเขาก็รับมันไว้อยู่ดี เห็นอีกฝ่ายวางท่าหยิ่งผยองเหมือนจะบอกว่า ‘ฉันเองก็มีส่วนช่วย’ แบบนั้น เขาก็ตัดสินใจไม่ปฏิเสธความต้องการของอีกฝ่าย
เฝยถังชอบนับเงินที่สุด คนสมัยนี้นิยมเลี้ยงสัตว์ วันนี้แมวพรุ่งนี้หมาวันมะรืนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์…ทั้งหมดล้วนแค่ระยะสั้นๆ ไม่ยืนนานเหมือนเขา สัตว์เลี้ยงของเขาคือเงิน ไม่ว่าจะในบัตรเครดิตของตัวเองหรือในกระเป๋าเงินของคนอื่น เขาล้วนเอ็นดูรักใคร่ทะนุถนอมสุดๆ
เขาตั้งเหรียญกษาปณ์ไว้เป็นกอง แยกธนบัตรออกตามมูลค่า นิ้วเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว “พี่ตง พี่ว่าในเมื่อพวกเราทุกคนเป็นพวกเดียวกันแล้ว ผมควรหาวันตั้งโต๊ะเลี้ยงเหล้าขอโทษเธอเป็นการเฉพาะหรือเปล่า เจอกันครั้งที่แล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่…ผูกสัมพันธ์กันไว้สักหน่อย จะได้กลมเกลียวเป็นทีมเดียวกัน”
ชางตงหยิบเอาเสื้อผ้าสะอาดออกมาเตรียมอาบน้ำ “อยู่ให้ห่างจากผู้หญิงคนนั้นไว้จะดีกว่า คนแบบนั้นประเดี๋ยวพูดจาภาษาคนประเดี๋ยวพูดจาภาษาผี เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ไม่มีทางสนิทสนมกันได้”
เฝยถังไม่เงยหน้า “ฟังดูไม่ต่างอะไรกับผมสักนิด พวกเราหลอกขายของปลอมก็คุยโม้ต้มตุ๋นชาวบ้านเอาเป็นเอาตายเหมือนกัน”
ชางตงเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะถอยกลับมา “เฝยถัง”
“หือ?”
“ลองทำแบบทดสอบนิสัยดู สมมติว่าคืนหนึ่งนายฝันร้ายตื่นขึ้นมาพบว่ามีบ่วงรัดอยู่รอบคอ ตัวแขวนค้างอยู่บนต้นไม้กลางพื้นที่รกร้าง อีกทั้งยังสูญเสียความทรงจำ รอบๆ ไม่มีผู้คน…นายจะมีปฏิกิริยายังไง”
เฝยถังจินตนาการตามอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ แผ่นหลังเขาก็เย็นวาบ ลิ้นพันกันจนพูดแทบไม่ออก “พี่พูดอะไรของพี่ ผมกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว…ขืนเป็นแบบนั้นจริงผมก็ต้องตะโกนขอให้คนช่วย…ไม่สิ โทรหนึ่งหนึ่งศูนย์…ใช่ โทรหนึ่งหนึ่งศูนย์ ผมเป็นผู้เสียหาย ต้องได้รับค่าชดเชย เอ่อ พี่ตง นี่แปลว่าผมมีนิสัยแบบไหน”
ชางตงตอบ “นั่นหมายความว่าคนขี้ขลาดอย่างนาย ทางที่ดีเลิกคิดเรื่องจอกโมราหัวสัตว์ของชาวบ้านได้แล้ว”
เฝยถังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ จนกระทั่งชางตงปิดประตู เสียงน้ำในห้องน้ำดัง เขาถึงเพิ่งได้สติ…
เขาเคยบอกให้ชางตงรู้ถึงเรื่อง ‘จอกโมราหัวสัตว์’ ด้วยหรือไง เขาเผลอหลุดปากพูดออกไปตอนไหน บ้าเอ๊ย ไอ้ปากไม่มีหูรูดนี่ เร็วช้ายังไงต้องทำเสียงานเสียการแน่
เขานับเงินต่อจนเสร็จ
ทั้งหมดมีสามพันเจ็ดร้อยสี่สิบสองหยวนกับอีกสามเหมา*
ชางตงเปิดฝักบัวปรับน้ำแรงสุดแล้วยื่นศีรษะเข้าไป ปล่อยให้สายน้ำกระแทกใส่หลังศีรษะเต็มๆ จนกระทั่งกระแสน้ำไหลกลบปากจมูก เขาถึงได้เงยปาดน้ำบนใบหน้าทิ้ง
ตอนนี้พอย้อนคิดกลับไป ถ้าคำพูดของเยี่ยหลิวซีเป็นจริง สิ่งที่น่าตกใจที่สุดย่อมไม่ใช่เรื่องนี้และไม่ใช่เรื่องฝันแปลกประหลาดนั่น หากแต่เป็นปฏิกิริยาของเธอ…
เยี่ยหลิวซีหยิบเอาไฟฉายออกมาส่องไปรอบๆ มองดูในกระเป๋า หลังจากนั้นก็แบกกระเป๋าขึ้นไหล่ หางานเลี้ยงปากท้อง
คนความจำเสื่อม พวกเขาสูญเสียก็แค่ความทรงจำเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะสูญเสียอุปนิสัย สติปัญญา หรือพฤติกรรมความเคยชินต่างๆ เสียหน่อย
คนที่เวลาถูกปล้นแล้วกลับรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ก็คงมีแต่คนที่เคยถูกปล้นมาแล้วนับสิบครั้งเท่านั้น
หากเยี่ยหลิวซีไม่ลนลานตื่นตระหนกต่อเรื่องทั้งหลายทั้งปวง นั่นก็แปลว่าในความทรงจำที่หายไปนั้น เธอเคยพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์กว่านี้
เว็บเช่ารถที่เฝยถังติดต่อนัดรับรถกันที่ตำบลหลิ่วหยวน แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องอาศัยติดรถของชางตงก่อน
การเดินทางไม่ได้เร่งร้อน ชางตงเลยเลือกใช้ทางอ้อม เดินทางไปตามเส้นทางที่มีลักษณะภูมิประเทศค่อนข้างอันตราย จงใจใช้เวลาก่อนเข้าโกบีทดลองประสิทธิภาพรถ ทว่าเพราะไม่ได้จับพวงมาลัยมาสองปีแล้ว ทำให้เขาควบคุมรถได้ไม่คล่องนัก พบเจอจุดบกพร่องแต่เนิ่นๆ จะได้แก้ไขได้ทัน
เยี่ยหลิวซีขับรถ ส่วนใหญ่มักจะตามชางตงอยู่ทางด้านหลัง อาจมีแซงขึ้นหน้าบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ทันทีที่เยี่ยหลิวซีแซงขึ้นหน้า เฝยถังก็เอ่ยปากไม่ยอมแพ้ขึ้นมาทันที “พี่ตง รถบุโรทั่งแบบนั้นลุยโกบีไหวเหรอ”
รถที่เขาเช่าอันที่จริงไม่ถึงสามหมื่น แต่เพราะเพิ่มระบบขับเคลื่อนสี่ล้อกับเครื่องยนต์ที่เผาผลาญเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราคาจึงเพิ่มสูงขึ้น
ชางตงพูดอย่างไม่มั่นใจนัก “ว่ากันตามหลักแล้วไม่น่าจะได้ เจอ ‘ถนนถอนตะปู’ เข้าก็คงจอดวิ่งไม่ได้แล้ว ทว่าเรื่องราวบนโลกไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่ากันว่าวิ่งทางหลวงเสฉวน-ทิเบตต้องใช้รถออฟโรด แต่ถึงจะอย่างนั้นก็มีคนขับรถแทร็กเตอร์ผ่านไปได้อยู่”
ตลอดทาง เยี่ยหลิวซีไม่กินอาหารร่วมกับพวกเขา
ตอนเที่ยงชางตงกับเฝยถังจะไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ต่อให้ไม่หรูหราแต่ก็มีเจมีคาวมีเนื้อมีผักมีแกงจืด ต่างกับเยี่ยหลิวซีที่อาศัยแค่หมั่นโถวสองลูกกับผักดองอีกถุง พร้อมน้ำร้อนที่ได้มาจากในร้านแค่นั้น บางครั้งนั่งกินในรถ บางครั้งนั่งกินไปพลางดูบรรยากาศบนท้องถนนไปพลาง
ชางตงรู้สึกกระอักกระอ่วน คิดไปเรียกเธอมานั่งกินด้วยกัน อย่างมากก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้น…หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจปล่อยมันไป
ก่อนออกเดินทาง เขาได้กำหนดแผนการเดินทางไปหลงเฉิงในคราวนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะรวมตัวกันอย่างหลวมๆ เฝ้ารักษาระยะห่างไม่พยายามทำตัวสนิทสนมกับเยี่ยหลิวซี หน้าที่ของเขามีแค่นำทางเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเฝยถังจะโลภมากขนาดไหน เยี่ยหลิวซีจะทำตัวลึกลับซับซ้อนแค่ไหน ขอแค่รู้อยู่แก่ใจ อย่าให้ถูกอีกฝ่ายจูงจมูกเอาได้เท่านั้นก็พอ
โบราณว่าไว้ เพื่อนร่วมดื่มกิน เรียกเธอร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน มิตรภาพย่อมก่อเกิดได้ไม่ยาก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เยี่ยหลิวซีเข้ามาเอาน้ำร้อนในร้าน ตอนจากไปเธอเดินผ่านโต๊ะของพวกเขา บนโต๊ะมีไก่หั่นลูกเต๋าผัดซอส เนื้อเส้นผัดพริก ผัดหางหงส์ แกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่กุ้ง
แดงๆ เขียวๆ เหลืองๆ สดใหม่หอมฟุ้ง
เห็นเยี่ยหลิวซีหิ้วปิ่งยัดไส้เสี้ยวหนึ่งเดินผ่านไป จู่ๆ ชางตงก็รู้สึกว่าตัวเองออกจะฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย
เฝยถังกระตือรือร้นเรียกเยี่ยหลิวซี “พี่ซี มากินด้วยกันเถอะ ตรงนี้มีเนื้อกินด้วย”
ชางตงรู้สึกว่าเฝยถังไม่รู้จักพูดจา โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘ตรงนี้มีเนื้อกินด้วย’ นั้นฟังดูยกตนข่มผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าเยี่ยหลิวซีคงไม่ไว้หน้าเขาแน่ๆ
จริงดังคาด
เยี่ยหลิวซีบอก “กินเยอะขนาดนี้ แถมยังมีเนื้อด้วย แต่ไม่เห็นจะดูดูดีเท่าฉันสักนิด”
พ้นประตูออกไป เยี่ยหลิวซีไปนั่งอยู่ข้างแท่นวางกระถางต้นไม้ที่อยู่ถนนฝั่งตรงกันข้าม บิปิ่งยัดไส้ออก ห่อมันเข้ากับผักดอง ก่อนจะค่อยๆ ละเลียดกินมันทีละน้อย
เฝยถังโมโหฟันกัดเข้าหากันดังกรอดๆ “พี่ตง แต่ไหนแต่ไรผมก็มีน้ำใจไมตรีให้คนชราคนตกทุกข์ได้ยากไม่ขาด เธออัตคัดขัดสนขนาดนั้นแล้วแท้ๆ คนอุตส่าห์มีน้ำใจให้ทำไมถึงยังเกรี้ยวกราดหงุดหงิดใส่ผมอีก”
ชางตงบอก “คงเพราะเธอจนแต่ยโสล่ะมั้ง”
นอกจากนี้เธอยังไม่พักร่วมกับพวกเขาอีกด้วย เรื่องนี้ไม่แปลก เพราะในรถของเธอมีที่นอนอยู่แล้ว แต่ที่แปลกก็คือมีอยู่คืนหนึ่งเฝยถังออกไปซื้ออาหารค่ำ ตอนกลับมาเขาบอกกับชางตงว่าเยี่ยหลิวซีไม่อยู่ในรถ
ชางตงนึกสนใจ คืนนั้นหลังถึงตำบลหลิ่วหยวน เขาก็ไปลองรถกับเฝยถัง ตอนกลับโรงแรม บังเอิญเห็นเยี่ยหลิวซีเดินออกมาจากประตูเล็ก
ชางตงหาข้ออ้างลงจากรถ บอกให้เฝยถังกลับไปก่อน ส่วนตัวเขาเองคอยตามดูเยี่ยหลิวซีอยู่ห่างๆ
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คุ้นเคยกับถนนแถวนี้ ต้องหยุดดูป้ายถนนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะหาเป้าหมายที่ต้องการพบในที่สุด เธอเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่มีไฟส่องสว่างแห่งหนึ่ง
ในตรอกเต็มไปด้วยน้ำขัง เขม่าน้ำมันลอยออกมาจากท่อระบายอากาศที่ตั้งอยู่สูง ถังขยะวางเรียงอยู่ด้วยกันถังแล้วถังเล่า ตอนชางตงเดินเข้าไป เขามองเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังช่วยเยี่ยหลิวซีสวมผ้าคลุมกันเปื้อนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ปากก็พึมพำไม่หยุด “เนื้อกะละมังนี้ ยังมีผักอีก สับเข้ากันให้ละเอียด ใส่ซีอิ๊ว เกลือ ต้นหอม ขิงเข้าไปด้วย ค่าแรงฉันให้แปดสิบ สับให้ละเอียดหน่อยล่ะ อย่าให้เป็นก้อน”
เยี่ยหลิวซีตอบ “ฉันรู้แล้ว”
หลังผู้หญิงคนนั้นเดินจากไป เธอก็ม้วนแขนเสื้อ ค้อมตัวหยิบเอาเนื้อชิ้นโตออกมาจากกะละมัง โยนมันขึ้นบนเขียงไม้ ถือมีดปังตอสองเล่มขึ้น ใช้คมมีดปาดกันไปมาก่อนจะลงมือทำงาน
เพียงไม่นาน เสียงสับเนื้อก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
มีดปังตอชนิดนี้มีไว้เพื่อใช้สับเนื้อ มีดส่วนใหญ่ล้วนเป็นมีดเหล็ก ใบมีดหนัก ขนาดผู้ชายใช้ยังเปลืองแรง ยิ่งใช้สองมือยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เยี่ยหลิวซีกลับควบคุมมันได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ หลังจากสับอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ปาดมันไปไว้อีกด้าน แล้วพลิกมีดโกยเอาผักกาดขาวมา ก่อนจะลงมือสับต่อ
ชางตงเดินเข้าไป พิงร่างอยู่กับวงกบประตูมองดูอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง “กลางค่ำกลางคืนยังออกมาทำงาน?”
เยี่ยหลิวซีสะดุ้ง เสียงมีดหยุดชะงัก เธอหันหน้ากลับมามองดูเขา หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่”
“มากินข้าวแถวนี้ บังเอิญผ่านมาเห็นเข้าพอดี”
เยี่ยหลิวซีเติมเกลือน้ำมันลงไปในเนื้อสับ “ใช่แล้ว หลังให้เงินคุณไปฉันก็เงินขาดมือ…คนเราขาดเงินไม่ได้ ไม่มีเงิน จิตใจจะว้าวุ่น ดังนั้นฉันถึงต้องออกมาหาเงินแบบนี้ไง”
แค่สามพันกว่าเท่านั้นไม่ใช่หรือไง
“งานพิเศษชั่วคราว?”
“ก็แค่ลองถามๆ ดู มีงานที่ทำได้ก็ทำ”
ชางตงนึกถึงการเคลื่อนไหวยามสับเนื้อของเธอ “มีอะไรที่คุณทำไม่ได้บ้างหรือเปล่า”
เยี่ยหลิวซีพยักหน้า ใช้มือเปล่าชี้ตัวเอง “เหมือนจะไม่มี ขนาดฉันยังรู้สึกชอบตัวเองเลย”
ชางตงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถามขึ้น “คุณทำงานดึก มีผลกระทบอะไรกับการขับรถตอนเช้าหรือเปล่า”
เยี่ยหลิวซีชำเลืองตาดูเขาปราดหนึ่ง “มีผลกระทบไหม มีครั้งไหนบ้างที่ฉันขับช้า”
“งั้นผมกลับล่ะ ไม่รบกวนคุณแล้ว”
เยี่ยหลิวซีพูดช้าๆ “กลับไปแกะหุ่นเงา?”
ชางตงยืนอยู่นอกประตู ได้ยินน้ำเสียงอีกฝ่ายแปลกๆ แบบนั้นก็หันหน้ากลับมา “แกะหุ่นเงาแล้วทำไม”
เธอปาดเนื้อสับที่ติดอยู่บนปลายมีดลง “ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าอายุอย่างคุณนี่น่าจะไปกินเหล้าเล่นไพ่สนุกอยู่กับพวกสาวๆ มากกว่า วันทั้งวันเอาแต่แกะแผ่นหนังนั่นสนุกหรือไง”
“สนุกสิ ผมยังอยากได้รางวัลมีดทองคำด้วย”
“อ้อ งั้นคุณก็กลับไปเถอะ ฉันไม่ขัดจังหวะคุณฝึกปรือฝีมือล่ะ”
เดินไปได้สองก้าว ชางตงก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันกลับไปถามเธอ “คืนนี้จะไปอาบน้ำที่ห้องของผมหรือเปล่า”
เยี่ยหลิวซีไม่ได้รีบตอบ “ทำไม”
ชางตงบุ้ยใบ้ไปที่ตัวเธอกับข้าวของที่อยู่รายรอบ “ตัวคุณ…มีก็แต่กลิ่นพวกนี้”
เยี่ยหลิวซีก้มหน้าดมตัวเอง กลิ่นพวกนี้คือพวกไหน กลิ่นเนื้อดิบที่ผสมอยู่กับผักกาดขาว หัวหอม ขิง น้ำมัน?
เธอตอบกลับประโยคหนึ่ง “ฉันไม่เห็นจะรู้สึก”
ชางตงบอก “คุณไม่รู้สึก งั้นก็แล้วแต่คุณ”
กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จเวลาก็เลยห้าทุ่มไปแล้ว ระหว่างทางกลับ เยี่ยหลิวซีเดินผ่านหน้าร้านแห่งหนึ่ง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ถอยกลับไป
ห้องอาบน้ำสาธารณะ
เธอจ่ายเงินค่าอาบน้ำไปแปดหยวน สามหยวนสำหรับสบู่เหลวกับสบู่ถุงเล็กๆ เธอนั่งอยู่บนม้านั่งในห้องอาบน้ำ ลูบไล้ฟองสบู่ไปทั่วตัว การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างไม่บันยะบันยัง ฟองสบู่ปลิวว่อน สะท้อนอยู่กับแสงสีเหลืองจากหลอดไฟที่อยู่ทางด้านบน เกิดเป็นสีสันหลากหลาย
กลิ่นพวกนี้…ตัวเองหอมตายแหละ!
เส้นทางจากหลิ่วหยวนถึงตุนหวงระยะทางร้อยสามสิบกิโลเมตร ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง รถยนต์สามคันเกาะกลุ่มเดินทางเป็นกองคาราวาน
เฝยถังนำขบวนด้วยจิตใจฮึกเหิม รถของเขาสะดุดตาที่สุด ดึงดูดสายตาผู้คนตามทางไม่ใช่น้อย ระหว่างนั้นขณะจอดรถแวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ตอนออกมาเขามองเห็นเด็กสาววัยรุ่นสองคนกำลังยืนเซลฟี่อยู่หน้ารถของตน พอเห็นเจ้าของรถออกมา พวกเธอสองคนก็ขัดเขินหัวเราะคิกคักวิ่งหนีไป
เฝยถังตะโกนไล่หลังพวกสาวๆ ไป “ไม่เป็นไร สาวสวย ต้องการให้ผมช่วยถ่ายรูปให้หรือเปล่า”
ชางตงควบคุมความเร็วรถอยู่ตรงกลาง เขาขับรถช้ามาก ยิ่งใกล้ตุนหวง ใจเขาก็ยิ่งหนักอึ้ง
เยี่ยหลิวซีขับรถตามท้ายเหมือนเคย บางครั้งก็ขับรถพุ่งแซงขึ้นหน้าตามอารมณ์นึกสนุก ทุกครั้งที่รถของเธอตีคู่กับรถของเฝยถัง เฝยถังล้วนรู้สึกเหมือนถูกฉีดสารกระตุ้น รีบเหยียบคันเร่ง พุ่งทะยานออกไปไกล
หลังจากนั้นรถของเยี่ยหลิวซีก็ช้าลง ไม่ต่างอะไรกับเกวียนพังที่มีวัวแก่ๆ คอยลากจูง อ่อนระโหยโรยแรงตกไปอยู่ท้ายขบวน
หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง ชางตงก็รู้สึกว่าเยี่ยหลิวซีกำลังหาเรื่องแกล้งเฝยถังอยู่ ส่วนเฝยถังเองก็ตามเกมชาวบ้านไม่ทัน
พอใกล้ถึงด่านจ่ายเงินตุนหวง ชางตงก็จอดรถเทียบข้างทาง
เยี่ยหลิวซีจอดตาม รถของเฝยถังเพราะแล่นนำหน้าไปไกล จึงจำเป็นต้องหันหัวกลับ
ชางตงลงจากรถ ยื่นรายการข้าวของให้เฝยถัง “ฉันไม่เข้าตุนหวง แต่จะอ้อมเมืองไป นายเข้าไปในเมืองซื้อของตามรายการที่ฉันเขียนไว้ จัดการให้เรียบร้อย”
ตุนหวงเป็นด่านหน้าของเส้นทางผจญภัยสายตะวันตก ตอนนั้นชางตงอยู่ที่นี่ จะรถก็ดีจะคนก็ดี ทุกอย่างล้วนถึงพร้อม ต่อมาเกิดเหตุการณ์ ‘คามีเลียสีดำ’ ขึ้น ทำให้คนในทีมอย่างน้อยหนึ่งในสี่ต้องเป็นคนในท้องที่ฝีมือฉกาจ…
เขาไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยาก หากเข้าไปในตุนหวงรับรองต้องมีปัญหาแน่
เฝยถังรับรายการมา อ่านตะกุกตะกัก “จีพีเอสดาวเทียมนำร่องระบุพิกัด โทรศัพท์ดาวเทียม Inmarsat สองเครื่อง เอ็นตกปลาสำหรับงานหนัก บ้าไปแล้ว ไปทะเลทรายยังตกปลาได้ด้วย? กระดานป้องกันทราย…ไลฟ์สตรอว์…หลอดดูดก็หลอดดูดสิ เกี่ยวอะไรกับชีวิตด้วย…โดรนถ่ายภาพ…ลงทะเบียนขอความช่วยเหลือ เฮลิคอปเตอร์ ถ้าราคาเกินกว่าที่คิดไว้ก็ไม่เอา ไม่จริงมั้งพี่ตง พวกเราจะเช่าเฮลิคอปเตอร์ด้วย?”
ชางตงปวดหัว เฝยถังดูท่าจะพึ่งพาไม่ได้
เขาอดเงยหน้ามองไปทางเยี่ยหลิวซีไม่ได้
เยี่ยหลิวซีสีหน้าไร้ความรู้สึก “อย่ามองฉัน ถึงฉันจะมีความสามารถ แต่เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องเฉพาะทาง กระดานป้องกันทราย ไลฟ์สตรอว์อะไรฉันเองก็ไม่เข้าใจ”
ชางตงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ดึงเอาใบรายการกลับและให้สัญญาณเดินทางต่อ
หลังเข้าเมือง ชางตงพยายามเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน เขาเลือกโรงแรมที่อยู่ค่อนข้างลับหูลับตา ทิ้งรถของตัวเองกับเฝยถังไว้ ใช้รถของเยี่ยหลิวซีวิ่งตระเวนซื้อของแทน
นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของชางตงแล้ว เขารู้จักร้านขายอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือมือสองดี ซื้อของสภาพดีๆ ได้ในราคาเพียงครึ่งเดียว เยี่ยหลิวซีตามเขาเข้าไปดูบ้างเป็นครั้งคราว อันไหนที่เขาตกลง เธอก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กราคาของใหม่ ทุกครั้งที่เช็กเสร็จ เธอล้วนรู้สึกว่าชางตงดูไม่ขัดหูขัดตาเหมือนเก่า
คนในร้านขายของมือสองมีอยู่ด้วยกันไม่น้อย ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่ผู้คนนิยมเดินทางเข้าหลัวปู้พัว ตอนเช้าร้อนจัด ตอนเย็นหนาวจัด ฤดูที่อันตรายที่สุดคือช่วงเดือนหก…เหตุหายนะที่เกิดขึ้นกับเผิงจยามู่กับอวี๋ฉุนซุ่นล้วนแต่เกิดขึ้นช่วงนั้น
ในร้านขายอะไหล่รถยนต์แห่งหนึ่ง เยี่ยหลิวซีบังเอิญสังเกตเห็นว่าที่มุมร้านมีคนยกมือถือขึ้นถ่ายภาพด้านข้างของชางตง เธอเดินเข้าไปเงียบๆ
ได้ยินคนคนนั้นคุยกับพรรคพวก
“ใช่ชางตงใช่ไหม”
“ใช่ เขานั่นแหละ”
“สุดยอด โคตรหน้าไม่อายเลย เกิดเรื่องใหญ่แบบนั้นนึกว่าเขาจะถอนตัวออกจากวงการแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงพอเรื่องเริ่มเงียบก็โผล่หัวออกมานำทางหาเงินต่อ”
“คนแบบนี้น่าจะถูกจับขึ้นแบล็กลิสต์ หากออกมานำทางคนอีกก็ให้ถือว่าทำผิดกฎหมายได้เลยทันที ไม่รู้ว่าไอ้โง่หน้าไหนถึงตามเขามานำทางแบบนี้ นี่มันเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ”
จะด่าชางตงก็ด่าไป ทำไมด่าไปด่ามาถึงลามมาถึงหัวเธอได้
เยี่ยหลิวซีเอ่ยปาก “ฉันเอง”
คนสองคนนั้นไม่ทันได้ระวังตัว คนหนึ่งสะดุ้งตกใจทำมือถือหลุดมือ เยี่ยหลิวซียื่นมือออกรับก่อนจะยกมันขึ้นดู แต่ก็สายเกินไปแล้ว
ภาพนั้นถูกส่งขึ้นวีแชตเข้าไปในกลุ่มที่ชื่อว่า ‘ครอบครัวนักผจญภัยซีเป่ย’ เป็นที่เรียบร้อย กลุ่มดังกล่าวมีสมาชิกอยู่ประมาณสี่ร้อยกว่าคน ทุกคนต่างพากันแตกตื่น ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏขึ้นรวดเร็วอย่างกับฟลัดหน้าจอ
‘ใช้ชีวิตมานานไม่ว่าอะไรก็ล้วนเคยพบพาน นี่มันชางตงใช่ไหม’
‘เชี่ย ต่อให้กลายเป็นปุ๋ยผมก็จำได้! เขาอยู่ที่ร้านของหลางสิงเทียนซย่า (จิ้งจอกผจญภัยทั่วหล้า)? ผมเห็นป้ายบนผนัง’
‘ชางตงกลุ่มคามีเลียสีดำ? เดี๋ยวก่อน เข้าไปในร้านขายอะไหล่รถยนต์ หรือว่าเขาคิดจะนำทาง แบบนี้มันฆ่าคนชัดๆ…’
ไม่ผิดอะไรกับหนูในตรอก ผู้คนต่างพากันตะโกนร้องทุบตี เยี่ยหลิวซีรู้สึกเห็นใจชางตง เธอมองไปทางเจ้าของเครื่อง “ฉันใช่จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ว่าทำไมคนอย่างคุณถึงชอบแส่หาเรื่องนัก…”
ยังไม่ทันพูดจบ เยี่ยหลิวซีก็คลายมือออก หน้าจอมือถือหล่นกระแทกพื้นเต็มแรง
คนคนนั้นเอ่ย “เธอ…”
“เธออะไร มือถือของคุณยังไงก็จะหล่นอยู่แล้ว ฉันควรช่วยรับไว้หรือไง อีกอย่าง เมื่อกี้ด่าฉันว่าอะไรนะ ยังจำได้หรือเปล่า”
เดิมทีคนคนนั้นก็คิดจะเอาเรื่อง แต่พอย้อนคิดดูก็รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ถูกเหมือนกัน ผนวกกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยเตือน “ช่างเถอะ อย่าไปมีเรื่องกับผู้หญิงเลย…”
เขาสะกดกลั้นอารมณ์โมโหหยิบเอามือถือขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าหน้าจอของมันแตกละเอียด
เยี่ยหลิวซียิ้มหยันออกมาทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับไป ชางตงสั่งของไปพอสมควรแล้วและกำลังคิดเงิน เขาขมวดคิ้วมองมาทางเธอก่อนถาม “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เยี่ยหลิวซียิ้มไม่สะทกสะท้าน “แค่ทำความรู้จักกันเท่านั้น ชาวบ้านขอเบอร์ฉัน”
พูดจบเธอก็เดินไปที่หน้าร้าน กระดิกนิ้วเรียกเฝยถัง “ไปบอกชางตง เดี๋ยวตอนกินข้าวอย่าเข้าไปนั่งกินในร้าน ให้กลับไปลวกบะหมี่กินในห้อง ฉันคิดว่ามีคนกำลังจ้องเล่นงานเขาอยู่”
เฝยถังเดินไปบอกชางตงแต่โดยดี พอฟังจบชางตงก็สีหน้าราบเรียบไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขารับเงินทอนมา ยัดใส่กระเป๋าเงินทีละใบๆ อย่างเป็นระเบียบ
เที่ยงแล้ว ชางตงเข้าไปกินข้าวในร้านอาหาร
ร้านอาหารเป็นร้านแบบบริการตัวเองขนาดใหญ่ ลูกค้าประคองถาดอาหาร หยิบเอากับข้าวที่ใส่อยู่ในจานเล็กเองตามใจชอบ ข้าวกับน้ำแกงสาหร่ายไม่คิดเงิน
รอบๆ ไม่มีร้านอาหารอื่น เยี่ยหลิวซีเองก็เข้าไปข้างในด้วย ตอนหยิบถาดอาหารเธอหยิกเฝยถัง บุ้ยใบ้ไปทางชางตง “เกิดอะไรขึ้น“
เฝยถังเองก็กลุ้มเหมือนกัน “ผมบอกไปแล้วพี่ซี บอกแล้วจริงๆ แถมยังกำชับกำชาไปตั้งหลายครั้ง”
เขาปลอบใจเยี่ยหลิวซี “ไม่เป็นไร พี่ซีไม่ต้องเป็นห่วง พี่ชางตงเป็นพวกทนไม้ทนมือ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก”
เขาอดไม่ได้นึกอยากเอาคลิปวิดีโอตอนชางตงถูกเล่นงานให้อีกฝ่ายดู
ช่วยไม่ได้ ตั้งแต่เล็กเขาก็เห็นความโชคร้ายของผู้อื่นเป็นเรื่องสนุก ชีวิตเปี่ยมสุขของเขาล้วนอาศัยผู้อื่นขับดุน
เยี่ยหลิวซียิ้มเย็นชา “ฉันเนี่ยนะเป็นห่วง เขาเป็นคนนำทาง หากถูกคนเล่นงานบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ นั่นก็แปลว่าฉันก็ต้องใช้เงินกินข้าวเพิ่มอีกหลายวัน แบบนี้ไม่เท่ากับเปลืองเงินเพิ่มหรือ“
เฝยถังอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจตรรกะความสัมพันธ์ดังกล่าว ชางตงพักรักษาตัวหรือเปล่าเกี่ยวอะไรกับเรื่องกินข้าวด้วย
เยี่ยหลิวซีไม่สนใจเฝยถัง เธอหยิบเอาอาหารเบียดตัวแทรกผ่านนักท่องเที่ยวที่อยู่รายรอบตรงไปสมทบกับชางตงที่อยู่อีกด้าน
ในถาดอาหารของเขามีกระดูกหมูผัดซอส ผัดเต้าหู้เส้น หมูย่างหน่อไม้ ไข่ตุ๋น ข้าวสวย แกงจืดลูกชิ้นปลา
ในถาดของเธอคือถั่วงอก เต้าหู้ ข้าวสวย แกงจืดสาหร่าย
ชางตงมองดูอาหารในถาดของเยี่ยหลิวซี “เมื่อวานคุณได้เงินมาแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่กินอะไรที่มันดีๆ หน่อย”
เยี่ยหลิวซีบอก “ฉันหาได้ไม่พอ คนที่ถูกอัดต่างหากถึงควรกินเนื้อบำรุงร่างกายให้มากหน่อย ฉันไม่จำเป็น”
เธอเดินผ่านชางตงไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปสองตัว ไม่นั่งกินข้าวร่วมกับพวกเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง
ขณะกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายในร้าน แต่ละคนต่างร่างกายกำยำล่ำสันท่าทางดุดัน คนที่เป็นหัวหน้าหน้าตาแดงก่ำ “คนไหน เจ้านี่ใช่หรือเปล่า”
เยี่ยหลิวซีใจเต้นโครมคราม ช้อนถูกงับค้างอยู่ในปาก สายตามองดูคนกลุ่มนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะของชางตงกับเฝยถัง
บรรยากาศภายในร้านเริ่มกลับกลายเป็นเงียบสงัด พวกที่นั่งอยู่ใกล้ชางตงต่างพากันลากเก้าอี้กระเถิบห่างออกไปตามสัญชาตญาณ หลังจากผ่านไปได้สองวินาที เฝยถังก็ยกถาดอาหาร พยักหน้าค้อมกายเดินผ่านคนกลุ่มนั้น บากหน้าเข้าไปหาเยี่ยหลิวซี
คนที่เป็นหัวหน้าเดือดดาล พูดเสียงสั่น “ใช่นายจริงๆ ชางตง เป็นคนต้องรู้จักละอาย หลานของฉันเกิดมาก็ไม่มีโอกาสได้พบเห็นหน้าพ่อ นายคิดว่าหลบซ่อนตัว ชดใช้เงินแล้วเรื่องมันจะจบหรือไง”
ยิ่งพูดอีกฝ่ายก็ยิ่งโมโห เขาฟาดมือตบเข้าใส่หน้าชางตง แต่ชางตงเบี่ยงหลบ ทำให้ชายคนดังกล่าวฟาดโดนปีกหมวกแทน
ชางตงยกมือขึ้นปรับหมวกเอียงกระเท่เร่ให้กลับตั้งตรงอีกครั้ง
เฝยถังตื่นเต้นจนปากคอแห้งผาก “แย่แล้ว พี่ตงของผมกำลังจะถูกเล่นงานอีกแล้ว พี่ซี พี่…จะช่วยเขาหรือเปล่า”
ชางตงต้องเข้าใจที่เขาตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีเอาตัวรอดก่อนแน่ เขาร่างกายผ่ายผอม ไม่มีทางทนมือทนไม้ชาวบ้านไหว อีกอย่าง เรื่องก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยก็ไม่มีประโยชน์
ทว่าเยี่ยหลิวซีไม่เหมือนกัน คืนนั้นตอนอยู่ในรถ ทันทีที่เธอยื่นมือออกมา เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองเจอของแข็งเข้าให้แล้ว ถ้าเธอยอมสอดมือเข้าแทรก สถานการณ์ย่อมต้องพลิกผัน
เยี่ยหลิวซีบอก “ฉันไม่เคยช่วยเขาหรือไง ฉันบอกให้เขาหลบแล้วแต่เขาไม่ฟังเอง หาเรื่องดีนัก โดนเสียบ้างก็ดี จะได้ว่านอนสอนง่าย”
แรกๆ เขาบอกให้เธอรู้จักคำว่ากฎหมาย อย่าหาเรื่องยุ่งยากให้ชาวบ้าน อย่าทำให้การเดินทางล่าช้าเสียเวลา ดีแล้ว ตอนนี้โดนเองเสียบ้างจะได้รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง
นายเองก็อย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลาเดินทางล่ะ ไม่หลบใช่ไหม ทั้งหมดนี่นายมันหาเรื่องเองนะ วันนี้ต่อให้นายถูกชาวบ้านเล่นงานจนขาหัก พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องเข้าโกบี ถ้าไม่เข้าล่ะก็ ฉันจะหักขานายอีกข้างเอง ใช้ไม้ค้ำสองข้างจะได้สมดุล
สถานการณ์แนวโน้มไม่สู้ดี ชายคนที่เป็นหัวหน้าตบโต๊ะดังโครมใหญ่ โต๊ะสั่นสะท้าน เถ้าแก่เจ้าของร้านหน้าเปลี่ยนสี คิดจะเข้ามาปรามไม่ให้พวกเขาทะเลาะกันแต่ก็ไม่กล้า เยี่ยหลิวซีคีบเต้าหู้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กำลังจะส่งเข้าปาก…
จู่ๆ ชางตงก็เรียกเธอ “เยี่ยหลิวซี!”
เยี่ยหลิวซีตกใจจนเต้าหู้หล่น “เอ๋?”
ชางตงหันหน้า มองดูเธอผ่านรอยแยกระหว่างฝูงชน “วันนี้ผมไม่อยากถูกเล่นงาน และไม่อยากมีเรื่องด้วย ต้องจ่ายเท่าไหร่คุณถึงจะช่วยผมจัดการเรื่องนี้”
เยี่ยหลิวซีตอบโดยไม่ลังเล “แปดร้อย!”
ชางตงพยักหน้า เขายกถาดอาหารเดินไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปอีกสองสามแถว คนที่เป็นหัวหน้าได้สติ สาวเท้าตรงขึ้นไปคว้าตัวเขา…
เยี่ยหลิวซีถีบม้านั่งยาวตัวหนึ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วจนกระแทกเข้ากับเข่าของคนคนนั้น อีกฝ่ายรีบชักเท้ากลับ ในตอนนั้นเอง เยี่ยหลิวซีก็เดินเข้ามาถึง
คนคนนั้นพูดจามีเหตุมีผล “คุณผู้หญิง พวกเรามาหาชางตง เรื่องนี้คุณอย่ายุ่งดีกว่า ถูกลูกหลงเข้าคงไม่ดีแน่”
เยี่ยหลิวซีบอก “ไม่เป็นไร ลงมือได้เลย พูดกันตามตรง ชางตงรู้แต่แรกแล้วว่าพวกคุณจะมา ฉันเป็นคนที่เขาเชิญมาโดยเฉพาะ…”
เธอกระซิบ ขยับใกล้เข้าไปอีกเล็กน้อยเพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน “แชมป์ศิลปะการต่อสู้ระดับประเทศครั้งที่สาม ที่นี่มันเล็กไปหน่อย พวกเราออกไปหาที่กว้างๆ กันดีกว่า ไม่ต้องเข้ามาทีละคน เสียเวลา พวกคุณเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดนั่นแหละ”
พูดจบ เธอก็ยื่นมือกดลงบนกระดูกไหล่ของอีกฝ่าย ลากออกไป
เฝยถังตาค้างมองคนกลุ่มหนึ่งเดินจากไป เขายืนเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว รู้สึกวังเวงสุดๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หน้าด้านทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับชางตงอีก
ใกล้พลบค่ำ เฝยถังขนของรอบสุดท้ายกลับมา น้ำแร่บรรจุขวดหนึ่งคันรถ ว่ากันตามที่ชางตงคำนวณ เมื่อพิจารณาถึงการใช้น้ำในแต่ละวัน คนหนึ่งคนจะใช้น้ำกันวันละแปดขวด ดังนั้นสำหรับสิบวัน พวกเขาจึงต้องมีน้ำสิบลัง
เมื่อผลักประตูเข้าไป ชางตงกำลังดุนมีดแกะแผ่นหนังอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยชิ้นหนัง คาดว่าเขาคงนั่งอยู่แบบนั้นมาตลอดบ่ายแล้ว
เฝยถังเอ่ย “เอ่อ พี่ตง พี่ซีกลับมาแล้ว พี่เห็นหรือยัง”
ชางตงตอบ “งั้นหรือ”
“กำลังตุ๋นซี่โครงอยู่ พี่จำได้ใช่หรือเปล่า ในรถของเธอเตาหม้ออะไรล้วนมีครบถ้วน ผมผ่านมาเมื่อกี้ น้ำกำลังเดือดพอดี คาดว่าคงต้องตุ๋นอีกสักระยะ…ในที่สุดเธอก็ยอมเปลี่ยนตัวเอง อันที่จริงตุ๋นเองดีจะตาย สะอาดก็สะอาด ที่ขายอยู่ข้างนอกนั่นไม่แน่ว่าอาจใช้น้ำมันเก่าๆ วัตถุดิบห่วยๆ…”
เฝยถังพล่ามพูดพลางเดินเข้าห้องน้ำไป
ชางตงวางมีดแกะสลัก เดินไปที่ข้างหน้าต่าง แง้มเปิดเล็กน้อย
ฟ้ามืดค่ำรวดเร็ว ประตูท้ายรถของเยี่ยหลิวซีเปิดกว้าง หลอดไฟส่องสว่าง ดูไม่ต่างอะไรกับแผงลอย แสงไฟปกคลุมอยู่เหนือเตาไฟ ฝาที่ปิดอยู่บนหม้อใบเล็กบนเตาขยับไหวอยู่เป็นระยะๆ ไอน้ำสีขาวที่ลอยละล่องออกมาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามสายัณห์ถูกแสงไฟอาบย้อมจนกลายเป็นสีเหลือง
เยี่ยหลิวซีที่ห่อร่างอยู่ใต้เสื้อกันหนาวทหารสีเขียวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ มองดูหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ เปิดฝาออกดูเป็นครั้งคราว ถือทัพพีตักน้ำแกงออกมาชิมดูรสชาติ
คนจำนวนมากต่อหน้าผู้อื่นคึกคัก ลับหลังกลับสงบนิ่ง
ชางตงปิดหน้าต่าง
พรุ่งนี้เป็นวันแรกของการเดินทางไปตะวันตก สมัยก่อน ที่ที่เขาจะนำพาลูกทีมไปแวะพักเป็นคืนแรกคือ…เนินทรายเอ๋อโถว