ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ผ่าสวรรค์ ราชันทะลุฟ้า เล่ม 3 บทที่ 2
บทที่ 2
ดาวนำโชค
เดือนหกวันที่สิบเจ็ด
วันนี้ถังอี้หมิงเรียกประชุมขุนนางทั้งหมดที่จวนขุนพล
“ตลอดครึ่งเดือนมานี้ เพราะปราศจากการรบกวนจากพวกนอกด่านพวกเราจึงพัฒนาไปได้อย่างมั่นคง งานนี้คนที่ลำบากที่สุดคือพวกเจ้า ข้าจึงใคร่ขอบคุณพวกเจ้าด้วยใจจริงแทนพวกชาวบ้านบนเขาทั้งหมด!” ถังอี้หมิงประสานมือโค้งคำนับพร้อมเอ่ยวาจาน้ำเสียงกระจ่างชัด
“เพื่อนายท่าน พวกข้าย่อมต้องพยายามอย่างสุดกำลัง” ทุกคนต่างประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
ถังอี้หมิงผายมือไปทางทุกคนพลางตะโกนเสียงดัง “กวนเอ้อร์หนิว เล่าข่าวที่เจ้าสืบได้มาตลอดหลายวันมานี้ให้ทุกคนฟัง”
กวนเอ้อร์หนิวแสดงคารวะต่อทุกคนก่อนจะพูดเสียงดังกังวาน “ครึ่งเดือนมานี้ ข้าพาคนเดินทางไปตามเมืองตามอำเภอต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขาไท่ซาน ในเมืองและอำเภอเหล่านั้นมีการสร้างป้อมสกุลของตัวเองขึ้นไม่น้อย ทว่าป้อมสกุลพวกนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านพวกนอกด่าน แต่กลับรบราฆ่าฟันกันเอง แย่งชิงผู้คนเสบียงอาหารทรัพย์สมบัติ เลวร้ายเสียยิ่งกว่าพวกนอกด่าน ในหมู่คนเหล่านั้นตระกูลใหญ่แซ่เฉินที่อยู่ภายใต้การนำของเฉินเพ่ย ยามนี้ได้เข้ายึดครองเมืองหลู่จวิ้นกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว เฉินเพ่ยโหดร้ายไร้เมตตาบีบบังคับชาวบ้านตระกูลอื่นให้เป็นทาส ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปถึงที่ไหน ที่นั่นล้วนถูกปล้น ฆ่า เผาทำลายราบเป็นหน้ากลอง…”
“บัดซบ! คนพวกนี้ชั่วช้ากว่าพวกนอกด่านเสียอีก! ถ้าข้าเจอล่ะก็รับรองข้าจะตัดหัวพวกมันทิ้งเสียให้หมด!” ยังไม่ทันที่กวนเอ้อร์หนิวจะพูดจบหลี่เหล่าซื่อก็โหวกเหวกออกมาเสียก่อน
“หลี่เหล่าซื่อ ฟังเอ้อร์หนิวพูดให้จบก่อน!” ถังอี้หมิงพูดเสียงแข็ง
กวนเอ้อร์หนิวเล่าต่อ “เฉินเพ่ยก่อกรรมทำเข็ญสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่รอบๆ จัดเป็นตัวหายนะโดยแท้ ข้าสืบรู้มาว่าที่เมืองหลู่จวิ้นมีชาวบ้านอยู่ด้วยกันทั้งหมดเจ็ดหมื่น ทหารหลายพันนายในมือเฉินเพ่ยล้วนเป็นนายทหารที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี”
“นายท่าน หรือท่านคิดจะไปจัดการเฉินเพ่ย?” หวังเหมิ่งถาม
ถังอี้หมิงพยักหน้า “เอ้อร์หนิวสืบรู้สถานการณ์ในเมืองหลู่จวิ้นของเฉินเพ่ยแน่ชัดแล้ว ในเมืองมีเสบียงจำนวนมาก ตอนนี้พวกเราขาดแคลนเสบียงอาหารที่สุด เสบียงที่ได้มาจากพวกนอกด่านเมื่อคราวก่อนก็ใกล้หมดลงทุกที เสบียงที่เหลือคาดว่าคงพอใช้ได้อีกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงตัดสินใจจะไปโจมตีเฉินเพ่ยชิงเสบียง ขณะเดียวกันก็ช่วยปลดปล่อยชาวบ้านที่ตกเป็นทาส ประกาศศักดาทัพฮั่น ถึงตอนนั้นชาวฮั่นจำนวนมากก็จะรู้จักพวกเราและยอมเข้ามาสวามิภักดิ์”
“นายท่าน เท่าที่ข้ารู้เมืองหลู่จวิ้นมีแม่น้ำซื่อสุ่ยห้อมล้อมอยู่ทั้งสามด้าน กำแพงเมืองหรือก็สูง การป้องกันแข็งแกร่งโจมตียากยิ่ง คิดยึดเมืองเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย” หวังเจี่ยนพูดชัดถ้อยชัดคำ
ถังอี้หมิงหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี ทว่าพวกเราไม่ได้ไปยึดเมือง แต่ไปล่อพวกเขาออกมาทำสงครามข้างนอก ข้าเชื่อว่าความสามารถของพวกเราในเวลานี้เพียงพอที่จะเอาชนะกองทัพของเฉินเพ่ยได้”
“นายท่าน การเดินทางไปเมืองหลู่จวิ้นจำต้องผ่านเมืองไท่ซาน ระหว่างทางอาจมีป้อมสกุลต่างๆ อยู่ไม่ใช่น้อย ป้อมพวกนี้ไม่เคยรู้ว่าบนเขาไท่ซานมีกองกำลังของพวกเราอยู่ และไม่รู้ด้วยว่านายท่านเป็นมิตรหรือศัตรู เกรงว่าระหว่างทางนายท่านอาจถูกพวกเขาลอบโจมตี” กวนเอ้อร์หนิวรีบพูด
พอได้ยินเช่นนั้น ถังอี้หมิงก็หยุดคิดครู่หนึ่ง ครั้นเห็นสีหน้าของหวังเหมิ่งสงบนิ่ง ถังอี้หมิงก็ถามขึ้น “ท่านกุนซือ ในสายตาของท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไร”
หวังเหมิ่งตอบ “นายท่าน จากที่กวนเอ้อร์หนิวพูด เฉินเพ่ยผู้นี้อย่างไรก็ต้องสังหาร การฆ่าเขาไม่เพียงช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ทว่ายังช่วงชิงเสบียงจำนวนมากมาได้อีกด้วย เรื่องคิดจะส่งกำลังทหารออกไปนั้นข้าเห็นด้วยกับนายท่าน ส่วนเรื่องป้อมสกุลพวกนั้น พวกเราจัดการได้ไม่ยาก นายท่านแค่ส่งทูตไปแจ้งให้พวกเขารู้ก่อน ทันทีที่พวกเขารู้ว่าเราจะไปจัดการกับเฉินเพ่ยก็ย่อมไม่คิดขัดขวาง”
“ดี ความคิดของท่านกุนซือไม่ต่างกับข้า เช่นนั้นตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เตรียมเคลื่อนพล ข้าจะไปโจมตีเมืองหลู่จวิ้น” ถังอี้หมิงประกาศ
พอได้ยินเช่นนั้นหวังเหมิ่งก็รีบปราม “ไม่ได้! การโจมตีเมืองหลู่จวิ้นในครั้งนี้ นายท่านจะไปจากเขาไท่ซานไม่ได้”
“ด้วยเหตุใด” ถังอี้หมิงถาม
“ต้วนคานแม้จะเพิ่งพ่ายศึก แต่ก็ส่งกองกำลังปิดล้อมเส้นทางระหว่างเขาไท่ซานกับจี่หนานไว้ ยามนี้ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ต้วนคานย่อมพร้อมจะทำการโจมตีระลอกใหม่ นายท่านจึงจำต้องเฝ้าอยู่ที่นี่” หวังเหมิ่งพูดชัดแจ้ง
ถังอี้หมิงถาม “ท่านกุนซือ หากข้าไม่พาทหารออกรบ แล้วใครเล่าจะเป็นผู้โค่นเฉินเพ่ย”
หวังเหมิ่งประสานมือตอบอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ข้ายินดีรับหน้าที่โค่นเฉินเพ่ยแทนนายท่านเอง”
“ท่านกุนซือ ท่านจะไปเช่นนั้นหรือ” ถังอี้หมิงสงสัย
หวังเหมิ่งพยักหน้า พูดช้าๆ “นายท่าน ข้าอยู่บนเขามานานกำลังคิดอยากลงเขาอยู่พอดี โจมตีเมืองหลู่จวิ้นในครั้งนี้ ข้ายินดีนำกำลังพลทำสงครามแทน รับรองว่าต้องยึดเมืองหลู่จวิ้นสร้างชื่อให้กับนายท่านได้แน่!”
หวังเหมิ่งคนนี้ไม่เพียงเก่งกาจด้านการบริหาร แม้แต่เรื่องการศึกก็เหมือนกัน งั้นครั้งนี้ก็ให้เขานำทัพออกรบโจมตีเมืองหลู่จวิ้นก็แล้วกัน ให้เขาได้มีโอกาสสร้างความดีความชอบ อีกอย่างเตาเผาบนเขากับงานสร้างโรงผลิตอาวุธใหม่ต่างยังไม่เรียบร้อยดี ยังต้องทำการปรับปรุงอีก อืม งั้นก็ว่ากันตามนี้ก็แล้วกัน ถังอี้หมิงคิดในใจ
ถังอี้หมิงพูดเสียงดังกังวาน “ตกลง โจมตีเมืองหลู่จวิ้นครั้งนี้ข้าให้ท่านกุนซือนำกำลังทหารออกรบ ท่านกุนซือ งานโจมตีเมืองคราวนี้ท่านต้องพากำลังคนไปมากหน่อย ทหารหญิงฝึกใหม่เหล่านั้นท่านก็พาพวกนางไปด้วยเถิด”
หวังเหมิ่งโบกมือ “นายท่าน แค่ทหารหญิงสี่พันนายที่ข้าฝึกฝนเท่านั้นก็พอแล้ว”
“ไม่ได้ ทหารหญิงเหล่านั้นเพิ่งออกรบเป็นครั้งแรก การประหัตประหารกันในสนามรบมิใช่เรื่องที่สตรีทั่วไปจะทนรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางยังเป็นทหารใหม่ไม่เคยทำศึก ประสบการณ์หรือก็ไม่มี” ถังอี้หมิงปฏิเสธทันที “เอาเช่นนี้เถอะ ข้าให้กองกำลังเหมิ่งหู่ค่ายพลที่หนึ่งเดินทางไปกับท่าน พวกเขาล้วนแต่เป็นทหารผู้กล้าเชี่ยวชาญการศึก หากเกิดอันตรายขึ้นย่อมช่วยปกป้องท่านกุนซือได้”
เห็นถังอี้หมิงเป็นกังวลเช่นนั้น หวังเหมิ่งก็ไม่ปฏิเสธคัดค้านอีก ทำเพียงพยักหน้าตอบรับ
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ หวงต้า เจ้าพาพี่น้องค่ายพลที่หนึ่งของเจ้าตามท่านกุนซือไป ทุกอย่างล้วนฟังคำบัญชาการของท่านกุนซือ คำพูดของท่านกุนซือคือคำสั่งของข้าห้ามมิให้ผู้ใดขัดขืน ผู้ใดกล้าขัดคำสั่งมีโทษตัดหัวเสียบประจาน!” ถังอี้หมิงประกาศกร้าว
หวงต้า หวงเอ้อร์รวมถึงเหล่าทหารค่ายพลที่หนึ่งต่างตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ข้าน้อยรับบัญชา!”
ถังอี้หมิงถาม “ท่านกุนซือ ท่านจะออกเดินทางเมื่อไร”
“เลือกวันมิสู้ชนวัน พวกเราออกเดินทางกันวันนี้เลย!” หวังเหมิ่งตอบตรงไปตรงมา
“แล้วท่านจะกลับมาเมื่อใด”
“ช้าสุดสิบวัน เร็วสุดเจ็ดวัน นายท่านให้คนไปรออยู่ที่เส้นทางเขาทางทิศใต้ของเขาไท่ซาน สองสามวันนี้จะมีคนมาสวามิภักดิ์มิได้ขาด ถึงตอนนั้นนายท่านแค่รอต้อนรับพวกเขาเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว” หวังเหมิ่งตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
ยังไม่ทันออกรบก็มั่นใจว่าจะกลับมาพร้อมชัยชนะแบบนี้แสดงว่าต้องมีแผนการอยู่ในใจก่อนหน้าแล้วแน่ๆ ถังอี้หมิงคิดในใจ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะสั่งให้คนไปรอฟังข่าวดีจากท่านอยู่ที่เชิงเขาทางทิศใต้ของเขาไท่ซาน” ถังอี้หมิงกล่าว
หวังเหมิ่งประสานมือค้อมกายคำนับ “นายท่าน เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว!”
ถังอี้หมิงพูด “ท่านกุนซือ ข้าจะไปส่งท่าน”
คนในจวนแม่ทัพต่างทยอยพากันเดินออกไปข้างนอก ด้านหนึ่งไปรวบรวมกำลังพล อีกด้านหนึ่งไปเคลื่อนย้ายอาวุธยุทธภัณฑ์
เชิงเขาไท่ซาน ทหารหญิงทั้งสี่พันดูไม่ต่างอะไรกับทัศนียภาพงดงาม แต่ละคนล้วนอยู่ในอาภรณ์สวยสด เผยให้เห็นรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ทหารค่ายพลที่หนึ่งของหวงต้าอยู่ในชุดเกราะเบารูปแบบเก่า ด้านนอกมีชุดเกราะที่เพิ่งทำเสร็จห่อหุ้มอยู่อีกชั้น ในมือถือทวนเหล็กกล้า มีหมวกเกราะสวมอยู่บนหัว แลดูองอาจห้าวหาญขัดกับทหารหญิงทั้งสี่พัน
หวังเหมิ่งต้องการรถเสบียงเปล่าห้าร้อยคัน ทุกคันมีม้าศึกลากจูง ทหารหญิงแปดนายนั่งอยู่บนรถเสบียงแต่ละคัน โดยมีพวกหวงต้าคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ส่วนคนที่เหลือต่างนั่งอยู่บนม้าศึก กองขบวนที่มีทหารชายหญิงปะปนอยู่ด้วยกันปรากฏขึ้นต่อหน้าถังอี้หมิง
ก่อนออกเดินทางถังอี้หมิงยังคงไม่วายเป็นห่วง เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างหวังเหมิ่ง “ท่านกุนซือ เสบียงอาหารที่ท่านให้พวกทหารเอาไปเพียงพอสำหรับสามวันเท่านั้น ไปมาคราวนี้อย่างน้อยก็น่าจะสิบวันครึ่งเดือน ท่านมิสู้นำเสบียงไปมากหน่อยเผื่อจำเป็นต้องใช้ในยามไม่คาดฝัน”
หวังเหมิ่งหัวเราะ “นายท่านไม่ต้องเป็นกังวล ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในแผนการข้า เสบียงอาหารสำหรับสามวันนั้นเพียงพอแล้ว ขอโปรดวางใจ คนสี่พันห้าร้อยคนนี้ ข้าจะให้พวกเขากลับมากันครบถ้วน ไม่มีขาดหายแม้แต่คนเดียว!”
ถังอี้หมิงตะลึง “ทำศึกสงคราม บาดเจ็บล้มตายล้วนมิอาจเลี่ยง แต่ท่านกุนซือกลับบอกว่าจะไม่ให้มีใครต้องตายเพราะสงครามคราวนี้แม้แต่คนเดียว หรือว่าศัตรูของพวกเราคราวนี้ล้วนแต่เป็นพวกโง่เง่ายอมให้ผู้อื่นปลิดชีวิตได้แต่โดยง่าย”
หวังเหมิ่งพูดจริงจัง “ในกองทัพไม่มีวาจาเหลวไหล แล้วข้าไหนเลยจะกล้าล้อเล่นกับนายท่าน ทำศึกคราวนี้หากแม้มีการสูญเสียเกิดขึ้นแม้เพียงคนเดียว เชิญนายท่านตัดหัวข้าได้เลย”
เห็นหวังเหมิ่งพูดจาหนักแน่นกล้าสาบานท้าทาย ถังอี้หมิงก็มิอาจไม่เชื่อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่วายสงสัยว่าหวังเหมิ่งจะใช้กลศึกเช่นไร
“เถาเป้า!” ถังอี้หมิงตะโกน
“ข้าอยู่นี่!” เถาเป้าที่ยืนอยู่หลังถังอี้หมิงขานตอบรวดเร็ว
ถังอี้หมิงมอบหมายงานให้เขา “เจ้าเดินทางไปกับท่านกุนซือ ความปลอดภัยของท่านกุนซือเป็นหน้าที่ของเจ้า หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านกุนซือแม้เพียงปลายเล็บ เจ้าไม่ต้องกลับมา!”
เถาเป้ารับคำรวดเร็ว “นายท่านวางใจ ข้าจะปกป้องคุ้มครองท่านกุนซือเป็นอย่างดี”
เห็นถังอี้หมิงให้ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันคอยอยู่ข้างกายตนเช่นนี้ หวังเหมิ่งก็ตระหนักได้ทันทีว่าถังอี้หมิงเห็นตนสำคัญมากเพียงใด “ขอบคุณนายท่าน นายท่านกลับไปเถอะ ข้าจะนำทัพออกเดินทางเดี๋ยวนี้แล้ว”
หวังเหมิ่งหันหลังออกเดิน เขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าตะโกนก้อง “ออกเดินทางได้!”
ภายใต้การนำของหวังเหมิ่ง กองกำลังทหารสี่พันกว่านายเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ช้าๆ ถังอี้หมิงมองดูริ้วขบวนพลางโบกมือให้ ในใจอธิษฐานให้ทหารเหล่านั้น จนรถม้าคันสุดท้ายหายลับไปจากหัวโค้งบริเวณชายป่าถังอี้หมิงถึงได้หันหลังกลับ
“นายท่าน จิ่งเลวี่ยไปคราวนี้ต้องกลับมาพร้อมชัยชนะแน่ ขอนายท่านอย่าได้เป็นห่วง” เห็นหัวคิ้วของถังอี้หมิงขมวดเข้าหากันแน่นเช่นนั้น หวังหย่งจึงกล่าวปลอบใจ
ถังอี้หมิงพยักหน้า “ท่านกุนซือมีแผนการในใจอยู่ก่อนแล้ว ออกรบครั้งนี้ต้องได้รับชัยชนะกลับมาแน่ ไป พวกเราขึ้นเขา ข้ายังต้องไปดูโรงผลิตอาวุธอีก”
“ขอรับ นายท่าน!”
พอมาถึงหลังเขา ถังอี้หมิงก็ตรงดิ่งไปยังโรงผลิตอาวุธทันที
ในโรงผลิตอาวุธ ช่างเหล็กร้อยกว่าคนต่างสาละวนกับงานในมือ เตาไฟหลอมเหล็กออกมามิได้ขาด หลังผ่านการอุ่นเตามาหลายวัน ในที่สุดผลผลิตที่ได้จากเตาก็เริ่มมีปริมาณมากขึ้น ขณะเดียวกันคนงานที่รับผิดชอบควบคุมเตาก็เริ่มชำนาญเช่นกัน ภายใต้การชี้แนะของถังอี้หมิง ในที่สุดก็หลอมเหล็กกล้าออกมาได้
ทว่าในสายตาของถังอี้หมิง จำนวนการผลิตยังจัดว่าต่ำอยู่มาก โรงงานในยุคปัจจุบันวันหนึ่งหลอมเหล็กกล้าออกมาได้เกินกว่าเตาหลอมอย่างง่ายของเขาเป็นสิบๆ เท่า ยิ่งไปกว่านั้นช่างเหล็กร้อยกว่าคนของเขาต่อให้ทำงานตลอดสิบสองชั่วยามไม่มีหยุด อย่างมากก็ผลิตอาวุธออกมาได้แค่ห้าร้อยชิ้นโดยประมาณเท่านั้น ทว่าบนเขาไท่ซานมีคนอยู่หลายหมื่น บรรดาทหารใหม่ทั้งหลายต่างกำลังรอคอยอาวุธใหม่อยู่
แต่ถึงอย่างนั้นถังอี้หมิงก็ไม่เคยนึกตำหนิพวกโจวซวงเลยแม้แต่น้อย งานตีเหล็กไม่ใช่แค่งานที่ต้องใช้กำลังแรงกายมาก แต่ยังเป็นงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษที่มีแต่ช่างตีเหล็กเท่านั้นถึงจะทำได้ ถังอี้หมิงจึงทำได้เพียงพึ่งพาวิทยาการผลิตกำลังต่ำเช่นนี้ไปพลางๆ ก่อน
หลังกลับจากตรวจโรงงาน ในหัวของถังอี้หมิงก็ครุ่นคิดอยู่แต่กับเรื่องต้องทำเช่นไรถึงจะเพิ่มจำนวนการผลิตของโรงผลิตอาวุธได้
ถังอี้หมิงครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็นึกถึงวิธีเหน็ดเหนื่อยชั่วครู่สุขสบายเนิ่นนานได้วิธีหนึ่ง นั่นก็คือการใช้เครื่องจักรกับปัจจัยภายนอกช่วยรีดเหล็ก
ใกล้โรงผลิตอาวุธมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง เพราะอยู่ต้นน้ำ น้ำในทะเลสาบจึงเชี่ยวมากเป็นพิเศษ ไหลจากที่สูงลงมาโครมเดียวไม่ต่างจากน้ำตก หลังสำรวจดูพื้นที่รอบๆ โดยละเอียด ถังอี้หมิงก็ตัดสินใจจะเปลี่ยนแรงสาดซัดของน้ำให้กลายเป็นพลังงาน
ธรรมชาติเป็นสิ่งอัศจรรย์ ขอเพียงรู้จักวิธีใช้ ย่อมนำเอาพลังธรรมชาติมาใช้แทนแรงคนได้ ถังอี้หมิงนึกถึงระหัดวิดน้ำ ใช้มันเปลี่ยนพลังน้ำให้กลายเป็นพลังการผลิต พอนึกถึงตรงนี้ถังอี้หมิงก็แสดงอาการตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ถังอี้หมิงลงมือทันที เขารวบรวมคน เริ่มสร้างระหัดวิดน้ำกับเพลาหมุนเพื่อให้กระแสน้ำทำงานแทนคน สร้างสายพานการผลิตพลังน้ำก่อกำเนิดเครื่องมือตีเหล็กพลังน้ำ ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามชั่วยาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ช่างตีเหล็กทั้งหลายก็ไม่ต้องเปลืองพลังแรงกายไปกับเรื่องไม่จำเป็นอีก แค่ควบคุมไฟให้ดี ต้องการตีเหล็กเมื่อไรก็ย้ายแท่นตีเหล็กเข้ามา เมื่อไม่ต้องการก็ย้ายมันไปวางไว้อีกด้าน ทุ่นทั้งแรงทุ่นทั้งเวลา
หลังจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้น ถังอี้หมิงก็ให้ช่างตีเหล็กสร้างมันขึ้นตามแบบ
พลบค่ำ ถังอี้หมิงกลับเข้าเรือน
เขาตักน้ำมาอ่างหนึ่งหมายล้างหน้า ทันทีที่หน้าเขายื่นเข้าไปใกล้ น้ำในอ่างก็สะท้อนใบหน้าดำมะเมื่อม ใต้คางเต็มไปด้วยหนวดเคราจำนวนนับไม่ถ้วน แลดูสกปรกมอมแมมอย่างมากออกมาให้เห็น
“นี่คือตัวเรางั้นหรือ” ถังอี้หมิงพูดกับตัวเอง
หลังล้างหน้าเสร็จ ถังอี้หมิงก็ลูบผมของตัวเอง เส้นผมของเขาทั้งหยาบทั้งแข็ง ครั้นลองลูบหนวดเคราใต้คางดูก็พบว่าหนวดเคราพวกนั้นแข็งทิ่มตำคนไม่ใช่น้อย
“มิน่าทุกครั้งที่อยากจูบเมีย เมียถึงได้หลบซ้ายหลบขวา ที่แท้ก็เพราะถูกหนวดเคราพวกนี้ทิ่มตำเอานี่เอง”
เขาชักดาบแตกทัพออกมา มองดูเงาสะท้อนในน้ำ จัดการโกนหนวดเคราออกจนหมด ก่อนจะลงมือตัดผมทิ้ง เส้นผมที่เคยยาวสั้นลงหลายส่วน พอมองดูตัวเองอีกทีก็พบว่าใบหน้าของตัวเองในเวลานี้แลดูสบายตาขึ้นมาก
หลังอาบน้ำ เขาเข้าไปนั่งอยู่ในห้อง เริ่มลงมืออ่านตำราพิชัยสงครามซุนจื่อในมือ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ขณะอ่านหนังสืออย่างออกรสออกชาติ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียง “ว้าย” แหลมๆ ดังขึ้น ถังอี้หมิงเงยหน้า เห็นหลี่หรุ่ยไม่รู้เข้ามาเมื่อไร นางกุมกำปั้นแน่นพลางร้องถาม
“เจ้าคนถ่อยชั่วช้า ถือดีอย่างไรถึงกล้าบุกเข้ามาในจวนขุนพล หากไม่อยากตายก็รีบออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นหากมีคนมาเจ้าต้องลำบากแน่!” หลี่หรุ่ยพูดขึงขัง
ได้ยินหลี่หรุ่ยพูดเช่นนั้นถังอี้หมิงก็งุนงง เขาวางตำราพิชัยสงครามในมือลง ลูบผมลูบเคราตัวเองก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเหตุใดหลี่หรุ่ยถึงมีท่าทีเช่นนั้น
“ฮ่าๆ ฮูหยิน แม้แต่เจ้าก็จำข้าไม่ได้กระนั้นหรือ ข้าคือท่านพี่ของเจ้าไงเล่า!” ถังอี้หมิงรีบอธิบาย
“ท่านพี่?” หลี่หรุ่ยพูดลังเล
“ใช่แล้ว ข้าเพิ่งตัดผมโกนหนวดเครา ทว่าเสียงของข้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หากไม่ใช่ข้าแล้วยังจะเป็นใครได้” ถังอี้หมิงพูดพลางเดินเข้าไปหาหลี่หรุ่ยช้าๆ
พอได้ยินเสียงคุ้นหูของถังอี้หมิงหลี่หรุ่ยก็ลดมือลง นางพิจารณาดูเขาอย่างประหลาดใจ
ถังอี้หมิงในเวลานี้ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมผมกุดสั้นใบหน้าเกลี้ยงเกลาแลดูอ่อนเยาว์ลงหลายปี ชวนให้คนที่ได้เห็นรู้สึกราวกับเขากลับกลายเป็นคนละคน
“ท่านพี่? ท่านคือท่านพี่จริงๆ ด้วย! ท่านพี่ นี่เกิดอันใดขึ้นกับท่าน เหตุใดจึงตัดผมจนดูไม่ต่างจากนักโทษเช่นนี้” หลี่หรุ่ยถาม “ร่างกายของเราผิวหนังเส้นผมล้วนบิดามารดามอบให้ มิควรทำให้เสียหาย ท่านทำเช่นนี้จักถูกลงโทษ!”
“ลงโทษ? โทษอะไร” ถังอี้หมิงถามสงสัย
“ถูกจับกล้อนผม” หลี่หรุ่ยบอก
พอได้ยินแบบนั้น ถังอี้หมิงถึงนึกเรื่องการลงโทษในยุคโบราณด้วยวิธีการกล้อนผมออก กล้อนผมคือการโกนผมโกนหนวดเคราของนักโทษออกจนหมด เป็นการลงโทษด้วยวิธีการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีมนุษย์ คนสมัยโบราณเชื่อว่าร่างกายเส้นผมผิวหนังล้วนบิดามารดาเป็นผู้มอบให้ จะทำลายเสียมิได้ นี่คือขั้นแรกของการกตัญญู! ดังนั้นการตัดผมโกนหนวดจึงถือเป็นการลบหลู่กันอย่างหนึ่ง
ยุคราชวงศ์เหนือใต้ พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ทว่าเพราะพุทธศาสนิกชนต้องปลงผมอีกทั้งยังห้ามแต่งงานซึ่งถือเป็นการอกตัญญูอย่างรุนแรง ดังนั้นผู้คนในเวลานั้นจึงประณามว่าเป็น ‘พวกหัวโล้น’ เฉาเชา (โจโฉ) เองก็เคยมีเรื่องตัดผมแทนหัวเช่นกัน จากจุดนี้เห็นได้ถึงความสำคัญของเส้นผมกับหนวดเคราที่มีต่อคนในยุคโบราณ
ถังอี้หมิงหัวเราะหึๆ ลูบผมยาวสลวยของหลี่หรุ่ยพลางพูด “ฮูหยิน ไม่มีอันใดร้ายแรง มันก็แค่ประเพณีความเชื่อเก่าๆ ของผู้คนยุคศักดินาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
หลี่หรุ่ยถอนหายใจเบาๆ นางไม่พูดอะไรอีก
เช้าวันถัดมา ไม่ผิดจากที่หลี่หรุ่ยว่าไว้ ผู้คนบนเขามองดูรูปลักษณ์ใหม่ของถังอี้หมิงด้วยสายตาแปลกประหลาด ทว่าถังอี้หมิงกลับไม่นึกใส่ใจ เขาคร้านเกินกว่าจะอธิบายให้คนเหล่านั้นเข้าใจ
ถังอี้หมิงให้จ้าวเฉวียนพาคนไปเฝ้ารอฟังข่าวจากหวังเหมิ่งอยู่ที่ปากทางเข้าเขาทางทิศใต้ของเขาไท่ซาน
“นายท่าน หัวหน้าค่ายพลจ้าวให้ข้ามารายงาน มีคนห้าร้อยกว่าคนกำลังมุ่งหน้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อนายท่าน ตอนนี้มาถึงเชิงเขาไท่ซานแล้ว!” ทหารนายหนึ่งแสดงคารวะด้วยท่าทีนอบน้อมพลางพูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด
“พวกเขามาจากที่ใด” ถังอี้หมิงลุกขึ้นถามรวดเร็ว
นายทหารคนดังกล่าวตอบ “เรียนนายท่าน ได้ยินพวกเขาบอกว่าเหมือนจะมาจากเมืองไท่ซาน”
พอไปถึงเชิงเขา ภาพลักษณ์ใหม่ของถังอี้หมิงก็ทำเอาทุกคนต่างมองดูเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด
“นายท่าน…เหตุใดนายท่านถึงมีสภาพเช่นนี้ไปได้ ใครกันที่กล้าทำกับนายท่าน” จ้าวเฉวียนถาม
ถังอี้หมิงหัวเราะ “ไม่มีใครทำทั้งสิ้น ข้าโกนของข้าเอง เช่นนี้สบายดี”
ฟังจบจ้าวเฉวียนก็ประสานมือพูด “นายท่าน คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นชาวบ้านเมืองไท่ซาน พวกเขาเดินทางมาเพื่อขอสวามิภักดิ์ต่อนายท่าน!”
ถังอี้หมิงมองดูชาวบ้านห้าร้อยกว่าคนที่อยู่หลังจ้าวเฉวียน พวกเขาพากันมาทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะชายหญิงคนแก่และเด็กล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น
ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาน้อมคำนับต่อถังอี้หมิงพลางพูดเสียงดัง “ทราบว่าที่นี่มีท่านขุนพลบัญชาการกองกำลังทหารอยู่ ข้าจึงพาเด็กผู้ใหญ่ทั้งตระกูลมาสวามิภักดิ์ ขอท่านขุนพลได้โปรดรับพวกผู้น้อยไว้ด้วย!”
ถังอี้หมิงรีบประคองชายชราให้ลุกขึ้น “ท่านผู้เฒ่า พวกเราที่นี่ล้วนแต่เป็นชาวฮั่น ให้ถือเสียว่าเป็นบ้านของตัวเองเถิด ท่านผู้เฒ่า ท่านรู้ได้เช่นไรว่าพวกเราตั้งกองกำลังอยู่ที่นี่”
ชายชราตอบ “เมื่อวานมีกองกำลังเคลื่อนพลผ่านพวกเราไปพร้อมกับธง ‘ฮั่น’ พวกเขาบอกว่ามีกองกำลังตั้งค่ายอยู่บนภูเขา พวกเราจึงเดินทางมาสวามิภักดิ์”
“ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่าวางใจเถอะ มาถึงที่นี่แล้วพวกท่านย่อมต้องมีกินมีดื่ม วันหน้าไม่ต้องระหกระเหินไปที่ใดอีก ข้าจะให้คนไปจัดที่พักอาหารให้พวกท่าน” ถังอี้หมิงยิ้มพูด
“จ้าวเฉวียน ให้คนพาพวกเขาขึ้นเขาไป หวังเจี่ยนตอนนี้อยู่ที่เหมือง เจ้าให้จางกั้นทำหน้าที่แทนเขาชั่วคราว จัดการดูแลเรื่องที่พักของคนเหล่านี้ให้เรียบร้อย” ถังอี้หมิงสั่งจ้าวเฉวียน
จ้าวเฉวียนตอบ “ขอรับ นายท่าน”
หลังส่งพวกชาวบ้านขึ้นเขา ถังอี้หมิงก็ควบม้าเร็วตัวหนึ่งตรงไปยังเชิงเขาทางทิศใต้ของเขาไท่ซานที่อยู่ห่างออกไปประมาณสิบหลี่
ที่เชิงเขาทางทิศใต้ของเขาไท่ซาน จ้าวลิ่วนำกำลังคนเฝ้าอยู่ในป้อม คอยสำรวจสถานการณ์บนทางเขา ทันทีที่ถังอี้หมิงมาถึง จ้าวลิ่วก็นำคนออกจากป้อมมารอรับ
ถังอี้หมิงพลิกตัวลงจากหลังม้า เห็นพวกจ้าวลิ่วสายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาก็เอ่ยปากอธิบายขึ้นมาทันที “ข้าโกนมันเอง พวกเจ้าไม่ต้องแปลกใจ มีข่าวท่านกุนซือบ้างหรือไม่”
จ้าวลิ่วตอบ “เรียนนายท่าน ท่านกุนซือยังไม่ส่งข่าวอะไรมาขอรับ”
ถังอี้หมิงพยักหน้า “หลายวันนี้พวกเจ้าอาจวุ่นวายกันสักหน่อย ข้าจะเพิ่มกำลังคนให้ ขอเพียงมีพวกชาวบ้านมาสวามิภักดิ์ พวกเจ้าก็รับพวกเขาไว้ทั้งหมด พาคนกลับเขาไท่ซาน เข้าใจหรือไม่”
จ้าวลิ่วตอบ “รับทราบ”
สองสามวันถัดมา บนเขาไท่ซานก็มีคนเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น บางคราวคนที่เดินทางเข้ามาสวามิภักดิ์มีจำนวนนับพัน บ้างก็หลายสิบ พวกเขาต่างพาคนในครอบครัวมาด้วย การมาถึงของชาวบ้านเหล่านี้แน่นอนว่าช่วยให้พวกถังอี้หมิงมีแรงงานคนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อย ที่พักอาศัยที่มีอยู่แต่เดิมเพราะไม่อาจรองรับผู้คนได้มากมายจึงจำเป็นต้องสร้างเพิ่มเป็นการด่วน
กองกำลังภายใต้การนำของหวังเหมิ่ง ยังคงไม่มีข่าวคราวอันใดกลับมา
ไม่มีข่าวคราวอันที่จริงก็จัดว่าเป็นข่าวดี เพราะการมีชาวบ้านเดินทางมาสวามิภักดิ์ไม่ขาดสายเช่นนี้แสดงว่าพวกหวังเหมิ่งยังคงปลอดภัยดีอยู่
จากคำบอกเล่าของพวกชาวบ้านทำให้ถังอี้หมิงรู้ว่าหวังเหมิ่งนำกองกำลังเดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ ครั้นไปถึงป้อมสกุลพวกเขาก็จะลงมือตรวจค้น หากพบเจอชาวบ้านก็จะแนะนำให้คนเหล่านั้นไปเขาไท่ซาน
พอถึงวันที่สี่ ถังอี้หมิงก็เริ่มหนักใจ หวังเหมิ่งนำอาหารแห้งไปกันเพียงสามวันเท่านั้น คำนวณจากเวลาตอนนี้พวกเขาน่าจะเริ่มขาดเสบียงแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงยามนี้จะเอาปัญญาใดไปทำศึก
พลบค่ำ บนเส้นทางเขาคดโค้ง คนกลุ่มหนึ่งเดินทางตรงเข้ามา
“นายท่าน! มีคนมาอีกแล้ว!” ทหารนายหนึ่งตะโกนเสียงดัง
ถังอี้หมิงรีบเข้าไปในป้อม มองจากเนินเขาลงไปยังผู้คนจำนวนมากที่เดินกระจัดกระจายกันอยู่บนทางเขาด้านล่างเป็นแนวยาวไม่ต่างอะไรกับมังกรตัวหนึ่ง
“นายท่าน ในมือพวกเขามีอาวุธ ใช่พวกศัตรูหรือไม่” พอเห็นแบบนั้นจ้าวลิ่วก็ถามตื่นเต้น
เห็นคนพวกนั้นในมือถืออาวุธ ถังอี้หมิงก็รีบหันไปดูทางด้านหลังอีกที กองคาราวานมนุษย์ยาวเหยียดถูกขนาบไว้ด้วยพวกชาวบ้านจำนวนมาก ทหารที่นำขบวนอยู่บนหลังม้านายนั้นขยับใกล้เข้ามาช้าๆ สายตาเหม่อลอยไม่คล้ายคิดจะบุกโจมตีเข้ามา
“จ้าวลิ่ว ลองตะโกนถามดู!” ถังอี้หมิงออกคำสั่ง
จ้าวลิ่วรับคำ เขาเดินออกจากป้อมไปหยุดยืนอยู่บนเนิน ตะโกนเสียงดัง “คนที่มาจงหยุด!”
ทหารม้าบนเส้นทางเขานายนั้นยกมือขึ้น คนที่อยู่ทางด้านหลังพากันหยุดเท้า
ทหารม้านายนั้นเงยหน้า พอเห็นจ้าวลิ่วยืนอยู่บนเนินเขาพร้อมทหารอีกนายที่กำลังง้างคันธนูรออยู่ก็รีบประสานมือพูด “ได้โปรดยั้งมือก่อน พวกข้ามาสวามิภักดิ์ต่อท่านขุนพลถัง!”
ถังอี้หมิงเดินออกมาจากในป้อม พูดน้ำเสียงกระจ่างชัด “ข้าคือถังอี้หมิง พวกเจ้าเป็นใคร”
ทหารม้านายนั้นพอเห็นถังอี้หมิงก็ตกใจ รีบประสานมือคำนับ “ข้าจางเลี่ยง ทหารเมืองตงก่วนแห่งสวีโจว ประมุขป้อมสกุลจางเดินทางมาเพื่อสวามิภักดิ์ต่อขุนพลถัง!”
ถังอี้หมิงรีบถาม “หวังเหมิ่งบอกให้เจ้ามา?”
จางเลี่ยงพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ท่านกุนซือหวังบอกให้ข้าเดินทางมาที่นี่”
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาด ถังอี้หมิงจึงเอ่ยปากถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนให้ลูกน้องของท่านประมุขป้อมทิ้งอาวุธในมือลงก่อน ไว้คนผ่านเข้ามาแล้วข้าค่อยให้คนตามไปเก็บให้”
จางเลี่ยงพูดเปิดเผยตรงไปตรงมา “สมควรแล้ว!”
จางเลี่ยงหันหลังกลับตะโกนบอกกับคนที่อยู่ด้านหลัง “พวกเจ้าฟังให้ดี ขุนพลถังสั่งให้พวกเราทิ้งอาวุธในมือลงทั้งหมด!”
ทันทีที่สิ้นเสียง จางเลี่ยงกับบรรดาทหารที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยกันโยนอาวุธในมือทิ้ง
ครั้นเห็นจางเลี่ยงแสดงความจริงใจออกมาเช่นนั้น ถังอี้หมิงก็รีบบอกกับจ้าวลิ่ว “ลงไปรับพวกเขา”
ถังอี้หมิงกับจ้าวลิ่วนำคนร้อยกว่าคนลงเขาไปรอพวกจางเลี่ยงอยู่บนเส้นทางเขา
จางเลี่ยงพาคนไปหยุดอยู่ต่อหน้าถังอี้หมิง เขาคุกเข่าลงกับพื้นพูดเสียงดังฟังชัด “ข้าจางเลี่ยงขอคารวะนายท่าน!”
ถังอี้หมิงรีบประคองจางเลี่ยงลุกขึ้นและหัวเราะพูด “อา…ในเมื่อท่านกุนซือให้ท่านมา เช่นนั้นข้าย่อมต้องรับพวกท่านไว้แน่นอน แล้วตอนนี้ท่านกุนซืออยู่ที่ใด”
จางเลี่ยงตอบ “กุนซือหวังให้ข้ามาสวามิภักดิ์ต่อท่านขุนพล หลังจากนั้นก็เดินทางไปช่วยป้อมอื่นๆ”
“แล้ว…เหตุใดท่านถึงคิดสวามิภักดิ์ต่อข้า” ถังอี้หมิงถาม
จางเลี่ยงถอนหายใจตอบ “พูดไปก็ละอายใจยิ่งนัก เฉินเพ่ยนำกองทัพโจมตีป้อมสกุลจางของข้า ทว่าเพราะกำลังทหารของพวกเรามีน้อยจึงต้านทานไม่ไหว ได้แต่ตั้งรับอยู่ในป้อม ท่านกุนซือหวังนำคนตีกองทัพเฉินเพ่ยแตกพ่าย ป้อมสกุลจางของข้าถึงได้รอดพ้นหายนะ ข้ารู้ว่านายท่านปักหลักอยู่บนเขานี้จึงเอ่ยปากเสนอที่จะเดินทางมาสวามิภักดิ์ ท่านกุนซือบอกเรื่องเส้นทางให้ ข้าถึงได้เดินทางมาถึงที่นี่”
พอได้ยินเช่นนั้นถังอี้หมิงก็ถามอย่างวิตกกังวล “กองกำลังของท่านกุนซือตอนนี้น่าจะกำลังขาดแคลนเสบียงอาหาร ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด ข้าจะได้ให้คนไปส่งเสบียงให้กับพวกเขา”
“นายท่าน เรื่องนี้หาได้จำเป็นไม่ ข้าได้มอบเสบียงทั้งหมดที่มีให้ท่านกุนซือแล้ว เพียงพอให้พวกเขาใช้ได้ถึงสิบวัน” จางเลี่ยงตอบ
ถังอี้หมิงรู้สึกซาบซึ้ง เขากุมมือของจางเลี่ยงพูดเสียงดัง “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจท่านยิ่งนัก!”
จางเลี่ยงพาคนมาด้วยกันสามพันกว่าคน เป็นทหารสองร้อยกว่านาย ที่เหลือล้วนเป็นพวกชาวบ้านชายหนุ่มหญิงสาวเด็กและคนชรา นอกจากนี้ยังมีเสบียง ภาชนะ อาวุธ และผ้าพับอีกจำนวนมาก ถังอี้หมิงสั่งให้คนพาจางเลี่ยงกลับเขาไท่ซาน ส่วนตนเองจะอยู่รอข่าวที่นี่ต่อ
สองวันถัดมา ประมุขป้อมสกุลทั้งหลายต่างก็เดินทางมาสวามิภักดิ์ต่อถังอี้หมิง ทุกคนต่างอพยพกันมาทั้งตระกูล เพียงไม่นานเขาไท่ซานก็คึกคักอย่างไม่เคยเป็น
ประมุขป้อมสกุลทั้งหลายเหล่านี้ล้วนได้รับความช่วยเหลือจากหวังเหมิ่ง พวกเขาเอาข้าวของติดตัวมาด้วยไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเสบียงอาหาร อาวุธ ม้า ข้าวของเครื่องใช้ทางการเกษตร ทุกอย่างล้วนมีพร้อม ถังอี้หมิงจัดการเรื่องที่พักให้พวกเขาเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ให้หลางซู่สร้างที่พักใหม่รองรับผู้คนที่เดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย
เพื่อสร้างชุดเกราะให้เหล่าทหารหญิง ถังอี้หมิงได้เลือกเกราะวงแหวนโลหะให้พวกนางสวมใส่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็นขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ถังอี้หมิงยังให้โรงผลิตอาวุธทำเกราะแผ่นขึ้นจำนวนหนึ่งด้วย เกราะแผ่นชนิดนี้เบากว่าเกราะเหล็กกล้าอยู่เล็กน้อย แม้ประสิทธิภาพในการป้องกันจะด้อยกว่า ทว่าทหารหญิงสวมเกราะวงแหวนโลหะไว้ด้านใน มีเกราะแผ่นห่อหุ้มทับอยู่ด้านนอกอีกชั้น เมื่อผสานทั้งสองเข้าด้วยกันความสามารถในการป้องกันของมันจึงไม่แตกต่างอะไรกับเกราะเหล็กกล้า
นับแต่หวังเหมิ่งนำทัพออกเดินทางเป็นวันที่หกก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย และไม่มีประมุขป้อมสกุลใดเข้ามาสวามิภักดิ์เพิ่มเติมอีก ถังอี้หมิงเปิดแผนที่ดู หากพิจารณาจากที่ตั้งของป้อมสกุลสุดท้าย หวังเหมิ่งในเวลานี้น่าจะกำลังโจมตีเมืองหลู่จวิ้นของเฉินเพ่ยอยู่
วันที่สิบ กองกำลังแนวหน้าของหวังเหมิ่งก็ส่งข่าวมา ข่าวนี้ทำเอาถังอี้หมิงตื่นเต้นดีใจแทบคลั่ง หวังเหมิ่งไม่เพียงยึดครองเมืองหลู่จวิ้นได้โดยไม่เสียกำลังพลแม้แต่คนเดียว แต่ยังยึดข้าวของได้อีกเป็นจำนวนมาก ตอนนี้กำลังเคลื่อนทัพกลับ
คนที่นำข่าวกลับมารายงานเป็นลูกน้องคนหนึ่งของกวนเอ้อร์หนิว ได้ยินเขาบอกว่า ตอนหวังเหมิ่งออกรบ เขาใช้แต่กลยุทธ์ให้พวกหวงต้าปลอมตัวเป็นทหารของเฉินเพ่ย แสร้งทำเป็นรุกตีป้อมสกุลต่างๆ ก่อนจะนำกำลังพลเข้าช่วยเหลือ ประมุขป้อมสกุลเหล่านั้นรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของหวังเหมิ่งจึงต้อนรับขับสู้เขาเป็นอย่างดี หวังเหมิ่งใช้วาทศิลป์เกลี้ยกล่อมประมุขป้อมสกุลพวกนั้น
ตอนทำศึกกับเฉินเพ่ย หวังเหมิ่งใช้แผนกองกำลังลวง แสร้งทำเป็นมีกองกำลังทหารสองหมื่นนายโอบล้อมเมืองหลู่จวิ้น หลังจากนั้นก็ให้คนยิงธนูเข้าไปในเมือง บอกให้พวกชาวบ้านในเมืองรู้ว่าพวกเขากรีธาทัพมาเพื่อจัดการกับเฉินเพ่ย ขอเพียงเฉินเพ่ยตาย พวกเขาจะไม่ทำร้ายผู้ใดทั้งสิ้น หาไม่แล้วชาวบ้านในเมืองทั้งหมดจะต้องตายตกตามเฉินเพ่ยไปด้วย พวกชาวบ้านกับบรรดาทหารเพราะไม่พอใจกับนิสัยโหดเหี้ยมป่าเถื่อนของเฉินเพ่ยอยู่แต่เดิม จึงก่อการจลาจลสังหารเฉินเพ่ย เปิดเมืองรับหวังเหมิ่ง
ทันทีที่เสร็จศึก หวังเหมิ่งก็โน้มน้าวพวกชาวบ้านในเมือง เขาไม่เพียงเกลี้ยกล่อมให้พวกชาวบ้านเจ็ดหมื่นกว่าคนกับทหารอีกห้าพันกว่านายทั้งเมืองให้เดินทางมาสวามิภักดิ์ได้ ยังยึดข้าวของมาได้อีกเป็นจำนวนมากด้วย
หลังฟังรายงานจบ ถังอี้หมิงก็อดนึกเลื่อมใสในตัวหวังเหมิ่งไม่ได้ ชนะโดยไม่ต้องออกรบ กลยุทธ์แบบนี้สิถึงจะเป็นกลศึกชั้นยอด ดูท่าหวังเหมิ่งคนนี้จะไม่ใช่แค่ยอดอัครเสนาบดีเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ทัพชั้นยอดอีกด้วย! เฮ้อ เทียบเขาไม่ได้จริงๆ เรารู้จักก็แต่รบ ไม่รู้จักวิธีลดการบาดเจ็บล้มตาย หวังเหมิ่งคนนี้นี่ดาวนำโชคชัดๆ!