• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 7 ตอนที่ 1

    1

    ความงดงามของจุดสิ้นสุด

     

    “แพ้แล้ว”

    เทโอ้เพิ่งได้รู้ว่าการแข่งขันนั้นสามารถขมขื่นและโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้ ผู้แพ้ต้องเลิกหวังและทำใจอยู่เงียบๆ ส่วนผู้ชนะก็ได้รับการสรรเสริญเยินยออย่างล้นหลาม

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทโอ้ลงแข่งขันทำอาหาร แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับความพ่ายแพ้ แต่การพ่ายแพ้ในช่วงเวลานี้เจ็บปวดมากยิ่งกว่าครั้งไหน นั่นเป็นเพราะเขารู้ล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มการแข่งขันแล้วว่าเขาไม่เคยเอาชนะมินจุนกับคาย่าได้แม้แต่ครั้งเดียว มันไม่ใช่การแข่งขันที่ดุเดือดและเชือดเฉือน แต่กลับเป็นการแข่งขันที่แพ้ตั้งแต่ต้น

    ในตอนนั้นเองมือของเอนโซ่ก็แตะที่บ่า เทโอ้เหลือบมองที่มือนั้นก่อนจะมองใบหน้าของเอนโซ่เพื่อค้นหาความเศร้าและความโกรธจากการพ่ายแพ้ แต่กลับไม่พบร่องรอยของความเจ็บปวดใดๆ ภายใต้สีหน้านั้น เขาจึงก้าวถอยหลังออกไป ความสับสนแฝงอยู่ในแววตา สีหน้า และน้ำเสียง

    “พ่อ…ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอครับ”

    “ไม่นี่”

    “แต่พ่อพูดให้ผมฟังบ่อยๆ ว่าเชฟแดเนียลทำให้พ่อพ่ายแพ้ เขาสร้างตราประทับที่ลบไม่ออกตลอดชีวิต”

    “ตราประทับนั่นทำให้ลูกทุกข์ทรมานยิ่งกว่าพ่อเสียอีก”

    น้ำเสียงที่สงบนิ่งของเอนโซ่ทำให้เทโอ้ทำหน้าเหมือนถูกของแข็งทุบลงกลางศีรษะ แต่ถึงแม้จะเห็นสีหน้าแบบนั้นของลูกชาย เอนโซ่กลับไม่แสดงอาการหวั่นไหวแม้แต่น้อย ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แน่วแน่ และยากที่จะรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง

    “แน่นอนว่าตอนแรกพ่อเองก็ทุกข์ทรมานกับการพ่ายแพ้ มันเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาที่มองไม่เห็นยอด แต่ก็แค่ตอนแรกเท่านั้น พ่อไม่เคยหยุดที่จะเดินขึ้นภูเขาลูกนั้น แม้ตอนนี้พ่อจะยังไม่รู้ว่าตัวเองขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วหรือยัง แต่พ่อมั่นใจว่าขึ้นมาถึงจุดที่สูงกว่าเมื่อก่อน”

    “พ่อ…”

    “พ่อรู้สึกขอบคุณเชฟแดเนียลด้วยซ้ำ”

    เทโอ้ที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แล้วเอนโซ่ก็ก้มลงมองมือที่หยาบกร้านและเต็มไปด้วยบาดแผล มองหลักฐานที่บ่งชี้ถึงกาลเวลาและความพยายามที่ผ่านมา

    “ไม่ว่าใครจะว่ายังไง คนที่มอบความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้พ่อในฐานะเชฟก็คือผู้ชายคนนั้น ความพ่ายแพ้หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของพ่อเสมอก็จริง แต่มันก็เป็นความพ่ายแพ้ที่มีค่ายิ่งกว่าการชนะ แต่สำหรับลูก…มันคงจะไม่ใช่”

    ความพ่ายแพ้ที่มีค่า

    เอนโซ่ต้องการจะบอกว่าคนที่กำลังโมโหและเป็นทุกข์กับความพ่ายแพ้คือเทโอ้ คำพูดนั้นทำให้เทโอ้นิ่งอึ้งไป จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด พ่อของเขาผู้ซึ่งไม่เป็นรองใครในเรื่องของการทำอาหาร แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับแดเนียล เทโอ้ขุ่นเคืองใจกับเรื่องนี้เสมอ เขารักอาหารของผู้เป็นพ่อจนอยากสืบทอดกิจการร้านอาหารต่อโดยไม่คิดจะทำร้านอาหารของตัวเอง เพราะเขาอยากลบล้างตราประทับแห่งความพ่ายแพ้ของเอนโซ่ให้หายไป

    “ที่พ่อออกมาแข่งในครั้งนี้…เป็นเพราะผมเหรอครับ”

    “…”

    “สิ่งที่ทำให้พ่อรู้สึกแย่ไม่ใช่เพราะความพ่ายแพ้ที่มีต่อเชฟแดเนียล แต่…”

    เป็นเพราะความโกรธแค้นและความรู้สึกต่ำต้อยของเขาเอง

    เทโอ้ไม่อาจพูดต่อได้จนจบ ที่ผ่านมาเทโอ้คิดว่าเอนโซ่ทุกข์ทรมานเพราะแดเนียล แต่คนที่ทำให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานกลับกลายเป็นตัวเขาเอง

    เอนโซ่ยิ้มบางๆ มันเป็นรอยยิ้มที่มีทั้งความรู้สึกขอโทษ ความรู้สึกขอบคุณ และความสงสาร

    “ไม่ว่าใครก็ลดเกียรติของพ่อไม่ได้หรอก ดังนั้นลูกไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”

    “…”

    “หวังว่าตอนนี้ลูกคงจะเข้าใจว่าความพ่ายแพ้ในการแข่งขันมันเป็นยังไง มันอาจจะขมขื่นสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีคุณค่าอะไรเลย”

    “ถ้าเป็นแบบนั้น…พ่อก็น่าจะบอกผมก่อน”

    “ถ้าบอกแล้วลูกจะฟังเหรอ”

    คำพูดนั้นถูกต้องทีเดียว ถ้าเอนโซ่บอกตอนนั้นเขาอาจจะคิดว่าเอนโซ่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าลูกชาย แต่ตอนนี้เขาเข้าใจสิ่งที่เอนโซ่ต้องการบอกแล้ว

    “ตอนแรกที่เห็นสองคนนั้นแข่งขันพ่อคิดว่ามันเป็นเรื่องโชคดีด้วยซ้ำที่ความสามารถของพวกเขาไม่ได้ทิ้งห่างจากแดเนียลเลย ตอนนี้ความพ่ายแพ้มาเยือนตรงหน้า ลูกอาจจะเมินเฉยใส่มัน วิ่งหนีมัน แต่ในที่สุดลูกก็ต้องยอมรับมันให้ได้ เพราะหนทางที่ลูกจะต้องเดินนั้นยังอีกยาวไกล”

    เทโอ้ไม่อาจปฏิเสธคำพูดของเอนโซ่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ตอนนี้เขาเข้าใจความรู้สึกของเอนโซ่แล้ว ความพ่ายแพ้ที่แดเนียลมอบให้เอนโซ่มันมีคุณค่ามากจริงๆ การแข่งขันนี้ทั้งทำให้เขาช็อกและช่วยกระตุ้นเขาอย่างมหาศาล เขาเคยคิดว่าการสืบทอดกิจการร้านอาหารต่อจากพ่อคือความใฝ่ฝันของเขา แต่ตอนนี้ความใฝ่ฝันนั้นกำลังสั่นคลอน

    เอนโซ่เข้าใจความรู้สึกของเทโอ้ในตอนนี้ดี เพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน

    “วันนี้จะแตกต่างจากเมื่อวาน และวันพรุ่งนี้ก็จะแตกต่างจากวันนี้”

     

    ในที่สุดเหตุการณ์ที่ทุกคนคิดว่าไม่น่าเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ เชฟจากโรสไอส์แลนด์แสดงศักยภาพที่เหนือกว่าเชฟคนอื่นๆ ทีมของมินจุนกับคาย่าและทีมของโทบี้กับเอว่าเข้ารอบชิงชนะเลิศ ซึ่งก็หมายความว่าไม่มีเชฟจากฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบเลย มันจึงสร้างความปวดใจให้กับชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสารอาหารต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘การปิดกั้นของคนฝรั่งเศสในเรื่องอาหารคือโศกนาฏกรรม’

    แต่คนที่ทำธุรกิจด้านอาหารกลับมองว่านี่เป็นโอกาสสำหรับฝรั่งเศส ที่ผ่านมาฝรั่งเศสมีมาตรฐานในการทำอาหารสูงจนประเทศอื่นตามไม่ทัน ทำให้เกิดความเฉื่อยชาต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นตอนนี้เชฟชาวฝรั่งเศสจะเนิบนาบต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้านี่เป็นการแข่งขันทำอาหารทั่วไปทุกคนก็คงคิดว่าเป็นเพียงความบังเอิญแล้วปล่อยผ่าน แต่การแข่งขันนี้เป็นการแข่งขันทำอาหารที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส แม้แต่เอนโซ่ซึ่งจัดว่าเป็นเชฟมือฉมังของปารีสก็ยังผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เชฟชาวฝรั่งเศสจึงตระหนักถึงวิกฤตอย่างจริงจังแล้ว

    แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้มีความเห็นแบบนี้ทั้งหมด บางคนบอกว่ามันไม่ใช่ปัญหาของวงการอาหารของฝรั่งเศส แต่เชฟจากโรสไอส์แลนด์มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมต่างหาก ซึ่งก็เป็นคำพูดที่ถูก เพราะไม่มีเชฟคนไหนที่เก่งกาจเท่าเชฟที่มาจากโรสไอส์แลนด์เลย

    และคนที่ปลาบปลื้มที่สุดก็คือแบรนดัน เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางมองไปรอบๆ ห้องอาหารที่มีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะ

    “พวกนายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนหนูตกถังข้าวสาร”

    “แน่ใจนะครับว่าตัวเองเป็นหนู”

    “ในสายตาของนายหนูมันดูน่ารักเกินไป ไม่เหมาะกับฉันสินะ”

    “ใช่ครับ”

    “…ยังไงก็ขอบคุณมากนะ ฉันให้สิทธิ์ใช้บริการร้านของฉันได้ตลอดชีวิตเลย แต่ห้ามพาคนอื่นมาล่ะ ได้แค่พวกนายสองคนเท่านั้น”

    “ฟังดูเหมือนจะดีนะครับ แต่ปารีสก็ไม่ใช่ที่ที่เราจะได้มาบ่อยๆ”

    “ถ้าอยากบริหารร้านอาหารให้อยู่ได้นานๆ ก็ต้องรู้จักการคิดคำนวณกำไรขาดทุน นั่นคือเส้นทางสู่ซีอีโอ”

    “เข้าใจแล้วครับ แต่ช่วยรีบส่งบัตรเชิญมาเร็วๆ เถอะครับ”

    “รู้แล้วน่า นิสัยใจร้อนเหมือนอาจารย์เรเชลไม่มีผิด”

    แบรนดันบ่นพึมพำพร้อมหยิบบัตรเชิญออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นบัตรเชิญของร้านอาหารระดับสามดาวแห่งหนึ่งในปารีส มินจุนยื่นมือออกไปรับด้วยสายตาเป็นประกาย

    “ไม่เหนื่อยบ้างเหรอไง ตระเวนกินตามร้านอาหารวันละสามมื้อแบบนี้”

    “ไม่เหนื่อยครับ”

    มินจุนตอบพร้อมยิ้มละมุน ความจริงแล้วก่อนจบการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเขาเหน็ดเหนื่อยกับการตระเวนไปตามร้านอาหารต่างๆ ในปารีส เพราะการกินอาหารแบบฟูลคอร์สนั้นใช้พลังยิ่งกว่าการออกกำลังกายเสียอีก ต่อให้อาหารอร่อยขนาดไหน การกินต่อเนื่องมื้อละสามชั่วโมงก็ทำให้หมดพลังได้เหมือนกัน

    แต่ตอนนี้มินจุนไม่หมดพลังในการตระเวนกินตามร้านอาหารอีกต่อไปแล้ว

    การได้เลเวลการชิมระดับเก้ามันทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้

    การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเขาสามารถอ่านสูตรอาหารเก้าคะแนนได้ทั้งหมด เมื่อก่อนเขาพอจะรู้ว่าในอาหารจานนั้นมีวัตถุดิบอะไรบ้าง แต่ไม่รู้ว่าสูตรอาหารคืออะไร เขาจึงรู้สึกอึดอัดมาตลอดที่ไม่เคยล้วงความลับของรสชาตินั้นๆ ออกมาได้เพราะถูกจำกัดขอบเขต

    แต่ตอนนี้ขอบเขตที่ว่าขยายออกแล้ว แน่นอนว่ายังไม่สามารถอ่านสูตรของอาหารระดับสิบคะแนนได้ แต่อาหารระดับสิบคะแนนก็ใช่ว่าจะพบเห็นได้ทั่วไปแม้จะไปที่ร้านสามดาวก็ตาม ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงตระเวนไปตามร้านอาหารทั่วปารีส การอ่านสูตรอาหารคือการเที่ยวเล่นและเรียนรู้ไปพร้อมกัน ทักษะความเข้าใจในอาหารฝรั่งเศสก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

    การได้เลเวลการชิมระดับเก้ามันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางระบบเท่านั้น แต่เขายังรับรู้รสชาติที่ละเมียดละไมและกลมกล่อมได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นซึ่งมันส่งผลเป็นอย่างมากต่อ ‘มุมมองการชิมอาหารระดับสากล’ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าลักษณะพิเศษใดแฝงอยู่ในอาหารของประเทศนั้นๆ และสามารถจับความรู้สึกได้ง่ายว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อประยุกต์อาหารนั้นให้ถูกปากคนประเทศอื่น

    นี่คือเหตุผลที่ตอนนี้ต้องตระเวนกินตามร้านอาหาร

    อีกสาเหตุที่เขาตระเวนกินทั่วปารีสยังเป็นเพราะหัวข้อที่จะต้องแข่งในรอบชิงชนะเลิศกับทีมของโทบี้

    ‘ทำซิกเนเจอร์ดิชหนึ่งจานที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ’

    ถ้าเทียบกับรอบรองชนะเลิศแล้วมันดูง่ายมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโจทย์ที่ยากพอสมควร เพราะต้องใส่ความเป็นตัวเขากับคาย่าทั้งหมดลงไปในอาหารหนึ่งจาน ดังนั้นเขากับคาย่าจึงต้องใส่ใจกับความสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าครั้งไหนๆ และหลังจากที่ได้พูดคุยกันสั้นๆ ก็ได้ข้อสรุปว่า

    ‘เราทำอาหารฝรั่งเศสในรอบสุดท้ายกันเถอะ’

    ทำแบบฝรั่งเศสที่เจ๋งกว่าฝรั่งเศส

    ทำแบบปารีสที่เจ๋งกว่าปารีส

    พอลองคิดดู ช่างเป็นไอเดียที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

    ตอนรอบรองชนะเลิศที่สั่งให้ทำอาหารคอร์สไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะทำอาหารสไตล์ตะวันออก แต่พอเป็นหัวข้อที่สั่งให้ทำอาหารที่แสดงตัวตนพวกเขากลับเลือกที่จะทำอาหารฝรั่งเศส ซึ่งนี่ก็เป็นการตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดอีกเช่นเคย แม้โรสไอส์แลนด์จะเป็นร้านอาหารตะวันตก แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนไปทางอาหารฝรั่งเศสเสียทีเดียว ด้วยความที่เป็นไอเดียไม่เข้าท่านี้เองจึงยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มาก แค่นึกถึงสีหน้าที่ว่างเปล่าของกรรมการมินจุนก็ถึงกับผุดยิ้มออกมา

    ทันทีที่มินจุนกับคาย่าเดินเข้ามาผู้จัดการร้านที่กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ก็ถึงกับชะงัก ตอนนี้ในวงการอาหารของฝรั่งเศสไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวกเขา ไม่เพียงแค่นิตยสารอาหารเท่านั้น แต่ทั้งข่าวช่วงเช้าและช่วงเย็นต่างก็พูดถึงพวกเขา เวลาเดินไปไหนมาไหนตามท้องถนนผู้คนทั่วไปต่างก็พากันมองราวกับรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี

    พวกเขาถูกเชื้อเชิญให้ไปนั่งตรงโต๊ะที่มองเห็นครัวได้ชัดที่สุด พนักงานเสิร์ฟพากันยิ้มและทักทายอย่างสุภาพอ่อนโยน แล้วอธิบายถึงอาหารเสียยืดยาวก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยถามเสียอีก ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารจานหลักเชฟก็เดินออกมาทักทายด้วยตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่พวกเขาคุ้นชินเสียแล้ว มินจุนหันไปมองคาย่าแล้วหัวเราะชอบใจ

    “ตอนนี้ฉันพอจะรู้แล้วล่ะว่าเจ้าหน้าที่จากองค์การอาหารและยากับคณะตัดสินของมิชลินไกด์มีความรู้สึกแบบไหน”

    “คนเราต้องลองประสบความสำเร็จดูสักครั้งจริงๆ ว่าแต่นายคิดว่าฟิเลต์มิยองเป็นไงบ้าง”

    “ปรุงได้ดีนะ แต่อาหารแบบนี้วัดกันที่คุณภาพ ไม่ใช่ความพิเศษหรือความแปลกใหม่ของวัตถุดิบ ปกติแล้วการหมักเนื้อก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้น้อยมาก”

    “ฉันก็คิดแบบนั้น คุณภาพของเนื้อน่ะดีแน่นอนอยู่แล้ว แต่รู้สึกเหมือนไวน์ที่ใส่ตอนหมักจะแพงมาก กลิ่นและรสของมันละมุนและมีเสน่ห์จริงๆ”

    มินจุนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของคาย่า กลิ่นและรสชาติของไวน์ที่แทรกซึมเข้าไปในฟิเลต์มิยองจานนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกินเนื้อจากวัวที่มีไวน์ไหลเวียนอยู่ตามหลอดเลือด

    ทุกครั้งที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟคำพูดมากมายจะพรั่งพรูออกมาจากปากของมินจุนกับคาย่า พวกเขาใส่ใจกับการออกความเห็นที่มีต่ออาหารแต่ละจานมากกว่าพูดถึงรสชาติและเทคนิคการทำ บางคนอาจคิดว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี้ไม่น่าสนุกเอาเสียเลย แต่พวกเขารู้สึกเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้มากที่สุด เพลิดเพลินยิ่งกว่าการออกไปเที่ยวเสียอีก พวกเขาใส่ใจกับการวิเคราะห์อาหารมากกว่าตัวอาหาร หลงใหลกับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันยิ่งกว่าการเอนกายลงบนเตียง สนุกกับการต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น มันเป็นความสุขที่ไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้เทียบได้เลย

    แล้วเลเวลการชิมระดับสิบจะสุดยอดขนาดไหนกันนะ

    หลังจากเลเวลการชิมขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับเก้ามินจุนก็ยิ่งรู้สึกอย่างชัดเจนว่าระดับการชิมของคาย่านั้นสุดยอดมากแค่ไหน เพราะพอเลเวลการชิมยกระดับขึ้นความสามารถในการทำอาหารก็พัฒนาขึ้นตามจนไม่อาจจินตนาการได้เลย

    ต้องรู้มาตรฐานของรสชาติเสียก่อนจึงจะสามารถทำอาหารที่เหมาะกับมาตรฐานของรสชาตินั้นออกมาได้ พอลองคิดดูแล้วเลเวลการทำอาหารต้องพึ่งพิงเลเวลการชิมมาตั้งแต่แรก แค่มีประสาทรับรสที่แม่นยำมาแต่กำเนิดก็สามารถเข้าใจรสชาติที่ซับซ้อนได้โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดวิเคราะห์มากมาย จนมาถึงตอนนี้มินจุนยังไม่เคยเห็นใครมีประสาทรับรสที่แม่นยำเท่าคาย่า และคนที่มีเลเวลการชิมระดับสิบเท่าที่เคยเจอมาก็มีแค่คาย่าเพียงคนเดียวเท่านั้น

    การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างถึงพริกถึงขิงกับคาย่าเป็นอะไรที่สนุกมาก ในระหว่างที่เตรียมตัวเพื่อการแข่งขันในรอบต่อไปมินจุนก็พิจารณามุมมองการชิมของคาย่าไปด้วย ถ้ามีมุมมองการชิมใกล้เคียงกับเธอ ระดับการชิมของเขาก็อาจจะขยับขึ้นมาใกล้เธอก็ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นการไต่ขึ้นไปถึงเลเวลการชิมระดับสิบก็คงจะไม่ยากเกินเอื้อม

    เราสองคนเหมือนกันมาก

    อาจเป็นเพราะติดตามการทำอาหารของคาย่า โลตัสมานานมินจุนจึงมีสไตล์กับแนวทางการทำอาหารเหมือนเธอ เขาจึงยอมรับในมุมมองการชิมของคาย่า

    เมื่อเวลาสามชั่วโมงของฟูลคอร์สสิ้นสุดลงมินจุนกับคาย่าก็มองหน้ากันด้วยสายตาที่ทั้งสุข ทั้งเหนื่อย ขณะที่กำลังคิดว่าจะกลับเลยดีหรือเปล่าหัวหน้าเชฟก็เดินมาหาแล้วพูดภาษาฝรั่งเศส โดยมีพนักงานเสิร์ฟคอยแปลเป็นภาษาอังกฤษให้อย่างคล่องแคล่ว

    “หวังว่าจะเป็นมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยมนะครับ และถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ได้โปรดช่วยเมตตาร้านของเราด้วยนะครับ”

    “เมตตา?”

    “ช่วยพูดถึงร้านของเราตามความจริงที่พวกคุณรู้สึก อาจจะแสดงความเห็นได้ลำบากสักหน่อยเพราะอาหารฝรั่งเศสมันฝังอยู่ในตัวตนของพวกเรา แต่พักนี้ผมรู้สึกว่าอาหารที่ร้านของเราหยุดพัฒนา ผมจึงอยากนำความเห็นของพวกคุณไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นครับ”

    นี่เป็นคำขอร้องที่มินจุนได้ยินบ่อยมากและทุกครั้งเขาก็จะลังเลเสมอว่าควรเริ่มต้นพูดแบบไหนดี คนส่วนใหญ่มักร้องขอให้พูดตรงๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำใจยอมรับกับความเห็นที่ตรงไปตรงมาได้ยาก ในตอนนั้นเองคาย่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยนและความระแวดระวังใดๆ

    “อร่อยค่ะ แต่ไม่มีความสนุก เหมือนคนเล่ามุกตลกฝืด”

    “ไม่สนุก?”

    “อาหารของที่นี่ไม่มีมุมมองใหม่ๆ เลย เป็นอาหารที่สามารถหากินได้จากร้านอื่นทั่วไป แน่นอนว่ามันอร่อยจนน่าตกใจ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ฉันคงจะไม่อิจฉาร้านสามดาวอีกต่อไป”

    คนที่ตกใจกับคำพูดเผ็ดร้อนของคาย่ากลับกลายเป็นมินจุน ส่วนหัวหน้าเชฟไม่มีสีหน้าเสียใจเลยแม้แต่น้อย คำวิจารณ์เพียงแค่นี้ไม่อาจทำให้เขาปวดใจได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาปวดใจกับความผิดหวังมามากพอแล้ว แม้ร้านจะได้สามดาว แต่กลับไม่มีใครชื่นชมในตัวเขาเลย

    “คุณต้องการจะบอกว่าผมดื้อดึงอยู่กับสิ่งเดิมๆ โดยไม่ลองทำอะไรใหม่ๆ เลยใช่มั้ยครับ”

    “ไม่ใช่ค่ะ ปัญหาของร้านนี้ไม่ได้อยู่ที่ความดั้งเดิม เพราะถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงไม่มีอะไรจะแนะนำ อาหารของร้านมีวัตถุดิบที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวมาก อร่อยมากจนฉันกินหมดไม่มีเหลือ แต่ความอร่อยนั้นกลับไม่ได้หลงเหลืออยู่ในความทรงจำเลย”

    แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูแรง แต่มินจุนก็ไม่คิดจะห้ามปราม เพราะเขาเห็นด้วยกับคำพูดนั้น และหัวหน้าเชฟก็พยักหน้าเช่นกัน

    “นี่เป็นคำพูดที่ผมได้ยินจากนักชิมอยู่เสมอ”

    “ร้านนี้มีข้อด้อยเพียงข้อเดียว แต่กลับเป็นข้อด้อยที่ใหญ่มาก”

    คาย่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ร้านนี้ดูด้อยค่า อาหารของที่นี่เลิศรสสมกับที่ได้สามดาว เพียงแต่มันขาดความสนุกสนาน และตอนนั้นมินจุนก็เริ่มพูดบ้าง

    “ดูเหมือนว่าเชฟเองก็ทราบถึงปัญหานี้ดี แล้วเหตุผลที่ถามพวกเราคืออะไร อยากถามเพื่อความแน่ใจเหรอครับ”

    “เพราะผมอยากรู้ความคิดเห็นของเชฟที่ไม่ใช่คนฝรั่งเศสอย่างคุณสองคนครับ แม้นักชิมหลายคนจะพูดถึงปัญหาของที่ร้าน แต่กลับพูดต่อว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความดั้งเดิม ผมจึงได้แต่หลบซ่อนอยู่ภายใต้เสียงที่ไม่มีความหมายพวกนั้นมาตลอด”

    เป็นคำพูดที่พอจะเข้าใจได้ บางทีคนเราก็ต้องการคนช่วยชี้แนะในสิ่งที่ผิดพลาดของตัวเอง หัวหน้าเชฟยิ้มอย่างโล่งใจ สีหน้าไม่เหมือนคนที่เพิ่งได้ฟังคำพูดที่เสียดแทงใจเลยสักนิด

    “ยิ่งได้ยินคำพูดจากเชฟด้วยกันมันก็ยิ่งทำให้ผมอยากปรับปรุงให้ดีขึ้น ขอบคุณมากนะครับที่วันนี้ให้เกียรติมาที่ร้านและพูดถึงข้อเสียของร้านอย่างตรงไปตรงมา”

    “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกค่ะ เพราะการวิจารณ์คนอื่นเป็นงานของพวกเราอยู่แล้ว”

    คาย่าตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงที่ไม่สะทกสะท้าน พอหัวหน้าเชฟได้ฟังผ่านพนักงานเสิร์ฟที่ทำหน้าที่เป็นล่ามก็ถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง

    “หวังว่าพวกคุณจะชนะนะครับ เพราะพวกคุณดูน่าสนใจกว่าทีมจากนิวยอร์กมาก”

    “เรื่องนั้นใครๆ ก็รู้ค่ะ”

    คาย่าตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาไปตามร้านอาหาร แต่ละครั้งพวกเขาจะใช้เวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับอาหารฝรั่งเศสกันนานมาก และทุกครั้งก็จะเกิดแรงบันดาลใจจนเติมเต็มสูตรอาหารที่มีอยู่ในหัวให้สมบูรณ์

    “ฟิเลต์มิยองเป็นวัตถุดิบที่มีความเป็นฝรั่งเศสสูงมาก”

    “มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความเป็นฝรั่งเศสมากกว่าจะเป็นแค่วัตถุดิบ จริงๆ แล้วเนื้อส่วนนี้ก็ใช้กันในทุกประเทศ เพราะมันก็คือเนื้อวัวนุ่มๆ ที่เราะเอากระดูกออก”

    “ยังมีวัตถุดิบอะไรอีกนะที่บ่งบอกถึงความเป็นฝรั่งเศส”

    “นึกถึงตอนทำมิชชั่นอาหารฝรั่งเศส ตอนนั้นเราพูดถึงวัตถุดิบหลายอย่างและลงความเห็นว่าฟัวกราส์คือสุดยอดของความเป็นฝรั่งเศส”

    “เอสคาโก้ก็มีความเป็นฝรั่งเศสเหมือนกันนะ”

    “การเอาวัตถุดิบเดิมมาใช้อีกครั้งไม่น่าเป็นไอเดียที่ดีสักเท่าไหร่ เท่าที่ฉันลองคิดดู ลองเอาปลามาใช้ก็ไม่เลวนะ”

    “หรือเราจะทำอาหารโดยไม่ต้องกำหนดวัตถุดิบหลักกันดีล่ะ”

    “ไม่กำหนดวัตถุดิบหลัก? แบบนั้นมันดูไม่มีความเป็นฝรั่งเศสเลย”

    “ก็เพราะไม่มีความเป็นฝรั่งเศสเลยน่ะสิ ถึงจะสามารถทำออกมาให้มีความเป็นฝรั่งเศสได้”

    คมมีดที่จ่อตรงคอของโทบี้กำลังถูกลับให้คมขึ้นเรื่อยๆ

     

    “พักหน่อยมั้ย”

    เอว่าแสดงความเป็นห่วง โทบี้ขีดเขียนไม่หยุดมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว บนกระดาษเต็มไปด้วยรายชื่อของวัตถุดิบซ้อนทับกันจนยากที่จะอ่านออก บางวัตถุดิบก็ถูกเขียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เขาไม่ได้เขียนเพื่อเรียบเรียงให้ดวงตามองเห็น แต่เขียนทุกสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวโดยไร้ซึ่งฟิลเตอร์คัดกรอง

    คงจะช็อกมากสินะ

    เอว่าเข้าใจดีว่าทำไมโทบี้ถึงเป็นอย่างนี้ มินจุนกับคาย่าทำให้โทบี้ได้รับความกระทบกระเทือนใจไม่ใช่น้อย ถึงแม้โทบี้จะเคยเห็นอัจฉริยะในระดับเดียวกับตัวเองมาก่อน แต่ก็ยังไม่เคยเจอใครที่เหนือไปกว่าตัวเองเลย

    จะว่าไปเชฟเรเชลก็เป็นหนึ่งในนั้น

    กรณีของเรเชลนั้นมีประสบการณ์ทำอาหารมานานยิ่งกว่าโทบี้ ถึงแม้ว่าความสามารถของเธอจะโดดเด่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้โทบี้รู้สึกอับอาย เพราะเมื่อมีประสบการณ์โชกโชนก็ย่อมมีฝีมือดีขึ้นตามไปด้วย แต่กรณีของมินจุนกับคาย่านั้นอายุก็น้อยกว่า แถมประสบการณ์ก็สั้นกว่า ดังนั้นการที่สองคนนั้นทำให้โทบี้รู้สึกอับอายขายหน้าจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก

    เอว่าได้แต่มองแผ่นหลังของโทบี้อยู่เงียบๆ ปกติแล้วเขามักแสดงท่าทางที่มั่นใจและดูเป็นอิสระจนบ่อยครั้งเอว่าก็อยากจะชกหน้าเขาด้วยความหมั่นไส้ แต่ตอนนี้เขากำลังกระสับกระส่ายจนดูแปลกตาไป

    “ขอโทษนะ”

    ก่อนหน้านี้โทบี้เอาแต่หมกมุ่นเสียจนไม่ได้สนใจว่าเอว่าจะพูดอะไร แต่ตอนนี้เขากลับเงยหน้าขึ้นมองแล้วฟังที่เธอพูด

    “ทำไมจู่ๆ ถึงขอโทษล่ะ”

    “ฉันไม่เคยคิดว่ามินจุนกับคาย่าเหนือกว่านายเลย แต่ผลที่ออกมาคือสองคนนั้นเหนือกว่าเรามาก และทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสองคนนั้นทำอาหารเข้าขากันได้ดีมาก ซึ่งแตกต่างจากทีมเรา”

    “อย่าพูดแบบนั้นสิ เธอช่วยเต็มที่แล้ว”

    “การช่วยเต็มที่กับการช่วยทำให้ชนะมันต่างกันนะ ฉันเคยอิจฉาที่นายได้เป็นซูเชฟ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกอายมากที่คิดแบบนั้น”

    น้ำเสียงที่แผ่วเบาของเอว่าทำให้โทบี้เริ่มตระหนักว่าเขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้คนเดียว กำแพงและภูเขาที่เขามองอยู่บดบังเอว่าจนมิด คนที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจที่สุดอาจจะเป็นเอว่าก็ได้ เพราะเอว่าอ่อนแอกว่าเขาเสียอีก เขาจึงถอนหายใจยาวออกมา

    “คงไม่เคยเห็นสภาพน่าสมเพชของฉันสินะ”

    “ฉันต่างหากที่น่าสมเพชมากกว่านาย”

    “พอเถอะ ฉันจะตั้งสติ เธอเองก็เหมือนกัน เราสองคนจะไม่จบแค่นี้หรอก”

    คำพูดของโทบี้ทำให้เอว่ายิ้มบางๆ ระหว่างนั้นโทบี้ก็ยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตัวเองพร้อมพึมพำออกมาเบาๆ

    “เราโดนไปหลายดอกเลยล่ะ ต่อไปนี้เราต้องแสดงให้เห็นว่าเราไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาชนะได้ง่ายๆ”

    นี่เป็นภูเขาที่สูงและอันตรายที่สุดเท่าที่เคยพบมา แต่ถ้ามันเป็นที่ที่ต้องการจะไปให้ถึงจริงๆ ก็ต้องก้าวเท้าต่อไป โทบี้พยักหน้าพลางมองไปที่ยอดเขาในจินตนาการ ก่อนจะสลัดความกลัวที่อยู่ในหัวใจทิ้งไป

    …แล้วเริ่มออกเดิน

     

    หลายคนคิดว่าหัวข้อของรอบชิงชนะเลิศดูธรรมดามากและมีไม่น้อยที่คิดว่ามันน่าจะเป็นหัวข้อของรอบรองชนะเลิศมากกว่า ซึ่งมินจุนก็เข้าใจคนที่คิดแบบนั้นและเห็นด้วยในบางส่วน ถ้าพูดถึงซิกเนเจอร์ดิชก็จะหมายความถึงอาหารที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งจาน ดังนั้นจึงไม่สามารถทำออกมาเป็นอาหารชุดได้และจะต้องใส่ตัวตนทุกอย่างของคนทำเอาไว้ใน ‘จานเดียว’ อาจจะสามารถแยกซอสใส่ไว้ในถ้วยเล็กต่างหากตามประเภทของอาหารที่ทำ แต่นั่นก็ยังไม่อาจแสดงความหรูหราออกมาได้เหมือนอาหารฟูลคอร์สหรืออาหารชุด

    ผู้เข้าแข่งขันทำอาหารคอร์สแบบจัดเต็มในรอบรองชนะเลิศจนผ่านเข้ารอบมาได้ ดังนั้นการชี้ชะตาผู้ชนะด้วยอาหารเพียงจานเดียวจึงทำให้รู้สึกว่างเปล่าไม่น้อย แต่มินจุนก็เข้าใจกรรมการ เขาทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับหัวข้อของรอบชิงชนะเลิศซึ่งให้เวลาหนึ่งสัปดาห์สำหรับคิดสูตร

    หนึ่งสัปดาห์ถือว่าเป็นเวลาที่นานทีเดียว

    ตอนอยู่โรสไอส์แลนด์เขาเคยใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการคิดสูตรอาหารใหม่ไปเสนอเรเชล แต่บางสูตรก็ใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วปัญหาคือเรื่องของแรงบันดาลใจซึ่งสำหรับมินจุนแล้วมันถือเป็นโอกาส ปกติเขาจะคิดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แรงบันดาลใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว เพราะตอนนี้เขามีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจถึงสองบ่อด้วยกัน

    คาย่าและเลเวลการชิมระดับเก้าของเขา

    การพูดคุยกับคาย่าทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจอย่างต่อเนื่อง การที่เลเวลของเขาเพิ่มขึ้นก็ได้รับอิทธิพลมาจากคาย่า โลกแห่งการทำอาหารของเขามีคาย่าเป็นรากแก้ว ดังนั้นคำพูดทุกคำของคาย่าจึงส่งปุ๋ยบำรุงรากนั้นให้เจริญเติบโตและแตกแขนง

    ส่วนเลเวลการชิมระดับเก้าก็ทำให้เขาได้มองเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งที่ได้เห็นใหม่ๆ กลายเป็นวัตถุดิบที่ดี เพียงแค่นำวัตถุดิบเหล่านั้นมาผสมผสานกันก็ได้เป็นไอเดียที่สุดยอดแล้ว

    “อาหารที่ไม่มีวัตถุดิบหลัก…”

    แต่บางครั้งต่อให้มีแรงบันดาลใจมากมายแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย หลายวันก่อนขณะที่มินจุนกับคาย่ากำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้นก็เกิดคีย์เวิร์ดหนึ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิด ‘อาหารที่ทำโดยที่ไม่มีวัตถุดิบหลัก’ ซึ่งคีย์เวิร์ดนี้ยังคงฝังอยู่ในหัวของทั้งคู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะลบเลือนออกไปง่ายๆ

    “เชฟคะ ดัดแปลงสิ่งที่ทำคราวก่อนดีมั้ยคะ ราวิโอลีคราวที่แล้วอร่อยมากจริงๆ”

    “ไม่ได้ รอบชิงคราวนี้จะต้องเป็นอาหารที่สนุกจนทุกคนถึงกับอึ้ง”

    “ทำไมล่ะคะ”

    “ก็แค่อยากทำแบบนั้นน่ะ”

    โอกาสนี้ทำให้เชฟทุกคนของโรสไอส์แลนด์สาขาปารีสได้รับรู้ความจริงอีกหนึ่งข้อ นั่นก็คือแม้มินจุนจะแสดงให้เห็นถึงการคิดคำนวณในหลายๆ ส่วน แต่ในเวลาที่สำคัญเขากลับทำตามอารมณ์โดยไม่ได้คิดคำนวณ คาย่าเองก็เช่นกัน

    วัตถุดิบที่มินจุนและคาย่าเลือกในครั้งนี้คือความว่างเปล่า อาหารที่ไม่มีวัตถุดิบหลัก? เหล่าเชฟสาขาปารีสไม่เข้าใจมินจุนกับคาย่าเลย

    ไม่ใช่ว่าอาหารแบบนั้นจะไม่มีเลย อย่างข้าวผัดหรือสตูก็เป็นการใส่วัตถุดิบหลายอย่างลงไปผสมกันจนไม่มีรสชาติใดรสชาติหนึ่งที่โดดเด่นออกมา ถ้าเป็นอาหารที่ทำกินกันเองในบ้านคงไม่เป็นไร แต่นี่เป็นอาหารที่ใช้สำหรับแข่งขัน จึงไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในเวลาสำคัญเช่นนี้

    มินจุนกับคาย่าก็รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี พวกเขาไม่คิดที่จะทำอาหารโฮมเมดง่ายๆ แบบนั้น และได้คิดคอนเซ็ปต์และกำหนดทิศทางเอาไว้แล้ว แค่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเดินไปยังทิศทางนั้นอย่างไรและสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น

    “เพราะวัตถุดิบหลักมันเยอะมากก็เลยจะทำแบบไม่มีวัตถุดิบหลัก หรือเพราะไม่มีวัตถุดิบหลักจริงๆ ก็เลยจะทำแบบไม่มีวัตถุดิบหลักกันแน่เนี่ย”

    “นี่เป็นคำถามเชิงปรัชญาเหรอ”

    “เป็นคำถามเชิงปรัชญา แต่ช่วยตอบแบบไม่ปรัชญาที เพราะฉันไม่ชอบตีความ”

    “อือ…เป็นคำถามที่ยากเหมือนกัน งั้นมาเริ่มกันตั้งแต่แรกเลย ตอนนี้เราคิดที่จะทำอาหารฝรั่งเศสและอยากสร้างความประทับใจโดยไม่มีวัตถุดิบหลักใช่ไหม”

    “ใช่ แล้วไงต่อ”

    “ลองคิดดูสิว่าทำไมเราจึงประทับใจเวลาได้กินอาหารฝรั่งเศสที่มีวัตถุดิบหลัก”

    “เพราะความเรียบง่าย”

    มินจุนย้อนถามทันที “ความเรียบง่าย? ใช่เหรอ”

    “ก็อาหารฝรั่งเศสดั้งเดิมเป็นแบบนั้นนี่นา เน้นความงดงามในความว่างเปล่า เครื่องเคียงหรือการตกแต่งก็เลยดูไม่หรูหรา แค่เอาวัตถุดิบหลักมาปรุงด้วยวิธีหลากหลายแล้วเสริมด้วยซอสนิดหน่อย แค่นี้เอง”

    “ซึ่งส่วนประกอบหลักก็มักจะเป็นเนื้อเสมอ”

    “ใช่ ต่อให้ใส่วัตถุดิบอื่นที่ราคาแพงและเลิศเลอยังไง เนื้อหรือต่อให้เป็นเนื้อชิ้นเล็กๆ ก็ยังคงเป็นวัตถุดิบหลัก”

    “ตอนนี้เราอยากทำลายไอเดียนั้นใช่มั้ย”

    “นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการถามอยู่พอดี”

    มินจุนกับคาย่ากำลังถกเถียงกันอย่างเมามัน มันเป็นบทสนทนาที่ทำให้คนที่อยู่รอบๆ ถึงกับมึน จนในที่สุดอาเดรียงก็ทนฟังต่อไม่ไหว จึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป แต่มินจุนก็ยังคงพูดต่อไม่หยุด

    “มันต้องไม่มีตัวเอก”

    “ตัวเอก?”

    “ลองคิดถึงแฮมเบอร์เกอร์สิ แฮมเบอร์เกอร์ถูกตัดสินความเป็นตัวมันด้วยแพตตี้หนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะใส่ชีสหรือใช้ขนมปังอะไรมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือแพตตี้ทำจากไก่หรือเนื้อต่างหาก”

    “แล้วไงต่อ”

    “แต่ตอนนี้เราคิดจะเอาแพตตี้ออกจากแฮมเบอร์เกอร์ทั้งที่เราก็รู้ว่าแฮมเบอร์เกอร์ที่ไม่ใส่แพตตี้มันไม่สมบูรณ์”

    “แค่คิดก็สยองแล้ว ว่าแต่มีแนวทางยังไง”

    “เอาแพตตี้ออกไม่ได้ แต่ก็ให้แพตตี้เป็นตัวเอกไม่ได้เหมือนกัน ฉันลองคิดดูแล้ว มีอยู่สองวิธีคือถ้าไม่ลดแพตตี้ก็ต้องเพิ่มวัตถุดิบอื่น”

    “แต่การลดไม่ใช่สไตล์ของเราเลยนะ”

    “พูดให้ชัดเจนก็คือมันไม่ใช่สไตล์การทำอาหารปัจจุบันของเรา”

    เนื้อที่คุณภาพไม่ดีจากโรงฆ่าสัตว์หรือจากการขนส่งจะส่งผลถึงรสชาติ ดังนั้นการรักษารสชาติของเนื้อเอาไว้อย่างดีที่สุดจึงจะสามารถทำอาหารที่มีระดับออกมาได้ มินจุนกับคาย่าเห็นด้วยกับความคิดนั้น ไม่จำเป็นต้องกำจัดรสชาติที่มีอยู่แล้วออกไปเพื่อที่จะรักษารสชาติอื่น เพราะพวกเขาเป็นเชฟที่จะคงไว้ซึ่งรสชาติทั้งหมดและผสมผสานให้สมบูรณ์

    “มันคือการทำแพตตี้ให้ไม่ใช่แพตตี้”

    “ยังไงนะ”

    “บดแพตตี้ให้ละเอียด คงรสชาติเอาไว้แต่ไม่ให้มองเห็น แล้วตัวเอกของรสสัมผัสก็จะกลายเป็นวัตถุดิบอื่น”

    แววตาของมินจุนพลันเป็นประกาย

    “ทำแฮมเบอร์เกอร์ที่มีและไม่มีแพตตี้”

    คาย่านิ่งเงียบไป แต่แล้วไม่นานก็ยิ้มที่มุมปาก เธอกอดอกพร้อมพยักหน้า

    “ฉันเห็นด้วย”

    ความท้าทายในแบบฉบับของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

    ความท้าทายที่บ้าบิ่น…

     

     

    (To Be Continued…)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook