ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 36 บทที่ 1
บทที่ 1 เสียงถอนใจครั้งแรก
นี่คือการหยามหมิ่น หยามหมิ่นอย่างเปิดเผย
การหยามหมิ่นมีหลายรูปแบบ การหยามหมิ่นด้วยวาจาพบเห็นได้บ่อยที่สุดและมีพลังน้อยที่สุดด้วย สำหรับเหล่าผู้เข้มแข็งที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน การหยามหมิ่นรูปแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่สำหรับเหิงมู่ลี่เหรินกลับไม่ใช่เช่นนั้น…มันมีพลังอย่างผู้เข้มแข็ง แต่สภาพจิตใจมันยังไม่ใช่
สภาพจิตใจคือจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้เวลาอันยาวนานและการต่อสู้มากมายหล่อหลอมขึ้น ที่เรียกว่ามรรคจิตผ่องใสก็สื่อความหมายในด้านนี้ ทว่าโชคชะตาของมันเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันน่าอัศจรรย์ เพราะสายฝนในยามวสันต์ระลอกเดียวมันก็เปลี่ยนจากคนงานของเทียนอวี้ย่วนเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของอาศรมเทพ ในขั้นตอนการฝึกฌานของมันเห็นได้ชัดว่ามีจุดบอด ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของหลิ่วอี้ชิงมันจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โกรธจนมือที่กุมด้ามดาบเริ่มสั่น
ผ้าขาวที่ปิดตาหลิ่วอี้ชิงอยู่สั่นไหวเบาๆ กลางสายลมยามค่ำคืน ราวกับสัมผัสได้ว่ามือของเหิงมู่ลี่เหรินกำลังสั่น มุมปากจึงยกขึ้นแสดงถึงความเห็นใจ
เหิงมู่ลี่เหรินเอ่ยเสียงเย็นชาว่า
“เจ้ากำลังเห็นใจข้า?”
หลิ่วอี้ชิงส่ายหน้า
“ข้ากำลังสงสารเจ้า”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสงสารข้า”
“คนที่ไม่อาจสมปรารถนาย่อมเป็นที่น่าสงสารแก่ผู้คน”
“เจ้ารู้หรือว่าข้าปรารถนาสิ่งใด”
“ไม่ว่าคืนนี้เจ้าปรารถนาสิ่งใด เจ้าล้วนไม่อาจได้รับ”
เหิงมู่ลี่เหรินนิ่งเงียบไปครู่แล้วพลันเยือกเย็นลง มันรู้ดีว่าเดิมทีการต่อสู้ในคืนนี้คือการทดสอบหรืออาจเรียกว่าการฝึกฝนที่อาศรมเทพเตรียมไว้ให้มัน เนื่องจากมันจำเป็นต้องเรียนรู้การเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงจากการต่อสู้
ภายนอกเปลี่ยนแปลงได้อย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน ภายในสงบนิ่งผ่อนคลาย แม้เขาเถาซานพังถล่มสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน นี่จึงนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง และมีแต่ต้องทำอย่างนี้ให้ได้เท่านั้นจึงสามารถก้าวหน้าไปไกลกว่าเดิม
หลิ่วอี้ชิงต้องการให้มันโกรธ เช่นนั้นมันก็ต้องไม่โกรธ เพราะความโกรธส่งผลต่อการตัดสินใจ และส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการต่อสู้ แต่คืนนี้หลิ่วอี้ชิงใช้กระบี่แรกไปแล้ว ยามนี้โลหิตโซมกายและแขนขาขาด ไม่อาจพลิกสถานการณ์ เช่นนั้นหลิ่วอี้ชิงทำให้มันโกรธมีประโยชน์อันใด
เหิงมู่ลี่เหรินพอใจมาก พอใจที่ตนไม่โกรธแล้ว พอใจที่ตนยังพิจารณาปัญหาเหล่านี้ได้อย่างสุขุมระหว่างการต่อสู้ มันมองใบหน้าขาวซีดของหลิ่วอี้ชิงใต้คมดาบพลางคิดอย่างหยามหยันว่า…หรือเจ้ายังมีเคล็ดวิชาอื่นซ่อนไว้ หรือกำลังเรียกร้องความตาย แต่ไม่ว่าแบบไหนล้วนเสียแรงเปล่า
การโต้ตอบของหลิ่วอี้ชิงตั้งแต่ต้นดูเหมือนกำลังเรียกร้องความตาย นับแต่เข้าด่านรู้ชะตาเป็นต้นมาเหิงมู่ลี่เหรินก็มีมุมมองเกี่ยวกับความเป็นความตายที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง มันรู้ว่าสำหรับผู้ฝึกฌานจำนวนมากความตายไม่ได้น่ากลัวนัก การมีชีวิตอยู่ต่างหากที่น่ากลัวยิ่งกว่า ดังนั้นมันจึงไม่ให้หลิ่วอี้ชิงตาย
แต่ก็อาจเป็นเพราะที่จริงแล้วมันยังโกรธอยู่มากก็ได้
ส่วนเรื่องที่หลิ่วอี้ชิงอาจยังมีแรงสู้ต่อหรืออาจยังมีเคล็ดวิชาซ่อนไว้…เหิงมู่ลี่เหรินไม่ได้สนใจ มันกำลังเรียนรู้การเป็นยอดฝีมือ แต่ด่านฌานรวมถึงความมั่นใจของมันอยู่เหนือขีดขั้นนี้ไปแล้ว มันไม่เคยเชื่อว่าในโลกของเฮ่าเทียนมีคนที่ชนะมันได้ บางครั้งบนลานหน้าผาขณะยืนมองชายชราผู้พิการที่นั่งรถเข็น มันยังอยากล้มรถเข็นให้คว่ำเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิ่วอี้ชิง
มาเถอะ ให้ข้าดูสักหน่อยว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป
เหิงมู่ลี่เหรินหน้าซีดลง แสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนที่ผิวกายลุกไหม้ไม่หยุด ดาบในมือไม่สั่นแล้ว คมดาบก็ไม่เย็นเฉียบแล้ว แต่แผ่ความอบอุ่นหรืออาจเรียกว่าร้อนลวกจากการเผาไหม้ของแสงออกมา ฉีกสายลมรวมถึงระยะห่างที่ยังเหลืออยู่แทงเข้าหาหว่างคิ้วของหลิ่วอี้ชิง
หลิ่วอี้ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในเกี้ยวไม่ได้หลบหลีกเพราะสองขามันขาดแล้ว เบื้องล่างมีเลือดพุ่งทะลักราวน้ำพุ และเพราะเดิมทีมันก็ไม่ได้คิดจะหลบ มันเลือกแทงกระบี่ไปตรงๆ
กระบี่และมือที่ขาดตกอยู่ในเกี้ยว แล้วมันแทงกระบี่อย่างไร
มันใช้มือซ้ายจับมือขวาที่ขาดไปแล้ว จากนั้นก็…แทง
ภาพนี้ค่อนข้างประหลาด ทว่าในสายตาของผู้คนรอบวังหลวงกลับรู้สึกว่าดูคุ้นตาอยู่บ้าง
หน้าหุบเขาชิงสยาเมื่อหลายปีก่อนมีคนผู้หนึ่งที่ทำเช่นนี้
คนผู้นั้นชื่อจวินโม่ ตอนนั้นคนที่ถูกกระบี่ของมันแทงคือเทพกระบี่หลิ่วไป๋
ตอนนั้นหลิ่วอี้ชิงอยู่ที่นั่นด้วย มันเห็นกระบี่นั้นและจดจำไว้
กระบี่ของศาลากระบี่เดิมทีก็เร็วที่สุดในโลกอยู่แล้ว เวลานี้เลียนแบบกระบวนท่าของเซียนเซิงรองแห่งสถานศึกษา เมื่อรวมกับเจตนารมณ์กระบี่ของศาลากระบี่ก็เร็วเกินกว่าจะจินตนาการได้
ในความมืดคล้ายเกิดสายฟ้าแลบ กระบี่ของหลิ่วอี้ชิงแทงทีหลังแต่ถึงก่อน
คมดาบของเหิงมู่ลี่เหรินหน้าหว่างคิ้วมันเดินหน้าได้เพียงระยะความหนาของหนึ่งเส้นผม กระบี่ในมือขวาที่มือซ้ายมันจับอยู่ก็ไปถึงหน้าอกของเหิงมู่ลี่เหรินแล้ว
เกิดเสียงฉึกเบาๆ คมกระบี่แทงเข้าหน้าอกเหิงมู่ลี่เหริน
คมกระบี่เข้าเนื้อไปเล็กน้อย เห็นได้รำไรว่าเลือดกำลังจะไหลออกมาจากบาดแผล
ผู้คนที่ชมการต่อสู้อยู่โดยรอบไม่ทันได้ส่งเสียงตกตะลึง
เสียงฉึกเบาๆ นั้นยังหยุดอยู่ระหว่างคนทั้งสอง ไม่ได้ถ่ายทอดออกไป
เลือดตรงบาดแผลยังไม่ไหลลงมา
เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก
กระบี่แรกของหลิ่วอี้ชิงดุดันเด็ดขาดอย่างสุดขีด กระบี่เดียวฟันกำแพงวังพังทลาย ส่วนกระบี่ที่สองของมันรวดเร็วสุดขีด เร็วจนไม่มีผู้ใดตอบสนองทัน
ความเจ็บปวดดูเหมือนเดินทางได้เร็วกว่าเสียง เหิงมู่ลี่เหรินหน้าซีดกว่าเดิม มันรู้สึกได้ชัดเจนถึงความเย็นเฉียบของคมกระบี่จากบาดแผลที่หน้าอก รวมถึงความเจ็บปวดที่แฝงกลิ่นคาวเลือดจางๆ…ถูกแล้ว ความเจ็บปวดนี้มีรสชาติ
แต่มันไม่ลนลานและไม่หวาดกลัว ตรงกันข้ามมันกลับรู้สึกยินดี เพราะกระบี่นี้ของหลิ่วอี้ชิงดูเหมือนแข็งแกร่งกว่ากระบี่แรก มันคิดว่านี่คือการให้ความสำคัญที่ตัวมันปรารถนา
มันฮึกเหิมมากขึ้น ดวงตามันสว่างวาวประหนึ่งว่ากลายเป็นดวงดาวที่ใกล้ผืนดินเข้ามาทุกที จนแทบจะเผาไหม้ต้นหญ้ามากมายบนที่ราบให้วอดวาย
กระบี่ของหลิ่วอี้ชิงไม่อาจเดินหน้าต่อ
เพราะกระบี่สัมผัสโลหิตของเหิงมู่ลี่เหรินแล้ว โลหิตเหล่านั้นกำลังเผาไหม้ และสิ่งที่เผาไหม้คือแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน
ซี่ๆ…
ควันสายเล็กๆ ลอยขึ้น
กระบี่แทงเข้ากายเทพ เปื้อนโลหิตแห่งเทพแล้วถูกเผาไหม้ไปทีละชุ่นๆ จนกลายเป็นฝุ่นควันสลายไป
ดาบในมือเหิงมู่ลี่เหรินแทงผ่านประกายแสงสีทองที่ผนึกขึ้นจากแสงเจิดจรัสออกมา ขณะเดียวกันดาบสิบสองเล่มข้างหลังมันก็แผ่ออกดุจดอกไม้ทองคำเบ่งบาน
แสงเจิดจรัสที่ลุกไหม้คือดอกไม้ที่สวยงาม มันยืนอยู่ในดอกไม้ สภาวะดาบใกล้หลิ่วอี้ชิงเข้าไปอีก
เจตนารมณ์อันแข็งแกร่งเหนือจินตนาการและไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเกี้ยว
นี่คือเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนใช่หรือไม่…หลิ่วอี้ชิงคิด มุมปากเผยรอยยิ้ม
ภายใต้แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนรอยยิ้มนี้ดูซับซ้อน ไม่รู้ว่าเยาะเย้ยตัวเองหรือหยามหยันผู้อื่น
มือซ้ายมันจับมือขวาอยู่ มือขวามันจับกระบี่ที่ถูกเผาไหม้อยู่
กระบี่ถูกแสงเจิดจรัสเผาไหม้ดูไม่ผิดกับเทียนไขที่ไร้เรี่ยวแรงจนสลายไป
มือขวาที่ขาดก็ถูกแสงเจิดจรัสกัดกินจนเห็นกระดูกนิ้วมือ จากนั้นกระดูกนิ้วมือก็เริ่มดำ ส่วนปลายก็เริ่มแหลม
หลิ่วอี้ชิงสะบัดมือ กระดูกนิ้วมือที่ดำเกรียมลอยแหวกอากาศไปดุจกระบี่จนถึงเบื้องหน้าเหิงมู่ลี่เหริน
การลอยโดยทั่วไปแล้วใช้กับสิ่งของที่น้ำหนักเบา น้อยครั้งที่ใช้กับกระบี่ แม้เป็นกระบี่บินที่เบาที่สุดก็ตาม แต่กระบี่สุดท้ายของหลิ่วอี้ชิงลอยไปจริงๆ
ขณะเดียวกับที่มันสะบัดกระบี่ ต้นหลิวริมคูน้ำรอบวังหลวงก็พลิ้วไสวตามสายลม
กิ่งหลิวแตะผิวน้ำเบาๆ ทำให้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ผ้าขาวบนใบหน้าหลิ่วอี้ชิงลอยขึ้นปัดแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนที่คมดาบปล่อยออกมา
แววตาเหิงมู่ลี่เหรินพลันเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก
กระบี่นี้ของหลิ่วอี้ชิงเหมือนสายลมที่ไม่อาจจับต้อง มันไม่เสียทีที่เป็นสุดยอดฝีมือของศาลากระบี่
สีหน้าเหิงมู่ลี่เหรินเคร่งขรึม จากนั้นก็ฮึกเหิม
หลิ่วอี้ชิงบาดเจ็บสาหัสเกินเยียวยา คืนนี้แน่นอนว่าไม่อาจชนะมัน แต่กระบี่นี้สำหรับมันแล้วคือการทดสอบอย่างแท้จริง มันคิดทำลายกระบี่นี้ให้ได้โดยสมบูรณ์เพื่อให้คนผู้นี้ได้รับความเจ็บปวดและอัปยศ
เหิงมู่ลี่เหรินตวาดเสียงห้วน ลำแสงสีขาวมากมายมหาศาลแผ่ออกจากสองมือมัน คมดาบตอบรับเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ เดินหน้าไปอย่างดุดัน
สภาวะกระบี่ที่เหมือนสายลมกระนั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็จะทำลายสายลมให้แหลกลาญ
หนึ่งดาบปะทะลม!
เงียบสงบไปทั่วบริเวณ
สายลมถูกทำลายย่อมไร้เสียง
ต้นหลิวมากมายริมคูน้ำหักโค่นโดยไร้เสียง ร่วงลงคูน้ำแล้วลอยไปอย่างไร้เรี่ยวแรงราวจอกแหน
ผ้าขาวที่ปิดตาหลิ่วอี้ชิงถูกฟันขาด ลอยลงมาหยุดที่ใบหน้ามัน
หน้าอกมันมีกระบี่ซึ่งก็คือมือขวาของมันปักอยู่ เลือดไหลออกมาไม่หยุด
ร่างมันเต็มไปด้วยบาดแผล ส่วนใหญ่คือบาดแผลจากสภาวะดาบของเหิงมู่ลี่เหริน แต่บาดแผลที่ทำให้ถึงฆาตจริงๆ คือแผลจากกระบี่ของมันเอง
“เพราะเหตุใด”
เหิงมู่ลี่เหรินถามมันด้วยใบหน้าขาวซีด
“เพราะเหตุใดกระบี่สุดท้ายนี้จึงไม่แทงข้า”
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่คู่ควร”
มันพูดพลางไอเป็นเลือด ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ยิ้มอย่างดูแคลน
ยิ้มอย่างสงสาร
เหิงมู่ลี่เหรินแผดเสียงอย่างขุ่นเคือง
“เหตุใดข้าไม่คู่ควร!”
“คำพูดเดิมข้าคงไม่เอ่ยซ้ำ”
เหิงมู่ลี่เหรินเงียบไป
หลิ่วอี้ชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“เจ้าทุกข์ใจมากใช่ไหมที่ไม่อาจฆ่าข้า”
คืนนี้ยอดฝีมือของอาศรมเทพมากันมากมาย มันคนเดียวมาร่วมงาน รู้ว่าไม่มีทางรอด แต่มันยังคงมา เพราะหนานจิ้นที่ยิ่งใหญ่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนแสดงจุดยืน
มันรู้ดีถึงเจตนาของอาศรมเทพที่จัดเตรียมการต่อสู้ครั้งนี้ นี่คืองานสังสรรค์ครั้งใหญ่ หน้าวังหลวงของหนานจิ้นคือเวทีให้นิกายเต๋าแสดงพลังให้คนทั้งโลกเห็น
มันเดินขึ้นเวทีแห่งนี้ ไม่ได้เตรียมที่จะมาเป็นตัวประกอบ
มันสังหารจักรพรรดิหนานจิ้นเป็นอันดับแรก จากนั้นฆ่าตัวตาย เช่นนี้ย่อมไม่มีใครฆ่ามันได้อีก
บนเวทีนี้เหิงมู่ลี่เหรินทำสิ่งใดไม่สำเร็จเลย เช่นนี้ย่อมไม่มีคุณสมบัติเป็นตัวเอก
มันคือหลิ่วอี้ชิงผู้ที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ เช่นนั้นในวาระสุดท้ายของชีวิตมันก็ต้องเฉิดฉายบนเวที นี่คือกระบี่สุดท้ายที่มันแทงอาศรมเทพ
เงาร่างเหิงมู่ลี่เหรินดูโดดเดี่ยว
เดิมทีคืนนี้ควรเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของการเป็นยอดฝีมือของมัน ทว่ามันไหนเลยคาดคิดว่าที่แท้บทสรุปได้ถูกเขียนไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว อีกทั้งไม่เกี่ยวข้องกับมันแต่อย่างใด
บัดนี้มันพลันเข้าใจว่าตอนที่ออกจากเขาเถาซานเหตุใดเจ้าอารามจึงพูดแบบนั้น และเข้าใจด้วยว่าเหตุใดเจ้าอารามจึงให้เจ้าคนที่อยู่ในความมืดตามติดตนอยู่ตลอด
เส้นทางของการเป็นยอดฝีมือที่แท้ยากลำบากเช่นนี้เอง
มันคับแค้นใจจริงๆ
เหิงมู่ลี่เหรินก้มหน้า ดอกไม้สีทองไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว มันยืนโดดเดี่ยวอยู่ในความมืดเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง อารมณ์ในน้ำเสียงยังคงดื้อดึงไม่ยอมแพ้
“ไม่ว่ากระบี่แรกหรือกระบี่สุดท้ายนี้เจ้าล้วนทำอะไรข้าไม่ได้! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าจึงไม่กล้าแทงกระบี่ใส่ข้า! จงอย่าได้หวังว่าคำพูดพรรค์นี้จะก่อกวนมรรคจิตของข้าได้!”
หลิ่วอี้ชิงไอเป็นเลือดไม่หยุด หน้าซีดราวหิมะแต่ยังฉายแววสงสารที่ความมืดกลบไม่มิด
“ข้าจะตายอยู่แล้ว ตอนแรกข้าไม่แทงกระบี่ใส่เจ้า ต่อมาก็ไม่แทงกระบี่ใส่เจ้าอีก ดังนั้นจากนี้ไปย่อมไม่มีใครรู้คำตอบ เจ้าก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้ารับกระบี่ของข้าได้หรือไม่ บนเส้นทางแห่งการฝึกฌานต่อจากนี้เจ้าอาจผงาดขึ้นเป็นสุดยอดฝีมือในโลกมนุษย์ แต่เรื่องน่าเสียดายในคืนนี้จะติดตามเจ้าไปตลอด”
กำแพงวังหลวงพังทลายแล้ว ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเศษอิฐเศษหิน น้ำในคูน้ำสงบนิ่งแล้ว กิ่งหลิวที่ถูกตัดขาดร่วงหล่นจมลงไปใต้น้ำช้าๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดจู่ๆ ก็มีดอกไม้บาน
ดอกไม้ดอกนี้ราวกับว่าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด ไม่มีสีอ่อนจางและไม่มีขอบสีทองอันงามระยับ มีเพียงสีดำสนิท กลีบดอกหนาแน่นจนไม่อาจนับได้ถ้วนทั่ว แต่พอแยกได้ว่ามันคือดอกท้อ
ดอกท้อสีดำปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด คนผู้นั้นก็เดินออกมาจากความมืดเช่นกัน หน้ากากสีเงินบนใบหน้าผ่านลมผ่านฝนมาหลายปีจึงไม่วาววับแล้ว เหมือนของเก่าที่ปิดบังใบหน้าอันเลอะเลือน
ดุจเดียวกับดอกท้อสีดำ คนผู้นี้ก็เคยมีสีทองคำที่โดดเด่นสะดุดตา เพียงแต่บัดนี้มันให้สีทองแก่คนอื่นไปแล้ว และเก็บสีดำสนิทไว้กับตน เสื้อผ้ามัน แววตามัน รวมถึงกระแสปราณของมันล้วนเย็นชาและหนักแน่น คล้ายน้ำหมึกใกล้แห้งในจานฝนหมึก
พอหลิ่วอี้ชิงเห็นคนผู้นี้สีหน้าพลันซับซ้อนและเคร่งขรึม แตกต่างจากตอนเผชิญหน้ากับเหิงมู่ลี่เหรินโดยสิ้นเชิง เพราะมันสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้มรรคจิตบริสุทธิ์กว่าเมื่อก่อนจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม มันอดเป็นห่วงบรรดาชาวถังในสถานศึกษามิได้
หลงชิ่งเดินออกจากความมืดมาที่หน้าวังหลวง
เหิงมู่ลี่เหรินไม่มีการตอบสนองใด ยังคงจ้องหลิ่วอี้ชิง
หลงชิ่งมองแผ่นหลังมันที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวรวมถึงชุดเขียวที่เพิ่งเปื้อนเลือด นิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนมองไปที่ดวงจันทร์ ใบหน้าฉายแววเสียดาย
คืนนี้อาศรมเทพส่งบุคคลสำคัญอย่างเหิงมู่ลี่เหริน รวมถึงยอดฝีมือด่านรู้ชะตาห้าคนซึ่งรวมเจ้าซือโส่ว และทหารม้าชุดเกราะสองพันมาเมืองหลินคัง รอบวังหลวงวางค่ายกลที่ทรงอานุภาพไว้ล่วงหน้า ทั้งยังมี…มันที่ยืนอยู่ในความมืดมาตลอด
กองกำลังระดับนี้นอกจากต้องการให้หนานจิ้นกลับสู่อ้อมกอดของเฮ่าเทียนและสังหารหลิ่วอี้ชิงคนทรยศแล้วย่อมมีเป้าหมายอื่นด้วย เช่นสังหารพวกยอดฝีมือที่จะมาช่วยศาลากระบี่
คนที่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือศาลากระบี่ต่อหน้าอำนาจของอาศรมเทพมีน้อยนัก กล่าวให้ถูกกว่านั้นคือมีแต่คนของสถานศึกษาเท่านั้นที่เป็นไปได้ และจากการวิเคราะห์ของหลงชิ่ง คนที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะปรากฏตัวที่นี่คือหนิงเชวีย
สถานศึกษายังคงต้องพิจารณาถึงกฎเกณฑ์และเหตุผล อาศรมเทพจัดเตรียมเหตุผลมากมายไว้ให้สถานศึกษา ตอนนี้สถานศึกษาไม่อาจคลี่คลายเหตุผลเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงได้แต่นิ่งเฉยมองดูอาศรมเทพกวาดล้างนิกายใหม่ และมองดูอาศรมเทพยกทัพเข้าหนานจิ้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
มีเพียงหนิงเชวียเท่านั้นที่แต่ไหนแต่ไรไม่สนใจกฎเกณฑ์และไม่ฟังเหตุผล ดังนั้นตามความเห็นของหลงชิ่ง มันจึงเป็นผู้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะปรากฏตัวในคืนนี้ เรื่องนี้ทำให้หลงชิ่งพอใจมาก ขณะเดียวกันก็เฝ้ารอ ทว่าดุจเดียวกับที่เหิงมู่ลี่เหรินผิดหวังต่อกระบี่สุดท้ายของหลิ่วอี้ชิงที่ไม่ได้แทงมาที่ตน เวลานี้มันก็ค่อนข้างผิดหวังเพราะหนิงเชวียไม่ปรากฏตัว
“สถานศึกษาคงไม่ส่งใครมา อาศรมเทพวางแนวรบใหญ่โตขนาดนี้สิ้นเปลืองจริงๆ”
มุมปากหลิ่วอี้ชิงเลือดไหล แต่เสียงพูดจากลับยังชัดเจน
หลงชิ่งมองมันพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ข้าไม่คิดว่านี่เป็นการสิ้นเปลือง เพราะข้าไม่อาจประมาทคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เจ้าที่ถูกคนมากมายประเมินความสามารถไว้ต่ำ”
หลิ่วอี้ชิงคือน้องชายของหลิ่วไป๋ ตอนยังหนุ่มไร้ชื่อเสียง ในการประลองครั้งแรกที่ออกสู่โลกภายนอกก็ถูกหนิงเชวียฟันดาบเดียวจนตาบอด และจริงดังที่หลงชิ่งพูดเมื่อครู่ ต่อมามันคนเดียวบุกเข้าวังสังหารจักรพรรดิหนานจิ้น เปิดม่านแห่งยุคใหม่ แต่ชื่อเสียงของมันยังคงไม่โด่งดังพอ ในสายตาของผู้ฝึกฌานจำนวนมากมันด้อยกว่าหนิงเชวียและหลงชิ่งมาก ยิ่งไม่มีคุณสมบัติพอให้แทนที่ตำแหน่งของหลิ่วไป๋
แต่หลงชิ่งไม่คิดเช่นนั้นเพราะมันมีประสบการณ์คล้ายคลึงกับหลิ่วอี้ชิง มันก็เคยพ่ายแพ้ให้กับหนิงเชวียและต้องทุ่มเทสิ่งต่างๆ อย่างมหาศาลจึงกลับขึ้นมาผงาดได้อีกครั้ง ส่วนหลิ่วอี้ชิงตาบอดแล้วแต่ยังถือกระบี่ก้าวเข้าด่านรู้ชะตาได้ มันรู้ว่าการมีโชคในมรรคากระบี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดไหน และรู้ว่าเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแรงกล้ามากเพียงใด
“เจ้าคือเจ้าสำนักศาลากระบี่ กระบี่ของเจ้าเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของเจ้า การไม่แทงเหิงมู่ลี่เหรินย่อมไม่ใช่เจตนาที่แท้จริง แต่เพราะเจ้าต้องการสังหารจักรพรรดิและราชนิกุลพวกนั้น”
หลงชิ่งเอ่ยกับหลิ่วอี้ชิง
“พวกคนบนกำแพงวังตายหมดแล้ว หนานจิ้นต้องโกลาหลเป็นแน่ ในเวลาอันสั้นไม่อาจกลับสู่ความสงบได้ อาศรมเทพคิดใช้ทหารและสรรพกำลังของหนานจิ้นจึงย่อมไม่สะดวก นี่คงเป็นเจตนารมณ์ของศาลากระบี่…ทำร้ายตัวเองเพื่อทำร้ายศัตรู”
ผ้าขาวบนใบหน้าหลิ่วอี้ชิงขาดแล้ว และมีเลือดหยด
“คำสรุปท่อนสุดท้ายช่างหลักแหลม แต่สิ่งที่ข้าพูดกับเหิงมู่ลี่เหรินก็เป็นความจริง หลายปีก่อนอาศรมเทพต้องการประกาศศักดาว่าเจ้าเป็นคนสำคัญ ยอดฝีมือไม่น้อยจึงต้องตายด้วยน้ำมือเจ้า บัดนี้อาศรมเทพจะส่งเสริมมัน ดังนี้แล้วเหตุใดข้าต้องส่งเสริมพวกเจ้า”
หลงชิ่งเอ่ยว่า
“นี่…คือเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจอยู่พอดี ประตูแคว้นหนานจิ้นก็เปิดแล้ว ในเมื่อไม่มีปัญญาพลิกสถานการณ์ เหตุใดเจ้าจึงไม่หนีไป เหตุใดยังต้องมาตายเพื่อชาวถัง”
“หลายปีก่อนพี่ข้าให้ข้าไปลับคมกระบี่ที่สถานศึกษา ผลคือข้าถูกหนิงเชวียทำร้ายจนตาบอด นับแต่นั้นแม้ข้าเข้าใจจิตวิญญาณแห่งกระบี่ แต่ที่จริงแล้วข้ายังไม่เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง”
“แต่เจ้าก็ยังเลือกยืนข้างสถานศึกษา”
“ไม่ใช่การเลือกของข้า เป็นการเลือกของพี่ข้า”
หลิ่วอี้ชิงส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ข้าต้องช่วยสถานศึกษา แต่ในเมื่อมันจะทำเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงทำเช่นนี้”
“ชาวถังไร้สัจจะ เจ้ายืนกรานเช่นนี้มีประโยชน์ตรงไหน”
“ประโยชน์อยู่ที่ตัวข้าเอง”
หลิ่วอี้ชิงที่สีหน้าเหนื่อยล้าเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“ข้าไม่ชอบชาวถัง ไม่ชอบสถานศึกษา ไม่ชอบอาศรมเทพ และไม่ชอบพวกเจ้าที่หลอกผู้คนให้หลงงมงาย ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ข้าต้องการช่วยสถานศึกษา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาวหนานจิ้นต้องการช่วยอาศรมเทพ
พี่ข้าตายแล้ว ชาวหนานจิ้นเห็นศาลากระบี่เป็นสุสาน ข้ามองไปข้างหน้าไม่เห็นใคร มองไปข้างหลังไม่เห็นใคร มองไปข้างๆ ไม่เห็นสหาย ข้ากลายเป็นวิญญาณที่เร่ร่อนเดียวดาย…
แต่แม้ว่าต้องเร่ร่อนเดียวดายข้าก็ทำเรื่องบางอย่างได้ ถ้ากองกำลังของต้าถังบุกมา ศิษย์ศาลากระบี่ต้องต้านทาน ซีหลิงบุกมาก็ต้องต้านทานเช่นกัน แม้ว่าสู้ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องสู้ดูก่อน”
“วิถีของการฆ่าตัวตายโง่เขลาเกินกว่าจะชื่นชม”
“ได้ยินว่าเมื่อครั้งที่เจ้าอารามบุกเข้าฉางอัน ชาวถังนับล้านดาหน้ากันเข้าหาความตาย บัดนี้อาศรมเทพบุกเข้าเมืองหลินคัง ชาวหนานจิ้นนับล้านนิ่งเฉยดูดาย ข้าคิดว่าควรมีใครสักคนแสดงท่าที…มีใครสักคนเดินเข้าหาความตาย ถึงอย่างไรก็ยังน่าดูกว่า”
หลิ่วอี้ชิงรู้สึกว่าปอดกำลังลุกไหม้ หัวใจที่แตกร้าวคล้ายเขื่อนกั้นน้ำที่พังทลาย เจ็บปวดจนหยุดเต้นไปชั่วขณะ มันแข็งใจเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“ในเมื่อต้องตายย่อมไม่อาจให้พวกเจ้าสมหวังกันง่ายดายนัก”
หลงชิ่งมองรอยเลือดที่เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บริเวณคอของหลิ่วอี้ชิง
“คนอย่างเจ้ากับข้าควรมีชีวิตอยู่เพื่อดูยุคใหม่”
ความหมายในคำพูดนี้คือ…ยุคใหม่เปิดม่านแล้ว เจ้าเป็นผู้เริ่มเปิด ข้าจะเป็นคนแสดง พวกเราควรอยู่ดูฉากต่างๆ ไปด้วยกัน เช่นนี้จึงไม่เสียทีที่ได้เกิดมา
คำพูดของหลงชิ่งเป็นการให้คุณค่าแก่หลิ่วอี้ชิงอย่างสูง แต่หลิ่วอี้ชิงได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนเพลียไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด จากนั้นมันมองเหิงมู่ลี่เหรินแล้วเอ่ยว่า
“ละครฉากนี้เพิ่งเริ่มต้น แต่บทของข้าจบลงแล้ว แม้ไม่ยินยอมอย่างไรเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ”
เหิงมู่ลี่เหรินร่างสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นจ้องตามัน
“ละครฉากนี้ยังไม่จบ เจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนมีหรือจะยอมให้คนธรรมดามาเปลี่ยนแปลง”
มันเสียงสั่น แววตาซับซ้อน มีทั้งความไม่ยินยอมและความโหดเหี้ยม เหมือนตัวมันสมัยก่อนที่ขึ้นเขาไปตัดฟืน พบเห็นจักจั่นฤดูหนาวบนต้นไม้เหี่ยวเฉาแล้วเกิดความเห็นใจ แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความสมเพชตัวเองและความโกรธ
พอพูดจบแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนที่บริสุทธิ์ก็ปล่อยจากฝ่ามือมันไปที่หน้าอกหลิ่วอี้ชิง ใบหน้ามันซูบตอบลงทันตาเห็น ขณะเดียวกันอาการบาดเจ็บของหลิ่วอี้ชิงก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วทันตาเห็นเช่นกัน
ผู้คนโดยรอบพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเสินกวนจากอาศรมเทพ เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงปราณชีวิตที่แฝงอยู่ในแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนสายนี้ก็แตกตื่นจนพูดไม่ออก
หลงชิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“เจ้ารู้ไหมว่ากำลังทำอะไร”
เหิงมู่ลี่เหรินยังคงจ้องหน้าหลิ่วอี้ชิงโดยไม่สนใจหลงชิ่ง เค้นแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนในร่างออกมาไม่หยุด แก้มมันซูบเซียวลงเรื่อยๆ แต่แววตากลับสว่างไสวขึ้น
นี่คือวิชาเทพแห่งซีหลิง
โลกแห่งการฝึกฌานในปัจจุบันไม่มีใครที่มีระดับวิชาเทพสูงกว่าเหิงมู่ลี่เหริน แม้แต่เยี่ยหงอวี๋ก็ด้อยกว่ามัน เพราะมันรับเจตนารมณ์และแสงเจิดจรัสมาจากเฮ่าเทียนโดยตรง
วิชาเทพใช้ฆ่าคนได้ ใช้ช่วยคนก็ได้ แสงเจิดจรัสในร่างมันมีกระแสปราณของเฮ่าเทียน สามารถรักษาทุกคนที่ยังไม่ตาย หลิ่วอี้ชิงใกล้ตายแต่ยังไม่ตาย
เหิงมู่ลี่เหรินไม่ยอมให้หลิ่วอี้ชิงตายไปทั้งอย่างนี้ เพื่อการนี้มันจึงทุ่มเทอย่างมหาศาล มันต้องสิ้นเปลืองแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนจำนวนมาก ทางหนึ่งเห็นได้จากใบหน้าที่ซูบตอบของมัน แต่ส่วนที่สำคัญจริงๆ คือการสูญเสียพลังชีวิตที่ไม่อาจมองเห็นจากภายนอก หนำซ้ำมันอาจบาดเจ็บสาหัสในทันทีเพราะการนี้ด้วย
ครั้งนั้นหลังจากถูกหนิงเชวียฟันจนตาบอด ตาของหลิ่วอี้ชิงก็สูญเสียประสาทสัมผัส แต่เวลานี้มันรู้สึกว่าดวงตาเกิดความร้อน คันเล็กน้อย ถึงขั้นพอจะมองเห็นสีขาวได้รางๆ
นั่นคือสีของผ้าขาวหรือว่าแสงเจิดจรัสอันบริสุทธิ์?
หลิ่วอี้ชิงยังคงสงบนิ่ง อารมณ์บนใบหน้าถึงกับดูเย็นชา มันรู้ดีว่าเหิงมู่ลี่เหรินทุ่มเทมากขนาดนี้เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ ต้องไม่ให้ตนได้อยู่อย่างสบายแน่นอน
“เปล่าประโยชน์” มันเอ่ย
ยอดฝีมือด่านรู้ชะตาผู้หนึ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เช่นนั้นก็ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งได้
เหิงมู่ลี่เหรินใบหน้ากระตุกดูน่ากลัวท่ามกลางแสงเจิดจรัส ดูแล้วเหมือนปีศาจร้ายที่บาดเจ็บสาหัส เสียงของมันคล้ายเสียงร้องไห้ ระคายหูยิ่งนัก
“พวกเจ้าคนธรรมดาไม่ต่างจากมดปลวก…ไม่รู้หรอกว่าข้ามีด่านฌานระดับใด! ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิต เจ้าก็ต้องมีชีวิต แม้เจ้าอยากตายก็ตายไม่ได้!”
“มีชีวิตแล้วอย่างไร จะทำให้เจ้ามีความสุขขึ้นหรือ”
“ต่อให้สุดท้ายเจ้าไม่ยอมสู้กับข้า ปฏิเสธที่จะให้การพ่ายแพ้พิสูจน์ว่าเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนไม่อาจฝ่าฝืน แต่ข้าจะให้เจ้าทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อให้คนทั้งโลกได้รู้ว่าหากทรยศเฮ่าเทียนแล้วจะต้องพบจุดจบเช่นไร
ข้าให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ต้องอยู่ เพราะข้าคือตัวแทนเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน!
ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิต ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าดูยุคใหม่ที่แปลกประหลาด แต่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างอัปยศ ให้เจ้าทุกข์ทรมานเหมือนถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นทุกวัน ให้เจ้าได้เห็นแคว้นหนานจิ้นแตกแยกล่มสลาย เห็นศิษย์ศาลากระบี่ตกตายต่อเนื่อง เห็นบ้านเกิดกลายเป็นเถ้าถ่าน และเห็นคนที่เจ้ารู้จักมอดม้วยมรณา ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตเพื่อให้สำนึกเสียใจที่มีชีวิต!”
เหิงมู่ลี่เหรินมองบาดแผลที่หน้าอกและบริเวณคอของหลิ่วอี้ชิงที่ค่อยๆ เล็กลงพลางเอ่ยปนหัวเราะ
“ถึงเวลานั้นเจ้าจะสำนึกเสียใจหรือไม่ที่คืนนี้ทำเรื่องเหล่านี้ ถ้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้งเจ้ายังจะไม่นอบน้อมต่อข้าเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่”
เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่สุดของอาศรมเทพเปล่งเสียงหัวเราะอย่างอวดดี พอใจสุดขีด และคลุ้มคลั่งอย่างหนัก อากาศถูกบีบอัดผ่านเส้นเสียงที่สั่นไม่หยุดของมัน เสียงแหลมเล็กเหมือนเสียงร้องของฝูงนกพิราบที่ระคายหู
ผู้คนเห็นภาพนี้และได้ยินเสียงหัวเราะแล้วต่างหนาวจับขั้วหัวใจ เสินกวนหลายคนรู้สึกว่ามรรคจิตของตนใกล้พังทลาย แม้แต่มุมปากของเจ้าซือโส่วยังเกิดเกล็ดน้ำแข็งชั้นบางๆ
วังหลวงยามราตรีเงียบสนิท มีเพียงเสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งของเหิงมู่ลี่เหรินที่ดังกังวาน กิ่งหลิวเหนือคูน้ำสั่นไหวเบาๆ ด้วยความหวาดกลัว ใบหลิวที่ร่วงลงน้ำจมเร็วยิ่งกว่าเดิม หมายลงไปหลบซ่อนใต้ดินโคลนที่ทับถมมานานนับพันปี ไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะนี้
หลิ่วอี้ชิงรู้สึกได้ว่ากระแสปราณแห่งชีวิตกลับเข้ามาในร่างอีกครั้ง พอได้ยินคำพูดและเสียงหัวเราะของเหิงมู่ลี่เหรินแล้วสีหน้าก็มิได้แปรเปลี่ยน ไม่ปรากฏความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย มีแต่ความสงบนิ่ง
มันมองหลงชิ่งพลางเอ่ยว่า
“นี่คือความหวังของอาศรมเทพ?”
หลงชิ่งนิ่งเงียบ หลิ่วอี้ชิงจึงถามซ้ำว่า
“เด็กน้อยน่าสงสารที่มีปมในวัยเด็ก?”
หลงชิ่งยังคงไม่พูดอะไร นี่คือการยอมรับโดยดุษณี
หลิ่วอี้ชิงถอนใจ
“อาศรมเทพตกต่ำลงเรื่อยๆ แล้วจริงๆ”
หลงชิ่งยังคงนิ่งเงียบ ยังคงยอมรับ มันเห็นด้วยกับหลิ่วอี้ชิง หลังพิจารณาแล้วมันก็ชูมือขวา หว่างนิ้วมีดอกท้อสีดำเบ่งบาน ในกลีบดอกแฝงด้วยปราณแห่งการดับสูญ
ในที่นั้นมีเพียงดอกท้อสีดำเท่านั้นที่หยุดยั้งวิชาเทพของเหิงมู่ลี่เหรินได้
“อย่ามาห้ามข้า!”
เหิงมู่ลี่เหรินแผดเสียงร้อง ใบหน้าซูบเซียวซีดขาวราวหิมะ
มันจ้องหน้าหลิ่วอี้ชิง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดชาวหนานจิ้นผู้นี้จึงยังสงบนิ่งเช่นนี้ได้ท่ามกลางความเป็นความตายและการโจมตีทางจิตใจมากมาย มันไม่เข้าใจยิ่งกว่าว่าเพราะเหตุใดในเวลานี้มันยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเวทนาที่อีกฝ่ายมีต่อตน คนพวกนี้เวทนาตนเพราะเหตุใด
หลงชิ่งเอ่ยว่า
“นิกายเต๋าต้องการให้เจ้าแผ่แสงเจิดจรัส ไม่ใช่ให้เป็นบ้า”
เหิงมู่ลี่เหรินหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
“แต่เวลานี้ข้ารู้สึกดี ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่ามีเพียงคนบ้าอย่างแท้จริงเช่นท่านเท่านั้นจึงแข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง”
ดอกท้อสีดำที่หว่างนิ้วหลงชิ่งสั่นไหวตามสายลม
“อย่าห้ามข้า”
เหิงมู่ลี่เหรินเอ่ย
“แม้ท่านเป็นผู้อาวุโส แต่ข้าไม่ได้เคารพยำเกรงอะไรท่านและไม่จำเป็นต้องทำด้วย ในเมื่อนี่เป็นเรื่องที่อาศรมเทพจัดเตรียมไว้ให้ข้า ท่านก็อย่าได้สอดมือ”
หลงชิ่งมองมันราวกับมองเห็นเด็กดื้อรั้นไร้เดียงสาทว่าโหดเหี้ยมกำลังเดินบนเส้นทางบนภูเขา น้ำค้างเปียกเสื้อเก่าขาดของมัน มันถือมีดตัดฟืนและคิดว่าตนเองคือดวงอาทิตย์
เสียงถอนใจดังขึ้นในใจหลงชิ่ง สุดท้ายมันก็ไม่ทำอะไร
ทันใดนั้นในความมืดก็มีเสียงถอนใจดังขึ้นจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ภูเขาและแม่น้ำของเมืองหลินคังจึงถอนใจตาม