ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 33 ตอนที่ 1
บทที่ 1 บุกเข้าวัง
แคว้นต้าเหอกับแคว้นต้าถังอยู่ไกลกันมาก แต่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ชื่นชมวัฒนธรรมของต้าถังเป็นอย่างยิ่ง นับแต่อดีตกาลแคว้นแห่งนี้ไม่รู้ส่งคณะทูตและบัณฑิตไปที่ฉางอันเป็นจำนวนมากน้อยเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง สิ่งปลูกสร้าง ประเพณี รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันล้วนแฝงกลิ่นอายของฉางอัน
เมืองจิงตูคือเมืองหลวงของแคว้นต้าเหอ นอกเมืองมีภูเขาหิมะ บ้านเรือนในเมืองส่วนใหญ่มีชายคาสีดำ มุมสวนริมแม่น้ำปลูกไม้ดอกไว้มากมาย ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเมืองล้วนยังมองเห็นวังหลวงได้ รวมกันเป็นทัศนียภาพที่สวยงามตระการตา
หญิงสาวที่นี่มีรูปร่างหน้าตาดี ใบหน้าสงบนิ่งอ่อนโยน สายตาแน่วแน่มีสมาธิ สวมกระโปรงยาวสีอ่อน ผูกสายคาดเอวทำจากผ้าสีสวย หลายคนคาดกระบี่ไม้ฝักดำเล่มยาวไว้ที่เอว
เมื่อเข้ามาในจิงตู หนิงเชวียเห็นทัศนียภาพทั้งที่แปลกหน้าและคุ้นตาก็รู้สึกเป็นกันเอง พอเจอร้านเฉินจิ่นจี้ที่ตั้งอยู่แถวประตูฉงเหวินก็ยิ่งดีใจ
“จะไปดูสักหน่อยไหม” มันหันมามองซังซังพลางเอ่ยถาม
ซังซังมองป้ายร้านเฉินจิ่นจี้คราหนึ่ง
“ตอนนี้ข้าขาวอย่างนี้ ยังต้องใช้เครื่องประทินโฉมอีกหรือ”
“ไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย อีกอย่างเจ้าอาจซื้อชาดทาปากไปบ้างก็ได้”
ซังซังคิดๆ ดู ก่อนเดินเข้าร้านไป
หนิงเชวียและเจ้าดำสบตากันคราหนึ่ง ทั้งคู่ต่างยินดีปรีดา
ร้านสาขาเฉินจิ่นจี้ที่เมืองจิงตูแคว้นต้าเหอคือร้านสาขาของเฉินจิ่นจี้แห่งฉางอันที่ใหญ่ที่สุด จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าบรรดาสาวๆ แคว้นต้าเหอนิยมชมชอบสินค้าของต้าถังมากขนาดไหน ในวันปกติคึกคักเป็นอย่างมาก บนชั้นสินค้าจะวางกล่องเครื่องประทินโฉมไว้ละลานตา แต่ร้านเฉินจิ่นจี้วันนี้ค่อนข้างเงียบเหงา
หนิงเชวียกับซังซังเดินเข้าไปในร้าน เห็นชั้นสินค้าว่างเปล่าก็แปลกใจ ดวงตารูปใบหลิวของซังซังหรี่ลง ฉายแววแห่งความพิโรธ
ถ้าเฮ่าเทียนพิโรธ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดน้ำท่วมเมืองจิงตูจนย่อยยับหรือไม่ หนิงเชวียเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปปลอบโยนนาง หลังจากถามเจ้าของร้านผู้มีสีหน้าละอายใจแล้วจึงรู้ว่าที่แท้สินค้าใหม่ช่วงฤดูสารทปีนี้ถูกวังหลวงกว้านซื้อไปหมดเมื่อไม่กี่วันก่อน สินค้าที่จะส่งมาจากฉางอันรอบใหม่อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะมาถึง
“วังหลวงต้องการเครื่องประทินโฉมมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร สตรีในวังมีมากขนาดนั้นเลยหรือ”
หนิงเชวียนึกถึงถ้อยคำในบทประพันธ์บทหนึ่งก่อนส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ
“ผิวน้ำเว่ยลอยล่องคราบมัน ด้วยน้ำชะล้างเครื่องประทินโฉม”
ซังซังจู่ๆ ก็เอ่ยต่อประโยคของมันว่า
“หกตำหนักนางในหวั่นไร้โฉมปอง”
ประโยคนี้นางเคยได้ยินมาจากหนิงเชวียในตอนเด็กๆ
หนิงเชวียไม่สบายใจเอาเสียเลย คิดในใจว่าถ้าเจ้าบุกเข้าวังด้วยความไม่พอใจจริงๆ ย่อมไม่มีใครกล้ามีความงามแน่ จึงเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า
“สองประโยคนี้เชื่อมต่อกันไม่ได้ ไม่ใช่มาจากคนเขียนคนเดียวกัน”
สตรีที่ไม่พอใจดุจเดียวกับซังซังยังมีอีกมาก สตรีชาวต้าเหอสองคนมองชั้นสินค้าที่ว่างเปล่า พอนึกถึงการแต่งหน้าในพิธีบูชาฤดูวสันต์แล้วก็เอ่ยตัดพ้ออย่างอดไม่ได้ว่า
“ไม่รู้ว่าจักรพรรดิทรงคิดอะไรอยู่จึงทรงซื้อเครื่องประทินโฉมไปจนหมดเพื่องานอภิเษกสมรส”
สตรีอีกคนที่มาด้วยกันเอ่ยว่า
“จักรพรรดิทรงกล้าสู่ขอนางจริงๆ หรือ”
“นอกจากจักรพรรดิแล้วยังมีผู้ใดมีคุณสมบัติแต่งนางเป็นภรรยาเล่า”
“แต่คนทั้งโลกต่างรู้ว่านางชอบเซียนเซิงสิบสามแห่งสถานศึกษา ต่อให้นางยอมแต่ง หรือจักรพรรดิทรงกล้าสู่ขอจริงๆ?ไม่กลัวว่าชาวถังจะไม่พอใจกระนั้นหรือ”
หนิงเชวียกับซังซังกำลังจะออกจากร้าน พอได้ยินบทสนทนาจึงหยุดเดิน
มันไม่ได้ทำอะไร ทั้งไม่ได้หันไปถาม เพียงแค่ยืนฟังอยู่เงียบๆ รู้ว่าเร็วๆ นี้เมืองจิงตูจะจัดงานมงคลครั้งใหญ่ นั่นคือโม่ซันซันกำลังจะเข้าวังไปเป็นพระอัครมเหสี
หนิงเชวียมองบรรดาดอกไม้สวยงามซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน นิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนออกจากร้านไปจูงเจ้าดำเดินออกจากเมืองจิงตู
นอกเมืองจิงตูเต็มไปด้วยบุปผานานพันธุ์ ท่ามกลางแมกไม้มีลำธารเล็กๆ อีกฟากหนึ่งของลำธารมีต้นหยางสีเขียวขึ้นสูง หนิงเชวียปล่อยเจ้าดำไปวิ่งเล่น จากนั้นจึงนั่งลงพิงต้นหยาง
สีหน้ามันสงบนิ่ง แม้ซังซังรู้ดีว่าธาตุแท้มันเป็นคนเย็นชา แต่ก็ยังรู้สึกเหนือความคาดหมาย เพราะในความทรงจำของนาง สตรีที่กำลังจะแต่งงานมีความสำคัญกับมันมาก
นางเดินไปที่หน้าต้นไม้ริมลำธาร สองมือไพล่หลังมองผิวลำธาร มองเมฆที่ไหลอยู่กับสายน้ำ
“เหตุใดเจ้าจึงไม่โมโห”
เมื่อครู่ในร้านเฉินจิ่นจี้ สตรีชาวต้าเหอสองคนเอ่ยถึงเรื่องจักรพรรดิจะสู่ขอโม่ซันซัน ยังกังวลใจว่าชาวถังจะไม่พอใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนิงเชวียที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“ตอนแรกที่ได้ฟังก็โมโหจริงๆ แต่พอเดินมาที่หมู่ไม้ดอกแล้วข้าก็คิดได้ ข้าไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโมโห เดิมทีต้นไม้เหล่านี้ก็ขึ้นอยู่ที่นี่อยู่แล้ว พวกมันไม่ใช่ของข้า”
ซังซังหันมามองมัน
“มนุษย์เสแสร้งเก่งจริงๆ”
หนิงเชวียมองใบหน้าที่ธรรมดาสามัญของนาง ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกหงุดหงิด
“เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก จึงให้ข้ามาที่นี่?”
นางคือเฮ่าเทียน ย่อมรู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่เครื่องประทินโฉมร้านเฉินจิ่นจี้ขายหมดเกลี้ยง
หนิงเชวียมองตานางพลางถามว่า
“เรื่องนี้เจ้าเป็นคนทำ?”
ซังซังตอบเสียงเรียบ
“เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้หรือ”
หนิงเชวียยอมรับว่านางพูดถูก จึงเอ่ยว่า
“ขอโทษ ข้าไม่ควรคาดเดาใส่ร้ายเจ้าเช่นนี้เลย”
“ความคิดของเจ้าไม่ได้สำคัญสำหรับข้า”
หนิงเชวียลุกขึ้นแล้วเดินไปเบื้องหน้านาง สบตานางพลางเอ่ยว่า
“แต่เจ้ารู้เรื่องนี้ เจ้าต้องการให้ข้ามาเห็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
“วัฏจักรนับครั้งไม่ถ้วนที่ผ่านมา ข้ามองดูโลกมนุษย์อยู่ที่แดนเทพ มองดูพวกเจ้าทุกข์สุขพบเจอพลัดพราก มองดูพวกเจ้าแก่งแย่งชิงดี แต่มีบางเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจตลอดมา”
“เรื่องอะไร”
“เช่นอารมณ์ความรู้สึกที่พวกเจ้าให้ความสำคัญอย่างใหญ่หลวง แต่บางครั้งกลับทิ้งขว้างดุจรองเท้าเก่าขาด”
ซังซังสองมือไพล่หลัง สายตามองทะลุป่าเขา ต้นไม้ ลำธาร และกำแพงเมืองไปจนเห็นบรรดาบุรุษสตรีในเมืองจิงตู ก่อนเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า
“เจ้าบอกว่าเจ้ารักข้า เช่นนั้นรักคืออะไร”
หนิงเชวียนิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนตอบว่า
“เรื่องบางเรื่องไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด”
“แต่ก็น่าจะมองเห็นได้ ดังนั้นข้าจึงอยากทอดทัศนาสักหน่อย”
หนิงเชวียขมวดคิ้ว
“ทอดทัศนาอะไร”
ซังซังละสายตามาสบตามันพลางเอ่ยว่า
“ทอดทัศนาว่าอะไรคือรัก”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับงานมงคลในเมืองจิงตูอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าเกี่ยว เพราะข้าอยากดูว่าเจ้ารักนางหรือไม่”
หนิงเชวียไม่รู้ควรตอบอย่างไร ได้แต่เอ่ยว่า
“แบบนี้มีประโยชน์อะไร”
“ความรักที่บันทึกไว้ในหนังสือของพวกมนุษย์ล้วนโง่เขลาและยึดติด ปฏิเสธการแทรกแซงของบุคคลที่สาม ฉะนั้นในเมื่อเจ้ารักข้า แล้วจะรักนางได้อย่างไร”
หนิงเชวียไม่รู้ควรตอบอย่างไรยิ่งกว่าเดิม จึงได้แต่นิ่งเงียบ
ซังซังอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ในหุบเหวแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นนี้แผ่ขยายมาตลอดจนถึงบัดนี้ นางอยากรู้คำตอบของเรื่องทุกเรื่องที่นางไม่เข้าใจ
นางมองมันแต่ก็เหมือนกำลังมองคู่หนุ่มสาวที่จูงมือกันเดินเล่นใต้ต้นไม้ในเมืองจิงตูด้วย ก่อนถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ความรักน่ะ…จะรักสองคนในเวลาเดียวกันได้ไหม”
สำหรับเรื่องนี้ หนิงเชวียยังคงได้แต่เงียบ ซังซังถามต่อว่า
“ความรักจะวัดจำนวนอย่างไร เจ้ารักข้า ขณะเดียวกันก็รักนาง หรือเจ้ารักข้ามากกว่านาง ในเมื่ออธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แล้วจะวัดได้อย่างไร จะมีการรักใครมากกว่าใครได้อย่างไร”
หนิงเชวียนอกจากเงียบแล้วก็ไม่อาจทำอะไรอย่างอื่นได้เลย เพราะคำถามของนางไม่มีใครตอบได้
“ข้ารู้สึกได้ว่าใจของเจ้าไม่เป็นสุข ถึงขั้นเดือดดาล ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่เข้าใจ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้โม่ซันซันแต่งงานกับบุรุษผู้นั้น แต่ตามความเห็นข้า เรื่องนี้เป็นคนละอย่างกับความรัก เพราะเจ้าไม่ได้คิดจะแต่งนางเป็นภรรยา ในเมื่อเจ้าไม่คิดแต่งนางเป็นภรรยา เพราะเหตุใดจึงไม่ยอมให้นางแต่งกับผู้อื่น เพราะเหตุใดการที่นางแต่งกับผู้อื่นจึงทำให้เจ้าผิดหวังถึงขนาดเกิดความคิดที่จะทำลาย”
ซังซังเอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“ในความเข้าใจของข้า นี่เป็นเพียงความต้องการอยากเป็นเจ้าของของสัตว์เพศผู้ที่มีต่อสัตว์เพศเมีย เป็นความปรารถนาตามสัญชาตญาณอันแรงกล้าของการขยายเผ่าพันธุ์ของตน ถ้าเป็นเช่นนี้ ความรักที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าพูดถึงจะแตกต่างจากการผสมพันธุ์ที่ตรงไหน”
นางพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์หึงหวงแม้แต่น้อย ช่างเหมือนพวกบัณฑิตตึกหน้าของสถานศึกษาที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพราะเพียงแค่อยากหาคำตอบ
หนิงเชวียถูกความสงบนิ่งของนางทำให้ไม่สบายใจ จึงถามอย่างจนใจว่า
“เจ้าอยากบอกอะไรกันแน่”
“สิ่งที่ข้าอยากบอกก็คือในเมื่อไม่มีความรัก เช่นนั้นการที่เจ้ารักข้าย่อมเป็นสิ่งจอมปลอม”
ซังซังเอ่ยอย่างสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วนางยังพูดไม่จบ…หรือการที่ข้ารักเจ้าก็เป็นสิ่งจอมปลอมด้วย
“การคิดหาข้อสรุปที่น่าเบื่อแบบนี้มีประโยชน์อะไรอย่างนั้นหรือ”
ก่อนหน้านี้มันก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจไปแล้วว่าเรื่องนี้มีประโยชน์อะไร ซังซังพลันหัวเราะออกมา ตั้งแต่ออกจากเขาเถาซานมา จำนวนครั้งที่ใบหน้านางปรากฏรอยยิ้มก็มากขึ้นเรื่อยๆ
“อาจไม่มีประโยชน์ แต่สนุกนัก”
หนิงเชวียมองนางพลางเอ่ย
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าในตอนนี้เหมือนศิษย์สถานศึกษามากกว่าข้าเสียอีก”
“ประหลาดจริง ข้าไม่รู้สึกขัดแย้งกับคำพูดนี้เลย อาจเป็นเพราะข้าเคยอยู่ที่สถานศึกษามานานก็เป็นได้”
หนิงเชวียมองเขาโม่กานเขียวขจีที่อยู่ห่างไกล นิ่งเงียบไม่พูดจา
ห่างจากเมืองจิงตูไปไม่ไกลมีภูเขาที่ชื่อว่าโม่กาน บริเวณไหล่เขามีสระน้ำแห่งหนึ่ง เล่ากันว่าสมัยที่ปรมาจารย์อักษรยังเป็นเด็ก เวลาหัดเขียนอักษรลายพู่กันมักใช้น้ำในสระแห่งนี้ล้างพู่กัน ผ่านไปไม่กี่ปีสระแห่งนี้ก็ถูกน้ำหมึกจากพู่กันย้อมจนเป็นสีดำ ดังนั้นชาวต้าเหอจึงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า‘สระสี่ปี่ (ล้างพู่กัน)’หรืออีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีกว่าคือสระโม่ฉือ (น้ำหมึก)
เรื่องเล่าถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องเล่า น้ำในสระยังคงใสสะอาด สวนโม่ฉือก่อตั้งขึ้นมานานแล้วก่อนที่ปรมาจารย์อักษรหวังซูเซิ่งจะเกิด แต่เรื่องนี้มิได้ส่งผลต่อตำแหน่งของสวนโม่ฉือในสายตาของชาวต้าเหอและโลกแห่งการฝึกฌานแต่ประการใด
วันนี้กระท่อมตรงตีนเขาของสวนโม่ฉือคึกคักเป็นพิเศษ มีโคมไฟประดับประดาอยู่ทั่ว แต่ยังไม่ถึงตอนกลางคืน โคมไฟจึงยังไม่สว่าง ทว่าแถบผ้าสีต่างๆ รวมถึงภาพอักษรลายพู่กันมากมายที่แขวนอยู่ตรงระเบียงทางเดินกลับแสดงให้เห็นว่างานมงคลใกล้มาถึงแล้ว
ผิวน้ำของสระโม่ฉือมีบัวเขียวแรกแย้มลอยอยู่ ส่ายไหวเบาๆ กลางสายลม ดูอ่อนโยนเยาว์วัย เทียนเมาหนี่ว์นั่งมองบัวเขียวพวกนั้นอยู่ริมสระ หน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าดูคับข้องใจนัก
จั๋วจือหวาเดินมาที่เบื้องหลังศิษย์น้องเล็ก ถามอย่างเป็นห่วงว่า
“คิดอะไรอยู่”
เทียนเมาหนี่ว์พอเห็นศิษย์พี่ก็ซบอกนางอย่างเศร้าใจ นิ่งเงียบอยู่นานก่อนถามว่า
“ศิษย์พี่ ท่านว่าความรักคืออะไร”
จั๋วจือหวายิ้มอย่างนึกขำ
“เพิ่งจะหมั้นหมายก็คิดไกลแล้วหรือ”
เทียนเมาหนี่ว์ขมวดคิ้วไม่พอใจ
“หรือมิใช่ควรชอบก่อนจึงค่อยหมั้นหมาย”
จั๋วจือหวาเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่”
เทียนเมาหนี่ว์มองบัวเขียวในทะเลสาบและแถบผ้าสีที่กระท่อมพลางเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย
“ข้าไม่เข้าใจ คนที่ประมุขชอบคือศิษย์พี่หนิงชัดๆ แต่เหตุใดกลับจะแต่งกับองค์จักรพรรดิ”
จั๋วจือหวาแต่งงานไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ยังมาฝึกฌานที่เขาโม่กานตามปกติ ที่บ้านสามีก็ไม่ได้ว่าอะไร บัดนี้จักรพรรดิทรงสู่ขอประมุขของพวกนาง นางย่อมเป็นคนที่งานยุ่งมากที่สุด มีเวลาว่างจึงมาพักผ่อนที่ริมทะเลสาบ พอเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของเทียนเมาหนี่ว์จึงถามด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้
ไมตรีระหว่างโม่ซันซันกับหนิงเชวียเป็นที่รู้กันโดยทั่วมานานแล้ว ทั้งเคยเป็นเรื่องที่โลกแห่งการฝึกฌานคาดหวังว่าจะได้เห็นด้วย ในความเห็นของผู้คน เซียนเซิงสิบสามแห่งสถานศึกษาและผู้งมงายอักษรคือฟ้าลิขิตให้มาคู่กันอย่างมิต้องสงสัย แต่ใครจะคิดว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็เงียบหายไปโดยไร้ข้อสรุป
พอคิดถึงตรงนี้ จั๋วจือหวาพลันรู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้ ฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า
“แต่งกับองค์จักรพรรดิไม่ดีตรงไหน ต่อไปประมุขจะเป็นพระอัครมเหสี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในวังก็ได้ ทุกๆ ปีอาจอยู่ที่ภูเขาเป็นส่วนใหญ่ เจ้ายังพบนางได้บ่อยๆ ไม่เห็นต้องเสียใจ”
เทียนเมาหนี่ว์มองนางพลางเอ่ย
“ศิษย์พี่ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้เสียใจเพราะเหตุนี้ ข้าเสียใจที่ประมุขชอบศิษย์พี่หนิงชัดๆ แต่เหตุใดศิษย์พี่หนิงจึงไม่ชอบนาง”
จั๋วจือหวาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ไม่รู้จะอธิบายเรื่องซับซ้อนพวกนี้อย่างไรให้ศิษย์น้องเข้าใจ