ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์ 1 บทที่ 21 – 30
บทที่ 21
พี่เสี่ยวฉุน…
หอหมื่นโอสถคือสถานที่ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งบนเขาเซียงอวิ๋น มีศิษย์ฝ่ายนอกเดินเข้าๆ ออกๆ กันแทบจะทุกวัน สาเหตุหนึ่งก็คือจารึกศิลาทั้งสิบหลักนั้น ส่วนอีกสาเหตุคือหอโอสถที่อยู่ตรงกลางระหว่างหลักศิลาทั้งสิบซึ่งเป็นสถานที่ที่สามารถใช้คะแนนคุณความดีแลกสมุนไพรและตำราปรุงยาได้
สถานที่แห่งนี้ยังมีการจัดทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นศิษย์โอสถและรับโอสถลูกกลอนที่ลูกศิษย์กลั่นหลอมออกมาเป็นประจำ ด้วยเหตุผลนานาประการสถานที่แห่งนี้จึงมีเสียงผู้คนดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณทุกวัน
นานวันเข้าความคึกคักของสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้มันกลายเป็นจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลของสำนักไปโดยปริยาย แรกเริ่มทุกคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านพืชหญ้า จากนั้นก็ค่อยๆ เป็นเรื่องเล็กใหญ่ต่างๆ ในสำนัก บางทีก็เป็นเรื่องซุบซิบซึ่งล้วนแพร่ออกไปจากที่นี่
ยามที่ไป๋เสี่ยวฉุนมาถึง บริเวณโดยรอบหอหมื่นโอสถก็มีศิษย์ฝ่ายนอกอยู่มากมายแล้ว หากไม่เดินเข้าเดินออกก็จับกลุ่มกันสี่ห้าคนพูดคุยเสียงเบา ด้านล่างหลักศิลาโดยรอบยังมีศิษย์อีกมากที่กำลังเข้าแถวรอการทดสอบเพื่อติดอันดับรายชื่อบนหลักจารึกศิลา
เบียดเสียดกับกลุ่มคนอยู่นาน ไป๋เสี่ยวฉุนถึงเพิ่งได้เข้ามาใกล้จารึกศิลาหลักที่สอง ขณะที่กำลังคิดจะเดินเข้าไป ด้านหน้าเขาก็มีศิษย์ฝ่ายนอกสามคนกำลังพูดคุยกันเสียงเบาคล้ายว่ากำลังพูดถึงเขาอยู่
“พวกเจ้าได้ยินหรือยัง ช่วงนี้สำนักของเราเกิดเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งขึ้น มีคนตั้งใจขโมยไก่หางวิเศษของท่านปรมาจารย์ใหญ่หลี่โดยเฉพาะ ว่ากันว่าหายไปเกือบร้อยตัวแล้ว”
“แค่ร้อยตัวที่ไหน ข้าได้ยินว่าไก่ของท่านปรมาจารย์ใหญ่หลี่โดนขโมยจนแทบจะเกลี้ยงแล้ว เจ้าโจรขโมยไก่คนนั้นถูกพวกลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่วิเศษร่วมมือกันตามจับ แถมยังทิ้งคำอาฆาตไว้ว่าจะเอาคนผู้นี้มาสับเป็นชิ้นโยนให้ไก่กิน!”
“น่าแปลกชะมัด เขาเซียงอวิ๋นของเราช่วงนี้ทำไมมีแต่เรื่องประหลาดเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ก่อนหน้านั้นมีเต่าลึกลับปรากฏตัวขึ้นมา แล้วก็มามีเจ้าโจรขโมยไก่นี่อีก!”
ไป๋เสี่ยวฉุนหัวหดโดยไม่รู้ตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ รู้สึกว่าก็แค่ขโมยไก่ไม่กี่ตัวกลับเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ดูจากสภาพการณ์คงรู้กันไปทั้งสำนักแล้ว
อีกทั้งในเวลานี้มาได้ยินว่าไก่หางวิเศษพวกนั้นดันเป็นของหลี่ชิงโหว เขาก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
“ข้าไม่ได้ขโมยมากขนาดนั้นเสียหน่อย” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้าย ขณะกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนความคิดที่ทุกคนมีต่อเจ้าโจรขโมยไก่คนนี้อย่างไรดี ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังลอยมาจากด้านหลัง
“นังหนู เบียดอะไรนักหนา จะรีบไปเกิดหรือไร!”
“ข้าเบียดแล้วจะทำไม เจ้าแน่นักหรืออย่างไร กลัวโดนเบียดก็อย่ามาที่นี่เซ่ คนอย่างข้าเบียดไปโดนเจ้า ถือเป็นบุญของเจ้าแล้ว”
“เจ้า…”
ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเสียงด้านหลังฟังคุ้นหูอยู่ไม่น้อยจึงหันหลังกลับไปมอง เห็นสาวน้อยผิวขาวนวลเนียนยืดอกเล็กๆ ขึ้น มือเท้าสะเอว ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความอวดดีกำลังยืนคุมเชิงอยู่กับชายร่างใหญ่
“โหวเสี่ยวเม่ย?” ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตา
เด็กสาวผู้นี้ก็คือโหวเสี่ยวเม่ย นางได้ยินเสียงและมองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนทันที ความอวดดีบนใบหน้าเล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงระคนดีใจ
“พี่เสี่ยวฉุน ท่านเองหรือ!” โหวเสี่ยวเม่ยบิดเอวเล็กรีบวิ่งเข้ามาหา ตัวยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กลิ่นอายความบริสุทธิ์อันร้อนแรงก็พุ่งเข้ามา
“อา ศิษย์น้องตัวน้อยผู้งดงามบริสุทธิ์*” ไป๋เสี่ยวฉุนมองสาวน้อยผู้เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและน่ารักอย่างถึงขีดสุด
“พี่เสี่ยวฉุนท่านนี่ร้ายจริง หยอกข้าเสียได้ ข้าชื่อโหวเสี่ยวเม่ยต่างหาก!” โหวเสี่ยวเม่ยได้ฟังคำพูดของไป๋เสี่ยวฉุนก็หน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย ตอบด้วยท่าทางน่ารักไร้เดียงสา
พอเป็นเช่นนี้สาวน้อยที่เดิมทั้งตัวก็แผ่รัศมีความมีชีวิตชีวาอยู่แล้วก็ยิ่งดูสดใสน่าประทับใจขึ้นอีก ศิษย์ฝ่ายนอกโดยรอบจำนวนไม่น้อยพอเห็นเข้าดวงตาก็เปล่งประกาย ส่วนชายร่างใหญ่คนนั้นกลับขนลุกขนพองไปทั้งตัว รู้สึกว่าสาวน้อยผู้นี้เปลี่ยนอารมณ์รวดเร็วเกินไป เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายผิดปกติ
“พี่เสี่ยวฉุน พี่ชายข้าลงเขาไปยังไม่กลับมา ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก อยากไปแลกเอาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมา ควรไปแลกที่ไหนหรือ” โหวเสี่ยวเม่ยรีบถาม นางมาเป็นครั้งแรกจริง ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพี่ชายนางคอยทำธุระให้ เวลานี้ยามไม่รู้จะจัดการเช่นไรก็มองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนพอดี
ไป๋เสี่ยวฉุนยิ้มและอธิบายขั้นตอนให้โหวเสี่ยวเม่ยฟัง พูดละเอียดอย่างมาก โหวเสี่ยวเม่ยพยักหน้าอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็เข้าใจหมดทุกอย่าง เมื่อมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าศิษย์พี่เสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงแต่เป็นคนดี แถมยังเข้าใจอะไรตั้งมากมายด้วย
หลังจากอธิบายจบ ไป๋เสี่ยวฉุนมองโหวเสี่ยวเม่ยหนึ่งทีก็อดไม่ไหว ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังจารึกศิลาตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง แสร้งเอ่ยปากด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
“เห็นศิลาหลักนั้นแล้วใช่หรือไม่ เจ้าสามารถทิ้งตราสัญลักษณ์ไว้บนนั้นได้ ล้วนเป็นความภาคภูมิใจของทั้งสำนัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ความสำเร็จในวันข้างหน้าก็ล้วนทำให้โลกบำเพ็ญตนสั่นสะเทือนได้”
“คนอื่นข้าไม่พูดแล้วกัน ข้าจะแนะนำอันดับที่สองให้เจ้าฟัง เจ้าดูสัญลักษณ์รูปคนโทนั่นนะ นั่นก็คือหญิงสาวผู้สร้างความภาคภูมิใจให้เขาเซียงอวิ๋นของเรา โจวซินฉี!”
“โจวซินฉี ที่แท้คนโทนี้ก็เป็นตัวแทนของสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ผู้มีพรสวรรค์ด้านพืชหญ้าที่ท่านปรมาจารย์ใหญ่รับเป็นศิษย์ คือศิษย์พี่หญิงโจวซึ่งถูกกำหนดว่าจะได้เป็นศิษย์ฝ่ายในนี่เอง!” ดวงตาของโหวเสี่ยวเม่ยเป็นประกายวาบ เงยหน้าขึ้นมองสัญลักษณ์รูปคนโทบนจารึกศิลาหลักที่หนึ่ง นัยน์ตาฉายแววชื่นชมบูชา นางเคยได้ยินโหวอวิ๋นเฟยพูดถึงโจวซินฉีจึงรู้สึกนับถือมากมานานแล้ว ในเวลานี้เมื่อได้ยินไป๋เสี่ยวฉุนแนะนำก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ไป๋เสี่ยวฉุนแสร้งทำท่าสบายอารมณ์ต่อไป เขารออยู่ตรงนั้นนานมาก แต่เมื่อพบว่าโหวเสี่ยวเม่ยยังคงมองไปยังคนโท ไม่สนใจไยดีเต่าที่ขี่คนโทอยู่แม้แต่นิดก็ให้รู้สึกขัดใจขึ้นมาโดยพลัน เขาแนะนำมากมายขนาดนี้ก็เพื่อดึงหัวข้อสนทนามาสู่เรื่องเต่าที่ดูดีตัวนั้นต่างหาก
“หึๆ โจวซินฉีผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ดังนั้นถึงได้กลายเป็นอันดับสองบนหลักศิลาตำราพืชหญ้าเล่มหนึ่ง!” เขาเน้นน้ำเสียงลงไปบนคำว่าอันดับสองเพื่อเรียกสติโหวเสี่ยวเม่ย
โหวเสี่ยวเม่ยตะลึง เมื่อตั้งใจมองอีกครั้ง คิ้วงามก็พลันขมวดเข้าหากัน
“อันดับสอง? เต่าตัวนั้นที่อยู่ด้านบนศิษย์พี่หญิงโจวคือใครกัน วาดรูปได้น่าเกลียดจริงๆ”
ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องสั่งสอนโหวเสี่ยวเม่ยผู้นี้เสียหน่อยจริงๆ ดังนั้นจึงวางท่าเคร่งขรึม เอ่ยปากด้วยคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความจริงจังและแฝงความหมายลึกซึ้ง
“เช่นนั้นเจ้าก็ผิดแล้ว เสี่ยวเม่ยเจ้ารู้หรือไม่ เต่าที่สวยงามตัวนี้คือศิษย์ผู้ลึกลับที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด อยู่เหนือใครมากที่สุดของสำนักเราตอนนี้”
“มีข่าวลือเกี่ยวกับคนผู้นี้มากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวล้วนสร้างเสียงฮือฮาให้กับสำนัก ดึงดูดทุกสายตาของเหล่าศิษย์ ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนให้ความสนใจ ผู้คนมากมายอิจฉา ทำให้คนไม่รู้ตั้งเท่าไรไชโยโห่ร้อง”
“หา?” โหวเสี่ยวเม่ยนิสัยไม่สลับซับซ้อน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จึงอึ้งไปในทันที เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เจ้ารู้หรือไม่ คนผู้นี้อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อสองเดือนก่อน ดับความปรารถนาจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของหลักศิลาทั้งเก้าของโจวซินฉีลง!”
“เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวก็สามารถคว้าเอาอันดับหนึ่งของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่งไปได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากที่โจวซินฉีเห็นเรื่องนี้กับตาตนเองก็มาท้าแข่งใหม่ที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้พักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวันเต็ม จนกระทั่งทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังคงเป็นได้แค่อันดับสอง ต้องยอมศิโรราบให้”
“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าไป๋เสี่ยวฉุน…อะแฮ่ม” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น สุดท้ายเกือบจะหลุดพูดออกมาว่าตนเองก็คือท่านเต่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น จึงรีบข่มกลั้นเอาไว้ เขาตั้งใจไว้ว่าจะต้องเปิดเผยตัวตนภายใต้สายตาผู้คนมากมาย ไม่ใช่ต่อหน้าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เช่นนี้จะสิ้นเปลืองอารมณ์ฮึกเหิมเสียเปล่า
“จริงหรือ” ดวงตาทั้งคู่ของโหวเสี่ยวเม่ยเปล่งประกายสุกใสดั่งดาวดวงเล็กๆ ยามค่ำคืน มองไปยังเต่าน้อยตัวนั้นอย่างเลื่อมใสศรัทธา ใบหน้าเล็กๆ แดงปลั่ง
“จริงแน่นอนอยู่แล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจอยู่ภายใน เขารู้สึกว่าตนได้ทำเรื่องดี ซึ่งก็คือการชักนำเด็กน้อยที่หลงผิดให้กลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้สำเร็จ จึงรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก ในเวลานี้จึงสะบัดแขนเสื้อ ไม่สนใจโหวเสี่ยวเม่ยที่ตกอยู่ในภวังค์ศรัทธาอีกต่อไป เดินไปทางจารึกศิลาหลักที่สอง
เบียดเสียดผ่านผู้คน รออยู่สักพักห้องไม้ห้องหนึ่งถึงได้ว่างลง ไป๋เสี่ยวฉุนก้าวยาวๆ เหยียบย่างเข้าไปและหายลับไป
ห้องไม้สภาพเหมือนเก่าก่อน ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งอยู่หน้าป้ายศิลา หลังจากวาดรูปเต่าตัวนั้นลงไปอีกครั้ง ภาพด้านหน้าก็พร่าเลือน เมื่อหูได้ยินเสียงดังลั่นก็มาปรากฏตัวอยู่ในเขตแดนลวงตาอันคุ้นตา คราวนี้ไม่มีน้ำเสียงเย็นเยียบลอยดังมา มีแต่เศษพืชหญ้ามากมายจนแทบจะเกินนับได้ปรากฏพรวดออกมาโดยตรง
ไป๋เสี่ยวฉุนมีความมั่นใจ นัยน์ตาเผยประกายเฉียบคม มือทั้งสองตวัดรัวเร็ว พริบตาเดียวสมุนไพรแต่ละต้นก็ประกอบเข้ากันอย่างสมบูรณ์
เวลาเคลื่อนผ่านจนครบหนึ่งก้านธูป เศษชิ้นส่วนที่อยู่ต่อหน้าไป๋เสี่ยวฉุนเหลือเพียงไม่ถึงห้าพันชิ้น ผลลัพธ์นี้ดีกว่าตอนทดสอบพืชหญ้าเล่มแรกอยู่ไม่น้อย
น่าเสียดายที่เวลาหมดลงแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนดวงตาพร่าเลือน เมื่อมองเห็นชัดอีกครั้งก็กลับเข้ามาอยู่ในห้องไม้แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็มั่นใจเต็มที่ หยิบตำราพืชหญ้าเล่มสามที่แลกมาได้ขึ้นมา ในใจตื่นเต้นรุนแรงด้วยความคาดหวัง หมุนตัวผลักประตูใหญ่ของกระท่อมออกไป
มองลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนด้านนอก ในเวลานี้ยังไม่มีคนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันดับรายชื่อเท่าไรนัก ความอาจหาญในใจไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่มพูนขึ้นมา
“ครั้งนี้ข้าจะทำให้ทั้งสำนักสั่นสะเทือน ให้ทุกคนได้รู้ว่าข้าไป๋เสี่ยวฉุนก็คือท่านเต่าผู้ยิ่งใหญ่!” ไป๋เสี่ยวฉุนถึงขั้นมีภาพตนเองถูกคนนับหมื่นให้ความเคารพนับถือหรือแม้แต่โหวเสี่ยวเม่ยก็ยังตกตะลึงลอยขึ้นมาในสมอง
นึกมาถึงตรงนี้ไป๋เสี่ยวฉุนก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ เขายกมือขวาขึ้นมาอย่างลำพอง กำลังคิดจะตะโกนเสียงดัง เป็นฝ่ายปลุกระดมให้ทุกคนรู้ว่าตนคือท่านเต่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น…
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากศิษย์ฝ่ายนอกที่กำลังเข้าแถวเพื่อทำการทดสอบอยู่ข้างเขา
“พวกเจ้าว่าเจ้าเต่าน้อยที่แย่งอันดับหนึ่งของศิษย์พี่หญิงโจวจะยังกล้าปรากฏตัวอีกหรือไม่”
“คงไม่กล้าแล้วกระมัง พวกคนที่ชื่นชมศิษย์พี่หญิงโจวพวกนั้นแต่ละคนแทบบ้ากันไปเลย ว่ากันว่ากำลังตามหาเจ้าเต่าน้อยตัวนั้นไปทั่วฝั่งทิศใต้ แถมยังทิ้งคำพูดไว้ว่าหากเจอตัวเมื่อไรจะแล่เนื้อออกจากกระดูกทีละชิ้นให้ตายทั้งเป็นเชียว…”
“ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน แถมยังมีศิษย์ฝ่ายในเข้าร่วมด้วยนะ”
มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งจะยกขึ้น หลังจากได้ยินคำสนทนาเหล่านี้เขาก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าศิษย์ฝ่ายในก็ร่วมตามหาตนด้วย เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก รีบเอามือขวามาเกาศีรษะ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเอามือลงอย่างรวดเร็ว
ในใจขุ่นเคือง หน้านิ่วคิ้วขมวด ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้มพลางมุดเข้าไปในกลุ่มคน
“เกินไปแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ได้อันดับหนึ่งไม่ใช่หรือ ศิษย์ฝ่ายในถึงขั้นพากันเคลื่อนพล มันสมควรแล้วหรือไร” คราวนี้เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ไม่ได้แสร้งทำเลยแม้แต่นิด
เพิ่งจะเดินเข้าไปในกลุ่มคน ก็มีผู้ค้นพบการเปลี่ยนแปลงของจารึกศิลาหลักที่สอง ไม่นานเสียงฮือฮาอย่างไม่อยากเชื่อก็ดังสนั่นขึ้นมา
บทที่ 22
ศิษย์พี่หญิงโปรดวางใจ!
“พวกเจ้าดูหลักศิลาที่สองสิ เต่าน้อย…ปรากฏตัวอีกแล้ว!”
“และยังอยู่อันดับหนึ่งอีกครั้ง เจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใครกันแน่ อยู่อันดับหนึ่งติดต่อกันมาสองหลักศิลาแล้ว!”
“ศิษย์พี่หญิงโจวรักษาอันดับหนึ่งทั้งแปดหลักศิลาไม่ได้ กลายเป็นอันดับหนึ่งเจ็ดหลักศิลาแล้ว!”
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบทิศฮือฮากันขึ้นมาทันที เสียงแห่งความตกตะลึงอันประมาณมิได้ดังไปทั่ว อีกทั้งท่ามกลางฝูงชนยังมีเสียงของสาวน้อยที่มีพลังในการทะลุทะลวงมากกำลังไชโยโห่ร้องอีกด้วย
“เจ้าเต่าน้อยสู้ๆ!” สาวน้อยผู้นั้นก็คือโหวเสี่ยวเม่ย ก่อนหน้านี้นางถูกไป๋เสี่ยวฉุนชักจูงจนเริ่มเลื่อมใสเจ้าเต่าน้อยแล้ว ในเวลานี้จู่ๆ ได้เห็นเจ้าเต่าน้อยขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของหลักศิลาที่สอง ความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาจึงเพิ่มพรวดขึ้นมาทันใด และอยู่เหนือตำแหน่งโจวซินฉีในใจนางไปแล้ว
เสียงฮือฮาดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนท้ายที่สุดทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนส่งเสียงตะลึงอื้ออึง เพราะเจ้าเต่าน้อยตัวนี้มีชื่อเสียงมากเกินไป ในเวลานี้ก็ยิ่งใช้การกระทำมาบอกทุกคนว่าเขามีคุณสมบัติท้าแข่งกับโจวซินฉีต่อ
มีบางคนถึงขั้นเริ่มรอคอยแล้วว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ บนหลักศิลาทั้งสิบเจ้าเต่าน้อยจะสามารถอยู่เหนือโจวซินฉีได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่
ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน ถึงแม้ว่าความกลัดกลุ้มก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ แต่ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเงียบๆ ก็เพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่เสียดายนิดหน่อยที่ผู้อื่นไม่รู้ตัวตนของตน
หึ ต้องมีสักวันหนึ่ง ข้าจะอยู่ในที่ที่มีสายตาผู้คนมากกว่านี้นับพันนับหมื่น ให้ทุกคนรู้ว่าข้าก็คือท่านเต่า! ไป๋เสี่ยวฉุนสาบานกับตัวเองอยู่ในใจ
หลังจากเอ่ยคำสาบานแล้วเขาก็ยังไม่พอใจ ดังนั้นจึงเข้าร่วมโห่ร้องไปกับกลุ่มคนด้วย สามารถได้ยินเสียงแหลมเล็กของเขาชักนำฝูงชนรอบทิศให้ฮือฮาอยู่ตลอดเวลา
“สวรรค์ เขาเป็นใคร นี่ข้าเริ่มนับถือเขาแล้วนะเนี่ย!”
“บุคคลตัวอย่างของผู้คนนับหมื่น ท่านเต่าไร้พ่าย!”
ภายใต้เสียงร้องตะเบ็งเต็มที่ของไป๋เสี่ยวฉุน การวิพากษ์วิจารณ์ของศิษย์ฝ่ายนอกรอบทิศก็ค่อยๆ ดุเดือดขึ้นมา มองเห็นคลื่นลูกแล้วลูกเล่าถูกปลุกระดมขึ้น แต่ในเวลานี้เสียงหึอย่างเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังออกมา จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็กระโดดพรวดออกมาจากฝูงชนขึ้นมายืนอยู่บนกระท่อม
“อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเจ้าเต่าน้อยสมควรตายผู้นี้คือใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่มาแย่งตำแหน่งอันดับหนึ่งของศิษย์น้องหญิงโจว!” ผู้พูดคือชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาคนหนึ่ง น้ำเสียงเย็นเยียบดังสะท้อนไปทั่วทิศ
“ถูกต้อง เจ้าเต่าน้อยผู้นี้ตอนนี้น่าจะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน ข้าจะหาเจ้าจนเจอ!” อีกเสียงหนึ่งดังลอยมา เป็นชายหนุ่มอีกคนซึ่งขึ้นไปยืนบนกระท่อมเช่นกัน เขามองฝูงชนด้วยสายตาเย็นชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่ไป๋เสี่ยวฉุนยืนอยู่ ก่อนหน้านี้เสียงแหลมเล็กของเขาดังชัดเจนมาก เมื่อชายคนนี้มองมายังไป๋เสี่ยวฉุน ถึงแม้จะไม่คิดว่าไป๋เสี่ยวฉุนคือเจ้าเต่าน้อย แต่ก็ยังคงประสงค์ร้ายอยู่ดี
ไม่นานเงาร่างเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นไม่หยุดมากถึงเจ็ดแปดร่าง อีกทั้งแต่ละคนก็ล้วนมีพลังจากการฝึกฝนวิชาแผ่ออกมาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นท่าทางจะมีพลังถึงขั้นที่เจ็ดของการหลอมปราณ
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้โดดเด่นในกลุ่มคนที่เทิดทูนโจวซินฉี การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้ฝูงชนรอบทิศไม่วิพากษ์วิจารณ์กันต่ออีกและค่อยๆ เงียบเสียงลง เพียงแต่ในใจไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ขณะมองไปยังคนเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้น
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะสนับสนุนโจวซินฉี แต่ก็เพียงแค่โจวซินฉีคนเดียวเท่านั้น อีกอย่างในใจแต่ละคนล้วนเข้าใจดีว่าการที่ใช้ความสามารถของตนเองท้าแข่งกับโจวซินฉีเช่นนี้เป็นเรื่องน่านับถือจากใจจริง
ไป๋เสี่ยวฉุนถูกอีกฝ่ายจ้องเขม็งเช่นนี้ แม้ในใจจะหวาดกลัว แต่รอบทิศมีคนตั้งมากมาย เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้ากระตุกต่อมน้ำโหของฝูงชน จึงเงยหน้ามองชายผู้นั้น แสดงท่าทางทำนองหากเจ้ากล้ามาตีข้า ข้าก็จะสู้ตายกับเจ้า
และขณะที่บรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้กลายเป็นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันนั้นก็มีสายรุ้งเส้นยาวหนึ่งเส้นเหินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ด้านในสายรุ้งบนแพรต่วนสีฟ้ามีเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่งซึ่งก็คือโจวซินฉี
“ศิษย์พี่หญิงโจว”
“ศิษย์พี่หญิงโจวมาแล้ว” ภาวะที่ต่างฝ่ายต่างไม่อ่อนข้อให้กันถูกทำลายลงทันที หลังจากศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้นมองเห็นโจวซินฉีก็เผยรอยยิ้มโดยพลัน
ส่วนชายหนุ่มเจ็ดแปดคนที่เลื่อมใสนางเหล่านั้นก็ล้วนเก็บอาการตนเอง แต่ละคนพากันเผยสีหน้าที่คิดว่าสง่างามที่สุดออกมา หันไปประสานมือคารวะโจวซินฉี
การมาถึงของโจวซินฉีในครั้งนี้ หนึ่งเพราะได้ยินเรื่องอันดับรายชื่อของจารึกศิลาหลักที่สอง สองคือมีธุระอื่น ในเวลานี้หลังจากที่เข้ามาใกล้ มองแวบเดียวก็เห็นสภาวะแข็งขืนต่อกันเมื่อครู่ นางกวาดดวงตาคู่งามมองครั้งหนึ่งก็เดาสาเหตุได้ เมื่อมองไปยังผู้ชื่นชมตนเองเจ็ดแปดคนนั้น แววตาก็เผยความไม่พอใจรวมถึงเอือมระอา
“เรื่องของข้าโจวซินฉี ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาออกหน้าให้ อีกอย่างเขาเซียงอวิ๋นมีลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจปรากฏตัวขึ้นมา สำหรับสำนักแล้วนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี หากคราวหน้าพวกท่านยังทำเช่นนี้อีกก็อย่ามาโทษว่าศิษย์น้องอย่างข้าไม่ไว้หน้า” โจวซินฉีเอ่ยอย่างเย็นชา น้ำเสียงประหนึ่งดาบแหลมคม ทำให้ผู้เลื่อมใสนางเจ็ดแปดคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี พากันคับแค้นใจ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร
“อันดับหนึ่งของหลักศิลาตำราพืชหญ้าเล่มหนึ่งและสอง ศิษย์น้องผู้นี้ที่ทำได้เหนือข้า บางทีเจ้าอาจจะอยู่ในกลุ่มคน แต่ในเมื่อไม่ยอมเผยตัว เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” โจวซินฉีเงยหน้ามองไปยังเต่าน้อยที่อยู่บนหลักจารึกศิลาที่สอง เก็บกลั้นความรู้สึกไม่ยอมแพ้ในใจเอาไว้ กวาดสายตาไปยังฝูงชน ขณะเอ่ยเนิบนาบด้วยถ้อยคำซึ่งแฝงความลำพองตนเอาไว้
ศิษย์ฝ่ายนอกรอบทิศที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ยิ่งส่งเสียงไชโยให้กับโจวซินฉีมากขึ้น ทุกคนรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นโจวซินฉี ศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเขาเซียงอวิ๋นที่พวกเขาสนับสนุน
ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน แอบคิดในใจว่าไม่เสียทีที่อีกฝ่ายเป็นความภาคภูมิใจของสำนัก กล่าวประโยคนี้ได้อย่างสวยงามมาก เขากลอกตา แน่นอนว่าฟังคำลำพองของอีกฝ่ายออก ได้แต่ทอดถอนใจว่าไม่ใช่ตนไม่ยอมปรากฏตัว แต่ผู้ชื่นชอบพวกนั้นที่อยู่รอบกายนาง แววตาแต่ละคนล้วนแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
“วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง หวังว่าสหายร่วมสำนักทุกท่านจะสามารถช่วยได้” สีหน้าโจวซินฉีสงบนิ่ง มองไปยังฝูงชนพลางเอ่ยปากเนิบนาบ
เมื่อนางพูดออกมา ฝูงชนรอบด้านก็เกิดความสนใจทันที แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตั้งใจฟัง
“ช่วงนี้บนเขาเซียงอวิ๋นไม่ค่อยสงบนัก ไก่หางวิเศษของท่านอาจารย์หลี่ชิงโหวหายไปเป็นจำนวนมาก ท่านผู้อาวุโสออกไปข้างนอกยังไม่กลับมา บางทีท่านอาจไม่สนใจ แต่ข้าในฐานะที่เป็นศิษย์ แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ หวังว่าสหายทุกท่านจะร่วมมือกันช่วยข้าจับเจ้าโจรขโมยไก่ผู้นี้ หากมีใครสามารถจับโจรคนนี้ได้ ข้ายินดีมอบหยกล้ำค่าให้หนึ่งชิ้น!” ขณะที่พูด โจวซินฉีหยิบหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ หยกชิ้นนี้เปล่งแสงนุ่มนวล มองดูแล้วไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“วัตถุชิ้นนี้มีพลังในการป้องกันตัว ข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน” เสียงของโจวซินฉีสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้รีบมองมายังหยกชิ้นนั้นทันที ไม่นานแทบจะทุกคนก็เผยสีหน้าสนใจ พากันเอ่ยปากรับรอง
“ศิษย์พี่หญิงโจวโปรดวางใจ เราจะทำให้เจ้าโจรขโมยไก่คนนั้นไร้ที่ให้ซ่อนตัวแน่!”
“ขนาดไก่ของท่านปรมาจารย์ใหญ่ยังกล้าขโมย เจ้าโจรขโมยไก่ผู้นี้ขวัญกล้ายิ่งนัก พวกข้าจะจับตาดูเรื่องนี้ยิ่งขึ้นแน่นอน!” เสียงลอยมาเป็นทอดๆ ไม่นานฝูงชนล้วนเอ่ยรับปาก โดยเฉพาะผู้ที่บูชาโจวซินฉี นัยน์ตาแต่ละคนก็ยิ่งลุกโชติช่วง เสียงฮึกเหิมดังสะท้อนไปมา
ไป๋เสี่ยวฉุนยืนเซ่ออยู่ในกลุ่มคน ผู้คนที่อยู่รอบกายฮึกเหิมกันยิ่งกว่าอะไรดีจนเขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ความรู้สึกหิวโหยจากการฝึกวิชาอมตะมิวางวายทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนแค่คิดก็รู้สึกทรมานแล้ว เวลานี้หน้าผากเขามีเหงื่อผุดซึม หัวสมองหมุนติ้ว ไม่นานดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย ตบหน้าอกแรงๆ หนึ่งที เสียงมีพลังมากพอที่จะลอดทะลุไปในฝูงชน
“ศิษย์พี่หญิงโจว ข้าไป๋เสี่ยวฉุนไม่ว่าจะต้องขึ้นภูเขามีดลงกระทะน้ำมันก็จะต้องทำภารกิจที่ศิษย์พี่หญิงมอบหมายให้สำเร็จ จับตัวเจ้าโจรขโมยไก่คนนั้นมาให้ได้!” เสียงของเขาแหลมเล็ก ชัดเจนเป็นพิเศษ แถมยังเบียดออกจากกลุ่มคนมายืนอยู่ด้านหน้าสุดอีกด้วย
เขาถลาออกมาแบบนี้จึงกลายเป็นจุดรวมสายตาของฝูงชนทันที โดยเฉพาะเขาออกแรงตบลงไปบนหน้าอกเสียงดังปั้บๆ ท่าทางเช่นนั้นขนาดพวกที่บูชาโจวซินฉียังทอดถอนใจที่สู้ไม่ได้ แม้แต่โจวซินฉีเองก็ยังต้องมองมาที่เขา
เมื่อเห็นว่าศิษย์ร่วมสำนักสนับสนุนตนถึงเพียงนี้ ใบหน้าของโจวซินฉีก็เผยรอยยิ้ม พยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กนั่นลอยทับเสียงของคนอื่นออกมา
“ศิษย์พี่หญิงโจว ข้ามีข้อเสนออย่างหนึ่ง เหตุใดพวกเราไม่รวมกลุ่มเล็กๆ เพื่อตามจับหัวขโมยเล่า ร่วมมือร่วมใจกันเช่นนี้ ต้องทำให้เจ้าโจรร้ายนั่นลงมือไม่ได้ ปกป้องไก่หางวิเศษของท่านปรมาจารย์ใหญ่เราไว้ได้อย่างแน่นอน!” ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าตาจริงจัง ท่าทางราวกับว่าเพื่อทำภารกิจของศิษย์หญิงโจวแล้ว ต่อให้สูญเสียอะไรก็ไม่เสียดาย
โจวซินฉีตกตะลึง หลังจากผู้คนรอบด้านได้ยินก็มีคนไม่น้อยคิดว่าความคิดนี้ไม่เลว พากันเห็นด้วย
“ก็ดี แต่สำหรับพวกเราการบำเพ็ญตนต่างหากที่สำคัญสุด เรื่องนี้แล้วแต่ความสมัครใจแล้วกัน” โจวซินฉีพยักหน้า มองไป๋เสี่ยวฉุนอีกหนึ่งที รู้สึกว่าถึงแม้จะไม่คุ้นหน้าศิษย์น้องผู้นี้ แต่เขาขาวสะอาดสะอ้าน แค่มองก็รู้สึกเอ็นดูอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่สนับสนุนตน ดูให้ความเลื่อมใสบูชาอย่างยิ่ง นางประทับใจมากจึงยิ้มน้อยๆ ให้กับไป๋เสี่ยวฉุน
“ความคิดนี้ ในเมื่อศิษย์น้องผู้กระตือรือร้นคนนี้เป็นผู้เสนอ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนจัดกลุ่มเล็กจับขโมยแล้วกัน ที่ข้ามีผ้าแพรอยู่สิบเส้น ใช้เป็นเครื่องหมายของกลุ่มเล็กเถอะ” นางกล่าวพลางหยิบผ้าแพรสีฟ้าสิบเส้นออกมาจากถุงเก็บของ โบกมือเบาๆ หนึ่งที ผ้าแพรสิบเส้นนี้ก็ลอยมายังไป๋เสี่ยวฉุน ตกลงบนมือของเขา
“ศิษย์พี่หญิงโปรดวางใจ ข้าจัดการให้เอง!” ไป๋เสี่ยวฉุนยืดอกหน้าเชิดถือผ้าแพร ทำท่าทางราวกับว่าเพื่อไก่หางวิเศษของท่านปรมาจารย์ใหญ่แล้วจะแบกรับหน้าที่อย่างไม่ลังเล ยอมสละชีพได้อย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาทั้งคู่ของโจวซินฉีเผยแววชื่นชม ในใจแอบคิดว่าศิษย์น้องเล็กที่มีความรับผิดชอบเช่นนี้ในสำนักมีไม่มากนัก นางจดจำท่าทางน่าเอ็นดูของไป๋เสี่ยวฉุนเอาไว้ก่อนหมุนตัวจากไป
เมื่อเห็นว่าโจวซินฉีมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาแตกต่างออกไป ผู้ที่บูชาโจวซินฉีเหล่านั้นต่างไม่พอใจ แอบแค้นเคืองกับตนเองว่าเหตุใดถึงนึกความคิดดีๆ เอาใจโจวซินฉีเช่นนี้ไม่ออกบ้าง
หลังจากโจวซินฉีจากไป เหล่าศิษย์ที่เลี้ยงไก่หางวิเศษเหล่านั้นก็รีบเดินออกมาขอบคุณฝูงชน โดยเฉพาะกับไป๋เสี่ยวฉุน ไป๋เสี่ยวฉุนยืดอก ประณามโจรขโมยไก่อย่างเจ็บแสบ ท้ายที่สุดเหล่าศิษย์ที่เลี้ยงไก่แต่ละคนล้วนพากันซาบซึ้ง ภายใต้การชี้นำของไป๋เสี่ยวฉุน สุดท้ายกลุ่มจับขโมยจึงประกอบขึ้นมาด้วยศิษย์ที่ไม่มีใครมีพลังไปมากกว่าเขาแม้แต่คนเดียว
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ไป๋เสี่ยวฉุนเดินอยู่บนทางกลับเรือน เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งที
“เมื่อครู่นี้เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวก็จะตัดอาหารของข้าในวันหน้าเสียแล้ว ยังดีที่ข้าไป๋เสี่ยวฉุนฉลาดหลักแหลม หึๆ” ไป๋เสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ภาคภูมิใจขึ้นมาอีก ฮัมเพลงกลับมาถึงลานเรือน มองไผ่เหมันต์วิเศษในแปลงดินวิเศษหนึ่งที ทุกวันนี้ต้นไผ่เหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างน่ากลัวจนถึงขีดสุด ขนาดหนาพอๆ กับลำแข้งคน มองแล้วน่าตะลึงยิ่งนัก
ค่ำคืนนี้เมฆหมอกหนาแน่น รอบทิศดำมืด ไป๋เสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ เลียริมฝีปาก
“คืนเดือนดับลมพัดแรง เหมือนว่าข้าจะหิวอีกแล้ว…”
บทที่ 23
ปีศาจคลั่งขโมยไก่
กลางดึกเขาเซียงอวิ๋นถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิด ยื่นมือออกไปยังไม่เห็นนิ้วทั้งห้า มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านภูเขาน้อยใหญ่ บริเวณโดยรอบสงบเงียบราวกับว่าแม้แต่นกและสัตว์ป่าก็ยังไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
ในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนหยิบเอาผ้าแพรที่โจวซินฉีมอบให้ออกมาพันไว้บนแขน รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่เขตลานเลี้ยงไก่หางวิเศษ เงาร่างนี้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่นานก็ทะลุพุ่มไม้เข้าใกล้บริเวณด้านหน้า
มองเห็นลานเลี้ยงไก่หางวิเศษที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ ได้ ไก่หางวิเศษพวกนั้นส่วนใหญ่กำลังพักผ่อน แต่ก็มีสี่ห้าตัวที่กำลังเดินเตร่ไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีไก่หางวิเศษตัวหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้
ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งคุกเข่าอยู่ในพุ่มไม้ เลียริมฝีปาก หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่จนไก่หางวิเศษตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วก็ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้รั้วกั้น ขณะกำลังจะหยิบกับดักไม้ไผ่ออกมา ทันใดนั้นประสาทสัมผัสเขาก็กระตุก นัยน์ตาเผยแววระวังภัย
ในเวลาเดียวกันนี้ จู่ๆ เสียงคำรามต่ำก็ดังมาจากจุดไม่ไกลจากด้านหลังเขาเท่าไรนัก เงาร่างแต่ละร่างพุ่งออกมาภายในพริบตา ทั้งยังมีลูกไฟแยงตาอีกหลายลูกปรากฏออกมา ส่องสว่างไปทั่วทิศท่ามกลางความมืดยามราตรี
“เจ้าโจรขโมยไก่สารเลว ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว!”
“ข้ารออยู่ตรงนี้มาหลายวัน วางตาข่ายฟ้าดินเอาไว้ ดูสิเจ้ายังจะหนีไปได้อย่างไร!” เสียงตะโกนดังก้อง เงาร่างเจ็ดแปดร่างบุกพุ่งเข้ามาล้อมไป๋เสี่ยวฉุนเอาไว้ในพริบตา
คนเจ็ดแปดคนนี้ก็คือเหล่าศิษย์ที่เลี้ยงไก่ พวกเขาลำบากรอคอยอยู่หลายวัน ไม่นึกว่าวันนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ แต่ละคนล้วนเตรียมพร้อมเต็มที่ กะว่าจะต้องสำเร็จโทษเจ้าโจรขโมยไก่ที่นี่ให้ได้
แต่ในพริบตาที่พวกเขาเอ่ยคำพูดออกไปและเคลื่อนร่างเข้ามาใกล้นั้น ไป๋เสี่ยวฉุนตกใจก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็กลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็ทำเสียงหึเย็นๆ หนึ่งที
“หุบปาก พวกเจ้าเบาเสียงกันหน่อย!” เขาไม่เกรงใจแม้แต่นิด พูดจาอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีการหลบซ่อนตัว ลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ จงใจแสดงผ้าแพรบนแขนให้เห็น
ภาพเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ทำให้เจ็ดแปดคนที่บุกเข้ามาพากันอึ้งไปหมด
“พวกเจ้าดูให้ดี ข้าคือหัวหน้ากลุ่มจับขโมย” ไป๋เสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว มองคนเจ็ดแปดคนตรงหน้า ใบหน้าเผยความไม่พอใจ
ศิษย์เจ็ดแปดคนนี้มีบางคนที่เคยเห็นหน้าไป๋เสี่ยวฉุนเมื่อตอนกลางวัน ในเวลานี้พอมองประเมินอย่างละเอียดจึงเกิดความลังเลโดยพลัน
“ศิษย์น้องไป๋นี่เอง…ดึกดื่นขนาดนี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน” ศิษย์คนหนึ่งในกลุ่มคนเจ็ดแปดคนเผยความสงสัย จ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็งขณะเอ่ยปากถาม พอเขาถามเช่นนี้ คนอื่นๆ เองก็มองไป๋เสี่ยวฉุนอย่างหวาดระแวงเช่นกัน
“ในเมื่อศิษย์พี่หญิงโจวให้ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มจับขโมย ข้าผู้แซ่ไป๋ก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจับโจรขโมยไก่ให้ได้ จึงยอมละทิ้งการบำเพ็ญตนมาเฝ้าอยู่ที่นี่จนดึกดื่น แต่ถูกพวกเจ้าตะโกนเสียงดังแบบนี้ เกรงว่าโจรขโมยไก่ตัวจริงคงตกใจจนหนีไปแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว แสดงท่าทางว่าความระแวดระวังเตรียมจับโจรถูกทำลายไปหมด สะบัดชายแขนเสื้อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
ศิษย์ที่เลี้ยงไก่แต่ละคนมองหน้ากัน คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน ความระแวงในแววตาลูกศิษย์คนแรกที่สงสัยไป๋เสี่ยวฉุนเมื่อครู่ก็ลดลงไปหลายส่วน ทว่ายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หมดความระแวง ไป๋เสี่ยวฉุนก็ส่งเสียงหึเย็นชาหนึ่งที ไม่รอให้อีกฝ่ายถามต่อ เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยท่าทางเข้มงวดกวดขัน
“มิน่าเล่าไก่หางวิเศษของพวกเจ้าถึงได้หายไปประจำ พวกเจ้าประมาทเลินเล่อกันเกินไป พวกเจ้ามาดูตรงนี้ รั้วกั้นนี่พังหมดแล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนชี้ไปยังรั้วกั้นเบื้องหลัง ตรงนั้นชำรุดเสียหายจริง แต่ว่าความเสียหายนั้นมองเห็นไม่ชัด มันพังเพราะไก่หางวิเศษดิ้นรนขณะที่เขามาขโมยไก่ครั้งก่อน
เหล่าศิษย์ที่เลี้ยงไก่พากันมองไปยังทิศทางที่ไป๋เสี่ยวฉุนชี้ เมื่อมองอย่างละเอียดก็ล้วนเห็นความเสียหายของรั้วกั้น แต่ละคนอึ้งงัน รายละเอียดปลีกย่อยเช่นนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรจริงๆ
“แล้วก็ไก่หางวิเศษตัวนั้นอีก มันวิ่งมาทางนี้แล้ว พวกเจ้าจะรักษาไว้ได้อย่างไร!” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งไม่พอใจ เสียงดังขึ้นมาอีกเล็กน้อย ศิษย์เลี้ยงไก่เหล่านั้นได้ฟังก็เหงื่อตกกันไปตามๆ กัน “จากการสังเกตของข้า ที่นี่เป็นสถานที่ลับตาที่สุดของเขตนี้ ควรเป็นที่ที่ต้องเฝ้าระวังให้มาก แต่ข้ามาตั้งนานแล้ว พวกเจ้าเพิ่งจะปรากฏตัวกัน” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวหนึ่งที
“พวกเจ้าเป็นแบบนี้จะจับโจรได้อย่างไร จากประสบการณ์การจับโจรของข้า หากเดาไม่ผิดล่ะก็ ที่นี่ต้องเป็นที่ที่ไก่หายไปเยอะที่สุด” เมื่อเขาลั่นประโยคนี้ออกมา ใจของศิษย์ที่เลี้ยงไก่ก็สั่นวาบ มองกันและกัน ล้วนเห็นความตกตะลึงในแววตาของแต่ละฝ่าย เพราะจากที่พวกเขารับรู้ ที่นี่เป็นที่ที่ไก่หายไปมากที่สุดจริงๆ
ดังนั้นพวกเขาถึงได้มาเฝ้าที่นี่ นึกไม่ถึงว่าไป๋เสี่ยวฉุนจะพูดได้ตรงจุดในคำเดียว เมื่อทุกคนมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน ในดวงตาก็ค่อยๆ ฉายแววนับถือ
แม้แต่ศิษย์คนที่เกิดความระแวงก่อนหน้าก็ยังรู้สึกว่าตนเองไร้เหตุผลในเวลานี้ หลังจากเห็นการกระทำมีน้ำใจของไป๋เสี่ยวฉุนที่ถึงขั้นมาจับโจรให้พวกเขาโดยไม่เสียดายเวลาในการฝึกวิชา และนึกถึงความกระตือรือร้นรับภารกิจของไป๋เสี่ยวฉุนเมื่อตอนกลางวันก็รีบสูดลมหายใจเข้าติดๆ กัน กำมือประสานโค้งคำนับต่ำๆ หนึ่งที
“ก่อนหน้านี้ล่วงเกินไป ศิษย์น้องไป๋โปรดอย่าเก็บไปใส่ใจ ขอบคุณพฤติการณ์เชิดชูความเป็นธรรมของศิษย์น้องไป๋มาก พวกเราจะรีบซ่อมจุดนี้ให้เร็วที่สุด และเฝ้าระวังจุดนี้ให้มาก!”
คนอื่นๆ ก็พากันประสานมือขออภัยเช่นกัน ในใจรู้สึกว่าความกระตือรือร้นที่ไป๋เสี่ยวฉุนมีช่างหาได้ยากยิ่ง ช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง แต่ละคนจึงยิ่งขอโทษที่ก่อนหน้านั้นบุ่มบ่าม
ไป๋เสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที และหลังจากเอ่ยชี้แนะสองสามประโยคอย่างละเอียดจริงจังอีกครั้งถึงได้ก้าวสวบๆ จากไป เบื้องหลังเขาศิษย์เจ็ดแปดคนนั้นคารวะส่งอีกครั้ง เมื่อมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนก็ถูกความกระตือรือร้นของเขาทำให้ซาบซึ้งใจแล้ว
“ศิษย์น้องไป๋เป็นคนดีจริงๆ”
ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งจะเดินออกมาจากเขตนั้น ถูกลมพัดใส่หนึ่งที พบว่าเหงื่อที่แผ่นหลังตนเองเย็นเฉียบ เขาแอบโล่งอกอยู่ในใจ เมื่อครู่นี้อันตรายมากๆ แต่ว่าท้องของเขาหิวมาก ดังนั้นหลังจากคิดไปคิดมาจึงตัดสินใจว่าจะไปดูสถานที่อื่นอีกสองแห่งว่ามีโอกาสลงมือหรือไม่
ขณะเดินอยู่บนทางเส้นเล็กๆ ระหว่างภูเขา ไป๋เสี่ยวฉุนมองซ้ายมองขวาสีหน้าเคร่งขรึม ในใจครุ่นคิดว่าเมื่อไปถึงสถานที่ต่อไปจะขโมยไก่อย่างไร ผ้าแพรบนแขนของเขาปลิวสะบัดยามต้องลม ตัวคนค่อยๆ เดินจากไปไกล
เวลาเดียวกันนั้นบนท้องฟ้าที่มืดมิดมีเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นยืนอยู่บนแพรต่วนสีฟ้า กำลังก้มลงมองไปทั่วเขาเซียงอวิ๋น ฉับพลันประสาทก็กระตุก สังเกตเห็นไป๋เสี่ยวฉุนที่กำลังมองซ้ายมองขวา สายตาของหญิงสาวก็ค่อยๆ ปรากฏความชื่นชมเพิ่มมากขึ้น
“ศิษย์น้องเล็กผู้นี้เป็นคนกระตือรือร้นมีความตั้งใจรับผิดชอบอย่างแท้จริง” หญิงสาวผู้นี้แน่นอนว่าคือโจวซินฉี นางได้ตรวจสอบทุกเขตแดนแล้ว ตอนเริ่มต้นยังมองเห็นว่ามีคนออกลาดตระเวน แต่เมื่อราตรีมาเยือนทุกคนล้วนฝึกบำเพ็ญวิชาของตนเอง มีเพียงไป๋เสี่ยวฉุนเพียงคนเดียวที่ออกมาข้างนอก ตั้งใจไปจับขโมย
“มีเขาอยู่ คาดว่าเจ้าโจรขโมยไก่นั่นต้องไม่กล้ากำเริบเสิบสานแน่นอน” โจวซินฉีเก็บสายตากลับมา บินกลับที่พักด้วยความวางใจ
หนึ่งชั่วยามต่อมาไป๋เสี่ยวฉุนเดินเตร่ไปแล้วหนึ่งรอบใหญ่ เมื่อกลับมายังลานเรือนของตนเองก็ตบถุงเก็บของหนึ่งที ไก่หางวิเศษสองตัวปรากฏออกมา เขาหัวเราะฮิๆ จัดการถอนขนออกแล้วโยนเข้าไปในหม้อ กลิ่นหอมอบอวลลอยออกมาอย่างรวดเร็ว ไป๋เสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งที รอให้น้ำเดือดไม่ไหว กลืนเอื๊อกๆ เข้าไปคำใหญ่อย่างตะกละตะกลาม
สุดท้ายก็เรอออกมาหนึ่งครั้ง ตบพุงนอนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนมานี้ไป๋เสี่ยวฉุนจริงจังอย่างมาก มักจะเห็นเงาร่างอันเคร่งขรึมเข้มงวดของเขาเข้าออกลานเลี้ยงไก่แต่ละแห่งยามค่ำคืนเป็นประจำ
แต่ถึงกระนั้นไก่ก็ยังคงหายไปบ่อยๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายไปมาไร้ร่องรอย ลึกลับยากคาดเดา ศิษย์ที่เลี้ยงไก่ทั้งหลายเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า รวบรวมแรงกายแรงใจเต็มกำลัง เอ่ยคำสาบานอยู่หลายครั้งว่าจะต้องจับเจ้าโจรขโมยไก่มาให้ได้
ส่วนไป๋เสี่ยวฉุนนั้นดูจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก เฝ้าอยู่ที่เขตหนึ่งไม่ยอมไปไหนราวกับว่าหากจับโจรขโมยไก่ไม่ได้ก็จะไม่หยุดพักเด็ดขาด มีครั้งหนึ่งที่เขาถึงขั้นเฝ้าอยู่ตรงลานเลี้ยงไก่ติดต่อกันสี่วันสี่คืนเต็ม
ความกระตือรือร้นมุ่งมั่นเช่นนั้นราวกับได้ก่อร่างเป็นพลานุภาพรุนแรงอย่างหนึ่ง ทำให้เรื่องไก่ถูกขโมยดูจะเพลาลงบ้าง แต่กลับไม่เลือนหายไปอย่างเด็ดขาด ไก่หางวิเศษของเขาเซียงอวิ๋นได้หายไปแล้วเกินครึ่ง เหลืออยู่อีกไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกไก่ที่ยังโตไม่เต็มวัย
พอถึงท้ายที่สุด แม้แต่เหล่าศิษย์ที่เลี้ยงไก่เองก็ยังทอดถอนใจกับตนเอง ปลงอนิจจังกันบ่อยๆ หากศิษย์ของกลุ่มจับโจรทุกคนเป็นเหมือนศิษย์น้องไป๋ เช่นนั้นก็ต้องสามารถจับเจ้าโจรขโมยไก่ได้อย่างแน่นอน
โจวซินฉีเองก็ร้อนใจ หลังเที่ยงของวันหนึ่งไป๋เสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ลานเลี้ยงไก่ ขณะมองไปรอบด้านด้วยสายตาระวังภัย แพรต่วนสีฟ้าเส้นก็หนึ่งมาเยือน เป็นโจวซินฉีปรากฏกาย
“ศิษย์พี่หญิงโจว” หลังจากเห็นนาง ไป๋เสี่ยวฉุนก็ลุกขึ้นยืนทักทายด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
“ศิษย์น้องไป๋ลำบากแล้ว” ดวงตาคู่งามของโจวซินฉีมองมายังไป๋เสี่ยวฉุน ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ
ไม่นานศิษย์คนอื่นที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็มาถึง โอบล้อมรอบกายโจวซินฉี ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็อยู่ด้านในด้วย
“หลายวันมานี้ ขอบคุณสหายทุกท่านที่ช่วยเหลือ เรื่องนี้ซินฉีซาบซึ้งใจ แต่เจ้าโจรขโมยไก่ก็ยังคงกำเริบเสิบสาน วันต่อๆ ไปข้าคิดว่าจะร่วมปกป้องสถานที่แห่งนี้ร่วมกับพวกเจ้าด้วย” โจวซินฉีเอ่ยปากเสียงเบา หลังจากตามกลุ่มคนไปตรวจสอบพร้อมกันรอบหนึ่งแล้ว คิ้วงามของนางก็ขมวดมุ่น
“หรือเจ้าโจรขโมยไก่ผู้นี้จะมีเรื่องหมางใจกับท่านอาจารย์ คนผู้นี้ถึงไม่ไปขโมยไก่หางวิเศษของยอดเขาอื่น กลับมาจดจ้องอยู่แต่กับไก่หางวิเศษของท่านอาจารย์!”
ไป๋เสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินประโยคนี้ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย เกือบจะตบขาหนึ่งที ท่าทางประหนึ่งว่าที่อีกฝ่ายพูดมามีเหตุผลอย่างมาก ตัวเขาเองก็กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้อย่างจริงจังเช่นกัน สายตามองไปยังเขาจื่อติ่งที่อยู่ห่างออกไปอย่างอดไม่อยู่ ค่อยๆ หรี่ตาลงเล็ก ปิดบังแววตาชั่วร้ายล้ำลึก
เมื่อโจวซินฉีมาที่นี่ ไม่นานรอบด้านก็มีผู้ที่บูชานางจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้ทั้งบริเวณลานเลี้ยงไก่หางวิเศษของเขาเซียงอวิ๋นมีผู้คนล้นหลาม
เจ้าโจรขโมยไก่ดูเหมือนไม่มีที่ให้ลงมือแล้วจริงๆ ทำให้วันต่อๆ มาไก่หางวิเศษจึงไม่หายไปเลยแม้แต่ตัวเดียว
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เจ้าโจรขโมยไก่ที่ลึกลับยากคาดเดาผู้นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ถูกเรียกว่าปีศาจคลั่งขโมยไก่มานานแล้ว เป็นที่กล่าวขวัญอย่างครึกโครมถึงที่สุดในหมู่ศิษย์ ถึงขั้นถูกคนนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าเต่าน้อย กลายเป็นสองบุคคลที่ลึกลับที่สุดของเขาเซียงอวิ๋นซึ่งแม้แต่ศิษย์ฝ่ายนอกของเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งก็ยังได้รับรู้เรื่องราวด้วย
เมื่อเห็นว่าโจรขโมยไก่หายไปแล้วโจวซินฉีเองก็สบายใจ แม้ว่าจะจับเจ้าโจรขโมยไก่ไม่ได้ แต่เมื่อนางนึกถึงความจริงจังของไป๋เสี่ยวฉุนตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา สุดท้ายก็ให้คนนำหยกชิ้นนั้นมามอบให้เป็นขวัญกำลังใจ
ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงไปได้ชั่วขณะ ส่วนความมุ่งมั่นตั้งใจของไป๋เสี่ยวฉุนก็ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยจดจำภาพสหายร่วมสำนักที่ตัวขาวสะอาดสะอ้าน น่าเอ็นดู ทั้งยังมีความกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุดคนนี้เอาไว้ในใจ
บทที่ 24
เจ้าเป็นใคร
ในลานเรือนของไป๋เสี่ยวฉุน เด็กหนุ่มมองหยกในมือ เมื่อเขาโคจรพลังสะกดทางวิญญาณในร่าง หยกชิ้นนี้ก็แผ่แสงสีเขียวนุ่มนวลออกมาปกคลุมไปทั่วร่างของเขา
มือซ้ายของเขาทำมุทราแล้วชี้ กระบี่ไม้บินออกมาทันที หลังจากบินวนไปรอบกายหนึ่งรอบแล้วก็พุ่งตรงเข้ามายังไป๋เสี่ยวฉุน แต่เมื่อสัมผัสกับแสงสีเขียวก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง ราวกับจมลงไปในน้ำ
“ของวิเศษชั้นดี!” ไป๋เสี่ยวฉุนเก็บกระบี่ไม้ ถือหยกไว้ในมือ บนใบหน้าปรากฏความรู้สึกผิดเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ไม่เป็นไรๆ หลี่ชิงโหวคืออาจารย์ของโจวซินฉี แต่ก็เป็นคนพาข้ามาที่นี่เหมือนกันนี่นา ตามความสัมพันธ์แล้ว ข้าต้องเรียกเขาว่าท่านอาถึงจะถูก ข้าต่างหากที่เป็นคนกันเองกับเขา โจวซินฉีเป็นแค่ครึ่งคนกันเอง” ไป๋เสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที เก็บหยกชิ้นนี้ไว้เป็นอย่างดี ยืนบิดขี้เกียจอยู่ตรงนั้น
วิชาอมตะมิวางวายของเขานั้นหลังจากกินไก่หางวิเศษของหลี่ชิงโหวไปเกินครึ่งแล้วก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สำเร็จหนังเหล็กคงกระพันขั้นเล็กไปแล้วถึงเจ็ดส่วน ถึงอย่างไรที่ไก่หางวิเศษนี้บำรุงก็คือลมปราณของตนไม่ใช่พลังสะกดทางวิญญาณ ดังนั้นวิชาที่เขาฝึกฝนได้จึงยังคงเป็นขั้นที่สี่ของการหลอมปราณ แต่ก็ก้าวหน้าไปไม่น้อยราวกับถูกบีบอัดออกมา
ส่วนกระดูกไก่พวกนั้นล้วนถูกเขาฝังไว้ในดินวิเศษทั้งหมด ตอนนี้แปลงดินวิเศษผืนนี้จึงอัดแน่นไปด้วยพลังสะกดทางวิญญาณที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดถึงขีดสุด ไผ่เหมันต์วิเศษที่ปลูกไว้ในนั้นบัดนี้สูงสองจั้งกว่าแล้ว ตลอดทั้งต้นไม่ใช่สีเขียวชอุ่มอีกต่อไป แต่ปรากฏเป็นสีเขียวเข้ม
ยังมีหางวิเศษไฟสามสีที่สำคัญที่สุด ไป๋เสี่ยวฉุนเก็บรวบรวมเอาไว้ได้นับร้อยก้านแล้ว แค่คิดว่าหางวิเศษนี้เป็นเชื้อเพลิงที่นำมาทำไฟสามสีได้ ในใจของไป๋เสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยการรอคอย
“บำเพ็ญตนจะเร่งร้อนไม่ได้ ขอแค่มีโอสถมากพอ หลังจากข้าใช้ไฟสามสีหลอมพลังจิตสามครั้งแล้วก็จะสามารถเลื่อนขั้นได้พรวดพราด ต้องฝึกหนังเหล็กคงกระพันขั้นเล็กให้สำเร็จก่อนถึงจะมั่นคง!” ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังคิด ทันใดนั้นท้องก็หิวขึ้นมา เขามองไปยังทิศทางของลานเลี้ยงไก่เขาเซียงอวิ๋น แต่ก็รีบถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว มองไปทางเขาจื่อติ่งแทน
“ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่เขาจื่อติ่ง ไม่รู้ว่าทุกวันมีนี้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง” ไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงทุกเหตุการณ์ตอนที่อยู่ในฝ่ายครัวไฟ ความคิดถึงก็เพิ่มมากขึ้น ลุกขึ้นยืนสะบัดตัวเดินออกไปจากลานบ้าน ลงเขาตรงดิ่งไปยังเขาจื่อติ่ง
ในบรรดายอดเขาทั้งสามลูกฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีนั้น เขาชิงเฟิงฝึกวิชากระบี่เป็นหลัก เขาเซียงอวิ๋นเชี่ยวชาญการหลอมโอสถวิเศษ ส่วนเขาจื่อติ่งนี้มีชื่อเสียงในด้านคาถาอาคมรวมถึงการหลอมพลังจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานของฝั่งทิศใต้ เดิมทีก็มาจากเขาจื่อติ่ง*นี้
ไป๋เสี่ยวฉุนเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ของสำนัก เมื่อถึงยามสายัณห์ก็มาถึงด้านล่างเขาจื่อติ่ง เงยหน้ามองเขาจื่อติ่งที่มีเมฆหมอกหมุนวนเป็นเกลียว มองไปยังเงาร่างที่เป็นเหมือนจุดเล็กๆ สีดำของผู้คนทั้งหลายที่อยู่ข้างในนั้นกลายร่างเป็นสายรุ้งเส้นยาวเข้าออกกลางอากาศ ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความปลดปลง
“ไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าถึงจะควบคุมสิ่งของและบินได้บ้าง มีเพียงทำให้ได้ถึงจุดนี้เท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นฟ้าดินที่กว้างขวางกว่าเดิม ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะอย่างแท้จริง” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวฉุนเผยความคาดหวังก่อนก้าวขึ้นเขาจื่อติ่งไป
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ศิษย์ของเขาจื่อติ่ง แต่ในฐานะศิษย์ฝ่ายนอกก็มีคุณสมบัติที่จะไปมาภูเขาลูกไหนก็ได้ ขณะเดินขึ้นเขาไปตามเส้นทาง ระหว่างทางเขาพบใครก็จะสอบถามถึงที่พักของจางต้าไห่ ท่าทางน่าเอ็นดูของเขาสร้างความชมชอบได้ดี ไม่นานก็รู้ถึงตำแหน่งที่พักของจางต้าไห่ จึงรีบเดินไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้อย่างรวดเร็ว
ที่พักของจางต้าพั่งไม่เหมือนกับเรือนของเขาบนเขาเซียงอวิ๋น ตำแหน่งอยู่ทางทิศตะวันออกของยอดเขา มีพลังสะกดทางวิญญาณเข้มข้นมากอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งจำนวนเรือนก็ไม่มาก แต่ละเรือนเหมือนจุดของดวงดาว มองดูแล้วคล้ายกับแฝงไปด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง
แม้ว่าจะเป็นยามโพล้เพล้ที่แสงสว่างไม่ชัดเจน แต่ก็ยังคงมองเห็นเมฆหมอกบางๆ รอบกายได้ และที่มากกว่านั้นคือพืชวิเศษจำนวนมาก สมกับเป็นเขตแดนของเซียน
“ศิษย์พี่ใหญ่มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือนี่ถึงได้มีที่พักแบบนี้ได้ ดีกว่าของข้าเยอะเลย” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดพลังสะกดทางวิญญาณเข้าลึก รู้สึกอิจฉายิ่งนัก
เดินหาอยู่สักครู่ ในที่สุดเขาก็พบที่พักของจางต้าพั่ง เมื่อเห็นว่าในลานเรือนมีหญ้าขึ้นรกชัฏราวกับไม่มีคนจัดการดูแลมานานมากแล้ว ไป๋เสี่ยวก็ฉุนอึ้งไป เขาเคาะประตู แต่รออยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“หรือว่ามาผิดที่เสียแล้ว” ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังสงสัย ประตูใหญ่ของลานเรือนก็มีเสียงดังแอ๊ดหนึ่งที ร่างผอมแห้งที่มือถือกระบี่บินเล่มหนึ่งเดินออกมาอย่างเหนื่อยล้า แสงสีเงินบนมือซ้ายกำลังค่อยๆ หม่นแสงลง น้ำเสียงเบื่อหน่ายเล็ดลอดออกมา
“ใครกัน!” ขณะที่พูด ร่างของคนผอมแห้งนี้ก็สะท้านขึ้นมาโดยพลัน มองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนที่ถูกกั้นขวางไว้ด้วยลานเรือน ใบหน้าพลันเผยความตะลึงระคนดีใจเหมือนได้เห็นญาติตนเอง รีบรุดมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดึงประตูใหญ่ออก มองมายังไป๋เสี่ยวฉุน หัวเราะเสียงดัง
“ศิษย์น้องเก้า!”
“เจ้าเป็นใคร!” ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ถอยกรูดไปหลายก้าว มองเจ้าคนตรงหน้าที่ดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังแปลกหน้ามากอยู่ดี
คนผู้นี้หน้าตาธรรมดา ร่างกายผอมแห้ง แทบจะเรียกเป็นหนังหุ้มกระดูกอยู่แล้ว แม้ว่าแววตาจะเปี่ยมชีวิตชีวา แต่ดวงตากลับลึกโหล ร่างกายมีคลื่นพลังที่ฝึกฝนกระจายออกมา ท่าทางจะอยู่ในขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่สี่แล้ว
“จิ่วพั่ง ข้าต้าพั่งอย่างไรเล่า” เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของไป๋เสี่ยวฉุน ชายหนุ่มผอมแห้งอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก พูดไปพูดมาใบหน้าก็เผยความโกรธแค้นเสียใจรุนแรง “จิ่วพั่ง เจ้าไม่รู้หรอกว่าครึ่งปีมานี้ข้าลำบากแค่ไหน อาจารย์ของข้าโหดร้ายกับข้าเพียงใด ตอนที่เพิ่งขึ้นเขามา นางบอกว่านางไม่ชอบคนอ้วน ปล่อยให้ข้าทนหิวอยู่ตั้งครึ่งปี!”
“ครึ่งปีเชียวนะจิ่วพั่ง เจ้ารู้หรือไม่ ครึ่งปีนี้สภาพข้าเป็นเช่นไร ที่เจ้าเห็นในตอนนี้ ข้าต้องบำรุงอยู่ตั้งนานถึงจะกลับมาเป็นแบบนี้ได้” ชายหนุ่มผอมแห้งผู้นี้ก็คือจางต้าพั่ง เขาพูดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหลลงมา
ไป๋เสี่ยวฉุนมองเพ่งพินิจอยู่หลายที อีกทั้งได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ถึงได้มั่นใจว่าผู้อยู่ตรงหน้าก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของเขา ไป๋เสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือก ปากอ้าตาค้างมองคนที่แตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาโดยสิ้นเชิง
“ท่านกับอาจารย์ของท่านมีความแค้นต่อกันหรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนมองจางต้าพั่งอย่างเห็นใจ
“ยายแก่พวกนั้น ข้า…” จางต้าพั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่พูดออกมาได้ไม่กี่คำก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่กล้าพูดต่อ ดึงไป๋เสี่ยวฉุนเข้าไปในลานเรือน
“ศิษย์น้องเก้า ข้าคิดถึงฝ่ายครัวไฟเหลือเกิน ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้คนอยู่จริงๆ ตั้งแต่ข้ามาอยู่ก็ไม่เคยกินอิ่มเลยสักครั้ง ค่าน้ำร้อนน้ำชาอะไรก็ไม่มีสักนิด ข้าหิวเหลือเกิน” จางต้าพั่งโศกเศร้าเสียใจ ดึงมือไป๋เสี่ยวฉุน ระบายความทุกข์ทั้งหมดตั้งแต่ที่เริ่มขึ้นเขาจนถึงตอนนี้ออกมา
ไป๋เสี่ยวฉุนฟังความทุกข์ยากของอีกฝ่าย พลันรู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน การที่ตนเองขโมยไก่นั้นถือว่าถูกต้องแล้ว เมื่อเห็นร่างกายผอมแห้งของจางต้าพั่ง ไป๋เสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจหนึ่งที ตบไหล่ที่แห้งจนกระดูกโผล่ของจางต้าพั่ง
“ศิษย์พี่ลำบาก แน่นอนว่าศิษย์น้องต้องช่วย ท่านรอข้าหนึ่งก้านธูป” กล่าวจบ ขณะที่จางต้าพั่งกำลังอึ้ง ไป๋เสี่ยวฉุนก็หมุนตัวเดินออกไปจากลานเรือน ก่อนหน้านี้ระหว่างขึ้นเขามาได้สังเกตไว้แล้วว่าลานเลี้ยงไก่หางวิเศษบนเขาจื่อติ่งอยู่ตรงไหนบ้าง เวลานี้ฉวยโอกาสที่ฟ้ามืด เงาร่างวับหายไปอย่างรวดเร็ว
จางต้าพั่งไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่รู้ว่าไป๋เสี่ยวฉุนจะไปทำอะไร ทำได้เพียงรออยู่ที่หน้าประตู แต่ยังไม่ทันครบหนึ่งก้านธูป สองมือของไป๋เสี่ยวฉุนก็หิ้วไก่หางวิเศษมาสองตัว กลับเข้ามาอย่างเงียบกริบ
เมื่อมองเห็นไก่หางวิเศษ จางต้าพั่งพลันเบิกตากว้าง เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกไป๋เสี่ยวฉุนดึงเข้าไปในที่พัก เด็กหนุ่มไม่สนใจจางต้าพั่ง เอาหม้อออกมาด้วยความเคยชิน ต้มน้ำให้เดือด จัดการถอนขนไก่ออกแล้วโยนลงไป จากนั้นถึงได้ตบแขนเสื้อ ยกมือเท้าคางมองไปยังจางต้าพั่ง
จางต้าพั่งหายใจเข้าออกถี่กระชั้น เบิกตากว้างอ้าปากค้าง ชี้ไปยังไก่ที่อยู่ในหม้อ แล้วก็ชี้มาที่ไป๋เสี่ยวฉุน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เจ้า…เจ้า…หรือว่าเจ้าก็คือปีศาจคลั่งขโมยไก่ของเขาเซียงอวิ๋น!”
ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะคิกคัก ยกมือขวาขึ้นกดลงบนหม้อด้วยท่าทางยิ่งกว่าคุ้นเคย พลังสะกดทางวิญญาณกระจายออกมา ทำให้เนื้อไก่ในหม้อนุ่มเปื่อยได้เร็วขึ้น ไม่นานหลังจากที่กลิ่นหอมกระจายออกมาเป็นระลอก ไป๋เสี่ยวฉุนก็คว้าน่องไก่หนึ่งน่องเอามาวางไว้ตรงหน้าจางต้าพั่ง
“กิน!” ไป๋เสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างถือดี ทำท่าทางเหมือนเมื่อครั้งที่จางต้าพั่งส่งเห็ดหลิงจือมาให้ตนเองกินตอนที่เขาเพิ่งเข้าไปอยู่ฝ่ายครัวไฟใหม่ๆ
จางต้าพั่งกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก จ้องน่องไก่ตรงหน้าเขม็ง มือคว้าจับเอาเข้าปากกลืนเอื๊อกๆ อย่างตะกละตะกลาม หลังจากนั้นไม่ต้องให้ไป๋เสี่ยวฉุนพูดอะไรต่อ เขาก็โจนทะยานเข้าไปหาหม้อใหญ่ อีกนิดเดียวก็แทบจะยื่นหน้าเข้าไปแล้ว ไก่สองตัวนั้นถูกเขากินหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว แม้แต่กระดูกก็ยังเสียดายที่จะทิ้ง เคี้ยวกร้วมๆ จนละเอียดแล้วกลืนลงไป สุดท้ายแม้แต่น้ำต้มไก่ก็ซดจนหมด
จากนั้นจึงตบท้องนอนอยู่ด้านข้าง มองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม ทันทีที่สองพี่น้องสบตากันก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา
“จิ่วพั่งนี่ร้ายกาจจริงๆ ตอนอยู่ฝ่ายครัวไฟเจ้าก็มีความคิดดีๆ เยอะที่สุด นึกไม่ถึงว่าปีศาจคลั่งขโมยไก่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเขาเซียงอวิ๋นที่แท้ก็คือศิษย์น้องของข้านี่เอง” จางต้าพั่งใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี
“บำเพ็ญเพียรเดิมทีก็เป็นเรื่องที่ทวนกฎธรรมชาติอยู่แล้ว ข้าเป็นผู้บำเพ็ญตน แน่นอนว่าต้องต่อสู้กับสวรรค์ แย่งชิงกับคน พยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไก่หางวิเศษตัวเล็กๆ ถือเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมาก” ไป๋เสี่ยวฉุนโบกมือ อำพรางความภาคภูมิใจไม่อยู่ ตัวตนของเขาถูกปิดบังมานานเกินไป ในเวลานี้ได้แบ่งปันให้คนฟัง เมื่อมองเห็นสีหน้าจางต้าพั่ง ไป๋เสี่ยวฉุนจึงรู้สึกสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
“เสียดายก็แต่ไก่หางวิเศษบนเขาเซียงอวิ๋นถูกข้าจับกินจนเหลือแค่ลูกไก่แล้ว รสชาติไม่อร่อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ท่านไปอยู่กับข้าที่นั่น ข้ารับรองว่ากินอิ่มทุกวัน ต้องทำให้ท่านกลับมาอ้วนได้อีกครั้งแน่นอน” ไป๋เสี่ยวฉุนถอนหายใจ
จางต้าพั่งได้ยินมาถึงตรงนี้ ดวงตาเป็นประกายทันที รีบลุกขึ้นมา
“บนเขาจื่อติ่งมีนี่ ตะวันตก ทิศใต้ หรือว่าทิศเหนือก็มีหมด มีลูกศิษย์ผลัดกันเฝ้ายามวันละสองกะ หนึ่งกลุ่มเจ็ดคน!” จางต้าพั่งเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว อธิบายละเอียดสุดๆ ครั้นพูดจบพบว่าไป๋เสี่ยวฉุนมองตนอย่างประหลาดใจ จางต้าพั่งก็ไอแห้งๆ หนึ่งที “หลังจากได้ยินเรื่องปีศาจคลั่งขโมยไก่ ข้าเองก็คิดจะเรียนรู้เอามาใช้บ้าง แต่ไก่พวกนั้นร้ายกาจเกินไป แค่ข้าเข้าไปใกล้ก็กรีดร้อง สุดท้ายไม่เพียงแต่ทำไม่สำเร็จ ยังเกือบจะถูกจับได้ด้วย” จางต้าพั่งพูดด้วยความเหนียมอายเล็กน้อย
ไป๋เสี่ยวฉุนดีใจโดยพลัน เขยิบเข้าใกล้จางต้าพั่ง ทั้งสองคนซุบซิบเสียงเบา ดวงตาจางต้าพั่งยิ่งเป็นประกายขึ้นมา ลมหายใจถี่กระชั้น แล้วก็เห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนหยิบเอากับดักไม้ไผ่ออกมา หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองคนก็หน้าบานเป็นกระด้ง หัวเราะคิกคักขึ้นมาพร้อมกัน
เวลานี้เป็นช่วงกลางดึก เสียงหัวเราะของพวกเขาลอยออกมาจากในลานเรือน ฟังแล้วน่าหวาดผวาเป็นพิเศษ…
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ไป๋เสี่ยวฉุนก็ถือโอกาสมาพักอยู่กับจางต้าพั่งเสียเลย ไม่นานไก่หางวิเศษของเขาจื่อติ่งก็เริ่มหายไป…
ทุกครั้งที่ถึงเวลากลางดึก โจรขโมยไก่สองคนก็เข้าออกพร้อมกัน คนหนึ่งขโมย คนหนึ่งดูต้นทาง ลูกศิษย์ของเขาจื่อติ่งค่อยๆ ฮือฮา พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“ได้ยินหรือไม่ ปีศาจคลั่งขโมยไก่ของเขาเซียงอวิ๋นพุ่งเป้ามาที่เขาจื่อติ่งของเราแล้ว!”
“ข้าเห็นเองกับตาเลย ปีศาจคลั่งขโมยไก่ไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่เป็นสองคน!”
เมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงเขาเซียงอวิ๋น ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นทุกคนล้วนสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปยังเขาจื่อติ่งด้วยความเห็นใจ
“เจ้าปีศาจคลั่งขโมยไก่ผู้นี้รู้จักความสมดุลได้สักที ไม่ได้เอาแต่จ้องขโมยแค่ที่เขาเซียงอวิ๋นของเราแล้ว…”
บทที่ 25
ผิวหนังเหล็กคงกระพัน!
จนกระทั่งหนึ่งเดือนให้หลัง ข่าวลือหนาหูเกินไป เมื่อแม้แต่สวี่เม่ยเซียงผู้เป็นปรมาจารย์ใหญ่เขาจื่อติ่งหรือก็คือเหล่ายายแก่ที่จางต้าพั่งเรียกก็ยังได้ยินข่าวนั้นด้วย ไป๋เสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งจึงจำเป็นต้องล้มเลิกความคิดที่จะอยู่เขาจื่อติ่งต่อ และจากคำแนะนำของจางต้าพั่ง พวกก็เขาตัดสินไปขอความช่วยเหลือจากแม่นางเฮยซาน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปที่เขาชิงเฟิง
แม่นางเฮยซานเองก็ผอมลงไปบ้างเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะเห็นถึงทรวดทรงชัดเจนขึ้นบ้าง ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งตะลึงงันไปครู่ใหญ่ แทบจะจำไม่ได้ แม้แต่ใบหน้าที่เคยดำคล้ำ มาวันนี้ก็ยังดูมีเสน่ห์น่าพิสมัยขึ้นมาบ้างแล้ว สามารถนึกภาพได้ว่าหากสุดท้ายนางผอมลงอย่างถึงที่สุด แม่นางเฮยซานต้องเป็นหญิงงามอย่างแน่นอน
เพียงแต่เมื่อได้ยินคำว่าไก่หางวิเศษ ดวงตาของแม่นางเฮยซานก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
นับตั้งแต่นั้น ไก่หางวิเศษของเขาชิงเฟิงก็เริ่มหายไป…
มาถึงตอนนี้ชื่อเสียงเรียงนามของปีศาจคลั่งขโมยไก่ก็เลื่องลือไปทั่วทั้งฝั่งทางทิศใต้แล้ว สะเทือนเลื่อนลั่นไปแปดทิศ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกแทบไม่มีผู้ใดไม่รู้เรื่องนี้ แม้แต่ฝ่ายนักการก็ยังได้ยินข่าว
ยังดีที่เหตุการณ์ไม่ได้ยืดเยื้ออยู่นานนัก พอพวกผู้เฒ่าเริ่มให้ความสนใจ ปีศาจคลั่งขโมยไก่นี้ก็หายต๋อมเข้ากลีบเมฆไปทันที ไม่เผยตัวออกมาอีก เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นแม่นางเฮยซานหรือจางต้าพั่งก็ล้วนมีร่างกายที่คืนสภาพมาบ้างแล้วเล็กน้อย แม้ว่าจะห่างไกลจากความใหญ่โตมโหฬารที่เคยเป็นอยู่มาก แต่ก็บึกบึนขึ้นมาเยอะ
ส่วนทางไป๋เสี่ยวฉุนเอง ในที่สุดก็…ฝึกฝนได้ครบการโคจรรอบเล็กแปดสิบเอ็ดวันแล้ว ไม่รู้สึกหิวโหยรุนแรงเช่นนั้นอีกต่อไป ดังนั้นทั้งสามคนจึงได้ยุติการขโมยไก่
การโคจรรอบเล็กแปดสิบเอ็ดวันของวิชาอมตะมิวางวายนี้ แม้ว่าไม่ได้ทำสำเร็จต่อเนื่องกัน แต่สะสมมาเรื่อยๆ จนครบ ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกัน ไม่มีอันใดแตกต่าง
วันนี้ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในเรือนบนเขาเซียงอวิ๋น สีหน้าเคร่งขรึม ผิวหนังทั้งกายมีสีเหล็กกระจายออกมาเป็นระลอก ยิ่งไปกว่านั้นคือมีแสงสีดำเปล่งประกาย ปราณกร้าวแกร่งแผ่ออกมาจากผิวหนังของเขา ให้รู้สึกห้าวหาญ
ความเจ็บปวดและหิวโหยตลอดแปดสิบเอ็ดวันมารวมเข้าด้วยกัน ณ ตอนนี้ กลายเป็นพละกำลังอันน่าตกตะลึง ระเบิดกระจายออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่ในร่างกายของไป๋เสี่ยวฉุน
ทุกการระเบิดล้วนแฝงไปด้วยลมปราณอันประมาณไม่ได้ ลมปราณเหล่านี้หลอมรวมเข้ากับผิวหนังของไป๋เสี่ยวฉุน ทำให้ผิวหนังเขายิ่งเป็นสีเหล็กมากขึ้น แสงสีนิลบาดตา ระดับความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเขายืนอยู่ตรงนั้น หากมีคนนอกผ่านมา แวบแรกที่เห็นก็จะคิดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ แต่เป็นมนุษย์เหล็กคนหนึ่ง
เสียงตูมตามดังไม่หยุดในสมองของเขา การระเบิดเช่นนี้เกิดขึ้นในร่างเขามาสิบเก้าครั้งแล้ว แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ ทั้งยังยิ่งปะทุรวดเร็วขึ้น
ไป๋เสี่ยวฉุนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าไม่ได้หายใจ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่ารูขุมขนตลอดร่างของเขากำลังหุบเข้าและขยายออกเล็กน้อย พลังฟ้าดินรอบกายเองก็มารวมตัวกันอย่างเงียบเชียบ
“หลังจากระเบิดไปแปดสิบเอ็ดครั้งแล้ว ผิวหนังคงกระพันของข้าก็จะสำเร็จขั้นเล็ก เข้าสู่ระดับหนังเหล็ก!” สูตรของวิชาอมตะมิวางวายปรากฏขึ้นในสมองของไป๋เสี่ยวฉุน เขาตั้งสมาธิแน่วแน่ ความพยายามทั้งหมดตลอดครึ่งปีนี้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดมหาศาลหรือความหิวโหยก็เพื่อ…การระเบิดในครั้งนี้
ตูม!
ลมปราณในร่างกายพุ่งปะทุอีกครั้ง สีเหล็กบนผิวหนังของเขายิ่งชัดเจนขึ้น ลมปราณชอนไชเข้าไปในผิวหนังทุกส่วน ประหนึ่งเริ่มการตีรูปเหล็กที่ถูกหลอมและตีขึ้นรูปซ้ำไปซ้ำมา
ตัวเขาในเวลานี้เปรียบดุจอาวุธเทพศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้น ส่วนการระเบิดแต่ละครั้งนั้นก็คือค้อนตีเหล็กที่ทุบลง ตูม ตูม ตูม!
ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้ง สี่สิบครั้ง สี่สิบแปดครั้ง…
เวลาผันผ่าน สามวันผ่านไป ไป๋เสี่ยวฉุนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ด้านนอกไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาให้ได้ยิน แต่หูของเขากลับได้ยินเสียงกัมปนาทดุจเสียงฟ้าผ่าดังออกมาจากในร่างกายอย่างไม่รู้จบ
ในเวลานี้หลังจากที่ลมปราณในร่างของเขาระเบิดจนมาถึงครั้งที่สี่สิบเก้า ทันใดนั้นพลังที่ปะทุขึ้นก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ร่างของเขาสั่นไหวหนึ่งที บางส่วนบนผิวปรากฏรอยแตกเล็กๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับว่าผิวหนังไม่อาจต้านทานได้ไหว
รอยแตกเหล่านี้แม้จะไม่มาก ทว่าหลังจากที่ปรากฏขึ้นมาแล้วกลับทำให้ใจของไป๋เสี่ยวฉุนหนักอึ้ง
“เกิดระยะแตกดับ*จริงๆ ด้วย” ไป๋เสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ในวิชาอมตะมิวางวายมีคำแนะนำถึงสถานการณ์ในเวลานี้เอาไว้ กล่าวว่าตอนที่สำเร็จช่วงต้นของผิวหนังคงกระพันก็จำเป็นต้องมีการแตกของผิวหนังเช่นนี้ เพียงแต่ผลลัพธ์ของผิวหนังคงกระพันนั้นขึ้นอยู่กับปณิธานของแต่ละคน ยิ่งยืนหยัดมากเท่าไร วันข้างหน้าก็จะเห็นผลดียิ่งขึ้นเท่านั้น
ต่อให้ไม่ยืนหยัดทำต่อก็ยังคงสามารถฝึกผิวหนังคงกระพันสำเร็จได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่แน่นอนว่าในเรื่องของผลลัพธ์นั้นยิ่งสมบูรณ์แบบก็ยิ่งดี
หากสามารถยืนหยัดได้จนถึงการระเบิดลมปราณครั้งที่แปดสิบเอ็ดก็จะเรียกว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างแท้จริง
นัยน์ตาไป๋เสี่ยวฉุนฉายแววเด็ดเดี่ยว หลับตาลงอีกครั้ง เสียงดังลั่นในร่างกายแผ่ไปทั่วร่าง ห้าสิบครั้ง หกสิบครั้ง เจ็ดสิบครั้ง…เขาอดทนทำรวดเดียวติดต่อกันห้าวัน ยืนหยัดมาได้จนถึงครั้งที่เจ็ดสิบกว่า
เวลานี้รอยปริแตกของผิวหนังเขาประหนึ่งลายบนหม้อกระดองเต่า ทั้งเยอะและแน่นขนัดกระจายไปทั่วร่าง หลายจุดถึงขั้นเชื่อมรวมเข้าด้วยกันดุจดั่งแจกันดอกไม้ที่ถูกทุบให้แตกแล้วนำมาต่อติดกันใหม่อีกครั้ง
แทบจะสามารถปริแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ตลอดเวลา
“ขาดแค่อีกเจ็ดครั้งเท่านั้น!” ในดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนมีแต่เส้นเลือดฝอย กลายเป็นกระจุกก้อนเลือด ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น กัดฟันแรงๆ หนึ่งที ความกร้าวแกร่งในนิสัยเกิดขึ้นมาในบัดดล
เจ็ดสิบสี่ครั้ง!
เจ็ดสิบเจ็ดครั้ง!
เจ็ดสิบเก้าครั้ง!
ไป๋เสี่ยวฉุนเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ทว่าเสียงคำรามนี้ไม่ดัง กลับเป็นเสียงอู้อี้ในลำคอเสียมากกว่า เมื่อร่างกายสั่นสะท้านก็ข้ามผ่านการระเบิดของลมปราณในร่างกายไปอีกหนึ่งครั้ง บรรลุถึงครั้งที่แปดสิบ
ลมปราณนั้นหลอมรวมกับผิวหนังของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถึงแม้ผิวหนังจะมีรอยแตกเป็นลายกระดองเต่า แต่กลับเหมือนผิวเหล็ก หากมีผู้พบเห็นคงทำให้ตกตะลึงกันหมด
“ครั้งสุดท้าย!” ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ ขณะที่ลมปราณครั้งสุดท้ายระเบิด มือขวาก็ยกขึ้นมากะทันหัน พุ่งลงไปยังพื้นดินเบื้องหน้า กระแทกกำปั้นลงไปหนักๆ หนึ่งที
หลุมลึกปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังตูม ลมปราณในร่างกายของเขาระเบิดเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดก็สิ้นสุดกระบวนการ ลมปราณจำนวนนับไม่ถ้วนหลอมรวมกับผิวหนังของเขา เห็นได้ว่ารอยปริแตกทั่วร่างของเขาหายไปในพริบตาจนเรียบเป็นมันวาวไปทั้งตัว แม้แต่แสงสีดำก็สลายหายไปด้วย ร่างของไป๋เสี่ยวฉุนจึงมองดูแล้วขาวสะอาดสะอ้านดังเดิม ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าบนผิวที่ดูเหมือนธรรมดานี้ เวลานี้กลับแข็งแกร่งทนทานอย่างน่าตกตะลึง
ลมหายใจไป๋เสี่ยวฉุนถี่กระชั้น ผ่านไปนานถึงได้เงยหน้าขึ้นมา เขามองหลุมใหญ่ที่ตนทุบจนแตกออกเป็นวงกว้างตรงหน้าแล้วก็มองผิวหนังของตัวเอง พลันเกิดความตื่นเต้นฮึกเหิม เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง
มือขวาของเขายกขึ้นสะบัด กระบี่ไม้ลอยออกมา กลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งตรงดิ่งมายังแขนของเขา พริบตาที่มันสัมผัสกับแขนกลับเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง กระบี่ไม้สั่นไหวเด้งไปด้านหลังทันที ส่วนผิวหนังบนแขนของเขามีเพียงแค่ความรู้สึกเหมือนถูกยุงกัดเท่านั้น เมื่อเพ่งมองก็ไม่พบรอยแผลใดๆ
“หนังคงกระพัน!” ไป๋เสี่ยวฉุนดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ต้องเข้าใจว่ากระบี่ไม้เล่มนี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษธรรมดาทั่วไป แต่ได้ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้ง แม้ว่าลักษณะจะดูธรรมดา แต่อานุภาพหลังจากที่หลอมพลังจิตมากพอจะเทียบชั้นอาวุธวิเศษอันน่าภาคภูมิของสวรรค์ได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถสร้างรอยบาดแผลใดๆ บนร่างเขาได้แม้แต่นิด
ไป๋เสี่ยวฉุนสะบัดร่างหนึ่งที ระเบิดพลังทั้งหมดที่มีด้วยการพุ่งทะยานออกไป ห้วงอากาศรอบทิศล้วนเกิดเสียงดังตูมตาม เมื่อเขาปรากฏตัวก็อยู่ห่างมาสิบกว่าจั้งแล้ว ความเร็วเช่นนี้มากกว่าก่อนหน้าอีกหลายเท่า ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งตะลึงระคนดีใจ
ส่วนพละกำลังนั้นเขามองหลุมใหญ่บนพื้นหนึ่งที ในใจรู้ดีว่าตนเองที่ฝึกผิวหนังคงกระพันขั้นเล็กได้สำเร็จนั้นยังเรียกไม่ได้ว่าเกิดใหม่เปลี่ยนถ่ายกระดูก แต่ก็อยู่ห่างไม่ไกลแล้ว
“พลังป้องกันตัวเช่นนี้ถึงจะสามารถปกป้องข้าไป๋เสี่ยวฉุนให้อยู่บนเส้นทางของการเป็นอมตะได้” ไป๋เสี่ยวฉุนภาคภูมิใจเป็นที่สุด เมื่อตรวจสอบพลังบำเพ็ญของตนอีกทีก็พบว่าก้าวหน้าขึ้นอีกไม่น้อย ไปถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่สี่แล้ว
อีกทั้งนี่ไม่ใช่เพียงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่สี่ธรรมดา แต่เป็นขั้นสูงสุดจากพลังสะกดทางวิญญาณที่ผ่านการบีบอัดแล้ว กล่าวได้ว่าคุณลักษณะของพลังสะกดทางวิญญาณในตัวเขาอยู่ในระดับที่ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญตนทั่วไปได้
เขาพอใจมากเหลือเกิน ห้อตะบึงไปมาอยู่ในลานแห่งนี้ หลังผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายเขาหยุดชะงักโดยฉับพลัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวาบขึ้นมา ไป๋เสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้น นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จีบเข้าหากันก่อนจะบิดไปข้างหน้าแรงๆ หนึ่งที ในเวลาเดียวกันนิ้วทั้งสองของเขาก็ปรากฏแสงสีดำวาบขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าด้านหน้าของเขาไม่มีอะไรสักอย่าง เป็นเพียงความว่างเปล่า แต่เมื่อบิดลงไปเช่นนี้ ความว่างเปล่าตรงหน้ากลับมีเสียงดังคึ่กๆ ออกมา
ม่านตาของไป๋เสี่ยวฉุนหดลง ก่อนเขาจะหมุนตัวเดินไปหยุดข้างหินก้อนหนึ่ง นิ้วมือข้างขวาทั้งสองเปล่งแสงสีดำวาบขึ้นอีกครั้ง เมื่อดีดนิ้วไป หินก้อนนั้นก็แตกออกดังเปรี๊ยะได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงเต้าหู้ก้อนหนึ่ง
เขาสะบัดตัวอีกครั้ง มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างไผ่เหมันต์วิเศษ ต้นไผ่ตรงนี้สูงถึงสามจั้งกว่าแล้ว เขาเลือกต้นไผ่ที่แข็งแรงที่สุด ดีดนิ้วไปหนึ่งที ลำไผ่เกิดเสียงดังลั่น แตกหักออกมาเช่นเดียวกัน
ภาพนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือกใหญ่ ร่างกายทรุดลงไปกองกับพื้น เขาก้มหน้าลงมองนิ้วมือทั้งสองของตัวเอง มองดูแสงสีดำบนนิ้วมือที่ค่อยๆ จางหายไป เนิ่นนานถึงได้ผ่อนลมหายใจยาว
“นี่ก็คือตรวนสลายลำคองั้นหรือ…” ไป๋เสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเอง นี่คือเคล็ดวิชาอย่างหนึ่งของวิชาอมตะมิวางวาย มีเพียงฝึกหนังคงกระพันขั้นเล็กให้สำเร็จเท่านั้นจึงจะสำแดงออกมาได้ ว่ากันว่าหากใช้วิชานี้จะสามารถระเบิดพลังออกมาได้มากถึงสองเท่า ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทำลายได้
อีกทั้งเมื่อครู่นี้ไป๋เสี่ยวฉุนก็ใช้พลังเพียงห้าส่วนเท่านั้น เขาคิดไม่ออกเลยว่าหากตัวเองสำแดงพลังของเคล็ดวิชานี้ออกมาทั้งหมด มันจะน่าหวาดกลัวมากเพียงใด
เคล็ดวิชาเช่นนี้ในสายตาของไป๋เสี่ยวฉุนก็คือวิชาที่ใช้ฆ่าคนได้อย่างหนึ่ง เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ทว่าแม้จะรู้สึกว่าวิชานี้โหดเหี้ยมทารุณก็ยังฝึกฝนอย่างจริงจัง ร่างกายเขาเคลื่อนไปมาอยู่ในลานเรือนด้วยความรวดเร็ว แสงสีดำบนนิ้วทั้งสองเปล่งวาบซ้ำไปมา มีเสียงดังคั่กๆ ให้ได้ยินเป็นระลอก
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ครึ่งเดือนมานี้ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้เดินออกไปนอกลานเรือน ยังคงฝึกฝนวิชาอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีทางรู้แน่นอนว่าหลี่ชิงโหวที่ออกไปทำธุระข้างนอกหลายเดือน เช้าตรู่วันนี้ได้เหยียบย่างอยู่บนสายรุ้งเส้นหนึ่ง กลับมายังสำนักหลิงซีและมาถึงยอดเขาเซียงอวิ๋นแล้ว
หลังกลับมาเขายังไม่ทันได้หยุดพัก รุ้งเส้นยาวสองสายก็พุ่งมาจากเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งในทันที ตรงดิ่งมายังยอดเขาเพื่อมาพบหลี่ชิงโหว ในรุ้งยาวสองเส้นนั้นมองเห็นได้รางๆ ว่าเส้นหนึ่งคือผู้เฒ่าเจ้าของร่างกายดุจกระบี่คมที่ไม่ได้ชักออกจากฝัก ทั้งตัวเขามีพลังสะกดที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้บำเพ็ญตนขั้นสร้างฐานกระจายออกมา
ส่วนในสายรุ้งอีกเส้นคือสตรีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นนางหนึ่ง สตรีผู้นี้งามล้ำไปทั่วทุกอณูของร่างกาย แต่เวลานี้สีหน้ากลับดูแปลกประหลาด ราวกับคนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นางเดินทางมายังยอดเขาพร้อมกับท่านผู้เฒ่า
สองคนนี้ก็คือปรมาจารย์ใหญ่ของยอดเขาชิงเฟิงและยอดเขาจื่อติ่ง เมื่อทั้งสองมาถึงยอดเขาเซียงอวิ๋นก็ปรึกษาหารือกับหลี่ชิงโหวเป็นการส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กลับไป
หลี่ชิงโหวนั่งนวดคลึงหัวคิ้วบนยอดเขาเซียงอวิ๋น ใช้พลังจิตกวาดมองไปยังลานเลี้ยงไก่หางวิเศษของยอดเขาทั้งสาม หลังจากพบว่าที่นั่นเหลือเพียงลูกไก่ เขาก็เผยท่าทางพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อเดินออกจากโถงใหญ่ ลงไปตามทางของภูเขา ทิศทางที่เขามองไปนั้น…
คือลานเรือนของไป๋เสี่ยวฉุน
บทที่ 26
ไก่หางวิเศษอร่อยหรือไม่
สำหรับที่พักของไป๋เสี่ยวฉุน ถึงแม้ว่าหลี่ชิงโหวจะไม่เคยมาแต่ก็ให้ความสนใจมาโดยตลอด ในเวลานี้เดินอยู่บนเส้นทางภูเขา ทิวทัศน์โดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรกร้าง ไม่นานด้านหน้าเขาก็มีลานเรือนแห่งหนึ่งปรากฏให้เห็น
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้ก็มองเห็นได้จากไกลๆ ว่าบนเส้นทางสายเล็กมีเงาร่างขาวสะอาดร่างหนึ่ง ในมือถือชิ้นเนื้อสีดำหนึ่งชิ้น เดินพลางกินพลางราวกับว่ามีความสุขกับการกินยิ่งนัก ถึงขั้นฮัมเพลงออกมาด้วย
สีหน้าหลี่ชิงโหวบิดเบี้ยว เขามองชิ้นเนื้อในมือของอีกฝ่ายแวบเดียวก็รู้ชัดว่านั่นคือน่องไก่ที่ถูกอำพรางมาแล้ว ความโมโหจึงพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“ไป๋เสี่ยวฉุน!”
เสียงของเขาไม่สูง แต่กลับแผดก้องกังวานดั่งเสียงฟ้าผ่า เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนที่กำลังแทะกระดูกไก่ได้ยินเสียงเรียกนี้ก็แทบจะสะดุ้งตัวโยนทีเดียว
“ปรมาจารย์ใหญ่หลี่!” ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สูดหายใจเฮือก ยัดขาไก่ที่อยู่ในมือเข้าปากไปทั้งชิ้นโดยไม่รู้ตัว ปากจึงป่องออกเหมือนลูกหนัง เขาออกแรงเคี้ยวอยู่หลายที พยายามกลืนลงไปทั้งอย่างนั้นจนหน้าเขียวหน้าแดงไปหมด
ในสำนักนี้บุคคลที่เขากลัวที่สุดก็คือหลี่ชิงโหว ยิ่งเมื่อตนกินไก่ของอีกฝ่ายไปมากมายขนาดนั้น ไป๋เสี่ยวฉุนก็ยิ่งหวาดผวาจนหน้าผากมีเหงื่อซึม หลังจากที่ใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดออกแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหา ใบหน้าเผยความน่าเอ็นดู คารวะอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
“ศิษย์คารวะปรมาจารย์ใหญ่”
ใบหน้าหลี่ชิงโหวไร้อารมณ์ ความระอาใจเพิ่มขึ้นสูงเมื่อมองไป๋เสี่ยวฉุน บรรพบุรุษของไป๋เสี่ยวฉุนเคยมีบุญคุณกับเขา หลี่ชิงโหวเป็นคนให้ความสำคัญกับบุญคุณอย่างถึงที่สุด ต่อให้ในตอนนี้มาคิดดูแล้ว เรื่องในปีนั้นจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่เขากลับไม่เคยคิดจะลืมตอบแทน
ปรมาจารย์ใหญ่จากเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งมาหาเขาเพื่อหารือเรื่องไก่หางวิเศษ ถึงแม้ว่ามันไม่ใช่ของวิเศษที่มีราคาค่างวดอะไร แต่เขาก็ไม่ชอบให้ผู้อื่นมาตำหนิศิษย์ของตน จึงเป็นฝ่ายชดใช้ไปให้เล็กน้อย
เวลานี้มองไป๋เสี่ยวฉุน ความรู้สึกที่อยู่ในใจหลี่ชิงโหวมากที่สุดคือแค้นใจเหล็กที่ไม่อาจหลอมเป็นเหล็กกล้า*
“เจ้าเพิ่งเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้แค่ครึ่งปีกว่า ฝึกฝนวิชาได้ขั้นที่สี่ของการหลอมปราณ คงภูมิใจในตัวเองมากเลยสินะ” หลี่ชิงโหวทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที
ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตา ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ดังนั้นจึงรักษาท่าทางน่าเอ็นดูต่อไป ในใจคิดว่าขอเพียงวางกิริยาให้ดีก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ที่ตนถืออยู่ในมือคือน่องไก่หางวิเศษของอีกฝ่าย หน้าผากก็มีเหงื่อซึมออกมาอีกครั้ง
“ในเมื่อมีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระตั้งมากมายขนาดนั้น เช่นนั้นเจ้าก็มาเข้าร่วมงานประลองเล็กพลังหลอมปราณขั้นที่สี่และห้าของศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋นในอีกสามเดือนข้างหน้าแล้วกัน” เมื่อเห็นท่าทางของไป๋เสี่ยวฉุน หลี่ชิงโหวก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยปากเนิบนาบ
สิ้นคำพูดนี้ของเขา ไป๋เสี่ยวฉุนก็ใจแป้ว เขาเคยได้ยินเรื่องการประลองเล็กเช่นนี้มาก่อน รู้ว่าการแข่งขันเล็กๆ เช่นนั้นแม้จะมีรางวัลให้ แต่ว่ากันว่าการต่อสู้ดุเดือดมาก หากเผลอไผลไม่ระวังตัวนิดเดียวก็จะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บได้ ใบหน้าเขาจึงเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาทันที
“ปรมาจารย์ใหญ่ ข้าเพิ่งฝึกได้แค่หลอมปราณขั้นที่สี่ ท่านจะให้ข้าไปแข่งกับพวกเขา หากพวกเขาตีจนข้าตายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า…”
“การประลองครั้งนี้ เจ้าจำเป็นต้องติดห้าอันดับแรก มิเช่นนั้นล่ะก็ข้าจะ…” หลี่ชิงโหวไม่สนใจไป๋เสี่ยวฉุน ดวงตาฉายแววเข้มงวด ทว่ายังไม่ทันพูดจบ ไป๋เสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ข้ารู้ ท่านจะไล่ข้าออกจากสำนักอย่างไรเล่า…”
หลี่ชิงโหวถลึงตา รู้ว่าไป๋เสี่ยวฉุนนิสัยดื้อรั้น เกรงว่าแค่ยกเรื่องไล่ออกจากสำนักมาทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยจะไม่พอเสียแล้ว แต่ก็นึกถึงความกลัวตายของเด็กคนนี้ขึ้นมาได้ ทันใดนั้นหลี่ชิงโหวก็ยกมือขวาขึ้น สะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งที ม้วนเอาไป๋เสี่ยวฉุนพุ่งออกไปจากลานเรือน ตรงดิ่งไปยังยอดเขา
ไป๋เสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลี่ชิงโหวปราศจากอารมณ์ใดๆ ก็แอบรู้สึกถึงลางร้าย ระหว่างลอยอยู่กลางอากาศสัมผัสได้ถึงสายลมรุนแรงจากรอบด้านพุ่งมาปะทะใบหน้า ยังไม่ทันที่เขาจะได้มองอย่างละเอียด หลี่ชิงโหวก็พาเขามาถึงด้านหลังเขาเซียงอวิ๋นแล้ว
ที่นี่มีพืชหญ้าขึ้นเยอะ ถือเป็นเขตต้องห้ามของเขาเซียงอวิ๋น ปกติแล้วเหล่าศิษย์ไม่อาจเข้ามาได้
เพิ่งจะร่อนลงพื้น หลี่ชิงโหวก็หิ้วไป๋เสี่ยวฉุนห้อตะบึงด้วยความรวดเร็ว มุ่งไปทางหุบเขาแห่งหนึ่งด้านหลัง เมื่อไปถึงที่นั่นสายลมหนาวยะเยือกระลอกหนึ่งก็พัดเข้าใส่ทันที สีสันของพืชหญ้าที่อยู่รอบด้านสดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นที่ว่าพืชหญ้าเหล่านั้นต่างโบกสะบัดไปมาต้อนรับการมาถึงของหลี่ชิงโหว
หัวใจไป๋เสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็ว เห็นพืชหญ้าเหล่านั้นก็พลันรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มองเห็นงูพิษสีแดงตัวหนึ่งอยู่ในพืชหญ้า ค่อยๆ ชูหัวขึ้น แลบลิ้นออกมา ดวงตาเย็นชาจ้องเขม็งมาที่ตน
“งู!” ไป๋เสี่ยวฉุนขนหัวลุก ที่ตามมาติดๆ คือเมื่อหลี่ชิงโหวเดินไปข้างหน้า ภาพทุกอย่างในหุบเขาล้วนปรากฏอยู่ในสายตาไป๋เสี่ยวฉุน เขาเห็นทันทีว่าทุกส่วนของหุบเขานี้ไม่ว่าจะเป็นพื้นดิน ในพุ่มหญ้า บนกิ่งไม้ ล้วนมีงูจำนวนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดกันอยู่ยั้วเยี้ยไปหมด
สีสันลายตาแต่ละสีล้วนบาดตา เพียงมองก็รู้ว่าเป็นงูพิษทั้งหมด ทุกตัวแลบลิ้นออกมา ดวงตาเย็นชา
ไป๋เสี่ยวฉุนตัวสั่น เขากลัวงูมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่งูพิษพวกนั้นเห็นตนแล้วก็มีหลายตัวที่แผ่แม่เบี้ย แสยะปากให้เห็นเขี้ยวพิษ บางส่วนยังถึงขั้นเริ่มพ่นเมือกที่เป็นพิษออกมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนมาคิดดูอีกทีหนึ่งก็นึกออกว่าตนมีหนังคงกระพันอยู่นี่นา งูพิษพวกนี้ต้องกัดไม่เข้าสิถึงจะถูก คิดมาถึงตรงนี้เขาก็พลันรู้สึกว่าต่อให้จะมีงูพวกนี้อีกมากแค่ไหนก็ล้วนเหมือนไก่อ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเลยสักนิด
แต่เขาก็กลอกตา กังวลว่าหากตนแสดงออกว่าไม่กลัว ไม่แน่หลี่ชิงโหวอาจพาเขาไปยังสถานที่ที่อันตรายกว่านี้ก็ได้ ดังนั้นจึงรีบเปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ทำท่าเหมือนกลัวมากทันที
หลี่ชิงโหวทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งครั้ง พลังแผ่ขยายออก งูเหล่านั้นขยับร่างเลื้อยทันที ค่อยๆ แหวกออกเผยทางสายเล็กสายหนึ่งให้เห็น สุดปลายทางนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในมืดสนิท แต่กลับมีกลิ่นคาวที่ชวนคลื่นเหียนแผ่กระจายออกมาไม่ขาด
“ท่านอาหลี่ ท่าน…ช่วยด้วย ข้าไม่ได้ทำผิดกฎสำนักสักหน่อย” ไป๋เสี่ยวฉุนเสียงสั่นทันใด หลี่ชิงโหวใบหน้าไร้อารมณ์ จับไป๋เสี่ยวฉุนทะยานดิ่งเข้าไปในถ้ำ หลังจากเข้าไปข้างในแล้วเขาก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ส่งผลให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นมาไม่น้อย
พลันไป๋เสี่ยวฉุนก็ได้เห็นงูพิษจำนวนมากมายยิ่งกว่าด้านนอก แถมแต่ละตัวยังตัวใหญ่กว่ามากนัก พากันส่งเสียงฟ่อๆ เสียงนี้ราวกับแฝงพลังมหัศจรรย์บางอย่าง ถึงขั้นสามารถทำให้คนจิตใจระส่ำระสายได้ ไป๋เสี่ยวฉุนที่ได้ยินก็เบิกตากว้างทันที
กลิ่นอายอันตรายรุนแรงเป็นระลอกทำให้เขาหายใจถี่กระชั้น และที่ทำให้เขาใจหวิวเป็นพิเศษก็คือเขาพบว่างูพิษเหล่านั้นล้วนมีพลังจากการบำเพ็ญเพียรพอๆ กับผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งเขายังเห็นได้ว่าไกลออกไปมีงูพิษสี่สีตัวหนึ่งซึ่งมีพลังเทียบเท่าได้กับการหลอมปราณขั้นที่ห้า
เมื่อสายตาของงูตัวนี้มองจ้องมา ไป๋เสี่ยวฉุนก็เสียวสันหลังวาบ ใคร่ครวญว่าหนังคงกระพันของตนเองคงจะยืนหยัดได้ไม่นานนักเมื่ออยู่ที่นี่ คราวนี้ไม่ต้องเสแสร้งเขาก็กลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
“ที่แห่งนี้คือหุบเขาหมื่นอสรพิษ เป็นสถานที่เก็บพิษแห่งหนึ่งของเขาเซียงอวิ๋นเรา งูพวกนี้ทุกตัวล้วนมีพิษร้ายแรง เมือกพิษหยดเดียวก็สามารถฆ่าวัวหนึ่งร้อยตัวได้
ผู้บำเพ็ญเพียรที่พลังต่ำกว่าขั้นสร้างฐานสัมผัสพิษนี้เข้า หากช่วยเหลือไม่ทันกาล พิษก็จะกระจายไปทั่วร่างจนสิ้นชีวิต โดยเฉพาะในจุดลึกๆ นั้นยังมีราชาอสรพิษที่พลังเทียบเคียงกับขั้นสูงสุดของการหลอมปราณอยู่ หากถูกพิษของมันเพียงนิด แม้แต่ข้าก็ยากจะช่วยได้
การประลองเล็กของฝ่ายนอก หากเจ้าไม่ติดห้าอันดับแรกก็วางใจได้เลย ข้าไม่ไล่เจ้าออกจากสำนักหรอก ข้าจะให้เจ้ามาที่นี่ ช่วยข้ารีดพิษ” หลี่ชิงโหวเอ่ยเนิบนาบพลางมองไป๋เสี่ยวฉุน
“นี่…นี่…ท่านอาหลี่โปรดวางใจ ก็แค่ห้าอันดับแรกในการประลองเล็กของสำนักเอง ข้าไป๋เสี่ยวฉุนต้องทำสำเร็จแน่!” ไป๋เสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก สีหน้าซีดเผือด เมื่อได้ยินว่าลึกเข้าไปยังมีงูพิษที่น่ากลัวยิ่งกว่า เขาก็เอ่ยคำสาบานในใจทันทีว่าชีวิตนี้ตนไม่มีทางมาที่นี่แน่
ได้ยินคำรับรองจากไป๋เสี่ยวฉุน ในใจหลี่ชิงโหวก็ให้รู้สึกขบขันนัก แต่ใบหน้ากลับยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม ส่งเสียงหึทีหนึ่งก่อนจะพาไป๋เสี่ยวฉุนออกจากที่นี่ หลังจากกลับมายังเขาเซียงอวิ๋นอีกครั้งก็โยนไป๋เสี่ยวฉุนไว้ด้านข้างเส้นทางสายเล็ก หมุนตัวจะจากไป
ก่อนจะจากไป เท้าของเขาหยุดชะงัก ไม่ได้หันมามองแต่เสียงกลับลอยมา
“จริงสิ ไก่หางวิเศษพวกนั้นอร่อยหรือไม่เล่า”
พูดจบก็ไม่รอคำตอบจากไป๋เสี่ยวฉุน ร่างของหลี่ชิงโหวเหาะจากไปไกล
ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจ กลับเรือนไปด้วยใบหน้าทุกข์ระทม ตลอดทางมีลมพัดผ่าน เสียงต้นไม้ใบหญ้าดังแกรกกราก ทำให้เขาอดคิดถึงงูพิษเหล่านั้นอยู่หลายครั้งไม่ได้
“หลี่ชิงโหว…นี่มันหลี่ชิงเสอ*ชัดๆ! ทำกันเกินไปแล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนกลับมาถึงเรือนด้วยใบหน้าเศร้าโศกจะร้องมิร้องแหล่ จากนั้นก็กัดฟันแรงๆ หนึ่งที
“หุบเขาหมื่นอสรพิษนั่นข้าไม่มีทางไปแน่นอน หากสัมผัสโดนพิษแค่นิดหน่อย ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็ไม่เหลือแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แค่ห้าอันดับแรกไม่ใช่หรือ ข้าต้องทำให้ได้!” ไป๋เสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาดทันควัน “ต้องเข้าร่วมการประลองเล็ก เช่นนั้นพลังของข้าในตอนนี้มีไม่พอ จำเป็นต้องใช้โอสถวิเศษ!” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดแน่น นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว หลังจากมองรอบด้านแล้วก็มองเห็นไผ่เหมันต์วิเศษเหล่านั้นทันที
“หลังจากทำภารกิจไผ่เหมันต์วิเศษนี้เสร็จสิ้นจะได้รางวัลเป็นคะแนนคุณความดี คะแนนคุณความดีสามารถนำไปแลกโอสถวิเศษมาได้ แต่ไผ่พวกนี้ของข้ายังโตไม่ถึงห้าจั้ง ไม่รู้จะผ่านเกณฑ์หรือไม่…” ไป๋เสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกไม่แน่ใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ดังนั้นจึงคำนวณเวลาและรับรู้ว่าอีกหลายวันข้างหน้าจะเป็นวันที่ต้องส่งมอบภารกิจปลูกพืชวิเศษที่สำนักกำหนดไว้แล้ว
รอคอยด้วยใบหน้าระทมทุกข์อยู่หลายวัน ในที่สุดเช้าตรู่ของวันที่สี่ไป๋เสี่ยวฉุนก็ตื่นแต่เช้ามายืนอยู่ข้างต้นไผ่ มือทั้งสองข้างออกแรงกอดแต่ละต้นเอาไว้แน่นแล้วดึงขึ้นมาพร้อมกันทั้งหมด
เขาพบว่าต้นไผ่พวกนี้มองดูแล้วไม่หนัก แต่เมื่อดึงขึ้นมาแต่ละต้นกลับหนักมากราวกับโลหะอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากพื้นดินในลานเรือนสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ต้นไผ่เหมันต์วิเศษที่ยาวเกือบห้าจั้ง หนาขนาดหนึ่งตัวคนกว่าๆ ทั้งหมดสิบต้นก็ถูกเขาแบกไว้บนบ่า เดินทีละก้าวออกไปจากที่พัก เตรียมไปส่งมอบภารกิจ
พื้นที่ในถุงเก็บของของเขามีไม่มาก ไม่สามารถใส่ต้นไผ่พวกนี้เข้าไปได้ ทำได้เพียงแบกไปทั้งอย่างนี้ ยังดีที่หลังจากไป๋เสี่ยวฉุนฝึกหนังเหล็กคงกระพันขั้นเล็กสำเร็จ พละกำลังก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่สามารถแบกขึ้นเขาไปได้จริงๆ
ขณะเดินไปไป๋เสี่ยวฉุนก็กลัดกลุ้มไปด้วย เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องการประลองเล็กของสำนัก เดี๋ยวก็คิดถึงงูพิษเหล่านั้น ในสมองล้วนเต็มไปด้วยจินตนาการที่ตนถูกหักกระดูกเลาะเอ็นระหว่างการต่อสู้
“เหตุใดชีวิตข้าไป๋เสี่ยวฉุนถึงได้รันทดเช่นนี้นะ…”
บทที่ 27
นี่…นี่คือต้นไผ่หรือ
ต้นไผ่พวกนั้นแต่ละต้นล้วนหนักอึ้ง ไป๋เสี่ยวฉุนแบกมาสิบต้น ทั้งยังต้องขึ้นเขา ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังหอบเล็กน้อย ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกว่าชีวิตตนอนาถนัก
“ข้ามาฝึกบำเพ็ญตนเป็นเซียนก็เพื่อเป็นอมตะ เหตุใดต้องให้มาฆ่าฟันกันด้วย”
“อีกอย่างต้นไผ่พวกนี้ของข้าก็เห็นๆ กันอยู่ว่ายังโตได้มากกว่านี้อีก แต่ตอนนี้กลับทำได้แค่เอาไปแลกคะแนนคุณความดี…” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ ถอนหายใจติดต่อกัน แบกไผ่เหมันต์วิเศษเดินขึ้นเขาไป
ในเวลานี้ ณ หอส่งมอบภารกิจของเขาเซียงอวิ๋น ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนล้วนมาที่นี่ หยิบสมุนไพรที่ตนเองปลูกออกมาส่งมอบภารกิจแลกเอาคะแนนคุณความดี
มีท่านผู้อาวุโสของเขาเซียงอวิ๋นรับผิดชอบตรวจสอบคุณภาพอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ และจะให้คะแนนคุณความดีโดยอิงตามคุณภาพที่ต่างกัน
“ไม่เลว ดอกไอหมอกนี้มีสี่กลีบแล้ว ให้เจ้าระดับคุณภาพปานกลาง”
“โสมลายไม้นี้สีเข้มเกินไป พลังดินสูงเกิน สูญเสียสมดุลไปแล้ว ไม่ผ่านเกณฑ์” บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งนอกหอผู้เฒ่าผมขาวใบหน้าแดงปลั่งผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ ด้านหน้ามีศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนเข้าแถวรอ แต่ละคนถือพืชวิเศษที่เพาะปลูกมา พวกเขาก้าวไปข้างหน้า หลังจากผ่านการตรวจสอบจากท่านผู้เฒ่าแล้ว เด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็จะเป็นผู้ลงบันทึกแล้วแจกคะแนนคุณความดีให้
กลางอากาศยังมีกลุ่มหงส์ห้าสีอยู่อีกกลุ่มหนึ่งกำลังบินวนรอบหอส่งมอบภารกิจอย่างสง่างาม แต่ละตัวล้วนมีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งจั้งกว่า ส่งเสียงร้องใสกังวานออกมาเป็นระลอกตลอดเวลา
หงส์เหล่านี้ก็คือสัตว์เลี้ยงวิเศษส่วนตัวของท่านผู้เฒ่า ทุกครั้งที่วันส่งมอบพืชหญ้ามาถึงมันจะตามท่านผู้เฒ่ามา ณ ที่แห่งนี้ ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนเมื่อมองเห็นจากที่ไกลๆ ดวงตาก็ล้วนเผยความอิจฉา
ท่านผู้เฒ่าด้านหน้าผู้นี้ฝึกวิชาได้ถึงขั้นสร้างฐาน ไม่ธรรมดาทีเดียว แม้ว่าในด้านความรอบรู้เรื่องโอสถวิเศษจะเทียบหลี่ชิงโหวไม่ได้ แต่ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในสำนัก โดยเฉพาะความหลงใหลด้านโอสถ เพราะระดับความลุ่มหลงของเขานั้นแม้แต่หลี่ชิงโหวเองก็ยังต้องถอนหายใจเนื่องจากสู้ไม่ได้ ว่ากันว่าหากเกาะตงหลินจะเกิดปรมาจารย์โอสถคนที่สาม คนผู้นั้นก็ต้องเป็นท่านผู้เฒ่าโจว
“เฉินจื่ออ๋างคารวะท่านผู้เฒ่าโจว” ไม่นานแถวก็เลื่อนมาถึงชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาธรรมดา แต่ร่างกายกลับสูงเด่น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าโจว เขาก็กำมือประสานทำท่าคารวะหนึ่งที
หลังจากชายหนุ่มคนนี้เปล่งคำพูดออกไป ศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านจำนวนไม่น้อยได้ยินชื่อนี้แล้วก็ล้วนมองมายังชายหนุ่มด้วยสายตาแปลกใจทันที
“ที่แท้ก็ศิษย์พี่เฉินจื่ออ๋างนี่เอง ได้ยินว่าเขามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาด้านการเพาะปลูกพืชวิเศษ”
“ข้ายังเคยได้ยินด้วยว่าเฉินจื่ออ๋างผู้นี้นับแต่เข้าสำนักมา ทุกครั้งที่มีภารกิจเพาะพืชหญ้าไม่เคยได้ประเมินต่ำกว่าระดับสูงเลย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
ในขณะที่กลุ่มคนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา สีหน้าของเฉินจื่ออ๋างราบเรียบ แต่แววตากลับปรากฏความภาคภูมิใจ
เมื่อผู้เฒ่าโจวมองมายังเฉินจื่ออ๋าง นัยน์ตาก็เผยแววชื่นชม สำหรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์ด้านการเพาะปลูกพืชวิเศษเช่นนี้ เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมากมาโดยตลอด
“จื่ออ๋าง คราวนี้เจ้าปลูกอะไรหรือ” ผู้เฒ่าโจวกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ตอบท่านผู้เฒ่าโจว คราวนี้ศิษย์ปลูกไผ่เหมันต์วิเศษขอรับ!” มือขวาของเฉินจื่ออ๋างสะบัดหนึ่งที ข้างกายพลันปรากฏไผ่เหมันต์วิเศษสิบต้นขนาดหนาเท่าท่อนแขน แต่ละต้นสูงครึ่งจั้งกว่า ทั้งลำเป็นสีเขียวชอุ่ม เมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบมาก็ราวกับมีแสงสีเขียวอ่อนๆ กระจายออกมา
“ต้นไผ่นี้ ศิษย์ใช้น้ำพุวิเศษล้างก่อน แล้วจึงนำศิลาวิเศษมาบดให้ละเอียดจนกลายเป็นดิน ใช้พลังสะกดทางวิญญาณของตนเองหล่อเลี้ยงวันละอย่างน้อยสามชั่วยามทุกวัน และสางเส้นใยของใบสามวันครั้ง บวกกับใช้วิชาชิงเสวียนเก้าที่ข้าได้ศึกษามา อีกทั้งยังมีสมุนไพรอื่นๆ ช่วย ถึงปลูกออกมาได้เช่นนี้!”
“ดี ต้นไผ่โตครึ่งจั้ง แสงสีเขียวแผ่กระจาย เกินกว่าระดับสูงทั่วไปแล้ว สามารถจัดเข้าเป็นระดับสูงของระดับสูง หวังว่าเจ้าจะพยายามต่อไป หากสามารถทำให้ต้นไผ่โตได้เกินจั้งก็จะได้เป็นสุดยอดลำต้นวิเศษแล้ว” ท่านผู้เฒ่าโจวลูบเครา ความชื่นชมในแววตายิ่งมีมากขึ้น
ศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านที่ได้ยินคำว่าระดับสูงของระดับสูงก็พูดคุยกันเป็นวงกว้างในทันที พากันมองไปยังต้นไผ่เหมันต์วิเศษ แววตาเผยความอิจฉา
เฉินจื่ออ๋างยกยิ้ม ความภาคภูมิใจในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น กำมือประสานคารวะ กำลังจะรับคะแนนคุณความดีจากเด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหึเย็นชาดังมา
“ท่านผู้เฒ่าโจว ศิษย์จ้าวอี้ตัวก็ปลูกไผ่เหมันต์วิเศษเช่นกัน!” ที่ตามเสียงหึมาคือชายหนุ่มหน้ายาวตาเรียวเล็กคนหนึ่ง ขณะที่ก้าวยาวๆ ออกมาก็มองไปยังเฉินจื่ออ๋าง ดวงตาฉายแววดูหมิ่น
การปรากฏตัวเช่นนี้ของเขาทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกโดยรอบตื่นตัวกันทันควัน พากันจับจ้องไม่วางตา
“ศิษย์พี่จ้าวอี้ตัวนี่เอง ความรู้ลึกซึ้งด้านการปลูกพืชวิเศษของศิษย์พี่จ้าว ได้ยินว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินจื่ออ๋างเลย!”
“คราวนี้มีอะไรดีๆ ให้ดูแล้ว พวกเขาสองคนเขม่นกันมาตลอด ล้วนอยากจะแย่งชิงเอาฉายาศิษย์อันดับหนึ่งด้านการเพาะปลูกมาครอง”
สีหน้าของเฉินจื่ออ๋างดำคล้ำทันที มองจ้าวอี้ตัวอย่างเย็นชา สายตาคนทั้งสองประสานกัน ต่างก็มองเห็นความเป็นศัตรูคู่แค้นในดวงตาของแต่ละฝ่าย
“จ้าวอี้ตัว เอาไผ่เหมันต์วิเศษของเจ้าออกมาสิ” แม้แต่ท่านผู้เฒ่าโจวก็ยังสนใจ สำหรับจ้าวอี้ตัวผู้อยู่ตรงหน้านี้ เขาก็ให้การชื่นชมเช่นเดียวกัน แล้วก็รู้ด้วยว่าเจ้าเด็กน้อยทั้งสองเบื้องหน้าได้ชิงดีชิงเด่นด้านเพาะปลูกกันมาแล้วหลายครั้ง และเขาเองก็ยินดีที่จะได้เห็นทั้งสองเป็นเช่นนี้ เพราะมีเพียงการแข่งขันเชิงบวกแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้แต่ละฝ่ายพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้
จ้าวอี้ตัวหันไปคารวะท่านผู้เฒ่าโจว ตบถุงเก็บของหนึ่งทีไผ่เหมันต์วิเศษสิบต้นก็ปรากฏออกมาทันใด ต้นไผ่เหล่านี้แต่ละต้นล้วนสูงหนึ่งจั้ง ลำต้นหนาเท่าต้นขา สีเขียวขจีนั้นเปล่งแสงแวววาวได้รางๆ ถึงขั้นที่มีพลังสะกดทางวิญญาณกระจายออกมาเป็นระลอก แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับของเฉินจื่ออ๋างเมื่อครู่แล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
แทบจะทันทีที่ได้เห็นต้นไผ่เหล่านี้ ฝูงชนรอบด้านล้วนพากันฮือฮาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ต้นไผ่เหมันต์วิเศษที่สูงได้เป็นจั้งนั้นพวกเขาเคยแต่ได้ยินทว่ากลับไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน
“ต้นไผ่เหมันต์วิเศษสูงหนึ่งจั้ง นี่ต้องปลูกมานานแค่ไหนกัน!”
“ต้นไผ่เหมันต์วิเศษนี้ถึงขั้นมีพลังสะกดทางวิญญาณกระจายออกมา ความสามารถด้านการปลูกพืชของศิษย์พี่จ้าวถือเป็นอันดับหนึ่งของฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋นเราแล้ว!”
จ้าวอี้ตัวเห็นสีหน้าของผู้คนรอบข้างจึงหันไปยิ้มเยาะเฉินจื่ออ๋าง
เฉินจื่ออ๋างสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาทันที
ดวงตาท่านผู้เฒ่าโจวเป็นประกายเผยความชื่นชม มองต้นไผ่เหล่านั้นพลางพยักหน้าน้อยๆ
“ดี ดี! วันนี้แม้ว่าศิษย์ที่ส่งมอบไผ่เหมันต์วิเศษจะมีเยอะ แต่ของเจ้านั้นดีที่สุด ต้นไผ่เหมันต์วิเศษสูงหนึ่งจั้ง ทะลุระดับสูงไปแล้ว มากพอที่จะจัดเป็นระดับดีเยี่ยมได้แล้ว จ้าวอี้ตัว เจ้าทำได้ดีมาก หวังว่าเจ้าจะพยายามต่อไป!”
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าน่ะยังจำเป็นต้องเรียนรู้อีกมาก” จ้าวอี้ตัวคารวะท่านผู้เฒ่าโจวแล้วหันไปมองเฉินจื่ออ๋างอย่างยั่วยุ
สีหน้าเฉินจื่ออ๋างยิ่งน่าเกลียดเข้าไปใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงหึเย็นชาหนึ่งที
“ศิษย์พี่จ้าวอย่าดีใจเร็วเกินไปนัก ขอให้คนช่วยเหลือน่าภูมิใจตรงไหน ปลูกพืชคราวหน้า ข้าผู้แซ่เฉินจะปลูกไผ่เหมันต์วิเศษสูงหนึ่งจั้งครึ่งให้ท่านดู!”
จ้าวอี้ตัวได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง
“ศิษย์น้องเฉินก็ไม่กลัวว่าโม้มากไปจะขายหน้าทีหลังหรือ ไผ่เหมันต์วิเศษโตได้ยากที่สุด ต้องการพลังสะกดทางวิญญาณมหาศาล ตัวข้าเองเป็นศิษย์ระดับหลอมปราณ สามารถปลูกออกมาได้สูงหนึ่งจั้งก็ถือว่าเป็นที่สุดของที่สุดแล้ว หนึ่งจั้งครึ่งหรือ นั่นต้องเป็นผู้อาวุโสระดับสร้างฐานเท่านั้นถึงจะปลูกขึ้นได้ ส่วนจะให้สูงสองจั้งนั้น ฮ่าๆ ข้าผู้แซ่จ้าวอยู่ในสำนักมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นไผ่เหมันต์วิเศษที่สูงสอง…”
จ้าวอี้ตัวยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค บนทางเส้นเล็กด้านหลังกลุ่มคนก็พลันเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาเป็นระลอก ราวกับมีวัตถุยักษ์บางอย่างกำลังเคลื่อนมาทีละก้าว ศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนเหล่านั้นหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจทันที จากนั้นเสียงสูดลมหายใจเฮือกก็ดังขึ้นในทันทีทันใด
แม้แต่จ้าวอี้ตัวและเฉินจื่ออ๋างที่ยืนคุมเชิงกันอยู่ก็ยังถูกขัดจังหวะด้วยสิ่งนี้ ทั้งสองคนขมวดคิ้วฉับ ล้วนมองไปทางนั้น
ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นต้นไผ่ขนาดมโหฬารที่หนาพอๆ กับผู้ใหญ่หนึ่งคนปรากฏพรวดเข้ามาในคลองสายตา ต้นไผ่เหล่านี้มีสีเขียวเข้ม ถึงขั้นที่ว่าหากเพ่งมองอย่างละเอียดยังสามารถมองเห็นจุดสีม่วงแต่ละจุดที่อยู่ด้านในได้ด้วย เมื่อแสงแดดส่องกระทบก็จะเปล่งสีสันหลากหลายออกมาอย่างงดงาม
ที่ยิ่งทำให้ทุกคนตะลึงก็คือพลังสะกดทางวิญญาณอันเข้มข้นที่แผ่กระจายออกจากต้นไผ่เหล่านี้ เมื่อมันแผ่คลุมไปทั่วทิศ คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพากันร้องอื้ออึงด้วยความตกใจ
“นี่…นี่มันอะไรกัน!”
“คล้ายจะเป็นต้นไม้บางประเภท แต่มองดูแล้วก็เหมือนต้นไผ่!”
เฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัวก็พากันขมวดคิ้ว มองไม่ออกว่าคืออะไร รู้เพียงว่าวัตถุนี้ไม่ธรรมดา ท่านผู้เฒ่าโจวที่อยู่ด้านข้างกลับเบิกตากว้างอย่างกะทันหัน จ้องต้นไผ่เหล่านั้นเขม็ง ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมานิดๆ
ท่ามกลางสายตาของทุกคน พวกเขามองเห็นความยาวของต้นไผ่พวกนั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นครบทุกส่วนถึงได้รู้ว่ามันยาวถึงห้าจั้ง ข้างใต้ต้นไผ่เหล่านี้มีเด็กหนุ่มตัวเล็กผอมแห้งผู้หนึ่งกำลังหอบหายใจ แบกต้นไผ่ทั้งหมดนั้นเดินขึ้นมาทีละก้าว
ประหนึ่งมดหนึ่งตัวที่แบกหมั่นโถวทั้งลูก…
ทุกครั้งที่ย่างก้าวกระทบพื้นดิน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นก็จะดังขึ้นหนึ่งที เมื่อเข้ามาข้างหน้าเรื่อยๆ ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ด้านหน้าล้วนพากันหลีกทางให้ ทุกคนหวาดผวา ตกตะลึงกับเรี่ยวแรงที่เด็กหนุ่มผู้นี้มี
เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือไป๋เสี่ยวฉุน เขากลุ้มใจมาตลอดทาง คิดถึงความทารุณของการประลองเล็ก คิดถึงความน่ากลัวของหุบเขาหมื่นอสรพิษ เดินขึ้นเขามาด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก กว่าจะมาถึงที่นี่ในตอนนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่ได้ให้ความสนใจผู้คนรอบด้าน เดินมายังเบื้องหน้าของท่านผู้เฒ่าโจว เสียงโครมครามดังอยู่หลายที หลังจากที่โยนต้นไผ่เหล่านั้นลงไปบนพื้นแล้ว เขาก็นั่งลงไปบนต้นไผ่ เช็ดเหงื่อพลางหอบฮักๆ
“ต้นไผ่พวกนี้ใส่ไว้ในถุงเก็บของไม่ได้ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ท่านผู้เฒ่า ข้ามาส่งมอบภารกิจ” ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อสังเกตดูก็พบว่าทุกคนรอบด้านในเวลานี้ล้วนจ้องมองต้นไผ่เหล่านี้ ลมหายใจของแต่ละคนค่อยๆ กลายมาเป็นหอบหนัก
“ต้นไผ่…พวกนี้คือต้นไผ่หรอกหรือ”
“ข้าโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นต้นไผ่ต้นใหญ่เท่านี้มาก่อน นี่มันต้นไม้ชัดๆ!”
ในเวลานี้สายตาของเฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัวก็เผยแววสงสัยไม่แน่ใจ แม้มองออกอยู่บ้างแต่กลับไม่อาจเชื่อได้ รีบเข้าไปใกล้ทันที นั่งยองๆ ลงไปมองดูต้นไผ่อย่างละเอียด จ้าวอี้ตัวกายสั่นสะท้านถึงขั้นคิดอยากจะชำแหละโครงสร้างภายในของมันออกมาดู
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะผ่าลำไผ่ออกดู ท่านผู้เฒ่าโจวที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นดังตึงพร้อมขยับเข้ามาใกล้ สะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งที ทั้งสองคนก็ถูกสายลมพัดม้วนตัวบินกระเด็นออกไป ท่านผู้เฒ่าโจวมองต้นไผ่ตาไม่กะพริบ
“นี่…นี่มันต้นไผ่เหมันต์วิเศษจริงๆ ด้วย!” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านผู้เฒ่าโจวก็สูดหายใจเฮือก เมื่อเสียงของเขาลอยออกไป ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนโดยรอบล้วนอึ้งงันกันหมด จากนั้นก็ระเบิดเสียงฮือฮาอย่างไม่อยากเชื่อดังไปทั่วทิศ
“ไผ่เหมันต์วิเศษ! ต้นไม้ใหญ่พวกนี้แท้จริงแล้วคือ…ไผ่เหมันต์วิเศษ!”
“นี่เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดไผ่เหมันต์วิเศษถึงต้นหนาขนาดนี้ สวรรค์ แถมยังสูงตั้งห้าจั้ง!”
“สูงห้าจั้ง หนาเท่าตัวคน นี่…นี่คือต้นไผ่หรือ”
เสียงแห่งความตื่นตะลึงระเบิดขึ้นทันใด โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นไผ่เหมันต์วิเศษของเฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัว เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเช่นนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น ดังขึ้นสูงๆ ต่ำๆ ไปทั่วทิศ
บทที่ 28
ความกดดันต่างหากคือแรงผลักดัน
ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ตะลึงตาค้างไปเช่นกันเมื่อเห็นคนรอบด้านส่งเสียงตกใจ เห็นจ้าวอี้ตัวและเฉินจื่ออ๋างที่ถูกม้วนตวัดจนกระเด็นไปไกลแต่ยังวิ่งกลับมาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วราวกับไม่สนใจความเจ็บปวดทั่วร่าง นอนคว่ำลงไปบนพื้นทั้งตัว ศึกษาต้นไผ่อย่างละเอียดอยู่ตรงนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้เฒ่าโจวที่มองดูต้นไผ่ทีละต้นด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นกำลัง แฝงไปด้วยความไม่อยากเชื่อ และที่ยิ่งกว่านั้นคือความดีใจจนแทบบ้าคลั่ง
ได้เห็นภาพอันเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนเช่นนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนตกใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนพวกนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว ในใจคิดว่าก็แค่ต้นไผ่ไม่กี่ต้นไม่ใช่หรือ ตามความคิดของเขาตั้งใจจะปลูกให้สูงได้สิบจั้งด้วยซ้ำ
“ท่านผู้เฒ่า…” ไป๋เสี่ยวฉุนถอยหลังไปหลายก้าว ร้องเรียกลองเชิงหนึ่งประโยค
“ดีๆๆ!” ผู้เฒ่าโจวหัวเราะเสียงดัง ลูบคลำไผ่เหมันต์วิเศษพวกนั้น ไม่ละเว้นเลยแม้แต่จุดเดียวราวกับไม่ได้ยินเสียงของไป๋เสี่ยวฉุน
“ไผ่เหมันต์วิเศษเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก มีเพียงโตถึงห้าจั้งได้เท่านั้นถึงจะมีสีเขียวเข้มไปทั้งลำ ไผ่เหมันต์วิเศษเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมกระบี่ไม้ไผ่วิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถนำไปกระตุ้นวิชาเวทคาถาพิเศษบางอย่างได้!”
“พวกเจ้าลองดมดูสิ ได้กลิ่นหอมของเนื้อและกระดูกด้วยใช่หรือไม่ นี่ก็คือกลิ่นหอมพิเศษหลังจากต้นไผ่นี้โตได้ถึงห้าจั้ง” ท่านผู้เฒ่าโจวเอ่ยด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังสูดดมแรงๆ หนึ่งเฮือกอีกด้วย
สีหน้าของเฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัวจริงจังอย่างถึงขีดสุด พากันดมกลิ่นไปด้วย ศิษย์คนอื่นๆ โดยรอบไม่ห่างไกลนักก็อดดมตามไปด้วยไม่ได้
ไป๋เสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที เขาได้กลิ่นนี้มาตลอดทางที่แบกไม้ไผ่แล้ว เห็นๆ อยู่ว่ามันคือ…กลิ่นกระดูกไก่ ถึงอย่างไรในแปลงดินวิเศษที่ใช้ปลูกไผ่เหมันต์วิเศษพวกนี้ก็ฝังกระดูกของไก่หางวิเศษจำนวนนับร้อยนับพันตัวเอาไว้…แถมแต่ละชิ้นเขาก็แทะมาแล้วทั้งนั้น
“ท่านผู้เฒ่า…” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าคนพวกนี้บ้ากันไปแล้วจึงเอ่ยเรียกอีกครั้ง
แต่ในเวลานี้เองผู้เฒ่าโจวสะท้านไหวไปทั้งร่าง จ้องเขม็งไปยังบางจุดบนไผ่ต้นหนึ่ง ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยวอย่างฉับพลัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
“น่าตายนัก ตรงนี้มันอะไรกัน เหตุใดถึงมีรอยกัดหนึ่งรอยได้ ไผ่เหมันต์วิเศษนี้ฝาดขมยิ่งกว่าอะไรดี กินสดๆ ไม่ได้ เจ้าสารเลวคนไหนมากัดมัน ทำให้ไผ่ต้นนี้มีตำหนิ!” ผู้เฒ่าโจวเจ็บปวดเสียดาย รู้สึกราวกับว่าบนหยกงามไร้ที่ติชิ้นหนึ่งได้ปรากฏรอยผุกร่อนขึ้นมาอย่างฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น เขาเงยหน้าขึ้นทันใด มองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน
“ไม่ใช่ข้านะ!” ไป๋เสี่ยวฉุนตกใจถอยกรูด พลันนึกถึงครั้งแรกที่ตัวเองหิวโหยขึ้นมาได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นหิวจนไม่เลือกกินจึงกัดไผ่ต้นนี้ลงไปหนึ่งคำ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสถานที่ส่งมอบภารกิจแห่งนี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้ ต้นไผ่ที่ตนเองปลูก กินคำเดียวจะเป็นไรไป คนพวกนี้บ้ากันไปหมดแล้วหรืออย่างไร
ได้ยินคำพูดของท่านผู้เฒ่าโจว ผู้คนรอบๆ ล้วนหันไปมอง แล้วก็เห็นร่องรอยถูกกัดบนต้นไผ่เหมันต์วิเศษต้นสุดท้ายจริง
ผู้เฒ่าโจวจ้องรอยน่าเกลียดบนต้นไผ่เขม็ง เงียบไปนานถึงได้ถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งที เขาเป็นถึงนักพรตผู้บำเพ็ญเพียรได้ถึงขั้นสร้างฐาน แม้ว่าจะหลงใหลในโอสถแต่ก็ยังมีสติดี เพียงแต่ว่าไผ่ที่ไป๋เสี่ยวฉุนนำมาน่าตกตะลึงเกินไป โดยเฉพาะลักษณะที่ต่างจากไผ่เหมันต์วิเศษทั่วไปเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าโจวไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อครู่ถึงได้สติหลุดไปบ้าง
เขามองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง สะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งที
“ต้นไผ่นี้ได้ระดับยอดเยี่ยม…ไม่ถูก ระดับสุดยอด จัดให้เป็นระดับสุดยอด มอบรางวัลหนึ่งหมื่นคะแนนคุณความดี!” เมื่อเขาเปล่งคำพูดนี้ออกไป คนรอบด้านก็สูดหายใจเฮือกกันอีกครั้ง พึงเข้าใจว่าภารกิจปลูกพืชวิเศษทั่วไปจะได้คะแนนคุณความดีแค่ประมาณสิบคะแนนเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็หนึ่งร้อย แต่ตอนนี้พริบตาเดียวกลับขึ้นมาเป็นหนึ่งหมื่นเสียแล้ว!
เด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อึ้งไปเช่นกัน หลายปีมานี้พืชวิเศษที่ถูกจัดเข้าเป็นระดับสุดยอดของสำนักหลิงซีนั้นมีให้เห็นได้ยากยิ่ง
อย่างน้อยที่สุดในช่วงหลายร้อยปีมานี้ นี่ถือเป็นครั้งแรก
ไป๋เสี่ยวฉุนตื่นเต้น เขารีบเดินมายังด้านข้างเด็กน้อย หยิบเอาป้ายประจำตัวออกมาแล้วรีบกระตุ้นเร่งเร้า เด็กน้อยลังเลอยู่ชั่วครู่ สายตามองเห็นท่านผู้เฒ่าโจวเริ่มศึกษาไผ่เหล่านั้นอีกครั้ง จึงกัดฟันมอบคะแนนคุณความดีให้ไป๋เสี่ยวฉุนไปหนึ่งหมื่นคะแนน
รับเอาคะแนนคุณความดีมาได้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็จะรีบไปจากที่นี่ เขาตัดสินใจว่าจะไม่มาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ คนที่นี่บ้ากันไปหมดแล้ว
ยังไม่ทันที่เขาจะได้จากไปไกล เสียงผู้เฒ่าโจวก็ดังไล่หลังมา
“เจ้าชื่ออะไร”
“ไป๋เสี่ยวฉุน ข้าชื่อไป๋เสี่ยวฉุน ท่านอาของข้าคือหลี่ชิงโหว!” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบเอ่ยปาก ก่อนมาที่นี่เขาไม่รู้ว่าต้นไผ่พวกนั้นจะสร้างความตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้ในใจเริ่มมีความกังวลอยู่ไม่น้อยจึงใช้ชื่อหลี่ชิงโหวเป็นผืนหนังเสือ*ก่อน
“หึ เจ้าเล่ห์ไม่เบา สำนักหลิงซีคือสำนักใหญ่อยู่มาหลายหมื่นปี ลูกศิษย์มีมากมายมหาศาล แต่ละคนล้วนมีความลับและโชคชะตาเป็นของตนเอง คนแก่อย่างข้าไม่มีทางบากหน้าไปซักไซ้ไล่เลียง หากต่อไปเจ้ามีต้นไผ่เช่นนี้อีก ข้าจะรับไว้ทั้งหมด และจะให้คะแนนคุณความดีเป็นที่พอใจแน่นอน!” ท่านผู้เฒ่าโจวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย โบกมือหนึ่งทีก็ไม่สนใจไป๋เสี่ยวฉุนอีก ศึกษาต้นไผ่เหล่านั้นต่อไป ส่วนการส่งมอบภารกิจของศิษย์คนอื่นในวันนี้ก็ต้องสิ้นสุดลงก่อนเวลาด้วยเหตุนี้
ไป๋เสี่ยวฉุนหยิบเอาป้ายประจำตัวของตนเองไป นัยน์ตาฉายแววฮึกเหิม หลังออกจากหอส่งมอบภารกิจแล้วก็ตรงดิ่งไปยังโถงโอสถวิเศษของเขาเซียงอวิ๋น โถงโอสถวิเศษที่ว่านี้คือสถานที่แลกเปลี่ยนรับโอสถวิเศษของลูกศิษย์เขาเซียงอวิ๋น
หากตนเองมีโอสถวิเศษก็สามารถนำมาขายให้สำนัก แลกคะแนนคุณความดีได้ที่นี่
ไป๋เสี่ยวฉุนห้อทะยานเข้ามา เดินเลือกไปทั่วโถงโอสถวิเศษแห่งนี้ นานพักใหญ่ถึงได้จากไป เขาซื้อโอสถลูกกลอนที่เหมาะสมกับพลังหลอมปราณขั้นที่ห้ามาหนึ่งขวด โอสถลูกกลอนนี้ราคาไม่ธรรมดา เดิมทีไป๋เสี่ยวฉุนคิดว่าตนมีคะแนนคุณความดีหมื่นคะแนนก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าโอสถวิเศษที่นี่จะแพงยิ่งกว่า
“ลูกกลอนวิเศษชิงเสินอวิ้น” ไป๋เสี่ยวฉุนมองขวดลูกกลอนในมือ ด้านในมีลูกกลอนอยู่สามเม็ด เพียงสามเม็ดนี้ก็เสียคะแนนความดีของเขาไปถึงสี่พันกว่า
แต่ว่าลูกกลอนชนิดนี้ไม่ใช่โอสถลูกกลอนของลูกศิษย์ขั้นหลอมปราณทั่วไป ให้ผลลัพธ์ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่มีสรรพคุณมากกว่าโอสถวิเศษทั่วไป ยังมีผลของพลังสะกดทางวิญญาณอันบริสุทธิ์อย่างดีอีกด้วย
ไป๋เสี่ยวฉุนครุ่นคิดมาแล้วว่าพลังขั้นที่ห้าของการหลอมปราณยังรับประกันความปลอดภัยให้ไม่ได้ ดังนั้นจึงวางแผนว่าคราวนี้จะต้องฝ่าไปให้ถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้า
ส่วนการหลอมปราณขั้นที่หกนั้น เขาเคยคิดว่าจะใช้วิธีนี้มาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่หากทำเช่นนี้จริง ไป๋เสี่ยวฉุนก็นึกภาพออกเลยว่าหลี่ชิงโหวจะต้องเปลี่ยนวิธีใหม่มาลงโทษตนอีกอย่างแน่นอน
สำหรับคะแนนคุณความดีที่เหลือไป๋เสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ใช้สิ้นเปลือง นำไปแลกยันต์สำหรับใช้ป้องกันตัวแบบใช้ได้ครั้งเดียวมาทั้งหมด เมื่อนำสิ่งของพวกนี้มาไว้ที่ตัวเขาถึงรู้สึกมั่นคงขึ้นมาบ้าง
หากไม่ใช่เพราะคะแนนคุณความดีไม่พอ เขายังคิดจะไปหอเก็บทรัพย์เพื่อแลกอาวุธของขั้นหลอมปราณมาใช้ด้วย ตอนนี้จึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิด หลังจากกลับมาถึงเรือนแล้ว สายตาของไป๋เสี่ยวฉุนแน่วแน่ นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในเรือน หยิบโอสถลูกกลอนออกมาพลางก้มมอง
“มีเวลาเหลือไม่ถึงสามเดือน ข้าจะกักตนฝึกวิชา!” เขากัดฟัน หลังจากมองไปรอบด้าน มือขวาก็ทำมุทราแล้วชี้ หม้อรูปกระดองเต่าพลันปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบหางของไก่หางวิเศษออกมาสะบัดหนึ่งที ไฟสามสีก็ปรากฏ
หางเดียวไม่สามารถตอบสนองความต้องการของหม้อกระดองเต่าได้ ต้องใช้ถึงสิบหางลายเส้นสามเส้นแรกถึงได้สว่างวาบขึ้นมา ไป๋เสี่ยวฉุนนำโอสถลูกกลอนสามเม็ดหลอมพลังจิตทั้งหมดสามครั้งรวดเดียว
จากนั้นก็หยิบเอาลูกกลอนวิเศษชิงเสินอวิ้นที่มีลายเส้นสีเงินสามเส้นขึ้นมาหนึ่งเม็ด กลืนเข้าปากไป
เมื่อโอสถลูกกลอนเข้าปากก็หลอมละลายโดยพลัน พลังสะกดทางวิญญาณมหาศาลระเบิดตูมตามออกมา ไป๋เสี่ยวฉุนรีบทำท่าและหายใจตามวิธีของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางทันที ตั้งสมาธิแน่วแน่ ชักนำการโคจรของพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายโดยไม่หยุดพัก
หลังจากผ่านไปหลายวันเสียงตูมก็ดังสนั่นเรือนของไป๋เสี่ยวฉุน ฝุ่นดินมหาศาลลอยคละคลุ้งราวกับถูกโจมตีจากด้านในจนฟุ้งกระจายมาด้านนอก หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงหัวเราะของไป๋เสี่ยวฉุนลอยออกมาจากในเรือน
“พลังการหลอมปราณขั้นที่ห้า!” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาเปล่งประกายสดใส ก่อนหน้านี้เขากินไก่หางวิเศษไปตั้งมากมาย เดิมก็ถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่สี่แล้ว และยังกลืนกินโอสถลูกกลอนเข้าไปอีกหนึ่งเม็ดจึงฝ่าทะลวงขั้นได้ราบรื่นอย่างถึงที่สุด เข้าสู่การหลอมปราณขั้นที่ห้า
ร่างกายของเขามีคราบสกปรกปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้ง แต่กลับน้อยกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด หลังจากชำระล้างร่างกายแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้กินโอสถลูกกลอนอีกในทันทีแต่กลับฝึกวิชาอย่างตั้งใจ ผ่านไปอีกห้าวันเขาถึงได้กลืนลูกกลอนวิเศษชิงเสินอวิ้นเม็ดที่สองซึ่งผ่านการหลอมพลังจิตสามครั้งแล้วลงไป คราวนี้พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายเต็มแน่น แม่น้ำลมปราณเส้นยาวของเขายิ่งขยายใหญ่ ไหลทะลักอยู่ในร่างกาย ทำให้พลังจากการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งช่วงใหญ่
แล้วก็ตั้งใจฝึกฝนอีกหลายวัน เขาถึงได้กลืนลูกกลอนวิเศษชิงเสินอวิ้นเม็ดที่สามลงไป พลังฝ่าไปถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้าได้ในรวดเดียว
มาถึงตอนนี้ระหว่างที่เขาขยับแขนขาเบาๆ มองดูแล้วเหมือนร่างทั้งร่างต่างไปจากก่อนหน้านี้ ไม่ต้องพูดถึงผิวพรรณที่ขาวผ่องยิ่งขึ้น กระทั่งคุณลักษณะเฉพาะตัวก็ยังปรากฏออกมามากขึ้นด้วย
นี่ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกบานใจอย่างยิ่ง เขาเองก็รู้ดีว่าหากเป็นศิษย์คนอื่นที่ฝึกได้ถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่สี่กินโอสถสามเม็ดนี้เข้าไป อย่างมากที่สุดก็แค่ฝ่าทะลวงไปถึงการหลอมปราณขั้นที่ห้าเท่านั้น ไม่มีทางบรรลุถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้าอย่างเขาได้แน่นอน ห่างจากการหลอมปราณขั้นที่หกก็เหมือนว่าขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือพลังจิตของหม้อกระดองเต่า
อำนาจของของสิ่งนี้ยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นตามการฝึกบำเพ็ญเพียรของไป๋เสี่ยวฉุน ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนแปลกใจอยู่ตลอดว่าหม้อกระดองเต่าใบนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่
มองแล้วเหมือนกระดองเต่า แต่เขาก็พบอีกว่ามันไม่ใช่
ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการหลอมพลังจิต เขาก็สืบข่าวมาจนรู้แน่ชัดแล้วว่าบนเขาจื่อติ่งจะมีสถานที่สำหรับหลอมพลังจิตโดยเฉพาะ หลังจากจ่ายเป็นคะแนนคุณความดีไปบางส่วนแล้ว สามารถให้ผู้อาวุโสของสำนักที่อยู่ที่นั่นช่วยหลอมพลังจิตให้ได้ ส่วนปรมาจารย์ใหญ่ของเขาจื่อติ่งนั้นได้ยินมาว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตท่านหนึ่ง
ยามลูบคลำลายเส้นของด้านหลังหม้อกระดองเต่า แววตาไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ส่ายหัว ในเมื่อไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปสนใจมันก่อนแล้วกัน เขายกมือขวาขึ้นมาสะบัดหนึ่งที ด้านหน้าก็ปรากฏเป็นหยกสีเขียวหนึ่งชิ้นและกระบี่ไม้หนึ่งเล่ม
ไป๋เสี่ยวฉุนมองไปยังอาวุธเพียงสองอย่างที่ตนเองมีในตอนนี้ก็กัดฟัน หยิบหางวิเศษออกมาอีกครั้ง เตรียมนำวัตถุสองชิ้นนี้มาหลอมพลังจิตให้ได้ถึงครั้งที่สาม
“ไม่รู้ว่าหลังหลอมพลังจิตสามครั้งแล้ว กระบี่ไม้และหยกชิ้นนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า”
มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนโบกหนึ่งครั้ง หลังจากลายเส้นทั้งสามของหม้อกระดองเต่าสว่างขึ้นมาแล้วก็โยนหยกลงไปในหม้อตรงๆ หลังจากแสงสีเงินกะพริบวาบขึ้น เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งฟ้าผ่าก็ดังออกมา ยังดีที่ดังไปไม่ไกลนักจึงไม่มีใครให้ความสนใจเท่าไร
จนกระทั่งแสงสีเงินหายไปหมด บนหยกสีเขียวด้านหน้าไป๋เสี่ยวฉุนก็มีลายเส้นสีเงินโผล่พรวดขึ้นมาสามเส้น เส้นสีเงินนี้เปล่งแสงวิบวับก่อนจะค่อยๆ ทึบจางลง แต่ไป๋เสี่ยวฉุนกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีที่อยู่บนหยกชิ้นนี้ต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ถึงขั้นที่ว่าในแสงสีเขียวยังปรากฏเส้นแสงสีม่วงให้เห็นเลือนราง ราวกับถูกเลี่ยมลงในหยกชิ้นนี้ แม้แต่รูปร่างของหยกก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ได้เป็นทรงไข่อีกต่อไป แต่กลมมนมากขึ้นราวกับจะกลายมาเป็นทรงกลม
ไป๋เสี่ยวฉุนหยิบหยกขึ้นมา หลังจากหลอมรวมพลังสะกดทางวิญญาณแล้วเสียงตูมก็ดังขึ้นหนึ่งที รอบกายของเขาพลันปรากฏวงแสงสีเขียวหนึ่งชั้น หนาประมาณสามฉื่อกว่า มองดูแล้วน่าตะลึงอย่างมาก
บทที่ 29
ยกหนักเสมือนเบา
ไป๋เสี่ยวฉุนลองทดสอบระดับการป้องกันดูก็หัวเราะร่าทันที จากนั้นมองไปยังกระบี่ไม้ของตนเองด้วยแววตาร้อนแรง กระบี่ไม้นี้เขาได้รับมาครอบครองตอนเข้าสำนัก อยู่กับเขามาจนถึงตอนนี้ ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้ง
“ดูจากระดับการป้องกันของหยกชิ้นนี้ หลังจากข้าหลอมพลังจิตให้กระบี่ไม้เป็นครั้งที่สามแล้ว พลานุภาพจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!” ไป๋เสี่ยวฉุนอมยิ้มน้อยๆ เริ่มทำการหลอมพลังจิตกระบี่ไม้เล่มเล็กนี้
หลังจากแสงสีเงินสว่างวาบและประกายแสงในหม้อกระดองเต่าสลายไป กระบี่ไม้เล่มเล็กที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าไป๋เสี่ยวฉุนก็มีลายเส้นสีเงินเส้นที่สามเจิดจ้าบาดตา ผ่านไปนานถึงได้ค่อยๆ จางลง ขณะเดียวกันรูปร่างของกระบี่ไม้เล่มนี้ก็เปลี่ยนแปลงด้วยเล็กน้อย มันยาวกว่าก่อนหน้านี้หนึ่งข้อนิ้ว อีกทั้งเส้นลายไม้ก็แทบจะเป็นสีม่วงอย่างสมบูรณ์
ถึงขั้นที่ว่ายังมีกลิ่นหอมกรุ่นกำจายออกมาด้วย เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมนี้ประหลาดนัก เมื่อสูดเข้าไปในโพรงจมูก แรกเริ่มคือกลิ่นหอมหวาน แต่ไม่นานก็ทำให้คนใจลอยเคลิบเคลิ้ม
ร่างไป๋เสี่ยวฉุนสะท้านไหว ดวงตาทั้งคู่กลับมามีสติอีกครั้ง มองกระบี่ไม้เล่มเล็กเล่มนี้อย่างตกตะลึง เมื่อค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาก็รู้สึกได้ทันทีว่าน้ำหนักของกระบี่ไม้เล่มเล็กนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว เมื่อถืออยู่ในมือราวกับถือก้อนหินที่หนักอึ้งก้อนหนึ่ง
ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงวาบ วางกระบี่ไม้เล่มเล็กไว้ด้านหน้าแล้วพิศมองอย่างละเอียด นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววครุ่นคิดลึกล้ำ
“เนื้อกระบี่ไม้เล่มนี้น่าจะเป็นไม้เฉินอวิ๋นที่ไม่ถือว่าหายาก ไม้เฉินอวิ๋นนี้เพียงแค่หลอมสี่สิบเก้าวันก็จะกลายเป็นวัตถุดิบที่ใช้หลอมอาวุธได้ อีกทั้งยังหลอมได้เป็นจำนวนมาก” ไป๋เสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา สายตากวาดมองไปยังลายเส้นบนกระบี่ไม้เล่มเล็ก
“ลายเส้นสีม่วง ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายได้อย่างเดียว กระบี่เล่มนี้หลังจากหลอมพลังจิตหลายครั้งแล้วจึงเกิดร่องรอยการเปลี่ยนแปลง” ไป๋เสี่ยวฉุนหลับตาลง ความรู้ด้านพืชหญ้าที่เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของไม้เฉินอวิ๋นผุดขึ้นในสมองทันที
ผ่านไปพักใหญ่เมื่อเขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น นัยน์ตาก็ฉายแววรอคอย มือขวาทำมุทราชี้ไปที่กระบี่ไม้เล่มเล็ก พลันกระบี่ไม้เล่มนี้ก็ส่องแสงสีดำวาบขึ้น มองเห็นแสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ภายในได้รางๆ พริบตาเดียวก็ลอยทะลุตัวเรือน ทั้งยังบินออกไปจากลานเรือนไกลเป็นสิบกว่าจั้ง ปักเข้าไปบนหินก้อนมหึมาก้อนหนึ่งโดยตรง
กระบี่ไม้เล่มเล็กนี้พุ่งทะลุเข้าไปโดยไร้สุ้มเสียง ทั้งยังหมุนทะลวงในหินใหญ่อีกหนึ่งรอบ แล้วจึงพุ่งทะลุออกมา พริบตาเดียวก็กลับมาอยู่เบื้องหน้าไป๋เสี่ยวฉุน
ตัวกระบี่ไม่มีร่องรอยเสียหายแม้แต่นิด กลับกันยังมีรัศมีความแหลมคมให้เห็นแวบวับอีกด้วย
ไป๋เสี่ยวฉุนฮึกเหิมขึ้นเป็นกำลัง ทั้งยังเอากระบี่ไม้เล่มเล็กมาพินิจพิจารณาอย่างละเอียดอยู่อีกครู่หนึ่ง หลังจากทาสีอำพรางลายเส้นสีเงินทั้งสามอีกครั้งแล้วถึงได้ผลักประตูไม้ออก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมจะพูดจาปลุกเร้ากำลังใจให้ตนเองรู้สึกฮึกเหิมสักหนึ่งประโยค แต่เมื่อนึกถึงการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋นในอีกสองเดือนกว่าข้างหน้าก็ให้รู้สึกว่ายังไม่มั่นคงปลอดภัย
“ไม่ได้ ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้เกรงว่าจะยังไม่พอ คนพวกนั้นแต่ละคนต้องโหดเหี้ยมดุร้ายมากอย่างแน่นอน ข้าต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้อีกหน่อยถึงจะดี” ไป๋เสี่ยวฉุนกัดฟัน นึกถึงระดับขั้นทั้งสองที่แนะนำเอาไว้ในวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง
ยกหนักเสมือนเบา ยกเบาเสมือนหนัก
สองระดับขั้นนี้คือวิชาแห่งการบรรลุซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง หากสามารถฝึกฝนได้จนถึงจุดสูงสุดก็จะสามารถสร้างพลังอภินิหารอย่างหนึ่งที่เรียกว่าลมปราณม่วงแปลงกระถางได้
ฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีในทุกวันนี้มีวิชาพื้นฐานคือพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง แทบทุกคนล้วนฝึกวิชานี้ เพียงแต่คนที่ฝึกได้ถึงขั้นยกหนักเสมือนเบานั้นมีไม่มากนัก ขั้นที่สองคือยกเบาเสมือนหนักก็ยิ่งมีให้เห็นน้อย ส่วนการฝึกจนถึงขั้นสูงสุด พัฒนาเป็นพลังอภินิหารลมปราณม่วงแปลงกระถางก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่
ต่อให้มีผู้บรรลุลมปราณม่วงแปลงกระถางจริง ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของยอดเขาจื่อติ่ง
“ยกหนักเสมือนเบา…มีเพียงบรรลุถึงขั้นการควบคุมวัตถุเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถทำให้ความมั่นใจของข้าเพิ่มสูงขึ้นมาได้” ไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงคำแนะนำจากตำราแล้วก้มลงมองกระบี่ไม้เล่มเล็กในมือ
การต่อสู้ของเขากับสวี่เป่าไฉในปีนั้นถูกกลุ่มคนของฝ่ายตรวจการและฝ่ายครัวไฟเข้าใจผิดว่าบรรลุถึงขั้นยกหนักเสมือนเบาแล้ว เมื่อมาย้อนคิดดูในเวลานี้ สมองของไป๋เสี่ยวฉุนก็มีแสงเลือนรางอย่างหนึ่งเปล่งวาบแล้วหายไป
“ที่ข้าถูกเข้าใจผิดว่าบรรลุถึงขั้นยกหนักเสมือนเบาเป็นเพราะสามารถควบคุมกระบี่ไม้ได้ตามใจ แต่สาเหตุจริงๆ เกินกว่าครึ่งในนั้นคือตัวกระบี่ไม้ที่ผ่านการหลอมพลังจิตจนมีพลานุภาพไม่ธรรมดาต่างหาก แต่ที่จริงข้ายังควบคุมกระบี่ไม้ไม่ถนัดเท่าไรนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องยกหนักเสมือนเบา…” ไป๋เสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ถือโอกาสนั่งขัดสมาธิในลานเรือน ก้มหน้ามองกระบี่ไม้ ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ เลื่อนลอย แต่กลับมีเส้นเลือดฝอยค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ยกมือขวาขึ้นกะทันหัน กระบี่ไม้เล่มเล็กบินลอยตามออกมา ฟันฉับลงไปข้างหน้าแรงๆ หนึ่งที เสียงลมวืดวาดพัดฝุ่นผงบนพื้นดินจำนวนไม่น้อยให้ลอยขึ้น คิ้วของไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งขมวดแน่น มือขวาทำมุทราชี้ไปอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่เขาชี้ไม่ใช่กระบี่ไม้แต่เป็นก้อนหินใหญ่ด้านนอกที่เมื่อครู่เพิ่งถูกกระบี่ไม้แทงทะลุไป
เพียงแค่ชี้ ก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นก็สั่นไหวขึ้นมาทันที หลังจากค่อยๆ ลอยสูงขึ้นประมาณหนึ่งฉื่อ พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายไป๋เสี่ยวฉุนก็ไม่มั่นคง ก้อนหินใหญ่ร่วงลงมาอีกครั้งดังโครม
แต่ไป๋เสี่ยวฉุนไม่เพียงไม่เสียใจ กลับกันดวงตาทั้งคู่ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น เขามุ่งมั่นโคจรพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกาย ยกนิ้วขึ้นมาชี้อีกครั้ง
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ตลอดครึ่งเดือนมานี้ไป๋เสี่ยวฉุนแทบจะทดลองควบคุมหินก้อนใหญ่นั้นอยู่ตลอดเวลา หินก้อนนี้สูงเทียบเท่าร่างสามคนกว่าต่อกัน น้ำหนักไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดร้อยจิน*ต่อให้ไป๋เสี่ยวฉุนฝึกได้ถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้าแล้ว คิดจะควบคุมวัตถุนี้โดยสมบูรณ์ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายนัก
นี่ยังเป็นเพราะพลังในร่างกายของเขามีการเค้นพลังบริสุทธิ์สำหรับฝึกวิชาจึงทดลองทำได้ หากเปลี่ยนเป็นการหลอมปราณขั้นที่ห้าของคนอื่น อย่างมากที่สุดก็คือทำให้หินใหญ่ก้อนนี้ลอยขึ้นมาได้เพียงไม่กี่ฉื่อเท่านั้น
ไป๋เสี่ยวฉุนในยามนี้ได้พยายามโดยไม่ย่อท้อมาตลอดหนึ่งเดือน ค้นพบจุดที่ยากลำบากที่สุดในการควบคุมหินก้อนใหญ่นี้ของตนเองนานแล้ว ไม่ใช่เพราะพลังสะกดทางวิญญาณไม่พอ แต่เป็นเพราะควบคุมได้ไม่มั่นคง เห็นๆ อยู่ว่าพลังสะกดทางวิญญาณยังมี แต่มักหยุดชะงักไปกลางคัน
“พลังสะกดทางวิญญาณกลายเป็นเส้นไหมที่หมุนเวียนด้วยความเร็วมั่นคง ทำให้ไหมเส้นนี้ไม่มีทางหลุดขาดได้ นี่จึงจะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมวัตถุ” นัยน์ตาไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พึมพำเสียงแหบแห้ง
นี่ก็เหมือนกับเส้นบะหมี่ที่ชาวบ้านธรรมดาเป็นผู้ทำขึ้นมา ดึงเส้นเร็วเกินไปจะทำให้เส้นขาดออกจากกัน หากช้าเกินไปก็ไม่อาจดึงให้เส้นยาวมากขึ้นอีก จำเป็นต้องกะประมาณความเร็วให้ดีถึงจะชำนาญจนทำออกมาได้ดั่งใจ
ส่วนการควบคุมวัตถุของผู้บำเพ็ญเพียร หากคิดจะบรรลุถึงระดับเหนือสามัญก็จำเป็นต้องรักษาความเร็วที่ว่านี้ให้มั่นคงถึงจะได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าความยากจึงเพิ่มมากขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว ยกหนักเสมือนเบาที่ว่านี้ไม่ได้หมายความตามตัวอักษร ควบคุมวัตถุหนักมีความรู้สึกเหมือนเบานี้เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น ความหมายแท้จริงไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับการควบคุมพลังสะกดทางวิญญาณ!”
“พลังสะกดทางวิญญาณของการหลอมปราณขั้นที่ห้าของข้าก็คือคำว่าหนัก และจะนำมันมาทำให้กลายเป็นเส้นไหมที่เล็กแต่ไม่ขาดเส้นหนึ่งได้ก็คือคำว่าเบา หากทำได้ก็คือยกหนักเสมือนเบา และเมื่อมองจากภายนอกก็คือระดับความเร็วหลังจากที่ฝึกจนชำนาญแล้ว!” สีหน้าไป๋เสี่ยวฉุนเผยความตื่นเต้น หลังจากที่เขาขบปัญหาข้อนี้แตกก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปก้อนนั้นก็สั่นไหว ถูกยกลอยขึ้นทันควัน
ราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งจับก้อนหินใหญ่นี้เอาไว้ หลังจากลอยขึ้นในอากาศจนเกิดเสียงดังฟู่หนึ่งทีก็ดิ่งทะยานมาหาไป๋เสี่ยวฉุน แต่พลันหยุดชะงักอยู่กลางอากาศแล้วร่วงกระแทกอยู่ในลานเรือน ยังผลให้ฝุ่นตลบคลุ้ง
ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ท้อถอย ทดลองทำต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขาพบว่าไม่ว่าตนจะทำเช่นไรก็คล้ายกับไม่สามารถทำได้ถึงขั้นรักษาพลังสะกดทางวิญญาณของตนเป็นดั่งเส้นไหมบางที่ไม่ขาดจากกันได้ตลอดรอดฝั่ง
มีบางครั้งที่แม้ว่าจะทำได้จริงแล้ว แต่ก้อนหินใหญ่หนักเกินไป ทำให้เส้นไหมพลังสะกดทางวิญญาณที่กำลังหมุนเวียนขาดออกจากกันเนื่องจากความไม่มั่นคง
แต่หากนำไปควบคุมกระบี่ไม้เล่มเล็กกลับไม่มีปัญหานี้ เพราะน้ำหนักของมันเทียบกับหินใหญ่ไม่ได้ เวลาที่ควบคุมไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกสบายกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งจากการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือน ความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาหลายส่วนด้วย
ในความเป็นจริงนี่ก็คือการยกหนักเสมือนเบาแล้ว แต่ไป๋เสี่ยวฉุนกลับไม่พอใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำ กัดฟันแรงๆ หนึ่งที ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเพิ่มพูนขึ้นมา
“ข้าไม่เชื่อหรอก!” มือขวาไป๋เสี่ยวฉุนทำมุทราแล้วชี้ หินใหญ่ก้อนนั้นก็ลอยมาอยู่เหนือศีรษะของเขา
หน้าผากของไป๋เสี่ยวฉุนมีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึม มองไปยังหินใหญ่เหนือศีรษะด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ทุ่มเทความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อรักษาเส้นไหมพลังจิตที่มองไม่เห็นเส้นนั้น คราวนี้หากมันขาดลง หลังจากหินก้อนใหญ่หล่นลงมา แม้ว่าจะไม่กระแทกหัวจนเขาตาย แต่ก็ต้องเจ็บปวดรุนแรงแน่นอน
เวลาที่ยืนหยัดได้ในครั้งนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อครึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงตูมดังหนึ่งที ไป๋เสี่ยวฉุนกรีดร้องโหยหวน หินใหญ่ก้อนนั้นร่วงลงมา ผ่านไปนานหินก้อนใหญ่ถึงได้ขยับ ไป๋เสี่ยวฉุนผลักมันออกไปแล้วปีนออกมาจากด้านใน
เขามีหนังเหล็กคงกระพันปกป้องจึงไม่มีบาดแผล แต่ความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาถึงกับต้องส่งเสียงโอดโอย
แต่วิญญาณนักสู้ของเขากลับรุนแรงยิ่งกว่า ภายใต้การทดลองอย่างไม่หยุดพักนี้เวลาก็ได้ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หินใหญ่ก้อนนั้นที่แต่เดิมทุกวันจะต้องร่วงลงมากระแทกวันละหลายครั้งก็ค่อยๆ กลายเป็นวันละครั้ง ท้ายที่สุดบางครั้งไป๋เสี่ยวฉุนยังถึงขั้นสามารถทำได้สำเร็จโดยไม่ล้มเหลวสักครั้งเลยตลอดทั้งวัน
ส่วนหินใหญ่ก้อนนั้นก็ถูกเขาค่อยๆ ยกขึ้นสูง อย่างมากที่สุดคือสูงถึงสิบกว่าจั้ง หากร่วงลงมากระแทกทั้งอย่างนี้ ความเจ็บปวดนั้นแม้จะเป็นไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ยังใบหน้าซีดเผือด
แต่มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้สมาธิเขาจดจ่อมารวมกันได้ถึงขั้นสูงสุด
และเขาก็ค่อยๆ ทำให้พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายยกหนักเสมือนเบา รักษาความมั่นคงได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการหยุดชะงักกลางคันเลยแม้แต่นิด แต่เขาก็ยังคงไม่พอใจ ดังนั้นจึงไม่นั่งขัดสมาธิต่อ แต่เปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวร่างกายไปพลาง รักษาเส้นไหมพลังสะกดทางวิญญาณไม่ให้ขาดไปพลาง
ระดับความยากเพิ่มมากขึ้น เสียงดังตูมตามในลานเรือนดังขึ้นทุกระยะอีกครั้ง
เวลาผันผ่านไปแต่ละวัน เมื่อเหลือเวลาแค่เพียงสามวันก็จะถึงการประลองเล็กที่หลี่ชิงโหวพูดถึง กลางอากาศที่ลานเรือนของไป๋เสี่ยวฉุนก็มีหินใหญ่หนักขนาดเจ็ดแปดร้อยจินก้อนหนึ่งลอยอยู่ ในลานมีร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาทำได้ถึงระดับเคลื่อนไหวร่างกายไม่หยุดไปด้วย ก้อนหินใหญ่ก็ยังคงลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อนไปด้วยได้แล้ว
เคลื่อนไหวอยู่นาน ร่างกายไป๋เสี่ยวฉุนก็ชะงัก หยุดยืนอยู่หน้ากระท่อม เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งที หินใหญ่ที่อยู่กลางอากาศก้อนนั้นลอยออกไปนอกลานเรือนดังวูบ ร่วงลงไปยังที่เดิมอย่างมั่นคง
ไป๋เสี่ยวฉุนทำมุทราชี้ไป กระบี่ไม้เล่มเล็กบินออกมา ยังคงตวัดฟันไปข้างหน้าอย่างเรียบง่ายเช่นเดิม แต่ความเร็วมีมากถึงระดับที่ทำให้มองเห็นตัวกระบี่ได้ไม่ชัด แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่านัก
ใบหน้าไป๋เสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความปีติ ทำมุทราอย่างรวดเร็ว
ความเร็วอย่างถึงที่สุดบวกกับพลานุภาพของกระบี่ไม้บรรลุไปถึงระดับที่สร้างความตกตะลึงได้ในทันที ชั่วพริบตาเดียวในลานเรือนก็ราวกับมีกระบี่ไม้เล่มเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา บินฉวัดเฉวียนแผ่รัศมี
สุดท้ายเขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที เงาลวงของกระบี่ไม้หายไปหมด เหลือคงอยู่เพียงเล่มเดียวที่พุ่งดิ่งมายังไป๋เสี่ยวฉุนและหายวับเข้าไปในถุงเก็บของของเขา
“เท่านี้ก็น่าจะสามารถเข้าเป็นห้าอันดับแรกได้แล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะยังรู้สึกว่าไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก แต่เวลาใกล้เข้ามาแล้ว เขาทำได้เพียงแค่รวบรวมสตินั่งขัดสมาธิ รักษาตนให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด
บทที่ 30
เข้ามาสิ!
สามวันต่อมา ยามเช้าตรู่
ไป๋เสี่ยวฉุนลืมตาตั้งแต่ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สมาธิแน่วแน่ถึงขีดสุด การประลองของสำนักเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าเพิ่งได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นที่มีเรื่องกับสวี่เป่าไฉไม่ถือว่าเป็นการต่อสู้อะไร เวลานี้ที่ต้องเข้าร่วมการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋นต่างหากถึงจะหมายถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ร่วมสำนักด้วยกันอย่างแท้จริง
ไป๋เสี่ยวฉุนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หลังจากจัดระเบียบถุงเก็บของอยู่สักพักก็เดินออกจากเรือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็ต้องวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ควานไปมาใต้เตียงเพื่อหาเสื้อหนังเมื่อครั้งอยู่ฝ่ายครัวไฟที่เก็บเอาไว้ออกมา สวมเข้าไปบนตัวทีละชุด จากนั้นก็เอาหยกออกมาแขวนในตำแหน่งที่สามารถใช้งานได้ทันที
หากไม่ใช่เพราะไม่สะดวกจะนำหม้อกระดองเต่าออกมา เขาก็อยากจะแบกมันไว้บนหลังเสียด้วยซ้ำ
“พลาดแล้ว ลืมเตรียมหม้อใหญ่ใบหนึ่งไปได้อย่างไรนะ” ไป๋เสี่ยวฉุนใจเสียที่พลาดไป แต่ไม่มีเวลาไปหาแล้ว ดังนั้นจึงกัดฟันยอมเดินออกจากเรือนอีกครั้ง ทอดสายตามองดวงอาทิตย์ที่อยู่แสนไกล นัยน์ตาของเขาเผยแววเด็ดเดี่ยว เชิดหน้ายืดอก เดินไปทางยอดเขา
เสื้อหนังที่อยู่บนตัวเขามีมากเกินไป แม้ว่าไม่มีหม้อสีดำ แต่มองดูแล้วก็ยังคงเหมือนบ๊ะจ่างก้อนหนึ่งอยู่ดี…แน่นจนลมไม่เล็ดลอด ทำให้เดินไปได้ไม่นานเท่าไร หน้าผากของไป๋เสี่ยวฉุนก็มีเหงื่อออก
แต่ต่อให้เหงื่อมีมากแค่ไหน เขาก็ไม่ถอดเสื้อหนังออกแม้แต่ชิ้นเดียว เขากังวลเรื่องการประลองเล็กอย่างมาก ในสมองจินตนาการแต่ภาพโหดร้ายทารุณอย่างไม่หยุดหย่อน เดินไปตามเส้นทางภูเขาก็ค่อยๆ มาถึงยอดเขา แต่ยอดเขายามเช้าตรู่หมอกหนาเกินไป ไป๋เสี่ยวฉุนเดินๆ อยู่ก็พลันพบว่าตนเดินเลี้ยวมาที่ใดแล้วก็ไม่รู้
“ไม่ถูกสิ…” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบหาคนสอบถามถึงได้เปลี่ยนทิศทาง หัวใจเต้นกระหน่ำกลัวว่าจะไปสาย
บนยอดเขาของเขาเซียงอวิ๋นมีลานประลองยุทธ์อยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่ก็คือสถานที่จัดการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋น เวลานี้มีผู้คนมาห้อมล้อมอยู่ไม่น้อยแล้ว ต่างกำลังพูดคุยกันเสียงเบา
ในนั้นยังมีพวกศิษย์ที่ฝึกพลังจนเกินการหลอมปราณขั้นที่ห้าไปแล้วอยู่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนนั่งกอดอก มองไปยังศิษย์น้องชายหญิงเหล่านั้น ท่าทีเช่นนี้แน่นอนว่าช่วยสร้างความน่าเกรงขามได้มาก
การประลองเล็กของศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋นประเภทนี้ แม้จะไม่ใช่งานทางการเท่าไรนัก แต่กลับเป็นสถานที่ให้ศิษย์ฝ่ายนอกได้แสดงฝีมือ ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมถึงยี่สิบกว่าคน ส่วนใหญ่ล้วนนั่งขัดสมาธิ เตรียมตัวด้วยความจริงจังอย่างยิ่งอยู่รอบๆ ลานประลองยุทธ์
ในนั้นไม่มีใครที่มีพลังแค่การหลอมปราณขั้นที่สาม แม้ว่ากฎของการประลองเล็กฝ่ายนอกนี้จะบอกไว้ว่าผู้มีพลังการหลอมปราณขั้นที่สาม สี่ ห้าล้วนเข้าร่วมได้ แต่ในความเป็นจริงคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังถึงการหลอมปราณขั้นที่ห้า ต่อให้เป็นการหลอมปราณขั้นที่สี่ก็มีเพียงห้าหกคนเท่านั้น
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหญิงสาวที่โดดเด่นมากผู้หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง เมื่ออยู่ภายใต้อาภรณ์ของศิษย์ฝ่ายนอกก็สามารถมองเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รางๆ ทรวดทรงองค์เอวงดงามทำให้คนมองจินตนาการไปไกล
ผิวพรรณขาวดั่งหิมะ ใต้คิ้วที่โค้งดุจกิ่งหลิ่วมีดวงตาคู่งามเป็นประกายดั่งสายน้ำ ใบหน้างามล้ำ โดยเฉพาะกางเกงที่สวมอยู่ใต้เสื้อคลุมยาวที่มองดูแล้วใหญ่โคร่ง แต่ตรงตำแหน่งสะโพกกลับแน่นเปรี๊ยะอย่างน่าตะลึง เผยให้เห็นส่วนนุ่มหยุ่นอย่างน่าตกใจ
รอบกายนางมีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยรายล้อม เห็นได้ชัดว่านั่นคือคนที่ชื่นชอบหญิงสาวผู้นี้
หญิงสาวผู้นี้คือศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งที่แม้ชื่อเสียงจะเทียบโจวซินฉีไม่ได้แต่ก็โด่งดังอยู่มากทีเดียว นางคือตู้หลิงเฟย
“การประลองเล็กครั้งนี้ ดูจากพลังขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้าของศิษย์พี่หญิงตู้ก็น่าจะได้เป็นอันดับหนึ่งแล้ว ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลเลย”
“ศิษย์พี่เฉินจื่ออ๋างก็ดูถูกไม่ได้นะ ได้ยินว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาฝึกวิชาจนทะลวงฝ่าไปอีกขั้นได้แล้ว แม้จะไม่ใช่ขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้าแต่ก็ใกล้เคียงแล้ว” ขณะที่คนรอบด้านวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา ไม่ห่างจากตู้หลิงเฟยนักนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วยใบหน้าลำพองใจ เขาก็คือเฉินจื่ออ๋างผู้ที่ตะลึงงันไปกับต้นไผ่ของไป๋เสี่ยวฉุนตอนที่หอส่งมอบภารกิจนั่นเอง
เมื่อเขามองไปยังตู้หลิงเฟย ดวงตาก็เปล่งแสงแวววับ ในใจขบคิดว่าครั้งนี้ตนไม่มีทางได้อันดับหนึ่งแน่นอน แต่อันดับที่สองต้องเป็นของตนอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจจะถือโอกาสนี้มาทำความคุ้นเคยใกล้ชิดกับตู้หลิงเฟยได้อีกสักหน่อย
ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่นั้น สายรุ้งเส้นยาวสองเส้นถลาเข้ามาจากจุดไกลๆ พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ จากนั้นก็แปลงเป็นร่างของหลี่ชิงโหว ข้างกายเขายังมีผู้เฒ่าอีกหนึ่งคน ผู้เฒ่าผู้นี้ผอมแห้ง ผิวคล้ำเล็กน้อย แต่ดวงตาทั้งคู่กลับแจ่มใสอย่างยิ่ง ลักษณะของเขาให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเข้มงวดมาก
ทันทีที่หลี่ชิงโหวปรากฏตัว ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดโดยรอบล้วนตกใจไปตามๆ กัน รีบทำท่าคารวะ
“คารวะปรมาจารย์ใหญ่ ท่านผู้เฒ่าซุน” แต่ละคนพากันสงสัยว่าเหตุใดวันนี้ปรมาจารย์ใหญ่ถึงมาด้วยตัวเอง ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาการประลองเล็กระดับนี้ ส่วนใหญ่มีแต่ท่านผู้เฒ่าซุนผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นประธาน
พวกตู้หลิงเฟยและเฉินจื่ออ๋างก็ตะลึงไปเช่นกัน คารวะหลี่ชิงโหวอย่างเคารพเลื่อมใส
หลี่ชิงโหวพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าอ่อนโยนขณะกวาดสายตามองเหล่าลูกศิษย์ทุกคนรอบกายกลับก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อมองไม่เห็นไป๋เสี่ยวฉุน
เมื่อสังเกตเห็นว่าหลี่ชิงโหวขมวดคิ้ว ใจของศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านล้วนเต้นตึกตัก ขนาดตู้หลิงเฟยเองก็ยังเครียดไปด้วย ไม่รู้ว่าปรมาจารย์ใหญ่ไม่สบอารมณ์ด้วยเรื่องอันใด
“ปรมาจารย์ใหญ่ เริ่มได้หรือยัง” ผู้เฒ่าซุนที่อยู่ข้างกายหลี่ชิงโหวเอ่ยปากเนิบๆ
หลี่ชิงโหวกำลังจะพูด แต่เวลาเดียวกันนั้น ตรงจุดไกลๆ ก็มีร่างหนึ่งซึ่งทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ต่างไปจากลูกกลมลูกเล็กกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว วิ่งไปด้วยร้อนใจไปด้วย
“หลงทางเสียแล้ว หมอกหนาเกิน…” ไป๋เสี่ยวฉุนวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ เมื่อเห็นหลี่ชิงโหวจึงรีบเอ่ยปากทันใด ในใจก็ให้รู้สึกไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย เขาไม่คุ้นชินกับเส้นทางบนยอดเขาเอามากๆ ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ แถมหมอกก็หนาขนาดนั้น ในใจเขามีเรื่องให้ขบคิดจึงเดินไปผิดทางโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาพูดออกมา ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนในบริเวณนั้นก็พากันหันไปมองอย่างอดไม่อยู่ ในนั้นมีบางคนที่รู้จักไป๋เสี่ยวฉุน ได้ยินประโยคนี้เข้าก็หัวเราะเสียงเบาออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็ล้วนพากันขมวดคิ้วฉับ บางคนถึงขั้นเผยสายตาดูถูกออกมาด้วยซ้ำ
สามารถหลงทางบนเขาเซียงอวิ๋นได้ ก็เข้าใจได้อย่างเดียวว่าปกติแล้วคนตรงหน้านี้ไม่เคยมายังยอดเขา ไม่ได้ให้ความสนใจการประลองของสำนักเลยสักนิด ส่วนมากมักเป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไปที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ช่วงกลางของภูเขาเท่านั้น
ตู้หลิงเฟยมองไป๋เสี่ยวฉุนทีหนึ่ง จำได้ว่าไป๋เสี่ยวฉุนคือหนึ่งในศิษย์สำนักที่ช่วงก่อนหน้านี้ยกยอปอปั้นโจวซินฉี ได้ยินว่าตอนที่จับโจรขโมยไก่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดกำลัง จึงนึกเหยียดหยามในใจ ดึงสายตากลับมา เมินเขาไปเสีย
เฉินจื่ออ๋างที่อยู่ในกลุ่มคน เมื่อเห็นไป๋เสี่ยวฉุนเข้าก็อึ้งงัน เขากวาดสายตาไปมองหลี่ชิงโหวโดยไม่รู้ตัว ในใจนึกถึงประโยคที่ไป๋เสี่ยวฉุนบอกตอนก่อนจะไปจากหอส่งมอบภารกิจว่าหลี่ชิงโหวคืออาของเขา ก็พลันเข้าใจสาเหตุที่หลี่ชิงโหวขมวดคิ้วเมื่อครู่ ในใจครุ่นคิดว่าเมื่อถึงคราวต้องลงมือ หากเจอกับไป๋เสี่ยวฉุน จะตีเขารุนแรงเกินไปนักไม่ได้
หลี่ชิงโหวส่งเสียงหึเย็นชาหนึ่งที จ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็งด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ให้กับผู้เฒ่าซุนที่อยู่ข้างกาย
ผู้เฒ่าซุนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนทีหนึ่ง หัวเราะออกมาแล้วค่อยสะบัดปลายเสื้อแขนยาวครั้งหนึ่ง
“เอาล่ะ ผู้ที่อยากจะเข้าร่วมการประลองเล็กฝ่ายนอก เดินขึ้นมา”
เมื่อเห็นหลี่ชิงโหวจ้องตน ไป๋เสี่ยวฉุนก็ให้รู้สึกอดสูยิ่งนัก ได้แต่โกรธแต่ไม่กล้าพูด ในเวลานี้ได้ยินประโยคนี้ของผู้เฒ่าซุนจึงพุ่งออกไปเป็นคนแรก ยืนอยู่บนแท่นประลอง เชิดหน้ายืดอกด้วยท่าทางต่อให้ขึ้นเขามีดลงทะเลไฟก็ไม่หวาดหวั่น
ไม่นานทุกคนก็เดินขึ้นแท่นประลองครบ รวมไป๋เสี่ยวฉุนเข้าด้วยก็มีศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดยี่สิบคน
การประลองเล็กนี้จัดกันเองบนเขาเซียงอวิ๋น จึงไม่เคร่งครัดด้านกฎเกณฑ์เท่าไรนัก ผู้เฒ่าซุนกวาดสายตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นหยิบถุงผ้าหนึ่งใบออกมา ด้านในมีลูกกลมเล็กแห้งอยู่หลายลูก แต่ละลูกมีเครื่องหมายอยู่ ให้ศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนเดินหน้ามาหยิบเองเพื่อตัดสินว่าจะได้ต่อสู้กับผู้ใด
ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้เป็นคนแรกที่เดินเข้าไป แต่มาแทรกอยู่ตรงกลาง เดินไปหยิบลูกกลมออกมาหนึ่งลูก ด้านบนเขียนว่าสิบเอ็ด
“เอาล่ะ ทุกคนถอยไปกันให้หมด รอบแรก การต่อสู้ของหนึ่งสอง!” หลังจากผู้เฒ่าซุนเอ่ยปากเนิบนาบแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็รีบตามคนอื่นออกไปจากแท่นประลองยุทธ์ มีเพียงลูกศิษย์ที่หยิบลูกกลมได้ลูกที่หนึ่งและสองเท่านั้นที่ยังอยู่บนแท่น สองคนนี้หลังจากมองกันและกันแล้ว นัยน์ตาต่างก็เผยประกายแหลมคม
จากนั้นก็พุ่งเข้าโรมรันกันอย่างรวดเร็ว เสียงปึงปังดังออกมา ขณะที่ทั้งสองคนต่อสู้กัน ไป๋เสี่ยวฉุนมองเปะปะไปรอบกาย ในใจเขาแอบคำนวณการประลองของคนยี่สิบคน ขอเพียงตนชนะสองครั้งก็ติดหนึ่งในห้าได้อย่างมั่นคงแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะมองหาศิษย์คนที่หยิบลูกกลมได้ลูกที่สิบสอง แต่คนพวกนั้นล้วนเก็บซ่อนลูกกลมเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่นิด
ขณะกำลังหน้าม่อยคอตก การประลองรอบแรกก็จบลง รอบที่สองเริ่มขึ้น ผู้ที่ลงแข่งคือตู้หลิงเฟย ระหว่างที่หญิงสาวทำมุทรา ธงผืนหนึ่งก็ปรากฏออกมากลายเป็นกลุ่มหมอกโอบล้อมศิษย์คนที่ต่อสู้กับนางเอาไว้ ศิษย์คนนั้นเดินไปมาอยู่นานก็บุกออกจากไอหมอกไม่ได้ จึงยอมแพ้ไปอย่างราบคาบ
รอบที่สาม รอบที่สี่เองก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนรอบที่ห้าเป็นการแสดงฝีมือของเฉินจื่ออ๋าง โจมตีศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่ขั้นที่สี่ของการหลอมปราณให้พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วง่ายดาย
“ลูกกลมที่สิบเอ็ด ลูกกลมที่สิบสอง ลงประลอง” เมื่อเสียงของผู้เฒ่าซุนดังมา ไป๋เสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากมายืนอยู่บนลานประลองแล้ว เขามองเห็นชายหนุ่มผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ
ชายหนุ่มผู้นี้มีพลังไม่ธรรมดา อยู่ในขั้นที่ห้าของการหลอมปราณเช่นเดียวกัน สายตาประดุจสายฟ้า มองดูแล้วไม่น่าไปมีเรื่องด้วย
“ศิษย์น้อง เจอกับข้าถือว่าเจ้าโชคร้ายแล้ว ยอมแพ้ตอนนี้ยังทันนะ มิเช่นนั้นล่ะก็หลังจากประลองยุทธ์ไปแล้ว บาดเจ็บขึ้นมาต้องรับผิดชอบเอง” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยปากเสียงเย็น
ชั่วพริบตาที่เขาเอ่ยคำพูดนั้น ไป๋เสี่ยวฉุนก็คำรามเสียงดังขึ้นมาหนึ่งที
เสียงคำรามนี้มีพลังมากพอ สะท้านสะเทือนจนคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่รอบทิศยังตกตะลึง ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นก็ใจสั่นเช่นกัน ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนอีกครั้งกลับอึ้งงันไปครู่หนึ่ง
เห็นเพียงว่าหลังจากที่ไป๋เสี่ยวฉุนคำรามเสียงดังแล้วก็ตบหยกสีเขียวบนตัว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเส้นหนาก็ปรากฏพรวดออกมาปกคลุมทั้งบริเวณ เขายังรู้สึกไม่วางใจจึงหยิบกระดาษยันต์ปึกใหญ่ที่อยู่ในถุงผ้าออกมาอีก เอามาแปะไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่ยันต์กระทบลงไปก็จะมีแสงสว่างวาบขึ้นหนึ่งที ไม่นานแสงสว่างบนร่างของเขาก็มีถึงสิบกว่าเส้น รวมตัวกันแน่นขนัด กลายเป็นพลังคุ้มกันหนาถึงสี่ฉื่อกว่า เมื่อมองไกลๆ สามารถทำให้คนตะลึงค้างได้ทีเดียว
“เข้ามาสิ!” เสียงของไป๋เสี่ยวฉุนดังลอดออกมาจากแสงคุ้มกันแผงนั้น จึงฟังอู้อี้อยู่มาก
ชายหนุ่มร่างผอมอึ้งงัน ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านเหล่านั้น รวมไปถึงกลุ่มคนที่เข้าร่วมการประลองล้วนตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขาเคยดูการประลองเล็กมาหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนป้องกันตัวเองถึงระดับนี้
ใบหน้าหลี่ชิงโหวบิดเบี้ยวเล็กน้อย ดวงตาเผยแววหน่ายใจ
เฉินจื่ออ๋างสูดลมหายใจเฮือก ในใจก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าไป๋เสี่ยวฉุนกับหลี่ชิงโหวมีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกันอย่างแท้จริง ส่วนตู้หลิงเฟยส่งเสียงหึเย็นชา สายตาก็ยิ่งดูถูกเหยียดหยาม
บนแท่นประลองยุทธ์ ท่ามกลางสายตาอึ้งงันของฝูงชน ชายร่างผอมฝืนคำรามเสียงเบาหนึ่งที มือทั้งสองทำมุทรา กระบี่ไม้เล่มหนึ่งก็ลอยออกมาทันใด พุ่งดิ่งตรงไปยังไป๋เสี่ยวฉุน
* ไป๋เสี่ยวฉุนต้องการหยอกโหวเสี่ยวเม่ยโดยเรียกเป็นชื่อ ‘เสี่ยวฉุน’ ของตัวเอง คำว่าเสี่ยว แปลว่า เล็ก/น้อย ส่วนฉุน แปลว่า บริสุทธิ์
*จื่อ หมายถึงสีม่วง ส่วนติ่ง คือภาชนะสามขา มีหูสองข้าง ชาวจีนสมัยโบราณใช้เป็นหม้อหุงต้ม กระถางธูป และเครื่องประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์
* ระยะแตกดับ เป็นหนึ่งหลักธรรรมในพระสูตรฝ่าหวาจิง (สัทธรรมปุณฑริกสูตร) ของมหายาน ว่ากันว่าการจะหลุดพ้นหรือไปสู่นิพพานจะมีด้วยกันสามระยะ นั่นคือระยะปลดปล่อย (ปราศจากความกังวล) ระยะแยกจาก (ห่างไกลความเกิดแก่เจ็บตาย) และระยะแตกดับ (การแตกดับของกิเลสทั้งปวงนำไปสู่การหลุดพ้น)
* แค้นใจเหล็กที่ไม่อาจหลอมเป็นเหล็กกล้า เป็นสำนวน หมายถึงตั้งความหวังไว้ที่คนคนหนึ่งมาก แต่ต้องเจ็บใจที่คนคนนั้นไม่มีการพัฒนา
* ชิงเสอ หมายถึงงูเขียว เมื่อรวมกับแซ่หลี่จึงกลายเป็น งูเขียวหลี่ (หลี่ชิงเสอ)
* ผืนหนังเสือ อุปมาถึงการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย
* จิน มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม เจ็ดแปดร้อยจินจึงหนักประมาณ 350-400 กิโลกรัม