• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์ 1 บทที่ 31 – 40

    บทที่ 31

    อัปยศนัก!

     

    กระบี่ไม้ของชายหนุ่มร่างผอมแห้งมีพลานุภาพไม่ธรรมดา แปลงเป็นสายรุ้งเส้นยาวเส้นหนึ่ง พุ่งดิ่งมาทางไป๋เสี่ยวฉุน แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ร่างกายของเขา ขณะที่อยู่ห่างไป๋เสี่ยวฉุนประมาณสี่ฉื่อ เมื่อกระบี่ไม้นี้กระแทกบนแสงคุ้มกันแน่นหนานั้นดังตึงหนึ่งทีก็ถูกดีดกลับมา

    ไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่ในแสงคุ้มกันดวงตาเปล่งประกายวาบ รู้สึกวางใจขึ้นมาทันที ไอแห้งๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถือโอกาสนั่งขัดสมาธิเสียเลย

    ฝูงชนรอบด้านมองหน้าสบตากัน พากันมองไปยังแสงป้องกันตัวรอบกายไป๋เสี่ยวฉุน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรไปชั่วขณะ พวกเขาเคยเห็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการป้องกันมาก่อน แต่กลับไม่เคยเห็น…คนที่ป้องกันตัวเช่นนี้

    ส่วนชายหนุ่มคนนั้นประเดี๋ยวก็หน้าแดง ประเดี๋ยวก็หน้าซีดสลับกัน กัดฟันแรงๆ หนึ่งที คำรามเสียงดังควบคุมกระบี่บิน ทำให้พลังของกระบี่ไม้เล่มนั้นเพิ่มพรวดขึ้นมาในทันที พุ่งดิ่งไปยังวงแหวนแสงคุ้มกัน

    เสียงดังตึงตังสะท้อนก้องไม่หยุด กระบี่ไม้เล่มนั้นบุกโจมตีครั้งแล้วครั้งแล้วและถูกดีดกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน สุดท้ายใบหน้าของชายหนุ่มร่างผอมก็ซีดเผือด พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายลดฮวบหายไปครึ่งใหญ่ ดวงตาเผยแววสิ้นหวัง

    เขาประลองวิชายุทธ์กับคนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เจอกับศัตรูที่เหมือนเต่าในกระดองเช่นนี้ แต่ในใจลึกๆ ก็ไม่ยอมแพ้ เขามาครั้งนี้ก็เพื่อช่วงชิงสามอันดับแรก เวลานี้จึงเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามก้อง ดวงตามีเส้นเลือดปรากฏ ตะโกนอย่างโกรธแค้นไปทางไป๋เสี่ยวฉุน

    “เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”

    “แน่จริงเจ้าก็เข้ามาเองสิ!” ไป๋เสี่ยวฉุนจะกลัวอีกฝ่ายได้อย่างไร ตะโกนยอกย้อนจากภายในแสงคุ้มกันด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่า

    แต่ละคนที่อยู่รอบด้านล้วนมีสีหน้าแปลกพิกล เมื่อมองมายังไป๋เสี่ยวฉุนล้วนเผยสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นกลับโกรธจนเส้นเอ็นเขียวปูดโปน กัดฟันพ่นเลือดสดๆ ออกมาหนึ่งคำ เลือดคำนั้นบินเข้าไปหลอมรวมในกระบี่ไม้ด้วยความรวดเร็ว ทำให้กระบี่ไม้เล่มนั้นกลายเป็นสีเลือดในชั่วพริบตา

    “คาถาโลหิตวิญญาณ!”

    “ถึงขั้นใช้คาถาชนิดนี้ ดูท่าคนผู้นี้จะโกรธจนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ!”

    ผู้คนรอบด้านส่งเสียงตกตะลึงในทันที และเวลาเดียวกันนี้ความเร็วของกระบี่ไม้สีเลือดก็เพิ่มพรวดขึ้น อานุภาพยิ่งขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว เมื่อแผ่แสงสีโลหิตไปทั่วบริเวณก็พุ่งดิ่งเข้าหาไป๋เสี่ยวฉุน

    เสียงตูมดังหนึ่งที กระบี่ไม้เล่มนี้สามารถแทงทะลุชั้นแสงไปได้ถึงสามชุ่น เสียงดังสนั่นไม่หยุดแต่กลับไม่อาจเข้าไปได้มากกว่านั้นแม้แต่นิด และเพราะใช้แรงมากเกินไป บนกระบี่ไม้จึงถึงขั้นมีรอยแตกร้าวปรากฏให้เห็นเป็นริ้วๆ

    พริบตาเดียว เสียงเปรี๊ยะก็ดังสะท้อนไปมา กระบี่ไม้เล่มนี้…ก็แตกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน หล่นร่วงลงบนพื้นดินต่อหน้าแสงคุ้มกันของไป๋เสี่ยวฉุน

    ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มร่างผอมแข็งทื่อ เขากระอักเลือดสดๆ ออกมา พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายแห้งเหือด อาวุธวิเศษถูกทำลาย โมโหจนสลบไปแล้ว

    หลี่ชิงโหวเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ สีหน้าก็ยิ่งน่าเกลียด ผู้เฒ่าซุนเองก็หัวเราะขื่นๆ รุดหน้าไปดูชายร่างผอม หลังจากตรวจดูแล้วว่าไม่เป็นอะไรมากก็ให้คนแบกเขากลับไปแล้วถึงได้กระแอมออกมาหนึ่งที ประกาศว่าไป๋เสี่ยวฉุนเป็นผู้ชนะ

    “หามิได้ๆ!” แสงรอบกายไป๋เสี่ยวฉุนหายไปในบัดดล สีหน้าของเขาเคร่งขรึม หน้าตึงอกตั้ง แสดงท่วงท่าของผู้ที่ภาคภูมิใจในชัยชนะ เมื่อคำพูดเกรงอกเกรงใจของเขาเปล่งออกมา ชายหนุ่มร่างผอมที่ถูกแบกออกไปฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ยินเข้าพอดี ก็กระอักเลือดอีกครั้งแล้วสลบลงไปอีก

    ไป๋เสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที กำมือประสานหันไปทางผู้เฒ่าซุน หมุนตัวสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีก็เดินลงมาจากแท่นประลองยุทธ์

    เบื้องหลังเขานั้นศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้เข้าร่วมการประลองเหล่านั้นยังพอว่า อย่างมากก็แค่มีสีหน้าแปลกประหลาดเท่านั้น แต่เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการประลอง เมื่อมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน แต่ละคนล้วนมีสีหน้าปั้นยากเหยเก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชนะไปแล้วก่อนหน้านั้น เมื่อเห็นว่าขนาดชายร่างผอมยังโดนถึงขนาดนี้ ก็อดที่จะระแวดระวังไป๋เสี่ยวฉุนขึ้นมาไม่ได้

    การประลองดำเนินต่อไป ไม่นานการต่อสู้ของลูกศิษย์ลำดับหลังก็สิ้นสุดลง ยี่สิบคนที่เข้าร่วมการประลอง เมื่อในเวลานี้เป็นการตัดสินแพ้ชนะสองต่อสอง สุดท้ายจึงเหลือแค่สิบอันดับ

    ในสิบอันดับแรกนี้ ตู้หลิงเฟย เฉินจื่ออ๋างล้วนอยู่กันครบ ไป๋เสี่ยวฉุนเอามือเท้าคาง มองสหายร่วมสำนักที่ติดสิบอันดับแรกเช่นเดียวกันรอบกายแล้วพูดกับตัวเองในใจ

    ชนะอีกหนึ่งรอบก็สำเร็จแล้ว! เขารู้สึกว่าความหวังอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว พลันรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

    “ตอนนี้คือการเลือกห้าอันดับแรก พวกเจ้าสิบคนมาจับอันดับลูกกลมกันใหม่” ผู้เฒ่าซุนเอ่ยปากเนิบนาบ กวาดสายตามองทั้งสิบคน และหยุดชะงักอยู่ที่ไป๋เสี่ยวฉุนครู่หนึ่ง

    คราวนี้ไป๋เสี่ยวฉุนพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก หยิบลูกกลมออกมาจากกระเป๋าด้านหน้าผู้เฒ่าซุนหนึ่งลูก ได้หมายเลขสองมา หลังจากเห็นตัวเลขแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็รีบจดจ้องไปยังคนอื่นทันที

    ทุกคนหยิบลูกกลมเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อผู้เฒ่าซุนประกาศว่าให้อันดับหนึ่งและสองเริ่มประลองได้ บนแท่นประลองยุทธ์นอกจากไป๋เสี่ยวฉุนแล้ว ชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งก็อยู่บนนั้นด้วยเช่นนี้ ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง หลังจากเห็นว่าคู่ต่อสู้คือไป๋เสี่ยวฉุนก็หัวเราะร่าเสียงดัง

    “คนอื่นหวาดกลัวการป้องกันตัวของเจ้า แต่ข้าผู้แซ่หลี่มิสนใจ ที่ข้าผู้แซ่หลี่ถนัดก็คือศาสตร์การป้องกัน ดูทีหรือว่าพวกเราสองคน ใครกันแน่จะยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุด!” ขณะที่เสียงหัวเราะของชายร่างใหญ่ลอยมา มือขวาของเขาก็ยกขึ้นตบไปยังถุงเก็บของ หยิบโล่อันเล็กชิ้นหนึ่งออกมา เมื่อใส่พลังสะกดทางวิญญาณเข้าไป โล่เล็กชิ้นนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นโดยพลัน แผ่กระจายแสงสีเหลืองปกคลุมไปรอบตัวเขา

    ไม่เพียงเท่านั้น ชายร่างใหญ่ยังคำรามเสียงต่ำหนึ่งที กล้ามเนื้อทุกส่วนขยายตัวทันควัน ร่างทั้งร่างพลันสูงใหญ่ขึ้นมาอีกหลายชุ่น มองดูแล้วยิ่งน่าหวาดหวั่น

    “นั่นมันวิชาหลอมเรือนกาย!”

    “โล่อันเล็กนั้นดูคุ้นๆ นะ หรือว่ามันคือโล่แสงอรุณที่ต้องใช้คะแนนคุณความดีเก้าพันคะแนนถึงจะแลกมาได้!” ขณะที่ผู้คนรอบด้านพากันวิพากษ์วิจารณ์ ทางด้านไป๋เสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วมุ่น

    ขนาดผู้เฒ่าซุนเองพอเห็นภาพนี้แล้วก็ยังพยักหน้าน้อยๆ ดวงตาเผยแววชื่นชม พูดเสียงเบากับหลี่ชิงโหวที่อยู่ข้างกาย

    “หลี่ซานเด็กคนนี้ ฝึกบำเพ็ญได้ถึงการหลอมปราณขั้นที่ห้า ทั้งยังมีพลังเทพติดตัวมาแต่กำเนิดอย่างหาได้ยากยิ่ง ฝึกวิชาหลอมเรือนกายได้สำเร็จขั้นเล็ก ไม่เพียงแต่พละกำลังเพิ่มขึ้นมา ด้านการป้องกันตัวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”

    หลี่ชิงโหวพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน

    ไป๋เสี่ยวฉุนเห็นพลานุภาพดุจดั่งแปลงกายได้ของชายร่างใหญ่ผู้นี้ แล้วก็มองไปยังโล่อันเล็กนั่นอีกครั้ง จำได้ว่านั่นคืออาวุธชิ้นหนึ่งที่เขาเคยเห็นที่หอเก็บทรัพย์ แต่ไม่มีคะแนนคุณความดีเพียงพอที่จะแลกเอามาได้ จึงขมวดคิ้วมุ่น

    ดวงตาของแต่ละคนในบริเวณนี้ล้วนปรากฏความสนใจ โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการแข่งขันพวกนั้น ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

    “ศิษย์น้องขาวสะอาดผู้นี้ซวยเสียแล้ว”

    “ถ้าหวุดหวิดเอาชนะได้ก็ว่าไปอย่าง มาเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ต้องถูกตีแพ้ยับกลับคืนสารรูปเดิมแน่”

    และในขณะที่ฝูงชนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบาอยู่นั้น ชายร่างใหญ่แสยะยิ้ม สะบัดร่างหนึ่งทีก็ก้าวยาวๆ ตรงดิ่งมายังไป๋เสี่ยวฉุน

    “หมดทนทางแล้วสินะ ข้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องคนก่อนที่เจ้าเจอ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธร้ายแรงโจมตี หมัดของข้าก็คือวิชาที่ดีที่สุด!”

    เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนสายลมพัดกระโชก เมื่อเห็นว่าเขาเข้ามาใกล้ ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนก็เปล่งแสงวาบ มือขวายกขึ้นชี้ไปด้านหน้า กระบี่ไม้เล่มเล็กที่อยู่ในถุงเก็บของของเขาก็บินออกมาในชั่วพริบตา

    มันลอยอยู่หน้าไป๋เสี่ยวฉุนและฟันฉับลงไปยังชายร่างใหญ่ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้โดยไม่รั้งรอ

    การฟันครานี้ รัศมีของกระบี่แผ่ซ่านไปทั่วทิศปกคลุมไปหลายจั้ง เสียงตูมดังหนึ่งทีกระบี่ก็ตวัดฉับลงมา

    ชายร่างใหญ่เปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน หนังศีรษะของเขาประหนึ่งจะระเบิดออกมา ม่านตาทั้งคู่หดเล็กลง กลิ่นอายอันตรายรุนแรงปกคลุมทั่วร่าง เขาถอยกรูดอย่างไม่ลังเล คำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง มือทั้งสองสะบัดหนึ่งที โล่เล็กที่อยู่ใกล้ตัวก็ลอยขึ้นขวางกั้นเอาไว้อย่างทันท่วงที

    เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง โล่เล็กอันนี้สกัดกั้นอยู่ด้านหน้ากระบี่ไม้ แต่ชั่วขณะที่ทั้งสองสิ่งสัมผัสกันนั้น โล่เล็กกลับไม่สามารถต้านทานกระบี่ได้ ตัวโล่สั่นสะเทือนไปทั้งอันจนถูกดีดพ้นทาง กระบี่ไม้พุ่งตรงเข้าหาชายร่างใหญ่

    ชายร่างใหญ่ตกตะลึง ต่อให้ความเร็วของเขาจะมากมายสักแค่ไหนก็ยังสู้กระบี่บินไม่ได้ พริบตาเดียวกระบี่ไม้เล่มนี้ก็เข้ามาใกล้ สายลมเย็นเยียบพุ่งปะทะใบหน้าราวกับร่างทั้งร่างอยู่ในโพรงน้ำแข็ง

    “ยอมแพ้!” ชายร่างใหญ่รีบตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเปลี่ยนไปด้วย

    เสียงตึงดังขึ้นหนึ่งที กระบี่ไม้หยุดอยู่ตรงหว่างคิ้วของชายร่างใหญ่ พริบตาก็หันหัวแล้วกลับเข้าไปอยู่ในถุงผ้าของไป๋เสี่ยวฉุน

    ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในใจก็ตกใจกระบี่ไม้ของตัวเองเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาแค่ฝึกกับตัวเอง พอมาตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่ากระบี่ของตนมีพลานุภาพน่าเกรงขามระดับนี้แล้ว และนี่ยังไม่ถึงขั้นที่เขาต้องเอาวิชายกหนักเสมือนเบาออกมาใช้ด้วยซ้ำ

    ดวงตาของเขาหมุนกลอกรอบหนึ่งก็เชิดหน้าขึ้นโดยพลัน เอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง มองชายร่างใหญ่ด้วยสายตาเรียบเฉย

    ชายร่างใหญ่ใบหน้าซีดขาว แต่ในดวงตากลับฉายแววไม่ยอมแพ้ หลังจากปีนลุกขึ้นมาได้ก็จ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็ง

    “ใช้พลานุภาพของอาวุธวิเศษ ต่อให้เจ้าชนะ ข้าก็ไม่ยอมรับ!” ชายร่างใหญ่กล่าวประโยคนี้ทิ้งท้าย ก่อนหมุนตัวเดินลงจากแท่นประลองยุทธ์ไป

    ผู้เฒ่าซุนมองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที ตะลึงในพลานุภาพกระบี่ไม้ของไป๋เสี่ยวฉุนเช่นกัน ไม่พูดมากความก็ประกาศว่าไป๋เสี่ยวฉุนเป็นผู้ชนะ

    ฮ่าๆ รอบหน้ายอมแพ้ตรงๆ ไปเลยดีกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นข้าไม่ใช่ทำเพื่อเป็นอมตะหรอกหรือ ตีรันฟันแทงกันมันโหดร้ายเกินไป ข้าไป๋เสี่ยวฉุนไม่ต้องการทำเช่นนั้น ในใจไป๋เสี่ยวฉุนอิ่มเอมนัก เดินลงจากแท่นประลองยุทธ์ เขาทำตามเงื่อนไขของหลี่ชิงโหวสำเร็จแล้ว ตอนนี้อย่างไรก็ได้ติดอันดับห้าคนแรกแล้ว

    สายตาของหลี่ชิงโหวตกบนตัวของไป๋เสี่ยวฉุน คนอื่นแค่มองเห็นว่ากระบี่บินเล่มนั้นไม่ธรรมดา แต่ที่เขามองเห็นไม่ใช่กระบี่บิน ทว่าเป็นการควบคุมกระบี่ได้ตามใจต้องการของไป๋เสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้ต่างหาก

    เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนเอาชนะได้อีกครั้ง ฝูงชนรอบด้านล้วนพากันทอดถอนใจให้กับเขา

    “คนผู้นี้มีเงินนี่นา กระบี่ไม้นั่นพิเศษอย่างถึงที่สุด หึ หากข้ามีอาวุธประเภทนี้บ้างก็ต้องชนะได้!”

    “อาวุธอย่างไรก็เป็นแค่ของนอกกาย คนผู้นี้รอบแรกใช้ยันต์ แล้วยังมีของวิเศษอีก ความสามารถที่แท้จริงกลับไม่มีเลยสักนิด วันหน้าต้องลำบากแน่นอน”

    คำวิพากษ์วิจารณ์เหน็บแนมอย่างเจ็บแสบเช่นนี้ยังไม่ทันดำเนินไปได้นานเท่าไรก็เป็นการประลองยุทธ์คู่ต่อมา ขณะที่รอบสุดท้ายกำลังดำเนินไป พลังของคู่ต่อสู้ตู้หลิงเฟยไม่ธรรมดา พลังต่อสู้ดุเดือด ในรอบนี้ตู้หลิงเฟยไม่ใช้ธงผ้าอีกต่อไป แต่เอากระบี่บินออกมาใช้ ทั้งสองฝ่ายโรมรันพันตู ขณะที่ทุกคนกำลังดูกันจนตาลาย ทันใดนั้นความเร็วของกระบี่บินตู้หลิงเฟยก็เพิ่มพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วพุ่งทะยานไปปรากฏต่อหน้าของคู่ต่อสู้โดยตรง

    ความเร็วชนิดนี้เหนือกว่าความเร็วในการควบคุมวัตถุของศิษย์ทั่วไปแล้ว ทุกคนที่มองดูอยู่ล้วนอึ้งงัน และหลังจากนั้นแต่ละคนก็ดูเหมือนว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพลันฮือฮากันขึ้นมา

    “นี่มันยกหนักเสมือนเบา!”

    “ตู้หลิงเฟยนางถึงขั้นบรรลุได้ถึงขั้นนี้…”

    “ยกหนักเสมือนเบา!” ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าซุนเป็นประกายวาบ ในส่วนลึกของดวงตาคู่นั้นเผยความตะลึงระคนดีใจ มองไปยังตู้หลิงเฟย

    หลี่ชิงโหวพยักหน้านิดๆ

    เฉินจื่ออ๋างเองก็อึ้งตะลึง คนที่ติดสิบอันดับแรกคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ลูกศิษย์ที่ต่อสู้กับตู้หลิงเฟยในเวลานี้หัวเราะขื่นๆ หนึ่งที กำมือประสานหมัดยอมแพ้

    ตู้หลิงเฟยยืนอยู่บนแท่นประลองยุทธ์ มองไปรอบด้านด้วยความสง่างาม ประสานหมัดไปทางหลี่ชิงโหวและท่านผู้เฒ่าซุนแล้วถึงได้เดินลงแท่นไป

    ในกลุ่มคน เสียงฮือฮายังคงไม่จางหายไป

    มีเพียงไป๋เสี่ยวฉุนเท่านั้นที่กะพริบตาปริบๆ

    ความเร็วแบบนี้ก็เรียกว่ายกหนักเสมือนเบาได้แล้วหรือ เขาสงสัยเล็กน้อย

    สีหน้าตู้หลิงเฟยภาคภูมิใจ เดินลงจากแท่นประลองยุทธ์ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อปรากฏให้เห็นเล็กน้อย ต่อสู้ติดต่อกันมาสองสนาม แม้ว่านางจะอยู่ขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นห้าก็ยังคงเสียพลังสะกดทางวิญญาณไปบางส่วน โดยเฉพาะการต่อสู้รอบเมื่อครู่นี้ พลังรบของคู่แข่งนางไม่ธรรมดา สุดท้ายนางจึงจำต้องแสดงวิชายกหนักเสมือนเบาออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพลังสะกดทางวิญญาณเพิ่มมากขึ้น ถึงคว้าเอาชัยชนะมาได้ในชั่วพริบตา

    เป้าหมายของนางคือเป็นอันดับหนึ่ง และการต่อสู้ในอีกไม่กี่สนามเบื้องหลัง คู่แข่งของนางก็จะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ การประลองเล็กของสำนักนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์มากนัก แต่ก็ไม่ให้เวลาในการพักผ่อนมากเช่นกัน ดังนั้นนางจึงรีบหยิบโอสถเม็ดหนึ่งขึ้นมากิน หลับตาโคจรพลังลมปราณ ช่วงชิงเวลาทั้งหมดฟื้นฟูพลังของตนเอง

    ตอนนี้แข่งขันกันมาจนได้ห้าอันดับแรกแล้ว นอกจากไป๋เสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย เฉินจื่ออ๋างก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย และยังมีชายหนุ่มอีกสองคน ทั้งคู่มีพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา ต่างก็ฝึกได้ถึงขั้นที่ห้าของการหลอมปราณเช่นเดียวกัน

    ในเวลานี้สี่คนที่เหลือล้วนกำลังโคจรพลังลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังสะกดทางวิญญาณบางส่วนกลับมาให้ได้เร็วที่สุด

    มีเพียงไป๋เสี่ยวฉุนที่ไม่ได้สูญเสียพลังไปเลยแม้แต่นิด ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแท่นประลองยุทธ์อย่างคนไม่มีอะไรทำ หาวหวอดๆ ด้วยท่าทางที่เมื่อผู้เข้าร่วมประลองซึ่งถูกคัดออกไปแล้วเห็นเข้าก็ถึงกับอยากจะเข้าไปหวดเขาหนักๆ สักที

    เขาติดอันดับหนึ่งในห้า ทำตามเงื่อนไขของหลี่ชิงโหวได้สำเร็จ จึงไม่สนใจการประลองเล็กที่เหลืออยู่เลยสักนิด

    ในเวลานี้อยู่ว่างๆ น่าเบื่อ สายตาของไป๋เสี่ยวฉุนจึงกวาดผ่านคนอื่นๆ ทั้งสี่คน โดยเฉพาะตู้หลิงเฟย ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าหากความเร็วของอีกฝ่ายเรียกว่ายกหนักเสมือนเบาได้แล้ว เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองทำได้เร็วกว่าหญิงนางนี้อยู่มาก

    แต่ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ท่าทางดุร้ายเกินไป เป็นผู้หญิงอยู่ดีๆ กลับมาชอบการรบราฆ่าฟัน หรือว่าผู้หญิงที่บำเพ็ญตนเป็นเซียนต้องผิดปกติกันทุกคน โจวซินฉีหยิ่งผยองเกินไป โหวเสี่ยวเม่ยก็อารมณ์แปรปรวน ไป๋เสี่ยวฉุนส่ายหัว ขณะที่กำลังจะดึงสายตากลับมา คล้ายว่าตู้หลิงเฟยจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ ดวงตาคู่งามจึงลืมขึ้น จ้องมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นเยียบ

    เดิมทีตู้หลิงเฟยก็ไม่เห็นไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในสายตาอยู่แล้ว บวกกับการประลองทั้งสองรอบที่ผ่านมา ในสายตานางเห็นว่าอีกฝ่ายชนะมาได้ด้วยความบังเอิญทั้งสิ้น ในใจจึงยิ่งดูหมิ่น

    เอ๋?…กล้าจ้องข้าเรอะ! ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ขึ้นมาทันควัน ดวงตาเขาเบิกกว้าง จ้องตู้หลิงเฟยกลับไม่วางตาเช่นกัน เรื่องที่ต่างฝ่ายต่างสู้กันทางสายตาเช่นนี้ ขอแค่ไม่ต้องรบราให้เสียเลือดเนื้อ ไป๋เสี่ยวฉุนโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยกลัวใครมาก่อน

    ตู้หลิงเฟยขมวดคิ้ว ในเวลานี้ผู้ชื่นชอบนางที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่ละคนล้วนมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยความมาดร้าย

    พวกเขาคนเยอะ บุรุษที่ดีไม่สู้กับสตรี ไป๋เสี่ยวฉุนพอเห็นว่าอีกฝ่ายมีสายตาหลายคู่ โดยเฉพาะในนั้นยังมีความมุ่งร้ายอยู่ไม่น้อยจึงไอแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกว่าดวงตาคู่เดียวของตนไม่พอจะต่อกรด้วยสักเท่าไร จึงส่งเสียงหึหนึ่งทีแล้วรีบดึงสายตากลับมา

    และในเวลานี้ เสียงของท่านผู้เฒ่าซุนก็ดังขึ้นมาในลานประลองยุทธ์

    “ดีมาก การประลองเล็กฝ่ายนอกครั้งนี้ พวกเจ้าแสดงฝีมือกันได้ไม่เลวเลยทีเดียว ตอนนี้ได้ห้าอันดับแรกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาต่อกันเลย พวกเจ้าห้าคนเดินขึ้นมาเลือกคู่ต่อสู้ ผู้ที่ได้ลูกกลมอันดับที่ห้าถือว่าได้ผ่านเข้ารอบต่อไป ติดสามอันดับแรกโดยทันที” ท่านผู้เฒ่าซุนยิ้มบางๆ มือขวายกขึ้นมาสะบัดหนึ่งที ถุงผ้าก็ปรากฏขึ้น

    คราวนี้เฉินจื่ออ๋างเดินหน้าเข้าไปเป็นคนแรก เมื่อหยิบลูกกลมมาได้ก็ขมวดคิ้ว ตัวเลขบนลูกกลมเล็กของเขาคือสี่

    ตู้หลิงเฟยเองก็เดินไปหยิบเช่นกัน ได้ลูกกลมหมายเลขสอง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกอีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งได้เลขหนึ่ง อีกคนหนึ่งได้เลขสาม

    ไป๋เสี่ยวฉุนไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปหยิบแล้ว หมายเลขที่เหลืออยู่คือห้า ถือว่าเขาได้ผ่านเข้ารอบต่อไป

    ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนเผยแววตกใจระคนยินดี หัวเราะเหอๆ กอดอกยืนอยู่นอกแท่นประลองยุทธ์ มองพวกตู้หลิงเฟยทั้งสี่คนอย่างไร้ความกดดันใดๆ เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะแข่งต่ออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ตนเองไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นก็ติดสามอันดับแรกโดยตรง

    ความโชคดีก็คือความสามารถที่แท้จริงอย่างหนึ่ง! ไป๋เสี่ยวฉุนภูมิใจอยู่ในใจ

    ความโชคดีเช่นนี้ทำให้สีหน้าทุกคนยามมองมายังไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งแปลกประหลาด ศิษย์หลายคน ณ ที่แห่งนี้ไม่ยินยอมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้แข่งขันที่ถูกคัดออกไปแล้วเหล่านั้น ในใจอิจฉาริษยา อารมณ์ซับซ้อนอย่างถึงขีดสุด

    “เจ้านี่ช่างน่าละอายเหลือเกิน ติดห้าอันดับแรกได้ด้วยอาวุธวิเศษก็ยังพอทน นี่ยังดันได้ผ่านเข้ารอบติดสามอันดับแรกโดยตรงเสียอีก!”

    “อัปยศนัก การปรากฏตัวของคนผู้นี้คือความอัปยศใหญ่หลวงที่สุดของการประลองเล็กครั้งนี้!”

     

    บทที่ 32

    โชคดีสยบสวรรค์

     

    ไม่เพียงแต่จิตใจของฝูงชนรอบด้านเท่านั้นที่ซับซ้อน แม้แต่ตู้หลิงเฟยเองก็ยังริษยาในความโชคดีของไป๋เสี่ยวฉุน พวกเฉินจื่ออ๋างเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาสี่คนติดห้าอันดับแรก การต่อสู้แต่ละรอบล้วนสูญเสียพลังไป หากคราวนี้พวกเขาได้โอกาสผ่านเข้ารอบต่อไป ได้พักสักครู่ จะต้องได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้รอบหลัง

    ผู้เฒ่าซุนมองไป๋เสี่ยวฉุนทีหนึ่ง ยิ้มบางๆ คล้ายไม่ใส่ใจ ส่วนหลี่ชิงโหวสีหน้าเป็นปกติ

    ไม่นานภายใต้ท่าทางรอดูความครึกครื้นของไป๋เสี่ยวฉุน การต่อสู้ของพวกตู้หลิงเฟยสี่คนก็เริ่มขึ้น คู่ต่อสู้ของตู้หลิงเฟยลงมือดุดัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่ออกไปทำภารกิจเข่นฆ่าสัตว์ร้ายเป็นประจำ เคยสัมผัสกลิ่นคาวโลหิตมาก่อน ส่วนยกหนักเสมือนเบาของตู้หลิงเฟยนั้นก็น่าหวาดหวั่นเช่นกัน เมื่อลงมือไม่เพียงแต่ป้องกันตัวเองได้ ยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วฉับไวอย่างยิ่ง

    ผู้คนต่างจับจ้องการต่อสู้ของสองคนนี้ตาไม่กะพริบ เปล่งเสียงอย่างตะลึงออกมาตลอดเวลา ตกอกตกใจไปกับอันตรายในการประลองวิชาของทั้งสอง เพียงแต่…เสียงร้องแห่งความตกตะลึงนี้มีเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ มีพลังในการชักนำจังหวะให้กับฝูงชน

    “อืม กระบี่ดี!”

    “มังกรสวรรค์กวาดหางท่านี้ดีมาก ไม่ใช่สิ หันกลับ รีบหันกลับ!”

    “พยายามเข้า!” ไป๋เสี่ยวฉุนดูอย่างเข้าถึงอารมณ์ ถึงขั้นที่ว่าคอยปรบมืออยู่ตลอดเวลาด้วย จริงๆ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่รู้สึกจากใจจริงว่าการต่อสู้ครั้งนี้ของตู้หลิงเฟยนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนในด้านความคิดของตน เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมแข่งขันนานแล้ว

    ท่าทางเช่นนั้นทำให้แม้แต่ผู้เฒ่าซุนเองก็ยังต้องไอแห้งๆ ออกมาหลายที หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจก็ละเหี่ยใจอย่างยิ่ง แต่อย่างไรเสียไป๋เสี่ยวฉุนก็ทำตามเงื่อนไขของเขาได้สำเร็จแล้ว

    ในเวลานี้ตู้หลิงเฟยกำลังเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างสุดกำลัง ไม่ว่อกแว่กกับสิ่งใด สุดท้ายหลังจากที่การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อไปประมาณหนึ่งก้านธูป ตู้หลิงเฟยใช้วิชายกหนักเสมือนเบาสามครั้งถึงคว้าเอาชัยชนะมาได้

    แต่ว่าพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายก็ถูกใช้ไปครึ่งใหญ่ หลังลงจากแท่นประลองยุทธ์มาด้วยร่างกายชุ่มเหงื่อ กำลังปรับลมหายใจเตรียมร่างกายอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงจากไป๋เสี่ยวฉุนอีกครั้ง นึกถึงว่าตนเองต้องลำบากยากเข็ญกว่าจะติดสามอันดับแรกได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ต้องเปลืองแรงใดๆ ก็ได้ผลลัพธ์เท่ากับตนเอง ในใจก็ให้อัดอั้น อยากจะทุบตีอีกฝ่ายแรงๆ สักทีเหลือเกิน

    ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เขาเห็นแต่แรกแล้วว่าตู้หลิงเฟยผู้นี้หมั่นไส้ตน ในเวลานี้ก็รู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาจนใจ ท่าทางเช่นนี้เกือบจะทำให้ตู้หลิงเฟยทนไม่ไหวจนต้องลงไม้ลงมือ

    การต่อสู้ของเฉินจื่ออ๋างนั้น เทียบกันแล้วค่อนข้างสบายกว่าหน่อย แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ต้องต่อสู้ไปถึงครึ่งก้านธูป เสียพลังสะกดทางวิญญาณไปเล็กน้อยถึงจะเอาชนะได้

    เมื่อนึกถึงไป๋เสี่ยวฉุน ในใจเขาก็เกิดความอิจฉาริษยามากมายเช่นเดียวกัน

    “ได้สามอันดับแรกมาแล้ว สำหรับฝ่ายนอกพวกเจ้าสามคนล้วนเป็น…ศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจ เดินขึ้นมาเลือกอันดับรอบต่อไปกันได้เลย คนที่ได้ลูกกลมหมายเลขสามถือว่าได้ผ่านเข้ารอบตัดสินโดยพลัน” ผู้เฒ่าซุนไอแห้งๆ หนึ่งที ชะงักไปครู่หนึ่งตอนที่พูดถึงศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจ มือขวาโบกสะบัด ถุงผ้าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

    คราวนี้เฉินจื่ออ๋างยังคงเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไป หยิบลูกกลมออกมาหนึ่งลูก หลังจากเห็นว่าตัวเลขด้านบนคือเลขสอง เขาก็ถอนหายใจอยู่ในใจหนึ่งทีก่อนจะเดินไปอยู่ด้านข้าง

    ตู้หลิงเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก กำลังจะเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็หยุดชะงักฝีเท้า มองมาทางไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา

    “เจ้าไปก่อน!” นางเอ่ยเสียงเย็น

    ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังยืนดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของตู้หลิงเฟยก็ไม่ได้ปฏิเสธ เดินขึ้นหน้ายื่นมือขวาเข้าไปในถุงผ้า เวลานี้ตู้หลิงเฟยมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่เพียงนางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เหล่าศิษย์ที่รายล้อมโดยรอบซึ่งกำลังมองดูอยู่ก็ล้วนพากันมองเขาเช่นกัน

    แม้แต่ผู้เฒ่าซุนและหลี่ชิงโหวเองก็ทำเช่นนั้น

    ไป๋เสี่ยวฉุนเขินอายเล็กน้อยท่ามกลางสายตาของฝูงชน เขาไม่สนใจจริงๆ ว่าจะได้หมายเลขอะไร ดังนั้นจึงจับลูกกลมหนึ่งลูกแบบส่งๆ ทว่าเมื่อหยิบออกมาดู แม้แต่ตัวเองก็ยังอึ้งตะลึงไป

    หมายเลขสาม

    “เอ่อ ท่านให้ข้ามาหยิบก่อนเองนะ” ไป๋เสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งที มองไปยังตู้หลิงเฟยที่อยู่ด้านข้าง

    นัยน์ตาตู้หลิงเฟยฉายแววอาฆาต กำหมัดแน่น จ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็งอย่างดุร้าย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง รู้สึกแค่เพียงว่ามีลมสายหนึ่งในร่างกายกำลังจะระเบิดออกมา

    เฉินจื่ออ๋างเบิกตากว้าง อึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าคนผู้หนึ่งจะโชคดีได้มากขนาดไหน…ถึงขั้นที่ได้ผ่านเข้ารอบอีกครั้งแล้ว

    ยามนี้เหล่าศิษย์ในบริเวณนั้นแต่ละคนมองไปยังลูกกลมที่อยู่ในมือไป๋เสี่ยวฉุน ฮือฮากันขึ้นมาทันทีอย่างอดกลั้นต่อไปไม่ไหว

    “ผ่านเข้ารอบอีกครั้งแล้ว! เขาชื่อไป๋เสี่ยวฉุนใช่ไหม เขา…เขามีโชคประเภทไหนกันนี่ถึงได้เข้ารอบไปทั้งสองครั้ง!”

    “เจ้าคนน่าละอายคนนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับได้เข้ารอบสุดท้าย…”

    “คนประเภทนี้ก็เข้ารอบสุดท้ายกับเขาได้ด้วย สมควรตาย หากข้ามีโชคแบบนี้บ้าง ข้าก็ทำได้เหมือนกัน!” ขณะที่คนรอบด้านพากันฮือฮา พวกผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ถูกคัดออกเหล่านั้นก็ยิ่งริษยาจนถึงขีดสุด

    ผู้เฒ่าซุนลังเลเล็กน้อย มองไปยังหลี่ชิงโหว หลี่ชิงโหวถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจหนึ่งที สำหรับโชคของไป๋เสี่ยวฉุนในคราวนี้ เขาเองก็ยอมแพ้เช่นกัน

    ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านดูไม่เข้าทีก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน รีบวิ่งหลบฉากออกไปจากแท่นประลองยุทธ์ ยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเคอะเขิน

    “เฮ้อ…เดิมทีข้าคิดจะยอมแพ้…” ไป๋เสี่ยวฉุนมองลูกกลมที่อยู่ในมือหนึ่งทีก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

    ตู้หลิงเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่านไปนานถึงได้กดเก็บความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจลงได้ ฟันขาวสะอาดขบกันหนึ่งที เมื่อมองไปยังเฉินจื่ออ๋างก็จำต้องรวบรวมสมาธิให้แน่วแน่ ก่อนหน้านี้นางเคยสังเกตเฉินจื่ออ๋างมาก่อน รู้ว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

    เฉินจื่ออ๋างหัวเราะขื่นๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเช่นเดียวกัน จ้องมองตู้หลิงเฟยอย่างจริงจัง

    สองคนมองกันและกันอยู่หลายอึดใจ พริบตาเดียวก็ขยับกายพร้อมกัน เสียงตึงตังดังสะท้อนไปมาทั่วทิศ การสู้รบครั้งนี้พูดได้ว่าเป็นการประลองวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีการประลองเล็กมา เฉินจื่ออ๋างยิ่งระเบิดความสามารถทั้งหมดออกมา โดยเฉพาะเมื่อเมล็ดพันธุ์หลายเมล็ดที่เขานำออกมาได้กลายร่างเป็นพืชวิเศษที่มีพลังในการโจมตี วิธีการนำพืชวิเศษมาใช้เช่นนั้นทำให้ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ

    ทางฝ่ายของตู้หลิงเฟยกระบี่บินที่ถูกควบคุมด้วยพลังยกหนักเสมือนเบาคำรามเข้าหา ถึงขนาดว่าเมื่อการต่อสู้ผ่านไปนานเข้าก็หยิบเอากระบี่ไม้ออกมาอีกหนึ่งเล่ม กระบี่บินทั้งสองเล่มบินฉวัดเฉวียนกันไปมา กลายเป็นดั่งเชือกที่รัดพันกันเป็นเกลียว ทำให้การประลองยุทธ์ในครั้งนี้มาถึงจุดสูงสุดในชั่วพริบตา

    ทั้งสองคนล้วนไม่เก็บงำท่าไม้ตายเอาไว้ จึงยากที่จะควบคุมการสูญเสียพลังสะกดทางวิญญาณ ทำให้การต่อสู้ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

    ไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่นอกแท่นประลองมองดูด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เสียงโห่ร้องดังขึ้นๆ ลงๆ

    การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อไปครึ่งชั่วยาม สุดท้ายเมื่อเสียงตูมดังขึ้น ตู้หลิงเฟยก็สละกระบี่ไม้เล่มหนึ่งไปอย่างไม่เสียดาย ทำให้กระบี่ไม้แตกกระจายกลายเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วน ใช้ความเร็วของวิชายกหนักเสมือนเบาพุ่งตรงเข้าไปผนึกทุกหนทางของเฉินจื่ออ๋าง พลิกสถานการณ์โต้กลับ บีบให้เฉินจื่ออ๋างต้องถอยร่นอย่างต่อเนื่อง พลังสะกดทางวิญญาณในร่างเฉินจื่ออ๋างแห้งเหือด เขาถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที จำต้องยอมแพ้ไป

    ศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านที่ดูการต่อสู้อันดุเดือดสนามนี้ ในดวงตาแต่ละคนล้วนเผยความนับถือ ทุกคนล้วนยอมศิโรราบต่อตู้หลิงเฟย แม้แต่เฉินจื่ออ๋างเองก็ได้รับการยอมรับขึ้นมาจากการต่อสู้ครั้งนี้

    ถึงเขาจะแพ้ ทว่านับแต่นี้ชื่อเสียงของเขาจะต้องโด่งดังไปไกลแน่นอน

    ผู้เฒ่าซุนเองก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับตู้หลิงเฟย ถึงขั้นมีความคิดอยากจะรับนางเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ

    เช่นเดียวกัน ไม่ว่าการประลองเล็กครั้งนี้สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร ชื่อเสียงของไป๋เสี่ยวฉุนก็ย่อมโด่งดังออกไปเช่นกัน…

    ขณะที่เสียงยอมแพ้ของเฉินจื่ออ๋างดังก้องขึ้นมา ใบหน้าของตู้หลิงเฟยซีดขาว ยืนร่างโงนเงนอยู่บนแท่นประลองยุทธ์ พลังสะกดทางวิญญาณของนางก็ใกล้จะเหือดแห้งแล้วเช่นกัน ในเวลานี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอาโอสถเม็ดหนึ่งขึ้นมากลืนลงไป แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ มันไม่ช่วยบำรุงเท่าไรนัก ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการคือการนั่งสมาธินิ่งๆ หลายชั่วยาม เพราะนางต้องประลองยุทธ์ติดต่อกันมาถึงสี่ครั้งแล้ว

    เพียงแต่ว่ากฎของการประลองเล็กไม่ให้เวลาลูกศิษย์พักผ่อนนานถึงขนาดนั้น อย่างไรเสียนี่ก็เป็นแค่เพียงการประลองเล็กเท่านั้น

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้าขึ้นมานี่!” ตู้หลิงเฟยกัดฟัน ดวงตาดุดันมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่นอกแท่นประลอง นางคิดจะรีบใช้เวลาในตอนที่พลังสะกดทางวิญญาณยังไม่เหือดแห้งหมดเกลี้ยงจัดการกับเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนสมควรตายที่เข้ารอบสุดท้ายมาได้เพราะดวงให้รู้แล้วรู้รอดกันไป

    คำพูดของตู้หลิงเฟยเปล่งออกไป ฝูงชนรอบทิศล้วนมองมายังไป๋เสี่ยวฉุน ดวงตาแต่ละคนเผยแววยินดีกับความทุกข์ที่เขาจะได้รับ พวกเขามองว่าต่อให้ตู้หลิงเฟยจะเหนื่อยล้าถึงขีดสุดก็ยังสามารถจัดการกับไป๋เสี่ยวฉุนที่ชนะมาได้ด้วยความบังเอิญได้อย่างง่ายดาย

    ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองตู้หลิงเฟยที่ขนาดยืนยังไม่ค่อยมั่นคง ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเอง…สามารถคว้าอันดับหนึ่งได้

    ครั้งนี้ ในที่สุดข้าไป๋เสี่ยวฉุนก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้ขจรไกลได้แล้ว รอให้ข้าขึ้นไปบนนั้น แสดงพลังยกหนักเสมือนเบาออกมา ทุกคนรอบทิศจะต้องพากันตะลึงงัน! ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าเชิดอกตั้ง ในสมองปรากฏภาพที่อีกเดี๋ยวทุกคนจะต้องตะลึงค้าง ดังนั้นจึงก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนแท่นประลองยุทธ์

    ทว่าชั่วพริบตาที่ไป๋เสี่ยวฉุนก้าวขึ้นไปบนแท่น ดวงตาตู้หลิงเฟยก็ฉายประกายเย็นเยียบ พลันยกมือขวาขึ้นทำมุทรา กระบี่ไม้ที่อยู่ข้างกายนางเล่มนั้นก็พุ่งเข้าใส่ไป๋เสี่ยวฉุนทันที

    ความดุดันแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้รอบด้านหนาวเยือกขึ้นมาในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่านี่คือการโจมตีด้วยพลังสะกดทางวิญญาณทั้งหมดที่ตู้หลิงเฟยมีในเวลานี้แล้ว ทำให้กระบี่นี้มีอานุภาพที่เหนือล้ำกว่าปกติ

    และที่ยิ่งน่าตะลึงก็คือชั่วพริบตานั้นร่างกายของตู้หลิงเฟยเองก็พุ่งทะยานไล่ตามกระบี่บินออกไปเช่นกัน เมื่อนิ้วหนึ่งกดลงบนด้ามกระบี่ก็ราวกับว่าร่างกายของนางได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่บิน ตรงดิ่งเข้าหาไป๋เสี่ยวฉุน

    เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ความเร็วของกระบี่บินพุ่งพรวดขึ้นมาทันควัน ความเร็วนี้มากกว่าตอนประลองยุทธ์กับเฉินจื่ออ๋างเมื่อครู่อยู่หลายส่วน ก่อให้เกิดเสียงคำรามแหลมคมราวกับจะแหวกทะลุลม กลายเป็นรุ้งสายยาวหนึ่งเส้น ทะยานเข้ามาใกล้ไป๋เสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา

    จิตใจคนรอบด้านล้วนสั่นสะเทือน ถูกดึงดูดด้วยกระบี่ท่านี้ พากันส่งเสียงร้องอย่างตะลึง

    “เพลงกระบี่เซียนเหิน!”

    “ศิษย์พี่หญิงตู้ฝึกเพลงกระบี่ได้ถึงขั้นนี้แล้ว!”

    ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าซุนเปล่งประกายวาบทันควัน หลี่ชิงโหวเองก็พยักหน้าน้อยๆ แน่นอนพวกเขาสองคนดูออกว่าในความเป็นจริงแล้วตู้หลิงเฟยยังฝึกได้ไม่ถึงขั้นนี้ แต่เพราะตอนนี้พลังสะกดทางวิญญาณใกล้จะเหือดแห้งเต็มที จึงถูกบีบให้สำแดงพลังออกมา ด้วยพลังสะกดทางวิญญาณเฮือกเดียวก็ยังพอกล้อมแกล้มแสดงพลานุภาพของเพลงกระบี่นี้ออกมาได้

    “ภายใต้การเดิมพันทุ่มเทพลังทั้งหมด ทำให้เห็นถึงความเด็ดขาดในเพลงกระบี่นี้ ตู้หลิงเฟยผู้นี้ไม่เลวเลยทีเดียว ความจริงแล้วแม่นางน้อยผู้นี้เหมาะสมกับเขาชิงเฟิงมากกว่า” ดวงตาหลี่ชิงโหวเผยแววชื่นชม

    ในเวลานี้จิตใจของลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนสั่นสะเทือน ราวกับว่าภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้านั้นพร่าเลือนไปหมด มีเพียงเงาร่างของตู้หลิงเฟยและกระบี่บินที่คล้ายกับหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ

    กระบี่กำลังแผดเสียงคำราม คนก็ตามกระบี่ไป กลายเป็นฉากการโจมตีที่น่าตะลึง สีหน้าตู้หลิงเฟยเหนื่อยล้า แต่แววตากลับเด็ดเดี่ยว นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเพลงกระบี่นี้ต้องทำให้นางชนะได้แน่นอน

    และในเวลานั้น พริบตาที่กระบี่บินและตู้หลิงเฟยเข้ามาใกล้ไป๋เสี่ยวฉุน ม่านตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนก็หดลง ร่างทั้งร่างส่งเสียงดังตูมออกมาหนึ่งที หยกก็ดี ยันต์ก็ดี ล้วนระเบิดพลังออกมา ก่อให้เกิดการคุ้มกันเป็นชั้นๆ ร่างกายถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

    แต่เห็นได้ชัดว่ากระบี่บินไม่ใช่วัตถุธรรมดา มันสามารถทะลุเข้าไปในเกราะป้องกันนี้ได้ ผ่านเข้าไปทีละชั้น แม้ว่าความเร็วจะลดลงไปอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถทำให้รัศมีแสงคุ้มกันนั้นสลายลง แต่ก็ยังสามารถทะลุผ่านเข้าไปถึงด้านในสุดได้ ปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปบนตัวของไป๋เสี่ยวฉุนโดยตรง

    แต่ราวกับว่าไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว ขณะทิ่มแทงเข้าไปบนตัวไป๋เสี่ยวฉุนกลับเหมือนถูกกั้นด้วยอะไรบางอย่าง เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนถอยหลังไปเรื่อยๆ กระบี่เล่มนั้นก็ส่ายไหวไปตามร่างกายเขา จึงมองเห็นได้ว่าในชุดตัวนอกที่ฉีกขาดนั้น ด้านในยังมีเสื้อหนังอยู่อีกเป็นชั้นๆ

    ฝูงชนรอบทิศที่เห็นภาพนี้เข้าต่างพากันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ทุกคนสูดหายใจคำโต

    “เจ้า…เจ้าไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้ บนตัวเขายังมีการป้องกันไว้อีกด้วย!!”

    “เจ้านี่จะกลัวตายอะไรขนาดนี้ ต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ แค่ประลองเล็กของสำนักเท่านั้น ไม่เพียงแค่อาวุธป้องกัน ยันต์ บนตัวเขายังสวมเสื้อหนังอีก!”

    สีหน้าตู้หลิงเฟยซีดเผือดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถอยกรูดไปเหมือนกระต่ายถูกเหยียบหาง ไม่เพียงแต่ถอยไปอย่างรวดเร็ว ยังหนีบเอากระบี่บินของตนไปอีกด้วย นางกัดฟันทำมุทรา คิดจะดึงกระบี่บินกลับมา แต่พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายของนางเหลือเพียงแค่สายบางๆ เท่านั้น ในเวลานี้ไม่ว่านางจะควบคุมอย่างไร กระบี่บินเล่มนั้นก็ได้เพียงสั่นไหว ไม่สามารถดึงออกมาได้

    ตู้หลิงเฟยร้อนใจขึ้นมาแล้ว ขณะที่โคจรพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายอีกครั้ง ยังไม่ทันดึงกระบี่บินกลับมาสำเร็จ ริมฝีปากก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมา นางถอยหลังโซเซไปหลายก้าว ร่างที่ยืนได้ไม่มั่นคงล้มนั่งลงกองกับพื้น สีหน้าขาวเผือด พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายหมดเกลี้ยง

    ความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมในใจนางเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นึกถึงเรื่องที่ว่าตนเองต้องลำบากแสนเข็ญกว่าจะติดสองอันดับแรก แต่เจ้าไป๋เสี่ยวฉุนคนนี้กลับอยู่สบายๆ ไม่เสียพลังสะกดทางวิญญาณเลยสักกระผีกเดียว ความคับแค้นใจกลายมาเป็นความโกรธแค้น กัดฟันจ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็ง หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ป่านนี้ไป๋เสี่ยวฉุนก็คงถูกนางฆ่าตายไปแล้วหลายต่อหลายครั้งอย่างแน่นอน หากนางยังมีพลังเหลืออยู่ นางยังคิดจะลุกขึ้นไปกัดไป๋เสี่ยวฉุนเสียด้วยซ้ำ

    ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ถอยกรูดด้วยความเร็วสูงสุด เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าตู้หลิงเฟยจะยังมีกระบวนท่านี้

    แถมการป้องกันตัวของตนยังถูกแทงทะลุด้วย

    มารดาเจ้าเถอะ ดีนะที่ตอนก่อนมาข้านึกระแวงขึ้นมา เลยสวมเสื้อหนังมาอีกเจ็ดแปดตัว ไป๋เสี่ยวฉุนก้มลงมองกระบี่บินที่เสียบอยู่บนไหล่ตนเอง กระบี่บินเล่มนี้หลังจากแทงทะลุแนวป้องกันเข้ามาแล้ว พละกำลังก็หมดลง ทั้งยังถูกเสื้อหนังที่แข็งแกร่งอีกเจ็ดแปดตัวขวางกั้น สุดท้ายเมื่อมากระทบบนผิวหนังเขา กำลังจึงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ส่วน

    ด้วยหนังคงกระพันของเขา ขนาดถูกยุงหรือแมลงกัดก็ยังไม่มีความรู้สึก

    ในใจไป๋เสี่ยวฉุนยังคงหวาดผวาแม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว เขาก้มมองกระบี่บินซึ่งเสียบคาอยู่บนไหล่หนึ่งทีก็ยกมือดึงมันออกมา มองไปยังตู้หลิงเฟยที่นั่งหอบหายใจจ้องเขม็งมาที่ตนเอง

    “ศิษย์พี่ อาวุธวิเศษเอามาทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ไม่ถูกนะ กระบี่เล่มนี้ท่านไม่ต้องการแล้วหรือ ในเมื่อท่านไม่ต้องการแล้วงั้นข้าเก็บไว้เองล่ะนะ” ไป๋เสี่ยวฉุนโยนกระบี่บินที่อยู่ในมือเข้าไปในถุงเก็บของด้วยความเบิกบาน จากนั้นก็หยิบเอากระบี่ไม้เล่มเล็กออกมา เตรียมแสดงพลังยกหนักเสมือนเบาของตนเองให้ทุกคนตกตะลึง

    “เจ้า…” ตู้หลิงเฟยมองเห็นตำตาว่ากระบี่บินของตนเองถูกไป๋เสี่ยวฉุนฮุบไป ดวงตาก็แดงก่ำ ใกล้จะบ้าคลั่งเต็มที ความโกรธพุ่งเข้าโจมตีหัวใจ โมโหจนเป็นลมสลบไปทั้งอย่างนั้น

    และนี่คือคนที่สองที่ถูกไป๋เสี่ยวฉุนทำให้โมโหจนสลบไปในการประลองเล็กครั้งนี้

    “เอ๋? เหตุใดจึงสลบอีกแล้วเล่า” ไป๋เสี่ยวฉุนมองตู้หลิงเฟยที่สลบไป ถือกระบี่ไม้เล่มเล็กไว้ในมือด้วยความหน่ายใจ

     

    บทที่ 33

    ล้มไป๋เสี่ยวฉุนลงให้ได้!

     

    ศิษย์ฝ่ายนอกทั่วทั้งบริเวณและเหล่าผู้เข้าประลองที่ถูกคัดออกแต่ละคนราวกับมีศัตรูคู่แค้นคนเดียวกันขึ้นมาทันที คำรามเสียงดังไปทางไป๋เสี่ยวฉุน

    “ไร้ยางอาย ไป๋เสี่ยวฉุนเจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”

    “ชนะเพราะอย่างนี้ พวกข้าไม่ยอม!”

    “ล้มไป๋เสี่ยวฉุนให้ได้!”

    ได้ยินเสียงด่าทอดุเดือดของฝูงชน ไป๋เสี่ยวฉุนก็อกสั่นขวัญแขวน ลอบคิดว่าต่อให้แสดงพลังยกหนักเสมือนเบาออกมาตอนนี้ก็ยังไม่สามารถระงับไฟแค้นของฝูงชนได้ แถมยังจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ทำให้คนรู้สึกว่าตนเองยิ่งไร้ยางอาย…ดังนั้นจึงรีบหันไปมองผู้เฒ่าซุน

    “ท่านผู้เฒ่าซุน ข้าได้ที่หนึ่งนะ ท่านรีบประกาศเข้าสิ”

    ผู้เฒ่าซุนยิ้มขื่น หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจยาวหนึ่งที เขาไม่เคยคิดเลยว่าการให้ไป๋เสี่ยวฉุนเข้าร่วมประลองเล็กในคราวนี้จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้

    “เอ่อ…เอาเถอะ การประลองเล็กในครั้ง ไป๋เสี่ยวฉุนได้อันดับหนึ่ง!” ผู้เฒ่าซุนส่ายหัวยิ้มขื่น เมื่อกล่าวคำพูดออกมา ผู้คนรอบข้างพากันมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาโกรธแค้น

    ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าถึงแม้ตนจะมีฝีมือร้ายกาจมาก แต่ผู้คนมากมายขนาดนี้…เขาถูกมองจนขนหัวลุกแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินลงจากแท่นประลองยุทธ์เพื่อไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้โดยเร็ว ตู้หลิงเฟยที่อยู่ด้านข้างก็ได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นขึ้นมา นางหายใจถี่กระชั้น จ้องเขม็งไปยังไป๋เสี่ยวฉุน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยเสียงแหลม

    “ไป๋เสี่ยวฉุน การประลองเล็กครั้งนี้ ข้าตู้หลิงเฟยไม่ยอม!”

    “ในเมื่อเจ้าได้ที่หนึ่งไปแล้ว เช่นนั้นอันดับหนึ่งนี้ข้าตู้หลิงเฟยยกให้เจ้า แต่ข้าไม่ยอมแพ้คนอย่างเจ้า เจ้ากล้าแข่งกับข้าอีกครั้งหรือไม่!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะแหะๆ ไม่หยุดฝีเท้า ในใจคิดว่าตัวเองคงประสาทน่าดูถ้าจะไปแข่งกับหญิงบ้านางนี้อีกครั้ง หากอีกฝ่ายเป็นลมขึ้นมาอีกจะทำเช่นไรเล่า

    “ข้าไม่ประลองวรยุทธ์กับเจ้า พวกเราล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอก และก็เป็นศิษย์โอสถของเขาเซียงอวิ๋น ข้าจะแข่งความรู้ด้านพืชหญ้ากับเจ้า!” ตู้หลิงเฟยจ้องไป๋เสี่ยวฉุน พูดออกมาทีละคำ ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด “หากเจ้าชนะ กระบี่ชิงซงเล่มนั้นเจ้าสามารถเอาไปได้ แต่หากไม่ชนะ เรื่องในวันนี้ ข้าตู้หลิงเฟยจะไม่มีทางยอมจบกับเจ้าแน่!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า พอได้ยินว่าแข่งความรู้เรื่องพืชหญ้าก็หันหน้ากลับมามองตู้หลิงเฟย ลังเลอยู่ชั่วครู่

    “ไป๋เสี่ยวฉุน หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าด้านความรู้เรื่องพืชหญ้าได้ ธูปหอมหลิงอวิ๋นดอกนี้ เจ้าก็เอาไปได้เลย!” เมื่อตู้หลิงเฟยเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนหยุดชะงักก็มองออกว่าอีกฝ่ายลังเล ดวงตาเผยแววเคียดแค้น ถึงขั้นเกิดความรู้สึกอยากสังหารไป๋เสี่ยวฉุนด้วยซ้ำ กังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าแข่ง จึงหยิบธูปหอมสีเขียวเข้มดอกหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ

    ธูปดอกนี้เพิ่งจะถูกหยิบออกมา พลังสะกดทางวิญญาณก็แผ่ซ่านเป็นระลอกทันที หลังจากศิษย์ฝ่ายนอกโดยรอบเหล่านั้นเห็นธูปหลิงอวิ๋นดอกนี้แล้ว สายตาแต่ละคนล้วนเผยความอิจฉา

    “โอสถวิเศษระดับหนึ่ง ธูปหลิงอวิ๋น…นี่ถือว่าไม่เลวแล้วในบรรดาโอสถวิเศษระดับหนึ่ง ราคาไม่ธรรมดา ให้ผลมหัศจรรย์ต่อการฝึกหลอมปราณต่ำกว่าขั้นที่เจ็ด!”

    “นี่น่าจะเป็นราคาที่ตู้หลิงเฟยจ่ายไปไม่น้อย เพื่อเตรียมฝ่าการหลอมปราณขั้นที่ห้า…”

    “ด้วยความรู้ด้านพืชหญ้าของศิษย์พี่หญิงตู้ ทำให้บนหลักศิลาตำราพืชหญ้าสามหลักแรกของหอหมื่นโอสถล้วนมีนางอยู่ในยี่สิบอันดับแรก เจ้าไป๋เสี่ยวฉุนนี่ต้องแพ้อย่างแน่นอน!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนจำธูปหลิงอวิ๋นดอกนี้ขึ้นมาได้ทันที ในตำราพืชหญ้าเล่มที่สามได้อธิบายสรรพคุณของหญ้าหลิงอวิ๋นชนิดนี้เอาไว้ ใจเขาก็พลันกระตุก โดยเฉพาะได้ยินคนรอบด้านพูดว่าอีกฝ่ายติดยี่สิบอันดับแรกของจารึกศิลาหอหมื่นโอสถ ดวงตาเขาก็เปล่งประกายอย่างอดไม่อยู่

    “ท่าน…ท่านติดยี่สิบอันดับแรกของหลักศิลาพืชหญ้าจริงหรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนอยากจะยืนยันให้แน่ใจเสียหน่อย จึงถอยหลังไปสามสี่ก้าวแล้วเอ่ยปากถาม

    “เจ้าจะแข่งหรือไม่แข่ง!” ตู้หลิงเฟยกัดฟันพูด

    “แต่ข้าเพิ่งศึกษาตำราพืชหญ้าไปแค่สามเล่มแรกเอง…” ไป๋เสี่ยวฉุนเอ่ยอย่างลังเล

    “งั้นก็แข่งสามเล่มแรก! เจ้ากล้าหรือไม่!” ตู้หลิงเฟยรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะระเบิดเต็มที คำรามด้วยความโกรธแค้น

    “แข่ง…ข้าแข่งก็ได้” เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ตอบกลับด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แต่ในใจกลับเบิกบานยินดี รู้สึกว่าแม่น้องสาวข้างหน้าผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง

    ฝูงชนได้ยินคำพูดของไป๋เสี่ยวฉุนก็ส่งเสียงดังขึ้นมาโดยพลัน ตู้หลิงเฟยเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก แม้ว่าในเวลานี้พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายจะยังฟื้นฟูมาได้ไม่เท่าไร แต่พลังกายกลับฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากถลึงตาใส่ไป๋เสี่ยวฉุนทีหนึ่ง นางก็เดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าว ประสานมือคารวะผู้เฒ่าซุน

    “ศิษย์ตู้หลิงเฟย ขอให้ท่านผู้เฒ่าช่วยเป็นพยานในการประลองความรู้ด้านพืชหญ้ากับไป๋เสี่ยวฉุนในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ”

    ผู้เฒ่าซุนยิ่งรู้สึกว่าตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่ข้างหน้าผู้นี้ไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากได้ยินก็ลูบเครา เอ่ยปากเสียงกลั้วหัวเราะ

    “ก็ดี วันนี้ข้าจะเป็นพยานให้เอง ในเมื่อประลองความรู้ด้านพืชหญ้า ถ้าเช่นนั้นให้ปรมาจารย์ใหญ่เป็นผู้ตั้งคำถามดีหรือไม่” ผู้เฒ่าซุนมองหลี่ชิงโหว

    หลี่ชิงโหวได้ยินก็มองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งที จากนั้นก็พยักหน้า

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์รอบทิศจึงตื่นเต้นกันขึ้นมาทันควัน แม้แต่ตู้หลิงเฟยเองก็ยังตื่นเต้นไปด้วย ประสานมือคารวะหลี่ชิงโหวอีกครั้ง

    การประลองที่ไม่ต้องตีรันฟันแทง ทั้งยังสามารถได้หน้าได้ตาแบบนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนชื่นชอบเป็นที่สุด เวลานี้ขณะยืนอยู่ตรงนั้นเขาก็ไม่ได้มีใบหน้าเศร้าสร้อยอีกต่อไป แต่เชิดหน้าขึ้นด้วยท่วงท่าของผู้ที่ภาคภูมิใจในตนเอง ฝูงชนรอบด้านเห็นเข้าก็ยิ่งระคายตา ตู้หลิงเฟยเองก็ส่งเสียงหึเย็นชาใส่เขาหนึ่งที

    “ในเรื่องของพืชหญ้า มิสามารถคาดเดาการเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าจะเป็นเนื้อหาของสามเล่มแรก แต่ยังคงมีตัวแปรมากมายแฝงอยู่ วันนี้ข้าจะตั้งปัญหาสองข้อ ดูว่าพวกเจ้าใครจะเป็นผู้ชนะ” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเรียบๆ สายตากวาดมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย มือขวายกขึ้นมาตบลงบนถุงเก็บของหนึ่งที ในมือก็มีเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นมาอีกสองเมล็ด

    “ในมือของข้าคือเมล็ดพันธุ์ดอกไม้สองเมล็ด ใช้พลังสะกดทางวิญญาณเป็นตัวกระตุ้น บวกกับความรู้ด้านพืชหญ้าของพวกเจ้า ผู้ที่ทำให้ดอกไม้วิเศษผลิบานได้มากที่สุดถือว่าเป็นผู้ชนะในรอบแรก” มือขวาของหลี่ชิงโหวสะบัดหนึ่งที เมล็ดพันธุ์สองเมล็ดนี้ก็บินแยกกันไปหาไป๋เสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย

    ตู้หลิงเฟยคว้าเอาไว้ได้ด้วยมือเดียว ขณะที่นางกำลังลังเล หลี่ชิงโหวก็ดีดโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดพุ่งดิ่งมายังตู้หลิงเฟย เมื่อนางคว้าเอาไว้ได้ก็อึ้งงัน

    “ลูกกลอนเม็ดนี้สามารถทำให้พลังของเจ้าฟื้นตัวขึ้นมาได้” น้ำเสียงราบเรียบของหลี่ชิงโหวลอยมา ตู้หลิงเฟยพลันตะลึงระคนดีใจ หลังจากกล่าวขอบคุณก็รีบกลืนลงไป และเมื่อผ่านไปไม่กี่ช่วงลมหายใจ ทั้งร่างของนางก็สั่นไหว ดวงตาทั้งคู่เผยความมีชีวิตชีวา พลังในร่างกายก็ฟื้นตัวกลับมาทั้งหมดในพริบตาเดียว

    ไป๋เสี่ยวฉุนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเห็นภาพนี้ ในใจก็รู้สึกขัดเคืองเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร มองเมล็ดพันธุ์วิเศษในฝ่ามือ ไม่ได้ทำการกระตุ้นมันในทันที แต่หยิบขึ้นมาตรงหน้า วิเคราะห์อย่างละเอียด

    “หากเจ้ามองไม่ออกข้าบอกเจ้าให้ก็ได้ นี่ก็คือเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน” ตู้หลิงเฟยมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยความดูหมิ่นทีหนึ่งแล้วก็ไม่ให้ความสนใจอีก ปิดดวงตาทั้งคู่ลง พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายโคจรพรวดพราด หลอมรวมอยู่ในมือและไหลทะลักเข้าเมล็ดพันธุ์โดยตรงเป็นระลอก

    เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในมือนางเริ่มแตกหน่อสีเขียวออกมา เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็สูงถึงหนึ่งฉื่อ หลังจากผลิดอกออกมาเป็นดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินดอกหนึ่งแล้ว พืชวิเศษนี้ก็เจริญเติบโตต่อไป

    มาถึงตอนนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งจะดึงสายตากลับมาจากการมองเมล็ดพันธุ์นั้นราวกับกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง

    หลี่ชิงโหวสังเกตไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ตลอดเวลา หลังจากเห็นภาพนี้แล้ว ส่วนลึกในดวงตาของเขาเผยความตื่นตะลึงอย่างที่คนนอกยากจะจับสังเกตได้ออกมา

    ในระหว่างที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนที่อยู่รอบทิศล้วนมองตู้หลิงเฟย เห็นพืชวิเศษในมือของนางสูงขึ้นมาถึงสองฉื่อ ผลิดอกที่สองออกมา

    ขณะที่พืชวิเศษในมือของตู้หลิงเฟยผลิดอกที่สามออกมา พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายของไป๋เสี่ยวฉุนก็เริ่มเคลื่อนไหว ตรงดิ่งเข้าไปหลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์ ทว่าไม่ได้รักษาระดับความสม่ำเสมอเอาไว้ แต่เป็นเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวไปต่อ และเมื่อเมล็ดพันธุ์นั้นแตกหน่อออกมาแล้ว เขายังเป่าลมใส่หนึ่งที ทำให้หน่ออ่อนนั้นกระจายออกด้วย

    หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป สีหน้าตู้หลิงเฟยซีดเผือดน้อยๆ แต่กลับกัดฟันแรงๆ หนึ่งที ยืนหยัดทำต่อรวดเดียว จนเมื่อพืชวิเศษผลิดอกสีน้ำเงินที่หกออกมาแล้วถึงได้ผ่อนคลายลง วางพืชวิเศษไว้ด้านข้างแล้วคำนับหลี่ชิงโหว

    “ดอกไม้วิเศษหกดอก ถือเป็นระดับชั้นยอด ไม่เลว” หลี่ชิงโหวพยักหน้า

    ตู้หลิงเฟยพึงพอใจ เมื่อมองไปที่ไป๋เสี่ยวฉุนแล้วพบว่าพืชวิเศษในมือของอีกฝ่ายยังโตได้ไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ความดูถูกในแววตาก็ยิ่งมากขึ้น

    ในเวลานี้ศิษย์ฝ่ายนอกโดยรอบแต่ละคนล้วนรู้สึกฮึกเหิม

    “ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์พี่หญิงตู้ ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินนี้ออกดอกหกดอก ไม่ธรรมดาเลย ของเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนนั่นตอนนี้ยังไม่ผลิออกมาสักดอก ช่างไร้ค่าเสียจริง”

    “การประลองเร่งกระตุ้นการเติบโตแบบนี้ ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าเป็นเมล็ดพันธุ์อะไร จากนั้นก็ใช้วิธีกระตุ้นที่ต่างกันโดยอิงตามเกณฑ์การเพาะปลูกของเมล็ดพันธุ์ ในด้านนี้ศิษย์พี่หญิงตู้ชำนาญลึกซึ้งนัก”

    ขณะที่ฝูงชนกำลังพูดคุยกันนั้น พืชวิเศษในมือไป๋เสี่ยวฉุนค่อยๆ เติบโตขึ้นสูงถึงหนึ่งฉื่อ จากนั้นดอกไม้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่ค่อนข้างจะแห้งเหี่ยวก็ผลิออกตามมาติดๆ เมื่อเทียบกับดอกสีน้ำเงินของตู้หลิงเฟยแล้วก็ดูคล้ายกับดอกไม้ที่ไม่ได้รับการบำรุงที่ดี และขณะที่ฝูงชนกำลังคิดจะหัวเราะเยาะเขา ทันใดนั้นพืชวิเศษที่เห็นๆ กันอยู่ว่าสูงเพียงหนึ่งฉื่อกลับเริ่มมีดอกสีน้ำเงินเล็กๆ อีกดอกผลิออกมา และยังตามมาด้วยดอกที่สาม ดอกที่สี่ ดอกที่ห้า ดอกที่หก ดอกที่เจ็ด…

    ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ พืชวิเศษในมือไป๋เสี่ยวฉุนกลับผลิดอกออกมาได้ถึงเก้าดอกเต็ม!

    ภาพนี้ทำให้ฝูงชนรอบด้านล้วนอึ้งตะลึงงัน พากันขยี้ตาเพ่งมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    “ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินหนึ่งฉื่อหนึ่งดอก นี่หนึ่งฉื่อมีถึงเก้าดอกได้อย่างไร!” ตู้หลิงเฟยเองก็อึ้งไปเช่นกัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายนัก

    แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด หลังจากดอกสีน้ำเงินเล็กๆ ดอกที่เก้าปรากฏขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนก็เปล่งประกายวาบ สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นพลันพ่นลมหายใจแฝงไอวิญญาณออกมาหนึ่งที เมื่อลมหายใจตกต้องดอกไม้เล็กๆ เก้าดอกนี้ พริบตาเดียวดอกไม้ทั้งเก้าก็สั่นไหวขึ้นมาพร้อมกัน ทันใดนั้นสีสันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสีคราม!

    อันสีครามเกิดจากต้นคราม แต่มีสีครามเข้มกว่าต้นคราม*

    “นี่…นี่ไม่ใช่ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน!” ในกลุ่มฝูงชนรอบทิศมีบางคนที่มองออกก็เบิกตากว้าง แววตาแฝงความตกใจ “ดอกไม้วิเศษสีคราม นี่คือดอกไม้วิเศษสีครามที่ยากจะแยกแยะความต่างได้ในระหว่างที่ปลูกดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน อีกทั้งวิธีกระตุ้นการเติบโตของพวกมันก็ไม่เหมือนกันเลย หากกระตุ้นโดยอิงวิธีของดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน เช่นนั้นสิ่งที่ได้ก็คือดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน เป็นการสิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์!”

    ทุกคนตกตะลึง เมื่อมองมายังไป๋เสี่ยวฉุนล้วนยากจะทำใจให้เชื่อได้

    เวลานี้ไป๋เสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น วางดอกไม้วิเศษสีครามในมือไว้ด้านข้าง หัวเราะคิกๆ เอามือเล็กๆ ไพล่หลังมองไปยังตู้หลิงเฟย

    ความรู้ในด้านพืชหญ้าของเขานั้นไปถึงระดับที่มิอาจบรรยายได้แล้ว เพียงเพ่งพินิจให้ละเอียดก็จะมองความแตกต่างออกทันที การแยกแยะระดับนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าง่ายมาก

    ตู้หลิงเฟยหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกเหมือนถูกคนตบหน้า นางถอยหลังไปหลายก้าว มองดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินของตัวเองหนึ่งที แล้วก็มองดอกไม้วิเศษสีครามของไป๋เสี่ยวฉุนอีกที รู้สึกเพียงว่าใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อครู่ตนเองยังชี้แนะอีกฝ่ายด้วยความลำพอง แต่เพียงพริบตาเดียวทุกอย่างก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าตนเป็นผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ไปอย่างสิ้นเปลือง

    ไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้ต้องอาศัยโชคช่วยแน่ๆ ข้ามองเห็นเป็นดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน แต่เขามองเห็นเป็นดอกไม้วิเศษสีคราม ต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาสามารถแยกแยะได้! ตู้หลิงเฟยกัดฟันคิดในใจ

    “รอบแรก ไป๋เสี่ยวฉุนชนะ ดอกไม้ชนิดนี้ไม่ใช่ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน แต่เป็นดอกไม้วิเศษสีคราม มองเผินๆ เหมือนกัน แต่ลายเส้นมีความแตกต่างมากมาย แต่ถ้าไม่สังเกตอย่างละเอียดก็ยากที่จะค้นพบ ง่ายที่จะนำมาปะปนกัน” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเนิบนาบ มองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที ยกมือขวาขึ้นมาโบกครั้งหนึ่ง ในมือปรากฏพืชวิเศษหนึ่งต้น

    พืชวิเศษนี้พิเศษมาก มีถึงสี่สี ใบทั้งเก้าล้วนแตกต่างกัน ผลิดอกสองดอก ดอกหนึ่งสีดำ ดอกหนึ่งสีขาว ราวกับมีวิญญาณแฝงอยู่ ทั้งยังโบกสะบัดปะทะกันไม่หยุดประหนึ่งต้องการพิชิตอีกฝ่าย ภายนอกเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เมื่อมองให้ละเอียดจะพบว่ามีร่องรอยการทาบกิ่งในภายหลัง

    “รอบแรกทดสอบเรื่องการกระตุ้นการเติบโต ถ้าอย่างนั้นรอบที่สองนี้จะทดสอบการแยกแยะก็แล้วกัน ต้นไม้วิเศษในมือข้าต้นนี้ผ่านการทาบกิ่งพืชวิเศษมาหลายชนิด ระหว่างพวกเจ้าใครที่พูดจำนวนได้แม่นยำที่สุดก็คือผู้ชนะ”

    หลี่ชิงโหวปล่อยพืชวิเศษต้นนี้ให้ลอยไปด้านหน้า สายตามาตกอยู่ที่ไป๋เสี่ยวฉุน อยากจะดูว่าเด็กที่พาเข้าสำนักมาคนนี้จะสามารถทำให้ตนตกตะลึงได้อีกหรือไม่

    ฟันขาวสะอาดของตู้หลิงเฟยขบกัน นางรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนประมาทเกินไป เวลานี้จึงเกิดความตั้งใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากหยิบม้วนตำราหยกเล่มหนึ่งออกมาแล้วก็เดินไปด้านข้างพืชวิเศษ

    แววตาไป๋เสี่ยวฉุนเผยความสนอกสนใจ เดินเข้าไปเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนเพ่งพินิจอยู่นานมาก ก้มหน้าบันทึกลงในม้วนตำราหยกอยู่ตลอดเวลา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ตู้หลิงเฟยก็นวดคลึงหว่างคิ้ว ถอยหลังออกมาสองสามก้าว มองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าไม่มั่นคง นางดูออกแปดชนิด ส่วนที่เหลือไม่ว่านางจะพยายามแยกแยะแค่ไหนก็แยกไม่ออก

    แต่ทางด้านไป๋เสี่ยวฉุนนั้น ไม่เพียงแต่ยังสังเกตไม่เสร็จ กลับกันคือดวงตาทั้งคู่ยังค่อยๆ เปล่งประกาย ถึงขนาดงึมงำเสียงเบา เดินวนรอบพืชวิเศษอยู่หลายรอบ แล้วยังส่งเสียงร้องตื่นตะลึงออกมาเป็นระยะราวกับค้นพบสิ่งน่าตะลึงระคนดีใจอันใด

    “เป็นเช่นนี้ได้ด้วยหรือ”

    “นี่มัน…น่าสนใจ!”

    ฝูงชนรอบด้านเงียบกริบ ล้วนจ้องมองไป๋เสี่ยวฉุน พวกเขาเองก็ไม่เชื่อว่ารอบก่อนไป๋เสี่ยวฉุนมองออกด้วยความสามารถของตนเอง ทุกคนล้วนคิดว่าไป๋เสี่ยวฉุนอาศัยโชคถึงได้เลือกกระตุ้นตามวิธีของดอกไม้วิเศษสีคราม

    เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปสิ! ในใจตู้หลิงเฟยไม่ยอมแพ้ ยิ่งมองไป๋เสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ

    เวลาผ่านไป เมื่อธูปหนึ่งดอกดับลงไป๋เสี่ยวฉุนก็ยังคงสำรวจไม่เสร็จสิ้น เขาจมดิ่งอยู่กับการสังเกตอย่างแท้จริง ลืมไปแล้วว่ากำลังประลองอยู่ พืชวิเศษที่เกิดจากการทาบกิ่งเช่นนี้ ราวกับได้เปิดประตูความรู้เรื่องพืชหญ้าอีกบานใหญ่ให้กับสมองของไป๋เสี่ยวฉุน ทำให้ราวกับว่าสมุนไพรหลายหมื่นชนิดที่เขาศึกษามาไม่ได้อยู่แยกเดี่ยวเป็นต้นๆ อีกต่อไป แต่กลับผสานรวมกันอยู่ในสมอง

    เนิ่นนานไป๋เสี่ยวฉุนถึงได้ถอยหลังออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ ขณะที่มองไปยังพืชวิเศษ สายตาก็เผยความหลงใหลและชื่นชม

    หลี่ชิงโหวและผู้เฒ่าซุนมองสบตากันหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหลี่ชิงโหวก็เอ่ยปาก

    “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าสองคนพูดพืชวิเศษที่มองออกออกมา ตู้หลิงเฟย เจ้าก่อน”

    ตู้หลิงเฟยกัดฟัน หยิบม้วนตำราหยกขึ้นมา เอ่ยปากเป็นคนแรก

    “ศิษย์มองออกเพียงแปดชนิด แบ่งออกเป็นสุ่ยเทียนเหวิน รากหานอี ผลมังกรดิน หญ้าหมอกอรุณ…สุดท้ายคือหวงถู่จิง!” พูดจบ ตู้หลิงเฟยหันไปมองไป๋เสี่ยวฉุน นางไม่เชื่อว่าไป๋เสี่ยวฉุนจะตอบได้มากเกินกว่าตนเอง ต้องเข้าใจว่าทั้งแปดชนิดนี้ถึงแม้มองดูไม่มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วการแยกแยะสมุนไพรที่ทาบกิ่งให้ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบนั้นยากยิ่งนัก มองออกได้แปดชนิดถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

    หึ หากเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้หน้าด้านพูดว่าแปดชนิดเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นก็เอาม้วนตำราหยกมาใช้เป็นหลักฐาน! ตู้หลิงเฟยหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ

    ไป๋เสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าฝูงชนล้วนมองมาที่ตนเองก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที หยิบเอาม้วนตำราหยกที่เมื่อครู่ใช้บันทึกชื่อพืชวิเศษออกมา

    “แปดชนิดที่ศิษย์พี่หญิงตู้กล่าวมาศิษย์ขอไม่พูดแล้วกัน นอกจากนี้แล้ว ศิษย์มองออกว่ามีพืชวิเศษหกสิบเจ็ดชนิด เสียดายที่มีถึงสามสิบเอ็ดชนิดที่มองไม่ออก ที่มองออกมีเพียงสามสิบหกชนิดเท่านั้น” ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันได้พูดจบ ศิษย์รอบทิศล้วนตกตะลึงจนร้องเสียงหลง

    “หกสิบเจ็ดชนิด จะเป็นไปได้อย่างไร!”

    “การแยกแยะเช่นนี้ มองออกเจ็ดแปดชนิดก็ถือว่าถึงขีดสุดแล้ว จะสามารถมองออกถึงหลายสิบชนิดได้อย่างไร!”

    ตู้หลิงเฟยจดจ้องไป๋เสี่ยวฉุนแล้วหัวเราะเสียงเย็น นางไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเมื่อครู่ ในเวลานี้จึงชี้ขาดได้เลยว่าเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้เดาล้วนๆ

    “ศิษย์น้องไป๋เหตุใดไม่พูดว่ามีสามหมื่นชนิดไปเลยเล่า หากพูดแบบนี้ล่ะก็เจ้าท่องชื่อพืชหญ้าสามเล่มแรกสักหนึ่งรอบก็ต้องทายถูกไม่น้อยแน่” ตู้หลิงเฟยกล่าวเสียดสี

     

    บทที่ 34

    พืชหญ้าถูกกดทับจนบี้แบน

     

    คำพูดของตู้หลิงเฟยทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกที่มองอยู่หัวเราะขึ้นมาทันที เดิมพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าไป๋เสี่ยวฉุนจะมีความรู้เรื่องพืชหญ้าเทียบชั้นตู้หลิงเฟยได้อยู่แล้ว

    โดยเฉพาะคำพูดสุดท้ายที่ไป๋เสี่ยวฉุนพูดออกมา พวกเขาฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเดาเอาล้วนๆ

    “หากไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้ดูออกจริงๆ ถ้าเช่นนั้นความรู้ด้านพืชหญ้าในตำราสามเล่มแรกของเขาก็เพียงพอจะเทียบเคียงศิษย์พี่หญิงโจวได้เลย แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร!”

    “คนผู้นี้จงใจพูดจาตลบตะแลง ช่างน่ารังเกียจเสียจริง คราวนี้เขาต้องถูกเปิดโปงแน่!”

    ครั้นเห็นว่าฝูงชนรอบด้านเย้ยหยันไม่หยุด ไป๋เสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ขมวดคิ้วฉับ

    “พวกเจ้าพูดจบหรือยัง” สีหน้าของเขาค่อยๆ เย็นชาขึ้นมาบ้าง เขาโกรธแล้วจริงๆ หากเป็นการประลองยุทธ์เขาไม่มีทางเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีปณิธานว่าจะได้เป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่แล้ว การถูกสงสัยเรื่องความรู้ด้านพืชหญ้าทำให้เขารู้สึกว่านี่เป็นการเหยียดหยามชนิดหนึ่ง “พวกเจ้าจะสงสัยว่าข้าโชคช่วยก็ได้ สงสัยว่าข้ามีอาวุธวิเศษเยอะก็ได้ แต่ในด้านความรู้เรื่องพืชหญ้า จงอย่านำความรู้น้อยนิดเท่าหางอึ่งของพวกเจ้ามามองฟ้าดินทั้งหมด!”

    หลังจากเสียงของเขาดังออกไปและสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ร่างกายผอมแห้งก็สร้างความรู้สึกประหนึ่งเป็นยอดเขาสูงตระหง่านให้แก่ผู้คนโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเย็นชาของเขายิ่งทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกที่กำลังหัวเราะเยาะอยู่ต่างอึ้งงันไป

    แม้แต่ตู้หลิงเฟยเองก็ยังอึ้งไปด้วย ไป๋เสี่ยวฉุนในเวลานี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ยิ่งนักราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    “พืชวิเศษต้นนี้ น่าจะเรียกว่าดอกเฮยไป๋ ด้านในมีรากเงินทอง ใบเทียนหวง หญ้าสุ่ยหลัว ผลจิ่วตี้ เนื้อหอยทาก ดอกเปียนอวิ๋น สวินเฟิงจิง ผลหานหยาง…” ไป๋เสี่ยวฉุนส่งเสียงหึเย็นชาหนึ่งที สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เขาในเวลานี้ไม่ได้มีท่าทางน่าเอ็นดูระคนน่ารังเกียจอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว มือของเขาไพล่หลัง มองฝูงชนรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่าค่อยๆ มีพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา

    หลังจากเขาเปล่งคำพูดออกมา อำนาจบนร่างกายของเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของแต่ละคนรอบด้านล้วนฉงนสนเท่ห์

    โดยเฉพาะตู้หลิงเฟยที่หัวคิ้วขมวดกันแน่น มองพืชวิเศษอย่างละเอียด ชื่อที่ไป๋เสี่ยวฉุนเอ่ยมาเหล่านั้น นางล้วนรู้จักทั้งสิ้น ทั้งหมดมีบันทึกเอาไว้ในตำราพืชหญ้าสามเล่มแรก แต่นางกลับดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามันมีอยู่บนพืชวิเศษต้นนี้ด้วย

    “ดูท่าเจ้าจะท่องพืชหญ้าสามเล่มแรกออกมาให้ฟังรอบหนึ่งจริงๆ ทำแบบนี้เจ้าก็สามารถทายถูกได้มากกว่าข้า หากเจ้าสามารถท่องออกมาได้หมดโดยไม่พลาดสักชนิดเดียว เช่นนั้นเจ้าชนะรอบนี้ ข้าก็ยอมแพ้” ตู้หลิงเฟยทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที นางยังคงไม่เชื่ออยู่ดีว่าไป๋เสี่ยวฉุนสามารถแยกแยะออกมาได้จริง

    “ถูกต้อง หากเจ้ามีความสามารถจริงก็ท่องตำราพืชหญ้าสามเล่มแรกออกมารอบหนึ่ง แบบนั้นก็ถือว่าเจ้าชนะ!”

    “แสร้งตบตาคนไปเรื่อย ความรู้น้อยนิดเท่าหางอึ่งอะไรกัน ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่ความรู้น้อยนิด มองไม่ออกก็ยอมรับมาตรงๆ สิ แสร้งยึกยักเล่นลิ้นอยู่นั่น มันยิ่งน่าดูถูก!” ฝูงชนรอบทิศล้วนหัวเราะเย้ยหยัน พูดจาเหน็บแนม

    ไป๋เสี่ยวฉุนมองตู้หลิงเฟยอย่างเย็นชา แล้วก็มองไปยังฝูงชน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ดึงสายตากลับพลางเอ่ยปากเนิบนาบ

    “รากร้อยหญ้า สามสิบปีกลายเป็นร้อยหญ้า นำเส้นชีพจรหลักของมันมาอบไฟให้แห้ง เพิ่มน้ำวิเศษเข้าไป ทาบกิ่งไว้บนใบเทียนฮวาง จะกลายเป็นจุดเล็กๆ ตรงส่วนนี้” มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนชี้ไป สายลมระลอกหนึ่งตกกระทบลงบนพืชวิเศษ เผยให้เห็นจุดเล็กมากๆ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ใบไม้ใบหนึ่ง

    “ใบเทียนฮวาง ทุกๆ เก้าใบจะรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งใบ เติบโตขึ้นมาจากการกลืนกินดอกไป๋จั๋ว มันอยู่ตรงนี้!”

    “ดอกไป๋จั๋ว หากอายุต่ำกว่าหนึ่งร้อยปีจะไม่กลายเป็นดอกไม้ เมื่อถึงร้อยปีจะผลิดอกออกในชั่วพริบตา ภายในร้อยลมหายใจต้องเอาไปทาบกิ่งบนโสมสี่ใบทันที ก็จะสามารถบำรุงใบเทียนฮวางได้ ดอกไม้สีขาวดอกนี้ ก็คือไป๋จั๋ว!”

    “โสมสี่ใบ ใช้ไฟวิเศษย่างให้ร้อน ทำให้ใบของมันเหี่ยวเฉา หลอมรวมเข้ากับตัวโสม สามารถกระตุ้นการเติบโตของผิงเป้ยจื่อ หลอมรวมมันให้กลายเป็นหนึ่งเดียว!”

    “ส่วนผิงเป้ยจื่อ…” น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวฉุนราบเรียบ เมื่อพูดออกมาแต่ละประโยคก็จะชี้ลงไปบนร่องรอยการทาบกิ่งที่หาพบบนพืชวิเศษนั้นด้วย อธิบายละเอียดยิบ แม้แต่วิธีการก็ยังพูดออกมา ฝูงชนรอบทิศที่แรกเริ่มยังมีสีหน้าเย้ยหยัน ความเย้ยหยันนั้นก็ค่อยๆ หายไป แต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจถี่กระชั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่เป็นระยะ ท้ายที่สุดศิษย์ฝ่ายนอกโดยรอบทุกคนล้วนเผยสีหน้ายากจะเชื่อออกมา แถมยังมีบางคนถึงขั้นร้องเสียงหลง

    “เป็นไปไม่ได้!”

    “สวรรค์ เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร!”

    คำพูดทุกประโยคของไป๋เสี่ยวฉุนที่ดังสะท้อนไปมาล้วนราวกับเป็นมือที่มองไม่เห็นพุ่งตรงเข้าไปตบร่างกายของคนเหล่านี้ ฝูงชนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนเป็นศิษย์โอสถ ความลับบนพืชวิเศษที่ก่อนหน้านี้พวกเขามองไม่ออก แต่ตอนนี้เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนอธิบายอย่างละเอียดยิบ พวกเขาก็ล้วนดูออกในทันทีทันใด

    สิ่งที่ไป๋เสี่ยวฉุนพูดไม่มีสิ่งใดผิดสักนิด ถูกต้องทั้งหมด กลายเป็นว่าเขาเพียงคนเดียวก็ตบหน้าศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้!

    ความรู้ด้านพืชหญ้าของไป๋เสี่ยวฉุนคนนี้ถึงขั้น…อยู่ในระดับที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้เชียวหรือ! ในใจของศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้นสั่นสะท้านกันอยู่นานแล้ว คำเย้ยหยันก่อนหน้า ในเวลานี้กลายมาเป็นความปวดแสบปวดร้อนทิ่มแทงบนใบหน้าตนเอง

    ที่ยิ่งทำให้พวกเขาหวาดผวาก็คือวิธีการแนะนำเช่นนี้ของไป๋เสี่ยวฉุนเห็นได้ชัดว่าเป็นการอนุมานย้อนกลับ จากพืชวิเศษที่ทาบกิ่งเรียบร้อยแล้วอนุมานย้อนไปยังวิธีการทาบกิ่งโดยตรง การอนุมานย้อนกลับเช่นนี้จำเป็นต้องมีความรู้ด้านพืชหญ้าระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึงจะสามารถทำได้

    “นี่…นี่คือการอนุมานแบบย้อนกลับ เขา…ความเข้าใจที่เขามีต่อพืชหญ้ามีถึงระดับนี้เชียว…”

    “เป็นศิษย์โอสถ แต่สามารถอนุมานย้อนทวนพืชวิเศษที่ปรมาจารย์ใหญ่เป็นผู้เพาะปลูกได้ นี่…นี่…” แม้แต่ผู้เฒ่าซุนเองก็ยังเบิกตากว้าง แฝงแววคาดไม่ถึง

    นัยน์ตาหลี่ชิงโหวเปล่งแสงเข้มข้น ไป๋เสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้เขาเองก็รู้สึกยากจะเชื่อได้

    สีหน้าตู้หลิงเฟยซีดเผือดลงทันที ร่างกายโซเซถอยหลัง ด้วยความรู้ด้านพืชหญ้าที่นางมี หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋เสี่ยวฉุนจึงตระหนักรู้ขึ้นมาได้ทันที หลายครั้งยังถึงขั้นรู้สึกไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางสุดจะทานทนได้

    ไป๋เสี่ยวฉุนในเวลานี้ไม่ได้ใช้วิชาคาถาใดๆ อาศัยเพียงคำพูดจากปากของตนเอง เพียงความเข้าใจที่เขามีต่อพืชหญ้า คำพูดแต่ละประโยคก็เป็นดั่งอาวุธวิเศษที่ทำให้ตู้หลิงเฟยมิอาจต่อกรได้ รู้สึกได้เพียงมีเสียงดังสนั่นในหัวสมอง ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ถอยหลังติดต่อกัน หน้าก็ยิ่งเผือดสีลงเรื่อยๆ

    “หั่วปั้นซย่า จิ่วเหยียนเทียน ทำให้พืชวิเศษนี้ถูกตากทิ้งไว้ระหว่างฟ้าดินได้โดยที่ไม่ตาย หลอมรวมเข้ากับผลปั้นซย่า ออกมาเป็นดอกเฮยโถว! นี่คือพืชวิเศษต้นสุดท้ายที่ข้าดูออก” ผ่านไปครึ่งก้านธูปไป๋เสี่ยวฉุนจึงกล่าวประโยคสุดท้ายจบ หลังจากสายตาดุจสายฟ้าของเขากวาดมองฝูงชนรอบหนึ่งแล้วก็ตวัดมองมายังตู้หลิงเฟย

    “ศิษย์พี่หญิงตู้ สหายร่วมสำนักทุกท่าน วิถีของพืชหญ้านั้นล้ำลึกมหาศาลไม่มีสิ้นสุด หากไม่ขวนขวาย ความรู้เรื่องพืชหญ้าของพวกท่านก็จะหยุดนิ่งเพียงเท่านี้ ในเมื่อพวกท่านเรียกร้องให้ข้าท่องตำราพืชหญ้าสามเล่มแรกออกมาหนึ่งรอบ เรื่องแค่นี้จะไปยากอะไร!” ไป๋เสี่ยวฉุนเชิดหน้า สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ยืนอยู่ตรงนั้นท่องออกมาทีละชื่อ

    “ไผ่เหมันต์วิเศษ…”

    “ผลมังกรดิน…”

    “รากน้ำหมึก…” เขาเอ่ยปากเสียงดัง สีหน้าเรียบเฉย จากเสียงที่ท่องออกมาไม่หยุด เสียงรอบด้านก็เงียบลง มีเพียงเสียงของไป๋เสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ดังสะท้อนไปมา ราวกับว่าหลังจากที่ตบหน้าทุกคนไปทีหนึ่งก่อนหน้านี้แล้วก็ยกมือขึ้นมาอีกครั้งแล้วตบลงไปเป็นครั้งที่สอง

    ผู้คนรอบด้านที่ได้ยินก็ค่อยๆ รู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ล้วนแต่สูดลมหายใจอย่างอดไม่ได้ บางคนถึงขั้นรีบหยิบม้วนตำราหยกพืชหญ้าขึ้นมาเทียบไปด้วย และพวกที่เอาตำรามาเทียบดูเหล่านั้น แต่ละคนก็ค่อยๆ ตัวสั่น ความหวาดผวาในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

    สีหน้าของตู้หลิงเฟยยิ่งซีดขาว ร่างกายถอยหลังไปอีกครั้ง มองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนราวกับเห็นผี

    ก่อนหน้านี้นางต้องการประชดถึงได้พูดไปเช่นนั้น ในความเป็นจริงแล้วนางยังไม่เคยเจอผู้ที่สามารถท่องพืชหญ้าสามหมื่นชนิดออกมาได้เช่นนี้มาก่อน เรื่องเช่นนี้สำหรับนางแล้วเป็นสิ่งเหลือเชื่อ หากมีผู้ทำได้จริง เช่นนั้นความรู้ด้านพืชหญ้าของคนผู้นี้ก็ถือว่าสยบสวรรค์ได้แล้ว

    เวลาผันผ่าน ไป๋เสี่ยวฉุนท่องออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามก็ท่องได้รวดเดียวหมด ตลอดหนึ่งชั่วยามนี้สำหรับผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้วไม่รู้ว่าผ่านกันมาได้อย่างไร พวกเขาทุกคนแทบจะหยิบเอาม้วนตำราหยกออกมาเทียบไปด้วยแล้ว

    จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนเอ่ยชื่อพืชหญ้าต้นสุดท้าย ฝูงชนที่พากันเงียบกริบเหมือนตายไปแล้วก็ระเบิดเสียงฮือฮาสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา ดังสนั่นไปรอบด้าน ถึงขั้นที่ว่าศิษย์ฝ่ายนอกซึ่งอยู่นอกลานประลองจำนวนไม่น้อยก็ยังได้ยินเสียงแว่วๆ ด้วย

    “สวรรค์…ไม่ผิดเลยสักชนิดเดียว ถูกทั้งหมดเลย นี่…มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือนี่!”

    “พืชหญ้าสามหมื่นชนิดเต็มๆ…ความรู้ด้านพืชหญ้าของไป๋เสี่ยวฉุนคนนี้มาถึงระดับสะเทือนฟ้าได้ขนาดนี้แล้ว เขา…เขาอยู่อันดับใดบนหลักศิลาพืชหญ้ากัน”

    “ความรู้ด้านพืชหญ้าของตู้หลิงเฟยเมื่อเทียบกับไป๋เสี่ยวฉุนแล้วก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินดีๆ นี่เอง!”

    ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของฝูงชน ตู้หลิงเฟยมองไป๋เสี่ยวฉุน ความขมขื่นในใจพุ่งสูงถึงขีดสุด ต่อให้เป็นการประลองยุทธ์ก่อนหน้านั้นนางก็ยังไม่รู้สึกถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้ในด้านความรู้ลึกซึ้งเรื่องพืชหญ้านั้นกล่าวได้ว่านางถูกกดทับเสียจนบี้แบน

    อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนผู้มากับดวงและพกเครื่องป้องกันมาเสียมากมายผู้นี้จะมีความรู้เรื่องพืชหญ้าลึกซึ้งถึงระดับที่ไม่ว่าตนเองจะแหงนมองอย่างไรก็มองไม่เห็นแล้ว

    แรงจู่โจมเช่นนี้ทำให้นางหัวเราะสมเพชตนเองหนึ่งที โยนธูปหลิงอวิ๋นออกมาแล้วหมุนตัวรีบเดินจากไป ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกแย่มากเท่านั้น

    เมื่อตู้หลิงเฟยจากไป ศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านก็กระอักกระอ่วนกันขึ้นมา ทุกคนล้วนประสานมือคารวะไป๋เสี่ยวฉุนจากที่ไกลๆ แล้วรีบจากไปเช่นกัน นึกภาพออกเลยว่าความสะเทือนใจของพวกเขาในเวลานี้จะคงอยู่ต่อไปอีกแสนนาน

    ไม่นานพวกศิษย์ก็พากันกลับไปเยอะแล้ว เหลือเพียงไป๋เสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนแท่นประลองยุทธ์ เขาไอแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้ตนเอง…ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย จึงรีบเก็บธูปหลิงอวิ๋นแล้วหันไปมองหลี่ชิงโหวด้วยความระมัดระวังหนึ่งที

    “ศิษย์…ขอตัวนะขอรับ” ไป๋เสี่ยวฉุนพูดไปพลางรีบก้าวถอยหลังไปด้วย แผล็บเดียวก็วิ่งหายไปจนไม่เห็นเงา

    บนแท่นประลองยุทธ์ ผู้เฒ่าซุนมองตามเงาหลังของไป๋เสี่ยวฉุนไป ในดวงตายังมีความตื่นตะลึงหลงเหลืออยู่

    “ปรมาจารย์ใหญ่ เด็กคนนี้…ไม่ธรรมดา!” ผู้เฒ่าซุนเอ่ยปากเสียงเบา

    หลี่ชิงโหวเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความสุขใจ สะบัดปลายแขนเสื้อกว้างหนึ่งทีแล้วเดินไปทางยอดเขา

     

    บทที่ 35

    เจอสวี่เป่าไฉอีกแล้ว

     

    ครึ่งเดือนให้หลัง เรื่องที่สุดท้ายไป๋เสี่ยวฉุนเป็นฝ่ายกดทับตู้หลิงเฟยเสียจนบี้แบนในการประลองเล็กของสำนักก็ถูกศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้นเล่าลือออกไป ก่อให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนลูกไม่เล็กนักในสำนัก

    ทำให้ทุกครั้งที่ไป๋เสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกและพบเจอศิษย์ฝ่ายนอกระหว่างทางก็ล้วนได้รับคำทักทายพร้อมรอยยิ้ม นี่ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกขึ้นมาทันควันว่าตนก็ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงชอบออกไปข้างนอกมาก ทุกครั้งที่พบเจอศิษย์ฝ่ายนอกก็จะเป็นฝ่ายเดินหน้าเข้าไปพูดคุยก่อน จากนั้นรอจนอีกฝ่ายถามว่าตนเป็นใครถึงจะเอ่ยชื่อของตนออกไปโดยพยายามกลั้นความภาคภูมิใจเอาไว้

    ชีวิตสุขสบายเช่นนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนมีความสุขอย่างมาก ธูปดอกนั้นของตู้หลิงเฟยก็ถูกเขาเอามาหลอมพลังจิตสามครั้งแล้วสูดควันเข้าไป พลังบำเพ็ญทะลุขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่ห้าฝ่าไปถึงขั้นที่หกได้อย่างราบรื่น

    ส่วนวิชายกหนักเสมือนเบานั้นไป๋เสี่ยวฉุนก็ยิ่งชำนาญขึ้นอีกภายใต้การทุ่มเทฝึกฝน ถึงขั้นเริ่มศึกษาระดับขั้นที่สองของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางอย่างยกเบาเสมือนหนักแล้ว

    นี่มองดูแล้วเหมือนไม่ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วไป๋เสี่ยวฉุนทดลองทำมานานมาก แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงเสียที

    วันนี้ขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิฝึกวิชายกเบาเสมือนหนักอยู่ในเรือนนั้น ใบหน้าเขากระตุกเล็กน้อย เก็บกระบี่ไม้เงยหน้ามองไปนอกลานเรือน ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูลอยมา

    “ศิษย์พี่ไป๋อยู่หรือไม่” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเสียงที่ดังมาจากด้านนอกประตูค่อนข้างคุ้นหู นึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เรือนแห่งนี้ของเขาตามปกติมีผู้มาเยือนน้อยมาก จึงยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่ประตู ประตูใหญ่มีเสียงขลุกขลักดังหนึ่งทีแล้วเปิดออกเอง ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มผอมแห้งผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตู

    ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดของศิษย์ฝ่ายนอก ทันทีที่ประตูเปิดออก สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ประสานมือโค้งคำนับต่ำๆ

    “สวี่เป่าไฉ คารวะศิษย์พี่ไป๋”

    “เจ้าเองเรอะ” ไป๋เสี่ยวฉุนอึ้งไป ผู้ที่อยู่นอกประตูก็คือสวี่เป่าไฉที่เคยมีเรื่องกับไป๋เสี่ยวฉุนเมื่อครั้งเขาเข้าฝ่ายครัวไฟใหม่ๆ สวี่เป่าไฉผู้นี้บัดนี้ฝึกพลังได้ถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณแล้วจึงได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

    “มีเรื่องอันใด เป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้วยังไม่ยอมแพ้ คิดจะตีกับข้าอีกรอบอย่างนั้นหรือ” เพียงไป๋เสี่ยวฉุนกวาดตามองก็ดูออกว่าอีกฝ่ายเพิ่งอยู่ขั้นที่สามของการหลอมปราณจึงวางใจในทันที แสร้งเผยสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจัง

    สวี่เป่าไฉได้ยินก็รีบส่ายหน้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มขื่น คำนับไป๋เสี่ยวฉุนอีกหนึ่งครั้ง

    “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ประสา ศิษย์พี่ไป๋อย่าได้แดกดันข้าอีกเลย ครานี้ข้าผู้แซ่สวี่มาก็เพื่อชดใช้ความผิดให้กับศิษย์พี่ไป๋ เพื่อขจัดปัญหาในปีนั้นให้สิ้นไป” สีหน้าของสวี่เป่าไฉมีความจริงใจ เขาคิดจะมาแก้ไขปัญหาจริงๆ เพราะอย่างไรเสียตอนนี้ก็ได้กลายมาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว จึงไม่ได้เก็บเรื่องในอดีตมาใส่ใจอีก

    ที่สำคัญที่สุดคือทุกวันนี้ไป๋เสี่ยวฉุนถือว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งบนเขาเซียงอวิ๋น สวี่เป่าไฉซึ่งเลือกเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นนั้นแน่นอนว่าต้องไม่อยากให้เรื่องในอดีตมาทำให้เกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น ดังนั้นถึงได้มาที่นี่

    ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตา นึกถึงเรื่องในตอนนั้นก็อดคิดถึงฝ่ายครัวไฟไม่ได้ เวลานี้สวี่เป่าไฉก็พอนับได้ว่าเป็นสหายเก่า ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนเชิญสวี่เป่าไฉเข้ามาในเรือน ทั้งสองคนนั่งด้วยกันพลางทอดถอนใจ

    “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าต้องเขียนอักษรอาฆาตด้วยเลือดมากมายขนาดนั้นด้วย ตอนหลังแม้จะเข้าใจแล้วแต่ก็ยังแปลกใจอยู่ดี เจ้าใช้เลือดเขียนอักษรมากมายขนาดนั้น เจ้าไม่เจ็บจริงๆ หรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนถามขึ้นมาหนึ่งประโยค เขามิอาจลืมเลือนสารท้ารบเขียนด้วยเลือดฉบับนั้นของอีกฝ่ายได้

    สวี่เป่าไฉหน้าแดง ตอนนี้พอมาคิดถึงเรื่องในอดีตก็รู้สึกว่าตนเองช่างทำไปได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อด้วยความกระอักกระอ่วน

    “ศิษย์พี่ไป๋ ท่านต้องระวังพวกฝ่ายตรวจการเอาไว้ให้ดี ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินคนพูดกันว่าพวกเฉินเฟยที่ถูกท่านผลักขึ้นเขาในคราวนั้นยังคงเกลียดท่านฝังใจ”

    “เฉินเฟยหรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนระแวดระวังขึ้นมาทันที ในสมองปรากฏภาพชายร่างใหญ่บึกบึนฝ่ายตรวจการผู้นั้นขึ้นมา “ตอนนี้พลังบำเพ็ญเขาถึงขั้นไหนแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนถามอย่างสงสัยใคร่รู้

    “ได้ยินว่าถึงขั้นสูงสุดของการหลอมปราณขั้นที่สี่แล้ว” สวี่เป่าไฉรีบเอ่ยปาก ที่เขาบอกเรื่องพวกนี้กับไป๋เสี่ยวฉุนก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ขจัดบุญคุณความแค้นให้หมดสิ้นกันไป

    เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินว่าเพิ่งถึงขั้นที่สี่ของการหลอมปราณก็วางใจในทันที วางมาดสบายใจไม่ทุกข์ร้อน

    สวี่เป่าไฉเองก็ไม่ได้พูดต่อให้มากความ แต่พูดคุยเรื่องในสำนักกับไป๋เสี่ยวฉุนแทน ไป๋เสี่ยวฉุนจึงค่อยๆ ค้นพบว่าสวี่เป่าไฉผู้นี้รู้เรื่องมากมายกว่าตนเองเสียอีก ราวกับไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีแห่งนี้เขาล้วนคุ้นเคยดีราวกับเป็นฝ่ามือตนเอง แถมเรื่องลับบางอย่างก็ยังพูดจ้อได้ไม่หยุด โดยเฉพาะเรื่องซุบซิบระหว่างพวกลูกศิษย์ด้วยกันก็ยิ่งเล่าได้เป็นฉากๆ ประหนึ่งได้เห็นกับตาตัวเอง

    “ศิษย์พี่ไป๋ พูดถึงสำนักหลิงซีของเราแล้วเนี่ย มีสาวงามทั้งหมดห้าคน สาวงามห้าคนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีรูปโฉมงามล้ำ ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเราหากได้ครอบครองสักหนึ่งคนชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายแล้ว”

    ไป๋เสี่ยวฉุนฟังด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เร่งเร้าให้สวี่เป่าไฉพูดต่อ

    สวี่เป่าไฉเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนชอบฟัง ส่วนตัวเขาเองก็ชอบสืบข่าว ก็เล่าด้วยความแช่มชื่น

    “หญิงงามห้าคนนี้ หากพูดถึงรูปลักษณ์อย่างเดียวนับว่าสูสีกัน แต่ในเรื่องฐานะนั้นแตกต่างกัน ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งคือสวี่เม่ยเซียง ปรมาจารย์ใหญ่สวี่แห่งเขาจื่อติ่ง เป็นหญิงโฉมสะคราญงามล่มเมืองอย่างแท้จริง…จริงสิ นางยังเป็นอาจารย์ของจางต้าพั่งด้วยนะ”

    “หา?” คราวนี้ไป๋เสี่ยวฉุนตกใจจริงๆ เขาเคยได้ยินจางต้าพั่งพูดถึงอาจารย์ของตนเองอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนเรียกว่ายายแก่ปีศาจ โดยเฉพาะเมื่อไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงสภาพของจางต้าพั่งตอนนั้น อีกฝ่ายผอมลงมาได้ก็เป็นเพราะยายแก่ปีศาจไม่ชอบคนอ้วน

    คิดมาถึงตรงนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็อดเกิดความคิดประหลาดบางอย่างติดต่อกันขึ้นมาไม่ได้ ไอแห้งๆ หนึ่งที รีบเก็บความคิดกลับมา รู้สึกว่าหากคิดเช่นนี้ต่อจะอันตรายเกินไป

    “บนเขาเซียงอวิ๋นของเราก็มีอยู่สองคน คือศิษย์พี่หญิงโจว โจวซินฉี แล้วก็ศิษย์พี่หญิงตู้ ตู้หลิงเฟย” สวี่เป่าไฉพูดคล่องปร๋อด้วยความมั่นใจ หลังจากพูดถึงโจวซินฉี ก็พูดถึงศิษย์ที่สร้างเกียรติภูมิให้สำนักด้วย “ศิษย์พี่ไป๋น่าจะรู้ว่าฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีมีศิษย์ที่สร้างเกียรติภูมิอยู่สามคน หนึ่งในนั้นก็คือโจวซินฉีของเขาเซียงอวิ๋นเรา แล้วก็ยังมีลวี่เทียนเหล่ยแห่งเขาจื่อติ่ง สุดท้ายก็คือ…ซั่งกวนเทียนโย่วแห่งเขาชิงเฟิง! สามคนที่พูดถึงนี้ล้วนเป็นสุดยอดของผู้มีพรสวรรค์!” ในดวงตาทั้งคู่ของสวี่เป่าไฉฉายแววอิจฉา

    “ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว? ก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนข้าไม่ใช่หรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนเบ้ปาก ซั่งกวนเทียนโย่วและลวี่เทียนเหล่ยเขาไม่รู้จัก แต่โจวซินฉีนั้นเขาเคยสัมผัสมาแล้ว หยกที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็เป็นโจวซินฉีมอบให้

    สวี่เป่าไฉกระแอมแห้งๆ หนึ่งที นึกเหยียดหยามในใจ แต่ไม่กล้าประเมินไป๋เสี่ยวฉุนต่ำ ดังนั้นจึงเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มขื่น

    “ศิษย์พี่ไป๋ ทั้งสามคนนี้ หากไม่เป็นเพราะกฎของสำนักกำหนดไว้ว่าศิษย์ทุกคนต้องเริ่มจากการเป็นศิษย์ฝ่ายนอกก่อน พวกเขาก็ได้เป็นศิษย์ฝ่ายในตั้งนานแล้ว แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งสามคนในสามยอดเขาล้วนเป็นที่หนึ่งของศิษย์ฝ่ายนอกได้อย่างไม่น่าละอาย แม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในเองยังหวาดกลัวพวกเขาเลย เพราะขอแค่สามคนนี้บำเพ็ญเพียรได้ถึงขั้นที่กำหนด กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในได้ จะต้องโดดเด่นที่สุดอย่างแน่นอน! และสำหรับพวกเขาแล้วการเป็นศิษย์ฝ่ายในก็เป็นเพียงแค่กระดานกระโดดเท่านั้น เป้าหมายของพวกเขาคือต้องการเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักหลิงซีของเรา!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนยังคงไม่เต็มใจยอมรับ

    “โจวซินฉีมีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์และพรสวรรค์ด้านพืชหญ้า วันหน้าต้องได้สืบทอดตำแหน่งของปรมาจารย์ใหญ่หลี่ กลายเป็นปรมาจารย์โอสถอีกท่านของสำนักหลิงซีอย่างแน่นอน ส่วนลวี่เทียนเหล่ย คนผู้นี้ตอนเด็กบ้านยากจน ผอมแห้งดั่งท่อนฟืน แต่กลับมีสายเลือดอสนีศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง บำเพ็ญวิชาวิถีอสนีอยู่บนเขาจื่อติ่ง ขนาดท่านเจ้าสำนักยังเคยพูดเองเลยว่าวันข้างหน้าเด็กคนนี้ต้องไม่ธรรมดา!”

    “หา?” ไป๋เสี่ยวฉุนตื่นตะลึง ตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่เพิ่งฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว เข้าใจเรื่องราวในโลกของการบำเพ็ญเพียรมาไม่น้อย เมื่อได้ยินคำว่าสายเลือดอสนีศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกริษยา สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้สามารถทำให้พลานุภาพของคาถาเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด อีกทั้งยังพบเจออุปสรรคน้อยครั้งในการบำเพ็ญเพียร

    “แล้วก็ซั่งกวนเทียนโย่วนั่นยิ่งสุดยอดเลย คนผู้นี้มีร่างกายดุจกระบี่วิเศษ ถึงขั้นมีข่าวลือว่าเขาคือยอดฝีมือด้านกระบี่กลับชาติมาเกิดใหม่ ทำให้สวรรค์รู้สึกละอายด้วยเหตุผลบางประการ ดังนั้นจึงประทานความสุขเหลือคณานับให้ชีวิตของเขา ตอนสามขวบเดินๆ อยู่ก็เก็บกระบี่โบราณที่ชำรุดได้ อายุเจ็ดขวบลูกของสัตว์ร้ายชื่ออวิ๋นตัวหนึ่งก็รับเขาเป็นนายราวกับเป็นของขวัญจากสวรรค์ ตอนอายุสิบสามได้รับแสงทองปกป้องกาย ดังนั้นจึงชื่อว่าเทียนโย่ว* การปรากฏตัวของเขาสะเทือนไปยังท่านผู้เฒ่าผู้เป็นใหญ่ของสำนัก” หลังจากสวี่เป่าไฉเห็นว่าในที่สุดไป๋เสี่ยวฉุนก็เผยสีหน้าแบบคนปกติยามได้รับฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ถึงได้เล่าเรื่องของคนที่สามให้ฟัง

    “สวรรค์รู้สึกละอาย! สามขวบ…โชคดีอะไรอย่างนี้ อะไรนะ…ยังเป็นยอดฝีมือกลับชาติมาเกิดด้วยหรือ” ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนเบิกกว้าง สูดปากเสียงดัง สีหน้าเผยความคับแค้น ในใจคิดไว้ดิบดีว่าจะไม่มีทางไปมีเรื่องกับซั่งกวนเทียนโย่วที่ขนาดสวรรค์ยังรู้สึกละอายผู้นี้อย่างแน่นอน

    “สามคนนี้ล้วนต้องไปถึงขั้นสร้างฐานได้แน่นอน ศิษย์พี่ไป๋ ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา จากนักการกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ล้วนพูดกันว่าเป็นเหมือนปลาหลี่ข้ามประตูมังกร แต่ในความเป็นจริงแล้ว การหลอมปราณฝ่าทะลวงไปเหยียบขั้นสร้างฐานได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าปลาหลี่ข้ามประตูมังกรอย่างแท้จริง นับจากนั้นไปแม้แต่ระดับชีวิตก็ยังแตกต่าง ราวกับความเป็นมนุษย์ปุถุชนได้เลือนหาย เดินบนเส้นทางแห่งเซียนอย่างแท้จริง อายุขัยก็เพิ่มพรวดขึ้นมาอีกร้อยปี” สวี่เป่าไฉเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ก็พอใจยิ่งนัก แต่เมื่อพูดถึงขั้นสร้างฐานกลับถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

    เขามัวแต่ถอนหายใจ ฝ่ายไป๋เสี่ยวฉุนหลังจากได้ยินว่าอายุเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งร้อยปี ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งแสงแวววับเข้มข้นอย่างที่ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้แต่ร่างกายก็ยังสั่นสะท้านน้อยๆ ดวงตาแดงก่ำ รู้สึกเพียงในสมองมีเสียงดังสนั่นไม่หยุดหย่อน คว้าจับแขนสวี่เป่าไฉ

    “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลังจากฝึกได้ถึงขั้นสร้างฐาน อายุขัยสามารถเพิ่มขึ้นมาได้อีกร้อยปีอย่างนั้นหรือ”

    สวี่เป่าไฉอึ้งงัน เห็นว่าเวลานี้ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนมีแต่เส้นเลือดฝอยก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย รีบพยักหน้าทันที

    ลมหายใจของไป๋เสี่ยวฉุนถี่กระชั้นขึ้นมาในพริบตา ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนอย่างร้อนรน มือทั้งสองข้างโบกสะบัดเหมือนจะคว้าเอาอะไร ดวงตาเปล่งประกายวาววับ ท่าทางเหมือนคนบ้าคลั่ง ปากก็พูดพึมพำเสียงเบา แถมยังเปล่งเสียงหัวเราะอันน่าสยองขวัญออกมาเป็นระยะด้วย

    สวี่เป่าไฉยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น ไม่รู้ว่าไป๋เสี่ยวฉุนเป็นอะไรไป เขารู้สึกเพียงเสียวสันหลังวาบ รีบลุกขึ้นยืนบอกลา ไป๋เสี่ยวฉุนก็ไม่ได้สนใจ ทำท่าทางไม่ต่างจากคนคลุ้มคลั่ง

    สวี่เป่าไฉสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าท่าทางของไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

    ผ่านไปหนึ่งก้านธูปไป๋เสี่ยวฉุนก็ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทันใดนั้นก็หยุดยืนนิ่งชะงัก ถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งที เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่าเสียงดัง

    “หนึ่งร้อยปีเชียวนะ! สร้างฐาน ข้าต้องทำให้ได้ถึงขั้นสร้างฐาน!”

     

    บทที่ 36

    เจ้าเต่าน้อยผู้พิชิต!

     

    ด้วยความกระหายต่อขั้นสร้างฐานของไป๋เสี่ยวฉุนหลังจากถูกคำพูดของสวี่เป่าไฉปลุกใจขึ้นมาแล้ว อีกหลายวันต่อมาเขาก็ไปยังหอคัมภีร์ติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งยังไปเยือนวิหารเสินอู่ด้วย

    ในวิหารเสินอู่เก็บความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับโลกบำเพ็ญเพียรเอาไว้มากมาย สำหรับขั้นสร้างฐานก็มีบรรยายไว้อย่างค่อนข้างละเอียด หลังจากได้เห็นว่าสิ่งที่เขียนไว้ข้างในไม่ต่างจากสิ่งที่สวี่เป่าไฉพูดเอาไว้ ไฟในใจไป๋เสี่ยวฉุนก็ลุกโหมขึ้นมาทันที

    เขารู้สึกว่าขอเพียงฝึกได้ถึงขั้นสร้างฐาน หนทางการเป็นอมตะของตนเองก็จะได้ก้าวขยับไปอีกก้าวใหญ่

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเข้าใจว่าหนทางการบรรลุขั้นสร้างฐานมีถึงสามวิธี อีกทั้งอายุขัยที่เพิ่มขึ้นก็ไม่เหมือนกัน ทำให้ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก จากการศึกษาค้นคว้าไม่หยุดหย่อนของเขา หลายวันผ่านไปในที่สุดเขาก็เข้าใจขั้นสร้างฐานอย่างถ่องแท้

    “ฐานสามวิถี มนุษย์ ปฐพี เวหา…”

    “การสร้างฐานวิถีมนุษย์ จำเป็นต้องใช้โอสถสร้างฐาน อัตราสำเร็จมีไม่มาก หากสำเร็จ อายุขัยจะเพิ่มขึ้นร้อยปีทันที”

    “การสร้างฐานวิถีปฐพี หลอมรวมกับปราณดิน ผลสำเร็จคือพลังสะเทือนฟ้าดิน อัตราสำเร็จก็ยิ่งน้อย แต่หากทำสำเร็จ อายุขัยจะเพิ่มสองร้อยปี!”

    “สุดท้ายก็คือวิถีการสร้างฐานในตำนาน…วิถีเวหา หาได้ยากยิ่ง อาจบังเอิญเจอแต่มิอาจเฝ้าแสวงหา ทว่าหากมีโชควาสนาฝึกขั้นนี้ได้สำเร็จ จะเพิ่มอายุขัยได้ถึงห้าร้อยปี!” ไป๋เสี่ยวฉุนศึกษาอย่างละเอียด รู้สึกว่าการสร้างฐานวิถีเวหาช่างเลื่อนลอยมิอาจไขว่คว้า ส่วนการสร้างฐานวิถีปฐพีจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่พิเศษถึงจะมีพลังปราณดิน

    ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ง่ายที่สุดตรงหน้าเขาก็คือการสร้างฐานวิถีมนุษย์ วิชานี้จำเป็นต้องใช้โอสถสร้างฐาน

    “ตอนนี้ข้าต้องวางแผนอนาคตเสียแล้ว จำเป็นต้องเตรียมการให้พร้อม มีแผนการที่มั่นคง ลูกกลอนสร้างฐานจำเป็นต้องมี…” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก วางม้วนตำราหยกลง นัยน์ตาเปล่งประกาย

    “ลูกกลอนสร้างฐานราคาแพงหูฉี่ แต่เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด ข้าจำเป็นต้องเตรียมโอสถสร้างฐานเอาไว้ให้เยอะสักหน่อย ถ้าเช่นนั้น…วิธีที่ดีที่สุดก็แน่นอนว่าต้องหลอมด้วยตนเอง!” นัยน์ตาไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งแสงลุกโชติช่วงขึ้นหนึ่งที เดิมทีเขาก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่หลอมโอสถอายุวัฒนะออกมาอยู่แล้ว ในเวลานี้จึงยิ่งยึดมั่นในอุดมการณ์นี้ของตนเองเข้าไปอีก

    “ผู้เยาว์โอสถ ศิษย์โอสถ อาจารย์โอสถ…ตอนนี้ข้าคือผู้เยาว์โอสถ คิดจะเป็นศิษย์โอสถเริ่มหลอมโอสถอย่างจริงจัง จำเป็นต้องไปสอบเลื่อนขั้น…การสอบจำเป็นต้องมีความรู้ด้านพืชหญ้าอย่างน้อยถึงเล่มที่ห้า แต่แบบนี้ยังไม่มั่นคง ข้าจำเป็นต้องเข้าใจสัตว์วิเศษทั้งห้าเล่มให้ดีประหนึ่งเส้นลายมือของตนเสียก่อนจึงจะเรียกว่ามั่นคง” นัยน์ตาไป๋เสี่ยวฉุนฉายแววเด็ดเดี่ยว หยิบม้วนตำราหยกพืชหญ้าเล่มที่สามออกมา หลังจากอ่านอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้ว แน่ใจว่าจดจำทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ ก็ลุกขึ้นถลาออกไปด้านนอกทันที

    แต่ไม่นานก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ยืนครุ่นคิดในลานเรือนอยู่พักใหญ่แล้วจึงหยิบเอาเสื้อผ้ามากชิ้นออกมาสวม ปลอมแปลงตัวเองเสร็จเรียบร้อยถึงได้วางใจ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    “พวกผู้คนที่เลื่อมใสโจวซินฉีเหล่านั้นน่ากลัวเกินไป ป่าวประกาศออกมาว่าจะจับข้าฉีกออกเป็นแปดชิ้น…ทำเอาข้ามิกล้าออกตัวแรง” ไป๋เสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ “หึ รอให้ข้าฝึกขั้นสร้างฐานสำเร็จก่อนเถอะ ภายใต้สายตาของคนนับหมื่น ข้าจะต้องบอกทุกคนให้ได้ว่าข้าไป๋เสี่ยวฉุนก็คือท่านเต่า ถึงเวลานั้นดูทีหรือว่าผู้ใดจะยังกล้ามาฉีกเนื้อข้า!” ไป๋เสี่ยวฉุนประเมินความต่างชั้นระหว่างตนเองกับพวกที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นแล้วเอ่ยคำสาบาน

    แต่ไหนแต่ไรมาหอหมื่นโอสถมักมีแต่คลื่นมหาชน ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ลูกศิษย์ที่มุ่งมาดปรารถนาต่อความรู้ด้านพืชหญ้าจากเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งเองก็มาที่แห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

    เวลานี้ไป๋เสี่ยวฉุนมุดเข้าไปในกลุ่มคน ถือโอกาสที่ผู้คนรอบด้านไม่ให้ความสนใจเดินเข้าไปในกระท่อมด้านล่างจารึกศิลาตำราพืชหญ้าหลักที่สาม หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จึงผลักประตูเปิดออก รีบก้าวเดินเร็วๆ เข้าไปรวมกับกลุ่มฝูงชน

    แม้ตั้งใจจะจากไปในทันที แต่ก็ยังอดที่จะแหงนหน้าอย่างรอคอยไม่ได้ ไม่นานเท่าไรเสียงตื่นตะลึงก็ลอยมา ทุกผู้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเห็นว่าบนจารึกศิลาพืชหญ้าหลักที่สามมีภาพเต่าน้อยหนึ่งตัวกำลังขี่อยู่บนรูปคนโท

    ไป๋เสี่ยวฉุนลอบภาคภูมิใจอยู่กับตัวเองอย่างอดไม่ได้ ขณะที่ฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกตะลึง เขาเองก็วางท่าสงสัยตกใจร่วมตะโกนกับคนอื่นๆ อยู่สองสามที แต่ไม่นานผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็ปรากฏตัว แต่ละคนล้วนมีท่าทีดุร้าย ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนถึงกับกำหมัดแน่น

    คนพวกนี้นี่แหละที่ทำเอาข้าต้องสงบเสงี่ยมขนาดนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนจ้องเขม็งไปที่คนพวกนั้นด้วยความโกรธแค้นหนึ่งทีค่อยหมุนตัวรีบเดินจากไป

    วันต่อมาข่าวการปรากฏตัวอีกครั้งของเจ้าเต่าน้อยก็แพร่สะพัดไปในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋น ทุกคนล้วนพูดถึง เพราะตลอดหนึ่งปีมานี้รูปภาพของเต่าน้อยปรากฏขึ้นบนหลักศิลาอย่างโดดเด่นยิ่งนัก

    แต่ขณะที่เสียงพูดคุยเรื่องนี้เพิ่งซาลง ในวันหนึ่งของหนึ่งเดือนต่อมาศิษย์บริเวณหอหมื่นโอสถก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่าน้อยปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งบนจารึกศิลาหลักที่สี่อย่างกะทันหัน ยังคงขี่อยู่บนรูปคนโท กลายเป็นอันดับหนึ่ง

    เสียงฮือฮาดังเกรียวกราวขึ้นในบัดดล!

    “ใกล้จะอยู่เหนือศิษย์พี่หญิงโจวซินฉีแล้ว เจ้าเต่าน้อยตัวนี้เป็นอันดับหนึ่งของหลักศิลาทั้งสี่แล้ว!”

    “เขาได้สี่หลัก ศิษย์พี่หญิงโจวซินฉีได้ห้าหลัก เจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใครกันแน่…” ไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนกรีดร้องขึ้นมา ในใจรู้สึกสบายอุรา เมื่อกวาดตามองไปเห็นการมาเยือนอย่างบ้าคลั่งของผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็ไอแห้งๆ หนึ่งที ก้มหน้าลงหลบซ่อนตัวด้วยความหงุดหงิด

    หลายวันต่อมาโจวซินฉีปรากฏตัวขึ้นที่หอหมื่นโอสถ มองไปยังหลักศิลาทั้งสี่นั้น สีหน้าของนางเคร่งขรึม นางเดินเข้าไปในกระท่อมของจารึกศิลาหลักที่สิบ เมื่อออกมาอันดับหนึ่งของหลักศิลาที่สิบก็ได้ถูกนางยึดครองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

    มาถึงตอนนี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นทั้งหมดล้วนพุ่งความสนใจมายังหอหมื่นโอสถ โจวซินฉีหกหลัก เจ้าเต่าน้อยสี่หลัก…

    พวกเขาล้วนกำลังคาดเดาว่าเดือนหน้าเจ้าเต่าน้อยตัวนั้นจะปรากฏตัวอีกครั้ง คว้าอันดับหนึ่งจากห้าหลักศิลา ทัดเทียมกับโจวซินฉีได้หรือไม่

    ถึงขนาดที่ว่าศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ล้วนเริ่มพนันขันต่อกันว่าเจ้าเต่าน้อยจะได้อันดับหนึ่งของห้าหลักศิลาหรือไม่ แม้แต่ผู้อาวุโสของเขาเซียงอวิ๋นเองก็เริ่มให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่คว้าอันดับหนึ่งและแลกม้วนตำราหยกมาได้ เขาก็จะศึกษาอยู่ทั้งวันทั้งคืน บวกกับที่เขาเกลียดพวกที่บูชาโจวซินฉีเหล่านั้นด้วย ดังนั้นทุกเดือนหลังจากคว้าอันดับหนึ่งจากหอหมื่นโอสถมาได้จึงมักจะตะโกนกรีดร้องอยู่ในกลุ่มคนครู่หนึ่งเพื่อระบายความเลื่อมใสที่ตนมีต่อเจ้าเต่าน้อย

    ทำไปทำมาเขาก็ค่อยๆ ได้รู้จักกับคนจำนวนไม่น้อยในฝูงชนที่เลื่อมใสเจ้าเต่าน้อยเช่นกัน แน่นอนว่าในนั้นก็เป็นความดีความชอบของเขาด้วย ไป๋เสี่ยวฉุนแทบไม่ปล่อยโอกาสใดๆ ในการป่าวประกาศถึงเจ้าเต่าน้อยให้หลุดลอดไป อย่างเช่นโหวเสี่ยวเม่ยเองเวลานี้ก็เลื่อมใสบูชาเจ้าเต่าน้อยจนถึงขีดสุดแล้ว

     

    ในที่สุดอีกหนึ่งเดือนต่อมา วันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง คนโทบนจารึกศิลาหลักที่ห้าก็ได้สว่างวาบขึ้นกะทันหันและตกอันดับลงมา ส่วนด้านบนของภาพคนโท เจ้าเต่าน้อยตัวนั้นก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

    ในเวลานี้ศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นต่างสะเทือนเลื่อนลั่นกันไปหมด ผู้คนมากมายเกินคณานับพากันรุดหน้ามาดู ถึงขั้นที่ว่าวันต่อๆ มาเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นก็มีแต่เรื่องเจ้าเต่าน้อยตัวนี้

    “เจ้าเต่าน้อยนี่ต้องมีความรู้ด้านพืชหญ้าลึกซึ้งถึงระดับที่มิอาจบรรยายได้อย่างแน่นอนถึงสร้างความตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้”

    “ร้ายกาจ เจ้าเต่าน้อยนี่สูสีกับศิษย์พี่หญิงโจวเลย…”

    ในหมู่ผู้คนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดคาดเดาว่าเจ้าเต่าน้อยคือไป๋เสี่ยวฉุน แม้แต่พวกผู้ที่ชื่นชมโจวซินฉีที่ตกอยู่ใต้ความบ้าคลั่งเองก็ล้วนไม่ได้ปล่อยเป้าหมายที่น่าสงสัยไปแม้แต่รายเดียว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมพุ่งความสนใจไปที่ไป๋เสี่ยวฉุนเป็นพิเศษ

    ในใจของไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งคับแค้น เพื่อขจัดความหวาดระแวงจึงทำได้เพียงแสร้งทำท่าทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เดินเข้าไปยังจารึกศิลาหลักที่สี่ต่อหน้าคนทั้งหมดแล้วยืนเหม่ออยู่ในนั้นครู่หนึ่ง หลังจากสาบานกับตนเองว่าวันหน้าจะต้องเอาคืนคนพวกนั้นให้ได้ถึงได้เดินออกมา

    หลายครั้งเข้าผู้เทิดทูนโจวซินฉีเหล่านั้นก็ค่อยๆ เบนความสงสัยไปยังเป้าหมายอื่น เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐาน ยากจะหาคำตอบที่แท้จริงได้

    แต่พวกเขาก็ยังสาดถ้อยคำร้ายกาจออกมาอีกหลายครั้ง บอกทุกคนว่าหากคราวนี้หาตัวเจ้าเต่าน้อยผู้นั้นเจอจะไม่เพียงฉีกร่างเขาออกเป็นแปดส่วน แต่เตรียมฉีกเป็นสิบแปดส่วนแทน!

    หลังจากไป๋เสี่ยวฉุนรู้เข้าก็นึกสภาพตนถูกฉีกเป็นสิบแปดส่วน ตัวสั่นอยู่สักพักก็กัดฟัน ความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง

    “พวกเจ้าไม่ชอบใจกันนักใช่หรือไม่ ยิ่งพวกเจ้าไม่ชอบใจ ข้าก็จะยิ่งเอาที่หนึ่งมาครอง!” ไป๋เสี่ยวฉุนกัดฟัน ใช้วิธีนี้เอาคืนอีกฝ่ายกลับเสียเลย

     

    หนึ่งเดือนต่อมา จารึกศิลาหลักที่หก เจ้าเต่าน้อยอยู่อันดับหนึ่ง!

    อีกหนึ่งเดือนต่อมา จารึกศิลาหลักที่เจ็ด เจ้าเต่าน้อยอยู่อันดับหนึ่งอีกครั้ง!

    พริบตาเดียวที่ได้อันดับหนึ่งทั้งเจ็ดหลักศิลา เสียงไชโยโห่ร้องก็ระเบิดจากหอหมื่นโอสถดังไปทั่วสารทิศ

    “อันดับหนึ่งเจ็ดหลักศิลา เจ้าเต่าน้อยพยายามเข้า ริเริ่มการคว้าอันดับหนึ่งทั้งสิบหลักศิลาอย่างที่ศิษย์พี่หญิงโจวก็ทำไม่ได้!”

    “ฮ่าๆ ข้าเอาใจช่วยเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ เขาต้องทำสำเร็จแน่!”

    ในขณะที่ผู้คนเกินคณานับกำลังส่งเสียงไชโยโห่ร้อง บริเวณรอบๆ ก็มีชายหนุ่มสิบกว่าคนใบหน้าดำคล้ำ โดยเฉพาะศิษย์ฝ่ายในที่อยู่ในนั้นยิ่งมีสายตาดำมืด ในกลุ่มนั้นมีคนผู้หนึ่งใบหน้าตกกระจำนวนไม่น้อย สวมเสื้อคลุมยาวของศิษย์ฝ่ายใน สายตาของเขาดุดันมากที่สุด

    “ศิษย์น้องทุกท่าน หากมีคนรู้ว่าเจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใคร บอกข้าผู้แซ่เฉียนด้วย รับรองว่าข้าผู้แซ่เฉียนจะตอบแทนอย่างงาม!” ชายหนุ่มหน้าตกกระผู้นี้เอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง กดดันทุกคนได้ในพริบตาเดียว

    คนไม่น้อยรีบหันมามองชายหนุ่มหน้าตกกระผู้นี้ทันที เมื่อจำได้ว่าเขาคือใครก็รีบหลบสายตา ทว่าก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่แม้ว่าจะแสดงความขุ่นเคืองออกมาแต่ก็ไม่กล้าพูดมาก

    “นั่นคือศิษย์ฝ่ายในที่เข้าร่วมฝ่ายคุมกฎ ศิษย์พี่เฉียน เฉียนต้าจิน…”

    “ได้ยินว่าคนผู้นี้ปรารถนาทั้งในตัวศิษย์พี่หญิงโจวและตู้หลิงเฟย…”

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย หลังจากเห็นภาพนี้แล้วจึงมองชายหนุ่มหน้าตกกระคนนั้นด้วยสีหน้าแค้นเคืองในความไม่เป็นธรรมพร้อมกับผู้คนรอบกาย แม้กระทั่งกลับมาถึงเรือนแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาเมื่อไร ในใจก็ยังโมโหเมื่อนั้น

    “อย่างไรเสียเจ้าก็หาตัวข้าไม่เจอ ข้าจะขอสู้กับเจ้าดูสักตั้ง!” ไป๋เสี่ยวฉุนเชิดหน้า ขณะที่ศึกษาตำราสัตว์วิเศษทั้งห้าเล่ม เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นพร้อมกับที่ทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายสัตว์วิเศษที่สามารถนำมาหลอมเป็นโอสถวิเศษได้ ความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกไม่น้อย

    โดยเฉพาะหลังจากที่นำข้อมูลมารวมเข้าด้วยกันแล้ว ความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของไป๋เสี่ยวฉุนก็เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน

     

    หนึ่งเดือนต่อมา บนจารึกศิลาหลักที่แปดก็ปรากฏรูปภาพเต่าน้อยขึ้นแทนที่คนโท กลายเป็นอันดับหนึ่ง!

    และอีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นบนจารึกศิลาหลักที่เก้า เต่าน้อยก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง!

    จนถึงตอนนี้ ได้อันดับที่หนึ่งของเก้าหลักศิลาแล้ว!

    เรื่องนี้ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกของหอหมื่นโอสถล้วนเดือดพล่านกันขึ้นมา พากันตื่นเต้นฮึกเหิม เสียงร่ำร้องให้เจ้าเต่าน้อยคว้าอันดับหนึ่งได้ทั้งสิบหลักศิลาก็ค่อยๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ

    แม้แต่พวกคนที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็มิอาจขัดขวางได้ ทำได้เพียงมองดูชื่อเสียงและบารมีของเจ้าเต่าน้อยถูกยกให้สูงขึ้นเหนือกว่าโจวซินฉีกับตาตัวเอง

    และแล้วในเดือนทดสอบครั้งตัดสิน ช่วงเที่ยงวันอันเป็นช่วงที่หอหมื่นโอสถมีศิษย์มารวมตัวกันมากที่สุด ไป๋เสี่ยวฉุนปลอมตัวมาเรียบร้อย สีหน้าเด็ดเดี่ยว ถือโอกาสตอนที่ไม่มีผู้ใดสนใจ เข้าแถวยืนรออยู่พักใหญ่และเหยียบย่างเข้าไปในกระท่อมด้านล่างจารึกศิลาหลักที่สิบอย่างเงียบเชียบ

    ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปนั้น ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าป้ายศิลาในกระท่อมแล้วยกมือขวาขึ้นมากดลงไปด้านบน ในสมองมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ในเขตแดนลวงตาที่คุ้นเคย

    เขามองเศษซากของพืชหญ้ารวมถึงชิ้นส่วนสัตว์วิเศษจำนวนนับล้านที่เปล่งแสงวูบวาบอยู่ตรงหน้า สายตาฉายแววมุ่งมั่น มือทั้งคู่ตวัดโบกระรัวในพริบตา เริ่มดำเนินการทดสอบ ครู่เดียวชิ้นส่วนของสมุนไพรและสัตว์วิเศษก็ถูกเขาประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ

    หนึ่งพัน ห้าพัน หนึ่งหมื่น…

    สามหมื่น ห้าหมื่น แปดหมื่น…

    นี่เป็นการทดสอบที่ยากที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา หน้าผากเขาค่อยๆ มีเหงื่อผุดซึม ดวงตาทั้งคู่ปรากฏเส้นเลือดฝอย ร่างทั้งร่างราวกับปีศาจบ้าคลั่ง ลืมสรรพสิ่งรอบข้างไปหมดสิ้น จมจ่อมอยู่กับการประกอบพืชหญ้าและสัตว์วิเศษเหล่านั้น แม้มือทั้งสองข้างจะเจ็บปวด แม้สมองปานจะพลิกคว่ำแม่น้ำและทะเลให้วายวอด แต่เขาก็ยังคงกัดฟันยืนหยัดทำต่อไป

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แต่พริบตาที่การทดสอบจารึกศิลาหลักที่สิบสิ้นสุดลง มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนก็สั่นน้อยๆ เมื่อประกอบสมุนไพรต้นสุดท้ายเสร็จ ทั้งตัวเขาก็ราวกับเกิดอาการเสื่อมทรุด สายตาพร่าเลือน เมื่อมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งก็กลับมาอยู่ในกระท่อมแล้ว

    ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น แต่ในดวงตากลับเผยความพึงพอใจ เช็ดเหงื่อออก ออกแรงกำหมัดแน่นๆ หนึ่งที นัยน์ตาฉายความฮึกเหิม

     

    บทที่ 37

    ยกเบาเสมือนหนัก

     

    อันดับหนึ่ง สิบหลักศิลา!

    ภูเขาทั้งสามของฝั่งทิศใต้สำนักหลิงซีสั่นสะเทือนโดยสมบูรณ์

    ในช่วงเวลานี้ทั้งในและนอกหอหมื่นโอสถมีแต่เสียงดังโกลาหลไปทั่วสารทิศ คนจำนวนไม่น้อยบึ่งทะยานมายังหอหมื่นโอสถ เมื่อเห็นว่าเจ้าเต่าน้อยอยู่อันดับหนึ่งของหลักศิลาทั้งสิบก็พากันสูดลมหายใจเฮือก

    “อันดับหนึ่งสิบหลักศิลา เจ้าเต่าน้อยนี่ทำได้จริงๆ ด้วย!”

    “ครั้งแรกที่สำนักหลิงซีของเรามีผู้ครองอันดับหนึ่งครบสิบหลักศิลาคือเมื่อพันปีก่อน ไม่นึกเลยว่าในช่วงชีวิตข้าจะได้เห็นภาพแบบนี้ด้วย!”

    เสียงแห่งความตกตะลึงดังไม่ขาดสายในหมู่ผู้คน ต่อให้ในใจทุกคนคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นจริงก็ยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนได้อยู่ดี โดยเฉพาะช่วงสามเดือนสุดท้ายที่แทบจะคว้าอันดับหนึ่งของหลักศิลาได้ติดต่อกันทุกเดือน ความเร็วเช่นนี้เมื่อทุกคนนึกขึ้นมาทีไรก็มิอาจเพิกเฉยอยู่อย่างสงบได้

    “เจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใครกันแน่…เพิ่งจะแค่ครึ่งปีนับแต่ที่เขาเริ่มจากหลักศิลาที่สามก็กวาดหลักศิลาที่เหลือเสียเรียบราวกับเป็นล้อกลิ้งทับก็ไม่ปาน เป็นความสำเร็จอันเลื่องลือ!”

    “ความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของเขาอยู่เหนือโจวซินฉีอย่างสมบูรณ์แบบ หรือว่าภายภาคหน้านอกจากโจวซินฉีแล้ว เขาเซียงอวิ๋นของเราจะยังมีอาจารย์โอสถปรากฏขึ้นมาอีกคน!”

    ในเวลาเดียวกันนี้ชั่วพริบตาที่ได้เป็นอันดับหนึ่งบนหลักศิลาทั้งสิบ จารึกศิลาทั้งสิบหลักล้วนสั่นสะเทือน ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงเหล่านี้เมื่อมารวมเข้าด้วยกันแล้ว ยอดเขาของเขาเซียงอวิ๋นก็เกิดเสียงตีกระถางดังมาเป็นระลอก!

    ราวกับมีท่อนไม้มโหฬารตีกระทบกระถางยา เกิดเป็นเสียงกึงๆ ดังสะท้อนไปทั่วเขาเซียงอวิ๋น แพร่ไปทั่วฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซี อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมไร้รูปของโอสถแผ่กำจายไปอย่างกว้างขวางเป็นระลอก ปกคลุมทั่วทั้งแปดทิศ ทำให้แม้แต่เมฆหมอกของเขาเซียงอวิ๋นก็ยังรวมตัวกันหนาแน่นอย่างเห็นได้ชัด

     

    บนยอดเขาเซียงอวิ๋นในถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าโจวกำลังป้อนอาหารวิเศษให้กับสัตว์ปีกวิเศษห้าสีที่เขาแสนรักและทะนุถนอม ครั้นได้ยินเสียงกระถางดัง แววตาก็เผยความตกตะลึง

    “เสียงกระถางเซียงอวิ๋นรึ” ญาณของเขาแผ่ออกไปทันใด และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงบนหลักศิลาทั้งสิบของหอหมื่นโอสถได้ทันที สีหน้ากระตุก ลอยตัวขึ้นในอากาศแล้วจากไป

    ที่ตามมาติดๆ คือร่างของผู้เฒ่าซุนซึ่งปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน และยังมีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานคนอื่นๆ ที่ล้วนถูกเสียงตีกระถางดึงดูดให้พากันเดินออกมา ขณะมองไปแต่ละคนต่างเผยความตกตะลึงระคนยินดี

    คนสุดท้ายที่ปรากฏตัวคือหลี่ชิงโหว เดิมทีเขากำลังนั่งสมาธิ พอได้ยินเสียงตีกระถางสีหน้าก็เปลี่ยนเช่นเดียวกัน เมื่อออกมาดูก็แปลงกายเป็นรุ้งเส้นยาวพุ่งทะยานมายังหอหมื่นโอสถทันที

    ด้วยเสียงของกระถางที่ดังสะท้อนไปมา ไม่นานผู้คนก็ฮือฮากันไปทั่วทั้งเขาเซียงอวิ๋น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกหรือศิษย์ฝ่ายในทุกคนล้วนสั่นสะท้าน พากันเดินออกมาดูและมองไปยังทิศที่ตั้งของหอหมื่นโอสถ

    “นี่คือ…เสียงกระถางเซียงอวิ๋นของเขาเซียงอวิ๋นเรา!”

    “ในหอหมื่นโอสถ ปรากฏอันดับหนึ่งบนหลักศิลาทั้งสิบ ริเริ่มสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงพันปีมานี้!”

    แม้แต่ทางเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งเองในเวลานี้ก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน จางต้าพั่งกำลังก้มหน้า ถูกหญิงสาวงามล้ำหยาดเยิ้มข้างกายอบรมสั่งสอน หญิงสาวนางนี้ก็คือยายปีศาจแก่ที่เขาเคยพูดถึงตอนระบายทุกข์ให้ไป๋เสี่ยวฉุนฟัง เวลานี้หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ได้ยินเสียงตีกระถางแล้วสีหน้าก็กระตุก เงยหน้าขึ้นมอง จางต้าพั่งเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน เงยหน้ามองไปด้วยความสงสัย

    “กระถางเซียงอวิ๋นส่งเสียงดังก้อง หรือว่าในกลุ่มลูกศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋นมีคนบรรลุระดับสมบูรณ์แบบในการทดสอบบางอย่างเช่นนั้นหรือ”

    ภาพเหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นที่เขาชิงเฟิง พวกผู้เฒ่าทั้งหลายรวมไปถึงปรมาจารย์ใหญ่เขาชิงเฟิงเองต่างก็หันหน้าไปมอง

    ไม่นานหอหมื่นโอสถของเขาเซียงอวิ๋นก็มีคนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งภายในภายนอก

    ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน ได้ยินเสียงฮือฮาของคนรอบด้าน เมื่อทอดสายตามองไปยังหลักศิลาทั้งสิบ เขาไม่ได้ร่วมไชโยโห่ร้องซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้น้อยครั้ง แต่ในใจกลับมีอารมณ์ซึ่งอธิบายไม่ได้บางอย่างตีตื้นขึ้นมา เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ไม่ได้มีความสะใจ ไม่ได้มีความลำพองตน มีเพียงความซื่อตรงและยินดี

    เวลาหนึ่งปีกว่านับตั้งแต่จารึกศิลาหลักแรก การสร้างความมหัศจรรย์และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของหลักศิลาทั้งสิบได้สำเร็จคือชื่อเสียงซึ่งล้วนจับต้องไม่ได้ สิ่งที่เขาได้รับมากที่สุดก็คือความรู้ด้านพืชหญ้าและสัตว์วิเศษที่คนเป็นผู้เยาว์โอสถจำเป็นต้องมี ซึ่งบัดนี้เขาท่องจำได้ขึ้นใจจนเชี่ยวชาญ

    กล่าวได้ว่าเขาได้วางรากฐานที่แน่นหนาอย่างหาได้ยากยิ่งให้ตัวเอง เวลานี้เมื่อย้อนนึกถึงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา วันคืนมากมายที่ตนศึกษาพืชหญ้า ศึกษาสัตว์วิเศษอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง นอกจากปลงอนิจจังแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนยังอยากสะอื้นไห้ด้วย

    เห็นได้ว่าในสำนักหลิงซีนั้นไม่มีผู้ใดรู้ลึกรู้จริงและมีพื้นฐานความรู้ด้านพืชหญ้าแน่นหนายิ่งไปกว่าไป๋เสี่ยวฉุนอีกแล้ว ต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายในก็ตาม ในเวลานี้ไป๋เสี่ยวฉุนก็พึงพอใจอย่างมาก

    ไม่นานรุ้งเส้นยาวแต่ละสายก็คำรามมาจากรอบทิศ ในรุ้งเส้นยาวมีร่างคนเผยให้เห็น แต่ละร่างล้วนแผ่คลื่นพลังบำเพ็ญอันน่าตกตะลึงออกมา ผู้เฒ่าโจว ผู้เฒ่าซุน หรือแม้แต่หลี่ชิงโหวล้วนอยู่ภายในทั้งสิ้น

    พวกเขาล้วนจ้องมองไปบนหลักศิลาทั้งสิบ มองเจ้าเต่าน้อยที่อยู่อันดับหนึ่งตัวนั้น ดวงตาแต่ละคนเปล่งประกายสุกใส โดยเฉพาะหลี่ชิงโหว หลังจากเห็นภาพเต่าน้อยเขาก็อึ้งงันไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะฮ่าๆ สายตากวาดผ่านฝูงชน เมื่อมองเห็นไป๋เสี่ยวฉุน ส่วนลึกในดวงตาของเขามีแววชื่นชมยินดีอย่างที่คนนอกมองไม่ออก

    เนิ่นนานผ่านไปจึงสะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งครั้งก่อนจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ เขาเบิกบานใจอย่างยิ่ง เพราะมองปราดเดียวก็เดาออกว่าเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ก็คือไป๋เสี่ยวฉุน

    หลังจากที่พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นจากไปแล้ว เงาร่างของศิษย์ฝ่ายในก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อมองไปยังเจ้าเต่าน้อย ศิษย์ฝ่ายในเหล่านี้ก็ตกตะลึง พวกเขาล้วนเลื่อนขั้นมาจากการเป็นศิษย์ฝ่ายนอกทั้งสิ้น รู้ดีว่าหลักจารึกศิลาของหอหมื่นโอสถแห่งนี้มีเพียงตอนอยู่ฝ่ายนอกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ารับการทดสอบได้ ส่วนระดับความยากนั้นก็สูงจนมิอาจบรรยายออกมา

    “เป็นศิษย์ฝ่ายนอก สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ต้องเป็นความภูมิใจแห่งสวรรค์แน่…”

    “หึ พวกเราเป็นศิษย์โอสถ สิ่งสำคัญคือกลั่นหลอมโอสถวิเศษ ความรู้ด้านพืชหญ้าต่อให้สูงสักแค่ไหน กลั่นหลอมโอสถวิเศษออกมาไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์!” ในกลุ่มศิษย์ฝ่ายในเหล่านี้มีทั้งชื่นชม มีทั้งดูหมิ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาล้วนจดจำเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ได้อย่างแม่นยำ ถึงขั้นที่ว่าในส่วนลึกของจิตใจก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาแล้ว

    เพราะถึงแม้ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าอีกฝ่ายจะหลอมโอสถออกมาเป็นเช่นไร แต่พื้นฐานที่แน่นหนาเช่นนี้ก็จะทำให้หนทางของอีกฝ่ายหลังจากได้เป็นศิษย์โอสถราบรื่นอย่างยิ่ง

    เสียงฮือฮารอบด้านยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งโจวซินฉีปรากฏตัว นางยืนอยู่บนแพรต่วนสีฟ้าขณะจ้องมองไปยังเจ้าเต่าน้อยที่อยู่บนหลักศิลาทั้งสิบ เวลานั้นเองฝูงชนถึงได้ค่อยๆ เงียบเสียงลง แต่ละคนหันไปมองโจวซินฉี

    ความรู้สึกที่ถูกกดทับทุกตำแหน่งบนหลักศิลาทั้งสิบทำให้นัยน์ตาของโจวซินฉีเผยแววไม่ยินยอม ที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่สร้างความรู้สึกซับซ้อนเช่นนี้แก่ผู้อื่น แต่วันนี้กลับกลายเป็นนางเองที่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้น นางจึงทำได้เพียงแค่เงียบงัน

    เจ้าเป็นใครกันแน่…โจวซินฉีกัดฟัน แม้จะไม่ยินยอม แต่จากที่ทดสอบซ้ำอยู่หลายครั้ง ทำให้นางเข้าใจว่าความรู้เรื่องพืชหญ้าของเจ้าเต่าน้อยตัวนั้นอยู่ในระดับน่าเหลือเชื่อแล้ว ตอนนี้นางไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่าจะทำได้เหนือกว่า หลังเงียบงันอยู่เนิ่นนาน นางก็ได้จดจำเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจอย่างแม่นยำ

    ด้านพืชหญ้าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าจริง ถ้าเช่นนั้นรอเจ้ากลายเป็นศิษย์โอสถเมื่อใด บนเส้นทางของการกลั่นหลอมโอสถ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสามารถอยู่เหนือข้าได้ตลอดไป! โจวซินฉีสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าค่อยๆ สงบลง นางได้เข้าร่วมการทดสอบจนเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถแล้ว เวลานี้จึงมองไปยังหลักศิลาเป็นครั้งสุดท้าย พลันหมุนตัวจากไปไกล

    ที่นี่เป็นเพียงแค่จุดแรกของเส้นทางการเป็นปรมาจารย์โอสถของข้า! ไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่กลางฝูงชนก็มองหลักศิลาทั้งสิบเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงหมุนตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นกัน

    แรงสะเทือนของอันดับหนึ่งบนจารึกศิลาทั้งสิบหลักรุนแรงจนอีกหลายเดือนต่อมาก็ยังคงมีคนพูดคุยกันเรื่องนี้ โดยเฉพาะทุกครั้งที่ฝูงชนมายังหอหมื่นโอสถ มองเห็นเจ้าเต่าน้อยที่อยู่บนหลักศิลา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งดุเดือด

    ขณะเดียวกันผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็ยิ่งตามหาเจ้าเต่าน้อยกันให้ทั่ว ส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทียอมสละทุกอย่างโดยไม่เสียดายขอเพียงหาอีกฝ่ายเจอ โดยเฉพาะชายหนุ่มแซ่เฉียนผู้นั้นที่โกรธแค้นอย่างถึงที่สุดก็ได้ร่วมตามหากับเขาด้วย

     

    หลังจากที่ก่อกวนไปทั่วฝั่งทิศใต้สำนักหลิงซีแล้ว ขณะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนพูดคุยถึงเจ้าเต่าน้อยกันอยู่ทุกวี่วัน ไป๋เสี่ยวฉุนซึ่งอยู่ในที่พักของเขาก็กำลังควบคุมใบไม้ใบหนึ่งเบื้องหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ

    เขากำลังศึกษาขั้นยกเบาเสมือนหนัก ในความเป็นจริงแล้วเขาได้ศึกษาวิถีของขั้นนี้เป็นประจำตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แต่กลับสัมผัสได้เพียงแค่ผิวเผิน มิอาจผสานรวมเป็นหนึ่งได้อย่างถ่องแท้

    ยามนี้เรื่องราวของหอหมื่นโอสถสิ้นสุดลงแล้ว แต่ไป๋เสี่ยวฉุนเห็นว่าพวกผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีตามหาตนอย่างไม่หยุดพัก ในใจก็รู้สึกถึงภัยอันตรายจึงหลีกเลี่ยงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เริ่มเอาใจและร่างกายจดจ่ออยู่กับขั้นยกเบาเสมือนหนัก

    “ยกหนักเสมือนเบาคือความเร็ว ยกเบาเสมือนหนัก…คือวิชาการควบคุมอย่างหนึ่ง!” ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนเผยแววครุ่นคิด นี่คือสิ่งที่เขาตระหนักรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา “หรือควรพูดว่าการควบคุมนี้ในความเป็นจริงแล้วก็คือการระเบิดของพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายอย่างหนึ่ง!” ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ ตอนนี้เขาฝึกได้ถึงขั้นที่หกของการหลอมปราณ พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ สามารถยกหนักเสมือนเบาติดต่อกันได้โดยไม่หยุดพัก สำแดงความเร็วอันน่าตกตะลึงได้แล้ว

    เขาตระหนักมานานแล้วว่าขั้นยกเบาเสมือนหนักนี้ในความเป็นจริงก็คือวิชาการใช้พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกาย เสมือนใบไม้ใบหนึ่งกางใบออกแล้วสามารถเกี่ยวเอาไม้ท่อนเล็กๆ ท่อนหนึ่งได้ เมื่อม้วนกลับเข้ามาก็สามารถม้วนกลิ้งหินก้อนเล็กๆ หนึ่งก้อนได้ และหากนำมาฉีกออกเป็นเส้นๆ แล้วถักสานเข้าด้วยกันจะสามารถเหวี่ยงโยนวัตถุที่หนักกว่าเดิมได้

    สิ่งของเหมือนกัน เพียงแต่วิธีการควบคุมแตกต่างกัน ดังนั้นระดับความแข็งแกร่งในการสำแดงอานุภาพจึงไม่เหมือนกัน

    ยกเบาเสมือนหนักก็คือวิชาเช่นนี้ หากควบคุมได้ก็เท่ากับได้เหยียบย่างเข้าไปในขอบเขตนี้แล้ว

    ไป๋เสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เมื่อโบกมือใบไม้ใบหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลก็บินมาลอยอยู่ด้านหน้าเขา ภายใต้การทดลองอย่างไม่หยุดพักของเขา ใบไม้ใบนี้บางครั้งก็ลอยได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ช้าลงราวกับมีภูเขากดทับ

    หนึ่งครั้งไม่ได้ก็สิบครั้ง สิบครั้งไม่ได้ก็ร้อยครั้ง ร้อยครั้งหากยังไม่ได้…ก็พันครั้ง หมื่นครั้ง

    ไป๋เสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าตนทดลองทำมาแล้วกี่ครั้ง ใบไม้ทั้งหมดที่อยู่ในลานเรือนของเขาล้วนสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปหมด ดังนั้นเขาจึงออกไปหาใบไม้ข้างนอก จนท้ายที่สุดต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดของเขาเซียงอวิ๋นที่ไม่ใช่พืชวิเศษล้วนถูกเขาเอามาทดลองเสียสิ้น ในที่สุดยามสายัณห์ของวันหนึ่ง ประกายในดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งวาบ ทำมุทราแล้วชี้ใบหลิ่วเบื้องหน้าเขาใบนั้น มันดูราวกับกำลังล่อยลอยอยู่อย่างบางเบา แต่ทันทีที่ร่วงลงพื้น กลับกระแทกกับผืนดินราวกับเป็นก้อนหิน

    เสียงตูมดังขึ้นหนึ่งที พื้นดินในลานเรือนสั่นสะเทือนราวกับว่าใบหลิ่วใบนี้หนักสักพันจวิน*

    “สำเร็จแล้ว!” ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่สีหน้ากลับฮึกเหิม ลุกขึ้นยืนสะบัดมือขวาหนึ่งที กระบี่ไม้เล่มเล็กบินออกมากลายเป็นเส้นสีดำหนึ่งเส้น พริบตานั้นก็เหาะไปไกล ไม่เพียงแต่รวดเร็วกว่าเดิม พลานุภาพก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว ถึงขั้นเกิดเสียงแหวกผ่านอากาศอย่างแหลมคมลอยออกมาให้ได้ยินแว่วๆ ด้วย

    ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก้อนหินขนาดมหึมาที่อยู่ห่างออกไปก็แตกร้าวและแยกออกเป็นสี่ห้าส่วนทันที

    พลานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่การหลอมปราณขั้นที่หกสามารถเทียบเทียมได้อีกต่อไป ต่อให้เป็นผู้สำเร็จการหลอมปราณขั้นที่เจ็ดแปดมาเห็นเข้าก็ต้องตะลึงค้าง สะเทือนไปถึงจิตวิญญาณเช่นกัน

     

    บทที่ 38

    ลมปราณม่วงแปลงกระถาง

     

    ไป๋เสี่ยวฉุนจิตใจฮึกเหิม ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะควบคุมกระบี่ไม้เล่มเล็กให้ลอยกลับไปมาอยู่ในลานเรือนอีกครั้ง บางครั้งก็คำรามเสียงดังลอยไปไกลอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็หยุดชะงักอย่างกะทันหันราวกับหนักเป็นพันจวิน

    กระบี่ไม้ทั้งเล่มเปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้อยู่ในลานเรือน ไม่นานก็ก่อรูปเป็นปราณกระบี่กระจายไปรอบทิศ ราวกับว่าก่อให้เกิดลมแรงได้โดยไม่มีที่มาที่ไป นั่นยิ่งทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนตื่นเต้น

    ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็สะบัดมือขวาหนึ่งที กระบี่ไม้หายวับไปในพริบตา กลับมาอยู่ในฝ่ามือของเขา สีสันลายตามองแล้วขัดตา แต่ความเป็นจริงกระบี่ไม้เล่มเล็กที่ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วสามครั้งเล่มนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติที่ต่างออกไปแล้ว

    “หากสามารถควบคุมได้ทั้งยกหนักเสมือนเบาและยกเบาเสมือนหนัก เช่นนั้นเมื่อนำมาประสานด้วยกัน ก็จะสามารถหลอมรวมเป็น…วิชาอภินิหารเพียงหนึ่งเดียวในพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง!” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาฉายแววคาดหวัง “ลมปราณม่วงแปลงกระถาง!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนเก็บกระบี่ไม้ หลับตายืนอยู่ในลานเรือน หลังผ่านไปเนิ่นนานเขาก็พลันยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปกลางอากาศ พลังสะกดทางวิญญาณที่อยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขาซึ่งเดิมทีมองไม่เห็นนั้นก็เปล่งแสงวาบขึ้นทันใด เมื่อเพ่งมองให้ละเอียดก็จะเห็นพลังสะกดทางวิญญาณดั่งเส้นไหมกำลังล่องลอยวาดโครงร่างของกระถางใบหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

    ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างชี้นำ ทำให้กระถางใบนี้ก่อรูปร่างขึ้นมาอย่างว่องไว

    ขณะเดียวกันนั้น พลานุภาพกดดันอันน่าตกตะลึงระลอกหนึ่งก็กระจายออกมาจากบนกระถางนี้โดยฉับพลัน พลังสะกดทางวิญญาณอันยิ่งใหญ่นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนกระบี่บินก่อนหน้านี้เสียอีก

    ส่วนทางไป๋เสี่ยวฉุนก็ใบหน้าซีดเผือดลงทันควัน พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายกำลังถูกผลาญไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเผาผลาญไปได้เกือบแปดส่วน กระถางใบนั้นถึงได้กลายเป็นรูปร่างอย่างสมบูรณ์แบบ กระจายพลังสะกดทางวิญญาณที่เข้มข้นกว่าเดิมอยู่กลางอากาศ เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนชี้นิ้วไปข้างหน้า กระถางใบนี้ก็ทะยานพรวดออกไป กระแทกแรงๆ หนึ่งที

    ทันทีที่สัมผัสกับพื้นดิน กระถางก็แตกออก ทว่ากลับมีพลังสะกดทางวิญญาณมหาศาลระเบิดออกมา

    เสียงนั้นดังสนั่นถึงขั้นได้ยินไปทั่วทิศ พื้นดินในรัศมีร้อยจั้งเกิดเสียงขลุกขลักทันที อีกทั้งรอยแตกระแหงเป็นเส้นๆ ก็ปรากฏขึ้นมา

    ยังดีที่เขาเซียงอวิ๋นมีค่ายกลปกป้องอยู่ รอยแตกเหล่านั้นจึงหายไปในเวลาอันรวดเร็ว แต่ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนก็ยังได้ยินพลังสะท้านสะเทือนนี้ จึงพากันแปลกใจ

    ไป๋เสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือก เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าลมปราณม่วงแปลงกระถางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การกระแทกครั้งนี้แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่าตนเองมิอาจต้านทานได้

    “ลมปราณม่วงแปลงกระถาง ไม่เสียแรงที่เป็นวิชาอภินิหารหนึ่งเดียวในพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง แต่ต้องเข้าใจวิชายกหนักเสมือนเบาและยกเบาเสมือนหนักให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อนถึงจะแสดงออกมาได้” ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกายสดใส แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้วฉับ วิชาอภินิหารนี้แม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่เผาผลาญพลังเยอะเกินไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วเขาเสียพลังสะกดทางวิญญาณไปเพียงแปดส่วนเท่านั้น นี่เป็นเพราะว่าพลังสะกดทางวิญญาณของเขาได้เค้นหลอมจนบริสุทธิ์ หากเปลี่ยนเป็นศิษย์คนอื่น ต่อให้ตระหนักรู้วิชาอภินิหารนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็ยากยิ่งที่จะสำแดงออกมาได้ก่อนบรรลุขั้นที่แปดของการหลอมปราณ เนื่องจากพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายจะต้องเผาผลาญไปจนเกลี้ยง มีเพียงสำเร็จถึงการหลอมปราณขั้นที่แปดแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างแท้จริง แต่ก็ต้องเสียพลังไปไม่น้อยเช่นกัน

    “ในวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้อธิบายวิชาอภินิหารนี้เอาไว้ว่าแบ่งออกเป็นบน กลาง ล่าง สามระดับ ในเวลานี้กระถางที่ข้าควบรวมออกมาได้เป็นเพียงแค่ระดับล่างเท่านั้น หากถึงระดับกลางจะสามารถควบรวมออกมาได้สองกระถาง ส่วนระดับบนจะไม่เพียงแต่มีกระถางปรากฏขึ้นถึงสามใบ ยังสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกระถางใบใหญ่หนึ่งใบ!” ไป๋เสี่ยวฉุนขบคิดอะไรได้ นั่งขัดสมาธิเริ่มปรับลมปราณ ยามเมื่อจันทร์กระจ่างฟ้า เขาก็ลืมตา ดวงตาเผยความมีชีวิตชีวา พลังบำเพ็ญในร่างกายฟื้นคืนกลับมาพอสมควร

    “วิชาอภินิหารนี้สามารถเป็นท่าไม้ตายของข้าได้แล้ว เช่นนี้หากพวกคนที่ชื่นชอบโจวซินฉีมาหาเรื่องให้ข้ามีน้ำโห ข้าก็จะใช้มันทุบพวกเขาเสียเลย” ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งรู้สึกวางใจ แต่กลับไพล่นึกถึงศิษย์ฝ่ายในแซ่เฉียนผู้นั้น หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

    “สามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในได้ อย่างน้อยต้องบำเพ็ญเพียรถึงขั้นแปดของการหลอมปราณ…” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกไม่วางใจขึ้นมาทันที ขณะที่ครุ่นคิดก็มองผิวหนังของตนเอง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวาบ ลุกขึ้นยืนเดินออกไปข้างหน้าสี่ห้าก้าวด้วยความรวดเร็วดุจติดปีกบิน มือขวายกขึ้น นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้มีแสงสีดำเปล่งวาบ ก่อนที่เขาจะดีดนิ้ว

    เสียงคึ่กๆ ดังออกมาจากอากาศว่างเปล่า ถึงขั้นให้ความรู้สึกแตกร้าวอยู่รางๆ แรงดีดครั้งนี้ของไป๋เสี่ยวฉุนเปรียบดุจพลังอำนาจเกรียงไกรซึ่งสามารถทำลายได้แม้แต่กำแพงเหล็กแข็งแกร่ง เขามองนิ้วทั้งสองของตน ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็สงบใจลงอย่างรวดเร็ว

    “นี่คือท่าไม้ตายสูงสุด…ใช้รักษาชีวิต” ไป๋เสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าไม้ตายปกป้องชีวิตเช่นนี้ยิ่งอานุภาพมากก็ยิ่งดี เพียงแต่ตอนนี้ไป๋เสี่ยวฉุนชักจะกลัววิชาอมตะมิวางวายขึ้นมาแล้วจริงๆ

    ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาฝึกหนังเหล็กคงกระพันสำเร็จก็ได้ลองฝึกวิชาอมตะมิวางวายติดต่อกันมา แต่เพียงเริ่มฝึก ความรู้สึกหิวโหยเช่นเดิมก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

    และฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีแห่งนี้ก็เหลือเพียงลูกไก่หางวิเศษเท่านั้น ไม่มีอะไรให้กินแล้วจริงๆ อาศัยแค่อาหารวิเศษที่กินในแต่ละวัน ไป๋เสี่ยวฉุนมั่นใจเลยว่าตนต้องหิวตายอย่างแน่นอน

    เขาเองก็ออกไปตามหาสัตว์วิเศษอย่างอื่นที่กินได้มาทั่วภูเขาแล้ว แต่หลังจากที่ชื่อเสียงปีศาจคลั่งขโมยไก่โด่งดังออกไป หลายๆ เขตของยอดเขาทั้งสามในฝั่งทิศใต้ที่เดิมทีก็ไม่ได้เลี้ยงสัตว์วิเศษมากมายอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มการคุ้มกันแน่นหนาถึงขีดสุด

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็กลุ้มใจ ตอนนี้เมื่อนึกถึงปัญหาข้อนี้ขึ้นมาอีกครั้งจึงหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที กำลังครุ่นคิดว่ามีวิธีใดบ้างที่ช่วยขจัดอาการหิวโหยไปได้ ก็พลันนึกถึงลูกกลอนเพิ่มอายุที่ได้มาตอนแรกเม็ดนั้น

    “จริงสิ…” ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนเป็นประกาย โอสถวิเศษมีหลากหลายชนิด ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังบำเพ็ญได้เท่านั้น ยังสามารถบำรุงลมปราณได้ด้วย และหลังจากที่ไป๋เสี่ยวฉุนผ่านการฝึกหนังเหล็กคงกระพันมาได้ ก็ค้นพบแล้วว่าการฝึกวิชาอมตะมิวางวายนั้นที่จริงแล้วสิ่งจำเป็นคือลมปราณ

    “ตอนนี้ความรู้ด้านพืชหญ้าของข้าสำเร็จไปขั้นใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้เลื่อนขั้น แต่สามารถกลั่นหลอมโอสถออกมาได้เองแล้ว อีกทั้งในสำนักเองแม้ว่าราคาโอสถวิเศษที่หลอมสำเร็จจะไม่ธรรมดา แต่ราคาของพืชหญ้ากลับถูกมาก” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือทางออก “ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ให้ข้าได้สัมผัสกับการกลั่นหลอมโอสถก่อน รอภายหลังพอไปทดสอบเลื่อนขั้นก็จะยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น การกลั่นหลอมโอสถสร้างฐานในภายภาคหน้าก็ยิ่งง่ายขึ้น” ไป๋เสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาดในทันที ก่อนจะนั่งเท้าคางดวงตาฉายแววครุ่นคิด จนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันต่อมาร่างของเขาก็กระโดดเหยงขึ้น

    “หลอมโอสถจำเป็นต้องใช้ตำรับยา ข้อนี้ก็ง่าย ไม่จำเป็นต้องรอให้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถก็ทำได้ ตลาดตรงตีนเขาก็มีตำรับยาบางส่วนขายกระจัดกระจาย” ไป๋เสี่ยวฉุนลูบสาบเสื้อ หลังจากมาอยู่ที่เขาเซียงอวิ๋นเขาก็แทบจะไม่มีที่ให้ใช้เงินเลย ผู้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกนั้นทุกเดือนจะได้รับศิลาวิเศษมาจำนวนหนึ่ง ตอนนี้จึงมีเก็บสะสมไว้ไม่น้อย

    สำหรับวัตถุนอกกายเหล่านี้เขาไม่เคยให้ความใส่ใจ เวลานี้จึงพุ่งทะยานลงเขาเซียงอวิ๋นไปตามเส้นทางสายเล็ก

    นับตั้งแต่ที่มาอยู่เขาเซียงอวิ๋น นี่เป็นครั้งที่สองที่ไป๋เสี่ยวฉุนลงเขามา ครั้งแรกในปีนั้นเขาลงเขาเพื่อไปซื้อพืชหญ้าเอามาแลกโอสถ เวลานี้ขณะเพิ่งออกจากเขาเซียงอวิ๋น บนเขาชิงเฟิงก็พลันมีเงาร่างสองเงาตรงดิ่งไปยังเรือนแห่งหนึ่ง

    “ศิษย์พี่เฉินอยู่หรือไม่!”

    “ศิษย์พี่เฉิน ไป๋เสี่ยวฉุนลงเขาไปแล้ว!” ทั้งสองร่างนี้ล้วนบึกบึนอย่างยิ่ง พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา ล้วนบรรลุถึงขั้นที่สี่ของการหลอมปราณ เวลานี้ในดวงตาของคนทั้งคู่ฉายแววฮึกเหิม เข้ามาในลานเรือนปราดเดียวก็มองเห็นชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

    ชายร่างใหญ่ผู้นี้ร่างกายยิ่งกำยำล่ำสัน สูงใหญ่แข็งแรง ได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นมา ในดวงตามีประกายเฉียบคมวาบผ่าน

    “ไป๋เสี่ยวฉุน? ในที่สุดเขาก็ลงเขาเสียที!” ชายร่างใหญ่แสยะยิ้ม ลุกพรวดขึ้นยืน ทั้งตัวราวกับภูเขาลูกย่อม ลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา มีพลังบำเพ็ญถึงขั้นที่ห้าของการหลอมปราณ ซึ่งแผ่เป็นพลังสะกดทางวิญญาณกระจายออกมา

    เขาก็คือฝ่ายตรวจการในปีนั้น เฉินเฟย

    ปีนั้นพวกเขาสามคนอยู่ในฝ่ายตรวจการกันดีๆ อยู่ที่นั่นอยากมีอยากได้อะไรก็แทบได้มาทุกอย่าง ไม่เพียงแต่มีนักการคอยปรนนิบัติรับใช้ เมื่อหักเงินออกแล้วยังมีศิลาวิเศษมาเสริมรายได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกพวกไป๋เสี่ยวฉุนผลักขึ้นเขา กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ชีวิตยากลำบากตลอดสองปีมานี้ทำให้พวกเขาเกลียดพวกไป๋เสี่ยวฉุนเข้ากระดูกดำ

    แต่รู้สึกว่าไปหาเรื่องจางต้าพั่งได้ไม่ง่ายนัก เฮยซานพั่งก็ยิ่งยากจะไปพัวพันด้วย มีเพียงไป๋เสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ถึงแม้ว่าพลังของเขาในตอนแรกจะไม่ธรรมดา แต่โดยรวมแล้วก็ยังรู้สึกว่าเขาอ่อนแอที่สุด เดิมทีคิดจะหาโอกาสไปแก้แค้น แต่ประการแรกไป๋เสี่ยวฉุนแทบจะไม่ออกจากสำนักเลย ประการต่อมาคือแม้เฉินเฟยจะมีเส้นสายในสำนักแห่งนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าทำผิดกฎสำนัก

    ถึงอย่างไรเส้นสายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็เป็นเพียงญาติผู้พี่ซึ่งเป็นศิษย์ฝ่ายในผู้หนึ่งเท่านั้น แถมปกติฝ่ายนั้นก็ไม่ค่อยสนใจไยดีเขาเท่าไร คอยดูแลให้ตอนเป็นนักการก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว

    ฉะนั้นเขาจึงรอคอยให้ไป๋เสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลา การรอครั้งนี้กินระยะเวลาเกือบสองปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง อีกทั้งเฉินเฟยยังมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าวันก่อนพลังบำเพ็ญของเขาได้ฝ่าทะลวงไปถึงการหลอมปราณขั้นที่ห้าแล้ว และก็ได้ไปสืบเรื่องพลังบำเพ็ญของไป๋เสี่ยวฉุนมาแล้วเช่นกัน เขารับรู้ว่าแม้อีกฝ่ายจะได้อันดับหนึ่งของการประลองเล็ก แต่ก็เป็นการชนะด้วยความบังเอิญ

    “ปีนั้นถูกวิชายกหนักเสมือนเบาของเขาข่มขู่เสียตกใจ ยังนึกไปว่าเขาเข้าใจยกหนักเสมือนเบาอย่างลึกซึ้งแล้วจริงๆ หึ บีบให้พวกข้าต้องกลายมาเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ความแค้นนี้ ครานี้ต้องระบายออกมาแรงๆ ให้จงได้!” แววตาเฉินเฟยฉายความดุดัน เขาไม่ได้คิดจะตีไป๋เสี่ยวฉุนจนตาย แต่กลับตั้งใจมั่นว่าจะต้องให้อีกฝ่ายกระดูกหักเอ็นฉีกเสียบ้าง อย่างน้อยก็ต้องให้นอนนิ่งอยู่สักปีถึงจะพอใจ

    เรื่องเช่นนี้แม้ว่าทางสำนักจะต้องตามตรวจสอบ แต่หนึ่งจับไม่ได้คาหนังคาเขา สองไม่มีการตายเกิดขึ้น สามเฉินเฟยเองก็มีเส้นสาย จึงสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หายไปได้

    “ฝีมือเทียบไม่ได้ ความแค้นข้าก็รอไม่ได้!” เฉินเฟยสะบัดร่างหนึ่งครั้ง ดิ่งทะยานลงเขาไป ชายสองคนเบื้องหลังเขาก็ตามมาติดๆ สามคนลงเขาไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหาเส้นทางเส้นหนึ่งที่ต้องผ่านหลังจากกลับมาจากตลาดเจอก็รอคอยอยู่ที่นั่น

     

    ตลาดไม่ใหญ่นัก ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในตลาดไม่นานเท่าไรก็หาตำรับยาที่กระจัดกระจายออกเจอสองตำรับ หนึ่งเสริมพลังสะกดทางวิญญาณ อีกหนึ่งบำรุงลมปราณ ตำรับยาที่บำรุงลมปราณประเภทนี้ ระดับสูงหาได้ยาก แต่ระดับต่ำกลับมีอยู่ไม่น้อย ส่วนมากแล้วมีไว้ให้คนธรรมดาใช้เพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง

    สำหรับคนอื่นแล้วมันไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับไป๋เสี่ยวฉุนกลับเหมือนได้รับของมีค่า เขามีหม้อกระดองเต่า ยาทั่วไปเมื่อหลอมพลังจิตสามครั้ง ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างไปทันที

    หลังจากใช้ศิลาวิเศษที่เหลือซื้อพืชหญ้าหลากหลายชนิดที่ใช้สำหรับหลอมโอสถแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็ตบถุงเก็บของอย่างเบิกบานใจ เดินฮัมเพลงออกจากตลาด ก้าวขึ้นบนเส้นทางภูเขาสายเล็กเพื่อกลับสำนัก ยิ่งสมองนึกภาพตนเองหลอมโอสถได้สำเร็จเป็นฉากๆ ก็ยิ่งมีความสุข

    แต่เขาเพิ่งจะเดินบนเส้นทางภูเขาสายเล็กได้ไม่นานเท่าไร สีหน้าก็พลันกระตุก ชะงักฝีเท้า หลังจากที่ฝึกถึงขั้นที่หกของการหลอมปราณ ความรู้สึกเขาก็ฉับไวขึ้นมาก สัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนสามคนเบื้องหน้าได้ทันที สามคนนี้ซ่อนตัวในพุ่มไม้ เมื่อมองเห็นตนแล้วหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมาอีกเล็กน้อย

    เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนหยุดชะงัก ร่างของพวกเฉินเฟยสามคนก็ถลาพรวดออกมายืนอยู่ตรงหน้าไป๋เสี่ยวฉุน

    “ไป๋เสี่ยวฉุน ความแค้นในปีนั้น วันนี้ควรสิ้นสุดลงได้แล้ว!” เฉินเฟยจ้องไป๋เสี่ยวฉุน ในใจหมายมาด เอ่ยปากแสยะยิ้ม สองคนเบื้องหลังเขาก็แสยะยิ้มเช่นเดียวกัน ไม่นานก็แยกตัวตีวงล้อมเข้ามา

     

    บทที่ 39

    บดขยี้…

     

    “เฉินเฟย?” ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตา สายตากวาดมองเฉินเฟยและพวกอีกสองคนที่โอบล้อมหน้าหลังตนอย่างรวดเร็ว หลังสัมผัสได้ถึงพลังบำเพ็ญของอีกฝ่าย เขาเองก็เกิดความมั่นใจเช่นกัน

    “ไป๋เสี่ยวฉุน ต่อให้ตอนนี้เจ้าคุกเข่าขอร้องก็สายไปแล้ว ตอนแรกเป็นเพราะความคิดของเจ้า ทำให้พวกข้ารับเคราะห์กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ข้าเฉินเฟยรอคอยวันนี้มานานแล้ว!” เฉินเฟยหัวเราะเสียงดัง ยกมือขวาขึ้นมาโบก ทันใดนั้นพลังบำเพ็ญของการหลอมปราณขั้นที่ห้าก็ระเบิดตูมออกมาทันที หอบเอาใบไม้ที่หล่นร่วงอยู่รอบด้านให้ลอยขึ้น มองดูแล้วไม่ธรรมดาทีเดียว “ข้าเฉินเฟยหลังจากเข้าไปอยู่ฝ่ายนอกแล้ว เวลาทั้งหมดก็ใช้ไปกับการบำเพ็ญเพียร ในที่สุดก็บรรลุการหลอมปราณขั้นที่ห้า ไป๋เสี่ยวฉุน วันนี้ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่าข้าต้องการรังแกเจ้า ทำให้เจ้ากระดูกหักเอ็นฉีก!”

    เสียงหัวเราะของเฉินเฟยเปี่ยมด้วยความยโสลำพองใจ มือขวาเขาทำมุทรา เสียงตูมดังหนึ่งที ตรงหน้าก็ปรากฏกระบี่บินสีเขียวหนึ่งเล่ม กระบี่เล่มนี้มีขนาดประมาณครึ่งฉื่อ มองดูธรรมดามาก ทว่ากลับกระจายรัศมีเย็นเยียบอ่อนๆ

    สองคนที่อยู่ด้านหลังไป๋เสี่ยวฉุนก็แสยะยิ้ม แผ่พลังบำเพ็ญออกมาพร้อมกัน ในมือแต่ละคนปรากฏกระบี่บินหนึ่งเล่ม

    ภายใต้การโอบล้อมของทั้งสามคน พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าสามต่อหนึ่งต้องบดขยี้ไป๋เสี่ยวฉุนได้แน่นอน โดยเฉพาะตอนนี้ความสามารถของพวกเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว วิเคราะห์ได้นานแล้วว่าไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้บรรลุระดับขั้นยกหนักเสมือนเบา

    “หากเจ้าอยู่บนเขาตลอดไม่ลงมาก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อออกจากสำนักลงเขามาแล้ว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าความผิดที่ล่วงเกินข้าไว้ในปีนั้น ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากขนาดไหน!” เฉินเฟยรู้สึกถึงลมโกรธที่อัดอั้นอยู่ตรงหน้าอก เวลานี้ได้พูดประโยคนี้ออกมา ลมที่ว่าก็ระบายออกมาเกินครึ่ง

    “พวกเจ้ามาขวางทางข้าแบบนี้ ไม่กลัวกฎสำนักรึ” ไป๋เสี่ยวฉุนมองเฉินเฟย ถามด้วยความแปลกใจ

    “กฎสำนัก? ฮ่าๆ ตรงนี้อยู่นอกสำนักแล้ว อีกอย่างฝีมือของเจ้าก็อ่อนด้อย กระดูกหักเอ็นฉีกขึ้นมาก็โทษคนอื่นไม่ได้ อย่างมากพวกข้าแค่เอ่ยขอโทษภายหลังเท่านั้นก็จบเรื่อง!” เฉินเฟยกล่าวพลางหัวเราะด้วยความลำพองใจ เขาถึงขั้นจินตนาการถึงสีหน้าต่อมาของไป๋เสี่ยวฉุนว่าจะต้องน่าเกลียดอย่างมาก และเขาก็เตรียมคำเสียดสีเอาไว้แล้วด้วย

    แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล ไป๋เสี่ยวฉุนสงบนิ่งเกินไป เผชิญหน้ากับการตีวงล้อมของพวกเขาสามคน ไม่เพียงแต่ไม่เปลี่ยนสีหน้าอย่างที่ตนคาดเอาไว้ ยังเผยท่าทางแปลกประหลาด วางท่าราวกับยอดฝีมือ เอ่ยปากพูดด้วยประโยคโอหังว่า

    “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

    ม่านตาทั้งคู่ของเฉินเฟยหดตัวลง ยิ่งรู้สึกไม่เข้าที แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามัวมาคิดมากอีกแล้ว จึงคำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง

    “ลงมือ!” คำพูดนี้เปล่งออกมา ขณะที่มือทำมุทรากระบี่บินก็ทะยานดิ่งเข้าหาไป๋เสี่ยวฉุนทันควัน และในเวลาเดียวกันนั้น สองคนที่อยู่เบื้องหลังไป๋เสี่ยวฉุนก็ทำมุทราเช่นนี้ กระบี่บินตรงด้านหน้าก็พุ่งออกไป

    เมื่อเห็นว่ากระบี่บินสามเล่มเข้ามาใกล้ตนเอง ไป๋เสี่ยวฉุนก็ยกยิ้ม เขาไม่ได้นำอาวุธออกมาด้วยซ้ำ เพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าว พวกเฉินเฟยสามคนรู้สึกเพียงภาพตรงหน้าพร่าเลือน ร่างของไป๋เสี่ยวฉุนหายวับไปแล้ว

    ยามที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็โผล่พรวดมาอยู่ทางซ้ายมือของชายร่างใหญ่ผู้มีพลังการหลอมปราณขั้นที่สี่ ชายร่างใหญ่คนนี้เบิกตากว้าง ยังไม่ทันรู้ตัว มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนก็เงื้อหมัดและกระแทกลงมา

    หมัดนี้มาเร็วเกินไป พุ่งอัดบนท้องของชายร่างใหญ่โดยตรง เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง ชายตัวใหญ่สั่นไหวไปทั้งร่าง กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง ร่างโค้งงอลง ลอยไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างทันใดประหนึ่งถูกพละกำลังมหาศาลพุ่งโจมตี

    ต้นไม้ใหญ่สั่นไหวอยู่สองสามที ชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งแล้วสลบไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ชายร่างใหญ่ที่มีพลังหลอมปราณขั้นที่สี่อีกคนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างหันไปมองไป๋เสี่ยวฉุนทันที ในสมองมีเสียงดังสนั่นราวกับมีสายฟ้าจำนวนไม่ถ้วนฟาดผ่าน แม้แต่ฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าไป๋เสี่ยวฉุน…จะเร็วได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล อยู่ในระดับน่าตกตะลึง

    เฉินเฟยหน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว สูดหายใจเฮือกแล้วก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เมื่อมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน สีหน้าก็เผยแววไม่อยากเชื่อออกมา

    “เจ้า…”

    “อ่อนแอเสียจริง” ไป๋เสี่ยวฉุนวางท่าราวกับเป็นยอดฝีมือผู้โดดเดี่ยวอยู่ในใต้หล้าเพียงลำพัง หาคู่เปรียบไม่เจอ ขณะที่ทอดถอนใจก็เดินออกไปหนึ่งก้าว ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายร่างใหญ่ที่มีพลังขั้นสี่ผู้นั้น

    ชายร่างใหญ่ผู้นี้เปล่งเสียงคำรามบ้าคลั่ง ระเบิดพลังบำเพ็ญทั้งหมดออกมา กระตุ้นกระบี่บินตรงหน้าให้พุ่งเข้าหาไป๋เสี่ยวฉุน แต่ไป๋เสี่ยวฉุนกลับเร็วยิ่งกว่า หลังจากที่ฝึกหนังเหล็กคงกระพันของวิชาอมตะมิวางวายได้สำเร็จ ผิวเนื้อและความเร็วของไป๋เสี่ยวฉุนก็อยู่ในขั้นที่สร้างความตื่นตะลึงอย่างมากแล้ว ในเวลานี้แค่เบี่ยงตัวก็หลบกระบี่บินได้ และยังคงใช้หมัดข้างขวาต่อยลงไปหนึ่งทีเช่นเดิม

    เสียงตุ้บดังขึ้น ชายร่างใหญ่ผู้นั้นกรีดร้องโหยหวน กระอักเลือดสดๆ ออกมา ร่างกายม้วนงอโดยพลัน เบื้องหลังเขาไม่มีต้นไม้ใหญ่ขวางกั้น ตัวจึงม้วนงอกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้งแล้วร่วงลงบนพื้นดิน ตับไตไส้พุงสั่นสะเทือนไปหมด ลุกขึ้นไม่ไหว ลมหายใจแทบรวยริน

    “อ่อนแอมาก” ไป๋เสี่ยวฉุนส่ายหัว มองไปยังเฉินเฟยที่เวลานี้ขาทั้งสองข้างกำลังสั่นผับๆ

    “เจ้า…เจ้า…” เสียงในหัวของเฉินเฟยดังอื้ออึง แทบจะยืนเซ่อเข้าไปทุกที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนหน้านี้ตนยังเหมือนกำชัยชนะอยู่ในมือ เพียงพริบตาเดียวกลับพบว่าไป๋เสี่ยวฉุนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เทียบเคียงกับสัตว์ดุร้ายได้เลย

    สองหมัดนั้นต่อยเสียจนคนสองคนสลบไปทั้งอย่างนั้น เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านั่นต้องใช้พละกำลังมากเพียงใด เวลานี้จึงกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายถอยหลังกรูด ไม่มีความคิดอยากจะต่อสู้กับอีกฝ่ายอีกแล้ว ทั้งสมองเหลืออยู่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นคือหนี

    แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถอยไปได้ไกลเท่าไร ไป๋เสี่ยวฉุนพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ตามทัน มือขวายังคงเงื้อหมัดขึ้นมา และจังหวะที่หมัดนี้กำลังจะกระแทกลง ทันใดนั้นร่างของเฉินเฟยก็เกิดประกายแสงวาบขึ้น โล่เล็กหนึ่งชิ้นปรากฏขึ้นสกัดกั้นหมัดของไป๋เสี่ยวฉุนเอาไว้

    เสียงตึงดังหนึ่งที ไป๋เสี่ยวฉุนอุทานโอ๊ะเบาๆ หนึ่งครั้ง ร่างกายหยุดชะงักไปเล็กน้อย ขณะเดียวกันโล่เล็กอันนั้นก็สั่นสะท้าน พลังสะกดทางวิญญาณสลายวูบ พอถูกกระแทกด้วยหมัดนี้เข้าก็บินกระดอนออกไป

    เฉินเฟยตกใจเสียจนอกสั่นขวัญหนี โล่เล็กชิ้นนี้เขาจ่ายคะแนนคุณความดีไปไม่น้อยเพื่อซื้อมา ต่อให้เป็นการหลอมปราณขั้นที่หกก็มิอาจทำให้แตกออกได้ในระยะเวลาอันสั้น ทว่าตอนนี้แค่โดนกระแทกด้วยหมัดเดียวของไป๋เสี่ยวฉุนกลับตัดสัมพันธ์กับตนไปเสียสิ้น

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้า…เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!” เฉินเฟยเปล่งเสียงโหยหวนแหลมสูงออกมาทันที

    “หึ วันนี้ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่าข้าต้องการรังแกเจ้า ทำให้เจ้ากระดูกหักเอ็นฉีก!” ในใจไป๋เสี่ยวฉุนเบิกบานเสียจนแทบจะมีดอกไม้ผลิบานแล้วที่ได้มองเห็นความหวาดกลัวของอีกฝ่าย เรื่องที่ทำให้ตัวเองสบายอารมณ์ได้ขนาดนี้เขาไม่เคยปล่อยผ่านไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เพียงย้อนคำพูดของอีกฝ่าย ยังแผ่พลังบำเพ็ญปกคลุมตลอดร่าง พลังจากการหลอมปราณขั้นที่หกจึงระเบิดออกมาในบัดดล ก่อให้เกิดลมพัดอย่างบ้าคลั่งรอบทิศ แม้แต่ผมของเขาก็ยังโบกสะบัดตามไปด้วย อานุภาพน่าตกตะลึง

    “การหลอมปราณขั้นที่หก…” ลูกตาของเฉินเฟยแทบจะถลนออกมา หนังศีรษะชาหนึบ ขณะที่โซซัดโซเซถอยหลัง ไป๋เสี่ยวฉุนก็ตามมาทัน เขาออกหมัดอีกที คราวนี้ไม่มีโล่กีดขวาง หมัดจึงกระทบลงบนร่างของเฉินเฟยโดยตรง

    ทั้งร่างของเฉินเฟยสะท้านไหว กระอักเลือดออกมา ขณะที่ร้องโหยหวนร่างกายก็ม้วนงอ แต่เนื่องจากร่างกายของเขาใหญ่โต อีกทั้งฝึกได้ถึงขั้นที่ห้าของการหลอมปราณจึงไม่ได้สลบไป แต่รวมรวบกำลังหนีตายสุดชีวิต เวลานี้ใจเขาเจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุด อีกทั้งยังแอบเกลียดตัวเองว่าเหตุใดต้องเลือกที่นี่ ที่แห่งนี้ค่อนข้างจะ…ห่างไกลจากสำนัก

    เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนกระโจนเข้ามาหาอีกครั้งราวกับสัตว์ร้าย เฉินเฟยจึงเปล่งเสียงแหลมทันที

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้าไม่กลัวผิดกฎสำนักรึ!”

    “กฎสำนัก? ฮ่าๆ ตรงนี้อยู่นอกสำนักแล้ว อีกอย่างฝีมือของเจ้าก็อ่อนด้อย กระดูกหักเอ็นฉีกขึ้นมาก็โทษคนอื่นไม่ได้ อย่างมากข้าแค่เอ่ยขอโทษภายหลังเท่านั้นก็จบเรื่อง!” ไป๋เสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที หลังจากพูดประโยคของอีกฝ่ายซ้ำรอบหนึ่งแล้วก็ตวัดเท้าเตะออกไปข้างหน้า

    เท้านี้เตะจนทั้งตัวเฉินเฟยลอยขึ้นกลางอากาศ เฉินเฟยกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ยังไม่ทันที่เขาจะร่วงลงมา ไป๋เสี่ยวฉุนก็ถลาเข้าไปทั้งใช้มือต่อยเท้าเตะ

    เฉินเฟยหวาดผวา เสียงโหยหวนดังออกมาไม่ขาดสาย จนท้ายที่สุดเขาก็บวมปูดไปทั้งเนื้อทั้งตัว แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง

    ร่างทั้งร่างกระดูกหักเอ็นฉีก สีหน้าซีดเผือด นอนกองอยู่ตรงนั้นโดยไม่เหลือความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว ขณะมองไป๋เสี่ยวฉุน ดวงตาก็เผยแววหวาดกลัวถึงขีดสุด

    ในสายตาเขา ไป๋เสี่ยวฉุนที่ตัวค่อนข้างผอมเล็กทั้งยังขาวสะอาดสะอ้านผู้นี้แท้จริงแล้วคือสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ โดยเฉพาะตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ เลยด้วยซ้ำ อาศัยเพียงความเร็วน่าตกตะลึงและร่างกายแข็งแกร่งก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้แล้ว

    ชายร่างใหญ่สองคนที่มีพลังหลอมปราณขั้นที่สี่ซึ่งอยู่ไกลออกไปเวลานี้ก็ล้วนฟื้นคืนสติกันขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นภาพนี้กับตาก็รู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะชาหนึบ อกสั่นขวัญแขวน รีบแสร้งทำท่าสลบลงไปอีกครั้ง ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียวด้วยกลัวว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากไป๋เสี่ยวฉุน

    เมื่อเห็นเฉินเฟยหายใจแผ่วๆ ไป๋เสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าน่าเบื่อจึงเก็บพลังสะกดทางวิญญาณกลับมา ภายใต้ความหวาดกลัวของทั้งสามคน เขาพลิกดูถุงเก็บของของอีกฝ่ายทีหนึ่ง หลังจากฮุบเอาของทั้งหมดไปแม้แต่โล่อันเล็กด้วย ถึงได้คลอเพลงในลำคอพลางเดินไปบนเส้นทางกลับสำนักต่อ

    “น่าตายนัก! ใครมันบอกว่าเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนนี่ชนะการประลองเล็กมาได้ด้วยความบังเอิญ!” มองตามแผ่นหลังของไป๋เสี่ยวฉุน เฉินเฟยอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก หากเขารู้แต่แรกว่าไป๋เสี่ยวฉุนน่ากลัวถึงเพียงนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางมาหาเรื่องอีกฝ่ายเด็ดขาด

    ชายร่างใหญ่สองคนที่มีพลังหลอมปราณขั้นที่สี่หน้าเบ้ ขณะมองไล่หลังไป๋เสี่ยวฉุนไป สีหน้าก็เผยความหวาดผวาสุดขีด

    “ศิษย์พี่เฉิน จะทำอย่างไรดี…ข้าว่าเราอย่าไปหาเรื่องเขาเลย จบๆ กันไปเถอะ ข้าได้ยินว่าขนาดสวี่เป่าไฉเองก็ยังไปขจัดความเข้าใจผิดกับเขาเลย” ทั้งสองคนมองเฉินเฟยตาปริบๆ

    เฉินเฟยเองก็เจ็บปวดรวดร้าวในใจ หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่งก็กัดฟัน

    “แน่นอนว่าข้าอยากแก้แค้นอยู่แล้ว แต่สู้ไม่ได้จะทำอย่างไร…เรื่องนี้ให้ข้าคิดดีๆ ก่อน…”

     

    บทที่ 40

    แสวงหาความประณีตถึงขีดสุด

     

    ไป๋เสี่ยวฉุนเดินคลอเพลงกลับเข้ามาในสำนักอย่างเบิกบานใจ เมื่อกลับมาถึงลานเรือน เขายังทอดถอนใจอยู่พักหนึ่ง

    “บำเพ็ญตบะก็เพื่อเป็นอมตะ คนพวกนี้นี่นะ เอาแต่รบราฆ่าฟันกันอยู่เรื่อย สมองมีปัญหาหรืออย่างไร”

    ไป๋เสี่ยวฉุนจัดการกับถุงของพวกเฉินเฟยสามคนอยู่ในเรือนครู่หนึ่ง สามคนนี้ไม่ร่ำรวยเอาเสียเลย กระเป๋าเงินลีบแบน ไป๋เสี่ยวฉุนได้ผลพวงมาไม่มากแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาหยิบสมุนไพรเหล่านั้นที่ตนเองซื้อมาขึ้นมาถือไว้ในมือเพื่อพินิจดูอย่างละเอียด สังเกตอย่างตั้งใจมากทุกชิ้น

    แม้เขาจะมีพื้นฐานด้านพืชหญ้าแน่นมาก แต่กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับพืชหญ้าจริงเท่าไรนัก เวลานี้เมื่อได้สังเกตดูจึงค่อยๆ นำมาปะติดปะต่อกับความรู้ในสมอง บางครั้งเขายังถึงขั้นกรีดพืชหญ้าเหล่านั้นออกดูเพื่อสังเกตโครงสร้างภายในของพวกมันอย่างละเอียดอีกด้วย

    หลังจากตรวจสอบทีละชิ้นแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็เกิดความคิดบางอย่างจึงหยิบตำรับยาสองทั้งสองตำรับที่ซื้อไว้ออกมา ตำรับยาเสริมพลังสะกดทางวิญญาณเขาแค่กวาดตามองแวบเดียวเท่านั้น ไปให้ความสำคัญกับตำรับยาบำรุงปราณที่ทำให้คนธรรมดามีร่างกายแข็งแรงได้

    “กำยานฉางโซ่ว…” ไป๋เสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา พืชที่จำเป็นสำหรับตำรับยานี้มีไม่มาก เพียงแค่เจ็ดชนิดเท่านั้น เมื่อเอามารวมเข้ากันแล้วก็ไม่มีจุดพิเศษอันใด เพียงแต่ต้องใช้หลักการพิชิตกันและกัน กระตุ้นพลังของพืชหญ้าทั้งเจ็ดชนิดนี้ออกมา แล้วแปลงเป็นผง รวมตัวกันเป็นก้อนกำยาน

    โดยเฉพาะสองชนิดที่อยู่ในนั้นเป็นวัตถุมีพิษ แม้ว่าจะไม่ใช่พิษร้ายแรงอะไร สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างมากก็แค่ถ่ายท้องครึ่งเดือน แต่สำหรับคนธรรมดากลับร้ายแรงถึงชีวิตได้เลย

    “พืชหญ้าวิเศษระหว่างฟ้าดินมีมากมาย บางชนิดสามารถนำมาใช้ได้โดยตรง บางชนิดสามารถนำมาหลอมโอสถเพื่อให้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าเดิม แต่ก็มีหลายชนิดที่มีพิษจึงทำได้เพียงนำมาหลอมเป็นกำยาน” ระหว่างพึมพำไป๋เสี่ยวฉุนก็สำรวจพืชที่ใช้หลอมกำยานฉางโซ่วทีละชนิดอย่างละเอียด จนกระทั่งเข้าใจทั้งเจ็ดชนิดนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “ก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดี จุดสำคัญของการหลอมโอสถคืออัตราการหลอมสำเร็จ แม้ว่าจะเป็นโอสถวิเศษระดับหนึ่งที่ง่ายที่สุด แต่ก็ยังคงมีอัตราการล้มเหลวสูงมากอยู่ดี”

    “พืชหญ้าพวกนี้ที่ข้ามี แต่ละชนิดมีเพียงสิบชิ้น จะใช้อย่างสิ้นเปลืองไม่ได้” ไป๋เสี่ยวฉุนมีนิสัยระมัดระวัง ทุกอย่างที่ทำต้องมั่นคง เมื่อท่องจำพืชหญ้าก็ต้องทำได้ถึงขั้นเข้าใจลึกซึ้ง เวลานี้ก่อนที่จะหลอมโอสถ เขาก็เป็นเช่นเดิม ไม่ได้หลอมโอสถทันที แต่ศึกษาตำรับยาก่อน

     

    เวลาผ่านไปแต่ละวัน เจ็ดวันให้หลัง หลังจากที่เขาเข้าใจตำรับยาทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เมื่อหลับตาสมองทำการวิเคราะห์อนุมานอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงช่วงสายันห์ถึงได้ลืมตาขึ้นมา เมื่อคิดดูแล้วก็หยิบตำรับยาเสริมพลังสะกดทางวิญญาณออกมาศึกษาอีกครั้ง

    จนกระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนมีแต่เส้นเลือดฝอย ตำรับยาสองชุดนี้รวมไปถึงวัตถุดิบจำเป็นทั้งหมดล้วนถูกเขาทำความเข้าใจจนถึงแก่นแท้แล้ว เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ลุกพรวดขึ้นมา เดินออกไปจากเรือน

    หลอมโอสถจำเป็นต้องมีเตาหลอม แต่ราคาของเตาหลอมโอสถไม่ใช่ถูกๆ ไป๋เสี่ยวฉุนจึงไม่สามารถแลกเอามาได้ ยังดีที่ในสำนักมีหอหลอมโอสถไว้ให้เหล่าศิษย์ใช้ปรุงยาโดยเฉพาะ แค่จ่ายเป็นคะแนนคุณความดีเล็กน้อยก็สามารถเข้าไปหลอมโอสถในนั้นได้

    หอหลอมโอสถตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขาเซียงอวิ๋น ห่างจากเรือนของไป๋เสี่ยวฉุนไม่ไกลนัก สถานที่แห่งนี้ปกติแล้วไม่ได้มีผู้คนมาเยือนมากมายอย่างหอหมื่นโอสถจึงค่อนข้างเงียบสงบ นี่เพราะแม้จะเป็นบนเขาเซียงอวิ๋นก็ไม่ได้มีผู้มีคุณสมบัติในการหลอมโอสถมากนัก อีกทั้งคนไม่น้อยยังมีเตาหลอมโอสถเป็นของตน จึงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่

    ชำระคะแนนคุณความดีจำนวนหนึ่งเพื่อแลกเวลาหนึ่งเดือนในหอหลอมโอสถแห่งนี้มาได้แล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็เดินเข้าไปด้านใน สถานที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นห้องเดี่ยวนับร้อยห้อง กำแพงทั้งสี่ด้านของทุกห้องจะมีค่ายกลผนึกไว้ ทำให้ผู้หลอมโอสถไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกแม้แต่นิดเดียว

    ไป๋เสี่ยวฉุนถือเอาป้ายไม้ที่แลกมาเดินมาถึงห้องลำดับสิบสาม กวาดสายตามองหนึ่งที ห้องนี้ไม่ใหญ่ รอบด้านว่างเปล่า ตรงกลางมีเตาหลอมโอสถอยู่หนึ่งเตา ด้านล่างเตาคล้ายว่ามีไฟบางเบาลุกไหม้อยู่

    หลังจากนั่งขัดสมาธิเรียบร้อย ไป๋เสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาไปตกอยู่บนเตาหลอมโอสถ สังเกตอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็มองไปยังกองไฟด้านล่างอีกครั้งก่อนจะทดลองใช้พลังสะกดทางวิญญาณกระตุ้น ไฟกองนั้นก็พลันโหมแรงขึ้นมา ความร้อนในห้องพุ่งสูง เตาหลอมกลายเป็นสีแดงจางๆ อย่างเห็นได้ชัด

    ทดลองติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ด้วยระดับที่สามารถหลอมปราณม่วงแปลงกระถางออกมาได้ของไป๋เสี่ยวฉุน ไม่นานเขาก็คุ้นเคยกับการควบคุมความแรงของไฟ หลังรู้สึกว่าสามารถควบคุมไฟได้อย่างใจต้องการแล้ว เขาก็ตบถุงเก็บของหยิบเอาพืชหญ้าออกมา

    “ตอนนี้กำยานฉางโซ่วสำคัญกับข้าอย่างมาก จะเอาไปหลอมก่อนไม่ได้ จำเป็นต้องหลอมโอสถได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วถึงจะเริ่มหลอมได้ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เอาลูกกลอนบำรุงวิญญาณมาลองฝึกฝีมือก่อนแล้วกัน โอสถนี้อยู่ระดับหนึ่ง เหมาะสมกับพลังการหลอมปราณขั้นที่ห้าลงไป” ไป๋เสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาด สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง หลังจากทบทวนความจำเรื่องตำรับยาเสริมพลังสะกดทางวิญญาณในสมองอีกครั้งก็เริ่มหลอมโอสถ

    เขาหยิบเอาพืชต้นหนึ่งซึ่งจำเป็นสำหรับการหลอมลูกกลอนบำรุงวิญญาณออกมาถือไว้ข้างหน้า โบกมือขวาหนึ่งทีใบของมันก็ร่วงลงทั้งหมด ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนแน่วแน่ พลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายแผ่ออกมากลายเป็นพละกำลังยิ่งใหญ่ระลอกหนึ่ง ขยี้แรงๆ หนึ่งที ใบไม้เหล่านั้นก็พลันถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน บีบออกมาเป็นน้ำเก้าหยดตกลงกลางเตาหลอม

    เสียงติ๋งดังขึ้นหนึ่งที ในเตาหลอมพลันมีควันสีเขียวลอยขึ้นมาเป็นระลอก ไป๋เสี่ยวฉุนสมาธิแน่วแน่ พริบตาที่หมอกควันนี้ปรากฏขึ้น มือทั้งสองก็กรีดเอาก้านของพืชที่อยู่ในมือออกอย่างรวดเร็ว โยนเข้าไปในเตาหลอมทีละชิ้นและคอยคุมไฟอยู่ตลอดเวลา ทำให้ควันในเตาหลอมยิ่งคลุ้งมากขึ้น

    มันไม่ยอมกระจายออก แต่กลับเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน โหมพัดตลบอบอวลอย่างต่อเนื่อง ไป๋เสี่ยวฉุนหยิบเอาพืชหญ้าต้นที่สองออกมาถือไว้ในมือแล้วเร่งกระตุ้นให้เติบโต ทำให้พืชต้นนี้ผลิดอกออกมาในทันที จากนั้นจึงเด็ดกลีบโยนเข้าไปในเตาหลอม

    เวลาผ่านไป ไป๋เสี่ยวฉุนทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดลงไป หยิบวัตถุดิบออกมาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งใส่ลงไปครบแปดชนิดแล้ว ดวงตาเขาเปล่งประกายสุกใส จ้องไปที่เตาหลอม ไฟที่ถูกควบคุมค่อยๆ เปลี่ยนอุณหภูมิ แต่เหงื่อที่ผุดออกมาตรงหน้าผากก็ยังไหลออกมาตามโครงหน้าท่ามกลางสมาธิที่แน่วแน่

    หนึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงปุดๆ ดังออกมาจากเตาหลอม ขณะเดียวกันนั้นควันดำก็กระจายออกมา แม้ว่าจะถูกค่ายกลในห้องนี้ดูดซับออกไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็ยังคงไอสำลักสีหน้าเหยเก มองไปยังกากสีดำที่อยู่ในเตาหลอม ขมวดคิ้วมุ่น

    “ล้มเหลวเสียแล้ว…” ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งลงเท้าคาง ดวงตาเผยแววครุ่นคิด ทวนความจำรายละเอียดทั้งหมดในการหลอมโอสถอย่างละเอียดโดยไม่ได้หลอมโอสถต่ออีก ด้วยนิสัยระแวดระวังของเขา ไม่ว่าจะท่องจำพืชหญ้าหรือว่าการหลอมโอสถก็ล้วนแสวงหาความมั่นคงอย่างสูงสุด

    เขาครุ่นคิดครั้งนี้เนิ่นนานถึงสามวัน สามวันให้หลังสมองของเขาก็ได้ทบทวนความจำในกระบวนการหลอมโอสถครั้งแรกอย่างน้อยพันครั้ง เจอปัญหาไม่ต่ำกว่าห้าสิบกว่าจุด ถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก พักผ่อนครู่หนึ่งแล้วเริ่มเปิดเตาอีกครั้ง

    เวลาจริงที่ใช้ในการหลอมโอสถนั้นไม่นาน สองชั่วยามต่อมาเตาหลอมก็เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ยังคงมีหมอกควันลอยกระจายออกมา กากในเตาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    ความยืนหยัดของไป๋เสี่ยวฉุนพุ่งทะยานขึ้นมา หลังจากที่เขาช้อนเอากากพวกนั้นมาศึกษาอย่างละเอียดแล้วจึงนำมารวมเข้ากับขั้นตอนการหลอมโอสถที่อยู่ในสมอง แล้วศึกษาตำรับยาอีกครั้ง ศึกษาพืชหญ้า คราวนี้ศึกษาติดต่อกันเป็นเวลาสิบวัน ถึงได้เริ่มหลอมโอสถเตาที่สามด้วยดวงตาแดงก่ำ

    เพียงแต่การหลอมโอสถเตาที่สามนี้ ระหว่างขั้นตอนเริ่มต้นทุกอย่างล้วนสงบนิ่งดี ทว่าชั่วพริบตาที่จะกลายเป็นยานั้นกลับแตกกระจายออกเป็นกากอีกครั้ง ส่งเสียงดังสะท้อนไปมา ไป๋เสี่ยวฉุนกระโดดเหยงขึ้น จ้องเขม็งไปที่กากในเตาหลอม เงียบงันไปแสนนานจึงนั่งลงด้านข้าง หลับตาลงแล้วครุ่นคิดอีกครั้ง

    คราวนี้เขาคิดพิจารณาอยู่ประมาณครึ่งเดือน จนกระทั่งเวลาของการหลอมโอสถใกล้จะหมดลงถึงได้ลืมตาขึ้น กัดฟัน เริ่มหลอมเตาที่สี่

    สุดท้ายเมื่อเวลาการยืมใช้ห้องหลอมโอสถถึงกำหนดสิ้นสุด โอสถเตานี้ก็ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม

    ภาพนี้หากลูกศิษย์โอสถคนอื่นมาเห็นเข้าต้องรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาแน่นอน หากเป็นคนอื่นเวลาหนึ่งเดือนนี้ต้องหลอมอย่างน้อยสักสิบกว่าเตา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหลอมให้สำเร็จออกมาจนได้

    ต่อให้หลอมสำเร็จเพียงเสี้ยวเดียวก็ต้องได้ผลพลอยได้มาบ้าง

    เพราะในสายตาของแทบทุกคน การหลอมโอสถถือเป็นเรื่องยากมากอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่ปรมาจารย์โอสถของทั้งเกาะตงหลินจะมีเพียงสองท่านเท่านั้น

    แม้แต่ศิษย์โอสถเองก็ไม่ได้มีมากมายนัก อีกทั้งตลอดชีวิตของคนส่วนใหญ่ก็มักไม่คาดหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นอาจารย์โอสถ

    แต่ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ…ไม่มีทรัพยากรมากพอให้ศิษย์โอสถผู้หนึ่งเติบโตขึ้นมาได้ หากมีทรัพยากรมากพอ ภายใต้การทดลองอย่างต่อเนื่องนั้นแม้ไม่อาจพูดว่าจะสามารถกลายเป็นอาจารย์โอสถได้แน่นอน แต่อย่างน้อยอัตราสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก

    ดังนั้นสำหรับทุกคนแล้ววิธีที่จะช่วยเพิ่มอัตราการหลอมโอสถสำเร็จได้มีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มระดับความเชี่ยวชาญ!

    และสิ่งที่ทุกคนแสวงหาก็คือระดับความเชี่ยวชาญนี้!

    ขอเพียงมีความชำนาญมากพอก็จะสามารถเพิ่มความมั่นใจในความสำเร็จของตนเองขึ้นมาได้ ฉะนั้นศิษย์โอสถล้วนรู้สึกว่าความล้มเหลวในการหลอมโอสถเป็นเรื่องปกติ หลังจากรวบรวมบทเรียนแล้วทำการหลอมอีกครั้งก็จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นเอง โดยเฉพาะโอสถทั่วไปที่วัตถุดิบไม่แพงก็ยิ่งเหมาะสมในการนำมาใช้ฝึกฝน

    แต่เส้นทางของไป๋เสี่ยวฉุนนั้นแม้จะเหมือนกับทุกคน แต่ความเร็วกลับน้อยกว่ามาก ทุกครั้งที่ล้มเหลวเขาล้วนใช้เวลาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าของการหลอมโอสถไปวิเคราะห์และอนุมานอย่างต่อเนื่อง

    นี่เกี่ยวข้องกับนิสัยระมัดระวัง และที่ยิ่งกว่านั้นคือละเอียดอ่อนของเขา ความละเอียดอ่อนนี้ได้ปรากฏออกมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นขณะที่เขาศึกษาพืชหญ้า แต่กลับขยายกว้างอย่างไร้ขีดจำกัดหลังจากสัมผัสกับการหลอมโอสถแล้วจนกลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเขาไป

    เพราะละเอียดอ่อน หลังจากล้มเหลวจึงสังเกตเห็นปัญหาได้มากกว่าคนอื่น แถมไม่ได้มากกว่าเพียงนิดๆ หน่อยๆ ด้วย เพราะเขาคิดมาก สังเกตสังกาอย่างละเอียด ต่อให้เป็นจุดที่ผู้อื่นคิดว่าไม่ใช่ปัญหา เขากลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

    และก็เพราะระมัดระวัง ดังนั้นต่อให้เป็นปัญหายิบย่อยข้อเดียว เขาก็จะต้องพิชิตให้ได้ก่อนจึงจะหลอมโอสถต่อไป เวลาที่เขาใช้ในการครุ่นคิดถึงได้มากกว่าเวลาหลอมโอสถไม่รู้ต่อกี่เท่า

     

    เวลาหนึ่งเดือนสิ้นสุดลง ไป๋เสี่ยวฉุนผมเผ้ายุ่งเหยิง บนหน้ามีแต่ขี้เถ้าสีดำ เดินออกจากหอหลอมโอสถอย่างอ่อนล้า หลังจากกลับมาถึงเรือนเขาก็เงียบงันอยู่นาน สมองทบทวนความทรงจำอย่างต่อเนื่อง

    “ยังมีอีกเก้าจุดที่มีปัญหา ต้องแก้เก้าจุดนี้ให้ได้เท่านั้นจึงจะสามารถหลอมโอสถต่อได้” ไป๋เสี่ยวฉุนกัดฟันนั่งลงกับพื้นเรือน หลับตาครุ่นคิด สมองทำการวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็หยิบพืชหญ้าออกมาสังเกตอย่างละเอียดลึกซึ้ง

    จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา เขาก็ถลาพรวดออกไปจ่ายคะแนนคุณความดี เข้าไปในหอหลอมโอสถอีกครั้ง

    ครั้งที่ห้า…ล้มเหลว!

    เขาใช้เวลาเจ็ดวันในการวิเคราะห์สาเหตุ หาปัญหา แก้ไขปัญหา และหลอมอีกครั้ง

    ครั้งที่หก…ล้มเหลว!

    ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนแดงฉาน ใช้เวลาไปอีกยี่สิบวัน ในที่สุดเมื่อรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอีกแล้วถึงได้เริ่มหลอมโอสถเตาที่เจ็ด

    หนึ่งชั่วยามผ่านไปเสียงดังสนั่นไม่ปรากฏขึ้น แต่กลับมีกลิ่นหอมของลูกกลอนลอยมาปะทะจมูกแทน ไป๋เสี่ยวฉุนตื่นเต้น มองลูกกลอนสีเขียวสองเม็ดที่อยู่ในเตาหลอม เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ครั้งที่เจ็ดนี้เขาทำสำเร็จแล้ว!

    แล้วจึงหลอมโอสถต่ออีกครั้ง ครั้งที่แปด…สำเร็จ หลอมลูกกลอนออกมาได้สามเม็ด!

    ครั้งที่เก้า…สำเร็จ หลอมลูกกลอนออกมาได้ห้าเม็ด!

    ครั้งที่สิบ…ยังคงสำเร็จเช่นเดิม เพียงแต่ลูกกลอนที่ปรากฏในครั้งที่สิบนี้มีเพียงเม็ดเดียว อีกทั้งยังไม่ใช่สีเขียวแต่เป็นสีดำ ไม่มีกลิ่นหอมใดๆ กระจายออกมา ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเอามาดมยังมีกลิ่นตุๆ ด้วย…

    ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังสงสัย ตลอดทั้งหอหลอมโอสถพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา

     

     

    * ‘อันสีครามเกิดจากต้นคราม แต่มีสีครามเข้มกว่าต้นคราม’ เป็นสำนวน หมายถึงศิษย์ที่เก่งกว่าครู หรือคนรุ่นหลังที่เก่งกว่าคนรุ่นก่อน

    * เทียนโย่ว มาจากภาษาจีน ‘ซั่งเทียนเป่าโย่ว’ (上天保佑) ซึ่งแปลว่าสวรรค์คุ้มครอง

    * จวิน คือหน่วยน้ำหนักของจีนในสมัยโบราณ มีน้ำหนักประมาณ 30 ชั่ง (จิน) หรือประมาณ 15 กิโลกรัม

     

     

    ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์ เล่ม 1

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook