• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 1

    “ท่านหมายถึงยันต์เทวะน่ะหรือ”

    บุคคลในกระโจมอุทานอย่างตื่นตะลึง แต่ก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยันทันที

    “ในโลกมีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ผู้ที่ช่ำชองด้านยันต์อักขระกลับมีเพียงแค่สิบกว่าคน ยอดคนเหล่านั้นบ้างก็เร้นกายในวัง บ้างก็นั่งฌานในอาราม บำเพ็ญตบะทำสมาธิอย่างยากลำบากตลอดชีวิตจึงจะสามารถผนึกพลังปฐมแห่งฟ้าดินเอาไว้ในลายเส้นและภาพวาดได้สำเร็จ ท่านบอกว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นรอบกายไร้การเคลื่อนไหวของปราณ เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้อ่าน ‘คัมภีร์สนองตอบธรรมชาติ’ ไปอีกห้าสิบปีก็น่ากลัวจะไม่มีทางฝ่าเข้าสู่ด่านแดนปฐม ฉะนั้นจะนำไปเปรียบเทียบกับยอดคนเหล่านั้นได้อย่างไร”

    ชายชรายิ้มน้อยๆ มิได้โต้แย้งกระไรอีก แม้จะบอกว่าตนคือผู้ฝึกฌาน และตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ได้รับความเคารพจากอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยฐานะที่แตกต่างกันเกินไป ความเคารพที่ว่านั้นแท้ที่จริงแล้วจึงเป็นเพียงแค่ความสงสารและเสียดายความสามารถของคนแก่คนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดบางคำจึงยังคงไม่กล่าวออกไปจะดีกว่า

    แน่นอนว่าชายชราไม่เห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของคนในกระโจม มันมีข้อวินิจฉัยของตัวเองเกี่ยวกับพลทหารที่ชื่อหนิงเชวีย ปุถุชนทุกคนในโลก ผู้ที่จะสามารถสัมผัสรับรู้พลังปฐมแห่งฟ้าดินแล้วก้าวเข้าสู่ด่านแดนปฐมได้นั้นพูดได้ว่าหายากกว่าหนึ่งในหมื่นเสียอีก แรกสัมผัสรับรู้นั้นคือด่านที่ยากที่สุด มิใช่เรื่องที่จะเป็นกันได้ง่ายๆ แต่หากหนิงเชวียได้เข้าเรียนในสถานศึกษาจริง และบังเอิญมีวาสนาได้ก้าวขึ้นสู่ ‘ชั้นสอง’ ก้าวเข้าสู่มรรคาแห่งการบำเพ็ญเพียร ทักษะการเขียนอักษรลายพู่กันที่แปลกแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังนี้จะมีส่วนช่วยเหลือหนุ่มน้อยได้อย่างอเนกอนันต์

    ต่อให้ไม่สามารถเห็นแสงสว่างแห่งปัญญาไปตลอดชีวิต อาศัยแค่ทักษะในการขีดเขียนที่มีอยู่นี้ก็เพียงพอที่จะได้รับความสนใจจากยอดคนในสถานศึกษาและพลับพลาบวงสรวงแล้ว หรือต่อให้เลวร้ายสุดก็ต้องสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแวดวงของเหล่านักเขียนพู่กันทั้งหลายได้

    หนิงเชวียวางตำราในมือลง ส่ายหน้าถอนใจก่อนลุกเดินออกจากบ้าน ใบหน้าปรากฏแววผิดหวังและไม่ยินยอมอยู่บ้าง

    ‘คัมภีร์สนองตอบธรรมชาติ’ ซึ่งสมัยเป็นเด็กมันซื้อหามาตอนติดตามขบวนทหารไปซื้อเสบียงที่เมืองไคผิง เป็นดั่งที่หญิงรับใช้คนนั้นกล่าวไว้จริงๆ คือเป็นสินค้าตามท้องถนนที่พบเห็นได้ทุกหนแห่ง จุดนี้มันเข้าใจกระจ่าง แต่ก็ยังคงเพียรท่องและฝึกฝนอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส ราวกับว่าตำรานี้คือ ‘คัมภีร์สวรรค์เจ็ดเล่ม’ ที่ตามตำนานเล่าขานว่าได้ถูกถวายให้แก่ดินแดนที่เป็นปริศนาของนิกายเฮ่าเทียน*

    ตำราถูกพลิกอ่านอยู่เป็นประจำจนขอบม้วน เหลืองเปื่อยเก่าโทรมจนน่าสังเวช หากมิใช่เพราะซังซังใช้เชือกเส้นเล็กๆ เย็บสันปกเอาไว้อย่างแน่นหนา น่ากลัวว่าแค่พลิกเบาๆ ก็คงกลายเป็นกระดาษเงินกระดาษทองปลิวว่อนไปเซ่นไหว้วิญญาณของเทพเจ้าแห่งความยากจนไปนานแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายปี หน้ากระดาษถูกพลิกอ่านจนเปื่อย อักษรทุกตัวสลักลึกอยู่ในความทรงจำ แต่มันกลับยังหาทางเข้าถึงมิได้ ไม่ต้องพูดถึงด่านแดนปฐมของการบำเพ็ญเพียรอันใดนั่น แม้แต่คำง่ายๆ ในตำราว่า ‘สนองตอบ’ ก็ยังไม่มีปัญญาทำได้สำเร็จ

    * เฮ่าเทียน แปลว่าท้องฟ้ากระจ่างใสหรือฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล และเป็นคำเรียกย่อของเทพเจ้าสูงสุดตามคติความเชื่อของจีนสมัยโบราณ ที่เชื่อว่านภากาศเป็นผู้สร้างและคุ้มครองโลกมนุษย์

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook