• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 1

    บทที่ 2 ไปหาความสำเร็จที่ฉางอัน

    เหตุที่แคว้นถังถูกเรียกว่าต้าถังก็สืบเนื่องมาจากหลักการง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่นี้

    หนิงเชวียไม่มีนิสัยเฉกเช่นชาวถังทั่วไป ยามอยู่ในสนามรบจะมีทั้งรุกและหลบหลีก ไม่ใช่พวกบ้าระห่ำที่เอะอะก็สู้หัวชนฝา พาตัวเองตกอยู่ในสภาพจนตรอกต้องสู้แบบถวายชีวิต ดังนั้นเชื่อว่าต่อให้อยู่เมืองเว่ยไปอีกยี่สิบปีก็คงไม่มีนิยายเรื่องยาจกน้อยเติบใหญ่กลายมาเป็นจอมทัพอย่างแน่นอน

    แต่ช่วงเวลาที่หนิงเชวียอยู่ในกองทัพนั้นยาวนานพอจนสามารถเข้าใจแนวคิดและนิสัยอันน่ายกย่องและน่าครั่นคร้ามของชาวถังในยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพอเห็นรอยธนูบนขบวนรถม้าขององค์หญิงก็ครุ่นคิดถึงเค้าลางความยุ่งยากว่านี่เป็นปัญหาที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างแท้จริง ฉานอวี๋คนใหม่ของดินแดนแห่งทุ่งหญ้าถึงกับกล้าตามล่าสังหารองค์หญิงสี่แห่งต้าถัง หากมิใช่เพราะสติฟั่นเฟือนก็จะต้องเป็นเพราะมีบุคคลระดับสูงในต้าถังคอยสมรู้ร่วมคิด และให้คำมั่นสัญญาว่าต้าถังจะไม่ไล่ล่าคิดบัญชีกับพวกมันในภายหลัง

    “องค์หญิงสี่ตอนนี้ก็อยู่ในเขตเมืองเว่ยดินแดนของต้าถังแล้ว เหตุใดจึงยังทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่บอกเรื่องราวแท้จริงออกมา หึๆ ก็เพราะในสมองของนางตอนนี้ไม่มีคำว่าเชื่อใจ นางอาจจะเชื่อใจองค์จักรพรรดิ แต่จะต้องไม่เชื่อใจขุนนางของพระองค์ อย่างเช่นแม่ทัพอย่างท่าน พลทหารชายแดนอย่างข้า หรือแม้กระทั่งคนทั้งราชสำนักเลยก็ว่าได้

    เพราะนางรู้ดีว่าหากไม่มีบุคคลระดับสูงในฉางอันพยักหน้า จะไม่มีคนเถื่อนคนใดในดินแดนแห่งทุ่งหญ้ากล้าทำร้ายนาง และผู้ที่สามารถให้คำมั่นสัญญา อีกทั้งยังทำให้ฉานอวี๋คนใหม่เชื่อใจได้…อย่างมากมีไม่เกินสี่คน ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่แม้แต่นางเองก็มิกล้าล่วงเกิน

    การต่อสู้แย่งชิงอำนาจของบุคคลระดับสูงเหล่านี้ แม้แต่แม่ทัพอย่างท่านยังทำได้แค่หลบไปให้ห่าง สำมะหาอะไรกับพลทหารตัวน้อยๆ อย่างข้า…”

    หนิงเชวียใช้ส้นเท้าบดขยี้พื้นดินเปียกแฉะพลางกล่าวต่อ

    “ระหว่างทางจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ ลูกผู้ชายจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างข้าอย่างมากก็รับมือศัตรูได้แค่สามคนห้าคน ร่วมขบวนไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์ ขบวนคุ้มกันองค์หญิงมีข้าเพิ่มขึ้นมาก็เท่ากับเส้นทางบนเขามีศพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แต่ถ้าหากขบวนคุ้มกันองค์หญิงขาดข้าไปคน เมืองเว่ยก็ยังจะเหลือพลทหารที่มีจิตใจดีงามและวินัยทหารไม่เลวอยู่อีกคน…ท่านแม่ทัพ ท่านก็คิดเสียว่าข้าเป็นพลังปฐมแห่งฟ้าดินที่มองไม่เห็น ไร้ตัวตน จับต้องไม่ได้ก็แล้วกัน”

    หม่าซื่อเซียงมองหน้าตาที่คล้ายอ่อนน้อมถ่อมตนของเด็กหนุ่มแล้วก็นวดขมับ กล่าวอย่างหมั่นไส้

    “กล้าเอาตัวเองไปเทียบกับพลังปฐมแห่งฟ้าดินเชียวรึ เจ้านี่มันหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ ถ้าหากคิดว่าจะพูดจาโน้มน้าวให้ข้าถอนคำสั่งกลับล่ะก็ ขอบอกว่าไปผายลมซะเถอะ”

    หนิงเชวียหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า

    “ข้ากำลังจะเป็นศิษย์ของสถานศึกษาแล้ว ถ้อยคำวาจาที่ใช้ต้องสุภาพไพเราะสักหน่อย”

    หม่าซื่อเซียงหมดอารมณ์จะล้อเล่นอีกต่อไป เงียบไปสักครู่จึงค่อยอธิบายว่า

    “พูดไปแล้วการที่ให้เจ้าไปเป็นคนนำทางให้แก่ขบวนรถม้าขององค์หญิง…ก็เกี่ยวกับการเข้าสถานศึกษาของเจ้านั่นแหละ จริงอยู่ที่ความชอบทางการทหารของเจ้ามีมากพอจึงผ่านการคัดเลือกรอบแรก ข้าขอให้ผู้บังคับบัญชาเขียนจดหมายแนะนำให้เจ้า จดหมายตอบรับจากกรมทหารก็มาถึงแล้ว แต่เจ้าอย่าคิดว่าแค่นี้ก็จะเข้าเรียนได้สมใจ หลายปีมานี้เจ้าหมกตัวอยู่แต่ในเมืองเว่ย แม้จะได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับสถานศึกษามาบ้าง แต่เจ้าไม่เคยรู้ถึงการทำงานของพวกขุนนางในเมืองหลวง”

    แม่ทัพหม่ากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “ในความรู้สึกของข้าทั้งในฐานะที่เป็นทหารและเป็นสามัญชนคนธรรมดา สถานศึกษาคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจล่วงเกินได้ ถือจดหมายตอบรับจากกรมทหารเพียงแค่แสดงว่าเจ้าสามารถเข้าร่วมในการสอบคัดเลือก แต่ถ้าคิดจะก้าวเท้าเข้าประตูของสถานศึกษาไปสอบจริงๆ อย่างน้อยจะต้องวิ่งไปให้สามกรมประทับตรา…

    จดหมายแนะนำที่เขียนโดยนายทหารยศตำแหน่งอย่างพวกเรามีหรือจะอยู่ในสายตาของกรมกองเหล่านั้น ต่อให้ได้จดหมายตอบรับจากกรมทหารมาแล้วก็ยังไม่ค่อยจะมีน้ำหนักสักเท่าไหร่ ขอเพียงคนพวกนั้นต้องการ ก็สามารถประวิงเวลาการสอบคัดเลือกของเจ้าไปได้อีกหลายปีโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook