บทที่ 4 กระบี่หนึ่งวางพาดตัก กระบี่หนึ่งฝ่าหมอกโลหิต
หึๆ เหยื่อตายแทน…
หนิงเชวียมองภาพนั้นแล้วแอบประชดประชันในใจ แต่แล้วก็สำเหนียกว่าแผ่นหลังคล้ายถูกทิ่มแทงด้วยสายตาคู่หนึ่ง พอหันไปก็พบว่าซังซังกำลังเอียงหน้ามองอยู่เงียบๆ
ปกติการสบตากันแค่หนึ่งหรือสองวินาทีนั้นสั้นมาก แต่ยามนี้มันกลับรู้สึกว่ายาวนานเสียจริง
เป็นอีกครั้งในชีวิตที่หนิงเชวียพ่ายแพ้ให้แก่สาวใช้ตัวน้อย มันถอนใจอย่างจนปัญญา กล้ามเนื้อที่ขาเกร็งขึง ปลายเท้าจิกลงในชั้นใบไม้หนา จิกลงไปถึงชั้นดินเปียก เป็นการตั้งท่าเตรียมโถมตัวออกไปได้ตลอดเวลา
เมื่อแสงสายัณห์ลาลับ ดินแดนเป่ยซานซึ่งอยู่ห่างออกไปกลายเป็นเงาตะคุ่มๆ ท่ามกลางกิ่งใบดำทึบดุจใช้น้ำหมึกราดรดจู่ๆ ก็บังเกิดลมแรงหอบหนึ่ง ใบที่เพิ่งแทงยอดใหม่ตามปลายกิ่งซ่อนตัวอยู่ในการคุ้มกันอย่างแน่นหนาของชั้นเปลือกไม้เก่าจึงไม่ได้รับความเสียหาย แต่กิ่งไม้ใบไม้บนพื้นที่ไม่ทราบว่าทับถมกันมานานกี่ร้อยกี่พันปีพลันถูกหอบม้วนขึ้นสู่อากาศเสียงดังซ่าๆ จากนั้นทยอยกันร่วงตกสู่พื้น
ลึกเข้าไปในดินแดนเป่ยซาน ปรากฏชายฉกรรจ์ร่างกำยำสูงใหญ่สวมเกราะอ่อนสีเข้มคนหนึ่ง มันแผดเสียงตวาดก้องดุจฟ้าผ่าพร้อมๆ กับมีประกายแสงสีเทาขมุกขมัวลอดผ่านเกราะอ่อนบนตัวออกมา แสงนั้นสว่างวาบแค่วูบเดียวก็หายไป รวดเร็วดุจสายฟ้าที่ผ่าวาบกลางก้อนเมฆ
แขนสองข้างที่ใหญ่หนาราวกับท่อนซุงจู่ๆ ก็ยกศิลาก้อนใหญ่ซึ่งไม่ทราบว่าไปเอามาจากที่ไหนทุ่มเข้ามาอย่างแรง ท่าทางเบาสบายไม่เกินแรงเหมือนกำลังปาลูกหินเล่น เป้าหมายคือรถม้าคันงามหรู
นี่เป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ คนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องทุ่มหินทำลายกำแพงเมืองในระยะไกลได้
ศิลายักษ์ลอยแหวกอากาศดังหวืด ปะทะกิ่งไม้ยอดไม้ที่ขวางทางจนหักสะบั้น ก่อนคล้อยตกเป็นแนวโค้งผ่านระยะทางสี่สิบกว่าจั้งโดยไม่มีสิ่งใดขวาง ตกใส่รถม้าคันหรูอย่างแม่นยำไร้ปรานี!
เสียงดังโครมใหญ่ ประทุนรถที่ตกแต่งอย่างงดงามหักสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลางเศษซากเห็นเลือดและอวัยวะแขนขาได้รำไร
แปลกแท้ องครักษ์ซึ่งนั่งอารักขาอยู่รอบๆ ยังคงสีหน้าเย็นชา คล้ายมองไม่เห็นความพินาศย่อยยับของรถม้าคันหรู ไม่เห็นว่าองค์หญิงที่พวกตนสาบานว่าจะคุ้มครองด้วยชีวิตได้กลายสภาพเป็นซากศพที่แหลกเหลวไปแล้ว ใบหน้าไม่เพียงไม่แตกตื่น ตรงกันข้ามกลับแทนที่ด้วยความโล่งใจอยู่เล็กน้อย
“แถวหน้า ยิง!”
หัวหน้าองครักษ์ตวาดสั่ง
องครักษ์สามคนยังนั่งคุกเข่าข้างเดียวเหมือนเดิม แต่มือขวาปล่อยด้ามดาบ เปลี่ยนเป็นประคองหน้าไม้ที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงของกองทัพ ยกขึ้นเล็งแล้วลั่นไกทันที
ลูกดอกสามดอกพุ่งฉิว แล่นวาบทะลุใบไม้ที่กำลังร่วงหล่น เข้าหาร่างทรงพลังดุจเทพสวรรค์อย่างแม่นยำ ทว่าชายฉกรรจ์นั้นเพียงปาดมือใส่ก็สามารถกำจัดลูกดอกที่พุ่งมาถึงตรงหน้าออกไปได้สอง ส่วนอีกดอกแล่นเข้าปักกลางหน้าอกมันดังฉึก แต่มันก็หาได้แยแสสนใจไม่
ฝ่ามือที่แข็งแกร่งดุจศิลาถูกแรงที่แฝงมากับลูกดอกกระแทกจนชา ส่วนลูกดอกที่เสียบติดอยู่กับชุดเกราะตรงอกกลับสั่นระริกเหมือนหนอนขายาวที่ทรงกายยืนไม่อยู่ก่อนหลุดร่วงลงสู่พื้น ปลายลูกดอกเปื้อนเลือดเล็กน้อย คิดว่าคงจะได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
เป็นเพราะระยะยิงห่างเกินไป การจู่โจมด้วยหน้าไม้จึงให้ผลเพียงน้อยนิด หัวหน้าองครักษ์เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว สีหน้าจึงไม่เปลี่ยน สองตาเพ่งมองเงาร่างใหญ่โตพลางยกมือขวาตวาดว่า
“รอก่อน!”
องครักษ์ทั้งสามวางหน้าไม้ลง มือขวาเอื้อมไปกำด้ามดาบที่สะพายเฉียงไว้ด้านหลังเหมือนเดิม
เพราะซังซัง หนิงเชวียจึงคิดจะช่วยเหลือเป้าล่อผู้น่าสงสารบนรถม้า แต่ทว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างฉับไว ยังไม่ทันได้ตั้งตัวชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ก็ปรากฏกายขึ้น จากนั้นก้อนศิลาก็พุ่งมาราวกับร่วงตกจากท้องฟ้า ทั้งรถม้าและสตรีในนั้นพลันกลายเป็นเศษซากที่แหลกเหลวไปเสียก่อน
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเห็นใจสตรีที่ไม่รู้จักคนนั้นหรือรู้สึกละอายใจต่อความเชื่อมั่นที่สาวใช้ตัวน้อยมีให้ สีหน้าหนิงเชวียยามนี้จึงดูบูดบึ้งขัดตาอยู่บ้าง…
เพราะวิชาลึกลับบางอย่างทำให้ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์มีพละกำลังมากมายเหลือเชื่อ แต่การทุ่มก้อนศิลาหนักพันชั่งเป็นระยะทางไกลถึงเพียงนี้ยังคงต้องจ่ายค่าชดใช้ เห็นใบหน้ามันแดงก่ำ เหงื่อกาฬไหลย้อยผ่านช่องว่างของเกราะอ่อน สองขาสั่นเล็กน้อยคล้ายจะหมดแรง
ไม่ทราบว่าทำไม เผชิญกับโอกาสดีๆ แบบนี้ องครักษ์สิบกว่าคนนั้นกลับไม่เลือกที่จะเข้าจู่โจมซ้ำ ยังคงเฝ้าอารักขารถม้าคันที่สองเช่นเดิม