• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย ล่า ตอน รังอินทรีเหนือขุนเขา บทที่ 2

    บอดใหญ่จ้าวรีบปลุกผม คว้าไม้ถูพื้นที่ถูกทิ้งในห้องขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินเท้าเปล่าค่อยๆ ย่องไปที่ประตู กระชากเปิดมันออกเต็มแรง ด้านนอกว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาคน

    ผมหาว บอกว่าเขาต้องฝันร้ายไปแล้วแน่ๆ ผีสักตัวก็ไม่มียังจะมีคนอะไรได้อีก ต่อให้มีคนจริง บางทีคนคนนั้นอาจจำห้องผิดเท่านั้น

    บอดใหญ่จ้าวกลับขึ้นไปนอนอย่างหงุดหงิด เพียงไม่นานเขาก็ส่งเสียงกรนออกมาอีก ผมเองก็งัวเงียหลับไปเหมือนกัน

    จากเดิมที่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็แค่เรื่องเล็กๆ ไม่มีอะไรสำคัญ นึกไม่ถึง เช้าวันที่สองพอตื่นลืมตาขึ้นมาพวกเราก็พบว่าบนโต๊ะหัวเตียงมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่ ที่อยู่ด้านล่างคือกระดาษเอสี่ บนกระดาษมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า ‘รีบไปจากทิเบต!’

    ผมถามบอดใหญ่จ้าว “เอาไงดี”

    บอดใหญ่จ้าวบอก “ต้องใช่ยอดฝีมือแน่!ประตูยังล็อกอยู่ คนคนนี้ดูท่าจะไม่ใช่พวกธรรมดาๆ!”

    ผมพูด “เขาต้องใช่ยอดฝีมืออยู่แล้ว ผมแค่อยากรู้ ตกลงพวกเราจะเอายังไงกันต่อ”

    บอดใหญ่จ้าวคอแข็งขึ้นมาทันที “กลัวอะไร ขนาดกับหมีดำข้ายังกล้าเล่นมวยปล้ำด้วย นับประสาอะไรกับพวกโจรชั่ว!”

    ผมนั่งวิเคราะห์กับเขาอยู่บนเตียง ตกลงใครกันที่ตั้งใจขู่ให้พวกเรากลัวแบบนี้

    บอดใหญ่จ้าวมั่นใจว่าต้องเป็นพวกชายชุดทหาร คนพวกนี้จับตาดูพวกเรามาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เมืองหมาป่าแล้ว ตอนอยู่ที่แม่น้ำโขงพวกเขาก็คิดจะส่งพวกเราไปยมโลกพร้อมกับราชาอสรพิษ ยังไงก็ต้องใช่พวกเขาแน่!

    แต่ผมกลับไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น

    ในสายตาคนพวกนั้นพวกเราเป็นหมากที่จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ไม่ได้มีความหมายอะไร พร้อมสละทิ้งได้ทุกเมื่อ ดังนั้นหากพวกเขาคิดจะลงมือจริง มีดสั้นเล่มนั้นคงไม่ได้ปักใส่โต๊ะหัวเตียง หากแต่ปักลงบนอกพวกเรามากกว่า

    ยิ่งไปกว่านั้นความหมายของถ้อยคำบนกระดาษก็ไม่เหมือนกำลังข่มขู่ แต่หากเหมือนเป็นการเตือนกันมากกว่า คล้ายกับขาที่นองไปด้วยเลือดที่พวกเราเห็นตอนอยู่ในป่าต้าซิงอันหลิ่ง

    บอดใหญ่จ้าวกลับเห็นต่าง “เตือนกับขู่ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน”

    ผมส่ายหน้า “มันต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เตือนถึงจะทำให้ตกใจ แต่ก็ไม่ได้มีประสงค์ร้าย”

    บอดใหญ่จ้าวร้องด่า ‘บัดซบ’ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวนอนต่อ

    บอดใหญ่จ้าวคิดอ่านเรียบง่าย แบ่งคนบนโลกออกเป็นสองจำพวก พวกหนึ่งคือเพื่อน พวกหนึ่งคือศัตรู ไม่มีพื้นที่เปลี่ยนสภาพอะไรทั้งนั้น เรื่องราวประเภทก้ำๆ กึ่งๆ ไม่มีหัวไม่มีหาง ครึ่งเตือนครึ่งขู่แบบนี้เขาไม่รู้จัก

    คำพูดนี้ของเขาทำให้ผมหัวโล่งขึ้นมาทันที

    แบบนี้ก็ไม่ยาก ในเมื่อพวกเขาขู่พวกเรา งั้นพวกเราก็ไม่ต้องสนใจคำขู่ เพียงรออยู่ที่นี่ปล่อยให้พวกเขาเผยพิรุธออกมาเอง แบบนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือไง

    ผมกับบอดใหญ่จ้าวตัดสินใจ ครั้งนี้ไม่เพียงไม่กลัว หากยังต้องทำอย่างโจ่งแจ้ง รอดูว่าพวกเขาจะทำยังไงต่อ แน่นอน หากจับคนได้ ล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์ของพวกเขา นั่นย่อมยิ่งดีเข้าไปใหญ่

     

    เพียงไม่นานพวกเราก็หาบริษัทขนส่งที่ว่าพบ

    บริษัทแห่งนี้เปิดอยู่ในซอยเล็กๆ ไม่สะดุดตาใกล้กับถนนปาคั่ว กว่าจะหาพบพวกเราก็ต้องเดินหากันอยู่เป็นนาน

    เจ้าของร้านเป็นสาวสวยร่างเล็กคนหนึ่ง พอเห็นพวกเราเดินเข้าไป เธอก็ต้อนรับพวกเราอย่างเป็นมิตร แนะนำให้พวกเรารู้จักถึงบริการไปรษณีย์ช้า

    ผมอึกๆ อักๆ อยู่เป็นนาน ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้ยังไงดี แต่ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เธอก็ตบมือ บอกว่าเธอรอผมมาห้าปีแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

    เธอหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากตู้เซฟ ให้ผมเซ็นรับ บอกว่าเมื่อห้าปีก่อนตอนลูกค้าคนนั้นส่งไปรษณีย์ช้าให้ผม เขาได้ไหว้วานให้ทางร้านช่วยส่งจดหมายให้เขาอีกฉบับ

    จดหมายอีกฉบับที่ว่าเป็นบริการพิเศษที่ลูกค้ากำหนดไว้ เขาบอกว่าหากมีคนเดินทางมาถามถึงเรื่องจดหมายที่ส่งไปก่อนหน้านี้ก็ให้บริษัทมอบจดหมายฉบับนี้ให้คนคนนั้น

    ผมตะลึง ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่รู้ควรพูดอะไรดี

    แต่อีกฝ่ายกลับค้อมตัวน้อยๆ ให้กับผม ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน “เขา…ตอนนี้สบายดีหรือเปล่า”

    “เขา?คุณหมายถึง?”ผมไม่เข้าใจ

    บอดใหญ่จ้าวที่อยู่ด้านหลังกระทุ้งผมที่หนึ่งพลางขยิบตาให้

    “อ๋อ นายห้าง!”

    ผมไม่แน่ใจ สายตาของเจ้าของร้านสาวคนนี้เห็นได้ชัดถึงสายตาเฝ้ารอ หรือว่าเธอจะเป็นคนรักเก่าของน้าเล็ก?

    เฮ้อ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าน้าเล็กจะร้ายกาจแบบนี้!

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook