ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านยอดเชฟเทพนักปรุงเล่ม 3 ตอนที่ 2
[คุณสามารถวิเคราะห์สูตรการทำเส้นลิงกวินีของอัลเฟรโด้ได้สำเร็จ!]
เขารู้สึกเหมือนโกงแล้วยังเป็นหัวขโมย แต่เป็นการโกงและขโมยที่ค่อนข้างสุขใจ มันอาจเป็นการกระทำที่น่าตำหนิในแง่ศีลธรรม แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเขามีความสามารถของระบบแบบนี้ อัลเฟรโด้เชื่อมั่นว่าต่อให้เขากินเข้าไปก็ไม่มีทางรู้สูตร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็แค่ผิดเพี้ยนไปจากที่เจ้าตัวเชื่อมั่นเท่านั้นเอง คิดแบบนั้นน่าจะสบายใจกว่า ความจริงแม้จะรู้สูตรก็ใช่ว่าจะสามารถทำเลียนแบบออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะวิธีการทำเส้นของอัลเฟรโด้ไม่ใช่แค่เรื่องอัตราส่วนกับอุณหภูมิเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องแรงในการนวดแป้ง จำนวนครั้งที่นวด องศาการนวด…หากลอกเลียนทั้งหมดนั่นได้เหมือนเปี๊ยบก็คงจะเรียกว่าขโมยสูตรสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
“เป็นไง มินจุน พอจะรู้มั้ย”
“จะตอบว่ารู้หรือไม่รู้ก็น่าลำบากใจทั้งนั้น”
“ฮ่าๆ ดูจากการที่พูดยาวๆ แล้วคงจะไม่รู้สูตรการทำเส้นของฉันสินะ”
“อืม ถ้าจะให้บอกอัตราส่วนของการผสมแป้งก็พอได้ แต่พูดตรงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนี่ครับ”
“ถูกต้อง พื้นฐานเป็นอะไรที่ดีที่สุด ลองคิดถึงเวลาขึ้นเขาสิ มันมีทางเดินให้เราอยู่แล้ว แล้วจะมีความจำเป็นอะไรที่เราต้องไปทางอื่นล่ะ แต่ถึงยังไงคุณก็ยอดเยี่ยม คนอื่นชอบคิดว่ามันมีอะไรที่พิเศษอยู่ข้างใน”
มินจุนยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไร คาย่าจับไหล่ของมินจุนและพูดด้วยสีหน้าภูมิใจว่า
“เก่งมาก”
“พื้นๆ น่า”
ดูเหมือนคนอื่นจะเบื่อหน่ายกับทั้งสองคนแล้วจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก แอนเดอร์สันมองอัลเฟรโด้แล้วถามว่า
“แต่ละวันต้องทำเส้นมากแค่ไหนเหรอครับ ดูแล้วไม่น่าจะทำแค่เส้นลิงกวินีอย่างเดียว”
“ก็ทำหลายชนิด แต่ที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือลิงกวินีนั่นแหละ ต่อมาก็เป็นพวกพาสต้าเส้นยาวอย่างสปาเกตตี้ เฟตตูชินี่ แทลเลียเตลเล แล้วก็พวกเส้นสั้นอย่างฟูซิลลี ถ้าเป็นพาสต้าแบบแผ่นอย่างพวกลาซานญ่าก็จะทำน้อยกว่า แต่ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยหรือไม่เป็นที่นิยมหรอกนะ แค่ว่าสู้พาสต้าแบบยาวที่แพร่หลายไปทั่วโลกไม่ได้”
อัลเฟรโด้ตอบยาวยืดด้วยสีหน้าและท่าทางที่โอ้อวด มินจุนจึงยิ้มออกมา เพราะเขาเคยคิดว่าคนที่มีความเก่งกาจมักพูดน้อยและบุคลิกหนักแน่น
“ถ้าวันหลังผมทำแป้งได้เหมือนสูตรของคุณ คุณจะว่าอะไรมั้ยครับ”
“ถ้าทำได้ก็เอาเลย การจะทำพาสต้าที่ดีก่อนอื่นต้องมีต้นแขนที่แข็งแรง แขนเล็กแค่นั้นจะไหวเหรอ สงสารแฟนที่อยู่ข้างๆ เลย”
“แฟนเหรอครับ”
“ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ไม่ใช่แฟนเหรอไง เห็นตัวติดกันแบบนั้นก็คิดว่าใช่น่ะสิ”
อัลเฟรโด้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คาย่าจึงกระแอมเบาๆ แล้วรีบเอามือออกจากไหล่ของมินจุนพร้อมก้าวห่างออกไปอีกหนึ่งก้าว
“ยังไงก็ตาม ลิงกวินีอร่อยมากเลยครับ อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ได้มาอิตาลีนะครับ”
“ไม่ถึงขนาดต้องขอบคุณหรอก”
มินจุนพูดออกไปจากใจจริง มันเป็นพาสต้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยกินมา แน่นอนว่าบทบาทของเชฟที่ปรุงออกมาก็มีส่วนมากเหมือนกัน แต่มินจุนคิดว่าอัลเฟรโด้มีบทบาทมากที่สุด เพราะถ้าไม่มีเส้นของเขาก็คงไม่ได้คะแนนเท่านี้
จะทำให้เหมือนได้มั้ยนะ
เขารู้เงื่อนไขของมันโดยสมบูรณ์แล้วว่าต้องนวดเส้นยังไงในสถานการณ์แบบไหน เพราะระบบบอกเอาไว้ทุกอย่าง แต่ปัญหาก็คือเขาจะสามารถทำออกมาได้ตามนั้นรึเปล่า เขาไม่คิดว่าจะสามารถทำได้เหมือนในทันที แต่ถ้าหากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาหลายปีก็น่าจะพอเป็นไปได้ อาจจะเป็นการคิดในแง่ดีเกินไป แต่มันก็ทำให้ใจเขาเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้
เซร่าที่อยู่ห่างไปทางด้านหลังหนึ่งก้าวมองมินจุนด้วยสายตาอิจฉานิดๆ พูดตามตรงเธอเองก็พอรู้ว่าพาสต้าจานนั้นอร่อยและสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่อาจเป็นเพราะว่าเธอไม่ใช่เชฟ เธอจึงไม่คิดว่ามันจะยอดเยี่ยมถึงขนาดอยู่ในระดับที่ได้สิบคะแนน เธอคิดว่าน่าจะมีอะไรพิเศษอยู่ในนั้น ไม่งั้นคงไม่อร่อยแบบนี้ เมื่อคิดว่ามันเป็นเพราะความแตกต่างของการมีลิ้นที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เกิดกับไม่มีซึ่งเป็นกำแพงที่เธอไม่สามารถข้ามได้ เธอก็รู้สึกต่ำต้อยแม้จะคิดถึงคำที่เอมิลี่เคยบอกแล้วก็ตาม เซร่าพูดว่า
“เอมิลี่ เธอเก่งจัง”
“ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดแบบนี้ล่ะ ขนลุก”
“ตอนที่เห็นประสาทรับรสที่แม่นยำของมินจุนครั้งแรก เธอก็รู้เลยว่าจะต้องมีเหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น แล้วยังเข้าใจความหมายของการมีประสาทรับรสที่แม่นยำได้ทันทีด้วย ฉันเพิ่งจะมาเข้าใจว่ามันคืออะไรก็ตอนนี้เอง มันยิ่งใหญ่กว่าที่ฉันเคยคิดไว้ซะอีก”
“ตอนที่เรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำถูกเผยแพร่ออกไปทำให้มีจำนวนคนดูเยอะขึ้นมาก เหตุผลที่มินจุนมีชื่อเสียงมากกว่าผู้ชนะแกรนด์เชฟสมัยก่อนๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะข่าวรักๆ ใคร่ๆ กับคาย่า แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็เป็นเพราะลิ้นของเขา และอย่างที่บอก…”
“ฉันรู้ อย่าไปอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันได้ มันจะทำให้เราได้แต่อิจฉา โลกการชิมของเราก็มีคุณค่าในแบบของเราเอง”
เซร่าหยุดพูดแล้วเหลือบมองไปทางแอนเดอร์สัน
“แอนเดอร์สันคงจะทรมานใจไม่น้อยเลย เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ได้ดิบได้ดีแบบนั้น มันน่าลำบากใจ”
“นั่นสิ”
“แค่คิดว่าจะไล่ตามยังไงให้ทัน ไหล่ก็หนักอึ้งแล้ว”
เอมิลี่หันไปมองที่แอนเดอร์สันเช่นกัน ตากล้องไม่พลาดที่จะเก็บภาพพวกนั้นเอาไว้ได้หมด และเรเชลก็ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน เรเชลรู้สึกระคายหูเมื่อได้ยินเรื่องแอนเดอร์สัน พอคิดดูแล้วเธอเพิ่งบอกกับมินจุนไปว่าอยากให้เขามาอยู่ในครัวของเธอ แต่กับแอนเดอร์สันที่คอยแสดงน้ำใจต่อเธออยู่ตลอด เธอกลับไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นกับเขาเลย
ฉันละเลยเขามากเกินไปรึเปล่านะ
แต่เธอก็ไม่สามารถตอบแทนทุกคนที่มีน้ำใจกับเธอได้ เพราะมีคนมากมายนับไม่ถ้วนบนโลกนี้ที่ยิ้มให้กับเธอ สิ่งที่เธอพอจะทำคืนให้ได้ก็คงมีเพียงแค่การยิ้มกลับไป ทว่าพอเห็นภาพข้างหลังของแอนเดอร์สันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาเป็นลูกชายของคนที่เธอรู้จักด้วยส่วนหนึ่ง และความมีน้ำใจของเขาที่มีต่อเธอก็ชัดเจนมากเมื่อเทียบกับคนอื่น เจเรมี่หัวเราะแบบเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า
“ทำไม คิดจะเปลี่ยนม้าเหรอ”
“จะต้องให้ฉันพูดเรื่องการใช้คำพูดให้เหมาะสมกับอายุสักกี่รอบ”
“ไม่รู้สิ อาจจนกว่าเธอจะเหนื่อยที่จะพูดคำนั้นล่ะมั้ง”
“ถึงตายก็ไม่ยอมแก้ไขสินะ เฮ้อ! พวกเขายังเด็กกันอยู่เลย เลิกพูดเหมือนกับกำลังพูดถึงเครื่องใช้ในครัวได้แล้ว”
“เครื่องใช้ในครัว?ฉันไม่ได้เป็นเชฟ เธอต่างหากที่ทำแบบนั้น มินจุนนั่นน่ะ ฉันเดาไม่ออกเลยว่าเธอจะเอาเด็กคนนั้นไปเติมเต็มความโลภอะไร แค่เพราะอยากจะกลับมาทำร้านโรสไอส์แลนด์สาขาใหญ่อีกครั้งแค่นั้นเหรอ แล้วเป้าหมายของเธอคือสิ่งนั้นจริงๆ น่ะเหรอ”
“อยากจะพูดอะไรกันแน่”
“ก็มีเรื่องอยากพูดหรอกนะ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดต่อหน้ากล้อง”
เรเชลจ้องเจเรมี่เขม็ง ระหว่างนั้นแอนเดอร์สันก็เดินเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า
“เจเรมี่แกล้งคุณเรเชลอีกแล้วนะครับ”
“ฮ่าๆ ฉันไม่ใช่เด็กประถมขี้แกล้งสักหน่อย จะทำแบบนั้นไปทำไมกัน”
“ถึงจะไม่ใช่เด็กประถมแล้ว แต่คุณดูเป็นคนชอบแกล้ง”
“ตายล่ะ โดนจับได้ซะแล้ว”
เจเรมี่แกล้งทำหน้าตกใจเกินจริง แอนเดอร์สันถอนหายใจให้กับการล้อเล่นของเขา ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันแบบนั้น มินจุนก็เดินดูรอบๆ ครัวไม่หยุด อาจเป็นเพราะมีอลันกับตากล้องอยู่ด้วยหรือไงนะ พวกเชฟถึงได้ถือกระทะแล้วทำหน้าตื่นเต้นกว่าปกติ อลันพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นว่า
“อย่างที่เคยบอก ผมเคยอยากพาคุณมาทำงานในครัวนี้จริงๆ จำวันที่รู้เรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำของคุณครั้งแรกได้มั้ย”
“คงจะลืมได้ยาก ทั้งสำหรับผมเอง แล้วก็สำหรับคนอื่นๆ ด้วย”
“ตอนนั้นเอมิลี่เสนอให้คุณมาเป็นนักชิมอาหาร ส่วนผมบอกคุณว่าอย่าหวั่นไหวให้กับสิ่งเย้ายวนนั้น”
เอมิลี่หันมามองเมื่อมีคนเอ่ยชื่อตัวเอง อลันจึงทำหน้าเจื่อนและเบาเสียงลงจนแทบจะกระซิบ
“ตอนนั้นคุณเคยบอกว่าคุณรู้จักความสุขของการทำอาหารและไม่มีวันที่จะหวั่นไหว ผมยังบอกอีกว่าหนทางที่ยากลำบากของการเป็นเชฟจะทำให้คุณเหนื่อย”
“ครับ”
“ผมหวังว่าความคิดนั้นจะยังไม่เปลี่ยนไป เพราะแม้การทำรายการที่เกี่ยวกับอาหารจะเหนื่อย แต่มันก็ยังสบายกว่าเมื่อเทียบกับงานจริงๆ ในครัว ถ้าได้เรียนจากอาจารย์เรเชลอย่างน้อยก็คงจะไม่เหนื่อยใจเรื่องที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้าน แต่ก็คงไม่ใช่ช่วงเวลาแสนหวานเหมือนกับตอนนี้หรอก อาจจะเป็นเวลาแห่งความเค็มก็ได้ แม้จะมีอาหารที่รสเค็มกว่าที่คุณคิดเข้ามาในปาก ผมก็หวังว่าคุณจะไม่คายมันทิ้งนะครับ”
เมื่ออลันพูดจบคาย่าก็แทรกขึ้นมา เธอพูดด้วยสีหน้าเหมือนกำลังเคี้ยวลูกพลับฝาดๆ
“ทำไมถึงได้ดูถูกมินจุนแบบนี้ล่ะคะ”
“ไม่ได้ดูถูกครับ คาย่า ผมพูดเพราะไม่อยากให้เส้นทางของเขาต้องพังลงเพราะความผิดหวังระหว่างโลกแห่งความจริงกับจินตนาการ”
“ก็นั่นแหละค่ะ คุณคิดว่ามินจุนจะแพ้ให้กับความผิดหวังนั้น ไม่มีทางหรอก มินจุนไม่มีทางออกจากครัวแน่นอน”
“ทำไมถึงได้คิดแบบนั้นล่ะ”
“เพราะมินจุนทนฉันได้”
คาย่าพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกับโมโห ไม่สิ เธอกำลังโมโหอยู่จริงๆ แม้จะรู้ว่าอลันพูดแบบนี้ก็เพื่อตัวของมินจุนก็ตาม แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่ชอบให้ใครมามองว่าเขาอ่อนแออยู่ดี
“เขาสามารถทนเด็กที่เอาแต่ใจและขี้โมโหแบบฉันได้ แล้วจะทนงานในครัวแค่นั้นไม่ไหวได้ยังไง มินจุนตั้งใจและอดทนมากกว่าที่คุณคิดซะอีก แถมยังเป็นลูกผู้ชายด้วย เขาไม่วิ่งหนีเส้นทางที่เขาเลือกแล้วหรอก”
“คาย่า”
อลันพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงใจเย็น เขาเลียปากอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยเสียงเบาๆ ว่า
“ผมเคยหนีมาแล้ว…ครั้งหนึ่ง หนีจากในครัว”
ถ้าเป็นคนปกติคงจะนิ่งฟังคำที่ยากจะพูดออกมาได้แบบนั้น แต่ดูเหมือนคาย่าอยากที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่ามินจุนไม่ใช่คนอ่อนแอ เธอมองมินจุนราวกับจะร้องไห้ เหมือนคิดว่ามันไม่ยุติธรรม
“นี่ ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
“อลันก็แค่เป็นห่วง อย่าว่าเขาเลย”
“หมายความว่านายไม่ทำอาหารก็ไม่เป็นไรงั้นเหรอ”
“เขาไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย เขาแค่บอกว่าถ้าลำบากก็อย่าทำแบบนั้นต่างหาก”
“แต่ฉันว่ามันไม่ใช่”
คาย่าทำหน้าบูดบึ้ง รอยพับเหนือริมฝีปากสะท้อนแสงเงาวับ ไม่รู้ว่าเธอทาลิปกลอสหรือว่าปากของเธอฉ่ำแบบนั้นเป็นปกติ
“นายไม่เคยโกหกฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ก็ไม่จำเป็นต้องโกหกนี่นา”
“แล้วนายก็เคยบอกฉันว่าอยากจะเปิดร้านอาหาร อยากทำอาหารไปตลอดชีวิต นายบอกเองนี่”
คาย่าสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังสูดน้ำมูก ก่อนระบายลมหายใจอุ่นๆ ออกมาจากปาก แล้วเธอก็ถามออกมาว่า
“คิดจะโกหกฉันเหรอ”
คำพูดเหมือนเด็กๆ แต่เขาไม่รู้สึกเกลียดคำพูดนั้น คงเป็นเพราะมีจิตใจที่งดงามและดีงามแฝงอยู่ในคำพูดของเธอ แต่สิ่งที่แฝงอยู่กับคำพูดของอลันก็สวยงามเหมือนกัน
“ไม่โกหกหรอก ไม่เลิกทำอาหารด้วย แล้วก็อลัน ผมขอสัญญาว่าผมจะไม่หยุดจนกว่าจะมีร้านอาหารที่ดีที่สุด อย่าห่วงไปเลยครับ”
“พูดถึงขนาดนี้ผมก็สบายใจขึ้น”
“ว่าแต่ที่บอกว่าหนีออกจากครัว…”
“คุณคิดว่าน่าจะเป็นตอนไหนล่ะ”
อลันยิ้มและถามกลับ มินจุนจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“หรือว่าเป็นตอนที่เริ่มเรียนกับคุณเรเชลเป็นครั้งแรก…”
“เปล่า ตรงข้ามเลย ตอนนั้นยังมีความหวัง การได้เป็นซูเชฟ*กับการเป็นหัวหน้าเชฟมันเป็นคนละเรื่องเลย ถ้าได้เป็นแค่ซูเชฟก็คงไม่เจอความลำบากเหมือนตอนนี้ และคงสามารถอยู่ในครัวได้อย่างเพลินใจมากกว่านี้”
“ยังไงเหรอครับ”
พอมินจุนถามกลับเหมือนไม่เข้าใจ อลันจึงยิ้มกว้างแล้วหันไปมองเรเชล ก่อนจะพูดต่อราวกับกำลังย้อนนึกถึงความหลัง
“ความหวังก็เป็นเหมือนกับรอยเท้าที่เราสร้างขึ้นตรงหน้าของเรา ตอนที่เป็นซูเชฟผมรู้สึกอุ่นใจมากเพราะผมคือลูกน้อง แต่พอมาเป็นหัวหน้าเชฟบางอย่างก็เปลี่ยนไป…”
อลันยักไหล่ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พอได้มาเป็นหัวหน้าเชฟถึงได้รู้ว่าตำแหน่งนี้ไม่ได้สบายที่สุด เพราะมันมีความรับผิดชอบมากมายอยู่บนบ่า ถ้าเข้าไปดูตามอินเตอร์เน็ตคงเคยเห็นภาพของหัวหน้าเชฟที่ตะโกนอยู่ในครัวเหมือนคนบ้า คุณคิดว่ายังไงล่ะ มินจุน”
“หัวหน้าเชฟที่เอาแต่ตะโกนเป็นพวกห่วยแตกไม่ใช่เหรอคะ”
คาย่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แอนเดอร์สันจึงพูดแทรกขึ้นมาว่า
“พวกเชฟนิสัยแย่ๆ ก็มีเยอะ แต่สาเหตุที่ทำให้บรรยากาศในครัววุ่นวายแบบนั้นไม่ใช่เพราะนิสัยของหัวหน้าเชฟอย่างเดียวหรอกนะ”
“แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตะโกนเสียงดังแบบนั้นนี่นา ถึงแม้ฉันจะเข้าใจก็เถอะนะ เอาเข้าจริงๆ ถ้าฉันได้เป็นหัวหน้าเชฟฉันก็คงจะกลายเป็นไฮยีน่าเหมือนกัน”
“เธอคิดว่าตัวเองจะได้เป็นหัวหน้าเชฟเหรอ”
“ก็คิดล่วงหน้าเอาไว้ก่อน ไม่ได้เหรอไง”
คาย่าขมวดคิ้วแล้วมองไปที่มินจุน แต่สายตาของมินจุนกำลังมองไปที่อลัน
“ผมพอจะเข้าใจที่คุณพูดแล้ว พอได้เป็นหัวหน้าเชฟก็ต้องอึดอัดใจ เพราะต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการตะโกนเสียงดังเพื่อสั่งการในครัว ไม่มีวันไหนที่จะสบายใจ”
“ก็ทำนองนั้น แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก การเป็นหัวหน้าเชฟต้องสนใจเรื่องยอดขายและรายได้ของร้านด้วย แถมยังต้องคิดเมนูใหม่ๆ ออกมาตลอด รสชาติก็ต้องกินได้จริง ไม่แปลกจนเกินไป และไม่ทำให้ลูกค้าประจำต้องผิดหวัง”
อลันถอนหายใจและส่ายหน้า
“สำหรับผมมันยังคงเป็นเรื่องที่ยาก คนรู้จักส่วนใหญ่มักพูดว่าได้มิชลินสองดาวมาแล้ว จะมีอะไรให้กังวลอีก แต่ผมก็ยังปรับตัวให้ชินกับความหนักใจนี้ไม่ได้สักที แต่ละวันเหมือนอยู่ในสงคราม ในครัวเรียบร้อยดีมั้ย วัตถุดิบมาส่งครบรึเปล่า ลูกค้าบ่นอะไรมั้ย ถ้ามีคนบ่นก็แปลว่าอาหารของเรามีปัญหา ต้องหาทางแก้ไข และมีอีกหลายอย่างให้คิด ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดหัว”
“ผมเข้าใจว่าคุณพูดถึงอะไร”
มินจุนนึกถึงคำพูดของเรเชลที่ว่าการทำอาหารยังเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ ขนาดเรเชลยังเป็นแบบนั้นแล้วอลันจะเป็นยังไง คงเหมือนการขุดดิน ยิ่งขุดลงไปจนลึกก็จะยิ่งขุดได้ลำบาก ถ้าเขาไปทำงานกับเรเชลหลังจบรายการนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่มีเวลาได้เจอเชฟคนอื่นๆ มากนัก ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็อยากหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด แม้ต่อไปจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากเรเชลก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าอลันน่าจะมีสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนกัน อลันพูดว่า
“สุดท้ายแล้วสิ่งที่รับมือได้ลำบากที่สุดก็คือจิตใจ พนักงานออฟฟิศมักจะเครียดกับเรื่องเจ้านายหรือเรื่องติดต่อบริษัทคู่ค้า แต่พวกเราได้รับความเครียดจากลูกค้าโดยตรง แปลกนะที่สิ่งที่ทำให้เชฟทุกข์ใจกลับเป็นลูกค้า และสิ่งที่เชฟรักที่สุดและอยากได้รับความรักมากที่สุดก็คือลูกค้าอีกเหมือนกัน”
“ลูกค้าที่ชอบหาเรื่อง เราก็คิดซะว่านั่นไม่ใช่ลูกค้าสิคะ”
“ลูกค้าที่ชอบหาเรื่องเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอกนะ ลูกค้าที่เคยพูดจาดีและยิ้มให้มาตลอด แต่วันหนึ่งหลังจากกินอาหารแล้วก็เดินหน้าบึ้งออกจากร้านไปโดยไม่กลับมาอีก แล้วไปเขียนระบายความผิดหวังที่มีต่อร้านอาหารลงในบล็อก มันเป็นบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่เชฟจะต้องเจอ รู้สึกไม่ต่างจากการสูญเสียคนรักเลย”
คำพูดที่อลันพรั่งพรูออกมาทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง แต่แล้วอลันก็ตบมือก่อนจะพูดต่อ
“แน่นอนว่าที่ผมพูดไปเป็นเพียงเรื่องราวในด้านมืดเท่านั้น ยังมีรอยยิ้มและคำชมต่างๆ มากมายที่ช่วยปลอบใจ แต่ถึงแม้จะมีความสุขแค่ไหน การถูกโจมตีเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้เราเจ็บได้ ดังนั้นถ้าไม่อยากเจ็บก็ต้องไม่อ่อนแอ พวกคุณอ่อนแอหรือเข้มแข็งล่ะ”
ไม่มีใครตอบว่าเข้มแข็ง คนเรามักเป็นแบบนี้ แม้จะมีคนที่เสแสร้งว่าตัวเองเข้มแข็งอยู่มากมาย แต่คนที่เข้มแข็งจริงๆ มีเพียงไม่กี่คน แน่นอนว่าอาจมีคนที่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่มินจุน คาย่า และแอนเดอร์สันไม่ได้ไม่รู้จักตัวเองถึงขนาดนั้น และในตอนนั้นเองมาร์ตินก็ส่งสัญญาณ อลันจึงหลับตาลงสักครู่ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า
“ถ้าไม่แน่ใจ อยากจะลองเทสต์ดูสักหน่อยมั้ยล่ะ”
“เทสต์อะไรเหรอคะ”
“เข้ามายืนในครัวของผมสิ”
อลันชี้ไปที่พาสต้าที่แหว่งไปครึ่งหนึ่ง
“สูตรของพาสต้าจานนั้น ผมจะสอนให้หมดเปลือกก่อนจะถึงเวลาเย็น พวกคุณมั่นใจที่จะพิสูจน์มันให้ลูกค้าที่จะมาทานมื้อเย็นเห็นมั้ย”
“พิสูจน์อะไรเหรอคะ”
คาย่าถามกลับด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย
“ว่าพวกคุณคือเชฟ”
Related
Comments
