• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทนำ-6

     

     

    ภาคที่ 1

    เมื่อครั้งเป็นศิษย์สำนักศึกษา

     

     

    บทนำ

    ลงเขา

    ใดๆ ในโลกล้วนสัมพันธ์กัน

    ผืนพิภพจงถู่ (แผ่นดินกลาง) ถูกกั้นด้วยมหาสมุทร พาให้อยู่ตรงข้ามห่างไกลจากเกาะต้าซี (ทวีปประจิม) ลักษณะพื้นที่ฝั่งตะวันออกค่อนข้างสูง ท้องฟ้าของที่นั่นจึงดูเหมือนสูงตามไปด้วย เมฆหมอกเหนือมหาสมุทรและผืนแผ่นดินลอยสูงเด่นและล่องลอยไปยังทิศทางนั้นไม่หยุด ท้ายที่สุดก็รวมตัวอยู่ด้วยกัน ตลอดทั้งปีมิได้กระจายหายไป

    ที่นี่คือสุสานเมฆา

    สุสานของหมู่มวลเมฆาทั้งหมดบนโลกใบนี้

    ณ ส่วนลึกที่สุดของสุสานเมฆามียอดเขาสูงโดดยอดหนึ่ง ปลายยอดทะลึ่งพุ่งทะลุฟ้า ไม่รู้ไปสิ้นสุดแห่งหนใด

    ตามตำนานเล่าขาน โลกของเรานี้ประกอบไปด้วยผืนพิภพห้าผืน ทุกผืนพิภพล้วนมีทิวทัศน์แตกต่างกันออกไป มีเพียงทวยเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์และผู้มีพลังชีวิตแกร่งกล้าถึงจะมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมด แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดานั้น ตำนานก็คือตำนาน พวกเขามิรู้ด้วยซ้ำว่าผืนพิภพที่เหลืออยู่แห่งใด มิรู้ว่าจะไปเช่นไร และมิรู้ว่ายอดเขาสูงโดดที่อยู่ในสุสานเมฆาคือหนทางไปสู่ผืนพิภพผืนอื่น

    เป็นธรรมดาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ยลทิวทัศน์บนยอดเขานั่น ก้อนเมฆซึ่งเรียงตัวเป็นชั้นๆ เงียบสงบราวกับผ้าไหมสีขาวที่แผ่กระจายไปทั่วสารทิศ ประหนึ่งไม่มีจุดหมายปลายทาง เหนือขึ้นไปคือห้วงว่างเปล่าสีดำอันไม่มีที่สิ้นสุด บนนั้นมีดวงดาวนับไม่ถ้วน

    ทันใดนั้นพลันมีดวงดาวสองดวงเปล่งแสงสว่างสุกใสขึ้นมาในห้วงว่างเปล่า มันสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ และมุ่งเข้ามาใกล้ชั้นเมฆสีขาวราบเรียบอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อดวงดาวทั้งสองมาถึงประชิดชั้นเมฆจึงมองเห็นได้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วดวงดาวทั้งสองดวงคือดวงไฟบริสุทธิ์ของทวยเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์

    ผ้าไหมสีขาวที่กั้นระหว่างห้วงว่างเปล่ากับโลกถูกตัดขาด ราตรีกระจายตัวออกคล้ายกับใยแมงมุม แต่ชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นดังเดิม

    ดวงไฟบริสุทธิ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองดวงคือการแสดงปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ปรากฏขึ้นในห้วงว่างเปล่าแล้วข้ามผ่านมาอยู่ในโลกจริง อากาศที่เบาบางถูกดวงไฟคู่นั้นเผาไหม้ไม่หยุดจนเปลี่ยนรูปร่างไปต่างๆ นานา

    นั่นมิใช่ดวงไฟแห่งทวยเทพ แต่เป็นเพียงดวงตาของมันเท่านั้น

    เพราะโลกบังเกิดวิกฤตการณ์ยากสงบสุขครั้งใหญ่หลวง ดวงตานี้จึงมิหยุดส่องสว่าง บนฟ้าปรากฏเงาดำดังเทือกเขาสายหนึ่ง ช่องว่างในอากาศเริ่มบีบอัด แปรเปลี่ยนเป็นรูปทรงโค้ง

    มังกรทองยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏตัวระหว่างริ้วเมฆ

    ดวงอาทิตย์สีแดงที่อยู่ไกลออกไปถูกร่างอันใหญ่โตของมันบดบังจนมิด โลกด้านบนของชั้นเมฆซึ่งไพศาลกว้างไกลหลายหมื่นหลี่ มืดสลัวลงเพราะเหตุนี้ อากาศหนาวเย็นขึ้นฉับพลัน หยดน้ำในก้อนเมฆเริ่มกลายเป็นผลึกและส่องสะท้อนแสงเล็กละเอียดออกมานับไม่ถ้วน มันแปรเปลี่ยนเป็นผลึกใสที่มีแสงแปลกประหลาดระยิบระยับ ฟ้าดินเปลี่ยนสีไปเพราะความน่าเกรงขามนั่น

     

    มังกรยักษ์ทองคำมองลงมายังโลกนี้ด้วยแววตาเฉยเมย

    ทิวทัศน์เบื้องล่างมันเคยเห็นมาแล้วหลายต่อหลายครา

    มังกรทองยักษ์บินอยู่บนฟ้ามุ่งไปยังยอดเขาสูงโดด เมื่อมันมาถึงร่างกายใหญ่โตมโหฬารนั้นก็จมลึกลงไปในเมฆหมอกจนยากจะมองเห็น เมฆหมอกที่มากมายจนดูไร้สิ้นสุดถูกร่างใหญ่โตของมันแหวกออก ขอบผาของยอดเขาเต็มไปด้วยก้อนหินวางซ้อนกันสูงชันอย่างยิ่ง และไม่มีพืชพรรณใดๆ แม้แต่ตะไคร่น้ำ ทั่วบริเวณเงียบสงัดประหนึ่งสุสานก็มิปาน

    มันบินผ่านเมฆหมอกหนาลึกไปเช่นนี้วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า มิรู้ว่าแท้จริงแล้วมันบินมาไกลเท่าไร ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้มันก็ยังคงอยู่กลางเมฆหมอก ไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตใดๆ ทว่าเห็นได้รางๆ ว่าขอบผาเริ่มมีตะไคร่น้ำ ส่วนเมฆหมอกก็ดูหนาหนักมากยิ่งขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะร่างของมันได้กระทบเมฆหมอกบริเวณนั้นทำให้ละอองน้ำที่เกาะกันในเมฆเปลี่ยนเป็นหยดน้ำ อากาศจึงชุ่มชื้นขึ้นมา

    มังกรทองยักษ์มิได้สนใจต่อการเปลี่ยนแปลงนี้แต่อย่างใด มันมุ่งบินไปข้างหน้าต่อ

    พืชพรรณในยอดเขาสูงโดดเริ่มปรากฏมากยิ่งขึ้น เมฆหมอกก็ชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น จากหยดน้ำที่หยดลงบนยอดผาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำสายเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน สายน้ำเหล่านั้นไหลรินลงระหว่างช่องผา บางส่วนร่วงหล่นลงไปในหมอก

    มังกรทองยักษ์มองไปยังสายน้ำนับไม่ถ้วนที่ไหลรินไม่ขาดสายจากยอดเขานี้ แววตาของมันมีสมาธิและจริงจังยิ่งขึ้น ดวงไฟเทพในดวงตาทั้งสองก็นิ่งสงบยิ่งขึ้น

    นี่คือสุสานของเมฆทั้งมวล

    และก็คือแหล่งกำเนิดของน้ำทั้งหมดอีกด้วย

    ในบรรดาสายน้ำนับไม่ถ้วนที่ไหลลงไป มันจ้องมองเพียงสายหนึ่งในนั้น

    มังกรทองยักษ์ซึ่งอยู่กลางเมฆหมอกบินโฉบลงไปอย่างเงียบเชียบ มันผ่านวันและคืนมาแล้วนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเป็นความซ้ำซากไร้สิ้นสุดตลอดกาล ทว่า ณ เวลานี้…หมอกที่อยู่ตรงหน้าของมันได้กระจายออกแล้ว

    เบื้องหน้าหมอกที่กระจายออกก็คือพื้นผิวโลก

    ระยะห่างระหว่างเมฆหมอกกับพื้นดินมีเพียงห้าฉื่อ เทียบได้กับความสูงของคนหนึ่งคนพอดิบพอดี หากราวกับเป็นความตั้งใจรังสรรค์ของผู้สร้าง เพราะผืนแผ่นดินกับเมฆหมอกที่ห่างกันเพียงห้าฉื่อนี้กลับดูกว้างไกลไพศาลราวกับจะทะลุไปถึงดินแดนอันไกลโพ้น ที่แห่งนี้มีแสงสว่างจางๆ แม้จะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ บนพื้นดินมีลำธารไหลรินนับไม่ถ้วน

    เมื่อหมอกที่อยู่ด้านหน้าของศีรษะมังกรทองยักษ์กระจายออกไปจนหมดก็ปรากฏพื้นดินกับลำธารเล็กสายนั้น

    ลำธารสายเล็กจากเมฆชื้นในยอดเขาสูงโดด สายน้ำใสสะอาดสงบเยือกเย็น ในลำธารมีอ่างไม้ใบหนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ ในอ่างมีผ้าป่านอยู่หลายชั้น บนผ้าป่านมีเด็กทารกอยู่คนหนึ่ง

    ใบหน้าของเด็กทารกมีสีคล้ำเล็กน้อย

    เด็กน้อยหลับตาพริ้ม ชัดเจนว่าเพิ่งคลอดออกมา

     

    หมอกเหนือลำธารประหนึ่งดอกไม้บาน ผลิกลีบนับไม่ถ้วน เบียดเสียด พรั่งพรู กระจัดกระจาย ส่งเสียงดังซี่ๆ พลันศีรษะมังกรทองยักษ์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าพระราชวังก็ค่อยๆ ยื่นออกจากหมอกมายังลำธารสายเล็ก

    ผิวน้ำกับเมฆหมอกก็มีระยะห่างห้าฉื่อเช่นกัน ซึ่งสำหรับมันแล้วช่างแคบอย่างยิ่ง

    ร่างของมังกรทองยักษ์ยังซุกซ่อนอยู่ในเมฆหมอก

    บางส่วนของศีรษะมังกรก็ซุกซ่อนอยู่ด้วย มันปรากฏกายอย่างน่าเกรงขาม ลึกลับ และน่าหวาดกลัว

    มังกรทองยักษ์จ้องมองที่ผิวน้ำอย่างเงียบๆ

    อ่างไม้ยังคงลอยขยับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในสายน้ำ

    กลางอ่างไม้มีสิ่งเล็กๆ ที่ถูกทอดทิ้ง สิ่งนั้นกำลังหลับตา…ทารกแรกเกิดที่ใบหน้ามีสีคล้ำ

    หมอกค่อยๆ กระจายหายไป ทุกสิ่งกลับมาเงียบสงบดังเดิม

    ทว่าความเงียบสงบนี้กลับคงอยู่เพียงชั่วคราว…ในส่วนลึกของเมฆหมอก พื้นที่โดยรอบยอดเขาสูงโดดพลันเกิดเสียงแหลมโหยหวนเหลือคณาดังขึ้น เป็นเสียงกู่ร้องและเสียงคำรามอันน่าหวาดกลัว!

    เดิมคิดว่าในโลกนี้จะมีเพียงความเงียบเหงาไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ แต่แท้จริงแล้วมันกลับซุกซ่อนไปด้วยสรรพสัตว์มากมาย เสียงกระพือปีกดังอยู่ในหมอกทุกหนทุกแห่ง เสียงอาชาเขาเดี่ยววิ่งสับสนอลหม่านชนต้นไม้ใหญ่อายุนับหมื่นปีหักสะบั้น เสียงกังวานใสของหงส์

    เส้นแสงเจิดจ้าราวอัคคีสายหนึ่งแผ่ขยายจากริมน้ำไปยังขอบฟ้า ทุ่งหญ้าอันชุ่มชื้นแปรเปลี่ยนเป็นแห้งผากในทันใด แม้แต่วัชพืชในน้ำที่อยู่รอบๆ ยังม้วนขดตัวขึ้นมา

    นัยน์ตาของมังกรทองยักษ์ยังคงไร้ความรู้สึกๆ ใด ช่างสูงส่ง เย็นชา ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดในใต้หล้า

    ข้างล่างเมฆหมอกมีสรรพสัตว์กำลังวิ่งพล่าน แต่มันมิได้สนใจ แม้แต่หงส์ตัวนั้นมันก็มิได้สน มันจ้องเขม็งไปยังลำธารสายเล็กนี้ จ้องไปยังอ่างไม้ที่อยู่บนผิวน้ำ ยอดเขาสูงโดดมีสายธารไหลรินลงมานับไม่ถ้วน แต่มันจ้องมองเพียงลำธารสายนี้เท่านั้น ผ่านไปสามหมื่นปีมันมายังโลกนี้อีกครั้งเพื่อมาดูเด็กทารกในอ่างคนนี้ แล้วจะให้ละสายตาไปได้อย่างไร

    เส้นแสงเรียววาดลงมาอีกอย่างช้าๆ เส้นแสงนี้ภายนอกเป็นสีทอง ภายในเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดูศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับมีแสงในตนเอง ส่วนปลายเส้นแสงนั้นตรงและเล็ก ส่วนหลังหนาขึ้นเล็กน้อย ดูไปดูมาประหนึ่งต้นแขนที่เกลี้ยงเกลาสวยงาม แสงวาวที่กระจ่างออกมาจากด้านในยิ่งเพิ่มความงดงามให้มันยิ่งขึ้น

    เส้นแสงนี้คล้ายทองและหยก ชวนให้คิดว่าคงจะหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่จริงแล้วเบามาก มันแกว่งไกวไปมาตามสายลมบนผิวน้ำคล้ายกำลังเต้นระบำก็มิปาน มันปรารถนาอยากจะสัมผัสอ่างไม้เพียงเบาๆ แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวมันก็ชักกลับมา

    นั่นคือหนวดของมังกรทองยักษ์

    ณ เวลานี้ดวงไฟเทพในนัยน์ตามังกรทองยักษ์แปรเปลี่ยนไปไม่มั่นคงดังเดิม ความเฉยเมยถูกการไตร่ตรองเข้ามาแทนที่ คล้ายกับว่ากำลังลังเลสิ่งใดอยู่ หนวดทั้งสองเส้นของมังกรเหมือนนิ้วมืออ่อนนุ่มค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาขอบอ่างไม้เหนือลำธารคล้ายจะลูบคลำ ทว่าที่จริงแล้วยังมิได้ทำอันใด

    มังกรทองยักษ์ตัวนี้ใช้ชีวิตข้ามผ่านกาลเวลามายาวนาน มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจนยากจะจินตนาการ ทว่าดูเหมือนอ่างไม้นี้จะเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้สำหรับมัน

    ความสับสนในนัยน์ตายิ่งทวีมากขึ้น

     

    มีความกระหาย มีความระวัง และมีความลังเล สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นดิ้นรน บางทีไม่เจตนา บางทีตั้งใจ แรงลมเหนือลำธารเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่หนวดของมันสัมผัสถูกอ่างไม้ กระทั่งเฉียดผ่านใบหูของทารกน้อยในอ่าง!

    การสัมผัสแผ่วเบานี้กลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรง ดวงไฟเทพในนัยน์ตาของมังกรทองยักษ์ระเบิดออกเป็นดวงดาวมากมาย มหาสมุทรแห่งดวงดาวพลันอุบัติขึ้นในดวงตามัน ความรู้สึกเย็นชาพรั่งพรูออกมามิปิดบัง หรือกล่าวอีกอย่างก็คือความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความละโมบ!

    ความปรารถนาเช่นนี้สมควรแก่การยกย่องชื่นชม

    มันทำให้ชีวิตขับเคลื่อน และมันก็ถูกชีวิตขับเคลื่อนด้วยเช่นกัน

    สัญชาตญาณดั้งเดิมของคนเราก็คือความปรารถนาเช่นนี้

    มังกรทองยักษ์จ้องมองอ่างไม้บนผิวน้ำและอ้าปาก ลมหายใจของมันสากระคายราวกับพ่นเอาหยกละเอียดออกมา

    ทารกในอ่างยังคงหลับตา ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดสิ่งใดขึ้น

    ลำธารถูกเงามืดของมังกรปกคลุม

    ลมหายใจของมังกรรดลงมารอบๆ อ่างไม้

    อ่างไม้และทารกในอ่างกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นอาหารของมังกรทองยักษ์

    ณ เวลานี้เอง

    มีมือหนึ่งข้างได้คว้าจับด้านข้างอ่างไม้แล้วลากไปยังริมธาร!

    เป็นมือที่เต็มไปด้วยรอยแผล บางส่วนอ่อนแรงและลีบเล็ก

    เสียงน้ำในลำธารดังซื่อซ่า หยดน้ำกระเซ็น มือนั้นกำลังลากอ่างไม้ไปยังริมธารอย่างสุดชีวิต

    เจ้าของมือนั้นคือนักพรตน้อยอายุสามสี่ปีคนหนึ่ง

    นักพรตน้อยลากอ่างไม้ไปยังริมธาร

    นั่นเป็นนักพรตน้อยที่แปลกประหลาดคนหนึ่ง

    ตาข้างหนึ่งของนักพรตน้อยมองไม่เห็น หูขาดไปหนึ่งข้าง ยามวิ่งสุดชีวิตในธารน้ำก็มองออกว่าขาพิการข้างหนึ่ง มองไปยังแขนเสื้อที่ปลิวสะบัด แม้แต่แขนก็มีเพียงข้างเดียว

    ด้วยเหตุนี้นักพรตน้อยจึงต้องเอาอ่างไม้ซ่อนไว้ด้านหลังตนเอง ก่อนชักกระบี่ไม้ออกมา

    ยามจ้องมองมังกรทองยักษ์เหนือผิวน้ำ นักพรตน้อยใบหน้าขาวซีด นี่หาใช่เพราะความเย็นยะเยือกของลำธาร แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวที่เกาะกุมในใจต่างหาก

    เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมังกรตัวเป็นๆ แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามังกรคืออะไร เขารู้เพียงกำลังหวาดกลัว แต่กลับไม่หลีกหนี เพียงถือกระบี่ไม้ที่เปราะบาง ใช้ร่างบังอ่างไว้แนบชิด

    มังกรทองยักษ์จ้องมองนักพรตน้อยอย่างเฉยเมย มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งศักดิ์สิทธิ์และแกร่งกล้าเท่านั้นถึงจะมองเห็นความโกรธเกรี้ยวและเย็นชาลึกๆ ในดวงตาของมันได้

    นักพรตน้อยตะโกนร้องเรียกด้วยสีหน้าขาวซีด

    ความโกรธของมังกรทองยักษ์ปะทุขึ้นมา ลมหายใจของมังกรแผ่คลุมธารน้ำทั้งสองฝั่ง ความตายกำลังจะมาถึง

    กระบี่ไม้ในมือของนักพรตน้อยร่วงหล่นลง เขาหันกลับไปกอดอ่างไม้เอาไว้แน่น

     

    เกล็ดบนตัวของมังกรทองยักษ์เสียดสีกับหมอก กระเซ็นออกเป็นลูกไฟนับไม่ถ้วน ลำธารเริ่มลุกไหม้

    ยามนี้เองพลันปรากฏนักพรตวัยกลางคนขึ้นริมลำธาร

    นักพรตวัยกลางคนจ้องมังกรทองยักษ์เหนือผิวน้ำอย่างสงบนิ่ง

    เพลิงสวรรค์ที่อยู่เหนือแม่น้ำพลันดับไป

    มังกรทองยักษ์จ้องมองนักพรตวัยกลางคนผู้นั้นและส่งเสียงคำรามคราหนึ่ง!

    เสียงคำรามคราหนึ่งนี้ยาวนานคล้ายจะไม่หยุดพัก ช่างเป็นเสียงที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ครั้นได้ฟังก็เหมือนดนตรีที่วุ่นวายสับสน ราวกับเสียงธรรมชาติของลมพายุที่น่ากลัว ยากที่จะจินตนาการถึงอานุภาพของพลังที่เปล่งออกมา!

    นักพรตวัยกลางคนจ้องมองมังกรทองยักษ์แล้วเอ่ยเพียงหนึ่งคำ

    มันคือเสียงหนึ่งพยางค์ เป็นเสียงแปลกประหลาดยากเข้าใจ ฟังแล้วไม่เหมือนภาษาของมนุษย์ธรรมดา คล้ายกับแฝงความหมายมากมายเอาไว้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ!

    มังกรทองยักษ์เข้าใจสิ่งนี้ แต่มันไม่ยอมรับ

    ด้วยเหตุนี้หมอกเหนือผิวน้ำจึงเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

    มันพ่นลมหายใจออกไปทุกหนทุกแห่ง ชั่วพริบตาป่าไม้และทุ่งหญ้าริมแม่น้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งไฟที่น่าหวาดกลัว

    นักพรตน้อยผู้นั้นหันหลังให้ลำธารและไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เขาเพียงก้มศีรษะลงอย่างหวาดกลัว หลับตาและโอบอ่างไม้แน่น

    มิรู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดริมลำธารก็เงียบสงบลง

    นักพรตน้อยปลุกความกล้าหาญเพื่อหันหลังกลับไปมอง เปลวไฟที่ริมฝั่งลำธารมอดสนิทแล้ว เหลือเพียงเศษไม้และก้อนหินที่แตกกระจายเพราะถูกแผดเผา ซึ่งบรรยายความน่ากลัวของการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไว้

    ในส่วนลึกของเมฆหมอกมีเสียงคำรามของมังกรดังแว่วมา ในเสียงคำรามเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่ยินยอม และผิดหวังเสียใจ มันกำลังประกาศก้องโลกทั่วผืนพิภพทั้งห้า เพราะความลังเลของตนก่อนหน้านี้จึงนำความเศร้าโศกเสียใจเช่นนี้มา

    นักพรตน้อยตกใจคราหนึ่ง ก่อนใช้มือที่มีเพียงข้างเดียวโอบอ่างไม้ปีนป่ายอย่างทุกลักทุเลขึ้นสู่ฝั่ง เขาเดินไปข้างกายนักพรตวัยกลางคน และมองไปยังส่วนลึกของเมฆหมอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ นักพรตวัยกลางคนยกมือปัดเปลวไฟที่หัวไหล่ให้ดับลง

    นักพรตน้อยนึกขึ้นได้ และยกอ่างไม้ขึ้นอย่างยากลำบาก

    นักพรตวัยกลางคนยื่นมือไปยังอ่างไม้และโอบอุ้มเด็กทารกขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนใช้นิ้วมือขวาแตะร่างของทารกผ่านผ้าห่อ ชั่วครู่หัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น

    “โชคชะตาของเจ้า…ช่างไม่ดีจริงๆ” เขาจ้องมองทารกที่ถูกผ้าป่านห่อไว้ กล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ

    ทางด้านตะวันออกของผืนพิภพจงถู่มีเมืองเล็กๆ เรียกว่าซีหนิง นอกเมืองมีแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่ง ริมแม่น้ำมีภูเขาลูกหนึ่ง บนเขามีวัดแห่งหนึ่ง ในวัดกลับไม่มีพระ ที่แห่งนี้มีเพียงนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นำลูกศิษย์สองคนฝึกบำเพ็ญเพียรศึกษาสัจธรรม

     

    ภูเขานี้คือเขาเขียวชอุ่มที่ไม่มีชื่อ วัดก็เป็นวัดพุทธเก่าร้าง ศิษย์ทั้งสองคนโตนามว่าอวี๋เหริน คนเล็กนามว่าเฉินฉางเซิง

    เมืองซีหนิงตั้งอยู่ในเขตแดนแคว้นต้าโจว เมื่อแปดร้อยปีก่อนต้าโจวบัญญัติให้ศาสนาเต๋าเป็นศาสนาหลวงประจำแผ่นดิน จนถึงรัชศกเจิ้งถ่งในปัจจุบันศาสนาหลวงก็เผยแผ่ดูแลไปทั่วหล้า ทุกพื้นที่ต่างให้ความเลื่อมใสศรัทธา พูดตามเหตุผล ศิษย์อาจารย์ทั้งสามควรข้ามผ่านวันคืนไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม มีหยกและอาหารเพียบพร้อม แต่ช่วยมิได้ที่เมืองซีหนิงค่อนข้างห่างไกล วัดเก่าที่ทรุดโทรมแห่งนั้นยิ่งไกลไปอีก วันๆ แทบไม่พบเห็นผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตด้วยชาหยาบๆ และข้าวจืดๆ

    ธรรมดาแล้วนักพรตเต๋าต้องบำเพ็ญเพียร ขณะนี้โลกมีหนทางการบำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วน แต่นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นถ่ายทอดวิชาเต๋าไม่เหมือนกับสำนักอื่น ไม่สอนเกี่ยวกับการบำเพ็ญหยั่งรู้ ไม่สนใจการปฏิบัติฌานดาวโชคชะตา ไม่ใส่ใจการชุบชีวิตดวงจิตวิญญาณ มีเพียงหนึ่งถ้อยคำที่ต้องยึดมั่น…‘ท่องจำ’

    อวี๋เหรินเริ่มท่องจำตำราเต๋าตั้งแต่เยาว์วัย เฉินฉางเซิงเพิ่งจะลืมตาดูโลกก็ถูกให้นอนกับตำราสีเหลืองเก่าๆ สิ่งของแรกที่เขารู้จักก็คือคัมภีร์เต๋าที่อยู่เต็มห้อง หลังจากเรียนรู้การพูด เขาก็เริ่มหัดจำตัวอักษร หลังจากนั้นก็เริ่มท่องจำตัวอักษรที่อยู่ในคัมภีร์เต๋า ท่องจำและศึกษาบ่อยๆ จนท่องจำได้ชำนาญคล่องแคล่ว นี่คือชีวิตของเด็กน้อยสองคนที่อยู่ในวัดเก่าที่ทรุดโทรม

    ตื่นนอนยามเช้าตรู่พวกเขาก็ท่องตำรา ดวงอาทิตย์ดุเดือดอากาศร้อนอบอ้าว พวกเขาก็ท่องตำรา ระฆังยามเย็นชำรุด พวกเขาก็ท่องตำรา ฤดูวสันต์อากาศอบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่ง ฤดูร้อนเสียงฟ้าร้องสั่นสะท้าน ฤดูสารทเสียงลมพัดผ่าน ฤดูหนาวหิมะเย็นยะเยือก พวกเขาอยู่บนคันนา อยู่ริมลำธาร อยู่ใต้ต้นไม้ อยู่ข้างต้นเหมย ก็ถือคัมภีร์เต๋าไม่หยุดอ่าน ไม่หยุดท่อง ไม่รู้วันเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป

    ในวัดมีห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยกองคัมภีร์เต๋า ครานั้นอวี๋เหรินอายุเจ็ดปี เกิดเบื่อหน่ายจึงลองนับดู พบว่ามีทั้งหมดสามพันม้วน…คัมภีร์มหามรรคสามพันม้วน ม้วนหนึ่งมีหลายร้อยถึงหลายพันตัวอักษร ม้วนที่สั้นที่สุดคือคัมภีร์เสินหมิง (เทวะ) มีไม่เกินสามร้อยสิบสี่ตัวอักษร คัมภีร์ที่ยาวที่สุดคือคัมภีร์ฉางเซิง (อมตะ) มีสองหมื่นกว่าตัวอักษร นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องท่องจำทั้งหมด

    ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองไม่หยุดท่องจำ เพียงต้องการแค่จดจำ ไม่ต้องเข้าใจ พวกเขาชัดเจนมานานแล้วว่าอาจารย์ไม่มีวันตอบคำถามหรือข้อสงสัยใดๆ ที่ตนถามเป็นแน่ อาจารย์กล่าวเพียงว่า ‘จงจดจำ แล้วจะเข้าใจเอง’

    สำหรับเด็กน้อยเยาว์วัยที่ต้องการเล่นสนุกสนาน การใช้ชีวิตเช่นนี้คงยากจะจินตนาการได้ โชคดีที่เขาเขียวชอุ่มแห่งนี้เปลี่ยวร้าง น้อยนักที่จะเจอผู้คน ไม่มีสิ่งใดให้พะวักพะวนจึงทำให้มีสมาธิอย่างยิ่ง เด็กน้อยทั้งสองมีนิสัยแปลกประหลาด มิได้รู้สึกเบื่อหน่าย วันทั้งวันท่องจำอย่างนี้ วันแล้ววันเล่า จนมิรู้สึกตัวว่าผ่านมาแล้วหลายปี

    วันหนึ่งเสียงท่องตำราที่ดังมาเนิ่นนานหลายปีก็หยุดลง ศิษย์พี่ศิษย์น้องนั่งเคียงไหล่กันอยู่บนก้อนหิน คัมภีร์ม้วนหนึ่งคลี่อยู่บนเข่าของทั้งสอง พวกเขาประเดี๋ยวดูคัมภีร์ ประเดี๋ยวจ้องมองกันอย่างงงงวย

    ขณะนี้พวกเขาทั้งสองท่องจำคัมภีร์มาจนถึงม้วนสุดท้ายแล้ว แต่กลับไม่อาจท่องต่อได้ เหตุเพราะพวกเขาอ่านไม่ออก อักษรบนคัมภีร์ม้วนนี้แปลกตานัก ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าประหลาด พวกเขาจำแต่ละขีดแต่ละเส้นของตัวอักษรพวกนั้นได้ แต่พอเอาแต่ละขีดแต่ละเส้นที่ว่ามารวมกันแล้วกลับกลายเป็นไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าอ่านอย่างไร ความหมายคืออะไร

     

    ทั้งสองกลับเข้าไปในวัด ตามหานักพรตวัยกลางคน

    นักพรตเต๋าวัยกลางคนเอ่ยว่า “มหามรรคทั้งสามพันม้วน พวกเจ้าศึกษามาถึงม้วนสุดท้ายแล้ว ม้วนนี้มีทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยหนึ่งตัวอักษร ความลับสัจธรรมของกฎสวรรค์แต่ไรมาไม่มีผู้ใดที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้า”

    เฉินฉางเซิงถามกลับ “อาจารย์ ท่านก็ไม่เข้าใจรึ”

    นักพรตเต๋าวัยกลางคนพยักหน้า เอ่ยว่า “ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าตนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้าก็เช่นกัน”

    ศิษย์พี่ศิษย์น้องจ้องมองกันและรู้สึกเสียใจเล็กๆ แม้อายุยังน้อย แต่พวกเขาท่องจำคัมภีร์ที่เก็บสะสมไว้ทั้งสามพันม้วนมาจนถึงวันนี้ ขาดเพียงหนึ่งม้วนที่ไม่สำเร็จ ย่อมรู้สึกไม่ยินดี แต่ทั้งคู่ต่างจากเด็กทั่วไป ด้วยศึกษาคัมภีร์เต๋าตั้งแต่ยังไม่รู้ความจึงผ่อนคลายอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองเตรียมตัวหันหลังจากไป

    ทว่านักพรตวัยกลางคนได้เอ่ยต่อว่า “…แต่ข้าอ่านได้”

    ตั้งแต่วันนั้นนักพรตวัยกลางคนก็เริ่มสอนอ่านคัมภีร์เต๋าม้วนสุดท้าย สอนอ่านทีละตัวอักษร สอนวิธีออกเสียงแต่ละคำ ถ้อยคำเหล่านั้นออกเสียงแปลกประหลาดอย่างยิ่ง พยางค์เสียงเดี่ยวออกเสียงง่ายมาก แต่กลับต้องใช้กล้ามเนื้อคอหอยและใช้เส้นเสียงที่พิเศษ ราวกับว่าคนธรรมดาไม่อาจออกเสียงได้

    เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายอย่างสิ้นเชิง เพียงเลียนแบบเสียงที่อาจารย์สอนอย่างตรงไปตรงมาราวกับเป็ดน้อยก็มิปาน ส่วนอวี๋เหรินบางครั้งบางคราก็คิดถึงเรื่องริมธารเมื่อหลายปีก่อน ครานั้นอาจารย์ก็เอ่ยเสียงเช่นนี้กับสัตว์ที่น่ากลัวตัวนั้น

    อวี๋เหรินและเฉินฉางเซิงใช้เวลานานมากเพื่อเรียนรู้การอ่านตัวอักษรหนึ่งพันหกร้อยหนึ่งตัว แต่ยังคงไม่เข้าใจความหมายเช่นเดิม ถามนักพรตเต๋าวัยกลางคนก็ไม่ได้คำตอบ พวกเขาใช้เวลาเรียนคัมภีร์ม้วนสุดท้ายหนึ่งปีเต็ม หลังจากนั้นก็ทำเป็นเหมือนเดิม กางคัมภีร์ม้วนสุดท้ายท่องจำต่อไป จนกระทั่งท่องได้ทั้งหมด

    เวลานั้นพวกเขาคิดว่าชีวิตตนจะหลุดพ้นจากการท่องจำคัมภีร์เต๋า ทว่านักพรตวัยกลางคนได้ให้พวกเขาอ่านใหม่เป็นครั้งที่สอง ทั้งคู่ถูกบังคับให้เริ่มท่องใหม่อีกครั้ง และอาจเป็นเพราะการอ่านซ้ำใหม่นี่เองที่ทำให้พวกเขารู้สึกลำบากกับการท่องคัมภีร์มากขึ้น ลำบากจนกระทั่งบางทีก็พูดไม่ออก

    เพราะเช่นนี้พวกเขาจึงเริ่มไม่เข้าใจ เหตุใดอาจารย์ต้องให้พวกเขาอ่านคัมภีร์เต๋า เพราะเหตุใดไม่สอนบำเพ็ญเพียร นักพรตเต๋าควรฝึกฌาน แสวงหาชีวิตอมตะถึงจะถูก

    ในเวลานั้นอวี๋เหรินอายุสิบปี เฉินฉางเซิงอายุหกปี ฤดูสารทปีนั้นมีนกกระเรียนสีขาวบินฝ่าก้อนเมฆมาพร้อมกับการทักทายจากสหายเก่าและจดหมาย บนจดหมายเขียนวันเวลาเกิดและดวงชะตาแปดอักษรที่ใช้ผูกดวงคู่บ่าวสาว ยังมีหนังสือสมรสหนึ่งฉบับพร้อมหลักฐานยืนยัน

    นักพรตวัยกลางคนเคยช่วยเหลือขุนนางสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง

    อีกฝ่ายจึงปรารถนาจะทำตามคำมั่นสัญญาในปีนั้น

    นักพรตวัยกลางคนมองหนังสือสมรสโดยมิเอ่ยคำใด แล้วจ้องมองไปยังลูกศิษย์ทั้งสอง อวี๋เหรินโบกมือและชี้ไปยังดวงตาข้างหนึ่งที่มองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ของตนพลางยิ้มปฏิเสธ เฉินฉางเซิงสับสน ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มีความหมายเป็นเช่นไร เขารับเอาหนังสือสมรสมาอย่างงุนงง

    ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มีว่าที่ภรรยาหนึ่งคน

     

    เป็นเวลาหลายปี ทุกๆ วันขึ้นปีใหม่ นกกระเรียนตัวนั้นก็ฝ่าม่านเมฆานำคำทักทายของขุนนางชั้นสูงผู้นั้นมาส่งให้จากจิงตู อีกทั้งยังฝากของขวัญเล็กๆ ที่มีความหมายมาให้เฉินฉางเซิง

    เฉินฉางเซิงค่อยๆ กระจ่างและเข้าใจความหมายของการหมั้นหมายว่าเป็นเช่นไร ทุกวันตอนกลางคืนเขาจะอาศัยแสงจากดวงดาวจ้องมองหนังสือสมรสที่วางอยู่ในลิ้นชักอย่างเงียบๆ เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ออก คิดไปถึงว่าที่ภรรยาซึ่งได้ยินว่าอายุราวๆ กับตน ในห้วงอารมณ์มีบางส่วนที่ดีใจเงียบๆ มีบางส่วนเขินอาย และบางส่วนรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยวอย่างยิ่ง

    เฉินฉางเซิงใช้ชีวิตไปกับการศึกษาคัมภีร์เรื่อยมา กระทั่งเมื่อเขาอายุสิบปีได้เกิดเรื่องที่แปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง ขณะท่องคัมภีร์ม้วนสุดท้ายหนึ่งพันหกร้อยหนึ่งตัวอักษรเป็นรอบที่เจ็ดสิบสอง เขาพลันรู้สึกว่าจิตหลุดออกจากร่างกายและล่องลอยไปในป่าของเขาเขียวชอุ่ม หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ขณะที่ร่างกายเริ่มมีกลิ่นหอมกรุ่นกระจายออกมา

    มิใช่กลิ่นหอมดอกไม้ มิใช่กลิ่นหอมใบไม้ และมิใช่กลิ่นหอมอิสตรี กล่าวได้ว่าหอมอ่อนจาง หากแต่ยามลมราตรีพัดโชยกลับส่งกลิ่นยาวนาน กล่าวได้ว่ากลิ่นหอมฉุน ยามปลิวเข้าจมูกกลับเลือนราง ไม่เหมือนกลิ่นหอมที่จะปรากฏบนโลกมนุษย์ได้ ไม่อาจคาดเดา ช่างดึงดูดคนยิ่งนัก

    อวี๋เหรินเป็นผู้พบอาการนี้ของเฉินฉางเซิง หลังเขาได้สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

    เขาเขียวชอุ่มที่ปกคลุมด้วยใบไม้มืดครึ้มมีราชสีห์คำราม พยัคฆ์แผดเสียงก้อง นกกระเรียนเต้นระบำ มังกรวารีบุกทะลวง กบร้องประหนึ่งฟ้าผ่าทั้งที่ควรเกิดแค่ในคืนฤดูร้อนเท่านั้น เขาเขียวชอุ่มทางตะวันออกที่ไม่มีใครกล้าล่วงล้ำเข้าไปปรากฏเงามืดขนาดใหญ่ในส่วนลึกของเมฆหมอก ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร สายตาละโมบน่ายำเกรงกำลังจ้องมองมา เฉินฉางเซิงส่งกลิ่นหอมยิ่ง ดวงตาปิดสนิท ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะตื่น

    อวี๋เหรินที่นั่งอยู่ข้างเตียงลงมือพัดอย่างสุดชีวิตด้วยอยากจะให้กลิ่นหอมของเฉินฉางเซิงหายไป เหตุเพราะกลิ่นหอมนั้นทำให้ริมฝีปากเขามีน้ำลาย รู้สึกแปลกและเกิดความคิดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เขาจำเป็นต้องพัดเพื่อที่จะพัดความคิดให้หายไปด้วย

    ไม่รู้ว่านักพรตวัยกลางคนมาถึงในห้องเมื่อไร เขายืนอยู่ริมเตียง จ้องมองเฉินฉางเซิงที่กำลังหลับตาแน่นทั้งสองข้าง และเอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งมีเพียงเขาที่เข้าใจ “เหตุอยู่ที่ใดอีกแล้วเล่า”

    ผ่านไปหนึ่งคืน

    แสงรุ่งอรุณสาดส่องมายังเขาเขียวชอุ่ม กลิ่นหอมที่อยู่บนตัวของเฉินฉางเซิงหายไปแล้ว แม้สูดดมใกล้ๆ ก็ไม่ได้กลิ่นแม้แต่น้อย เขากลับเป็นเหมือนเดิม สัตว์ประหลาดต่างๆ นานาในเขาเขียวชอุ่ม รวมถึงเงาน่ากลัวหลังเมฆนั่นก็ไม่รู้ว่าเลือนหายไปยามใด

    อวี๋เหรินจ้องมองศิษย์น้องที่หลับสนิท ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องตื่นตระหนกแล้ว เขาถอนหายใจและอยากจะเช็ดเหงื่อที่ไหลพรากบนหน้าผากทิ้ง แต่กลับพบว่าไหล่ที่ขยับพัดตลอดทั้งคืนปวดร้าวจนขยับไม่ไหวเสียแล้ว

    เฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้น แม้จะหลับลึกตลอดทั้งคืน แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อมองไปยังศิษย์พี่ที่กำลังเจ็บปวดทรมาน ใบหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาเอ่ยถาม “อาจารย์ อาการของข้าคืออะไร”

    นักพรตวัยกลางคนจ้องมองมายังเขา หลังจากนิ่งเงียบเป็นเวลานานก็เอ่ยว่า “เจ้าป่วย”

     

    ตามที่นักพรตวัยกลางคนได้กล่าว อาการป่วยของเฉินฉางเซิงเกิดจากร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด เส้นลมปราณทั้งเก้าในร่างกายไม่อาจผสาน กลิ่นหอมกรุ่นเมื่อคืนคือจิตวิญญาณที่ไม่อาจหมุนเวียน จึงถูกบีบให้ระบายออกมาทางเหงื่อ นั่นคือจิตวิญญาณส่วนที่ดีที่สุดซึ่งมนุษย์จะขาดมิได้ จึงมีกลิ่นหอมกรุ่นชนิดหนึ่ง นี่เป็นอาการป่วยที่แปลก

    “ถ้าอย่างนั้น…ท่านรักษาได้หรือไม่”

    “มิได้ ไม่มีผู้ใดรักษาได้”

    “อาการป่วยที่ไม่อาจรักษา…ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็นโชคชะตา”

    “ใช่แล้ว นี่คือโชคชะตาของเจ้า”

    หลังจากเขาอายุสิบเอ็ดปี นกกระเรียนตัวนั้นก็ไม่เคยมาที่เขาเขียวชอุ่มอีก ข่าวสารจากจิงตูขาดหายไป คล้ายกับว่าหนังสือสมรสนั่นไม่เคยปรากฏ บางคราที่เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมลำธารก็จะมองไปยังทิศตะวันตกแล้วคิดเรื่องนี้ขึ้นมา

    แน่นอนว่ามีเรื่องที่เขาต้องขบคิดมากยิ่งกว่า นั่นคือเรื่องอาการป่วยนี้ หรือก็คือโชคชะตา…สุขภาพเขาไม่ได้ย่ำแย่และยังคงนอนหลับสนิท มองดูร่างกายก็แข็งแรง ไม่เหมือนคนที่ต้องตายตั้งแต่เยาว์วัย ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงสงสัยการวินิจฉัยของอาจารย์ แต่ถ้าอาจารย์วินิจฉัยถูกแล้วจะทำอย่างไร

    เฉินฉางเซิงตัดสินใจที่จะออกจากวัดแห่งนี้ไปดูโลกที่เจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้เขายังอยากไปดูสุสานเทียนซูในตำนานและยังต้องไปถอนการหมั้นหมายนั่นอีก

    “อาจารย์ ข้าต้องไปแล้ว”

    “เจ้าจะไปที่ใด”

    “ไปจิงตู”

    “เพราะเหตุใด”

    “เพราะข้าอยากมีชีวิตต่อ”

    “ข้าบอกเจ้าแล้ว นั่นไม่ใช่แค่อาการป่วย แต่คือโชคชะตา”

    “ข้าอยากเปลี่ยนโชคชะตา”

    “ตลอดแปดร้อยปีผ่านมามีเพียงสามคนที่เปลี่ยนโชคชะตาได้”

    “คงจะเป็นคนที่เก่งกาจทั้งสิ้น”

    “ใช่แล้ว”

    “ข้ามิใช่คนที่เก่งกาจ แต่ข้าก็อยากจะลอง”

    เฉินฉางเซิงจะต้องไปจิงตู ไม่ว่าจะรักษาอาการป่วยของตนได้หรือไม่เขาก็ต้องไป ไม่ใช่เพียงเพราะเขาต้องเปลี่ยนโชคชะตา แต่เพราะหนังสือสมรสอีกฉบับอยู่ที่จิงตู

    เขาเก็บสัมภาระ รับเอากระบี่เล่มเล็กจากศิษย์พี่อวี๋เหริน หันหลังจากไป

    เด็กหนุ่มนักพรตในวัยสิบสี่ปี ลงเขา

     

    ตอนที่ 1

    ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!

    “เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นคนอย่างไร”

    “ดูเป็นคนสงบนิ่งมากเจ้าค่ะ เขานั่งมาครึ่งชั่วยามแล้วโดยแทบไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เพียงดื่มชาไปคำหนึ่งเท่านั้นตอนเพิ่งมาถึง คงดื่มเพื่อเป็นมารยาทกระมัง หลังจากนั้นก็ไม่ดื่มอีกเลย…อันที่จริงชาคำแรกก็แค่จิบ ท่าทีไม่ได้เหมือนกับระแวดระวัง คล้ายเป็นคนรอบคอบเสียมากกว่า สุขุมลุ่มลึก การเตรียมพร้อมเป็นเลิศ หากก็ยังปิดบังความเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้ทั้งหมด”

    “ดูแล้วเขาน่าจะเป็นคนฉลาด หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้โง่…อายุเท่าไรแล้วล่ะ”

    “สิบสี่ปีเจ้าค่ะ”

    “ใช่ ถ้าข้าจำไม่ผิดก็คงจะราวๆ นี้”

    “เพียงแต่ลักษณะท่าทางสงบนิ่งของเขาอาจทำให้ดูแก่กว่าอายุจริงไปบ้าง”

    “เป็นคนธรรมดารึ”

    “ใช่แล้วเจ้าค่ะ…ลมปราณธรรมดา ไม่เคยผ่านแม้แต่การชำระล้างกระดูก ถึงแม้จะดูความสามารถไม่ออก แต่ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ต่อให้เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรตอนนี้ก็คงไม่ค่อยมีอนาคตไกลสักเท่าไร”

    “ถึงจะมีอนาคต แต่เทียบกับศิษย์ของผู้นำพรรคฉางเซิงแล้วนับเป็นอันใด”

    “ฮูหยิน…การหมั้นหมายเป็นเรื่องจริงหรือ”

    “หลักฐานเป็นของจริง เรื่องการหมั้นหมายก็คงต้องเป็นเรื่องจริงกระมัง”

    “เหตุใดในปีนั้นนายท่านถึง…ตกลงเรื่องคู่ครองเช่นนี้ให้คุณหนูนะ”

    “ต่อให้นายท่านยังไม่จากไปแล้วคิดหรือว่าเจ้าจะหาคำตอบได้ เปิดประตู ข้าจะไปพบเขา”

    เสียงแอ๊ดดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ค่อยๆ แง้มออก แสงทองอร่ามของดวงอาทิตย์สาดส่องจากข้างนอกเข้ามา กระทบเข้ากับใบหน้างามวิจิตรของสตรีนางหนึ่งและจี้หยกครึ่งซีกที่ถืออยู่ในมือ หญิงรับใช้อาวุโสที่สนทนากับนางยืนอยู่มุมห้อง ร่างจึงถูกเงามืดบดบังไว้ หากไม่สังเกตดูให้ละเอียดถี่ถ้วนคงมองไม่เห็นเป็นแน่

    ฮูหยินย่างก้าวออกจากห้องภายใต้การประคองจากหญิงรับใช้อาวุโส นี่ถ้าหากมีสายลมแรงหน่อยพัดผ่านมายามนี้ ร่างนางคงโอนไหวราวกิ่งหลิวต้องลมก็มิปาน บนผมปักปิ่นทองล้ำค่า สายสร้อยที่ห้อยประดับบนร่างไม่เกิดเสียงใดๆ เลยยามนางก้าวเดิน ช่างน่าแปลกไม่น้อย

    ภายในสวนร่มรื่นด้วยต้นไม้ แสงส่องลอดใบไม้แน่นหนาลงมาได้แค่เป็นหย่อมๆ ที่อยู่ตรงกลางสวนคือต้นไม้ที่ต้องใช้คนโอบถึงสิบคน มันตั้งตระหง่านอยู่บนผืนหญ้า ทางเดินหินทั้งสองข้างยามนี้ไม่มีแม้แต่เงาของคนรับใช้ ทว่าถ้ามองออกไปไกลๆ จะเห็นคนจำนวนมากนั่งคุกเข่าเป็นทิวแถว บรรยากาศแม้เงียบสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกและกดดัน ราวกับคลังเก็บศัสตราวุธ

    เจ้าของจวนหลังนี้คือขุนพลเทพตงอวี้ สวีซื่อจี้ ผู้สร้างชื่อจากการชนะศึกสงครามอันลือเลื่อง ขุนพลเทพปกครองกองทัพทหารทำให้ราชสำนักต้าโจวร่มเย็นเป็นสุข แต่เพราะเรื่องในวันนี้คนรับใช้ทั้งหมดจึงถูกไล่ให้ไปยังสวนข้าง บรรยากาศที่นี่จึงชวนให้รู้สึกสลดหดหู่ยิ่งนัก สายลมวสันต์พัดกระทบกำแพง ราวกับจะแช่แข็งกำแพงเหล่านั้น

    สวีฮูหยินเดินผ่านสวนมาจนถึงหน้าห้องโถงและหยุดเท้า สายตาจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ภายในห้องโถง คิ้วทั้งสองขมวดเล็กน้อย

     

    เด็กหนุ่มผู้นั้นสวมใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำที่ซักมาหลายคราจนสีซีด แทบจะไม่เหลือร่องรอยของสีเดิมอยู่เลย รูปหน้าอ่อนเยาว์ ขนตาตั้งตรงเป็นแพ ดวงตาสุกสว่างสดใส ลักษณะในตัวของเขามีบางอย่างที่ยากจะบรรยายได้ ราวกับว่าเขาคือกระจกที่มองทะลุสรรพสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่

    สัมภาระของเด็กหนุ่มวางอยู่ข้างเท้าเป็นสัมภาระธรรมดา แต่ถูกจัดให้ดูดีไม่เบา ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ฝุ่นขณะการเดินทางก็ไม่มีเกาะสักเม็ด บนสัมภาระยังมีหมวกที่ถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้านใบหนึ่งผูกติดไว้

    เหตุที่สวีฮูหยินขมวดคิ้วไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะชาที่วางอยู่บนโต๊ะไม่มีไอร้อนแล้ว เด็กหนุ่มกลับมีท่าทีสงบ ไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่ายออกมาสักนิด เด็กหนุ่มอายุราวนี้หาได้ยากยิ่งที่จะสงบและอดทนเช่นนี้

    นี่เป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่งนัก

    ยังดีที่คนเช่นนี้มักจะเป็นคนทะนงตน

     

    หลังจากย่างก้าวเข้ามาในจวนและพูดคุยกับหญิงรับใช้ผู้นั้นไม่กี่ประโยคก็ไม่มีใครสนใจเขาอีกเลย เขานั่งอยู่ที่ห้องโถงเป็นเวลาครึ่งชั่วยามจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบาก อาจเป็นเพราะเขาเคยชินกับความเงียบสงัดเสียแล้วกระมัง

    เขานั่งอ่านคัมภีร์หวาถิงเล่มที่หกฆ่าเวลาอยู่เงียบๆ ขณะรอให้อีกฝ่ายส่งคนมาสักคนหนึ่ง เขาอยากจะคืนหนังสือสมรสนี่เสียที หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วเขายังมีเรื่องที่จะต้องสะสางอีกมากมาย

    สำหรับน้ำชานั้นเขาดื่มไปแค่หนึ่งคำ เพียงจิบให้โดนริมฝีปากเท่านั้น นี่หาใช่เพราะเขาระแวดระวังหรือรอบคอบอย่างที่หญิงรับใช้อาวุโสคาดการณ์ แต่เพราะเขารู้สึกว่ามาเป็นแขกของผู้อื่นไม่ควรจะดื่มน้ำชาให้มาก ด้วยเกรงว่าอาจต้องขอเข้าห้องน้ำซึ่งจะดูไม่มีมารยาท อีกทั้งจวนขุนพลเทพแห่งนี้ใช้ถ้วยชาที่เป็นเครื่องเคลือบหรูหรามีราคาซึ่งเขาไม่อยากจะแตะต้องบ่อยนัก และเขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่นด้วย

    เพราะเขาเป็นคนรักสะอาด

    เขายืดตัวลุกขึ้นยืนและเดินไปหาฮูหยินที่แต่งตัวสวยสดงดงามเพื่อโค้งคำนับ หากเดาไม่ผิดอีกฝ่ายคงเป็นสวีฮูหยิน นายหญิงของจวนแห่งนี้เป็นแน่ ใจเขาคิดว่าในที่สุดก็จะจัดการเรื่องนี้ได้เสียที จึงสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ เตรียมจะหยิบหนังสือสมรสออกมา

    สวีฮูหยินยกมือขึ้นเพื่อบอกว่าไม่ต้องเร่งรีบ ให้เขานั่งลงก่อน ไม่นานหญิงรับใช้ก็ยกน้ำชามาให้ สวีฮูหยินมองดูเขาอย่างสงบและเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปชมสุสานเทียนซูมาหรือยัง สะพานไน่เหอ (อนิจจัง) เล่า หรือว่าอยากจะไปตำหนักหลีกง ที่นั่นมีไม้เลื้อยแปลกตา ทิวทัศน์ก็งดงามยิ่งนัก”

    เฉินฉางเซิงคิดว่านี่คงเป็นการชวนสนทนาตามมารยาท เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดยืดยาวอันใด ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสกว่าและได้เอ่ยวาจาถามก่อน ไยเขาจะเสียมารยาท จึงตอบด้วยประโยคสั้นๆ แต่แฝงด้วยความเคารพในที “ยังไม่เคยไป วันหลังจะไปชมขอรับ”

    เมื่อสวีฮูหยินได้ยิน มือที่จับฝาถ้วยน้ำชาก็พลันชะงัก ถามกลับไปว่า “เจ้าจะบอกว่ามาถึงจิงตูก็มุ่งหน้ามาจวนขุนพลเทพเป็นที่แรกรึ”

    เฉินฉางเซิงตอบไปอย่างสัตย์จริง “ข้าไม่กล้าให้ล่าช้า”

    “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

     

    สวีฮูหยินเงยหน้าขึ้นแล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเด็กหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านทุรกันดารไกลโพ้นผู้นี้กลับมิได้ถูกทิวทัศน์ของเมืองจิงตูดึงดูด แต่มุ่งตรงมาเพื่อจะเจรจาเรื่องหนังสือสมรส ช่างเป็นคนใจร้อนยิ่งนัก แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียมากกว่า

    เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจประโยคที่ว่า ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ เขายืดตัวตรงขึ้นแล้วยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อเพื่อจะหยิบเอาหนังสือสมรสส่งคืนให้อีกฝ่าย ในเมื่อได้ตัดสินใจแล้วเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลามากกว่านี้

    อย่างไรก็ตาม การกระทำของเขากลับก่อให้เกิดการเข้าใจผิด ฮูหยินจ้องมองเขา ท่าทีนางพลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นกว่าเดิมและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายในครั้งนี้ ถึงแม้เจ้าจะนำหนังสือสมรสมาก็มิได้มีความหมายอันใด”

    เฉินฉางเซิงไม่คาดคิดว่าจะได้ยินวาจาเช่นนี้ จึงตกใจไปชั่วขณะ

    “หลายปีก่อนอาจารย์ของเจ้าช่วยเหลือนายท่านเอาไว้ หลังจากนั้นจึงได้กำหนดการหมั้นหมายครั้งนี้ขึ้น…เรื่องนี้คล้ายจะเป็นเรื่องน่ายินดีใช่หรือไม่”

    สวีฮูหยินจ้องมองเขาด้วยท่าทีเย็นชาและเอ่ยต่อว่า “…แต่คงจะมีเพียงในหนังสือประโลมโลกเท่านั้นที่เห็นว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะมันไม่อาจเป็นจริงได้ นอกจากสตรีโง่งมเพ้อฝันแล้วผู้ใดจะเชื่อกัน”

    เฉินฉางเซิงอยากจะอธิบายว่าตนนั้นตั้งใจจะมายกเลิกการหมั้น ทว่าเมื่อได้ยินวาจาที่แสนเย่อหยิ่งและเห็นท่าทีของสวีฮูหยินที่มิได้ซ่อนเร้นความเหยียดหยามเอาไว้เลย กลับทำให้เขายากจะขยับปากพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ กระนั้นมือของเขาก็ยังคงล้วงอยู่ในอกเสื้อ สัมผัสกับขอบกระดาษที่แข็งกระด้าง กระดาษแผ่นนี้คือหนังสือสมรสที่เจ้าของจวนหลังนี้บรรจงเขียนขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง อีกแผ่นหนึ่งได้เขียนวันเวลาเกิดและดวงชะตาแปดอักษรของบุตรสาวไว้

    “นายท่านได้จากไปเมื่อสี่ปีก่อน เช่นนั้นหนังสือสมรสถือเป็นโมฆะ” สวีฮูหยินจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เช่นนั้นเรามาคุยกันอย่างคนฉลาดคุยกันไม่ดีกว่ารึ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องขบคิดถึงเรื่องหนังสือสมรสหรือการหมั้นหมายแล้ว แต่ควรคิดว่าจะให้พวกข้าชดเชยอย่างไรจึงจะเพียงพอ เจ้าคิดว่าข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไร”

    เฉินฉางเซิงเอามือออกมาจากเสื้อ ทว่าไม่ได้ล้วงเอาหนังสือสมรสออกมา เขาเพียงโค้งตัวกล่าวว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

    “เพราะเหตุใดหรือ นี่ไม่ใช่คำถามที่คนฉลาดควรจะถาม” สวีฮูหยินจ้องมองใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ของเขาพร้อมเอ่ยว่า “เพราะถึงแม้วิชาแพทย์ของอาจารย์เจ้าจะไม่เลวนัก ทว่าก็เป็นเพียงคนธรรมดา แต่ที่นี่คือจวนขุนพลเทพ เจ้าคือเด็กหนุ่มยากจนที่สวมใส่เสื้อผ้าคร่ำคร่า แต่บุตรสาวของข้าเป็นถึงคุณหนูของจวนขุนพลเทพ เจ้าเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาเช่นกัน จวนขุนพลเทพมิใช่ที่ที่จะให้คนธรรมดาเข้ามาย่างกราย ข้าพูดชัดเจนหรือไม่”

    เฉินฉางเซิงกำหมัดแน่น ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทไร้รอยสั่นเครือใดๆ “ชัดเจนยิ่งนัก”

    สวีฮูหยินจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาและตัดสินใจพูดกดดันอีกครั้ง นางเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าคนที่ฉลาดหรือทะนงตนนั้นไม่อาจทนกับสิ่งนี้ได้ รออีกนิดเขาจะต้องเป็นฝ่ายยกเลิกการหมั้นหมายก่อนเป็นแน่

     

    นางวางถ้วยน้ำชาบนโต๊ะแล้วยืดตัวลุกขึ้น เอ่ยว่า “ชาที่อยู่ในถ้วยของเจ้านั้นคือชาหูเตี๋ย ต้องใช้ถึงห้าตำลึงเงินถึงจะซื้อชาชนิดนี้ได้เพียงหนึ่งตำลึง ถ้วยชานี้ทำจากเตาเผาหลวง สูงส่งกว่าทองเสียอีก ยามนี้ชาเย็นหมดแล้ว ที่เจ้าไม่ได้ดื่มมันคงเพราะไม่มีวาสนาเป็นแน่ เจ้าเป็นเพียงหญ้าในโคลนเลน เป็นเพียงกรวดหิน หาใช่เครื่องลายครามไม่ อยากจะมาอยู่จวนนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะของเจ้าหรือ ขออภัยด้วย นี่อาจเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเจ้า แต่สำหรับข้าหาใช่ไม่”

    ฮูหยินกล่าวอย่างสงบ นางมิได้วางอำนาจบาตรใหญ่ นางเพียงอยากจะย้ำให้เขารู้ถึงที่ทางของตนเอง อีกทั้งนางมิได้คิดวางตัวสูงส่ง เพียงแต่นี่เป็นความรู้สึกของผู้อยู่บนฟ้ายามมองลงมาเห็นมดเท่านั้น

    ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนี้นับว่าถ่ายทอดให้เฉินฉางเซิงได้อย่างครบถ้วน

    นี่คือความหยามเหยียดที่ไม่มีการปิดบัง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘อยากจะมาอยู่จวนนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะของเจ้าหรือ’ สำหรับผู้ที่ทะนงตนย่อมรับการดูหมิ่นเช่นนี้ไม่ได้แน่ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ คนส่วนใหญ่คงเลือกโต้เถียงอย่างโกรธแค้นแล้วฉีกหนังสือสมรสออกเป็นสองส่วนโยนใส่หน้าของสวีฮูหยิน หรือแม้กระทั่งถ่มน้ำลายสักสองที

    นั่นเป็นภาพที่นางอยากเห็นยิ่งนัก อันที่จริงหากไม่เพราะหนังสือสมรสฉบับนั้นสำคัญยิ่ง นางคงไม่เปลืองแรงทำเรื่องราวให้อ้อมค้อมอย่างนี้

    ภายในห้องเงียบสงัด ไร้สุ้มเสียงใดๆ

    นางมองเฉินฉางเซิงอย่างเยือกเย็น รอคอยให้เด็กหนุ่มคนนี้แสดงความโกรธออกมา

    หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นดังที่นางคาดคิดไว้อย่างสิ้นเชิง

    เฉินฉางเซิงจ้องสวีฮูหยินและเอ่ยอย่างสงบว่า “ที่จริงท่านเข้าใจผิดแล้ว เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อจะนำหนังสือสมรสคืนให้พวกท่าน ตั้งใจจะมายกเลิกการหมั้น”

    ครานี้ทั้งในและนอกห้องโถงมีแต่ความเงียบสงัด

    ลมพัดจากสวนเข้ามาในโถง ด้านล่างของเฉลียง ต้นไผ่แก่ๆ พลิ้วไหวตามแรงลมส่งเสียงกระทบกัน

    สวีฮูหยินประหลาดใจยิ่งนักจึงได้ถามกลับไปว่า “เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่”

    นางคงไม่รู้ว่าเสียงของตนเองนั้นสั่นสะท้านเพียงใด แต่ก็มีความโล่งใจอยู่ในที เพราะเหตุบังเอิญนี้ยากที่จะจินตนาการได้ ไม่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะกลัวเสียหน้าจึงแกล้งพูดไปอย่างนั้น หรือตั้งใจจะมายกเลิกการหมั้นแต่แรกอย่างแท้จริง ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางอยากเห็นทั้งสิ้น

    เฉินฉางเซิงพูดกับนางอย่างจริงจังว่า “ที่จริงแล้ว…ข้าต้องการมายกเลิกการหมั้น”

    ที่มุมห้องนั้นหญิงรับใช้อาวุโสผู้ซึ่งสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ตอนนี้พลันเปลี่ยนแปรไปแล้ว

    ขณะที่อารมณ์บนสีหน้าของสวีฮูหยินยังมิเปลี่ยนแปลงใดๆ นางเพียงเอามือทาบบนหน้าอกเบาๆ

    ทั่วทั้งจวน ณ เวลานี้ราวกับสว่างสดใสขึ้นกว่าเดิม

    แต่แล้วสีหน้าเฉินฉางเซิงก็กลับมาเคร่งขรึม

    เขาเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้…ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

    ลมฤดูวสันต์พลันเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ บรรยากาศหดหู่ เงามืดค่อยๆ กลืนกินห้องโถง ริ้วรอยที่อยู่บนใบหน้าของหญิงรับใช้อาวุโสผู้นั้นลึกลงดังร่องน้ำตามหุบเขานับไม่ถ้วนที่ถูกน้ำซัดถาโถมอย่างไม่ทันตั้งตัว

    ทันใดนั้นสวีฮูหยินก็รู้สึกว่าตนเองทำพลาดไป

    นางไม่รู้ว่าความไม่สงบนี้มากดทับหัวใจได้อย่างไร นางปล่อยให้เสียงของตนเองอ่อนลงขณะเอ่ยว่า “ในเมื่อคิดได้เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยเช่นนั้นออกมาเล่า สู้ไม่…”

    แต่แล้วสิ่งที่ทำให้นางยิ่งตกตะลึงไปกว่าเดิมนั่นคือเด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่อยู่ฟังนางกล่าว

    เฉินฉางเซิงก้มหยิบสัมภาระมาสะพายบนไหล่ แล้วเดินตรงออกจากห้องโถงไป

     

    ตอนที่ 2

    เพราะเหตุใด

    สวีฮูหยินมองดูเงาที่หายลับไปจากห้องโถงของเด็กหนุ่มผู้นั้น ใบหน้านางประหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ยามนี้คิดจะยกน้ำชาดื่มเพื่อเติมความชุ่มชื่นให้คอที่แห้งผากกลับพบว่าน้ำชาถ้วยนั้นเย็นเสียแล้ว นางอยากจะปาถ้วยชาลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ยิ่งนัก นางไม่สนว่าถ้วยน้ำชานี้จะมีราคาแพงเพียงใด แต่ก็มิได้ทำด้วยเกรงว่าบริวารจะได้ยินเสียงแล้วล่วงรู้ได้ว่าตอนนี้นางมีอารมณ์เช่นไร

    ตอนนี้อารมณ์ของนางย่ำแย่อย่างยิ่ง นางรู้ความนัยที่เด็กหนุ่มผู้นั้นอยากจะสื่อ นั่นคือ…

    ‘ขออภัยด้วย นี่อาจมิได้ทำให้ท่านยินดี แต่อย่างน้อยก็ทำให้ข้ายินดีแล้ว’

    อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางได้พูดทำนองนี้กับเขา…

    ‘อยากจะมาอยู่จวนนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะของเจ้าหรือ ขออภัยด้วย นี่อาจเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเจ้า แต่สำหรับข้าหาใช่ไม่’

    ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กหนุ่มผู้นั้นแสดงกิริยาสุภาพ มิได้เสียมารยาทแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยสองประโยคที่ใจความครบถ้วนและหันหลังเดินออกไป นั่นยิ่งทำให้การสื่อความหมายในประโยคของเขาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือนี่จะเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของเขา?

    ใบหน้าของหญิงรับใช้อาวุโสพลันเปลี่ยนเป็นมืดมน นางก้าวไปข้างกายฮูหยินและเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ให้เขาจากไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ ตอนแรกข้าคาดคิดว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ทะนงตนเท่านั้น ตอนนี้กระจ่างแล้วว่าเขาเป็นคนที่ร้ายกาจมากเล่ห์ หากเขาอยากจะมาหาผลประโยชน์จากจวนขุนพลเทพล่ะก็ คนที่แม้กระทั่งน้ำชาอึกหนึ่งยังมิกล้าดื่ม ไฉนเลยจะกล้าพกหนังสือสมรส ที่จริงแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังหามีผู้ใดได้เห็นหนังสือสมรสไม่”

    สวีฮูหยินเข้าใจความหมายของหญิงรับใช้อาวุโส ใบหน้านางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและเอ่ยว่า “อย่างไรเสียเขาก็นับว่าเป็นคนฉลาด ปรารถนาผลประโยชน์มากเช่นไรยิ่งต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนมากเท่านั้น และยิ่งไม่ควรทำเรื่องทั้งหมดให้ถึงจุดจบตั้งแต่แรกเริ่ม”

    ว่าไปแล้วเฉินฉางเซิงก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นัก เดิมทีเขาตั้งใจจะมาถอนการหมั้นหมาย แต่เหตุใดสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ ความจริงจวนขุนพลเทพมีหลากหลายวิธีที่จะจัดการกับการหมั้นหมาย แต่เหตุใดสวีฮูหยินกลับเลือกวิธีโง่เง่าที่สุดเช่นนี้เล่า

    มีเรื่องที่ขบคิดไม่แตกมากมายจนเขาไม่อยากจะคิดแล้ว เพียงแต่เมื่อนึกถึงวาจาวางอำนาจบาตรใหญ่ของสวีฮูหยินตอนอยู่ในห้องโถงก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าคุณหนูของจวนแห่งนี้เป็นอย่างไร งดงามหรือไม่ แน่นอนว่าในเมื่อนางเติบโตจากที่นี่ คิดดูแล้วนิสัยคงไม่ได้อ่อนโยนและจิตใจดีเป็นแน่…

    จวนขุนพลเทพกว้างขวางใหญ่โต ขนาดเปรียบกับเมืองซีหนิงก็ยังใหญ่โตกว่ามาก หากไม่มีสาวใช้นำทางเขาคงหลงทางได้ง่ายๆ เพิ่งคิดถึงตรงนี้ก็พลันพบว่าตนได้มาอยู่ด้านนอกของป่าที่เงียบสงบแล้ว จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องของลูกเขยผู้น่าสงสารที่ถูกแม่ยายฆ่า ยิ่งคิดเขายิ่งไม่สบายใจ แต่จะโทษใครได้นอกจากโทษที่ตัวเองที่มักคิดฟุ้งซ่านเป็นประจำ

    ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่ามีสายตาจับจ้องมา เมื่อหันไปมองก็พบเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ซุ้มประตูหินข้างต้นไม้ จึงได้รู้ว่าตนนั้นมิได้หลงทาง แต่ถูกพามาที่นี่อย่างมีเป้าหมาย

     

    เด็กสาวนั้นมีอายุราวสิบสามสิบสี่ปี สวมใส่เสื้อผ้าสวยสดงดงาม แค่เครื่องประดับบนตัวนางหนึ่งชิ้นก็คงจะมีราคามากกว่าข้าวของทั้งบ้านของเขาแล้ว ใบหน้าได้รูปนี้หากเติบใหญ่คงงดงามเป็นแน่ ดวงตาดำขลับที่กะพริบอยู่นั้นช่างดูน่ารัก หากแต่แววตาคู่นั้นกลับค่อนข้างกระด้าง นางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เฉินฉางเซิงตะลึงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าหรือแม่นางท่านนี้จะเป็นคุณหนูแห่งจวนสวี

    เขาร่ำเรียนคัมภีร์มาตั้งแต่เยาว์วัยจึงมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่กล่าวถามเขาก็ปล่อยให้จ้องมองอยู่เช่นนั้น

    ในที่สุดเด็กสาวก็เอ่ยขึ้น

    “นักพรตแต่งงานได้หรือ”

    เฉินฉางเซิงพบว่าสายตาอีกฝ่ายกำลังมองมายังผมมวยซึ่งเกล้าไว้แบบนักพรตของตน จึงอธิบายว่า “ข้าหาใช่นักพรตเต๋า ถึงแม้จะใส่ชุดของนักพรตเต๋า ซ้ำยังมวยผมแบบเต๋า แต่ก็เป็นเพียงความเคยชินเท่านั้น มิได้แสดงว่าข้าคือนักพรตเต๋า”

    นางเดินมาข้างๆ เขาพลางเพ่งพินิจอย่างจริงจัง แล้วถามต่อว่า “เจ้าเป็นคนธรรมดาหรือ”

    เฉินฉางเซิงงงงันไปชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจว่าคนธรรมดาที่อีกฝ่ายหมายถึงคืออะไร จึงตอบว่า “ใช่ ข้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียรมาก่อน”

    เด็กสาวมิได้สังเกตคำตอบของเขาที่ว่ายังไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร มิใช่ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียร นางเพ่งไปที่ดวงตาของเขาพลางถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าได้หมั้นหมายกับคุณหนูจริงหรือ”

    ฟังประโยคนี้แล้วเฉินฉางเซิงจึงได้รู้ว่านางมิใช่คุณหนูแห่งสกุลสวีคู่หมั้นของตน จึงผ่อนคลายลง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขากลับรู้สึกผิดหวัง

    “แม่นางคือ…”

    “ข้าชื่อซวงเอ๋อร์ เป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนู”

    เฉินฉางเซิงมิเคยคาดคิดมาก่อนว่ามีสาวใช้ที่สวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามเยี่ยงนี้อยู่ด้วย คิดมาถึงตรงนี้ก็พลันตระหนักว่ารอบๆ ตัวเงียบเชียบมิมีผู้ใด จึงทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงฐานะของสาวใช้ผู้นี้กับคุณหนูแห่งสกุลสวี

    “ข้ากับคุณหนูของเจ้ามีการหมั้นหมายกันจริงๆ”

    สาวใช้นามว่าซวงเอ๋อร์มองเขาอย่างจริงจังพลางเอ่ยว่า “วันหลังเจ้าอย่าได้เอ่ยประโยคนี้อีก”

    “เพราะเหตุใด” เฉินฉางเซิงถามกลับอย่างฉงน

    ซวงเอ๋อร์พินิจรูปร่างลักษณะของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกโมโห เอ่ยว่า “เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา จะมาอยู่กับคุณหนูของข้าได้อย่างไร รีบคืนหนังสือสมรสมาเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้า”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองนาง และถามกลับอย่างจริงจังว่า “เพราะเหตุใด”

    ยังคงเป็นสามคำนี้

    ซวงเอ๋อร์จ้องมองใบหน้าได้รูปของนักพรตหนุ่มน้อย พลันรู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย นางกล่าวต่อ “ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตก็ไม่ต้องเอ่ยเรื่องการหมั้นหมายอีก มิเช่นนั้นผู้ใดก็คงไม่อาจรักษาชีวิตเจ้าได้”

    ซวงเอ๋อร์คิดว่าตนได้ใคร่ครวญเพื่อคนตรงหน้าอย่างดีแล้ว ถึงแม้คุณหนูจะไม่ปรารถนาแต่งงานกับเขา แต่นางก็เป็นคนรักษาสัญญา นอกจากนี้นางยังไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมีอันตรายถึงชีวิตจึงได้ฝากฝังตนมา แต่ซวงเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าเมื่อประโยคนี้เข้าหูอีกฝ่ายกลับดูเหมือนเป็นการคุกคามที่ไร้ยางอายยิ่ง

     

    เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ ในใจครุ่นคิดว่าจวนขุนพลเทพคิดทำตัวเป็นอันธพาล ลวงเขามาฆ่าหรือ เขาเคยเจอเรื่องพวกนี้ตอนอ่านหนังสือประโลมโลกและตอนไปดูงิ้ว ไม่คิดมาก่อนว่าตอนนี้ตนกลับตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเสียเอง ทว่าภายใต้กฎบัญญัติของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะกล้าฆ่าคนในเมืองหลวง

    เขาเอ่ยว่า “หากจวนขุนพลเทพปรารถนาให้ข้าตาย ฮูหยินคงไม่ปล่อยข้ามาแต่แรก และถ้าหากข้าดูไม่ผิด หญิงรับใช้อาวุโสผู้นั้นคงจะเก่งกาจไม่เบา อย่างไรก็มีเพียงไม่กี่คนที่เคยพบเจอข้า หากสังหารข้าแล้วฝังดินเป็นอาหารดอกไม้ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มิใช่หรือ แต่ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ จากนี้ก็น่าจะไม่มีเรื่องอันตรายร้ายแรงเกิดกับข้ากระมัง”

    ซวงเอ๋อร์ยิ้มหยันพลางตอบว่า “มีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องจวนขุนพลเทพ หากยังอยู่ในเขตจวนเจ้าก็ยังปลอดภัย แต่เมื่อใดเจ้าก้าวออกจากจวนแล้วก็เปรียบดังคนเร่ร่อน เจ้าคิดว่าจะมีชีวิตได้อีกนานสักเท่าใดหรือ”

    เฉินฉางเซิงครุ่นคิดและเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจ”

    ซวงเอ๋อร์กล่าวต่อ “หากให้เจ้ากับคุณหนูแต่งงานกันแล้วพรรคฉางเซิงจะคิดเช่นไร สกุลชิวซานจะคิดเช่นไร ต่อให้ไปอยู่ดินแดนเทพ ถ้าคนเหล่านั้นคิดจะฆ่าเจ้าเสีย ใครจะหยุดยั้งได้”

    เฉินฉางเซิงถามต่อว่า “พรรคฉางเซิงและสกุลชิวซาน ทั้งสองนี้คือสิ่งใด”

    ซวงเอ๋อร์จ้องมองเขาราวกับมองคนโง่เง่า ถามว่า “เจ้าไม่รู้อะไรเลยหรือ”

    เฉินฉางเซิงมิได้อธิบายใดๆ เพียงถามกลับว่า “ข้าควรรู้อะไรบ้าง”

    มีบางเรื่องที่เด็กหนุ่มนักพรตผู้มาจากเมืองซีหนิงไม่รู้แต่ผู้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ดี อย่างเช่นตอนนี้ราชวงศ์ต้าโจวอยู่ในรัชสมัยเจิ้งถ่ง อย่างเช่นขุนพลเทพตงอวี้นามสวีซื่อจี้เป็นที่ไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ บิดาของเขาเป็นถึงไท่ไจ่ (มหาอัครเสนาบดี) ในรัชสมัยก่อนหน้า แต่ความจริงแล้วสาเหตุสำคัญยิ่งกว่าที่เขาได้รับตำแหน่งนี้เป็นเพราะบุตรสาวของเขามากกว่า

    สวีซื่อจี้มีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือสวีโหย่วหรง กล่าวกันว่านางนั้นคือหงส์ฟ้ากลับชาติมาเกิด มีสายเลือดที่มีคุณสมบัติพิเศษน่ามหัศจรรย์ สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูกตั้งแต่เยาว์วัย อายุสิบสองปีได้เดินทางไปร่ำเรียนที่ยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ (ธิดาเทพ) ทางแดนใต้ ตอนนี้บรรลุถึงขั้นถอดจิต ชื่อเสียงดังไกลก้องโลกหล้า มีคนเคารพรักมากมาย คาดการณ์กันว่านางจะต้องได้รับตำแหน่งธิดาเทพแห่งนิกายฝ่ายใต้รุ่นต่อไป

    ครอบครัวและสายเลือดตั้งแต่บรรพบุรุษของนางล้วนแต่สูงส่งทั้งสิ้น ว่ากันว่าคุณชายแห่งเผ่าปีศาจผู้กระหายเลือดก็ชื่นชมในตัวนางเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้คนพูดถึงว่าสามีในอนาคตของสวีโหย่วหรงจะเป็นอย่างไร พวกเขามักจะนึกถึงชื่อหนึ่ง ชื่อที่เต็มไปด้วยเกียรติยศ

    ชิวซานจวิน!

    ชิวซานเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของแดนใต้ ผู้นำสกุลชิวซานรุ่นนี้มีบุตรชายอยู่หนึ่งคนคือชิวซานจวิน กล่าวกันว่าเขาคือเทพมังกรกลับชาติมาเกิด เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งพรรคฉางเซิง ผู้นำของ ‘เจ็ดบัญญัติแดนเทพ’ ฝึกบำเพ็ญเพียรกับผู้อาวุโสในแดนใต้ ปีนี้อายุเพียงสิบแปดปี แต่คนทั่วไปก็คาดการณ์ว่าในภายหน้าเมื่อเขามีอายุหลายร้อยปี ใต้หล้านี้เขาคงเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นแน่

    เทพมังกรกับหงส์ฟ้า ชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรง ทั้งคู่เปรียบดังศิษย์พี่ศิษย์น้อง ในบรรดาคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนี้นับว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง มิอาจหาคนที่สามที่จะเทียบกับทั้งสองได้

    ใต้หล้าล้วนรู้ว่าชิวซานจวินรักใคร่สวีโหย่วหรงและเฝ้ารอให้นางเติบโตอยู่เงียบๆ ผู้อาวุโสและศิษย์ของพรรคฉางเซิง รวมถึงไพร่ฟ้าราษฎรของต้าโจวและคนในสกุลชิวซานล้วนแต่คิดว่านี่คงเป็นคู่ที่สวรรค์ส่งมาเป็นแน่ แม่นางโม่อวี่แห่งพระราชวังต้าโจวยังเคยกล่าวเอาไว้ว่าแม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังมองเรื่องของทั้งสองว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม

    ทว่าทันใดนั้นก็มีเด็กหนุ่มนักพรตคนหนึ่งมาเยือนจวนขุนพลเทพพร้อมกับหนังสือสมรส

    และกล่าวว่าเขาคือคู่หมั้นของสวีโหย่วหรง

    ถ้าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป

    ทั่วหล้าคงได้ตะลึงงัน

     

    ภายในป่าเงียบสงบ สายลมที่พัดผ่านซุ้มประตูหินพาใบไผ่ปลิวว่อน

    “ตอนนี้เจ้าก็เข้าใจแล้วสินะ” ซวงเอ๋อร์จ้องมองเฉินฉางเซิงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา มีทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ไพศาลแบ่งกั้นโลกของเจ้ากับโลกของคุณหนู เจ้าไม่มีทางก้าวข้ามมาได้ เพื่อตัวเจ้าเอง ทางที่ดีที่สุดคือควรลืมเรื่องนี้เสีย”

    เฉินฉางเซิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสตรีที่เป็นคู่หมั้นตนจะเก่งกาจเพียงนี้ หลังจากครุ่นคิดจึงถามกลับว่า “แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ฮูหยินมิได้กล่าวกับข้า”

    ซวงเอ๋อร์เอ่ยว่า “ฮูหยินไม่อยากให้เจ้ารู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะเกรงว่าหลังจากรู้แล้วเจ้าจะปรารถนาสิ่งต่างๆ นานา”

    เขาเงยหน้าจ้องมองไปยังนางก่อนเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดเจ้าถึงบอกข้า”

    ซวงเอ๋อร์ตอบ “เพราะในจดหมายที่คุณหนูส่งหาข้าได้พูดถึงเจ้าไว้ คุณหนูมีจิตใจดีงาม ถึงแม้นางจะไม่อยากสมรสกับเจ้า แต่ก็ไม่ปรารถนาเห็นเจ้าตายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเป็นคนฉลาด หลังจากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วคงจะกระจ่างแจ้งด้วยตัวเองแล้วกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

    เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”

    หลังจากพูดจบเขาได้เดินไปทางซุ้มประตูหิน เท้าเหยียบใบไผ่บนพื้นเสียงดังกรอบแกรบ

    ซวงเอ๋อร์ตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่

    เฉินฉางเซิงพลันหยุดเท้าลงและหันหลังกลับมามองนาง

    ซวงเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจไม่น้อย มือเล็กๆ ยกมาทาบบนอก รอคอยการตัดสินใจของเขา

    เฉินฉางเซิงจ้องมองมายังนางแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการจะออกจากที่นี่ ควรเดินไปทางไหน”

     

    ตอนที่ 3

    มันคือชื่อที่ธรรมดา แต่…มันคือชื่อของข้า

    ซวงเอ๋อร์ตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้

    นางมองออกว่าเด็กหนุ่มนักพรตคนนี้มิได้จงใจประชดหรือหยอกล้อ เพียงแต่เขาหาได้ฟังสิ่งที่นางพูด ยิ่งเมื่อมองท่าทางสงบนิ่งของเขา นางก็โกรธขึ้นมา

    นางกล่าวอย่างโมโห “เจ้าต้องตายแน่”

    เฉินฉางเซิงเบิกตา “ทุกคนย่อมตาย”

    “เจ้าก็รู้ว่าข้ามิได้หมายความเช่นนี้”

    เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณเจ้าที่บอกข้า”

    ซวงเอ๋อร์ทำหน้าปั้นยากก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินประสงค์จะถอนการหมั้นหมาย หากเจ้ายอมรับย่อมได้สิ่งตอบแทน เหตุใดต้องโกรธแล้วแสร้งพูดว่าตนเองมาเพื่อถอนการหมั้นหมายอยู่แล้วด้วยเล่า เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้จะกู้หน้าเจ้ากลับมาได้อย่างนั้นหรือ อีกอย่างหากเจ้าหมายความตามที่พูดจริง เหตุใดถึงเปลี่ยนใจเสียล่ะ กลับไปกลับมาเช่นนี้ใช้ได้หรือ”

    “เดิมทีข้าต้องการมาถอนการหมั้นจริงๆ พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็มิได้สำคัญ แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากจะถอนหมั้นแล้ว”

    “เพราะเหตุใด”

    เฉินฉางเซิงเอียงศีรษะแล้วคิดอย่างจริงจัง ใบหน้าอ่อนเยาว์ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม เพราะเขาหาเหตุผลให้ตนเองได้แล้ว “เพราะ…พวกเจ้าไม่เคยถามชื่อข้า”

    ซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ

    “ตั้งแต่เข้ามาในจวนจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินหรือว่าเจ้า ล้วนไม่เคยถามชื่อของข้า”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองนางพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ชื่อของข้าคือเฉินฉางเซิง ข้ารู้ว่ามันฟังดูธรรมดา แต่อาจารย์ของข้าตั้งชื่อนี้ให้เพราะอยากให้ข้ามีอายุยืนยาว ความคิดนี้ช่างดีมิใช่หรือ ข้าเลยใช้ชื่อนี้มาตลอด”

    พูดมาถึงตรงนี้นัยน์ตาของเขาพลันส่องประกาย ท่าทางสงบนิ่ง

    จู่ๆ ซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มนักพรตเต๋าธรรมดาผู้นี้มีรัศมีเรืองรองเปล่งออกมา อาจเป็นเพราะท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง เมื่อนางเริ่มเข้าใจเหตุผลของเขาจึงเกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นมา

    ตั้งแต่เข้ามาที่จวนจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครถามชื่อเขาสักคน แต่เขาหาได้แสดงกิริยาโกรธเคือง แม้จะถูกดูหมิ่นทั้งตอนอยู่ต่อหน้าฮูหยินหรือซวงเอ๋อร์ เขาล้วนแต่แสดงกิริยาที่สุภาพ หาได้มีสักครั้งที่ขาดมารยาท ถึงแม้จะมีอาการคับข้องใจอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าน้อยนิด ตรงกันข้ามกับเหล่าคนที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี สุดท้ายแล้วกลับกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเขาเสียอีก

    ใช่ว่าเขาถนัดเรื่องทำให้คนอื่นกลัดกลุ้ม เขาก็แค่ทำในสิ่งที่ตนคิดว่าควรกระทำ ณ ขณะเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นการถอนหมั้นหรือการที่เปลี่ยนความตั้งใจกะทันหัน เขาล้วนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและแน่วแน่ทำมันอย่างยิ่งจนผู้อื่นยากจะปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีสุดท้ายแล้วก็ต้องกลัดกลุ้มจนไม่มีทางมีความสุข

     

    ตั้งแต่จำความได้ซวงเอ๋อร์ก็มาอยู่ที่จวนขุนพลเทพแล้ว ด้วยฐานะของคุณหนู ตำแหน่งของนางจึงพลอยสูงส่ง แม้แต่ขุนพลเทพหรือฮูหยินก็ยังไม่เคยกล่าวว่านางอย่างรุนแรง ยิ่งไม่เคยพบเจอผู้ใดที่เหมือนกับเฉินฉางเซิง นางจึงไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้ จิตใจรู้สึกไม่สงบ ดังนั้นนางจึงทำน้ำเสียงให้ฟังดูเข้มแข็ง เอ่ยโดยไม่รู้ว่ากำลังพูดกับเฉินฉางเซิงหรือพูดกับตัวเองกันแน่ว่า

    “ในใต้หล้านี้มีเพียงคุณหนูของข้าที่มีสายเลือดของหงส์ฟ้าอย่างแท้จริง นางหาได้เป็นสองรองใครไม่!”

    “ในสมุดบันทึกของศิษย์พี่ข้ามีประโยคหนึ่งที่แต่ไหนแต่ไรข้าคิดว่าช่างมีเหตุผล ตอนนี้จะมอบมันให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง นั่นคือประโยคว่า ‘ผู้คนบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นสองรองใคร

    เฉินฉางเซิงมองนางพลางกล่าวอย่างจริงจัง

    สุดทางเดินของถนนที่ทอดยาวมีสะพานหินโค้งตั้งอยู่ ใต้สะพานหาใช่แม่น้ำลั่วเหอ แต่คือลำธารสายเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา เฉินฉางเซิงเดินไปถึงกลางสะพานและหันหลังกลับมองไปยังจวนขุนพลเทพ ที่แห่งนั้นดูช่างเงียบสงบ ท่ามกลางคฤหาสน์โอ่อ่าใหญ่โตมากมาย จวนสกุลสวีโดดเด่นที่สุด เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ

    หลังจากมาถึงจิงตูเขายังไม่ได้ไปเยี่ยมชมทิวทัศน์ลือชื่อใดๆ เลย แม้แต่สุสานเทียนซูก็ยังไม่ได้ไป เพียงแวะไปที่ลำธารเพื่อล้างหน้าจัดผมชั่วครู่ แล้วมุ่งตรงมายังจวนขุนพลเทพ เขาต้องการจะถอนการหมั้นหมาย เหตุที่ต้องเร่งรีบเช่นนี้เพราะหากเขากับคุณหนูของจวนขุนพลเทพสมรสกันโดยที่โรคของตนไม่อาจรักษาได้ จะทำให้อีกฝ่ายต้องลำบาก หรือต่อให้รักษาได้ก็คงต้องใช้ระยะเวลาหลายปี เขาจึงไม่อยากให้วัยสาวของอีกฝ่ายต้องเสียไปโดยใช่เหตุ

    เขาย้อนคิด ตั้งแต่เขาอายุสิบเอ็ดปีเป็นต้นมาก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากฝ่ายนั้นอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าอีกฝ่ายมิได้ปรารถนาจะสมรสกับตน วันนี้เขามาที่จิงตูเพื่อตั้งใจจะเป็นฝ่ายขอยกเลิกการหมั้น แต่เดิมน้ำที่ไหลมารวมกันก็มักจะกลายเป็นคูคลอง เรื่องอย่างการสมรสนี้ย่อมต้องต่างฝ่ายต่างสมัครใจยินยอม แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงจวนสกุลสวีจะพบเจอกับการดูถูกเหยียดหยามและการยั่วยุทั้งหลาย ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนความตั้งใจ

    เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียรและก็ไม่ใช่นักพรตเต๋า แต่ก็ได้ร่ำเรียนคัมภีร์เต๋ามาตั้งแต่เยาว์วัย ย่อมซึมซับส่งผลต่อชีวิตอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับชะตาชีวิตที่มืดมัว ดังนั้นในมหามรรคที่เขาต้องการจึงขอเพียงดำเนินตามความปรารถนาของใจ นั่นคือไม่ว่าทำอะไรล้วนยึดเอาความสบายใจเป็นที่ตั้ง การเดินทางไกลโพ้นนับหมื่นหลี่มาจิงตูเพื่อถอนหมั้นก็คือการทำตามความปรารถนาของใจ ไม่ยกเลิกการหมั้นหมายก็คือการทำตามปรารถนาของใจ เห็นจวนขุนพลเทพไม่มีมารยาท เขาจึงยิ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายได้สบายใจ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจ

    เวลานี้เฉินฉางเซิงเพียงอยากให้สวีฮูหยินที่ซ่อนเร้นความเย็นชาไว้เบื้องหลังใบหน้างดงามและสาวใช้ดวงตากลมโตผู้นั้นร้อนใจ หลังจากนี้สักวันสองวันเขาจะนำหนังสือสมรสมาถอนหมั้นอีกครั้ง ชะตาชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับฟ้า แต่ความสุขทั้งชีวิตของแม่นางสวีสำคัญกว่าเรื่องที่เขาต้องพบเจอความเย็นชาและการดูถูกเหยียดหยามนัก เขายังคงคิดเช่นนี้

    เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่พอใจนัก หลายครั้งเฉินฉางเซิงมักจะลืมว่าตนเองนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยแค่สิบสี่ปี แต่อย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาภูมิใจและให้เกียรติต่อตนเองมาตลอด ดังนั้นเมื่อถูกดูหมิ่นเหยียดหยามก็ย่อมมีความรู้สึกไม่พอใจบ้างเป็นธรรมดา

     

    เขาเดินลงจากสะพานหิน เดินต่อไปบนถนน ซื้อเซาปิ่งสองชิ้นที่วางขายริมทาง และนั่งยองๆ บนแผ่นหินริมแม่น้ำ ด้านหนึ่งค่อยๆ แทะเซาปิ่ง อีกด้านหนึ่งก็มองไปยังจวนขุนพลเทพที่อยู่ไกลออกไป ในใจยังรู้สึกเป็นทุกข์ เขารู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากที่ใด ยิ่งแจ่มแจ้งว่าหากปล่อยให้ความรู้สึกนี้แพร่ลามออกไปจะเป็นการทำร้ายตนเองโดยไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร

    เรือที่ลอยอยู่ในแม่น้ำลั่วเหอดูคล้ายก้อนเมฆที่ลอยบนฟ้า บนถนนที่ทอดยาวตรงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมีพลหมาป่าที่มาจากทิศตะวันตกยืนอยู่ แม้จะอยู่ห่างไกลกันแต่ก็ราวกับจะได้กลิ่นเหม็นจากปากหมาป่าในกองพันเหล่านั้น บนผิวน้ำมีเงาสะท้อนลอยผ่านไป เขาเงยหน้าขึ้นมอง พบอาชาสวรรค์ที่มีปีกสีขาวราวหิมะตัวหนึ่งกำลังลากรถอันงดงามมุ่งไปยังทิศเหนือ บนกำแพงเมืองที่ไกลออกไปมีหอสังเกตการณ์ เหยี่ยวแดงซึ่งมีหน้าที่ส่งข้อความทางทหารบินขึ้นลงไม่หยุดหย่อน ไกลออกไปอีกบนท้องฟ้าสีครามมีกองบินลาดตระเวนอยู่รอบๆ ดูไปแล้วช่างเหมือนแมลงปอน่ารำคาญเหล่านั้นที่มักจะบินอยู่นอกวัด…

    ที่นี่คือเมืองหลวงในราชวงศ์ต้าโจว ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างมหัศจรรย์ยากที่คนชนบทจะจินตนาการถึง เฉินฉางเซิงแทะเซาปิ่งพลางเบิกตากว้างมองดูภาพพวกนี้อย่างเพลิดเพลิน นำไปเปรียบเทียบกับเรื่องที่คัมภีร์เต๋าบันทึกไว้ ไม่รู้เมื่อไรเขาถึงจะได้เห็นสัตว์เทพในตำนานเหล่านั้น อย่างเช่นเต่าเทพในตำหนักหลีกงที่แบกเสาหินมานานถึงสามพันปี ไม่รู้ว่าในวังหลวงยังคงหลงเหลือมังกรที่น่าเกรงขามหรือไม่ เขาได้ยินว่าเผ่าพันธุ์มังกรทองยักษ์ซึ่งแทบจะสิ้นสูญไม่เคยปรากฏให้ใครเห็นมาหลายหมื่นปีแล้ว เช่นนั้นในอนาคตเขาจะมีโอกาสได้เห็นหรือ ใช่แล้ว ยังมีเรื่องเล่าขานของหงส์…

    เซาปิ่งช่างหอมหวน แต่ก็แข็งมากเช่นเดียวกัน ต้องใช้แรงในการกินไม่น้อย เดิมเฉินฉางเซิงคิดว่าตนเองได้โยนเรื่องทั้งหมดที่พบเจอในจวนขุนพลเทพทิ้งไปจากสมองแล้ว ขจัดความรู้สึกทุกข์ออกไปได้หมดสิ้น แต่เมื่อนึกถึงคำว่า ‘หงส์’ ก็พลันหวนคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับสายเลือดหงส์ที่ได้ยินในวันนี้ คิดไปถึงแม่นางสวีผู้ที่มีสายเลือดหงส์ คิดถึงเมื่อหลายปีก่อนที่ได้รับของเล่นเล็กๆ พวกนั้นผ่านทางนกกระเรียนขาว…

    เขามองเซาปิ่งคำสุดท้ายในมือ หลังเหม่อลอยสักพักจึงเอาขนมเข้าปากเคี้ยวอย่างละเอียดช้าๆ แล้วกลืนลงท้อง จากนั้นล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในแขนเสื้อเพื่อเช็ดเศษขนมออกจากมือให้สะอาด ก่อนสะพายสัมภาระแล้วหายไปในฝูงชน

    เขาไม่ทันสังเกตว่าไม่ไกลจากหัวมุมถนนมีรถม้าซึ่งไม่สะดุดตาคันหนึ่งจอดอยู่ ที่เพลารถม้าคันนั้นมีตรารูปหงส์สีแดงเข้มแวววาว แน่นอนว่าถึงเขาจะเห็นก็คงไม่รู้ว่านั่นคือตราสัญลักษณ์ของจวนขุนพลเทพ หลังจากคุณหนูแห่งสกุลสวีถือกำเนิด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้มอบตราสัญลักษณ์สายเลือดหงส์อันใหม่ให้สกุลสวี นี่คือเกียรติอันหามิได้อีกแล้ว ทั้งยังเป็นการประกาศใช้อย่างเป็นทางการอีกด้วย

    ม้าศึกที่เทียมรถมีสายเลือดของอาชาเขาเดียวอยู่ สายตาเย็นชาของมันมองไปยังแม่น้ำใต้สะพาน หญิงรับใช้อาวุโสภายในรถม้าก็มีสายตาเย็นชาเช่นกัน แต่ในแววตานั้นยังแฝงความประหลาดใจและระแวดระวังไว้

    หลังจากเฉินฉางเซิงออกจากจวนขุนพลเทพ นางก็ตามเขามาตลอดทาง คิดไม่ถึงว่าหลังจากเด็กหนุ่มเห็นเมืองหลวงต้าโจวแล้วจะยังสงบเยือกเย็นเพียงนี้ ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มชนบทที่ไร้การศึกษาแม้แต่น้อย นี่เป็นเพราะนางหาได้รู้ว่าเฉินฉางเซิงได้ศึกษาคัมภีร์มหาศาลตั้งแต่เยาว์วัย เขาได้ดูทิวทัศน์มากมายและได้เดินทางไปมานับไม่ถ้วนผ่านคัมภีร์พวกนั้น

     

    สวีซื่อจี้นั่งอยู่ที่ห้องหนังสือ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ประดุจภูเขา กลิ่นโลหิตแผ่กำจายอ่อนๆ ออกมา นกกระเต็นบนต้นไม้ที่อยู่ห่างจากหน้าต่างไปประมาณสิบกว่าจั้ง* หวาดกลัวจนต้องเอาหัวซุกไว้ที่ใต้ปีก ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงสักนิด กลิ่นอายอันแรงกล้าที่แฝงด้วยกลิ่นคาวโลหิตพิสูจน์ได้ว่าแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจอย่างยิ่งและยังทำให้รู้ด้วยว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่สู้ดีนัก

    สาเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดเช่นนี้คือจี้หยกครึ่งซีกที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ

    “ปีนั้นท่านพ่อเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ตำแหน่งไท่ไจ่ เป็นที่ไว้วางใจจากจักรพรรดินีอย่างยิ่ง ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้ควบคุมการเผาหนังสือในพิธีสักการะสวรรค์ ทว่าเผ่าปีศาจต้องการทำลายพิธีจึงได้ส่งกงหยางชุนไปลอบสังหารท่านพ่อ ท่านพ่อบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ท่านผู้เฒ่าแห่งเขาไท่ซานก็มิอาจรักษา กระทั่งได้มาเจอนักพรตผู้หนึ่งที่เดินทางผ่านเขาไท่ซานมาพอดี จึงรักษาอาการบาดเจ็บนี้ได้ ตั้งแต่นั้นจึงเกิดการหมั้นหมายขึ้น”

    สวีฮูหยินลดเสียงต่ำลงเอ่ยว่า “ดูเหมือนนักพรตผู้นั้นมีทักษะพิเศษบางอย่าง”

    สวีซื่อจี้เงยหน้า มองไปยังฟ้าสีครามที่อยู่นอกหน้าต่างแล้วกล่าวว่า “โลกกว้างใหญ่ไพศาล สรรพสิ่งมากมาย มีผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วน นักพรตท่านนั้นมีฝีมือด้านวิชาแพทย์เป็นเลิศอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นท่านพ่อคงไม่ให้หรงเอ๋อร์หมั้นหมายกับผู้สืบทอดของเขา”

    สวีฮูหยินกระวนกระวายใจ “ตอนนี้กุญแจสำคัญก็คือหนังสือสมรสฉบับนั้น…ถ้าหากนักพรตท่านนั้นไม่มีเบื้องหลัง หาใช่บุคคลสำคัญ แม้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่ถึงกับควบคุมไม่ได้กระมัง”

    สวีซื่อจี้อารมณ์เยือกเย็นลง “ไปทำให้เด็กหนุ่มนักพรตนั่นเข้าใจกระจ่างแจ้งเสีย”

    สวีฮูหยินลดเสียงลง หากไม่ตั้งใจฟังให้ดีคงไม่ได้ยินแม้แต่น้อย “เด็กหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนไม่ใช่คนที่จะจัดการได้โดยง่าย เงินทองของมีค่าใดๆ ก็คงใช้ไม่ได้ผลกับเขา ปีหน้าสุสานเทียนซูจะเปิดให้เข้า นักปราชญ์จากทางใต้คงส่งคนของตนมาเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะเสนอเรื่องการสมรสต่อราชสำนักอย่างเป็นทางการ เราจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดมิได้”

    สวีซื่อจี้หรี่ตาลงเล็กน้อย ประหนึ่งเสือที่หาญห้าวกำลังเพ่งมองเหยื่อ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เผาเขาให้เป็นเถ้าธุลีแล้วทิ้งลงในแม่น้ำลั่วเหอเสีย”

    อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่กลางวสันต์ ช่วงเวลาที่ฝนตกมาก น้ำในแม่น้ำลั่วเหอจะเอ่อท้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเถ้าธุลีหรือว่ากระดูก เมื่อตกลงไปในแม่น้ำแค่พริบตาเดียวก็จะหายลับไป

    * จั้ง หน่วยมาตราวัดของจีน แต่ละยุคสมัยอาจมีระยะแตกต่างกัน โดยทั่วไป 1 จั้งเทียบได้กับระยะทางประมาณ 3 เมตร

     

    ตอนที่ 4

    สำนักเทียนเต้า

    เหมือนทุกๆ เช้าตรู่ของสิบสี่ปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงตื่นเวลาปลายยามห้า เขาลืมตาขึ้นทันที นอนนิ่งๆ อยู่อีกห้าอึดใจจึงพลิกตัวลุกจากเตียง ใส่รองเท้า สวมเสื้อผ้า พับที่นอนให้เป็นระเบียบ เสร็จแล้วจึงไปล้างหน้าล้างตา เขากินข้าวต้มเนื้อเป็ดถ้วยหนึ่งและซาลาเปาเนื้ออุ่นๆ สี่ลูกที่อยู่ในเข่งซึ่งตั้งไว้หน้าห้องโถงของโรงเตี๊ยม กลับมาถึงห้องพักเขาใช้ชาเก่าของเมื่อคืนมาบ้วนปาก ส่องกระจกทองแดงเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเดินออกไปที่สวนหย่อม

    ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในวัดเล็กๆ ที่เมืองซีหนิง ไม่จำเป็นต้องหาบน้ำตัดฟืน เขาหันเข้าหาหมอกแรกอรุณและแสงแรกของท้องฟ้าจากที่ไกล หลับตาลงเข้าสู่ห้วงสมาธิ ในสมองผุดคัมภีร์เต๋าแล้วอ่านอย่างเงียบๆ จนกระทั่งจิตใจผ่อนคลายถึงจะนับว่าสิ้นสุดบทเรียนประจำวัน เขาเดินออกจากประตูข้างของโรงเตี๊ยม ตรงไปตามถนนที่ค่อยๆ คึกคักขึ้นเรื่อยๆ ของเมืองหลวง

    ในมือของเขาคือใบรายชื่อ บนนั้นมีรายชื่อของสำนักศึกษาหลากหลายแห่งในเมืองจิงตู ขณะเขาเร่งฝีเท้ามุ่งไปถามที่อยู่ของสำนักอันดับแรกจากผู้ดูแลท้องที่ ก็ไม่ได้ระแวดระวังเลยว่าด้านหลังมีรถม้าตามตนอยู่ จึงไม่ได้เห็นว่าม้าตัวนั้นเป็นม้าที่มีสายเลือดของอาชาเขาเดียว ยิ่งมิได้ระวังว่าเพลาของรถนั้นมีตราสัญลักษณ์หงส์

    นับแต่โบราณกาล หลังจากคัมภีร์สวรรค์ลอยร่วงสู่โลกหล้า ปัญญาแห่งประชาราษฎร์ถือกำเนิด และพัฒนาเป็นศาสตร์วิชามากมายหลายหลาก แต่ต่อให้แปรเปลี่ยนไปนับหมื่นไกลห่างจากหลักแหล่งก็ยังคงตามต่อแก่นฐานเดิม ทุกศาสตร์ทุกเรื่องราวล้วนครอบคลุมอยู่ในตำราคัมภีร์แห่งเต๋า ไม่ว่าจะการเพาะปลูก การก่อสร้าง หรือการค้าขาย ต่างมีหลักการเช่นนั้น และเมื่อต้องการตั้งเกณฑ์วัดมาตรฐาน สิ่งซึ่งมีอำนาจอิทธิพลเป็นที่ยอมรับของทุกคนในเวลานี้ที่สุดก็คือการสอบใหญ่ประจำปีของราชวงศ์ต้าโจว

    การสอบใหญ่ริเริ่มโดยจักรพรรดิไท่จู่ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าโจว ไม่ว่าจะสอบเข้ามาเพื่อเป็นขุนนางราชสำนัก หรือเข้ากองทหารเป็นขุนพล หรือเข้าศาสนาหลวงเพื่อเป็นขุนนางเทพ ผลคะแนนของการสอบใหญ่เป็นเกณฑ์ที่สำคัญที่สุด จักรพรรดิไท่จู่รับสั่งว่ามีเพียงแค่ผู้สอบได้คะแนนขั้นเอกสามขั้นเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าสุสานเทียนซูศึกษาคัมภีร์สวรรค์ เพราะกฎระเบียบข้อนี้เองทำให้ทุกต้นปีบรรดาผู้แกร่งกล้าบนโลกนี้จำนวนนับไม่ถ้วนจะเดินทางมายังจิงตู เล่ากันว่าในปีที่จัดการสอบใหญ่เป็นครั้งแรกนั้นจักรพรรดิไท่จู่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง จ้องมองไปยังเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของทุกสำนักในแผ่นดินที่ไม่ผิดแผกกับปลาจี้จำนวนมากมายแหวกว่ายเข้ามา เขาหัวเราะพลางกล่าวประโยคที่มีชื่อเสียงมากประโยคหนึ่งออกมา และได้วางรากฐานของการสอบใหญ่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    บรรดาแคว้นในแดนใต้ซึ่งมีสำนักพรรคตระกูลที่โด่งดังมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพรรคฉางเซิง เป็นธรรมดาที่จะไม่พอใจกับกฎระเบียบข้อนี้ จากมุมมองของพวกเขา ถึงแม้สุสานเทียนซูจะอยู่ที่จิงตูในแคว้นต้าโจว แต่มันเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ทุกชีวิตบนโลก จึงแน่นอนว่าย่อมเป็นของทุกคนอย่างเท่าเทียม เพราะเหตุนี้พวกแดนใต้จึงได้ต่อต้านการสอบใหญ่ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับต้าโจวค่อนข้างตึงเครียด

     

    สุสานเทียนซูมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บำเพ็ญเพียร ถึงแม้ราชวงศ์ต้าโจวมีอำนาจแข็งแกร่งก็ไม่ควรที่จะไม่สนใจคนรอบข้าง ยึดเอาไว้ใช้แต่เพียงผู้เดียว นับตั้งแต่เผ่าปีศาจถูกตีจนล่าถอยไปก็ไม่มีใครกล้าเป็นตัวตั้งตัวตีอีก แดนใต้ภายนอกต่อต้าน แต่ยังคงมีสำนักมากมายที่ส่งผู้แกร่งกล้าและศิษย์ผู้มีพรสวรรค์เข้าร่วมการสอบใหญ่เป็นการส่วนตัว

    จนกระทั่งผลัดเปลี่ยนรัชสมัย เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาปกครองดูแลแคว้น ในที่สุดราชวงศ์ต้าโจวและบรรดาผู้ครองแคว้นทางใต้ก็ทำข้อตกลงร่วมกัน โดยพวกเขาสามารถส่งคนมาร่วมการสอบใหญ่ของราชวงศ์ต้าโจวได้อย่างอิสรเสรี และเพื่อให้การสอบเป็นไปอย่างยุติธรรม เกณฑ์การตัดสินจะถูกกำหนดโดยทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดอีกว่าคนของแดนใต้ที่สอบผ่านสามารถไม่รับตำแหน่งขุนนางของต้าโจวก็ได้เช่นกัน

    หลายปีมานี้การสอบใหญ่ได้เฟ้นเอาผู้แกร่งกล้าออกมานับไม่ถ้วน หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้แกร่งกล้าที่เป็นเลิศของแผ่นดินล้วนแต่เป็นผู้ผ่านประสบการณ์การสอบใหญ่มาแล้วทั้งสิ้น ยิ่งเป็นที่รู้กันทั่วว่าทั้งสังฆราชแห่งศาสนาหลวงคนปัจจุบัน และผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเซิ่งหนี่ว์แดนใต้ก็เป็นผู้ที่เคยผ่านการสอบใหญ่มาอย่างงดงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้มีความสามารถของเผ่ามารเหล่านั้น ล้วนแต่เคยแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ แม้แต่องค์ชายของเผ่าปีศาจครั้งหนึ่งก็ยังเคยมาผจญภัยที่จิงตู ทว่ากลับถูกอดีตสังฆราชรุ่นก่อนจับได้และใช้วิชาเทพกำจัดไป

    แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ผู้คนต่างให้ความสนใจก็คือการสอบใหญ่ของปีหน้า ชิวซานจวินแห่งสำนักฉางเซิงจะเข้าร่วมหรือไม่ จะมีกี่คนที่สามารถฝ่าทะลวงยอดฝีมือเจ็ดบัญญัติแดนเทพเข้าไปได้ สวีโหย่วหรงจะบรรลุอีกขั้นบำเพ็ญเพียรได้ก่อนกำหนดแล้วลงจากยอดเขาเซิ่งหนี่ว์กลับมาจิงตูหรือไม่ ผู้มีพรสวรรค์แกร่งกล้าลึกลับของเผ่าปีศาจซึ่งอยู่ในป่ารกร้างคนนั้นจะปรากฏตัวต่อโลกมนุษย์เป็นครั้งแรกในการสอบ หรือว่าจะตามรบราฆ่าฟันกับผู้แกร่งกล้าเผ่าปีศาจคนอื่นๆ ต่อไป นอกจากเรื่องเหล่านั้น ชาวเมืองจิงตูยังสงสัยด้วยว่าหนนี้ในสำนักศึกษาของจิงตูจะปรากฏผู้มีพรสวรรค์กี่คน

    นี่มิใช่การกล่าวเกินจริง จิงตูมีสำนักศึกษามากมาย จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์บริหารบ้านเมืองอย่างเข้มงวด ทุกหน่วยงานมีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ประชาราษฎร์มีความเป็นอยู่ที่ดี หลายสิบปีมานี้มีแต่ความสงบสุข เรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยอันเจริญรุ่งเรือง หลากหลายสำนักศึกษาจึงผุดขึ้นประหนึ่งหน่อไม้หลังฝน จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ถึงกับมีหลายสำนักที่ก่อตั้งมาเพื่อการสอบใหญ่โดยเฉพาะ ผู้แกร่งกล้าของศาสนาหลวงเปิดสำนักส่วนตัวสอนอย่างลับๆ ก็มี สำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงย่อมเป็นสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีประวัติยาวนานมาหลายชั่วอายุคน ในจำนวนนั้นมีสองแห่งที่ถึงขนาดว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าโจวเสียอีก

    ใบรายชื่อของเฉินฉางเซิงมีทั้งหมดหกสำนัก เวลานี้เขาไปที่สำนักเทียนเต้า (วิถีฟ้า) ซึ่งเป็นอันดับแรกสุด เหตุผลที่สำนักเทียนเต้าเป็นอันดับแรกก็เพราะในการสอบใหญ่ตลอดสองร้อยปีมานี้ ลูกศิษย์สำนักเทียนเต้าได้รับการประกาศรายชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งรวมทั้งสิ้นยี่สิบสี่ครั้ง ลูกศิษย์ที่ต้องการจะมาศึกษาที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือคนธรรมดา สำนักแห่งนี้ได้อบรมบ่มเพาะศิษย์เข้าเป็นขุนนางเทพที่มีตำแหน่งสำคัญในศาสนาหลวงมานับไม่ถ้วน ไหนจะเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักพรรคตระกูลต่างๆ อีก สำคัญที่สุดก็คือสังฆราชแห่งศาสนาหลวงคนปัจจุบันเคยเป็นลูกศิษย์ของสำนักแห่งนี้

    ลูกศิษย์สำนักเทียนเต้าสอบได้คะแนนดีเลิศที่สุดในการสอบใหญ่ เป็นธรรมดาที่จะสมัครเข้าศึกษาที่นี่ยาก แต่ผู้คนก็ยังเลือกสมัครเข้าที่นี่เป็นจำนวนมากที่สุด เฉินฉางเซิงเดินไปถึงหน้าประตูของสำนักเทียนเต้า มองประตูหยกสีดำใหญ่ตั้งตระหง่านบานนั้น มองไปยังป้ายชื่อสำนักที่องค์ปฐมจักรพรรดิเป็นผู้เขียนด้วยตนเอง อด

     

    ไม่ได้ที่จะบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา แต่เพียงไม่นานความรู้สึกนั้นก็อันตรธานหายไปเพราะกลิ่นเหงื่อและกลิ่นหมึกที่พุ่งเข้าจมูก เขาพลันก้มหัวต่ำลงตามความเคยชิน

    ตอนที่ออกจากซีหนิงเขาคิดคำนวณเวลาไว้อย่างเหมาะเจาะว่าเมื่อมาถึงเมืองจิงตูจะเป็นฤดูวสันต์ เป็นช่วงเวลาที่ทุกสำนักเปิดรับลูกศิษย์ เขาคาดคิดไว้แล้วว่าสำนักเทียนเต้าต้องมีคนมาสมัครเป็นจำนวนมากแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าจะมากมายจนอยู่ในระดับที่น่ากลัวอย่างนี้ แต่ที่ทำให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกมากที่สุดคือเหล่าเด็กหนุ่มท่าทางเกียจคร้านที่หน้าประตูคอยชี้มือชี้ไม้ไปในกลุ่มคน

    เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นสวมใส่เสื้อผ้าลักษณะคล้ายกัน โดยรวมเป็นสีดำ สายคาดเอวเป็นสีทอง คงจะเป็นชุดของสำนักเทียนเต้ากระมัง เฉินฉางเซิงรู้เลยว่าพวกเขาคงจะเป็นกลุ่มที่สอบตกในการสอบใหญ่ของต้นปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้หยิ่งทะนงตน แต่คงจะยังไม่คลายโกรธ จึงมีสีหน้าไม่สู้ดีนักกับคนที่มาสมัครเข้าสำนักเทียนเต้าในวันนี้ เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นแววดูแคลนในดวงตาของพวกเขาก็ก้มหน้าลงกว่าเดิม

    ที่ก้มหัวไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอะไร ทว่าเพราะเขามีนิสัยรักความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายภายนอกหรือว่าภายในจิตใจ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากดมกลิ่นเหงื่อเหม็นฉึ่งของคนพวกนั้น และก็ไม่อยากได้ยินคำพูดดูหมิ่นอะไรด้วย

    “ดูเจ้าโง่นั่นสิ คล้ายกับสุกรตัวหนึ่งก็มิปาน ทั้งยังเอาพัดเสียบไว้ที่คอเสื้ออีก คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายฮ่วนอวี่รึ ทำไมไม่คิดว่าคอหนาๆ เนื้อย้วยเป็นชั้นๆ นั่นจะกดจนพัดที่เสียบอยู่พัง!”

    “ไม่ผิด ดูวิธีก้าวเท้านั่นสิ เบาหวิวหาความมั่นคงไม่เจอ เพิ่งจะสำเร็จการชำระล้างกระดูกมากที่สุดก็แค่สองเดือนกระมัง ดูท่าเส้นเอ็นและกระดูกก็ยังไม่เคยฝึกฝน นึกไม่ถึงจะกล้ามาสมัครเข้าสำนักเทียนเต้า ด้วยพลังลมปราณที่น่าเวทนานั่นไม่มีทางจะอ่านและเข้าใจคัมภีร์เต๋าจนจบได้หรอก”

    “อ่านคัมภีร์เต๋าจนจบ? แม้แต่หนอนตำราก็ยังไม่กล้าพูดประโยคนี้ พวกเจ้าอาจสงสารเจ้าโง่พวกนี้ แต่ข้ากลับสงสารบิดามารดาพวกเขามากกว่า เสียหน้านั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เงินที่จ่ายเป็นค่าสมัครเรียนคงสูญเปล่าแล้ว ถ้าหากข้าเป็นบิดามารดาของพวกเขาล่ะก็ สู้เปลี่ยนเงินเหล่านั้นเป็นโอสถลดก้อนเนื้อก้อนมัน อย่างน้อยก็แต่งภรรยาได้คนหนึ่ง”

    “แต่งภรรยาแล้วอย่างไร เกรงว่าแม้แต่ยาดอกเหมยแก้ฝีแก้บวมก็คงต้องหากินเอง ในอนาคตหากเขามีบุตรชายหญิงสักสิบเจ็ดสิบแปดคน ทุกคนคงจะอ้วนและโง่เขลาเช่นเขาก็มิปาน หรือว่าการเลี้ยงหมูคอกหนึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีกันนะ”

    เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นหัวเราะครื้นเครง วิพากษ์วิจารณ์คนที่มาสมัครเข้าเรียนอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้อยคำที่เปล่งออกมาช่างระคายหูและไม่คิดจะควบคุมระดับเสียงสักนิด ถึงขั้นอยากให้อีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยซ้ำ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก เจ้าอ้วนที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ใบหน้าแดงก่ำ ทว่ากลับไม่ต่อต้านใดๆ เพราะคำพูดเหล่านั้นคือเรื่องจริง เขาเพิ่งผ่านการชำระล้างกระดูกมาสิบกว่าวัน ปรารถนาที่จะสอบเข้าสำนักเทียนเต้าคงจะเป็นเรื่องเกินตัว ประเด็นสำคัญคือต่อให้เขาเข้าเรียนได้เพราะโชค ก็ยิ่งไม่ควรมีเรื่องมีราวกับศิษย์พี่กลุ่มนี้

    เฉินฉางเซิงเดินฝ่ากลุ่มคน ฟังคำพูดที่สกปรกโสโครกเหล่านั้นแล้วหัวคิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่าถ้าคนที่ถูกวิจารณ์คือตน ไม่รู้ว่าจะสามารถอดทนได้หรือไม่ โชคดีที่เขาก้มหัวอยู่ อีกทั้งลมปราณยังธรรมดา อยู่ในกลุ่มคนจึงไม่สะดุดตา ยากเป็นอย่างยิ่งที่ผู้อื่นจะให้ความสนใจ จึงทำให้เขาสามารถหลบหลีกสภาพการณ์ ทะลุผ่านประตูหยกสีดำไปอย่างราบรื่น เดินเข้าไปข้างใน

     

    เพราะมัวแต่ก้มหัวและคิดถึงเรื่องพวกนั้น เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจทางเดินที่พาไปยังตัวสำนักเทียนเต้า สองฝั่งทางเดินมีกำแพงหินสูงใหญ่ บนนั้นสลักเป็นรูปดอกไม้เทพอันวิจิตรพิสดาร และยังอัดแน่นไปด้วยรายชื่อ ดูคล้ายกับป้ายประกาศขนาดใหญ่อะไรสักอย่าง มีสายตามากมายที่หยุดอยู่บนรายชื่อเหล่านั้น บางสายตามีความเลื่อมใสยกย่อง บางสายตาร้อนเร่าดังนั่งบนกองไฟ

    คนรับใช้ที่คอยติดตามผู้ที่มาสมัครสอบจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสำนักเทียนเต้า ดังนั้นเมื่อผ่านเข้าประตูหยกดำมาแล้วรอบด้านจึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ เฉินฉางเซิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดสะอ้านมาเช็ดเม็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก จากนั้นระบายลมหายใจออกมา รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง เขาเข้าแถวข้างหลังขบวนที่ยาวเหยียด

    ผู้คนที่มาสมัครเข้าสำนักเทียนเต้ามีมากมาย มองดูแล้วเหมือนตำนานของแดนปีศาจที่กล่าวขานถึงงูยาวคดเคี้ยวเป็นร้อยจั้ง เบื้องหน้าเฉินฉางเซิงห่างออกไปไกลมีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง แถวเริ่มตั้งขบวนตั้งแต่ตรงนั้น ยาวยืดมาจนถึงพื้นหญ้าด้านนี้ ขบวนแถวยังทอดผ่านธารน้ำสายหนึ่ง ผู้ที่มาสมัครยืนอยู่บนสะพานไม้ ถูกลมวสันต์ที่หนาวเย็นพัดใส่ใบหน้าที่แข็งชา เนื้อตัวสั่นเทา

    เฉินฉางเซิงมองเห็นมีคนเดินออกมาจากสิ่งปลูกสร้างนั้น ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว สีหน้าของพวกเขาแข็งชาเหมือนคนที่อยู่บนสะพาน ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อมิใช่เพราะหนาวเหน็บก็คงเป็นเพราะการสอบไม่ราบรื่นเป็นแน่ ในกลุ่มคนที่เข้าแถวมีบางคนจ้องมองท่าทางของพวกเขา ทันใดนั้นพลันแตกตื่นขึ้นมา ไม่มีแก่ใจจะคุยเล่นใดๆ ทั้งสิ้น

    เฉินฉางเซิงไม่รู้จักใครและไม่มีผู้ใดรู้จักเขา จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้พูดคุยหยอกล้อกับใคร เขามองไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ไกลออกไปหลังนั้นอย่างสงสัยใคร่รู้ ตอนนี้ที่เขาเป็นกังวลก็คือการสอบเข้าสำนักเทียนเต้าจะเหมือนที่กล่าวไว้ในหนังสือหรือไม่ ยังคงใช้วิธีเหล่านั้นหรือไม่ ผู้คนที่ไม่ผ่านการทดสอบเพราะเหตุใดถึงพ่ายแพ้ออกมาอย่างรวดเร็วปานนี้ หรือว่าการสอบของสำนักเทียนเต้าจะเปลี่ยนไปแล้ว

    แถวขยับไปข้างหน้าไม่หยุด ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ เข้าใกล้สิ่งปลูกสร้างแห่งนั้นมากขึ้นทีละน้อย จนมาถึงด้านล่างเพิงไม้ไผ่แถวหนึ่ง มองไปยังอาจารย์ของสำนักเทียนเต้าที่มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ด้านหลังโต๊ะหิน มองไปยังหินสีดำที่อยู่ตรงกลางโต๊ะ เฉินฉางเซิงรู้ทันทีว่านั่นคือสิ่งใด นึกออกถึงเหตุการณ์ในคัมภีร์เต๋าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เขาพลันตกตะลึงเล็กน้อย

     

    ตอนที่ 5

    เด็กหนุ่มอาภรณ์คราม อันดับที่สามสิบหก

    คนหนุ่มสาวที่มาสอบเข้าสำนักเทียนเต้าพากันจับก้อนหินโดยเรียงตามลำดับภายใต้คำสั่งของอาจารย์ที่ดูเคร่งขรึมผู้นั้น แล้วกุมแน่นๆ ไว้สามอึดใจ เมื่อหินสีดำก้อนนั้นอยู่ในมือของผู้คนก็จะเปล่งแสงออกมาเล็กน้อย ในแสงสว่างรางๆ มีความแตกต่าง และมีคนเพียงหยิบมือที่เมื่อหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

    ก้อนหินสีดำก้อนนั้นมีชื่อที่ธรรมดาอย่างยิ่ง

    หินเหนี่ยวนำ

    ในบรรดาคัมภีร์เต๋ามีอยู่เล่มหนึ่งบรรยายเกี่ยวกับการก่อเกิดของสิ่งแปลกประหลาดในภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร มีชื่อว่า ‘คัมภีร์กำเนิดสรรพสิ่ง’ เฉินฉางเซิงเคยเห็นภาพวาดของก้อนหินแบบนี้ในคัมภีร์เล่มนั้น รู้เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของมัน ก้อนหินนี้ราวกับมีสัมผัสแห่งเทพ เมื่อแตะถูกร่างกายของมนุษย์ก็จะมีกระแสพลังไหลเข้าไป กระตุ้นพลังปราณในร่างกายของผู้สัมผัส หลังจากนั้นก็เหมือนกับการตกปลา หินนี่จะนำพลังปราณของมนุษย์บางส่วนกลับเข้าไปในตัวมัน หากผู้ที่สัมผัสก้อนหินเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ สัมผัสเทพจะยิ่งรุนแรง หินสีดำยิ่งได้รับการเติมเต็มและจะยิ่งสว่างไสว หลังจากทดลองใช้หินเหนี่ยวนำมาหลายปีจึงเกิดเป็นบทสรุปที่ว่ายิ่งหินสว่างไสวเท่าไร ผู้ที่สัมผัสมันก็ยิ่งเปี่ยมความสามารถมากเท่านั้น

    ทุกปีสำนักเทียนเต้ามีคนมาสมัครสอบเข้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเพิ่มขั้นตอนตรวจสอบขั้นพื้นฐานนี้เข้าไป หินสีดำผ่านมือผู้คนมานับไม่ถ้วน บางทีสว่างจ้าบางทีสลัวราง แถวคดเคี้ยวขยับเข้าใกล้สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านหน้าต่อไป มีคนที่ถูกอาจารย์ท่านนั้นส่งสัญญาณให้ออกจากขบวนไปอย่างเย็นชา บรรยากาศบริเวณนั้นดูกดดันเป็นพิเศษ

    มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกุมหินสีดำ แต่ก้อนหินไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้นจึงถูกให้ออกไป เด็กหนุ่มคนนั้นผิดหวัง ร้องไห้ตะโกนขอโอกาสให้ตนอีกสักครา มือกุมก้อนหินไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คนงานของสำนักเทียนเต้าเลยลากออกไป ความไม่ยินยอมของเขาไม่ได้มีความหมายใดๆ นอกจากก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

    การตรวจสอบยังคงดำเนินต่อไป ผู้ใดสามารถทำให้ก้อนหินสีดำสว่างไสว ใบหน้าก็จะปรากฏความรู้สึกเบิกบานยินดี ผู้ใดไม่สามารถทำให้ก้อนหินสีดำสว่างไสวก็หงอยเหงาเศร้าซึมยิ่งนัก

    เสียงหัวเราะของบรรดาศิษย์พี่ที่มุงดูเดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อย อาจารย์ผู้รับผิดชอบการตรวจสอบหินเหนี่ยวนำสีหน้ายิ่งนานยิ่งไม่น่าดู ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงขณะนี้มีผู้คนหลายร้อยที่กุมหินเหนี่ยวนำ แม้ว่ามีคนจำนวนมากที่สามารถทำให้มันเปล่งแสงซึ่งพิสูจน์เบื้องต้นว่าพวกเขาชำระล้างกระดูกได้สำเร็จ แต่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาผู้เข้าทดสอบของปีนี้อยู่ในระดับที่ธรรมดาอย่างยิ่ง ในประวัติศาสตร์การทดสอบมีหนึ่งคนที่ปรากฏว่าอยู่ในขั้นชำระล้างกระดูกระดับที่สาม ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมายังไม่เคยพบผู้ใดที่อยู่ในขั้นชำระล้างกระดูกระดับสูงสุดเลย ยิ่งไม่มีทางได้เจออัจฉริยะเยาว์วัยที่สามารถผ่านขั้นถอดจิต จึงเป็นธรรมดาที่อาจารย์ผู้คุมการทดสอบจะอารมณ์ไม่เบิกบานนัก

    การบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ และเผ่ามารมีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนกัน มนุษย์นั้นแรกสุดต้องศึกษาตำรับตำราหาความรู้ เปิดสมองและจิตใจ ต่อมาต้องเข้าฌานสมาธิเพื่อให้จิตสงบนิ่ง เมื่อนั้นจะเกิดปัญญาและญาณ อาศัยสติปัญญามาหยั่งรู้ฟ้าดิน อาศัยจิตญาณมาเป็นแรงกำลังหล่อหลอมร่างกาย เริ่มจากผิวหนัง เส้นขน เส้นผม จนถึงเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ลึกลงไปเรื่อยๆ กระทั่งเข้าสู่ไขกระดูก ฝึกฝนจนแข็งแกร่ง

    เปี่ยมพละกำลังสามารถยกก้อนหินใหญ่ได้ สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายอย่างคนธรรมดา นี่เป็นที่มาของชื่อชำระล้างกระดูก

    ต่างกับเผ่าปีศาจที่ตั้งแต่เกิดมาก็มีร่างกายแข็งแกร่งดุจทองดุจหิน ถ้าหากมนุษย์ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการชำระล้างกระดูกก็คงไม่สามารถเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามในสนามรบได้ ดังนั้นในกองทัพของเผ่ามนุษย์อย่างน้อยก็ต้องผ่านการชำระล้างกระดูกถึงจะมีคุณสมบัติเป็นพลทหารในสนามรบอันเกรียงไกร อีกทั้งการชำระล้างกระดูกยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณสมบัติส่วนอื่นๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรอีกด้วย นอกจากเสริมสร้างความแข็งแรงให้เส้นเอ็นและกระดูกแล้วยังทำให้สติปัญญากระจ่างแจ้ง เพิ่มขีดขั้นความทรงจำ และสามารถแบ่งแยกพลัง หากใช้หลักแห่งเต๋ามาสรุปก็คือการพบเจอโลกอีกแห่ง

    ที่ว่ามหามรรคสามพันม้วนก็เป็นเพียงการกล่าวโดยประมาณ ตำราและคัมภีร์บนโลกนี้มีมากมายมหาศาลประดุจฟองคลื่นในมหาสมุทร ตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นตัวแทนศาสตร์ความรู้นับไม่ถ้วน หากว่าไม่ชำระล้างกระดูกจนมีสติปัญญาปราดเปรื่องจิตใจใสสะอาดแล้วนั้น ไหนเลยจะสามารถเหยียบมหาสมุทรไปขอรับศาสตร์ความรู้ การออกไปเผชิญโลกกว้างโดยปราศจากการเตรียมตัว เพียงครู่เดียวคงไม่พ้นหลงทางหรือถูกคลื่นโหมซัดตีจนกระดูกและเส้นเอ็นแหลกละเอียด เสียชีวิตเป็นแน่ หลายปีมานี้สำนักเทียนเต้าจึงได้เพิ่มขั้นตอนตรวจสอบ พิจารณาจากแง่นี้แล้วนับว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากเจ้าแม้แต่ขั้นชำระล้างกระดูกก็ยังไม่ลุผ่าน แล้วจะมีคุณสมบัติไปบำเพ็ญเพียรในขั้นที่ลึกซึ้งกว่าได้อย่างไร

    เมื่อวานตอนอยู่ที่จวนขุนพลเทพเฉินฉางเซิงก็ได้กล่าวยอมรับว่าตนไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร แปลว่าเขายังไม่เคยชำระล้างกระดูก จึงเป็นธรรมดาที่เหตุการณ์ที่เขากุมหินดำไว้แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะเกิดขึ้น ไม่แคล้วเขาคงต้องถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากขบวน แต่ที่แปลกก็คืออารมณ์ของเขาสงบนิ่งมาก คล้ายกับไม่กังวลอะไรเลย

    เวลานี้เขาห่างจากโต๊ะตัวนั้นไม่ไกลมาก มีเพียงสามคนที่อยู่หน้าเขา คนที่อยู่หน้าสุดคือเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีคราม เขาเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะตัวนั้น ไม่รอให้อาจารย์ของสำนักเทียนเต้าเอื้อนเอ่ยอันใดก็ยื่นมือออกไปหยิบหินเหนี่ยวนำสีดำ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทุกคนในที่นั้นถึงรู้สึกตึงเครียด

    บางทีอาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มที่สวมใส่อาภรณ์สีครามมีท่าทีสงบนิ่งยิ่งนัก

    ต้นฤดูวสันต์ ท้องฟ้าเมืองจิงตูเต็มไปด้วยเมฆ พระอาทิตย์ถูกบดบังไว้ด้านหลัง สำนักเทียนเต้าสง่างามและเงียบสงบ แต่แล้วจู่ๆ ทุ่งหญ้าริมลำธารกลับสว่างไสว ต้นหญ้าที่เพิ่งแตกยอดสีเขียวอ่อนออกมาใหม่ราวกับเปลี่ยนเป็นกิ่งก้านหยก หยดน้ำค้างที่หลงเหลือเปลี่ยนเป็นไข่มุกแวววาว น้ำในลำธารใสแจ๋ว ปลาตัวเล็กๆ ที่เดิมทีแหวกว่ายไปมา แต่เมื่อสายตามองขึ้นเหนือผิวน้ำ แสงสว่างไสวกระทบเข้ากับนัยน์ตาพลันทำให้พวกมันถึงกับลืมแหวกว่ายในบัดดล

    ผู้คนต่างยกมือบดบังสายตาโดยมิรู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเมฆกระจายพระอาทิตย์โผล่พ้น นำพาแสงสว่างมา ผ่านไปชั่วครู่จึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบกลับ แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าต่อให้ตอนนี้เป็นฤดูวสันต์ ทว่าก็ไม่มีทางที่ท้องฟ้าจะเจิดจ้าเช่นนี้ นับประสาอะไรกับยามนี้พระอาทิตย์ยังซ่อนอยู่หลังเมฆ…เช่นนั้นแล้วแสงสว่างนี้มาจากแห่งใด

    แสงสว่างค่อยๆ เบาบาง ผู้คนเริ่มปรับสายตาได้เล็กน้อย พากันลดมือที่ยกขึ้นมาบังตาลง มองเห็นอาจารย์สำนักเทียนเต้าท่านนั้นอ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่คาดไม่ถึง เวลาเดียวกันผู้คนก็มองเห็นแล้วว่าแสงสว่างมาจากที่ใด ที่แท้มาจากกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มอาภรณ์คราม หินเหนี่ยวนำสีดำก้อนนั้นเวลานี้

     

    คล้ายกับจะเปลี่ยนเป็นหินที่ร้อนจัดที่สุดในปล่องภูเขาไฟ ดูจากทิศทางของเส้นแสงที่กระจายออกมานับไม่ถ้วน มันราวกับลุกไหม้ก็มิปาน!

    “ขั้นถอดจิต…คาดไม่ถึงว่าจะเป็น…ขั้นถอดจิตหรือ”

    อาจารย์สำนักเทียนเต้าท่านนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เขาจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มอาภรณ์ครามผู้นั้นราวกับกำลังจ้องมองหยกล้ำค่า ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน เดินอ้อมโต๊ะไปยังเบื้องหน้าฝ่ายตรงข้าม ก้มหัวมองไปยังฝ่ามือของเขาอย่างใคร่รู้ จ้องไปยังลำแสงที่กระจายออกมาเหล่านั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงว่าอาจารย์ท่านนี้จะถึงกับยับยั้งสติไม่อยู่ ต้องรู้เสียก่อนว่า…ใบหน้าของเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ยิ่ง ชัดเจนว่าอายุไม่เกินสิบหกปี แต่กลับถึงขนาดอยู่ในขั้นถอดจิต!

    นี่หมายความว่าอะไรอย่างนั้นหรือ ย่อมหมายความว่าผู้มีพรสวรรค์อย่างไรเล่า! เหล่าศิษย์พี่ที่เกาะกลุ่มกันหยุดการเยาะเย้ยถากถางนานแล้ว เขามองไปยังข้างล่างเพิงไม้ไผ่ประหนึ่งเห็นภูตผีก็มิปาน กลุ่มตรงประตูทางเข้าที่ก่อนหน้านั้นพูดจาได้ไม่น่าฟังที่สุดถึงขนาดไถลตกจากม้านั่งหิน ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาอย่างตระหนกตกใจว่า “เป็นไปได้อย่างไร ขนาดศิษย์พี่ไป๋ยังบรรลุขั้นถอดจิตตอนอายุสิบหกปี…แต่เจ้าเด็กนี่…หรือว่าเจ้านี่จะมีใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กำเนิด? ไม่อย่างนั้นเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไร!”

    เวลานี้เอง มีเสียงที่ฟังดูชราและเย็นชาดังมาจากทางด้านหลังพวกเขา

    “ในเมื่อเขาคือถังซานสือลิ่ว คงไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้”

    “ถังซานสือลิ่ว? เขาคือถังซานสือลิ่วรึ”

    ทุกคนได้ยินชื่อนี้ยิ่งเพิ่มความตระหนกตกใจ มีคนเอ่ยว่า

    “เขาอยู่อันดับที่สามสิบหกของทำเนียบชิงอวิ๋น…เพราะเหตุใดจึงออกจากเวิ่นสุ่ยมาจิงตู หรือเป็นเพราะการสอบใหญ่ในปีหน้า? แต่ด้วยความสามารถของเขา ปรารถนาจะเข้าสุสานเทียนซูก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดไม่ใช่หรือ”

    ใครคนหนึ่งจึงกล่าวอธิบาย “ถังซานสือลิ่วทั้งโอหังและถือดีที่สุด เขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ใดเหนือกว่าเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเจ็ดบัญญัติแดนเทพ แม้แต่ลูกหมาป่าแห่งแดนเหนือผู้นั้นเขาก็ไม่เกรงกลัว ในเมื่อเขาปรารถนาเข้าร่วมการสอบใหญ่ของปีหน้าก็คงเพราะอยากจะสร้างชื่อให้ตนเป็นแน่ เช่นนี้ก็เข้าใจได้ที่เขาจะมาจิงตูล่วงหน้า และในเมื่อมาแล้วก็ย่อมต้องมาที่สำนักเทียนเต้าของพวกเรา”

    ได้ยินนามถังซานสือลิ่ว ผู้คนต่างคิดไปถึงข่าวลือของเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์คนนี้ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเบาๆ แล้วก็มีคนกล่าวอีกว่า “ไม่เกรงกลัวเจ็ดบัญญัติแดนเทพนั้นย่อมได้ แต่เขาจะไม่เกรงกลัวต่อชิวซานจวินเชียวรึ”

    “เรื่องนั้นก็ยากจะตอบแล้ว แต่ดูจากวิถีของแสงที่หินเหนี่ยวนำเปล่งออกมา เกรงว่าเขายังคงเก็บงำพลังที่แท้จริงไว้”

    บรรดาศิษย์พี่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่ แต่แล้วก็นึกได้ถึงน้ำเสียงชราและเย็นชาที่ได้ยินเมื่อครู่ พากันหันหลังกลับไปมองด้วยความงุนงง พบว่าคนที่มาคือรองเจ้าสำนักจวงแห่งสำนักเทียนเต้าผู้น่าเกรงขาม จึงต่างพากันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว โค้งตัวทำความเคารพไม่หยุด แล้วหลบลี้หนีหายกระจัดกระจายกันไป

    ผู้แกร่งกล้าหรืออาจเรียกอีกอย่างว่าผู้มีพรสวรรค์ย่อมมีเหตุผลอันสมควรที่จะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน บรรดาคนหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการทดสอบของสำนักเทียนเต้าไม่มีผู้ใดรู้ภูมิหลังของเด็กหนุ่มอาภรณ์ครามผู้นั้น ยิ่งเพิ่มความหวั่นไหวให้พวกเขายิ่งขึ้น พากันจ้องมองด้านหลังของเด็กหนุ่ม ความรู้สึกหวาดผวาและเลื่อมใส

    ผสมปนเปพรั่งพรูออกมา เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเลื่อมใส เพราะตัวเขาไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้ แท้จริงแล้วรู้สึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย

    เด็กหนุ่มอาภรณ์ครามก้าวเดินไปด้วยท่าทางเมินเฉย ไม่นานก็เข้าไปในสิ่งปลูกสร้างแห่งนั้น ขณะที่คนที่เหลือยังคงต้องรับการทดสอบต่อไป ไม่นานก็มาถึงเฉินฉางเซิง เขาเดินไปยังด้านหน้าของโต๊ะ มองดูลักษณะภายนอกที่ขรุขระและหยาบด้านของหินก้อนนั้น ก้อนหินสีดำมีรูเล็กๆ ที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนจำนวนนับไม่ถ้วน เขาลังเลชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือไปกุมหิน ยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา แล้วสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัดถึงสายลมเย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ลมนั่นพรั่งพรูออกมาจากรูเล็กๆ ของก้อนหินสีดำ ไหลจากกลางฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้นก็หลั่งไหลไปตามเส้นชีพจรอย่างรวดเร็ว พยายามชอนไชไปสู่ตำแหน่งที่ลึกยิ่งขึ้นเพื่อค้นหาพลังที่แท้จริงของเขา สายลมเย็นนั้นไร้ซึ่งจิตสำนึก ยิ่งไม่มีเจตนาชั่วร้ายใดๆ เขาจึงไม่ได้กระทำการต่อต้านมันแต่อย่างใด ปล่อยให้มันค้นหาไปทั่วทุกซอกทุกมุมในร่างกาย อันที่จริงถึงเขาอยากจะต่อต้านก็ทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีความสามารถถึงเพียงนั้น เขารู้ดีว่าลมปราณในร่างกายเขาไหลเวียนผิดปกติ ก่อนที่เขาจะสามารถเยียวยารักษาอาการของตัวเอง สายลมนั้นจะไม่มีทางค้นเจอสิ่งใด ในเมื่อไม่มีพลังปราณใดให้มันคว้าจับก็เท่ากับไม่มีสัมผัสแห่งเทพ จึงเป็นธรรมดาที่ก้อนหินสีดำจะไม่เปล่งแสงสว่างไสวขึ้นมา

    ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีสิ่งที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้น ก้อนหินสีดำยังคงเป็นก้อนหินสีดำ วางอยู่กลางฝ่ามือเขาอย่างสงบนิ่ง

    เขานำก้อนหินสีดำวางกลับไปบนโต๊ะ จ้องมองอาจารย์สำนักเทียนเต้าพลางกล่าวว่า “ไม่สว่าง”

    ในสายตาของผู้คนที่มองดูอยู่ เห็นเพียงเขาหยิบก้อนหินขึ้นมาดูแล้วนำกลับไปวาง จากนั้นกล่าวยืนยันอย่างจริงจังในสิ่งที่ก็เห็นชัดเจนอยู่ดี อันที่จริงนี่สมควรเป็นฉากเรียกเสียงขบขัน แต่แปลกที่ไม่มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นสักนิด ผู้คนพากันจ้องมองอารมณ์ที่ราบเรียบเป็นปกติของเขา หลายคนถึงขนาดคิดว่าประหลาดไม่น้อย คนที่ไม่สามารถทำให้ก้อนหินสีดำสว่างไสวได้ก่อนหน้านี้ล้วนแต่รู้สึกขายหน้า เหตุเพราะพ่ายแพ้จึงรู้สึกเศร้าสลดและเจ็บปวด ดูอย่างเด็กหนุ่มที่ร้องไห้น้ำตานองอย่างน่าอับอายคนนั้นก็ได้ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้…กลับสงบนิ่งยิ่งนัก

    หรือเจ้าตัวจะไม่เข้าใจว่าการที่หินไม่เปล่งแสงนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่มองดูแล้วก็มิได้เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น

    อาจารย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเขาควรโบกมือเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายออกจากแถวไปเสีย แต่กลับเป็นเพราะความเงียบที่แปลกประหลาดนี้ทำให้ต้องเอ่ยถามกลับ “เจ้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียรรึ”

    “ข้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร”

    เฉินฉางเซิงพูดประโยคที่เมื่อวานได้พูดที่จวนขุนพลเทพขึ้นมาอีกครั้ง

    อาจารย์จ้องมองเขาด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ราวกับจะสื่อความหมายว่าแล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ออกไปจากที่นี่อีกเล่า

    นั่นเองเฉินฉางเซิงจึงทำความเคารพแล้วจากไป

    แต่ทิศทางที่เขาจากไปไม่ใช่ประตูหน้าของสำนักเทียนเต้า ทว่าคือสิ่งปลูกสร้างแห่งนั้น

    อาจารย์ท่านนั้นตะลึงงันชั่วครู่ถึงเข้าใจในการกระทำของเฉินฉางเซิง กล่าวขึ้นด้วยความโมโห

    “หยุดก่อน!”

     

    ตอนที่ 6

    เปิดตำราแล้วยินดี

    เฉินฉางเซิงพลันหยุดก้าวเดิน หันหลังกลับไปมองอาจารย์อย่างไม่เข้าใจ เพียงครู่ก็นึกได้ถึงเหล่าคนที่รับการทดสอบก่อนหน้าเขา เข้าใจแล้วถึงสาเหตุที่ฝ่ายตรงข้ามดูโมโห ผู้เข้ารับการทดสอบที่ไม่ถึงขั้นชำระล้างกระดูกล้วนล่าถอยกลับไปด้วยความห่อเหี่ยว อาจารย์ท่านนั้นคิดว่าเฉินฉางเซิงก็ควรจะไม่ต่างกัน แต่นี่เขากลับเดินไปข้างหน้าต่อ แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่ยินดี

    เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับการโต้แย้งและเข้าใจผิดอย่างไร้ความหมาย มุ่งตรงไปยังอาจารย์ที่กำลังลุกขึ้นยืนท่านนั้นแล้วทำความเคารพด้วยความจริงจัง อธิบายออกไปว่า “อาจารย์ ข้ามิได้ก่อกวน”

    อาจารย์ท่านนั้นเตรียมที่จะดุด่าเขาว่า…ในการทดสอบที่เป็นทางการเช่นนี้ แต่เจ้ากลับก่อกวน ที่แท้มีจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่…ทว่าทันทีได้ยินประโยคที่เฉินฉางเซิงชิงพูดขึ้นก่อนก็พลันหยุดชะงัก จากนั้นสะกดกลั้นความเหลือทนไว้ ถอนหายใจออกมาสองที ก่อนตะคอกออกไปว่า “แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่รีบถอยออกไป!”

    เหล่าคนหนุ่มสาวที่เข้าแถวถัดจากเฉินฉางเซิงรอคอยจนรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่นานแล้ว เวลานี้เห็นอีกฝ่ายดื้อด้านไม่ยอมจากไปก็เข้าใจว่าเจ้าตัวกำลังถ่วงเวลา จึงพากันโกรธเป็นอย่างมาก และร่วมตะคอกไปพร้อมกับอาจารย์ท่านนั้น มีบางคนถากถางเฉินฉางเซิงว่าสมองคงมีปัญหาเสียแล้วกระมัง

    เฉินฉางเซิงย่อมได้ยินคำพูดและเสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้น ทว่าสีหน้าท่าทางกลับมิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มองดูแล้วไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีเลย ความสงบนิ่งของเขาคงจะทำให้ผู้คนทำอะไรไม่ถูก เขามองไปยังอาจารย์ โค้งคำนับด้วยความเคารพอีกครั้ง แล้วกล่าวให้ได้ยินโดยทั่วถึงว่า “ข้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร แต่ข้ายังคงสามารถสมัครเข้าสำนักเทียนเต้าได้”

    อาจารย์นิ่งอึ้งไป ไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้กล่าว ในเมื่อแม้แต่ขั้นชำระล้างกระดูกเจ้ายังไม่สำเร็จ แล้วจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบต่อไปได้อย่างไร หลายปีมานี้เคยมีผู้ใดได้อภิสิทธิ์พิเศษบ้าง หรือต่อให้มี เจ้าคิดว่าตัวเองจะได้รับอภิสิทธิ์นั้นรึ

    เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ตามกฎของสำนักเทียนเต้า บทที่สิบเจ็ด ข้อที่สี่ วรรคหมายเหตุที่แปด การจะได้เข้าศึกษาในสำนักมีกฎเพียงข้อเดียวคือต้องผ่านการสอบข้อเขียนเท่านั้น เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนกองชำระความก็เคยตัดสินกรณีเช่นนี้มาแล้ว”

    หลังจากมองดูเสื้อผ้าที่เด็กหนุ่มสวมพบว่ามีรูปแบบเรียบง่ายอย่างยิ่ง อาจารย์ท่านนั้นพลันได้สติเตรียมที่จะตำหนิ ไม่ใช่เพราะรังเกียจความยากจนชื่นชมความมั่งคั่ง แต่เพราะเขาไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มที่ดูท่าจะมาจากหมู่บ้านทุรกันดารไกลโพ้นคนนี้จะเทียบกับตนซึ่งเป็นผู้ควบคุมการสอบขั้นที่หนึ่ง ดูแลการทดสอบมาหลายปีและเข้าใจกฎของสำนักเทียนเต้ามากกว่าผู้ใดได้ อะไรคือวรรคหมายเหตุ…ในกฎของสำนักมีหัวข้อนี้ด้วยหรือ เหตุใดตนไม่รู้สึกคุ้นแต่อย่างใด

    อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขาเตรียมเรียกให้คนมานำตัวเด็กหนุ่มออกไปก็ฉุกนึกได้ว่าเมื่อครู่ตนได้ยินคำว่า ‘กองชำระความ’ อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ ประโยคที่เตรียมจะเอ่ยออกมาจึงถูกกลืนกลับลงคอไป

    แรกเริ่มเดิมทีกองชำระความเป็นหน่วยงานในกรมปกครองของราชสำนักต้าโจวที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก จนกระทั่งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เริ่มปกครองบ้านเมือง นางได้ให้โจวทงตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่นางนับถือดูแลกองชำระความ ทำให้บทบาทของหน่วยงานนี้เปลี่ยนแปลงไป ผู้อาวุโสท่านนั้นได้จัดระเบียบขุนนางด้วยความเข้มงวด บางทีอาจถึงขั้นโหดเหี้ยมไปด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ามีขุนนางอาวุโสและแม่ทัพขุนพลที่ซื่อสัตย์วงศ์เก่าต้องตายหรือสูญหายอย่างเป็นปริศนาไปเท่าไร นับแต่นั้นมาชื่อโจวทงนี้ก็ทำให้ขุนนางทั้งเล็กใหญ่ในราชวงศ์ต้าโจวทั้งหมดเพียงได้ยินชื่อก็อกสั่นขวัญหาย

     

    สำนักเทียนเต้าถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในขอบข่ายรับผิดชอบของกองชำระความ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกรงกลัวอยู่บ้าง สิ่งที่ทำให้อาจารย์ท่านนี้รู้สึกใจไม่สงบอย่างยิ่งก็คือการที่กองชำระความอยากจะลบล้างชื่อเสียงอันน่ากลัวในหมู่ผู้คน จึงให้ความสำคัญกับเรื่องมโนสาเร่ ใกล้ชิดราษฎรที่มาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ดังนั้นหากสำนักเทียนเต้ามีกฎระเบียบดังเช่นที่เด็กหนุ่มเอ่ยถึงจริง การที่ตนจะขับไล่คนออกไปก็เกรงว่าจะเกิดความยุ่งยากเสียแล้ว…

    อาจารย์จ้องมองเฉินฉางเซิงที่มีท่าทางสงบนิ่ง ทันใดนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองเล็กน้อย เขาลังเลชั่วขณะแล้วจึงขมวดคิ้วหันกลับไปตวาดใส่คนที่กำลังต่อแถวว่าให้เงียบเสียง เสร็จแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป มิรู้ว่าไปที่ใด เสียงด่าทอเสียงแดกดันของกลุ่มคนค่อยๆ เบาลง เปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบ เพราะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

    ผ่านไปชั่วครู่ อาจารย์ท่านนั้นถึงกลับมา จ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงด้วยสายตาที่สลับซับซ้อน

    เฉินฉางเซิงรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะไปตรวจดูกฎระเบียบของสำนัก ทั้งยังเห็นวรรคหมายเหตุที่ตนได้เอ่ยถึงแล้ว เมื่อตอนเขายังเด็กอยู่ที่วัดท่องหนังสือตำราไม่หยุดไม่หย่อน คัมภีร์มหามรรคสามพันม้วนล้วนอยู่ในสมอง กี่บทต่อกี่บทท่องจนชำนาญ แม้แต่กฎระเบียบของบ้านเมืองและรายละเอียดของธรรมเนียมพิธีการเขาอ่านไม่รู้กี่รอบ ไม่มีทางที่จะจำผิดเป็นแน่

    “ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เข้ารับการทดสอบต่อก็คงไม่มีโอกาสแต่อย่างใด เหตุใดต้องทำให้เสียเวลาด้วยเล่า”

    อาจารย์มองเฉินฉางเซิงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวออกไปด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก

    เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ข้ายังอยากลองดู”

    “เจ้ายังไม่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูก แล้วเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาในการสอบข้อเขียนได้หรือ ไม่แน่สมองเจ้าอาจถูกทำลายเพราะการนี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสอบ”

    ประโยคนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นการกล่าวเกินเลยไป หลังผ่านขั้นตอนชำระล้างกระดูก จิตใจจะใสกระจ่าง นอกจากระดับความแข็งแรงของร่างกายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ระดับความแกร่งกล้าของจิตญาณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นี่คือหลักการที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ร่างกายของคนธรรมดาไม่สามารถเทียบเคียงผู้บำเพ็ญได้ ผู้ที่ยังไม่เคยชำระล้างกระดูกไม่มีทางผ่านการสอบที่สุดแสนยากได้ กระทั่งอาจจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง ดังนั้นบนโต๊ะด้านล่างเพิงไม้ไผ่จึงได้มีหินเหนี่ยวนำสีดำที่กลายเป็นด่านที่จะต้องผ่านให้ได้เป็นด่านแรก หากไม่สามารถทำให้หินสีดำเปล่งแสงสว่างจะต้องถูกคัดออก นี่กลายเป็นข้อปฏิบัติหรือสิ่งที่ทุกคนล้วนรู้กัน ผู้ที่พ่ายในการทดสอบก่อนหน้านี้จึงไม่มีสักคนเอ่ยถึงข้อคิดเห็นที่แตกต่าง จนกระทั่งปรากฏกรณีแปลกประหลาดของเฉินฉางเซิง

    เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างเคารพ “ข้าแน่ใจว่าจะเข้ารับการสอบขอรับ”

    สีหน้าของอาจารย์ไม่ดีนัก ในใจคิดว่าเจ้าคงยังไม่รู้ว่ากฎระเบียบที่บังเอิญไปอ่านเจอนอกจากจะทำให้ตนเองเสียเวลาแล้ว ยังจะทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องล่าช้า เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ หากจิตญาณได้รับบาดเจ็บจนเปลี่ยนเป็นคนปัญญาทึบก็เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องเอง

    “เจ้าไปเถอะ”

    เฉินฉางเซิงโค้งตัวคำนับอีกครา ไม่พูดซ้ำ เดินออกจากเพิงไม้ไผ่ มุ่งไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านในของสำนักเทียนเต้า

    อาจารย์ท่านนั้นไม่กล่าวสิ่งใดอีก มองไปยังผู้สมัครที่เหลือ สีหน้าประหนึ่งน้ำแข็ง กล่าวว่า

    “คนต่อไป”

     

    ไม่ผ่านการตรวจสอบจากหินเหนี่ยวนำ แต่กลับได้เข้าไปรับการทดสอบต่อในสำนักเทียนเต้า สิบกว่าปีมานี้เฉินฉางเซิงคือคนแรก เหล่าเด็กหนุ่มสาวที่รอคอยการทดสอบมองไปยังแผ่นหลังของเฉินฉางเซิงที่ห่างไกลออกไป พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ต่อให้เป็นศิษย์สำนักเทียนเต้าซึ่งรู้สถานการณ์ภายในเป็นอย่างดีก็ไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ บางทีอาจเป็นการดิ้นรนโดยใช้ช่องโหว่ของกฎข้อบังคับ แต่มันก็เท่านั้น ในเมื่อยังไม่เคยชำระล้างกระดูก ไม่ว่าจะเป็นความจำหรือการคิดคำนวณล้วนแต่อยู่ในขั้นสามัญธรรมดา ไม่มีทางเลยที่จะทำข้อสอบของสำนักเทียนเต้าได้ ในบางแง่มุมการกระทำของเฉินฉางเซิงช่างเหมือนกับฉากละครที่น่าสนใจ

    เบื้องหน้าสิ่งปลูกสร้างแห่งแรกของสำนักเทียนเต้า ผู้คนต่างจ้องมองเฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในนั้น คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาไม่ได้มีสิ่งพิเศษอันใด การทดสอบของเขาสิ้นสุดลงแล้ว ไม่เหมือนกับถังซานสือลิ่วผู้ได้เข้าไปยังสำนักเทียนเต้าอย่างสมเหตุสมผล

    ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยแววตาครุ่นคิด เขาคาดเอาไว้ว่าเฉินฉางเซิงคงไม่ผ่านการสอบข้อเขียน แต่ก็ชื่นชมฝ่ายตรงข้ามที่ดื้อรั้นจนถึงที่สุด เหตุเพราะอีกฝ่ายทำให้คิดถึงตัวเขาเอง ตอนนี้เองรองเจ้าสำนักเทียนเต้าก็มาปรากฏกายข้างเขา ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีโอกาส? ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น จริงอยู่ว่าเคยมีคนธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสำนักเทียนเต้าได้ แต่คนคนนั้นคือใครกันเล่า เขาคือหวังจือเช่อ หลายร้อยปีมาแล้วที่ในผืนพิภพยังไม่เคยปรากฏใครดังเช่นหวังจือเช่อ”

    หวังจือเช่อเป็นบุคคลในตำนานของผืนพิภพนี้ ปลายรัชสมัยไท่จู่ ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกปี ยังเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร หลังสำเร็จวิชาจากสำนักเทียนเต้าเขาได้ทำงานด้านอักษรสารทั่วๆ ไปในราชสำนัก ทำจนถึงอายุสี่สิบปี ค่ำคืนหนึ่งในเมืองจิงตูพลันมีเสียงคำรามยาวดังขึ้น ค่ำคืนนั้นหวังจือเช่อก็พลันรู้แจ้งในหลักปรัชญา เขาจึงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร ใช้เวลาไม่กี่ปีก็บรรลุถึงขั้นสูงสุด สุดท้ายเข้าร่วมกองทัพร่วมของเผ่ามนุษย์เป็นรองผู้บัญชาทัพ ในศึกที่พิชิตเผ่าปีศาจจนราบคาบเขาก็ได้รับบทบาทให้ออกคำสั่งชี้ขาด จวบจนทุกวันนี้ภาพวาดรูปเหมือนของเขายังแขวนไว้ที่หอหลิงเยียน (ควันอวล)

    โลกมนุษย์ไม่พบเห็นคนเช่นหวังจือเช่อมานานแล้ว

    ถังซานสือลิ่วกล่าว “ข้าเองก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถผ่านการสอบข้อเขียน ยิ่งไม่คิดว่าเขาคือหวังจือเช่อคนต่อไป แต่ข้าคิดว่าถ้าหากใครสักคนอยากเป็นให้ได้อย่างหวังจือเช่อผู้เก่งกาจ อย่างน้อยคนคนนั้นต้องเป็นดังเด็กหนุ่มผู้นั้น มีความรู้สึกไม่ย่อท้อต่อความพ่ายแพ้และดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่คิดว่าคนที่มีพรสวรรค์นั้นเก่งกาจสักเพียงไหน คนที่น่าเกรงกลัวอย่างแท้จริงคือคนที่ยืนหยัดแน่วแน่ต่างหาก”

    รองเจ้าสำนักพยักหน้าพลางกล่าว “ปีนั้นหวังจือเช่อท่องตำราศึกษาหาความรู้ แม้ท้องฟ้าเหน็บหนาว แผ่นดินกลายเป็นน้ำแข็ง กินข้าวต้มเย็นเฉียบ แต่ในมือไม่ยอมปล่อยตำรา เด็กหนุ่มคนนั้นจะสามารถทำได้เช่นหวังจือเช่อสักกี่ส่วนกัน”

    ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างน้อยก็แกร่งกล้ากว่าคนธรรมดาอย่างมาก”

    รองเจ้าสำนักมองเขาแวบหนึ่ง “ถังถังมองเหตุการณ์มองคนช่างไม่เหมือนกับคนธรรมดาเช่นนี้เอง”

    ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “โปรดเรียกข้าว่าถังซานสือลิ่ว”

    รองเจ้าสำนักหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ในเมื่อเข้ามายังสำนักเทียนเต้าของพวกเรา เห็นทีชื่อของเจ้าคงจะต้องเปลี่ยนอีกครั้งเสียแล้ว”

     

    ถังซานสือลิ่วสีหน้าเป็นปกติขณะเอ่ยตอบ “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องทำ”

    รองเจ้าสำนักทอดตามองออกไป รับรู้ถึงกลิ่นหอมเบาบางที่ล่องลอยเข้ามาจากหน้าต่าง กล่าวถาม “เจ้าต้องการรอต่อไปหรือไม่”

    ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ใช่ขอรับ”

    รองเจ้าสำนักถามกลับ “เพราะเหตุใด”

    ถังซานสือลิ่วตอบ “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถผ่านการสอบข้อเขียน แต่ข้าอยากรู้ว่าเขาจะทำได้กี่คะแนน”

     

    ข้อสอบที่อยู่บนโต๊ะหนาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ก็มิปาน เฉินฉางเซิงไม่รู้เนื้อหาในข้อสอบ อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ทุกคนล้วนทราบดีว่าการสอบเข้าสำนักเทียนเต้ายากอย่างยิ่ง เหตุเพราะข้อสอบครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่หลักแห่งเต๋า วิเคราะห์คัมภีร์สวรรค์ ไปจนถึงยุทธวิธีการรบ แม้กระทั่งข้อสอบที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกก็มี

    เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ หลับตาผ่อนคลายห้าอึดใจ หลังจากนั้นเปิดตาขึ้น ยื่นมือไปพลิกข้อสอบหน้าแรก ขณะที่ทำเช่นนี้อารมณ์ของเขาสับสน เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ความไม่สงบที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด กระนั้นก็ยังเฝ้าคอยอย่างไม่รู้สาเหตุ

    นิ้วมือของเขาพลันหยุดชะงัก ดวงตาสว่างไสวดังกระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์ปรากฏความไม่มั่นใจแวบหนึ่ง

    ล้วนแต่กล่าวกันว่าข้อสอบของสำนักเทียนเต้ายากยิ่ง ถ้าเป็นข้อสอบเกี่ยวกับเนื้อหาในคัมภีร์ก็มักจะอ้างถึงบทประพันธ์อันลึกซึ้งที่ผู้คนยากเข้าถึง แต่เพราะเหตุใดข้อสอบข้อที่หนึ่งของหน้าแรกตนอ่านแล้วถึงรู้สึกคุ้นตา…เฉินเซินจื่อถกปัญหาสัจธรรมสามสิบเอ็ดบทกับท่านสังฆราชรุ่นที่เจ็ดหรือ…ตนเคยอ่านเจอข้อความนี้เมื่อใดกันหนอ เหมือนว่าจะเป็นตอนอายุสามขวบในปีนั้น เป็นวรรคเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาในตำราไหวหนานที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับคัมภีร์หนานหัว เขามั่นใจว่าตนเคยอ่าน เคยท่อง อีกทั้งตอนอายุห้าปีและสิบเอ็ดปียังเคยอ่านและเคยท่องซ้ำอีกคราหนึ่ง

    ช่างคุ้นตาอะไรเช่นนี้ เขาจดจำสิ่งเหล่านี้จนขึ้นใจ

    แม้จะมีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างไรเฉินฉางเซิงก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่ม นอกจากแปลกใจระคนดีใจแล้วก็ไม่ได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านี้ เริ่มนำเนื้อหาบทประพันธ์เหล่านั้นที่อยู่ในสมอง นำการวิเคราะห์อย่างเฉียบแหลมของผู้มีสติปัญญาและมีความสามารถในสมัยก่อนที่เขาจดจำมาบรรจงเขียนบนกระดาษ หลังจากนั้นเขาเปิดไปหน้าที่สอง มองเห็นเป็นบทความที่คุ้นตาอีกครั้ง แต่หนนี้ไม่มีความประหลาดใจแล้ว

    มหามรรคครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ข้อสอบสำนักเทียนเต้าเกือบทั้งหมดอยู่ในคัมภีร์สามพันม้วน

    และทั้งสามพันม้วนนั้นเขาสามารถท่องจากข้างหลังมาข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว

    การสอบเช่นนี้ ระดับความยากเช่นนี้…จะสามารถล้มเขาได้อย่างไร

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook