• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่23

    ตอนที่ 23

    มหาสมุทรดวงดาว

    เฉินฉางเซิงเหยียบลงบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องราวยากลำบากอย่างที่พบได้บ่อยใดๆ หากผู้อื่นล่วงรู้คงจะฉงนสงสัย ใคร่ครวญเท่าไรก็หาคำตอบมาอธิบายไม่ได้ ตัวเขาเองกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเข้าใจแล้วถึงเหตุผลที่อาจารย์ให้เขาท่องมหามรรคสามพันม้วน

    นี่เป็นเรื่องที่สมควรดีใจ สามารถรวบรวมพลังจิต และก็สามารถกำหนดดวงดาว เมื่อกำหนดดวงดาวได้แล้วก็สามารถดึงแสงดาวมาชำระล้างกระดูก เมื่อสามารถชำระล้างกระดูกแล้วก็จะสามารถบรรลุขั้นถอดจิต สามารถบรรลุขั้นถอดจิต จิตใจก็จะพร้อมสำหรับขั้นทะลวงอเวจี หากพรุ่งนี้โชคดี เขาจะสำเร็จขั้นทะลวงอเวจี และสามารถรวบรวมดวงดาวเข้าร่าง โรคภัยต่างๆ ไม่กล้ากล้ำกราย เมื่อรวบรวมดวงดาวได้แล้วก็จะสามารถท่องไปกับสายลมหมื่นหลี่ หลบซ่อนอยู่ระหว่างฟ้าดินดุจทวยเทพ ไม่อยู่ในวัฏจักรของโชคชะตา ไม่ต้องพลิกฟ้าคว่ำดินเปลี่ยนแปลงโชคชะตาแล้ว

    ถูกต้อง เป้าหมายการบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิงเป็นเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเบี่ยงเบนไปทางอื่น แม้ว่าอยู่บนหนทางของการฝึกบำเพ็ญเพียรอาจจะถือโอกาสเสาะหาสิ่งอื่นไปด้วย ดังเช่นมองเห็นทิวทัศน์ที่คนธรรมดามิอาจมองเห็นได้ เข้าใจและซาบซึ้งถึงความรู้สึกนึกคิดที่คนธรรมดาไม่เข้าใจ นำความอัปยศอดสูที่เคยได้รับส่งมอบกลับไปให้ผู้คนเหล่านั้น แต่นั่นก็มิใช่สิ่งสำคัญ สำหรับเขาสิ่งสำคัญมีแค่เป้าหมายสุดท้าย

    แต่เขาเพียงเพิ่งรวบรวมพลังจิต นับเป็นก้าวแรกของการบำเพ็ญเพียรคงยังไม่ได้ พอใคร่ครวญถึงระดับเทพอำพรางในตำนาน แม้แต่เฉินฉางเซิงเองก็ยังรู้ว่านี่เป็นการคิดที่เกินตัว กล่าวออกไปคงไม่พ้นถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ดีว่าเขาไม่ได้เอ่ยมันกับผู้ใด

    ในบรรดาคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เฉินฉางเซิงค่อนข้างนิ่งเงียบพูดน้อยแตกต่างจากผู้อื่น ยามจัดการเรื่องต่างๆ จะยิ่งสุขุมเยือกเย็น ดังนั้นตอนอยู่ที่ซีหนิงจึงมักถูกผู้คนในเมืองคิดว่าเขาอายุมากกว่าอายุจริงไปสามสี่ปี เฉินฉางเซิงย่อมรู้ดีว่าการที่สามารถรวบรวมพลังจิตในหนึ่งวันหนึ่งคืนสำเร็จเป็นเพราะอาจารย์ได้วางรากฐานให้ตนตั้งแต่เยาว์วัย เตรียมการเป็นอย่างดียิ่ง ไม่ได้แสดงว่าตนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงมากกว่าสวีโหย่วหรง

    เช้าตรู่วันต่อมา เฉินฉางเซิงยังคงตื่นนอนเวลาปลายยามห้า ล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้กระทบต่อกิจวัตรประจำวันของเขาแต่อย่างใด มีเพียงแค่แววตาที่อ่อนโรยซึ่งยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้สงบนิ่งเหมือนดังที่แสดงออกมา เขานอนหลับไม่สนิทไม่ใช่เพราะกลิ่นเชื้อราของอาคารหลังนี้ยังไม่จางหาย แต่เพราะเขาดีใจจริงๆ

    สำนักศึกษาศาสนาหลวงยังคงครึกครื้น ช่างฝีมือและคนงานกำลังขะมักเขม้นบูรณะซ่อมแซมและเก็บกวาดทำความสะอาด หอตำราทางด้านนี้ยังคงสงบเงียบ เพราะเขาร้องขอไว้จึงไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวน เขาฝึกบำเพ็ญเพียรเพียงลำพังต่อไป

    การชำระล้างกระดูกก็คือการบำเพ็ญเพียรขั้นที่หนึ่ง ในขั้นตอนนี้ยังแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนอย่างรวบรัด เริ่มต้นจากการรวบรวมพลังจิต ต่อมาคือการกำหนดดาวโชคชะตา ฟังดูเหมือนเป็นขั้นตอนที่ลึกลับมหัศจรรย์ แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด ที่จริงแล้วที่เขากังวลคือขั้นที่สาม นั่นคือดึงแสงดวงดาวเข้าร่างเพื่อชำระล้างกระดูก…เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจึงจะสามารถรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วปัญหาของร่างกายตนจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไร

    การบำเพ็ญเพียรก็คือการหยิบยืมพลังของฟากฟ้ามาเป็นพลังของมนุษย์ คัมภีร์สวรรค์ร่วงหล่นลงมายังโลกใบนี้ มนุษย์จึงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร พัฒนาวิธีการบำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วน ทดลองมาแล้วหลากหลาย วิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรบางอย่างดูดซับพลังอัคคีสวรรค์ มีวิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ รับเอาพลังจากทุ่งหญ้า สารพัดวิธีนำไปสู่การก่อตั้งศาสนาหลวงอย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรโดยดูดซับพลังจากดวงดาวบนฟากฟ้า

    แม้ในปล่องภูเขาไฟ ก้อนหินที่กำลังเผาไหม้ร้อนระอุสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ในร่างกายของมนุษย์ ช่วยเหลือผู้ที่บำเพ็ญเพียรให้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ส่วนพลังจากทุ่งหญ้าที่สะอาดสดชื่นเหล่านั้นก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าพลังที่ก่อเกิดมาจากสิ่งเหล่านี้ล้วนเทียบไม่ได้กับดวงดาว

    ดวงดาวอยู่บนท้องนภา ไม่แปรเปลี่ยนตราบชั่วนิรันดร์ คอยส่องแสงให้ผืนแผ่นดินสว่างไสวอย่างมั่นคง ขอเพียงผู้คนที่ดำรงชีวิตบนโลกแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็สามารถมองเห็นแสงของดวงดาวได้อย่างไม่มีวันมืดดับ ตั้งแต่พวกเขาเยาว์วัยจวบจนแก่ชรา จากเริ่มต้นจนสิ้นสุด ดวงดาวเหล่านั้นได้ติดตามเป็นสหายพวกเขาอย่างเงียบๆ สำหรับผืนพิภพและผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว ดวงดาวก็คือแสงสว่าง คือพิกัด คือพลัง และคือเวลา เพราะพวกมันคือนิจนิรันดร์

    สุดท้ายแล้วมนุษย์เลือกที่จะนำแสงดาวมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับความสูงส่งงดงาม เพราะที่จริงแล้วสาเหตุอยู่ที่แสงของดวงดาวเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ และยังอ่อนโยนมากกว่าแสงอาทิตย์ เปลวไฟ หรือสิ่งอื่น

    เผ่ามารก็สามารถดูดซับแสงดาวได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของพวกเขามีลักษณะพิเศษ ไม่ต้องฝึกบำเพ็ญเพียรใดๆ ก็สามารถดึงแสงดวงดาวเข้าสู่ร่างได้โดยตรง แปรเปลี่ยนเป็นพลังความสามารถ ยิ่งเผ่ามารที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ยิ่งมีพลังแกร่งกล้าไร้สิ้นสุด

    เทียบกับเผ่ามารแล้ว มนุษย์ไม่สามารถดูดซับแสงดาวได้โดยตรง หรืออาจกล่าวได้ว่าความสามารถในการดูดซับแสงดาวนั้นต่ำอย่างยิ่ง เพราะเหตุนี้มนุษย์จึงใช้ความสร้างสรรค์คิดค้นวิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรแบบหนึ่งขึ้นมา เริ่มต้นจากวันนั้น หนทางสู่การครอบครองใต้หล้าก็เปิดออกสู่มนุษย์

    …จุดแสงสว่างให้กับดาวแห่งโชคชะตา

    ท้องนภามีดวงดาวนับไม่ถ้วน กว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร จำนวนดวงดาวห่างไกลกับจำนวนมนุษย์อย่างยิ่ง มนุษย์ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร หากปรารถนาจะชำระล้างกระดูกจะต้องเสาะหาดวงดาวประจำตัวจากดวงดาวนับร้อยล้านดวง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าดาวโชคชะตา

    ไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้ว่าหลักการของดาวโชคชะตาคืออะไร เพราะเหตุใดดวงดาวเหล่านั้นจึงสานสัมพันธ์อันแนบแน่นยากจะทำลายกับมนุษย์ผู้หนึ่ง เพราะเหตุใดดวงดาวสามารถตอบสนองกับมนุษย์ที่อยู่ไกลโพ้นได้ แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์แห่งศาสนาหลวงก็ไม่มีหนทางอธิบายออกมา

    ทุกคนล้วนแต่มีดาวหนึ่งดวงที่เป็นดาวของตนเอง แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถรวบรวมพลังจิตสำเร็จถึงสามารถเสาะหาดวงดาวของตนพบ แล้วก่อร่างเป็นความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่ยากยิ่งต่อการอธิบาย สุดท้ายใช้พลังจิตของตนเองจุดแสงสว่างให้กับดาวดวงนั้น

    ฟากฟ้ามีดวงดาวเดียรดาษ เพียงแค่เจ้าสามารถปลดปล่อยพลังจิต เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถเสาะหาดาวประจำตัวของเจ้าพบ ความสัมพันธ์นี้เป็นความสัมพันธ์อันสมบูรณ์ มีเพียงแค่เจ้ากับดาวโชคชะตาของเจ้าเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถช่วงชิงไปได้

    แล้วดวงดาวเช่นไรถึงเหมาะสมเป็นดาวโชคชะตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่สุด

    ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินล้วนวิพากษ์วิจารณ์ตรงกันว่าดาวโชคชะตายิ่งห่างไกลยิ่งดี นักปราชญ์แห่งศาสนาหลวงไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นเฝ้าติดตามตรวจสอบผู้บำเพ็ญเพียรมานับไม่ถ้วน หลังจากที่เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและถูกต้องจึงสามารถยืนยันได้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์นี้ถูกต้องอย่างแน่นอน

    เพราะเหตุใดกันเล่า

    ในเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรต้องดูดซับพลังจากดาวโชคชะตาโดยตรง เช่นนั้นดาวยิ่งใกล้โลกเท่าไรก็ยิ่งดีมิใช่หรือ

    เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ บรรดาปราชญ์ของศาสนาหลวงได้สร้างแบบจำลองหนึ่งขึ้น แบบจำลองนี้ผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่สามารถรับเอาพลังจากดาวโชคชะตาได้โดยตรง ทั้งยังสมมติเอากำแพงด้านหนึ่งเป็นฟากฟ้า จุดแสงสว่างของดาวโชคชะตาก็คือการตอกตะปูดอกหนึ่งไว้บนกำแพง จากนั้นเชื่อมระหว่างตนกับฟากฟ้าไว้ด้วยลำแสงเส้นหนึ่ง แทนการดูดซับพลังของดวงดาว

    เมื่ออยู่ในแบบจำลอง เส้นแสงที่ไร้รูปร่างก็เหมือนกับเส้นด้ายที่ถูกทำให้เปียกชุ่ม ดวงดาวดารดาษต่างเปล่งแสงเหมือนกับปุยนุ่นสีขาวที่ปลิวในท้องฟ้าปลายฤดูวสันต์ เมื่อเส้นด้ายนั้นแกว่งไกวในสายลมอย่างเชื่องช้า ปุยนุ่นจะติดเกาะอยู่บนนั้นมากขึ้นๆ สุดท้ายไหลเลื่อนหล่นลงไปอยู่ในมือของคนที่ควบคุมด้าย ถ้าหากเส้นด้ายสามารถยาวพอ ลากจากสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของพระราชวังไปจนถึงปลายสุดของสุสานเทียนซู เช่นนั้นแล้วก็คงสามารถกวาดเอาปุยนุ่นสีขาวทั่วทั้งเมืองจิงตูมาจนสะอาดสะอ้านได้

    ทงกู่ซือปราชญ์แห่งเผ่าปีศาจได้วิจารณ์หลักการนี้อย่างร้ายกาจ บอกว่าเป็นข้อสรุปที่ฟุ้งเฟ้อและไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ใต้เท้าสังฆราชในยุคนั้นจึงตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้า กล่าวว่ามีเพียงการอนุมานตั้งข้อสรุปขึ้นได้เท่านั้นถึงจะหาหลักการที่เข้าใกล้สัจธรรมที่สุดได้

    ต่อมาปราชญ์เผ่าปีศาจผู้นี้ได้แจกจ่ายจดหมายไปทั่วผืนพิภพ เขาถามในจดหมายว่าเส้นแสงลำนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน หากระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและดาวโชคชะตามีเส้นแสงนั้นจริง เช่นนั้นหลักการของศาสนาหลวงก็สามารถยึดถือได้ สังเกตจากลำแสงในธรรมชาติ ลำแสงยิ่งยาวก็ยิ่งมีช่วงกว้าง ยิ่งมีพื้นที่ให้เก็บกักพลัง เป็นดังหลักการของเส้นด้ายกับปุยนุ่นนั่น

    ทว่าปัญหาอยู่ตรงที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีผู้ใดเคยเห็นเส้นลำแสงนี้มาก่อน

    ใต้เท้าสังฆราชที่จิงตูตอบปัญหานี้อย่างรวบรัดว่า ‘ในเมื่อระหว่างดาวโชคชะตาและผู้บำเพ็ญเพียรมีความสัมพันธ์กัน เช่นนั้นระหว่างทั้งสองจะต้องมีเส้นแสง พวกเรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ก็หาใช่ว่าจะไม่มีอยู่’

    ทงกู่ซือรู้ดังนั้นก็ได้แจกจ่ายจดหมายไปทั่วผืนพิภพอีกครา กล่าวว่า ‘ในเมื่อสัมผัสไม่ได้ก็เท่ากับไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลกใบนี้ หากเป็นเช่นนี้ เส้นแสงนี้จะมีอยู่หรือไม่ก็มิได้มีความหมายใดต่อพวกเรา จึงสมควรที่มันจะไม่มีอยู่’

    การวิพากษ์เชิงตำหนิเช่นนี้ทำให้ใต้เท้าสังฆราชใช้เวลาไตร่ตรองอยู่หลายเดือน หลังจากนั้นจึงได้ตอบกลับไป

    ‘เส้นแสงก็คือโชคชะตา’

    ใช่แล้ว

    ความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็คือโชคชะตา

    ดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้ากำลังส่องสว่าง ล้วนคือดาวโชคชะตาของมวลมนุษย์

    ไม่มีผู้ใดเคยสอนเฉินฉางเซิงว่าต้องเลือกดาวโชคชะตาอย่างไร อาจารย์ของเขาจะต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน

    แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงย่อมรู้ข้อความที่ใต้เท้าสังฆราชท่านนั้นเคยกล่าว คัมภีร์มหามรรคสามพันม้วนไม่มีทางที่จะไม่มีเรื่องราวนี้บันทึกไว้

    ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างดาวโชคชะตาคือโชคชะตา ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

    ตั้งแต่วันที่เขาอายุสิบปี สิ่งที่เขาสนใจก็คือคำว่าโชคชะตาคำนี้

    จากเช้าตรู่จนเย็นย่ำเขาได้ทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนการปลดปล่อยพลังจิต เขาไม่รู้ว่าหลังจากความแปลกประหลาดตอนอายุครบสิบในปีนั้นเขายังเหลือพลังจิตมากน้อยเท่าไร แต่สิ่งที่ทำให้เขายินดีก็คือขั้นตอนการปลดปล่อยพลังจิตของจริงกับที่ตำราได้เขียนไว้มิได้แตกต่างกันมาก

    เขาหลับตาลง ปล่อยให้พลังจิตไหลออกจากห้วงแห่งจิต ลอยล่องอยู่ในหอตำราที่เงียบสงบ ชัดเจนว่าไม่ได้จ้องมอง ทว่าในสมองกลับปรากฏภาพของสภาพแวดล้อมอย่างเลือนรางอยู่บ้าง คลุมเครืออยู่บ้าง ทั้งยังชวนให้เคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง นั่นคือการรับรู้อันแปลกใหม่ชนิดหนึ่ง

    จนกระทั่งความมืดยามราตรีได้มาถึง เขาไม่เหมือนกับผู้ที่เริ่มต้นฝึกบำเพ็ญเพียรที่หลงใหลอ้อยอิ่งไปกับการรับรู้โลกในมุมมองใหม่ เพราะเขาไม่ลังเลที่จะรวบรวมพลังจิตบังคับให้ข้ามผ่านหน้าต่าง บินมุ่งทะยานไปยังฟากฟ้า ยิ่งบินยิ่งสูง ข้ามผ่านขนที่ละเอียดที่สุดของวิหค ข้ามผ่านละอองไอน้ำที่เล็กที่สุดของชั้นเมฆที่ค่อยๆ เคลื่อนกระจาย ข้ามผ่านสายลมอันเหน็บหนาว ในที่สุดก็มาถึงยังสถานที่ที่ส่องแสงสว่างไสวนับไม่ถ้วน

    นั่นก็คือมหาสมุทรดวงดาว

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook