• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา 14 บทที่ 51 – 53

    ตอนที่ 51

    คุกใต้ดิน (ตอนปลาย)

     

    โจงทงจ้องมองไปที่ผนัง ดวงตาเปลี่ยนเป็นมืดดำและชั่วร้ายยิ่งขึ้น ราวกับกลายสภาพเป็นลูกไฟภูตสองดวง

    นี่ดูเป็นเพียงการสั่นสะเทือนเบาๆ ธรรมดา แต่กลับเป็นลางอันเลวร้ายสำหรับโลกใต้ดินที่แสนมั่นคงและได้รับการปกป้องจากค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าแห่งนี้ เพราะมันหมายความว่ามีใครบางคนสัมผัสค่ายกลของคุกโจว และไม่ใช่การสัมผัสอย่างแมลงบินเข้าสู่ใยแมงมุม แต่เหมือนนักดนตรีจรดนิ้วดีดสายพิณอย่างแผ่วเบา

    โจวทงกำลังจ้องมองไปที่ผนัง จึงไม่สังเกตเห็นหยดน้ำตกลงมาจากรอยร้าวบนเพดานหิน

    พื้นที่ใต้ดินนี้ชื้นยิ่งนัก แม้จะถูกผนึกไว้ด้วยค่ายกลมากมาย ก็ยังมีหลายจุดบนผนังและเพดานที่มีน้ำซึมออกมา ภาพนี้จึงไม่ถึงกับเหนือความคาดหมายนักแม้แต่ในห้องขังที่แห้งที่สุดแห่งนี้ ปัญหาก็คือหยดน้ำนี้ตกลงบนขอบไหสุราได้บังเอิญอย่างยิ่ง

    หลังจากถูกกรองด้วยหินและค่ายกลทั้งหลาย น้ำที่ซึมผ่านผนังหินจึงไร้สิ่งเจือปน สะอาดใสราวกับหยดน้ำค้าง

    หยดน้ำค้างนี้กลิ้งไปตามขอบไหสุราเงียบๆ จากนั้นก็ร่วงหล่นลงในไห

    ตอนนั้นเองที่โจวทงหันกลับมา

    เซวียเหอกล่าว “เฉินฉางเซิงอาจสัมผัสได้และเดาได้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”

    โจวทงก็รู้เรื่องนี้ เขาจึงลุกขึ้นอย่างรีบร้อน

    เขาไม่รู้ว่าผู้กระตุ้นค่ายกลเป็นใคร เหตุใดจึงขุดลึกเข้ามาถึงคุกโจวได้

    ยังมีระยะห่างประมาณหนึ่งก่อนที่คนผู้นั้นจะมาถึงที่นี่ แต่โจวทงก็ไม่ลังเลที่จะจากไป

    ดังที่เซวียเหอกล่าว เป็นไปได้มากว่าคนผู้นั้นต้องการใช้วิธีนี้ส่งสัญญาณบอกผู้คนด้านบนว่าโจวทงอยู่ที่ไหน

    โจวทงกล่าวอย่างสุขุม “มีคนมากมายต้องการฆ่าข้าอยู่เสมอ”

    “ข้าก็ต้องการ”

    เซวียเหอหยิบไหสุราของตนขึ้นเติมจอกที่ว่างเปล่า

    โจวทงหยิบไหสุราอีกไหเติมจอกของตัวเอง

    เซวียเหอยกจอกขึ้นก่อนจะกล่าว “ขอให้เจ้าตายช้าๆ”

    ความตายนั้นน่าหวาดกลัว แต่หากมันจบลงอย่างรวดเร็วก็จะนับว่าน่ายินดี หากใช้เวลาแสนนานกว่าจะจบลงก็ย่อมสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดเป็นธรรมดา

    โจวทงหัวเราะ ยกจอกชนกับอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็ดื่มจนหมด

    “ไม่ว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงจะรวดเร็วเพียงใด ก็ไม่อาจมาถึงที่นี่ได้เร็วนัก”

    สายตาโจวทงจับจ้องผนังหินซึ่งนิ่งเงียบไปแล้วในตอนนี้

    ที่นี่คือที่ซ่อนอันเป็นความลับและปลอดภัยที่สุดที่โจวทงสร้างให้ตัวเอง ทว่าตอนนี้เขาไม่ลังเลที่จะทิ้งมันไปเพื่อหาที่ซ่อนตัวใหม่

    ไม่ว่าเซวียเหอจะเกลียดคนผู้นี้เพียงใด ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นการตัดสินใจที่น่านับถืออย่างที่สุด ในเวลาเดียวกันเขาก็ค่อนข้างสงสัยจึงเอ่ยถาม “แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าพายุหิมะวันนี้ใหญ่แค่ไหน แต่ข้าก็พอจะเดาได้ว่ามีที่ไม่มากนักในจิงตูที่รับรองความปลอดภัยให้เจ้าได้ แล้วเจ้าจะไปที่ใด”

    “แม้แต่กระต่ายมีสามโพรงให้หนีไปได้ตลอดเวลา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนที่ทำงานเช่นข้า” โจวทงกล่าวต่อ “เจ้าย่อมรู้สึกเสียใจว่าคนชั่วอย่างข้านั้นฆ่าไม่ได้ง่ายนัก อย่างน้อยวันนี้ข้าก็จะไม่ตาย”

    กล่าวจบแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นก็ออกจากห้องขังและเดินตามอุโมงค์อันมืดมัวไปยังที่ซึ่งมืดมัวยิ่งกว่า

    โคมไฟรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วที่แขวนอยู่ในอุโมงค์ทั้งสองข้างให้แสงเหมือนกับดวงตาแวววาวของโจวทง ต่างก็หม่นมัวราวกับลูกไฟภูต

    ร่างเขาค่อยๆ เลือนหายไปตามเส้นทางที่เดิน ก่อนจะลับสายตาที่ส่วนลึกสุดของความมืดปลายอุโมงค์ราวกับมุ่งหน้าสู่ขุมนรก

    เซวียเหอที่ถูกกรงเหล็กขวางกั้นจ้องมองเงาหลังของโจวทงอยู่เงียบๆ เขามองอยู่เป็นเวลานาน มองอยู่เช่นนั้นแม้ว่าโจวทงจะหายไปแล้วก็ตาม

    เขาไม่ได้เสียใจหรือมีความรู้สึกซับซ้อนอันใด เขาแค่ต้องการดูให้แน่ใจว่าโจวทงจากไปแล้วจริงๆ

    น้ำอีกหยดร่วงหล่นลงมาจากเพดาน จากนั้นเสียงครูดก็ดังมาจากผนัง

    หินแข็งสองก้อนถูกเลื่อนไปด้านข้างและก้อนโคลนก้อนหนึ่งก็แทรกตัวออกมาระหว่างช่องนั้น

    นั่นไม่ใช่โคลนจริงๆ แต่เป็นคนที่อยู่ในดินมาหลายสิบวัน

    ในคืนที่เกิดการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นำตัวไปสุสานเทียนซู ถังถังถูกท่านรองสกุลถังพาตัวกลับเวิ่นสุ่ย ส่วนเจ๋อซิ่วก็หายตัวไป

    ไม่มีใครพบร่องรอยของเขา ไม่ว่าจะเป็นราชสำนัก ตำหนักหลีกง หรือสำนักศึกษาศาสนาหลวง

    กลายเป็นว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งมาตลอด เพียงแต่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน

    หากบรรยายโดยละเอียดก็คงยืดยาวและซับซ้อนมาก แต่ความจริงนั้นแสนง่ายดาย

    กองชำระความได้ขุดหลุมในลายเรือนเพื่อที่จะปลูกต้นไห่ถัง เจ๋อซิ่วจึงกระโดดลงหลุมนั้นและซ่อนตัวอยู่ใต้ดินนับตั้งแต่นั้นมา

    ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าหลายสิบวันมานี้เขาเอาชีวิตรอดมาอย่างไร

    แต่นี่เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเจ๋อซิ่ว

    เขาเป็นหมาป่า มีความอดทนและมุมานะเหนือจินตนาการ เพื่อล่าเหยื่อเขาสามารถรอได้เป็นเวลานาน สามารถทนหิวกระหายได้ในแบบที่มนุษย์ไม่อาจทน เขามักจะซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นหิมะหนาเป็นเวลาหลายสิบวันเพื่อจะฆ่าแนวหน้าของทหารเผ่าปีศาจ แม้ว่าหิมะจะไม่แน่นเหมือนดิน แต่ก็หนาวเย็นกว่ามาก

    โจวทงเป็นเหยื่อที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบ และเป็นเหยื่อที่เขาต้องการฆ่ามากที่สุดด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ความอดทนยิ่งกว่าที่เคย แน่นอนว่าเขาก็จ่ายไปไม่น้อยเช่นกัน

    ใบหน้าเขาซีดขาว ร่างกายก็ผอมลงมาก และแม้ว่าดวงตาจะยังเย็นชาคมชัดดังเคย แต่เขาก็อ่อนแอลงกว่าเมื่อหลายสิบวันก่อนอย่างเห็นได้ชัด

    เซวียเหอมองเขาและเอ่ยถาม “เจ้าคือผู้กระตุ้นค่ายกลอย่างนั้นหรือ”

    “ไม่ ข้าไม่รู้เรื่องค่ายกล แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเฉินฉางเซิงจะมา”

    สุ้มเสียงเจ๋อซิ่วแหบแห้งอย่างมาก เพราะในช่วงหลายสิบวันนี้เขาทั้งดื่มน้ำน้อยยิ่งนัก อีกทั้งยังแทบไม่ได้พูด

    เซวียเหอนึกถึงวันนั้นที่เขาถูกขังอยู่ในห้องขังที่ลึกที่สุด เสียงที่ดังออกมาจากผนังทั้งต่ำทั้งแหบแห้ง

    ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าใครอยู่ในผนัง เป็นคนหรือเป็นผี แต่เมื่อเขาฟังสิ่งนั้นพูดออกมาจบแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะร่วมมือ ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นผีก็ตาม

    เซวียเหอยื่นมือขึ้นมาดึงเข็มทองออกจากเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด คิ้วขมวดแน่นขณะคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด

    เข็มทองสิบกว่าเล่มบนร่างถูกดึงออกมาจนหมด แต่มีความยาวเพียงแค่หนึ่งในสามของความยาวจริงเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่เขากับเจ๋อซิ่วได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว

    ตามแผนเดิม เขาจะร่วมมือกับเจ๋อซิ่วหาวิธีวางยาพิษโจวทง จากนั้นก็พยายามถ่วงเวลาจนพิษออกฤทธิ์เต็มที่ ครั้นแล้วเจ๋อซิ่วจะพุ่งตัวออกมาจากผนังและร่วมมือกับเซวียเหอโจมตีโจวทง ในตอนแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าที่จินตนาการไว้ พวกเขาวางยาพิษได้สำเร็จอย่างง่ายดาย แต่คาดไม่ถึงว่ามีคนกระตุ้นค่ายกลจนทำให้โจวทงหวาดกลัวและหนีไป

    เห็นได้ชัดว่าคนในเงามืดผู้นี้ไม่รู้ว่ามีเจ๋อซิ่วอยู่ เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับการรู้แผนของเจ๋อซิ่ว แต่ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็ต้องการสังหารโจวทงเช่นกัน

    เซวียเหอกล่าว “เจ้าไปบอกเฉินฉางเซิงส่วน ข้าจะไล่ตามโจวทง”

    เจ๋อซิ่วไม่ส่งเสียงคัดค้าน แต่ความเงียบไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วย เขาเพียงแค่ไม่สนใจสิ่งที่เซวียเหอกล่าว

    เขาส่งกุญแจพวงหนึ่งให้เซวียเหอแล้วออกจากห้องขัง เดินไปในทิศทางที่โจวทงหายตัวไป

    ย่างก้าวของเขาเชื่องช้ายิ่งนักในทีแรก นี่เป็นเพราะเขาอ่อนแอจากการใช้เวลาสิบวันอยู่ในดิน และไม่ได้ใช้ขาเดินมาระยะหนึ่งแล้ว

    ทว่าใช้เวลาไม่นานการเคลื่อนไหวของเขาก็กลับมาเข้าที่เข้าทาง แม้ว่าความเร็วในการเดินจะไม่มากนัก แต่ก็มั่นคงมากพอ

     

    โจวทงเดินไปตามเส้นทางมืดมัวของอุโมงค์ ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนทิศทางการเดินก็จะมีประตูปิดตามหลังเขาเสมอ จากนั้นประตูก็จะถูกดินปกคลุมจนดูกลืนไปกับผนังดิน

    เส้นทางในอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้แตกแขนงแยกย่อยราวใยแมงมุม และจะยิ่งซับซ้อนกว่าเดิมหากกระตุ้นกลไกด้วยวิธีการบางอย่าง โจวทงมั่นใจว่าต่อให้มีคนช่วยเฉินฉางเซิงตีฝ่าวงล้อมของราชสำนัก และช่วยให้เฉินฉางเซิงหาที่ตั้งอันแท้จริงของคุกโจวจนเขาโจมตีลงมาใต้ดินได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่อาจหาโจวทงพบ

    คิดเช่นนี้แล้วเขาก็สบายใจขึ้นมากและยกมือขึ้นนวดหน้าอก

    เขาขมวดคิ้วเมื่อพบว่าหัวใจเต้นเร็วอยู่บ้าง นี่เพราะเขาเดินเร็วเกินไปหรือเพราะเหตุอื่นกันแน่

    อย่างเช่น…ความกลัว

    เขาไม่เต็มใจยอมรับว่าตัวเองกำลังกลัว จึงสูดหายใจลึกและเริ่มโคจรปราณแท้เพื่อเตรียมลดอัตราการเต้นของหัวใจลง

    ปราณแท้ไหลไปตามเส้นลมปราณอย่างราบรื่นดุจสายน้ำไหลไปตามลำคลอง ทว่าทันใดนั้นเองก็ชนเข้ากับบางสิ่งที่ไม่อาจผ่านไปได้

    เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หน้าอก

    เขาเริ่มกระอักเลือดออกมา

    เลือดนั้นมีสีดำ

     

    ตอนที่ 52

    แสงตะวันในลานเรือนสาดส่องลงบนยาริมหน้าต่าง

     

    โจวทงชะงัก ดวงตาหรี่ลง

    แม้จะอยู่ใต้แสงไฟอันสลัวราง เขาก็ยังเห็นสีของเลือดนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะเลือดสีดำดูเด่นชัดยิ่ง

    เขารู้สึกว่าหัวใจใต้ฝ่ามือเต้นถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มือและแขนสั่นเทา บ่าทั้งสองก็เริ่มสั่น จากนั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

    ใบหน้าซีดลงจนขาวผิดปกติ ประหนึ่งถูกโรคร้ายกัดกร่อนในเวลาอันสั้น

    เขาถูกวางยา อีกทั้งยังเป็นยาพิษที่รุนแรงและหายาก

    เขาสรุปได้อย่างรวดเร็วว่าพิษชนิดนี้หาได้ยากยิ่ง เพราะกองชำระความเป็นหน่วยงานซึ่งเชี่ยวชาญการใช้พิษที่สุด

    พิษที่เขาเคยได้ใช้ได้เห็นมากับตาตัวเองนั้นมีมากมายเกินกว่าจำนวนอาหารจานต่างๆ ที่คนทั่วไปได้กินตลอดชีวิตเสียอีก

    เขาถูกพิษตั้งแต่เมื่อไร แสงในดวงตาหรี่ปรือเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่นมัวยามที่เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่น้อย เขาก็ระบุได้แทบจะทันทีว่าใครเป็นผู้วางยาพิษเขา และเป็นตอนไหนที่เขาได้รับพิษ นี่ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เพียงอนุมานย้อนกลับไปด้วยช่วงเวลาและรายละเอียดเล็กน้อยก็พอ

    ผู้วางยาเขาคงยังอยู่ที่นั่น แต่เขาไม่ได้หันกลับไป เพราะสิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำคือไปจากที่นี่

    โจวทงหยิบผ้าเช็ดมือออกจากแขนเสื้อมาใช้เช็ดเลือดที่ริมฝีปาก จากนั้นจึงออกเดินต่อและหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

    หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในความมืด แสงไฟสลัวบนผนังหินสว่างขึ้นส่องใบหน้าซีดขาวซึ่งเลอะโคลนแห้งจนลายพร้อยของเจ๋อซิ่ว

    เขาคุกเข่าและแตะมือลงในเลือดเสียกองนั้น จากนั้นก็ยกขึ้นใกล้จมูกและดม

    เลือดเสียสีดำส่งกลิ่นคาวจางๆ อยู่บนปลายนิ้วซึ่งส่องประกายเย็นเยียบเหมือนใบมีด

    เขาพึงพอใจมากและไล่ล่าต่อไปตามร่องรอยพลังปราณ จากนั้นก็หายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

     

    เส้นทางในอุโมงค์ใต้กองชำระความนั้นซับซ้อนเกินธรรมดา แผ่ขยายราวกับใยแมงมุม ทั้งยังทอดยาวกว่าที่ผู้ใดจะคะเนได้ มุ่งตรงไปยังสถานที่อันห่างไกลอย่างยิ่ง ตามปกติโจวทงจะใช้เวลาในอุโมงค์นานกว่านี้มากเพื่ออ้อมผ่านเส้นทางมากมายและกระตุ้นการทำงานของกลไกให้มากกว่านี้ ทั้งหมดนี้เพื่อประกันความปลอดภัยของตน

    แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ในวันนี้ เพราะมีพิษร้ายไหลเวียนอยู่ในกาย

    พิษนี้ต่างไปจากพิษที่กองชำระความมักจะใช้อย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้มุ่งเล่นงานเส้นลมปราณ จุดลมปราณหรือห้วงแห่งจิต แต่กลับซึมเข้าสู่อวัยวะภายในเหมือนกับทราย ให้ความรู้สึกหยาบกระด้างจนเขานึกไปถึงที่ราบกว้างใหญ่ทางเหนือ

    พิษชนิดนี้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากเสียจนไม่อาจรักษาด้วยวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่โจวทงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกที่เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษมากที่สุด เขาถึงกับเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านนี้ ดังนั้นต่อให้เขายังไม่เคยเห็นพิษชนิดนี้มาก่อน ก็ยังรู้ว่าตัวเองควรรับมือเช่นไร มีแต่ยาสมุนไพรแก้พิษเท่านั้นที่จะจัดการกับพิษชนิดนี้ได้ และสมุนไพรที่ว่าก็เป็นชนิดหายากจนแม้แต่คุกโจวก็ยังไม่มี โชคดีที่เขารู้ว่าที่แห่งหนึ่งมีสมุนไพรชนิดนี้ และโชคดียิ่งกว่าที่เขาตั้งใจจะไปที่นั่นพอดี

    เขาเดินผ่านอุโมงค์ที่เปียกชื้น หนาวเย็นและทอดยาวคล้ายจะไร้สิ้นสุด หลังจากหักเลี้ยวหลายครั้ง พื้นดินก็ไม่ราบเรียบอีกต่อไปแต่ค่อยๆ ลาดชันขึ้น เขามุ่งหน้าต่อจนไปถึงปลายอุโมงค์ จากนั้นก็สอดมือเข้าไปในช่องว่างของผนังอย่างแม่นยำเพื่อปลดค่ายกลลง เขากดปุ่มและใช้แรงผลักประตูให้เปิดออก จากนั้นก็เดินออกจากความมืด

    แสงตะวันเจิดจ้ารอเขาอยู่ด้านนอกประตู เช่นเดียวกับใบหน้าอบอุ่นและชวนประทับใจราวกับแสงแดด

    แสงตะวันสาดส่องจากท้องฟ้าเหนือลานเรือน เมฆหิมะหม่นมัวถูกพัดพาไป เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม แสงอบอุ่นในฤดูเหมันต์ปรากฏต่อหน้าเขาเช่นนี้เอง ใบหน้าอบอุ่นและชวนประทับใจนั้นก็เป็นของสตรีงดงามนางหนึ่ง

    เมื่อได้เห็นแสงตะวันและใบหน้าสาวงาม โจวทงก็พลันรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นและจิตใจสงบลง ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าวิตกกังวลของนางก็ทำให้เขาร้อนวูบขึ้นในอก นี่เป็นอารมณ์ที่แตกต่างจากความหวาดกลัวและเกลียดชังอย่างสิ้นเชิง และยังเป็นอารมณ์ที่เขาขาดแคลนที่สุดและต้องการที่สุดในชีวิตด้วย

    หญิงสาวพยุงเขาออกจากปากอุโมงค์ ปิดปากอุโมงค์อย่างยากลำบาก จากนั้นกลไกก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

    เรือนและลานแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ ไม่ได้ประณีตงดงาม ทว่าทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นชายคาสีดำ กำแพงสะท้อน* หรือรั้วไม้ไผ่ล้วนแผ่บรรยากาศ ‘สงบ’ อย่างเปี่ยมล้น

    นี่คือสิ่งที่โจวทงใฝ่หายามที่เขาออกแบบเรือนแห่งนี้ครั้งแรก เขาเชื่อมาเสมอว่ามีเพียงความสงบเท่านั้นจึงจะทำให้ที่แห่งนี้มีบรรยากาศของบ้าน

    เรือนแห่งนี้คือบ้านของเขา บ้านที่แท้จริงของเขา เป็นที่สุดท้ายที่เขาสามารถพักผ่อนร่างกายอ่อนล้าและหัวใจอาบพิษอย่างสงบได้

    เพียงแค่กลับมาถึงเรือนแห่งนี้ จิตใจของเขาก็สงบลงได้ในที่สุด ผ่อนคลายลงได้อย่างแท้จริง

    เพื่อความปลอดภัยและเก็บงำความลับนี้ไว้ และเพื่อไม่ให้ความสงบที่เขาแสวงหาอย่างยากลำบากนี้ถูกรบกวน โจวทงจึงสร้างเรือนนี้ขึ้นด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

    ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของที่แห่งนี้ แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีที่สุดของเขาที่กองชำระความ เฉิงจวิ้นและแปดพยัคฆ์คนอื่นก็ไม่รู้ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้

    คนผู้เดียวที่รู้ว่าเรือนแห่งนี้เกี่ยวข้องกับเขาก็ได้ตายไปแล้ว

    ทุกครั้งที่เขากลับมายังเรือนแห่งนี้ ได้ฟังเสียงด้านนอกดงไผ่สีเขียวสดซึ่งดังมาจากลานเรือนข้างเคียง โจวทงจะนึกถึงความทรงจำหนึ่งเสมอ

    หลายปีที่ผ่านมาเซวียสิ่งชวนหวังสุดหัวใจว่าโจวทงจะถือจวนสกุลเซวียเป็นบ้านที่แท้จริงของเขา แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนรับใช้และผู้เยาว์ในจวนสกุลเซวียล้วนมองเขาอย่างหวาดกลัวและอึดอัดใจ แค่เพียงแซ่โจวของเขา เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ท่านพี่ของเขาอาจไม่ต้องการแซ่นี้ แต่เขาต้องการ

     

    บนโลกใบนี้โจวทงน่าจะเป็นคนที่สังหารผู้คนไปมากที่สุดพอๆ กับผู้บัญชาการทัพปีศาจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ เขาจึงหวาดกลัวความตายเป็นที่สุด นอกจากเรือนแห่งนี้แล้วเขายังมีที่ซ่อนลับอีกสองสามแห่งในจิงตู แต่ก็ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยเท่าที่นี่ สำคัญเท่าที่นี่ หรือสุขสบายเท่าที่นี่

    เขารู้สึกเช่นนี้เพราะเรือนแห่งนี้มีสตรีผู้อ่อนหวานและชวนประทับใจซึ่งเคารพรักเขาด้วยใจจริง ที่สำคัญกว่านั้นคือที่นี่เก็บสมบัติล้ำค่ามากมายเอาไว้ อย่างเช่นสมุนไพรหายากหลายชนิดซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการส่งคนไปลักลอบเก็บมาจากสวนไป่เฉ่า อีกส่วนหนึ่งเป็นของขวัญที่หอเทียนจีมอบให้เขา

    เขารับเอาผ้าที่กรุ่นด้วยไอร้อนมาปิดใบหน้าและอาจเพราะถูกไอร้อนกระตุ้น เขาจึงเริ่มออกมา

    เมื่อเอาผ้าออก เขาก็เห็นว่าบนผ้ามีจุดเลือดสีดำ ดูราวกับดอกไม้ที่วาดขึ้นด้วยหมึก ไม่ใช่ของจริงและยังน่าหวาดกลัว

    หญิงสาวผู้นั้นเป็นกังวลยิ่งนัก แต่โจวทงกลับดูสงบใจเย็นผิดธรรมดา เขาให้นางฝนหมึกในขณะที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาลงเพื่อสงบใจ แต่ก็ดูเหมือนกับกำลังลิ้มรสอะไรบางอย่าง

    เขากำลังลิ้มรสพิษอันรุนแรงซึ่งหยาบกระด้างราวกับที่ราบทางตอนเหนือในร่างของตน

    ครู่ต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้น หญิงสาวผู้นั้นพยุงเขาเดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่าง เขายกพู่กันและตวัดมือเขียนด้วยความสง่าราวกับกำลังคัดลายมือ

    ลายเส้นบนกระดาษซึมซาบด้วยหมึก ลายมือชัดเจนอย่างมาก เพียงแต่เขาไม่ได้กำลังคัดอักษรเฉ่าซู* ทว่ากำลังเขียนเทียบยา

    ต้องใช้สมุนไพรชนิดใด ใช้น้ำกี่ชาม ต้มอย่างไร ใช้ไฟแบบไหน ใช้เตาแบบใด ฟืนชนิดไหน น้ำชนิดใด กรองยาอย่างไร และต้องเติมผลึกหินเมื่อไร ทุกอย่างเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน

    หญิงสาวผู้นั้นเห็นสีหน้าของเขาและรู้ว่าเขาจะสบายดีไปอีกระยะหนึ่ง จิตใจนางจึงผ่อนคลายลง ก่อนจะรับเทียบยามาและไปยังห้องครัวเพื่อต้มยา

    เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นนางจึงมีประสบการณ์อยู่บ้าง

    ชนิดและจำนวนของสมุนไพรที่ใช้ไม่มีผิดพลาด และนางก็ควบคุมความร้อนของเตาได้อย่างชำนาญ

    ไม่รู้ว่าหญิงงามในชุดชาววังผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างเตาไฟตั้งแต่เมื่อไร แสงจากเปลวไฟส่องต้องใบหน้าของนาง เผยให้เห็นใบหน้างดงามไร้ใดเปรียบ

    หญิงสาวในชุดชาววังผู้นี้งดงามอย่างแท้จริง

    อันที่จริง หลายปีที่ผ่านมานี้นางก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันในฐานะหนึ่งในหญิงสาวที่งดงามที่สุดของราชวงศ์ต้าโจว

    หญิงรับใช้ต้มยาด้วยสีหน้าสงบ แบ่งยาและกรองยาด้วยความมั่นคงอย่างยิ่ง ประหนึ่งมองไม่เห็นหญิงงามในชุดชาววัง

    หญิงงามในชุดชาววังใส่บางอย่างลงในหม้อยา

    หญิงรับใช้ก็ยังทำราวกับว่าไม่เห็นอะไร

    ทั้งห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงเดือดปุดๆ ของยาในหม้อ

     

    ตอนที่ 53

    คนที่เข้าใจเจ้าที่สุดในโลกมาถึงแล้ว

     

    หญิงงามในชุดชาววังเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังแสงตะวันซึ่งสาดส่องลงมากลางลานเรือนอย่างเงียบงัน

    แสงตะวันสาดส่องต้องใบหน้านางทว่ากลับไม่ทำให้เกิดความอบอุ่นได้มากนัก ภายใต้ใบหน้างดงามนั้นยังคงแฝงเร้นด้วยความเย็นเยียบและซีดเซียวอย่างที่ไม่อาจกำจัดออกไปได้

    ห้องครัวเงียบสนิท ภาพอันแปลกประหลาดขัดตานี้ดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้าภายใต้แสงตะวัน

    ผ่านไปอีกครู่หนึ่งยาก็ต้มเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวผู้นั้นยกหม้อยาวางลงในอ่างบรรจุน้ำเย็นเยียบและรอให้ยาเย็นตัวลง

    หญิงงามในชุดชาววังผู้นี้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิชาทางจิตเช่นเดียวกับโจวทง เป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าที่หญิงสาวผู้นั้นไม่เห็นหญิงงามริมหน้าต่างเพราะจิตของนางถูกภาพลวงตาทำให้สับสน

    ในที่สุดหญิงสาวผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองนาง พิสูจน์ว่านางมองเห็นหญิงงามมาตลอด ไม่ได้ถูกหญิงงามใช้วิชาลวงตาแต่อย่างใด

    หญิงงามในชุดชาววังเอนร่างพิงหน้าต่าง โบกมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้ทำทุกอย่างตามปกติ

     

    ยานั้นจะเย็นชืดก่อนดื่มไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นประสิทธิภาพของตัวยาจะเสียไป ดังนั้นถ้วยยาซึ่งวางลงตรงหน้าโจวทงจึงยังคงมีไอร้อนลอยกรุ่น

    อุณหภูมิที่แผ่จากไอร้อนนี้ทำให้โจวทงรู้สึกราวกับต้องมนตร์สะกด ในขณะเดียวกันความรู้สึกนี้ก็ทำให้เขามีพละกำลัง กระนั้นตอนที่ดื่มยาในถ้วยจนหมดก็มีสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะยาลวกเหงือกและเพดานปาก เขาไม่โทษหญิงสาวผู้นั้น แต่ไม่พอใจท่าทีของตัวเองมากกว่า เขารีบร้อนมากเกินไป

    แม้ว่าการลวกนี้จะไม่ทำให้เกิดแผลพองในปาก แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงตวัดลิ้นเลีย

    รสที่สัมผัสผ่านปลายลิ้นนั้นหวานปะแล่ม คล้ายคลึงกับรสสนิมอยู่บ้าง

    เขารู้ว่านี่เป็นรสของเลือดจึงอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนจะยกกระจกบนโต๊ะขึ้นมาส่องสำรวจโพรงปากของตน

    เขาไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด มีเพียงแค่ไรเหงือกบวมเล็กน้อยและมีเลือดออกเท่านั้น

    รสชาติของเลือดค่อยๆ จางไป ทิ้งไว้เพียงรสขมของยา โจวทงหยิบถั่วเคลือบน้ำตาลในจานบนโต๊ะขึ้นมาสองเม็ด โยนเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างระมัดระวัง

    เขากลัวการดื่มยามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย เนื่องจากมันขมเกินไป ดังนั้นจึงต้องเตรียมของหวานเอาไว้เสมอเวลาที่จะดื่มยา

    ขณะเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาล เขาก็คิดเรื่องสิ่งที่เขาได้พบเจอในวันนี้

    เซวียเหอนำทัพในทุ่งหิมะแดนเหนืออยู่ตลอดปี จึงเป็นไปได้ว่าเขาจะหาพิษเช่นนี้ได้ แต่เขาวางยาพิษตอนอยู่ในคุกใต้ดินได้อย่างไร

    เซวียเหอต้องการวางยาพิษเขาจนตายเพื่อล้างแค้นให้เซวียสิ่งชวน และแสดงให้ทั้งโลกเห็นว่านี่เป็นการลงทัณฑ์อันสาสมของวัฏจักรแห่งกฎสวรรค์เช่นนั้นหรือ

    ปัญหาก็คือการวางยาพิษเขาให้ตายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

    รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากโจวทง ประกายแห่งความภาคภูมิปรากฏอยู่ในดวงตาเย็นชามืดมัว

    ถั่วเคลือบน้ำตาลรสชาติดี เสียอย่างเดียวตรงที่มันติดฟันอยู่บ้าง เขาหยิบไม้จิ้มฟันที่ทำจากเงินอย่างประณีตออกมา เขี่ยฟันพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาเป็นกังวล

    ตอนนี้เซวียเหออาจจะหนีจากคุกโจวไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่สำคัญ ต่อให้โลกนี้จะกว้างใหญ่สักเพียงใด ในเวลานี้ก็ไม่มีที่ใดคนสกุลเซวียได้หยัดยืน

    โจวทงทอดสายตาออกนอกหน้าต่าง มองไปยังลานของเรือนข้างเคียงและคิดในใจว่าหลังจากเรื่องนี้จบลง เขาจะจับเซวียเหอให้เร็วที่สุดและวางยาพิษอีกฝ่ายจนตาย ให้ตายอย่างทรมานด้วยพิษที่ออกฤทธิ์ช้าๆ

    เขาคิดไว้แล้วว่าต้องใช้พิษชนิดใดบ้างเซวียเหอถึงจะตายอย่างเชื่องช้าเจ็บปวดที่สุด

    เสียงแตกเบาๆ ดังมาจากข้างในปาก ทำให้ห้วงความคิดอันวกวนและรื่นเริงใจอย่างที่สุดของเขาต้องหยุดชะงักลง

    ฟันซี่หนึ่งหลุดออกจากเหงือก ร่วงลงบนฝ่ามือเขาเงียบๆ ปลายรากฟันยังเปรอะเลือด เป็นภาพที่ชวนให้สังหรณ์ร้ายอย่างที่สุด

    ครั้นจ้องมองฟันซี่นี้ ความเย็นเฉียบก็แล่นปราดไปทั่วร่างซึ่งเพิ่งอบอุ่นของโจวทงอีกครั้ง

    เขาครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยกกระจกขึ้นส่องอีกครั้งหนึ่ง

    ภาพที่เห็นทำให้เขาตกใจกลัวสุดใจ

    เหงือกของเขากลายเป็นสีม่วงดำ ฟันหลวมอย่างมากจนแทบจะหลุดลงมาได้หากต้องลมเพียงแผ่วเบา

    ความเจ็บปวดที่ชัดเจนและยากทานทนกว่าเดิมเกิดขึ้นจากฟันของเขาและแผ่ขยายไปทั้งร่าง ทำให้ตัวเขาสั่นสะท้านอีกครา

    เขาเพียงต้องการเขี่ยน้ำตาลออกจากร่องฟัน แต่กลับทำให้ฟันทั้งซี่หลุดออกมา

    ปลายไม้จิ้มฟันเงินกลายเป็นสีดำสนิทราวกับถ่าน น่าตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

    นี่ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ เขาเอ่ยกับตัวเอง

    เขามีประสบการณ์ในการใช้พิษมามากจึงเชื่อว่าตนไม่มีทางประเมินพลาด แม้ว่าวิธีล้างพิษของเขาจะไม่อาจขับพิษทั้งหมดออกจากร่างกาย อย่างน้อยก็ต้องไม่ล้มเหลวในการยับยั้งฤทธิ์ของพิษและซื้อเวลาให้เขาแก้ปัญหาที่เหลืออย่างช้าๆ ได้

    แต่เหตุใดหลังจากดื่มยาเข้าไป ไม่เพียงแต่พิษในร่างกายไม่ถูกยับยั้งไว้ แต่กลับออกฤทธิ์รุนแรงกว่าเดิมจนส่งผลถึงฟันของเขา

    โจวทงไม่อาจเข้าใจได้และนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน

    แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่คิดว่ายามีสิ่งใดผิดปกติ รวมทั้งไม่คิดว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นตอนต้มยา

    เขาไม่เคยสงสัยในตัวหญิงสาวผู้นั้นสักครั้ง

    เขานำยาลูกกลอนอันล้ำค่าออกมาสองเม็ดและกลืนลงไป ยับยั้งการแพร่กระจายของพิษเป็นการชั่วคราว

    เขารู้สึกวิงเวียนอยู่บ้าง สายตาพร่าเลือน

    หากสายตาของเขาไม่พร่าเลือน จะเห็นหญิงสาวผู้นั้นเดินไปยังประตูของลานเรือนเล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างไร

    ห่อผ้าลายดอกไม้เล็กๆ สีน้ำเงินอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวผู้นั้น

    เป็นห่อผ้าเล็กๆ เรียบง่าย ไม่อาจบรรจุสิ่งใดได้มากนัก

    แน่นอนว่าเขาซื้อของมีค่ามากมายให้นางช่วงหลายปีมานี้ ห่อผ้าเล็กๆ เช่นนั้นจะเก็บพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร

    ดังนั้นนางคงไม่มีเจตนาจะจากไป นางคงไม่คิดจะทอดทิ้งเขา นางคงไม่เป็นปัญหา นางคงไม่ได้วางยาพิษเขา

    ดังนั้นเขาต้องตาฝาดไปเป็นแน่ พิษชนิดนี้ร้ายแรงเกินไป ทำให้เขาถึงกับเริ่มเห็นภาพหลอน

    โจวทงบอกตัวเองเช่นนี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้

    ตัวเรือนกับประตูหน้าห่างกันเพียงสิบจั้ง ลานเรือนตรงกลางอาบไล้ด้วยแสงตะวัน

    เขากับหญิงสาวผู้นั้นสบตากันและกัน โดยมีพื้นดินที่อาบด้วยแสงแดดคั่นกลาง

    สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นสงบ อบอุ่นและสุขุม นางโค้งคำนับเล็กน้อย ดังเช่นทุกครั้งเมื่อเขากล่าวลา เพียงแต่วันนี้นางเป็นฝ่ายกล่าวลา

    กลายเป็นว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา

    เพราะเหตุใด โจวทงไม่ได้เอ่ยปากถามเพราะเขารู้ดีว่ามีเหตุผลมากมายนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้

    สิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกนี้ก็คือยามที่ไม่ต้องการรู้คำตอบ กลับมีคนยืนกรานจะยัดเยียดคำตอบมาให้

    “นางไม่ได้ชอบเจ้า ไม่เคยชอบ” หญิงงามในชุดชาววังเดินมาที่ประตูก่อนจะเอ่ยบอกเขา “นางแค่กลัวเจ้า จึงไม่กล้าจากไป”

    ทำไมวันนี้นางถึงไม่กลัวแล้ว ก็ย่อมเป็นเพราะเขากำลังจะตาย

    โจวทงไม่ได้ตกใจกับการปรากฏตัวของนาง

    อันที่จริงเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดยาที่เขาดื่มจึงไร้ผล นั่นก็เพราะมีคนผสมพิษลงไปในยา

    เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในเรือนแห่งนี้ และยังรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

    ผู้ที่จะเข้าใจเจ้ามากที่สุดมักไม่ใช่ญาติ มิเช่นนั้นเซวียสิ่งชวนคงไม่ตายอนาถถึงเพียงนั้น ถึงขนาดถูกทิ้งศพไว้กลางทุ่งหลังจากตายไป

    ผู้ที่จะเข้าใจเจ้ามากที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูดังที่มักเขียนกันในตำราเช่นกัน เพราะอย่างไรเจ้าก็ต้องเป็นกังวลว่าศัตรูจะรู้ความลับและต้องหาวิธีป้องกันไว้มากมายอยู่แล้ว

    และผู้ที่จะเข้าใจเจ้ามากที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสหายของเจ้า การเป็นสหายกันจนเส้นผมขาวโพลนนั้นเป็นเรื่องงดงาม ทว่าพวกเจ้าอาจมีเวลาร่วมกันน้อยเกินไป ระยะห่างระหว่างเมืองของทั้งสองก็อาจไกลเกินไป เมื่อได้พบกันก็อาจเอาแต่ดื่มสุราพูดถึงเรื่องเก่า เดาเรื่องอนาคต สบถด่าอาจารย์ในอดีตหรือผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ทว่ามีโอกาสน้อยนักที่จะสนทนาในเรื่องลึกซึ้ง

    ดังนั้นผู้ที่จะเข้าใจเจ้ามากที่สุดมักจะเป็นหุ้นส่วนที่ทำงานร่วมกันกับเจ้า

    เมื่อทำงานร่วมกันปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า ก็คงยากยิ่งนักหากจะไม่เข้าใจกันและกัน เพราะพวกเจ้าทั้งดื่มกินร่วมกันหลายครั้ง สนทนากันหลายเรื่องอย่างลึกซึ้ง แข่งขันกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ต่างฝ่ายต่างจดจำรายละเอียดเหล่านั้นทั้งหมดเผื่อว่าจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า ยกตัวอย่างเช่นต่างจำได้ว่าอีกฝ่ายชอบกินข้าวกล่องร้านไหน ชอบกินบะหมี่ร้านใด เกลียดหัวหน้าหน่วยคนไหน ชอบชมการแสดงชุดใด ไปจนถึงรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าเคยคบหาหญิงสาวกี่คน หรือรู้ว่าอีกฝ่ายนอกใจภรรยากี่ครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รุ่งเช้าหลังคืนเทศกาลพวกเจ้าอาจจะถึงกับออกมาจากโรงสุราเดียวกันแล้วส่งยิ้มให้กันเพราะโรงสุราแห่งนั้นเป็นที่ที่พวกเจ้าสามารถต่อรองราคาได้เหมาะสมที่สุด

    หากว่ากันตามหลักเหตุผล โจวทงย่อมไม่มีหุ้นส่วนที่ทำงานร่วมกันเพราะกองชำระความเป็นหน่วยงานพิเศษซึ่งขึ้นตรงกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์โดยตรง ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ใดในราชสำนัก เฉิงจวิ้นกับกลุ่มแปดพยัคฆ์และทหารม้าชุดแดงล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่ถึงกระนั้นบนโลกนี้ก็มักจะมีบุคคลพิเศษอยู่เสมอ อย่างเช่นหญิงงามในชุดชาววังผู้นี้

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ไว้วางใจเซวียสิ่งชวน เทียนฉุย สวีซื่อจี้ และขุนพลเทพคนอื่นในการควบคุมกองทัพต้าโจว แต่ในการควบคุมราชสำนักและปกครองประชาชนนับล้านล้านคนของต้าโจว นางกลับไว้ใจคนเพียงสองคน คนแรกก็คือโจวทง ส่วนอีกคนย่อมเป็นโม่อวี่

    ทั้งคู่เป็นเสมือนแขนซ้ายขวาในราชสำนักของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และมักถูกประณามอย่างลับๆ ว่าเป็นเป้ยกับหมาป่าสมคบทำชั่ว* พวกเขาทำงานร่วมกันมาหลายปี และแม้ว่าไม่อาจพูดได้ว่าพวกเขาสื่อใจถึงกัน ทว่าพวกเขาก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องอาศัยคำพูด ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับตระกูลเทียนไห่หรือรับมือกับปณิธานอันแข็งแกร่งของกองทัพ ความเข้าใจนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเสมอ

    จะเข้าใจกันโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดได้หมายความว่าทั้งสองมีความเข้าใจกันและกันอย่างล้ำลึก

    โจวทงล่วงรู้ถึงความขบถและไม่ยินยอมที่ก้นบึ้งหัวใจของโม่อวี่ และยังพอเดาความคิดของนางที่มีต่อคนบางคนได้อีกด้วย ส่วนโม่อวี่ก็รู้ว่าโจวทงได้ปิดบังความหวาดกลัวที่มีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเรือนหลังเล็กที่อาบไล้ด้วยแสงตะวันแห่งนี้เอาไว้ ดังนั้นวันนี้นางจึงหาสถานที่แห่งนี้พบ และหยิบยื่นความตายให้กับโจวทง

     

    เมื่อเห็นโม่อวี่เดินผ่านประตูเข้ามาโจวทงก็สงบใจลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเร็วกว่าที่เขาคิดว่าตัวเองจะทำได้เสียอีก ไม่กี่วันหลังจากการยึดอำนาจในสุสานเทียนซูเขาได้สั่งให้กองชำระความสืบหาร่องรอยและยืนยันที่อยู่ของนางในแดนใต้ บางทีอาจเพราะเหตุนี้เขาจึงเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะได้พบนางในจิงตู

    เขากล่าวกับโม่อวี่ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องกลับมาจิงตู แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นตอนนี้”

    โม่อวี่ถาม “ทำไม”

    โจวทงอธิบาย “เพราะเจ้าเข้าใจดีว่าหากเจ้ากลับมาจิงตู เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน”

    โม่อวี่จ้องมองเขาก่อนเอ่ยตอบ “ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น ตราบใดที่เจ้าตายต่อหน้าข้า”

    โจวทงไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงก็พูดคล้ายกันเมื่อไม่นานมานี้

    เขามองโม่อวี่และเอ่ยถาม “เจ้ากลับมาเพื่อล้างแค้นให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ”

    “ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น เจ้าเองก็ไม่ใช่ศัตรูของข้า เพราะเจ้าไม่มีค่าเช่นนั้น”ในสายตาของโม่อวี่ เขาเป็นสุนัขที่จักรพรรดินีเลี้ยงไว้เท่านั้น “ข้ามาเพื่อลงโทษสุนัขของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แทนนาง”

    หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งโจวทงก็เอ่ยถาม “เจ้าเตรียมจะลงโทษสุนัขตัวนี้อย่างไร”

    โม่อวี่เสนอ “โยนลงหม้อต้มดีไหม ข้าคิดว่าไม่เลวเลย”

    โจวทงกล่าวกับนางอย่างจริงจัง “เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นกระต่ายตัวนั้น”

    “ข้าไม่ได้หมายถึง ‘กระต่ายตายจับสุนัขต้ม*’ ข้าแค่ไม่มีประสบการณ์ในการทรมานคนเหมือนเจ้า ดังนั้นข้าจึงคิดได้แค่ว่าจะต้มเจ้าจนตาย” จากนั้นโม่อวี่ก็ถามอย่างจริงจัง “หรือว่าเจ้ามีวิธีอื่นจะแนะนำ”

     

     

    * กำแพงสะท้อน คือผนังฉากกั้นที่ตั้งอยู่หน้าประตูเรือนประจันกับประตูใหญ่ของบ้าน ใช้เพื่อบังอำพรางการเคลื่อนไหวในเรือน และใช้ประดับตกแต่ง หากตั้งอยู่หน้าประตูใหญ่เลยจะเรียกว่า กำแพงเงา

    * เฉ่าซู หมายถึงตัวอักษรหวัด เกิดจากการย่นย่อลายเส้นที่มีอยู่เดิมให้น้อยลง ฉีกรูปแบบจำเจของการเขียนตัวอักษรเป็นกรอบสี่เหลี่ยม

    * ตัวเป้ย คือสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายหมาป่า แต่มีขาหน้าสั้นกว่าขาหลัง มักเกาะติดบนหลังของหมาป่าไปไหนมาไหนด้วยตลอด ไม่เดินด้วยตัวเอง หมาป่าและตัวเป้ยมักจะร่วมมือกันทำร้ายปศุสัตว์ จึงมีสำนวน ‘เป้ยกับหมาป่าสมคบทำชั่ว’ ซึ่งอุปมาถึงการร่วมมือกันทำเรื่องเลวร้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันอำมหิต

    * กระต่ายตายจับสุนัขต้ม หมายถึงเมื่อหมดประโยชน์แล้วกำจัดทิ้ง ดังการต้มสุนัขล่าเนื้อกินหลังจากจับกระต่ายสำเร็จ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook