• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่11-12

     

    ตอนที่ 11

    เด็กหนุ่มทั้งสอง

    ชัดเจนว่าเป็นต้นฤดูวสันต์ แต่วันนี้กลับร้อนระอุเล็กน้อย เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากปัญหาของสภาพอากาศหรือว่าสภาพอารมณ์ของตนกันแน่ เมื่อเขาเดินกลับไปถึงโรงเตี๊ยมก็พบว่าแขนเสื้อของตนเองเปียกเหงื่อชุ่ม ฝุ่นที่เกาะบนนั้นเปลี่ยนเป็นคราบสกปรก คนรักความสะอาดเช่นเขาจึงยิ่งอารมณ์ดำดิ่งลงอีก จนกระทั่งมองเห็นคนผู้หนึ่ง

    คนผู้นั้นคือเด็กหนุ่มอาภรณ์คราม เขายืนอยู่ตรงกลางห้องโถงของโรงเตี๊ยม แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าท่าทางเฉยเมย ไม่สนใจว่าตนยืนตรงนี้แล้วจะทำให้ผู้อื่นเดินไม่สะดวกเลยสักนิด ช่างหยิ่งทะนงประหนึ่งกระเรียนป่าซึ่งไม่เหลือบแลนกกระจอกที่กำลังจิกกินอาหารอยู่ข้างเท้า

    โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ใกล้กับสุสานเทียนซู มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาไม่หยุดหย่อน ยามนี้เป็นเวลาอาหารพอดี ผู้คนที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมจึงประหนึ่งกระแสน้ำ แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา เด็กหนุ่มอาภรณ์ครามราวกับเป็นโขดหินโดดเดี่ยวที่อยู่ในแม่น้ำลั่วเหอ กระแสน้ำไหลกระทบโขดหินแล้วแยกออกก่อนกลับมารวมกันใหม่ เป็นภาพที่แปลกประหลาด เฉินฉางเซิงรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ แต่คนในโรงเตี๊ยมไม่รู้จัก เขารู้สึกตกตะลึง เหตุใดอีกฝ่ายถึงมาปรากฏตัวที่นี่ คิดๆ ดูแล้วคงมาหาตน เพียงแต่มาหาตนทำไมเล่า

    เฉินฉางเซิงเดินไปเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มอาภรณ์คราม ประสานมือทักทาย หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

    เด็กหนุ่มผู้นี้คือคนที่เฉินฉางเซิงพบเจอตอนเข้ารับการทดสอบที่สำนักเทียนเต้า หรือก็คือถังซานสือลิ่วนั่นเอง ชื่อของเขามาจากการจัดอันดับบนทำเนียบชิงอวิ๋น ที่น่าสนใจก็คือเขากับเฉินฉางเซิงเหมือนกันตรงที่ไม่ถนัดพูดคุยกับผู้อื่น หลังจากเขาประสานมือทักทายกลับก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรเช่นกัน

    ภายในโรงเตี๊ยมยามนี้เงียบราวกับสุสาน ผู้คนไม่กล้ารบกวนถังซานสือลิ่ว พากันก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างพยายามไม่ให้เกิดเสียงใดๆ ยิ่งไม่กล้าพูดคุยกัน แต่สายตามากมายล้วนไปตกยังเด็กหนุ่มทั้งสอง ผู้คนในที่นี้อยากรู้อยากเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

    บรรยากาศที่เงียบวังเวงทำให้รู้สึกอึดอัด ท่ามกลางสายผู้คนที่กำลังจับจ้องมองก็ยิ่งทำให้อึดอัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับถังซานสือลิ่ว เพราะเขาต้องการแสดงด้านที่สุขุมและใจกว้างต่อหน้าเฉินฉางเซิง โชคดีว่าเขาอายุมากกว่าเฉินฉางเซิงเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญแล้วในที่สุดก็คิดวิธีแก้ปัญหาออก จึงกล่าวว่า “แขกมาทั้งที ไม่เชิญให้ข้านั่งสักหน่อยรึ”

    ด้วยเหตุนี้เฉินฉางเซิงจึงตื่นจากภวังค์ เชื้อเชิญเขาเข้าไปในห้อง ควักเงินออกมาสิบกว่าเหรียญ เรียกให้เสี่ยวเอ้อร์ชงน้ำชามาหนึ่งกา ผ่านไปไม่นานน้ำชาก็ชงเสร็จเรียบร้อย โต๊ะหนังสือหนึ่งตัววางกาน้ำชาหนึ่งกา เฉินฉางเซิงรินชาลงในถ้วยทั้งสองไปเจ็ดส่วน จากนั้นเชิญอีกฝ่ายดื่มน้ำชา ตามด้วยบรรยากาศเงียบวังเวงดังเช่นเคย

    นี่ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก ถังซานสือลิ่วอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จึงเปิดประตูเห็นภูเขา ทันที “ยังสอบไม่ผ่านใช่หรือไม่”

    เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยความสัตย์จริง “ครั้งที่สี่แล้วที่ไม่มีชื่อในประกาศ”

    ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเป็นกลอุบายของจวนขุนพลเทพตงอวี้”

    เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น เขาแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะทราบสายสนกลในของเรื่องราว แต่มิรู้ว่ารู้มากน้อยแค่ไหน นำมาซึ่งข้อสงสัย แววตาจึงเปลี่ยนไปจากปกติแวบหนึ่ง

    ถังซานสือลิ่วค่อนข้างประทับใจในตัวเฉินฉางเซิง เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้มีพรสวรรค์ นิสัยเป็นมิตร จิตใจดีงาม มีคุณสมบัติให้ผู้คนคาดหวัง เวลานี้เมื่อเขาพบว่าแววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปราวกับปลายมีดที่คมกริบก็อดแปลกใจไม่ได้ ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมกับรู้สึกว่าเฉินฉางเซิงยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก

    ทันทีที่ถังซานสือลิ่วเอ่ยคำว่า ‘จวนขุนพลเทพตงอวี้’ เห็นได้ชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงร่างสั่นไหว แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เอ่ยอธิบายอะไร ทำเอาเขาอดโมโหไม่ได้ ขมวดคิ้วกล่าวด้วยเสียงดังว่า “เจ้าไม่โมโหเลยรึ ไม่โกรธแค้นเลย?”

    เฉินฉางเซิงสบตาเขาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลอกตาไปด้านข้างช้าๆ

    เห็นการตอบสนองเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วเกือบจะพ่นเอาน้ำชาในปากออกมา จริงอยู่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูเป็นคนคร่ำครึจนสามารถพูดได้ว่าทึ่มทื่อ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีด้านที่เป็นเด็กเช่นนี้

    ยามนั้นเฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิด ข้ากลัดกลุ้มจะตายอยู่แล้ว จำเป็นต้องให้เจ้ารับรู้ด้วยหรือ

    เฉินฉางเซิงไม่คิดจะให้ผู้อื่นรับรู้เรื่องหนังสือสมรส แม้นั่นจะเป็นชนวนให้เขาถูกกีดกันจนไม่ผ่านการทดสอบเข้าสำนักศึกษาทั้งสี่ก็ตาม

    เรื่องหนังสือสมรสอาจกล่าวได้ว่าตอนนี้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังคงเป็นความลับระหว่างเขากับจวนขุนพลเทพตงอวี้ ถึงแม้จวนขุนพลเทพตงอวี้จะข่มขู่มาตลอด ยิ่งกว่านั้นยังมีคำพูดนั้นของหญิงรับใช้อาวุโสที่ทำให้เขาโกรธเคืองอย่างยิ่ง แต่เขายังคงไม่คิดที่จะนำเรื่องนี้มาเปิดเผยให้ใต้หล้าได้รับรู้ ไม่ใช่เพราะเขาเกรงกลัวที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ข่มขู่ ยิ่งไม่กลัวว่าจะถูกพวกเขาสังหาร เพราะเขารู้ว่าสุดท้ายแล้วตนยังจะนำหนังสือสมรสส่งคืนให้แก่จวนขุนพลเทพอยู่ดี แล้วเหตุใดต้องให้เรื่องเช่นนี้เผยแพร่ไปทั่วทุกตรอกซอกซอยด้วยเล่า คุณหนูสวีอาจจะเป็นคนหยิ่งยโสและเย็นชาเหมือนดังบิดามารดาที่น่าชังของนาง แต่หากถึงเวลาที่จวนขุนพลเทพมาขอโทษ เหตุใดเขายังจะต้องให้เด็กสาวคนหนึ่งพบความยุ่งยากจากการสมรสกับเขาในภายหลังด้วยเล่า

    ใช่แล้ว เขารู้ว่าตนเองสุดท้ายแล้วจะถอนการหมั้นหมาย เพราะเขาเชื่อมั่นว่าคงจะมีสักวันที่จวนขุนพลเทพมาขออภัยกับตน ทั้งไม่อยากให้ผู้คนบนโลกนี้ได้รู้จักชื่อของตนเพราะเรื่องของคุณหนูสวี นี่อาจเป็นความทะนงตน อาจเป็นความดื้อรั้น สรุปก็คือว่าเขาอยากจะยืนหยัดสู้ต่อ มุมมองที่เขามีต่อโลกใบนี้ยังคงเป็นการยืนหยัดที่จะก้าวเดินไปตามทางด้วยใจบริสุทธิ์ต่อไป

    ที่น่าสนใจก็คือแม้ว่าเฉินฉางเซิงจะไม่กล่าวสิ่งใด และถังซานสือลิ่วก็ไม่รู้สายสนกลในอะไรทั้งสิ้น แต่เขากลับเข้าใจในเจตจำนงของเฉินฉางเซิง จึงอดชื่นชมอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นมิได้ เขาดื่มชาอุ่นๆ ในถ้วยจนเหือดแห้ง ยื่นมือไปตบไหล่ของเฉินฉางเซิง กล่าวว่า “ข้าชื่นชมเจ้าอย่างยิ่ง”

    ถึงแม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ซึ่งมีชื่ออยู่ในอันดับสามสิบหกบนทำเนียบชิงอวิ๋น ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายประหนึ่งคลื่นน้ำในมหาสมุทร สง่างามราวกับกระเรียนป่าที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่อากัปกิริยาของเขาจะแสดงถึงความเย่อหยิ่งซึ่งปิดบังไม่มิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเอ่ยประโยคนี้ ประหนึ่งผู้อาวุโสวางตัวต่อหน้าผู้เยาว์ นี่ถ้าคนที่ถังซานสือลิ่วกำลังพูดด้วยไม่ใช่เฉินฉางเซิงคงเกิดการขัดแย้งไปนานแล้ว แต่เฉินฉางเซิงเข้าใจดีว่าคนคนนี้เพียงอยากแสดงเจตนาดีและปลอบประโลมตน อย่างไรก็ตาม เห็นชัดว่าพวกเขาสองคนทำเรื่องเช่นนี้ไม่บ่อย จึงต่างฝ่ายต่างเงอะงะเล็กน้อย

    เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ขอบคุณ”

    ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อ “เอ่ยเพียงวาจาขอบคุณนั้นไม่พอ เจ้าต้องเลี้ยงอาหารข้าด้วย”

    การแสดงความปรารถนาว่าอยากคบหาเป็นสหายด้วยยังคงเงอะงะเช่นเดิม เฉินฉางเซิงพลันเห็นใจอีกฝ่าย ดูท่าว่าตลอดทั้งชีวิตนี้เด็กหนุ่มคงจะเอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียร มิน่าเล่าอายุเพียงเท่านี้ก็มีพลังลึกล้ำสูงส่ง แต่การจัดการเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนช่างย่ำแย่และดูน่าขัน มิรู้จริงๆ ว่าต่อไปภายภาคหน้าจะอยู่อย่างไร

    แต่ไหนแต่ไรมายามเฉินฉางเซิงครุ่นคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็มักจะใจจดใจจ่อ มองดูภายนอกไม่ผิดกับพวกทึ่มทื่อ ถังซานสือลิ่วมองดูเด็กหนุ่มแล้วอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว รู้สึกสงสารยิ่งนัก ในใจคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ตลอดชีวิตคงจะเอาแต่อ่านตำรา มิน่าเล่าอายุเพียงเท่านี้ถึงสามารถจดจำเนื้อหาคำสอนและเรื่องราวในประวัติศาสตร์ได้มากมาย แต่การจัดการเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนช่างย่ำแย่และดูน่าขัน มิรู้จริงๆ ว่าต่อไปภายภาคหน้าจะอยู่อย่างไร

    สรุปแล้วเด็กหนุ่มสองคนผู้ซึ่งต่างก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาเห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้ามได้รับเอาความเห็นใจจากกันและกัน และเริ่มต้นมิตรภาพหลังจากได้พบกันครั้งแรกที่สำนักเทียนเต้า

    เฉินฉางเซิงให้เสี่ยวเอ้อร์นำรายการอาหารมา ประเมินดูแล้วเงินที่อาจารย์และศิษย์พี่มอบให้เพียงพอให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ที่จิงตูสองสามปี เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดสิ่งใดมาก ดันรายการอาหารไปอยู่ตรงหน้าถังซานสือลิ่วแล้วกล่าวว่า “เชิญตามสบาย…อืม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเลี้ยงอาหารผู้อื่น”

    เขาคาดคิดไม่ถึงว่าประโยคนี้จะทำให้ถังซานสือลิ่วสงสารเขาจับใจ อดสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเด็กคนนี้โผล่ออกมาจากซอกหลืบเขาแห่งใดกัน

     

    ตอนที่ 12

    สหายที่ทำให้กล่าวสิ่งใดไม่ออก (ตอนต้น)

    เฉินฉางเซิงกล่าวว่าเชิญตามสบาย ในมุมมองของถังซานสือลิ่ว คำว่า ‘เชิญตามสบาย’ นี้มีสองนัย แต่ไม่ว่าจะเป็นให้สั่งอาหารตามสบาย หรือว่าให้ปฏิบัติต่อกันตามสบาย ความหมายก็ไม่ต่างกัน ถังซานสือลิ่วแม้จะเห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้ามเหลือเกิน แต่ยามสั่งอาหารกลับไม่ได้สนใจเรื่องราคา หยิบรายการอาหารมาสั่งอาหารแนะนำของทางโรงเตี๊ยม เริ่มที่สองอย่างแรกคือน้ำแกงนกกระจอกเหินเวหา มัจฉาสองเศียรนึ่ง…ขณะสั่งอาหารเขาชำเลืองมองคิ้วของเฉินฉางเซิงที่ขมวดเข้าหากัน จึงเดาว่าฝ่ายตรงข้ามคงมีเงินไม่พอ พลันรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย พูดกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “มัจฉาสองเศียรไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเป็นปลากะพง น้ำแกงนกกระจอกเหินเวหาก็เปลี่ยนเป็นน้ำแกงยอดอ่อนใบบัว”

    หัวคิ้วของเฉินฉางเซิงคลายลงแล้ว

    ถังซานสือลิ่วยิ้มออกมา ในใจคิดว่าเป็นไปดังที่ตนสังเกตอย่างละเอียด ตนช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างยิ่ง จากนั้นสั่งอาหารจานต่อไปโดยไม่คิดให้มากความ “เอาเนื้อกวางอบแห้งโรยดอกเหมยมาอีกหนึ่งจาน”

    เฉินฉางเซิงขมวดคิ้ว

    ถังซานสือลิ่วมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยแก้ว่า “เปลี่ยนเป็น…หมูสามชั้นผัดผักกาดดอง”

    เฉินฉางเซิงยังคงขมวดคิ้ว

    ถังซานสือลิ่วรู้สึกไม่ยินดีเล็กน้อย ในใจคิดว่าเนื้อหมูติดมันหนึ่งจานหากเป็นตอนปกติ อาหารจานนี้ขึ้นโต๊ะที่บ้านตนยังขี้เกียจจะออกไปกิน คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังตัดใจจ่ายเงินไม่ลง!

    เขาเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ “เอารากบัวนึ่ง และเพิ่มยำหูหมูน้ำมันพริกอีกจานหนึ่ง”

    เฉินฉางเซิงยังคงมีปฏิกิริยาเช่นเดิม สีหน้าไม่เห็นด้วย

    ถังซานสือลิ่วรู้สึกรำคาญ “เห็นว่าเจ้าเลี้ยงอาหารผู้อื่นเป็นครั้งแรก คงยังไม่เข้าใจธรรมเนียม ข้าก็จะไม่พูดมากแล้วกัน”

    เฉินฉางเซิงตะลึงงันเล็กน้อย ถามขึ้น “มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้องหรือ”

    ถังซานสือลิ่วตอบตามตรง “ถึงแม้ว่าทั้งตัวเจ้าจะมีเงินไม่พอก็ไม่ควรเผยลักษณะท่าทางเช่นนี้ให้แขกได้เห็น ช่างทำให้คนเบื่อหน่ายจริงๆ เกิดเป็นลูกผู้ชาย ศีรษะอาจจะขาด โลหิตอาจจะไหล แต่ไม่อาจขายหน้า! ต่อให้อีกสักครู่ต้องไปเอาเสื้อหนังสัตว์ตัวใหญ่มาแลกเงินก็ไม่นับเป็นอะไร!”

    ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าคำกล่าวนี้สมเหตุสมผล ฟังดูมีการศึกษา ทว่าเฉินฉางเซิงกลับฟังแล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาด เอ่ยถาม “นี่ก็คือการตบหน้าให้บวมระบมทำเป็นคนอ้วน สินะ”

    ถังซานสือลิ่วขุ่นเคือง “เจ้าพูดอะไรของเจ้า”

    “ที่ข้าพูดเป็นคำพังเพยของซีหนิง” เฉินฉางเซิงอธิบายออกมาอย่างจริงจัง

    ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน ในใจคิดว่าตนไม่ได้ถามให้อีกฝ่ายตอบ เตรียมที่จะโมโห พลันได้ยินประโยคถัดมาของเฉินฉางเซิง

    “…และข้าก็ไม่มีเสื้อหนังสัตว์ตัวใหญ่อีกด้วย”

    ภายในห้องเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด

     

    ถังซานสือลิ่วลืมคำที่ตนจะด่าออกมา พบว่าเรื่องนี้ที่จริงแล้วน่ารำคาญใจยิ่งนัก ส่วนเจ้าเด็กคนนี้ก็น่าสงสารอย่างยิ่ง

    เขาเคยเห็นคนในตระกูลไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ใหญ่หรือศิษย์พี่เหล่านั้นถือเสื้อหนังสัตว์ไปแลกเปลี่ยนสุราชั่วครั้งชั่วคราว แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดสอนเขาว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อคนที่ยากไร้ถึงขนาดว่าไม่มีแม้แต่เสื้อหนังสัตว์สักตัว ทว่าก็ยังคงเสนอตัวเลี้ยงอาหารแขกอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี สำหรับถังซานสือลิ่วผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดเงิน ยิ่งไม่เคยเลี้ยงอาหารผู้ใด เขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ

    เขาจ้องมองเฉินฉางเซิง สุดท้ายกล่าวออกมาโดยพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดว่า “มื้อนี้ข้าเลี้ยงเจ้า”

    เฉินฉางเซิงแปลกใจ กล่าวถาม “เพราะอะไร”

    ถังซานสือลิ่วมองเขาด้วยท่าทางที่อ่อนโยนลงพลางกล่าว “เจ้าไม่มีกระทั่งเสื้อหนังสัตว์ ในตัวเจ้าคงไม่มีสิ่งของมีค่าเป็นแน่ ไม่มีเหตุผลให้เจ้าต้องเลี้ยงข้า”

    เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสาว่า “แต่…ข้ามีเงิน”

    บรรยากาศเงียบสงัดเกิดขึ้นอีกครั้ง

    สีหน้าของถังซานสือลิ่วไม่น่าดูนักขณะกล่าวถาม “แล้วก่อนหน้านี้ตอนข้ากำลังสั่งอาหาร เพราะเหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงย่ำแย่เช่นนั้น”

    เฉินฉางเซิงคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พลันเข้าใจอะไรบางอย่าง รู้สึกอับอายเล็กน้อย กล่าวอธิบายว่า “เพราะ…เจ้าสั่งน้ำแกงนกกระจอกเหินเวหา ถึงแม้จะมีสรรพคุณ แต่ก็จะทำให้ร่างกายร้อนเกินไป ฤดูสารทและฤดูหนาวกินเป็นยานับว่าดีอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้คือฤดูวสันต์ ดื่มน้ำแกงนั้นจะทำให้เป็นร้อนในง่าย ไม่ดีต่อสุขภาพ”

    ถังซานสือลิ่วคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้ใคร่ครวญเกี่ยวกับปัญหานี้ กล่าวถาม “หรือว่าอาหารอย่างอื่นก็ไม่ดี? แต่ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารแนะนำนะ”

    “มัจฉาสองเศียรเป็นปลาทะเล มันกินปลา กินกุ้ง กินงูทะเลเป็นอาหาร ในเนื้อมีสารพิษตกตะกอน แม้ผ่านการต้มพิษก็ยังไม่หายไป น้ำแกงที่ต้มสามารถกินได้ ทว่ายังคงไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเรามีกันแค่สองคน อาหารจานเนื้อมากเกินไปก็กินไม่หมด ทั้งไม่ดีต่อร่างกาย ยิ่งหมูสามชั้นผัดผักกาดดองมีทั้งน้ำมัน ทั้งไขมันจำนวนมาก ดีที่สุดคืออย่ากิน” เฉินฉางเซิงกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ส่วนหูหมูที่อยู่ในยำหูหมูนั้น น้ำมันพริกเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดในจาน แต่มันก็ไม่ดีต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน และรากบัวนึ่งจานนั้น กินมากๆ จะทำให้ลำไส้ทำงานหนัก จิตใจว้าวุ่นสับสน ไม่ค่อยดีต่อ…”

    “หยุด!”

    ถังซานสือลิ่วฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว คำพูดของเฉินฉางเซิงเหมือนกับแมลงวันที่บินวนไปวนมาอยู่ข้างหูของเขา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง ไม่ว่าเป็นใคร หลังจากสั่งอาหารอย่างเบิกบานใจเสร็จแล้วได้ยินคำว่า ‘ไม่ดีต่อร่างกาย’ หลายต่อหลายคราเช่นนี้ต่างล้วนไม่ยินดี

    จริงอยู่ว่าอาหารทุกชนิดใช่จะดีต่อสุขภาพร่างกายเสียทั้งหมด แต่มีใครที่กินอาหารแล้วใส่ใจกับรายละเอียดพวกนี้กันเล่า ถึงขั้นใส่ใจในรายละเอียดยิบย่อยปานนี้ ถ้าเฉินฉางเซิงเป็นตาแก่ที่ใส่ใจเรื่องบำรุงร่างกายก็แล้วไป แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาคือเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี…

    “ไม่ดีต่อร่างกายแล้วอย่างไร กินแล้วจะตายเชียวรึ”

     

    เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงจัง “ยังไม่ตายตอนนี้ แต่รับรองว่าอายุไม่ยืนอย่างแน่นอน”

    ถังซานสือลิ่วถามอย่างแปลกใจ “เช่นนั้นแล้วปกติเจ้ากินอะไร”

    “เนื้อสองตำลึง เป็นเนื้อวัวหรือเนื้อแพะดีที่สุด ผักสองชั่ง เป็นผักป่าก็จะดีมาก มันหวานและธัญพืชแล้วแต่อยากจะกิน สองวันกินปลาแม่น้ำหนึ่งตัว ควรเป็นปลามีเกล็ด ไม่กินน้ำแกง”

    “เจ้ากินเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว”

    “เริ่มจำความได้ก็กินเช่นนี้”

    ครั้งนี้กลับเป็นถังซานสือลิ่วที่ขมวดคิ้ว

    อาหารพวกนี้แค่ฟังก็ไม่อร่อยแล้ว ถ้าต้องกินเช่นนี้มาสิบสี่ปีจริงๆ อย่างนั้นก็เป็นมนุษย์ที่น่าเศร้าใจเสียนี่กระไร

    เขาพบว่าตนเองยิ่งทียิ่งเห็นใจเด็กหนุ่มคนนี้

     

    ขณะกินอาหาร ทั้งสองล้วนเงียบ ถังซานสือลิ่วคิดว่าอาหารช่างธรรมดา เฉินฉางเซิงคิดว่าอาหารช่างไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยรวมแล้วต่างคนต่างมีที่ไม่พอใจ แน่นอนว่าเรื่องนี้เดิมทีก็ไม่มีวิธีที่จะจัดการให้เหมาะสม เหมือนกับเต้าฮวยและบ๊ะจ่าง ไม่ว่ารสชาติหรือคุณค่าทางอาหารก็ไม่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจนจบก็อยู่ที่ความชอบส่วนตัว

    การเลี้ยงรับรองผู้อื่นครั้งแรกในชีวิตของเฉินฉางเซิงก็จบลงเช่นนี้ ตอนที่ชาหอมทั้งสองถ้วยรินมาถึง ทั้งสองคนกำลังพูดกันถึงเรื่องการทดสอบของสำนักศึกษา ถังซานสือลิ่วไต่ถามรายละเอียดของการทดสอบที่สำนักไจซิงและอีกสองสำนักที่เหลือ เขาคาดไม่ถึงว่าจวนขุนพลเทพจะมีอิทธิพลไปถึงกองทัพต้าโจว พาให้ไม่เข้าใจและงุนงง หลังจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้คุยแล้ว

    ในขั้นตอนการคบหาเป็นสหาย บทสนทนาเริ่มต้นโดยปกติแล้วมักจะพูดถึงเรื่องราวตอนเป็นเด็กและเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ค้นหาสิ่งที่ชื่นชอบเหมือนกัน แต่ชีวิตวัยเยาว์ของพวกเขาทั้งสองอันที่จริงแล้วจืดชืดซ้ำซากจนถึงขนาดทำให้ผู้คนรู้สึกเดือดดาล ทั้งสองจึงไม่ได้หยิบยกขึ้นมาสนทนา และเพื่อหลีกเลี่ยงความเก้อเขินจากสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้แต่จ้องมองกัน ถังซานสือลิ่วจึงยืดตัวลุกขึ้น ถือถ้วยชาเดินชมห้องตามสบาย เขาเดินไปที่ระเบียงแล้วเดินกลับมา คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้สามารถเช่าห้องที่มีขนาดใหญ่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับสุสานเทียนซูอย่างยิ่ง ชัดเจนว่าคงไม่ขาดเงินจริงๆ ความผิดพลาดก่อนหน้านี้ของตนช่างน่าหัวเราะจริงเชียว

    ตอนที่เดินสำรวจห้องไปเรื่อยๆ สายตาก็กวาดผ่านชั้นวางของ ก่อนสะดุดเข้ากับของชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนนั้นจนไม่อาจถอนสายตาคืน

    ตรงนั้นมีกระบี่หนึ่งเล่ม

    กระบี่เล่มนั้นเล็กกะทัดรัด มองดูแล้วยาวกว่ากริชไม่เท่าไร และยังเรียวเล็ก งดงามยิ่งนัก ฝักกระบี่ดูธรรมดา ด้ามกระบี่เรียบง่ายอย่างยิ่ง จากภายในถึงภายนอกกลิ่นอายที่กำจายออกมาเป็นปกติยิ่ง ไม่มีจุดใดที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจเป็นพิเศษ และก็ไม่มีฝุ่นผงหรือคราบโลหิต โดยรวมแล้วกระบี่นี้ธรรมดาเป็นที่สุด แต่กลับทำให้เขาอยากเข้าใกล้

    ถังซานสือลิ่วยื่นมือไปจะจับด้ามของกระบี่

    ทันใดนั้นมือของเฉินฉางเซิงก็มาขวางไว้ แย่งกระบี่มาถือไว้ในมือก่อน

    ถังซานสือลิ่วมองเขาแวบหนึ่ง

     

    เฉินฉางเซิงจ้องมองกลับ เอ่ยว่า “นี่เป็นของข้า”

    ถังซานสือลิ่วกำลังถือถ้วยน้ำชา ควันร้อนลอยกรุ่น ใบหน้าหล่อเหลาที่มองเห็นผ่านควันราวกับว่าเพิ่มความเย็นยะเยือกขึ้นส่วนหนึ่ง “ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถแตะต้อง?”

    เฉินฉางเซิงสังเกตได้ถึงอารมณ์ไม่ยินดีและไม่สงบของอีกฝ่าย แต่ยังคงเอ่ยต่อ “เจ้าควรที่จะถามข้าก่อน หากข้าอนุญาตเจ้าถึงจะหยิบไปได้”

    ถังซานสือลิ่วชักมือขวากลับ สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับมานั่ง วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของตน

    เฉินฉางเซิงอึดอัดเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตนทำอะไรผิดพลาดไป แต่ความรู้สึกนั้นก็คงอยู่ไม่นาน เพราะเขาคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่นี่เป็นสหายคนแรกของเขา ดังนั้นเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยินดีจึงรู้สึกลนลาน สุดท้ายเฉินฉางเซิงก็เดินไปที่โต๊ะ มือข้างที่ถือกระบี่สั้นยื่นออกไป

    ถังซานสือลิ่วเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง มิได้สนใจ

    เฉินฉางเซิงยื่นกระบี่เข้าไปใกล้อีก

    ถังซานสือลิ่วไม่ยินยอมรับกระบี่ กล่าวว่า “ทำสิ่งใดใจไม่กว้างเลยสักนิด”

    เฉินฉางเซิงจนปัญญา อดคิดไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่ไม่ใจกว้าง ใครกันแน่ที่โกรธกระฟัดกระเฟียดราวกับเด็กน้อย เขาจนหนทาง เดินไปยังชั้นวางของแล้วนำกระบี่เก็บกลับคืน เอ่ยถาม “เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใด”

    “อยู่ที่จิงตูข้าก็มีเพียงเจ้าที่นับว่าพูดคุยด้วยได้ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของเจ้าก็เป็นธรรมดาที่อยากมาถามไถ่ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็เป็นคนที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีเช่นนี้” ถังซานสือลิ่วเอ่ยโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “โดยส่วนตัวแล้วข้าค่อนข้างชื่นชมเจ้า เจ้าควรรู้ไว้ว่าข้าชื่นชมคนรุ่นเดียวกันน้อยมาก เจ้าสมควรรู้สึกเป็นเกียรติ”

    เฉินฉางเซิงงงงวย กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็…ขอบคุณ”

    “แค่คำขอบคุณก็พอ?”

    “เมื่อครู่ข้าเพิ่งเลี้ยงอาหารเจ้าไปมื้อหนึ่งมิใช่หรือ”

    ถังซานสือลิ่วยืดตัวขึ้นยืน มองเขาพลางกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจรับเจ้าเป็นน้องเล็ก”

    เฉินฉางเซิงถาม “เป็นน้องเล็กหมายถึงสิ่งใด”

    ถังซานสือลิ่วอธิบายอย่างจริงจัง “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าก็มาอยู่กับข้า”

    เฉินฉางเซิงอธิบายอย่างจริงจังเช่นกันว่า “ไม่ได้ ข้ายังมีธุระต้องทำอีกมากมาย ไม่สามารถแบ่งเวลาให้เจ้าได้”

    ถังซานสือลิ่วเป็นเด็กหนุ่มที่ถือตัวคนหนึ่ง เขาสงสารเฉินฉางเซิงที่มีความรู้ความสามารถแต่ขาดโอกาส ถึงได้ตั้งใจมาเยี่ยมเยือนถึงที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับไมตรี เขาก็ไม่ควรจะกล่าวสิ่งใดอีก เพียงแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่กระจ่างเท่านั้น “ธุระอะไร สมัครสอบเข้าสำนักศึกษาต่อหรือ เพราะเหตุใดเจ้าจะต้องเข้าสำนักศึกษาสักแห่งด้วยเล่า เหตุผลที่ยืนหยัดเช่นนี้คืออะไร”

    เฉินฉางเซิงถามกลับ “แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามาจิงตูด้วยจุดมุ่งหมายอะไร”

    “ข้าต้องการเข้าร่วมการสอบใหญ่ ข้าต้องการเอาที่หนึ่ง” ถังซานสือลิ่วกล่าวด้วยท่าทางทะนงตน

    ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงลูกหงส์ผู้นั้นที่ตอนนี้อยู่ที่ยอดเขาเซิ่งหนี่ว์แดนใต้ ถ้าหากว่านางกลับมาก่อนเวลา…

    “ไม่สิ ข้าต้องการอันดับที่สองของการสอบใหญ่”

    เขาเอ่ยแก้ไขออกไป แต่แล้วก็คิดถึงชิวซานจวินขึ้นมาได้ ถ้าหากคนผู้นั้นก็เข้าร่วมการสอบใหญ่ครั้งนี้…

     

    “เอาเถอะ จุดมุ่งหมายของข้าก็คือสอบได้อันดับที่สามของการสอบใหญ่” ถังซานสือลิ่วกล่าวยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่า “สรุปแล้วข้าต้องการที่จะสลักชื่อของตนเองลงบนป้ายหินด้านหน้าของสุสานเทียนซู”

    “ที่แท้ก็มีปณิธานสูงส่ง น่าเลื่อมใส น่าเลื่อมใส”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาพลางกล่าวชมเชยออกมา พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวถาม “ถ้าถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นถังซาน หรือ”

    ถังซานสือลิ่วไม่กล่าวสิ่งใด แต่ถามกลับว่า “เจ้าเล่า เป้าหมายแท้จริงที่เจ้ามาจิงตูนั้นคืออะไร”

    เฉินฉางเซิงตอบตามสัตย์จริง “ข้าเองก็อยากเข้าร่วมการสอบใหญ่”

    ถังซานสือลิ่วคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไร

    เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ข้าไม่เคยคิดที่จะเอาที่สองหรือที่สาม”

    ได้ยินเช่นนั้นถังซานสือลิ่วจึงเอ่ยให้กำลังใจ “มนุษย์เราควรต้องตระหนักรู้ตนเอง แต่ก็ไม่ควรสูญเสียความเชื่อมั่น อย่าลืมว่าเพียงแค่สามารถเข้าไปเป็นสามขั้นแรกของการสอบใหญ่ได้ก็สามารถเข้าสุสานเทียนซู…”

    แต่แล้วเสียงเจื้อยแจ้วของเขาก็ต้องสะดุดหยุดลงเพราะเฉินฉางเซิงได้พูดแทรกขึ้นมา

    “ข้าต้องการอันดับที่หนึ่ง” เฉินฉางเซิงจ้องมองอีกฝ่าย กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่สามารถเอาอันดับที่สองหรืออันดับที่สาม ข้าจำเป็นต้องเอาอันดับที่หนึ่งเท่านั้น”

    ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด

    ชั่วขณะนั้นถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็อยากจะหมุนกายจากไป

    เขาพบว่าวันนี้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้คำเอื้อนเอ่ยบ่อยเกินไปแล้ว

    เหตุเพราะเจ้าเด็กคนนี้ไม่ว่าทำเรื่องใด กล่าวสิ่งใด ก็มักจะทำให้ผู้คนพูดอะไรไม่ออก และอยากจะทำเพียงอาเจียนเป็นโลหิตออกมา

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook