• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่15-16

    ตอนที่ 15

    แพะดำตัวหนึ่ง

    เฉินฉางเซิงเวลาเดินมีจุดเด่น จุดเด่นที่ว่าก็คือไม่มีจุดเด่น ยามเดินหัวเข่ายกขึ้นสูง เท้าก้าวยาวอย่างยิ่ง สายตามองตรง สามารถมองไปยังที่ไกลๆ และก็สามารถมองเห็นพื้นที่ตรงหน้า หน้าอกตั้งตรง ดูตระหง่านอย่างมิได้ตั้งใจ เหมือนต้นสนอย่างเป็นธรรมชาติ ผมสีดำมัดรวบอย่างแน่นหนา มิได้หวีมวยแบบเต๋า เพียงแค่ใช้ผ้ามัด ดูเอาจริงเอาจัง เสื้อผ้าของเขารูปแบบธรรมดา มองดูไม่รู้ว่าสีเดิมคืออะไร ด้วยซักมาหลายครั้งจนกลายเป็นสีขาว สะอาดสะอ้าน แม้แต่ด้านบนของรองเท้าก็ไม่มีคราบสกปรกสักนิด พิถีพิถันอย่างยิ่ง เขาเดินไปตามทาง กระบี่สั้นที่ผูกติดกับเอวกวัดแกว่งเบาๆ กระบี่เล่มนั้นก็ธรรมดาอย่างยิ่ง

    ก่อนหน้าวันนี้เขาเอากระบี่สั้นไว้ที่โรงเตี๊ยม นี่เป็นวันแรกที่พกไว้ข้างกาย กระบี่สั้นที่ธรรมดาเป็นตัวแทนของความไม่ธรรมดา หลังจากสนทนากับหญิงรับใช้อาวุโสคนนั้น ถ้าหากว่าจวนขุนพลเทพตงอวี้อยากจะทำอะไรเขาจริงๆ อย่างน้อยก็ยังมีกระบี่เล่มนี้ไว้รับมือ เพียงแค่กระบี่สั้นก็เป็นเหมือนตัวเขา นั่นคือปกติธรรมดา ยากที่ผู้คนจะให้ความสนใจ เทียบไม่ได้แม้สักกระผีกกับยอดศัสตราอย่าง ‘น้ำค้างพรม’ ‘สองสะบั้น’ และ ‘เกล็ดย้อน’ แม้แต่อาวุธที่พกติดเอวของผู้คนที่เดินไปมาในเมืองหลวงนี้ มันก็ยังยากจะเปรียบ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยอะไรเขาได้

    ด้านนอกของโรงเตี๊ยม เขาไม่แปลกใจที่มองเห็นรถม้าของจวนขุนพลเทพตงอวี้คันนั้น ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าส่องแสงรุ่งโรจน์ สัญลักษณ์สายเลือดหงส์สีเข้มบนเพลารถม้าเปลี่ยนเป็นชัดเจนอย่างยิ่ง กระทั่งราวกับกำลังแผดเผาก็มิปาน ม้าศึกตัวนั้นมีสายเลือดของอาชาเขาเดียวอันล้ำค่า มันยกหัวขึ้นอย่างอวดดี จ้องมองเขาจากตำแหน่งที่สูงกว่า

    ขณะเดินผ่านรถม้าคันนั้นเขาเอามือกุมด้ามของกระบี่สั้นไว้ ผ่านไปชั่วครู่ถึงปล่อยมือออก หยุดเดินตรงด้านนอกหน้าต่างรถม้า โค้งคำนับเงียบๆ ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นเดินมุ่งไปข้างหน้าต่อ เดินรับแสงอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้า หน้าต่างรถม้าเปิดออก หญิงรับใช้อาวุโสจ้องมองแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องกระทบร่างเด็กหนุ่มจนทิ้งเงายาวไว้เบื้องหลัง ความรู้สึกสับสน

    เฉินฉางเซิงมุ่งหน้าไปยังสำนักอันดับที่สองโดยไล่จากท้ายสุดในรายชื่อ มันตั้งอยู่ที่ตรอกไป่ฮวา เขาใช้เวลายาวนานกว่าจะเดินมาถึง แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าที่แห่งนี้จะใกล้กับพระราชวังเช่นนี้ แม้ยืนอยู่ตรงทางเข้าตรอกก็สามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านสูงเด่นได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าสามารถได้กลิ่นประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก็มิปาน

    ขณะเดินเข้าไปในตรอกไป่ฮวา ความฉงนภายในใจของเขายิ่งทียิ่งมากขึ้น ช่างเป็นสถานที่ที่อยู่ติดกับพระราชวังอะไรเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีสำนักหนึ่งซ่อนอยู่ แต่เพราะเหตุใดถึงได้เงียบเชียบเช่นนี้เล่า ในที่สุดก็มาถึงท้ายตรอก เขามองเห็นประตูใหญ่ของสำนัก กำแพงหินด้านข้างปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาในตรอกทิ้งลวดลายลงบนกำแพงและประตู สำนักแห่งนี้ไม่มีป้ายชื่อ

    คือที่นี่ใช่หรือไม่ เขาอยากจะถามไถ่ดู แต่ตรอกแห่งนี้ช่างเงียบเชียบ ไม่เหมือนสำนักเทียนเต้าหรือสำนักไจซิงที่ด้านนอกของประตูคึกคักอย่างยิ่ง เขายืนอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่มีผู้ใดผ่านมา ชัดเจนยิ่งนักว่ามีเพียงประตูสำนักที่ทรุดโทรมคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบๆ ทั้งที่อยู่ใกล้พระราชวังอันทรงคุณค่า แต่ราวกับว่าเป็นซากปรักหักพังที่ไม่มีผู้ใดมาไต่ถามเรื่องราว

    เขาเดินมาหน้ากำแพงหินด้านข้างของประตู ยื่นมือออกไปดึงใบไม้และกิ่งไม้เลื้อยที่แน่นขนัด ในที่สุดก็มองเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนแผ่นหินหนึ่งตัว คำนั้นคือ ‘หลวง’ ตัวอักษรที่สลักลึกลงไปเคยมีร่องรอยของความสวยสดงดงาม แต่ถูกลมฝนกัดกร่อนมานานหลายปีจนทำให้สีจางไป กระทั่งผิวแผ่นกำแพงหินยังมีสัญญาณว่าจะหลุดล่อนด้วยซ้ำ

    คิดถึงชื่อของสำนักแห่งนี้บนใบรายชื่อ เฉินฉางเซิงตกตะลึง แน่ใจแล้วว่าคือที่นี่ เขาค่อนข้างงุนงง สำนักก่อนหน้านี้สามสี่แห่งล้วนมีชื่อเสียงที่สุดในผืนพิภพและยังเป็นสำนักที่ดีเลิศที่สุดอีกด้วย เพราะเหตุใดสำนักแห่งนี้ถึงได้ตกอับเงียบเชียบวังเวงเช่นนี้

    ขณะครุ่นคิดสงสัย มือของเขาก็ยังจับไม้เลื้อย ดึงพวกมันลงมาเรื่อยๆ จึงมองเห็นตัวอักษรที่สอง คำว่า ‘ศาสนา’ จากการกระทำนี้ของเขาแสดงให้เห็นว่าไม่มีคนทำความสะอาดมานานหลายปี ครืดๆ…ไม้เลื้อยไถล ทำให้ฝุ่นละอองคลุ้งไปทั่ว

    เฉินฉางเซิงถอยหลังหลายก้าวเพื่อไม่ให้ฝุ่นผงจากไม้เลื้อยลอยมาถูกตัว

    ไม้เลื้อยร่วงหล่นลงพื้น ฝุ่นละอองค่อยๆ จางหาย กำแพงหินราวไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมานานหลายปี ในที่สุดก็ปรากฏออกมาสู่โลกอีกครั้ง

    บนแผ่นกำแพงหินที่ลายพร้อยนั้นสลักอักษรสี่คำ

     

    ‘สำนักศึกษาศาสนาหลวง’

     

    ตัวอักษรที่สลักบนแผ่นหินมีสีสันหลงเหลือไม่มากนัก ขณะที่มีฝุ่นสะสมเป็นเวลานาน ยังมีความรกครึ้มของใบไม้และกิ่งไม้เลื้อยนานปี อักษรสลักบางส่วนยังถูกลมฝนกัดเซาะจนชำรุด ถ้าหากไม่เพ่งมองอย่างละเอียดคงจะดูออกยากเย็นว่าแท้ที่จริงแล้วอักษรไม่กี่คำนั้นคืออะไร

    เฉินฉางเซิงจ้องมองกำแพงหินด้วยความตกตะลึง ไม่เอ่ยสิ่งใดเป็นเวลายาวนาน ความรู้สึกพ่ายแพ้และซึมเศร้าพลันก่อตัว จิตใจเต็มไปด้วยคำถาม น้อยมากที่เขาจะมีอารมณ์ดังเช่นตอนนี้ ใช่แล้ว ตอนนี้เขาอยากจะหันหลังเดินกลับไปเหลือเกิน

    สำนักที่ชำรุดทรุดโทรมถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะสอบเข้าได้ แล้วจะช่วยอะไรชีวิตของตนได้เล่า

    เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ยังมีเวลา จึงตัดสินใจลองเข้าไปดูสำนักที่ทรุดโทรมแห่งนี้ก่อน ถ้าหากไม่ไหวก็จะไปสำนักสุดท้ายในใบรายชื่อ

    มือของเขาผลักประตู ใช้พละกำลังเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    เสียงแกรกดังขึ้นครั้งหนึ่ง

    หลายปีล่วงเลย ประตูของสำนักศึกษาศาสนาหลวงในที่สุดก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่งแล้ว

     

    รถม้าของจวนขุนพลเทพตงอวี้จอดที่ด้านนอกของตรอกไป่ฮวา ม้าสีขาวที่อวดดีตัวนั้นแหงนศีรษะขึ้น รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก ภายในรถม้า อารมณ์ของหญิงรับใช้อาวุโสไม่เหมือนกับอารมณ์เบื่อหน่ายของเจ้าม้า ดวงตานางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและงงงัน กล่าวพึมพำกับตนเอง “เหตุใดถึงมาที่นี่”

    นางย่อมรู้ ด้านในของตรอกไป่ฮวาก็คือสำนักที่ร่วงโรยเหี่ยวเฉามานานแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นชำนาญในการทำให้ผู้คนแปลกประหลาดใจยิ่งนัก และนางก็ไม่กล้าดูแคลน นิ้วมือเคาะขอบหน้าต่างเบาๆ เป็นสัญญาณให้ม้าขาวลากรถเข้าไป ทันใดนั้นพลันมีรถคันหนึ่งเคลื่อนขึ้นมาจากทางลาดเอียงด้านหลัง ขวางกั้นด้านหน้ารถม้าของนาง

    ตรอกไป่ฮวาแคบอย่างยิ่ง สามารถให้รถม้าหนึ่งคันแล่นได้เท่านั้น เดิมทีรถม้าของจวนขุนพลเทพก็เข้าไปได้ยากอย่างยิ่งอยู่แล้ว หญิงรับใช้อาวุโสขมวดคิ้วเล็กน้อย นางย่อมไม่รู้สึกยินดี แต่ก็คิดว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับพระราชวัง ดังนั้นไม่ควรที่จะสั่งฝ่ายตรงข้ามว่าให้หลีกทางในทันที

    รถคันนั้นจู่ๆ ก็โผล่มา ทั้งเล็กทั้งเตี้ย ดูโกโรโกโส ม่านรถเป็นสีน้ำเงิน สัตว์ที่ลากรถของฝ่ายตรงข้ามก็ทั้งเล็กทั้งเตี้ย เส้นขนสีดำขลับ ดูคล้ายกับลา หญิงรับใช้อาวุโสตกตะลึง ในใจคิดเยาะหยัน เมืองจิงตูแห่งนี้คาดไม่ถึงว่ายังคงมีคนใช้รถลา ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

    หญิงรับใช้อาวุโสยังไม่ทันเกิดโทสะ ม้าขาวกลับทนไม่ได้ มันมีสายเลือดของอาชาเขาเดียว ไฉนจะยินยอมให้ลาดำตัวเล็กตัวหนึ่งมากีดขวางข้างหน้าตน มันโกรธเคืองพลางแหงนศีรษะขึ้น ปรารถนาจะร้องขู่ขวัญ แต่เวลานี้เอง สัตว์ที่อยู่ด้านหน้าของรถผ้าสีน้ำเงินคันนั้นค่อยๆ หันมา จ้องมองมันแวบหนึ่ง

    ไม่ใช่ลาดำ นั่นคือแพะดำที่ทั้งร่างดำปลอดดังอเวจีทมิฬ เส้นขนเรียบลื่นดุจผ้าแพร ชัดเจนอย่างยิ่งว่าไม่ใช่สัตว์ธรรมดา

    สิ่งที่ยากต่อการจินตนาการก็คือแววตาคู่นั้นของมัน ช่างเย็นชาลึกล้ำ ราวกับสัตว์เทวะที่อยู่เหนือมวลเมฆ

    หากกล่าวว่าม้าขาวสูงศักดิ์เพราะมีสายเลือดของอาชาเขาเดียว ถ้าอย่างนั้นแพะดำตัวนี้ก็สูงศักดิ์ด้วยจิตใจของมันเอง ม้าขาวตรงหน้ามันเปรียบดังเด็กน้อยดื้อรั้นที่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น ขณะที่แพะดำกลับอยู่ในพระราชวัง มิเคยเปรอะเปื้อนฝุ่นละออง ราวเชื้อพระวงศ์ที่อยู่เหนือผู้ใด

    แพะดำตัวนั้นมองม้าขาวแวบหนึ่ง

    ม้าขาวที่เตรียมจะส่งเสียงร้องด้วยความโมโหอย่างยิ่งพริบตานั้นมันพลันนิ่งงัน ความหวาดกลัวในดวงตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขาหน้าไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถที่จะประคับประคองร่างกายที่ใหญ่โตของตน หัวเข่างอโค้ง เสียการทรงตัวล้มลง ร่างกายสั่นเทาทั่วทั้งตัว ไม่กล้าที่จะลุกขึ้น คล้ายกับกำลังทำความเคารพแพะดำตัวนั้น

    หญิงรับใช้อาวุโสก้าวออกมาจากประทุนรถ จ้องมองม้าขาวที่กำลังหมอบราบบนพื้นด้วยร่างกายสั่นเทา ในใจคิดว่าม้าตัวนี้เป็นลูกของม้าประจำตัวขุนพลเทพผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาโอหังอวดดี ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นอ่อนแอเช่นนี้ เมื่อนางหันไปมองแพะดำตัวนั้น ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จ้องมองไปยังรถผ้าสีน้ำเงินอีกครั้ง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว

    นางคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพต่อรถผ้าสีน้ำเงิน ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด

    เสียงชราเสียงหนึ่งลอดออกมาจากรถผ้าสีน้ำเงิน

    “ข้าปรารถนาจะเข้าไปก่อน แม่เฒ่าฮวามีความคิดเห็นเช่นไร”

    ได้ยินเสียงที่เปล่งออกมานั้น หญิงรับใช้อาวุโสไม่อาจสงบจิตใจ คนที่มามิใช่แม่นางท่านนั้น แต่คือหญิงรับใช้อาวุโสข้างกายแม่นาง ส่วนเหตุว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงรู้ว่าตนแซ่ฮวา อีกทั้งตอนอยู่ที่จวนขุนพลเทพนางถูกเรียกว่าแม่เฒ่านั้น นางไม่ปรารถนาที่จะใคร่ครวญ ด้วยเพราะการที่อีกฝ่ายรู้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

    ในรถผ้าสีน้ำเงินคือหญิงรับใช้อาวุโสท่านหนึ่ง เป็นหญิงรับใช้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองจิงตู เหล่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง แม่ทัพได้ยินชื่อต่างก็ล้วนเกรงกลัว ต่างต้องแย้มยิ้มให้แก่หญิงรับใช้อาวุโสผู้นี้ แล้วตัวนางจะนับเป็นอะไรได้เล่า

    “แม่เฒ่าเอ่ยสิ่งใดกัน ข้าน้อยก่อนหน้านี้จำไม่ได้ ต้องใคร่ครวญเป็นเวลานาน จึงมิได้ทำความเคารพทันที แม่เฒ่าโปรดให้อภัย”

    หญิงรับใช้อาวุโสเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทา นางก่อนหน้านี้มิได้เอ่ยวาจาในเชิงว่ากล่าว ตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีโดยมิได้คาดคิด แต่แม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังมิกล้าปกปิดเจตนาร้ายที่เคยปรากฏในความคิด เพราะสิ่งที่เล่าขานกันมา เมื่ออยู่ต่อหน้าแพะดำตัวนั้น การปกปิดใดๆ ก็คือการรนหาที่ตาย อีกทั้งนางยังชัดเจนด้วยว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้หญิงรับใช้อาวุโสผู้นี้พึงพอใจ

    ถ้าหากไม่เป็นเพราะจวนขุนพลเทพตงอวี้กับแม่นางท่านนั้นไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้แม้แต่การอธิบายนางก็ยังไม่กล้า คงได้แต่ตัดแขนข้างขวาของตนเองเพื่อขออภัยโทษแล้ว

    ผู้ที่อยู่ในรถผ้าสีน้ำเงินกล่าวถาม “เจ้ามาดูเด็กหนุ่มคนนั้นรึ”

    หญิงรับใช้อาวุโสไม่กล้าแหงนหน้าขึ้นมา ตอบด้วยเสียงเคารพนอบน้อม เป็นที่แน่นอนแล้วว่าแม่นางที่อยู่ในพระราชวังท่านนั้นที่จริงแล้วรู้เรื่องราวนี้มาตลอด

    “จากวันนี้เป็นต้นไปไม่ต้องติดตามดูแล้ว”

    หญิงรับใช้อาวุโสตกตะลึง ก้มศีรษะลงกว่าเดิม เสียงสั่นเทาขณะกล่าวว่า “แม่เฒ่าโปรดอธิบาย”

    น้ำเสียงอีกฝ่ายไม่มีความรู้สึกใดๆ “ข้าทำสิ่งใดจะต้องอธิบายต่อเจ้าด้วยรึ”

    แม่เฒ่าฮวาสะเทือนอารมณ์ มิกล้ากล่าวสิ่งใดอีก

    แพะดำตัวนั้นมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นหันหน้ากลับ แล้วลากรถผ้าสีน้ำเงินคันเล็กๆ มุ่งเข้าไปในตรอกไป่ฮวา

    จนกระทั่งผ่านพ้นไปเป็นเวลานาน หญิงรับใช้อาวุโสถึงกล้าเงยศีรษะขึ้น สีหน้ายังคงขาวซีดเช่นเดิม

    คนในรถผ้าสีน้ำเงินเมื่อทำสิ่งใดย่อมไม่ปรารถนาที่จะอธิบายกับผู้คน ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นจวนขุนพลเทพก็ตาม

    เพราะนางคือหญิงรับใช้อาวุโสข้างกายของแม่นางโม่อวี่

     

    ดูจากสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในสำนักศึกษาศาสนาหลวง สามารถมองเห็นความเจริญรุ่งเรืองในกาลก่อนได้อย่างเลือนราง เพียงแต่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นทรุดโทรม ไม่มีกลิ่นอายของผู้คน

    เฉินฉางเซิงยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ จ้องมองหญ้าป่าที่เติบโตอย่างรวดเร็วใต้เท้าของตน นิ่งเงียบไม่เอ่ยใดๆ ก่อนหน้าที่เขาตัดสินใจเข้ามาดูก็เพราะจำได้ว่าในตำราบันทึกเกี่ยวกับสำนักศึกษาศาสนาหลวงแห่งนี้ การที่สามารถนำคำว่า ‘ศาสนาหลวง’ มาเป็นส่วนประกอบของชื่อสำนักได้ เป็นธรรมดาที่สำนักแห่งนี้จะมีประวัติยาวนาน เคยเกรียงไกรไม่มีผู้ใดเทียบ สั่งสอนลูกศิษย์มานับไม่ถ้วน เพียงแต่…ตอนนี้เพราะเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้เล่า

    น้ำในทะเลสาบกระเพื่อมเบาๆ เงียบเชียบไร้เสียงใดๆ ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างอันเก่าแก่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

    เขางงงวยในหลายๆ สิ่ง แต่มิรู้ว่าจะถามผู้ใด

    เวลานี้เอง มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง

    เขาหันไปมอง พบแพะดำตัวหนึ่ง

    เป็นแพะที่ดำสนิท ชวนให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาด

    หากเป็นคนธรรมดา เมื่ออยู่ในบรรยากาศที่เงียบเชียบไร้ชีวิตชีวา พบเจอแพะดำเช่นนี้คงจะหวาดกลัว อย่างน้อยก็คงจะเดินหนี แต่เฉินฉางเซิงไม่เป็นเช่นนั้น เขาชอบแพะดำตัวนี้อย่างยิ่ง เพราะมันสะอาดสะอ้านเหมือนกับเขา เขาเด็ดหญ้าจำนวนหนึ่งจากริมทะเลสาบ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดน้ำค้างที่เกาะตามหญ้าให้สะอาดสะอ้าน ยื่นไปตรงหน้าแพะตัวนั้น

    แพะดำจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ เอียงหัวไปมา ดูเหมือนฉงนงงงวย ราวกับไม่รู้ว่าเขาอยากจะทำสิ่งใด

    แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดป้อนแพะดำตัวนี้ด้วยหญ้า

    ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายเฉินหลิว หรือว่าองค์รัชทายาท ก็มิกล้าที่จะป้อนหญ้าให้กับมัน

    ผู้คนในวังล้วนแต่รู้ว่ามันกินเพียงผลไม้ที่แม่นางโม่อวี่เก็บด้วยมือของนางเองเท่านั้น

    “กินสิ ไม่มีน้ำค้าง ท้องไม่เสียหรอก”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองแพะดำ แกว่งหญ้าสีเขียวในมือไปมาพลางกล่าวอย่างจริงจัง

    แพะดำเข้าใจความหมายของเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว แววตาแปรเปลี่ยน เหมือนมันพบเจอคนโง่เขลาผู้หนึ่ง

    เฉินฉางเซิงไฉนเลยจะเข้าใจ ยังคงแกว่งหญ้าในมือไปมาเช่นเดิม

    แพะดำรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมันถึงรู้สึกว่ากลิ่นอายของเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้มันชื่นชอบ

    มันลังเลชั่วครู่ ในที่สุดจึงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มหัวลงเล็กน้อยอย่างหยั่งเชิง คาบหญ้าในมือของเฉินฉางเซิงมาจำนวนหนึ่งแล้วค่อยๆ เคี้ยว

    ไม่ไกลออกไป ใต้ต้นไม้มีหญิงชรานางหนึ่งถือไม้เท้าที่ทำจากต้นหวงหยาง กำลังจ้องมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า ริ้วรอยบนใบหน้าสั่นเทาเล็กน้อย ประหนึ่งต้นหญ้าที่โดนลมพัดผ่าน

    แม้แต่ภาพตอนที่พระอัครมเหสีองค์ก่อนเอาผ้าอุดปากอุดจมูกองค์รัชทายาทในปีนั้นก็ยังมิทำให้นางตกตะลึงได้เช่นนี้

     

    ตอนที่ 16

    สำนักแห่งหนึ่ง

    สาเหตุที่หญิงชราผู้นั้นตกตะลึงเพราะนางรู้ดีว่าแพะดำที่แม่นางโม่อวี่เลี้ยงดูจนเติบโตด้วยมือของนางเองมีนิสัยหยิ่งยโสและรักความสะอาดอย่างยิ่ง ถึงขนาดเป็นความแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง มีเพียงคนจำนวนน้อยนักที่เคยพบเห็นอาชาเขาเดียวถึงจะรู้ว่าพวกมันคล้ายคลึงกัน ไม่ต้องกล่าวถึงต้นหญ้าที่ขึ้นเองริมทะเลสาบ ต่อให้เป็นอาหารที่เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ตั้งอกตั้งใจคัดสรรให้ มันแม้แต่มองยังไม่มองสักนิด ทว่าในเวลานี้มันกลับรับเอาหญ้าสีเขียวจากมือของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยเจอกัน คาดไม่ถึงว่ากำลังกินจริงๆ!

    ภาพที่เกิดต่อมายิ่งทำให้หญิงชราตกตะลึงยิ่งขึ้น เพราะหลังจากแพะดำตัวนั้นกินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้ออกห่างไปที่ใด ถึงขั้นยังเอาหัวไปถูที่ฝ่ามือของเด็กหนุ่มคนนั้นเบาๆ เหมือนสนิทสนมกันยิ่งนัก ลักษณะท่าทางก็พึงพอใจอย่างมาก ราวกับว่าชื่นชอบที่จะคบค้าสมาคมกับเด็กหนุ่มผู้นั้น

    แท้จริงแล้วนี่เพราะเหตุใด

    หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย มือกุมกระชับไม้เท้าต้นหวงหยาง ก้าวเดินช้าๆ มุ่งไปยังริมทะเลสาบ จ้องมองเด็กหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของแพะดำ สนใจในรูปร่างหน้าตาที่ธรรมดาแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความน่าสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาตินั้น นางรู้สึกจิตใจสงบ แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่สงบอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่สามารถทำให้นางมีจิตใจผ่อนคลายเช่นนี้ได้ยิ่งจะต้องระมัดระวัง

    เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้นยืน จ้องมองหญิงชรา กล่าวว่า “แม่เฒ่า นี่คือแพะที่ท่านเลี้ยงไว้ใช่หรือไม่”

    หญิงชราหรี่ตาลง กล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร?”

    เฉินฉางเซิงประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่รู้ขอรับ”

    หญิงชรากล่าวเย็นชา “แล้วเหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าว่าแม่เฒ่าเล่า”

    เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าสตรีที่อายุขนาดท่าน ถ้าไม่เรียกว่าแม่เฒ่าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ในรถม้าของจวนขุนพลเทพก็มีแม่เฒ่า คนล้างจานในโรงเตี๊ยมก็เป็นแม่เฒ่า ชาวเรือที่คอยรับผิดชอบหุงหาอาหารก็เป็นแม่เฒ่า ในใต้หล้านี้มีแม่เฒ่ามากมาย หรือว่าแม่เฒ่าตรงหน้าเขาคนนี้มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน

    หญิงชรามองเขาอย่างงุนงง รู้ว่าตนเองคิดมากไปเอง เป็นเพราะจิตใต้สำนึกบอกให้ระมัดระวังเด็กหนุ่มคนนี้ นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว รู้สึกไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะนางพบว่าตนชื่นชอบในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้

    เด็กหนุ่มที่ธรรมดาเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกอยากใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแพะดำหรือว่าตัวนางเองล้วนแต่เป็นเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วเพราะเหตุใด

    หญิงชราจ้องมองไปยังสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่และชำรุดทรุดโทรม คิดไปถึงบรรยากาศอันเจริญรุ่งเรืองในปีนั้น คิดไปถึงเรื่องราวของการเข่นฆ่าที่โหดร้ายและความน่าสะพรึงกลัวครั้งนั้น คิดไปถึงเด็กหนุ่มที่พิเศษคนนี้ ความไม่สงบนิ่งในใจยิ่งทียิ่งมากขึ้น ตัดสินใจที่จะถ่วงเวลา “เจ้าสามารถเรียกข้าว่าแม่เฒ่าหนิง”

    เฉินฉางเซิงก้มลงทำความเคารพ กล่าวว่า “คารวะแม่เฒ่าหนิง”

    แม่เฒ่าหนิงเอ่ย “ถ้าหากเจ้ารู้ว่าคนที่ทำให้เจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบเข้าสำนักไจซิงคือข้า เจ้ายังจะคารวะข้าอยู่หรือไม่”

    ต้นฤดูวสันต์ หากอากาศกลับราวกับฤดูหนาว สายลมพัดเบาๆ ผ่านทุ่งหญ้าป่าที่สูงประมาณเอว ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบ

    เฉินฉางเซิงยืดตัวตรง มองหญิงชรา ตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อวานถังซานสือลิ่วเอ่ยตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมว่าจวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสำนักไจซิงได้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในพระราชวัง จากคำพูดของแม่เฒ่าหนิง…นางก็คือคนผู้นั้นหรือ

    “ถือหนังสือสมรสฉบับนั้นแล้วยังกล้าเดินไปทั่วเมืองจิงตู ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มเช่นเจ้าโง่เขลาหรือว่าใจกล้ากันแน่” แม่เฒ่าหนิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

    เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนเอ่ยว่า “นอกจากจวนขุนพลเทพก็ไม่มีผู้ใดสนใจข้า”

    “ถ้าหากผู้คนรู้ว่าเจ้าคือคู่หมั้นของหงส์ตัวนั้น คนจำนวนนับไม่ถ้วนคงจะมาสังหารเจ้า”

    “ข้ายังมีชีวิตอยู่ เป็นข้อพิสูจน์ว่าจวนขุนพลเทพไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องการหมั้นหมายนี้”

    แม่เฒ่าหนิงมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวถาม “หากจวนขุนพลเทพปรารถนาจะเอาชีวิตเจ้าเล่า”

    เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปอีก แล้วจึงกล่าว “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปกครองแผ่นดิน ต้องดูแลเรื่องราวเหล่านี้”

    แม่เฒ่าหนิงคิ้วขมวด คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีคนนี้สามารถเข้าใจแจ่มแจ้งถึงสาเหตุแท้จริงที่จวนขุนพลเทพทำได้เพียงขัดแข้งขัดขาเช่นนี้ “ประวิงเวลายิ่งนาน ความกดดันยิ่งมาก อาจจะมีวันใดวันหนึ่งที่จวนขุนพลเทพทนต่อไปไม่ไหว”

    “เช่นนั้นข้าจะลองต่อต้าน” เฉินฉางเซิงกุมด้ามกระบี่ที่อยู่ข้างเอวแน่นพลางเอ่ยออกไป

    แม่เฒ่าหนิงจ้องมองกระบี่สั้นที่ธรรมดาไม่มีตรงใดแปลกเล่มนั้น กล่าวถากถางเล็กน้อย “เจ้าไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร อยากจะพึ่งกระบี่สั้นเล่มนี้ต่อต้านผู้แกร่งกล้าในจวนขุนพลเทพตงอวี้อย่างนั้นรึ เจ้าคิดว่ากระบี่สั้นเล่มนี้คือสิ่งใด อาวุธวิเศษในตำนานหรือ เทียบกับหอกเทพน้ำค้างพรมของจักรพรรดิไท่จง หรือกระบี่เกล็ดย้อนเล่มนั้นของสกุลชิวซานได้หรือไม่”

    เฉินฉางเซิงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดกลับไป

    “ถึงแม้เจ้าไม่ส่งมอบหนังสือสมรสเจ้าก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้” แม่เฒ่าหนิงกล่าว “เพียงแต่ไม่อนุญาตให้นำเรื่องการหมั้นหมายไปบอกผู้ใด ถ้าไม่อย่างนั้นแม้แต่ราชาปีศาจก็คงรักษาชีวิตเจ้าไม่ได้”

    ประโยคที่กล่าวออกมามิได้มีน้ำเสียงคุกคาม เหตุเพราะไม่ได้ใช้อำนาจคุกคาม เพียงแค่อธิบายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถหักล้างได้

    ราชาปีศาจมิอาจรักษาชีวิตเขา

    ผู้คนทั้งใต้หล้าก็มิอาจรักษาชีวิตเขาเช่นกัน เพราะแม่เฒ่าหนิงเป็นตัวแทนความตั้งใจของราชวงศ์ต้าโจว

    เฉินฉางเซิงจำใจยอมรับถึงแม้จะไม่เห็นด้วยนัก ว่าไปแล้วคำพูดของแม่เฒ่าหนิงถือเป็นเรื่องที่ดีต่อเขา เพียงแค่เขามีบางสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ เมื่อหลายวันก่อนตอนที่สอบเข้าสำนักไจซิง อีกฝ่ายบดขยี้อนาคตของเขาจนแตกละเอียดอย่างไร้ความรู้สึก แต่เพราะเหตุใดตอนนี้กลับเปลี่ยนความตั้งใจ

    “มีคนที่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ขอเพียงเจ้าไม่สร้างความยุ่งยาก แต่นายหญิงของข้ากลับไม่ชอบความไม่แน่นอน นางจึงไม่ยินดีให้เจ้ามีอนาคตหรือมีความเป็นไปได้อื่นใด ดังนั้นเดิมทีนี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก…”

    แม่เฒ่าหนิงจ้องมองสิ่งปลูกสร้างที่ทรุดโทรมและเงียบเชียบของสำนักศึกษาศาสนาหลวง ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกระโดดเข้ามายังบ่อน้ำที่แห้งขอดแห่งนี้ ในที่สุดเจ้าก็ช่วยข้าจัดการกับเรื่องยุ่งยากนี้”

    เฉินฉางเซิงถูกวาจาท่อนหลังดึงดูดสมาธิทั้งหมด จึงพลาดวาจาท่อนหน้าไม่กี่คำนั้น

    อนาคต? ความเป็นไปได้? บ่อน้ำที่แห้งขอด? ยุ่งยาก?

    ทันใดนั้นใจเขาพลันไม่สงบนิ่ง พิจารณาคำพูดของแม่เฒ่าหนิง ดูเหมือนว่าการที่ตนเข้ามายังสำนักศึกษาศาสนาหลวงอาจมีโทษใหญ่หลวง

    เขากล่าวอย่างไม่ลังเล “ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าสำนักศึกษาศาสนาหลวง”

    แม่เฒ่าจ้องมองเขา “เจ้าจำเป็นต้องเข้าสำนักศึกษาศาสนาหลวง”

    “เพราะเหตุใด”

    “เจ้าเดินมาถึงที่นี่ ดังนั้นนี่คือการเลือกของเจ้า”

    “ข้าได้เปลี่ยนความตั้งใจแล้ว”

    “ขออภัย ข้ามิใช่สวีฮูหยิน” แม่เฒ่าหนิงจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกใด “และข้าไม่ถือสาที่จะสังหารเจ้าให้ตาย”

    เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เขารู้ว่าตนเองไม่มีหนทางที่จะปฏิเสธ แต่ยังคงมีความไม่พึงพอใจ

    “ข้ายังไม่ได้เข้ารับการสอบ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้รับหนังสือประกาศรับเข้าศึกษา”

    “สำนักศึกษาศาสนาหลวงไม่มีเจ้าสำนัก แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มี เป็นธรรมดาที่จะไม่มีการสอบ แต่สามารถรับลูกศิษย์ได้”

    แม่เฒ่าหนิงล้วงเอากระดาษบางๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปเบื้องหน้าเขา “นี่เป็นหนังสือแนะนำที่ใต้เท้าสังฆราชลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง เจ้าสามารถเข้าสำนักแห่งไหนก็ได้”

    ไม่รอให้เฉินฉางเซิงกล่าวสิ่งใด นางกล่าวต่อไปว่า “แต่เจ้าสามารถเข้าได้เพียงสำนักศึกษาศาสนาหลวง”

    เฉินฉางเซิงรับกระดาษแผ่นนั้นมา มองการลงชื่อด้วยตัวอักษรหวัดบนกระดาษนั้น รวมทั้งประทับด้วยตราประทับที่สลับซับซ้อนวิจิตรตระการตาอย่างยิ่ง ไม่รู้เลยว่าควรเอ่ยสิ่งใด

    เขาคิดไม่ถึงว่าชีวิตของตนเองจะมีโอกาสได้เห็นลายมือชื่อของใต้เท้าสังฆราช เกือบตื่นเต้นดีใจ แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นภาพที่ทำให้ไม่สามารถตื่นเต้นดีใจได้ เขามองเห็นว่าสีหมึกดำที่ใช้ลงชื่อและสีหมึกแดงที่ประทับตรานั้นจางเล็กน้อย แสดงว่าไม่ใช่เพิ่งลงชื่อเมื่อเร็วๆ นี้ กลับกันชื่อสำนักที่ระบุบนนั้นสีหมึกยังดูใหม่ คงจะเป็นลายมือของแม่เฒ่าผู้นี้

    “เงื่อนไขที่หนึ่ง ไม่สามารถบอกเรื่องการหมั้นหมายกับผู้ใด เงื่อนไขที่สอง เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ เงื่อนไขที่สาม จะไม่มีผู้ใดขัดขวางอนาคตของเจ้า” แม่เฒ่าหนิงจ้องมองเขา “การตกลงแลกเปลี่ยนสิ้นสุดแล้ว”

    พูดประโยคเหล่านั้นเสร็จสิ้น นางหันหลังกลับมุ่งไปยังด้านนอกของสำนักศึกษาศาสนาหลวง หญ้าป่าที่ขึ้นอยู่ริมทะเลสาบไม่อาจพันเกี่ยวกระโปรงสีขาวที่ปลิวสะบัดของนางได้

    ด้วยฐานะของนาง การมาพูดคุยกับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีด้วยตนเองเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายอีกด้วย

    ที่นางกล่าวก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นความจริง ถ้าคนตายไปเสีย หนังสือสมรสยังจะมีความหมายอะไรอีก ถึงแม้จะคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวนัก แต่ทุกปีที่จิงตูมีเด็กหนุ่มที่ไม่เลวต้องตายไปไม่รู้เท่าไร หากไม่ใช่เพราะจดหมายฉบับนั้นวันนี้เขาอาจจะตายไปแล้ว ถ้าหากว่าเขาฉลาดก็คงจะคาดเดาได้ว่าใครที่ทำให้เขามีชีวิตต่อ และรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

    นี่ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพียงแต่สำหรับเขาอาจจะไม่ใช่ แต่…ใครจะมาสนใจเรื่องนั้นเล่า

    แม่เฒ่าหนิงคิดเช่นนี้ขณะค่อยๆ เดินห่างออกไปไกล

    แพะดำตัวนั้นเดินตามนางไป แต่ก่อนที่มันจะเดินออกจากประตูทางเข้าสำนัก มันหันหน้ากลับมามองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง

    เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมทะเลสาบ ในมือถือกระดาษแผ่นนั้น นิ่งเงียบเป็นเวลานาน

    จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าแม่เฒ่าหนิงคือใคร แต่เขาถูกบังคับให้รับการแลกเปลี่ยนนี้

    เขาไม่รู้ความจริงหลังม่านของการแลกเปลี่ยน แต่ก็เข้าใจอย่างคลุมเครือ ถ้าหากว่าตนเองยอมรับล้วนแต่เป็นผลดีต่อทุกคน

    เขาย่อมเข้าใจดีที่สุด สำหรับคนเหล่านั้น การเลือกครั้งนี้ผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์คงมีแต่เขาผู้เดียว แต่ที่จริงแล้วผลประโยชน์ที่เขาต้องการก็คือกระดาษแผ่นนี้ที่กำลังถืออยู่ในมือไม่ใช่หรือ ซึ่งเขาก็รับมาเรียบร้อยแล้ว

    ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธแค้น เพียงแค่รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย

    เดิมทีเขามาจิงตูเป้าหมายมิใช่การหมั้นหมาย ไม่ใช่เพราะเด็กสาวที่ชื่อสวีโหย่วหรง จวนขุนพลเทพ หรือพระราชวัง ชื่อพวกนั้นราวกับแขวนอยู่บนขอบฟ้า ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับตน เขาไม่ปรารถนาจะสร้างความสัมพันธ์กับชื่อเหล่านี้ เขาเพียงต้องการอ่านตำรา ฝึกบำเพ็ญเพียร หลังจากนั้นก็เข้าร่วมการสอบใหญ่ สอบให้ได้อันดับที่หนึ่ง

    ก่อนการสอบใหญ่คือการสอบเตรียม จะมีการจัดสอบในเดือนหน้า เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ยังไม่สำเร็จ คงไม่มีทางจะผ่านการสอบเตรียมเป็นแน่ คุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่ก็ไม่มี แล้วจะเอาอันดับที่หนึ่งได้อย่างไร เพราะเหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องเข้าเป็นศิษย์ของหนึ่งในหกสำนักบนใบรายชื่อให้ได้

    สำนักทั้งหกแห่งนั้นล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวนานในจิงตู เป็นสำนักที่ดีที่สุด ประตูสำนักเหล่านั้นจึงมีไม้เลื้อยมากมายอันแสดงถึงกาลเวลา ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกขานว่าสำนักไม้เลื้อยทั้งหก

    มีเพียงแค่ลูกศิษย์ของสำนักไม้เลื้อยทั้งหกถึงจะไม่ต้องเข้าร่วมการสอบเตรียม สามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้เลย

    ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้เป็นศิษย์หนึ่งในหกของสำนักไม้เลื้อย เกือบจะสมดังปรารถนา เพียงแค่…ประตูของสำนักแห่งนี้มีไม้เลื้อยขึ้นมากมายเป็นพิเศษ

    ก่อนหน้าที่จะจากเมืองซีหนิงมา นี่คือหนทางที่อาจารย์และศิษย์พี่วางแผนให้เขา

    แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าพวกเขาคิดไม่ถึง ตำราประวัติศาสตร์ที่เคยประพันธ์ถึงความวิจิตรงดงามตระการตาของสำนักศึกษาศาสนาหลวง ที่แท้ได้ทรุดโทรมจนถึงขั้นนี้แล้ว

    เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมทะเลสาบ มองไปยังแสงอาทิตย์ที่งดงาม ที่นี่ยังคงเงียบเชียบวังเวงประหนึ่งสุสาน เด็กหนุ่มจนปัญญาที่จะคาดเดาอนาคตของตนเอง

    เนิ่นนานผ่านไป เขาสะดุ้งเพราะลมฤดูวสันต์ที่พัดโชยมา สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ลึกๆ ห้าครั้ง นำกระดาษที่พับแล้วสอดเข้าไปในหน้าอก เดินแหวกต้นหญ้าป่าริมทะเลสาบเข้าไปในสำนักที่แทบมองไม่เห็นทางเดินเดิม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook