• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่18

    ตอนที่ 18

    ศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาศาสนาหลวง (ตอนกลาง)

    ยังไม่กล่าวถึงนิกายฝ่ายใต้ในแดนใต้ กล่าวเพียงศาสนาหลวงในจิงตูก็มีโถงศักดิ์สิทธิ์ถึงหกแห่ง หนึ่งในนั้นคือตำหนักอิงหวา มีหน้าที่รับผิดชอบการอบรมสั่งสอนและปลูกฝังคนหนุ่มสาว มีสำนักศึกษาหลายสิบสำนักที่มีสำนักใหญ่อย่างสำนักเทียนเต้าและศาสนาหลวงคอยควบคุมดูแล สำนักศึกษาทั้งหลายเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกับหน่วยงานด้านการศึกษาของราชวงศ์ต้าโจว นั่นคือสำนักกองการศึกษาเทวาศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นชื่อที่ผสมผสานระหว่างราชสำนักและประชาราษฎร์ หรือจะเรียกย่อๆ ว่าสำนักการศึกษาก็ได้ เมื่อเทวาศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่เคียงอำนาจย่อมให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม และอาจเป็นเพราะเพื่อเทิดทูนเหล่าปรมาจารย์ สิ่งก่อสร้างเบื้องหน้านี้จึงช่างสงบเงียบผิดธรรมดา

    เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนทางเดินระเบียงที่โล่งกว้าง ถูกเงามืดของเสาหินใหญ่ยักษ์ปกคลุมพอดิบพอดี เขาหันหลังไปมองห้องนั้น คิดถึงเสียงก่นด่าก่อนหน้าของเจ้าหน้าที่สำนักการศึกษาผู้นั้น อดชื่นชมไม่ได้ว่าสมเป็นโถงศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาหลวง สิ่งปลูกสร้างนี่สร้างได้ดียิ่ง ปิดกั้นเสียงได้ดีเลิศ ดูท่าว่าคนข้างนอกแม้แต่เสียงสักนิดก็คงไม่ได้ยิน

    จิงตูมีศิษย์สำนักศึกษาทั้งหมดหลายหมื่นคน ล้วนแต่ได้รับการจัดการดูแลโดยเจ้าหน้าที่ในสถานที่นี้ พวกเขาคงมีภาระหน้าที่มากมายเป็นแน่ พื้นหินอ่อนที่ส่องแสงเป็นประกายแวววาวนี้จะต้องผ่านการเหยียบย่ำของรองเท้านับไม่ถ้วน ผู้คนมากมายวนเวียนกันเข้ามาประดุจฟองคลื่นในมหาสมุทร

    เดิมทีไม่มีผู้ใดสนใจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเงามืดของเสาหิน และก็ไม่มีผู้ใดกล่าวถาม เวลาผ่านพ้น พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อย เงามืดของเสาหินต้นนั้นเคลื่อนย้ายจากร่างกายของเขาไปยังทิศตะวันออก กระทั่งตกเย็น ในที่สุดก็มีคนสนใจตัวตนของเขา

    อาจเป็นเพราะโถงศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะปิดประตู อารมณ์ของผู้คนแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย เสียงดังระงม ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เคร่งขรึมเปล่าเปลี่ยว ตอนนั้นเองก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากทางด้านหลังของเฉินฉางเซิง เสียงนั้นถูกกดให้เบาอย่างยิ่ง ฟังแล้วเหมือนกับเสียงหนูกำลังแทะสิ่งของ ทำให้ใบหูของเขามีอาการคันยุบยิบ เด็กหนุ่มก้มหัวให้ต่ำลงตามความเคยชิน

    “เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร เขายืนอยู่ตรงนั้นเกือบจะทั้งวันแล้ว”

    “อืม เจ้ากำลังพูดถึงเด็กหนุ่มคนนั้นใช่หรือไม่ เมื่อตอนกลางวันได้มาสอบถามอะไรบางอย่างแล้วถูกนักบวชซินขับไล่ไป…ได้ยินว่ามายื่นขอเงินบำรุงการศึกษาของปีนี้ และยังจะเอาอะไรอีกนะ…”

    “เงินบำรุง? เมื่อเดือนสองแจกจ่ายไปครบหมดแล้วไม่ใช่หรือ ยังมีสำนักไหนที่ยังไม่ได้รับอีกหรือ ไม่น่าจะใช่! เจ้าสำนักที่หยิ่งยโสจนจมูกเชิดแทบตั้งฉากกับผืนฟ้าเหล่านั้น หากว่าค้างจ่ายเงินพวกเขา จะสามารถผ่านพ้นมาถึงวันนี้ได้อย่างไรกัน ถึงแม้จะค้างจ่ายจริง แล้วเหตุใดถึงให้ลูกศิษย์มารับเพียงคนเดียวเล่า”

    “ก็นั่นน่ะสิ ดังนั้นนักบวชซินถึงไม่สนใจเขาและถูกไล่ออกมา แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับไม่ยอมจากไป”

    “เจ้าเด็กคนนี้ที่จริงแล้วเป็นคนของสำนักไหน”

    “เห็นว่าเป็นสำนักศึกษาศาสนาหลวง”

    “อะไรนะ”

    “สำนักศึกษาศาสนาหลวง”

    มีเสียงอุทานดังเบาๆ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงหัวเราะ

    “ล้อเล่นเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่แปลกที่นักบวชซินโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้”

    “มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสำนักศึกษาศาสนาหลวงไม่มีคนมาตั้งนานแล้ว แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มี แล้วจะมีลูกศิษย์มาจากที่ใด ข้าเดาว่าคงจะเป็นพิธีต้อนรับสมาชิกใหม่ของสำนักต่างๆ เจ้าเด็กที่น่าเวทนาคนนั้นคงถูกศิษย์พี่คัดเลือก จะต้องมาหาพวกเราเพื่อทำเรื่องบางอย่าง เช่นว่ามาเอาสิ่งของ ไม่เช่นนั้นไม่ถือว่าผ่านด่าน”

    “เพ้ย! สำนักเหล่านี้จัดพิธีต้อนรับสมาชิกใหม่นับวันยิ่งจะไม่ได้เรื่อง”

    “จริงดังว่า ยังคงกล้ามาล้อเล่นถึงสำนักการศึกษา”

    “พวกเจ้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้แท้จริงแล้วเป็นคนของสำนักไหน”

    “คงจะเป็นสำนักไจซิง เขายืนได้อย่างสงบยิ่งโดยแทบมิได้เปลี่ยนท่าแต่อย่างใด นอกจากสำนักไจซิงผู้ใดจะสามารถสั่งสอนศิษย์ให้เป็นเช่นนี้ได้เล่า”

    “ข้าไม่คิดเช่นนั้น สำนักไจซิงมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมาก ไม่ผิดแผกกับวินัยทหาร อีกทั้งพิธีต้อนรับสมาชิกใหม่ปีที่แล้วๆ มามากสุดก็ไปขโมยรถม้าบินของผู้ตรวจตราความเรียบร้อย มีหรือจะกล้ามาถึงสำนักการศึกษา ข้ากลับคิดว่าอาจจะเป็นสำนักเทียนเต้า สำนักแห่งนั้นคุ้นเคยกับพวกเราและยังไม่กลัวเกรงสิ่งใด ต่อให้มีปัญหาเด็กพวกนั้นก็แค่เชิญคนในครอบครัวมา สำนักการศึกษามีหรือจะไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย”

    ในสายตาของเจ้าหน้าที่สำนักการศึกษา เด็กหนุ่มที่ก้มศีรษะต่ำยืนอยู่บนทางเดินระเบียงคงจะเป็นศิษย์ใหม่ที่น่าเวทนาของสำนักไหนสักแห่งที่ถูกบรรดาศิษย์พี่กลั่นแกล้งรังแก ขณะวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้คิดจะปกปิดอะไร ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะพูดคุยกันเสียงเบา แต่ยังคงชัดเจนในหูของเด็กหนุ่ม

    เฉินฉางเซิงก้มหน้าลงมองพื้น เงาบนพื้นของเขาไม่หยุดเคลื่อนย้าย ตอนนี้ใกล้จะไปถึงสุดปลายบันไดหินแล้ว พอคิดว่าตนเองเสียเวลามาครึ่งค่อนวัน จิตใจรู้สึกกลัดกลุ้ม แต่เมื่อได้ฟังการวิพากษ์วิจารณ์ถึงได้เข้าใจว่าเพราะอะไรเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงได้โมโหเช่นนี้ และตั้งแต่ต้นจนจบไม่ให้ตนเข้าไปยุ่มย่ามอีก

    ต้องทำอย่างไรถึงจะให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าตนคือศิษย์คนแรกในรอบหลายปีของสำนักศึกษาศาสนาหลวงนะ และถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเชื่อ แต่ในเร็ววันเขาคงจะเอากุญแจหอตำรา สมุดบันทึกรายชื่อของคนงานในสำนัก ตราประทับของสำนัก และยังเงินบำรุงพวกนั้นมาไม่ได้เป็นแน่ เขาไม่อยากเสียเวลาดังเช่นวันนี้เพื่อเรื่องพวกนี้อีก

    เสียงระฆังดังไกลมาจากพระราชวัง ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงดนตรีดังมาจากทางด้านสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นได้ เงยหน้าขึ้น มุ่งตรงไปยังห้องที่ก่อนหน้านั้นโดนขับไล่ออกมา แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้สามารถดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมากในทันใด

    เขาผลักประตูเข้าไป เดินไปข้างหน้าโต๊ะ เอ่ยกับผู้ที่อยู่ข้างหลังโต๊ะว่า “ข้าต้องการสมุดรายชื่อของสำนักศึกษาศาสนาหลวง กุญแจ และเงินบำรุงการศึกษาด้วย”

    นักบวชซินที่ก่อนหน้านี้ถูกคนกลุ่มนั้นกล่าวถึง เมื่อพบว่าเฉินฉางเซิงย้อนกลับมาอีกครั้งก็ตบมือลงบนโต๊ะ ส่งเสียงด่าทอ “ข้าพูดไปแล้วว่าห้ามเจ้ามาก่อกวนข้าอีก! ยังกล้าพูดนั่นพูดนี่อีกรึ! เจ้าต้องการให้ข้าเรียกคนมาโบยเจ้าสักยี่สิบทีและให้เจ้าออกจากสำนักใช่หรือไม่!”

    เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงจัง “จะทำเช่นนั้นได้ท่านต้องให้ข้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักก่อน”

    นักบวชซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามระงับความโกรธ กล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ที่จริงแล้วเจ้าเป็นคนของสำนักไหน”

    เฉินฉางเซิงเอ่ย “สำนักศึกษาศาสนาหลวง”

    ขณะพูดคำนี้ลักษณะท่าทางของเด็กหนุ่มสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นลมจากทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือทิศเหนือกระหน่ำใส่ ข้าจะจับขอบหน้าผาไม่ยอมปล่อยมือ ไม่ว่าเจ้าจะถามสิ่งใด สีหน้าของข้าก็จะไม่เปลี่ยน จิตใจสงบเยือกเย็นตอบคำถามได้ไม่รู้เบื่อ ข้าคือศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาศาสนาหลวง ไม่ว่าพวกเจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าก็จะยืนอยู่ที่นี่

    “ยังจะบอกว่าสำนักศึกษาศาสนาหลวงอีก เจ้าเป็นศิษย์สำนักเทียนเต้าใช่หรือไม่” นักบวชซินรู้สึกว่าตนเองใกล้จะบ้าตายแล้ว “แม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องชายขององค์ชายเฉินหลิว วันนี้ข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่าการมาล้อเล่นกับสำนักการศึกษาจะได้รับผลเช่นไร”

    “นี่คือหนังสือแนะนำของข้า”

    นักบวชซินตั้งใจจะขยำกระดาษแผ่นนั้นเป็นก้อนแล้วยัดใส่ปากที่น่าเกลียดน่าชังของเด็กหนุ่ม แต่พลันมองเห็นชื่อที่คุ้นตาชื่อหนึ่งบนกระดาษแผ่นนั้นเข้าเสียก่อน เขาตะลึงงัน หยิบมามองชัดๆ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ดูผิด ชื่อนี้และลายมือนี้คุ้นตาอย่างยิ่ง

    ชื่อนี้และลายมือนี้ตนเองเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน

    นักบวชซินขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญ ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงหาคำตอบไม่พบ ส่วนลึกในใจไม่สงบนิ่ง

    พริบตาต่อมา ในที่สุดเขาก็คิดออก

    เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นลายมือบนกระดาษและก็ไม่เคยเห็นชื่อนั้นมาก่อน แต่ที่รู้สึกคุ้นตานั่นเพราะป้ายชื่อของสำนักการศึกษามีลายมือเหมือนกันกับบนกระดาษนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน ส่วนชื่อนั้นผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในศาสนาหลวงล้วนแต่รู้จัก ทว่ากลับไม่ได้รับการพูดถึง ไม่ได้ถูกเขียนออกมา เพราะชื่อนั้น…มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก

    นักบวชซินมองตราประทับสีแดงบนกระดาษ พลันเขาก็รู้สึกว่าขาของตนอ่อนยวบ ทั้งยังชักกระตุกเล็กน้อย เดิมทีเขาเป็นโรคกลัวความสูง อาการเช่นนี้เคยเกิดขึ้นตอนเข้าชมตำหนักกงเยวี่ยของพระราชวัง

    นักบวชซินอยากจะดื่มน้ำชาสักอึกหนึ่ง แต่มือกลับสั่นอย่างรุนแรง จึงปัดถ้วยน้ำชาตกลงบนพื้น

    เขามองเฉินฉางเซิง ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อย อาการสั่นเทาทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่ควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงก็เป็นเช่นกัน

    ถึงตอนนี้ในที่สุดเขาก็เชื่อแล้วว่าเฉินฉางเซิงเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาศาสนาหลวง

    เพราะไม่มีใครที่จะกล้าปลอมแปลงชื่อบนกระดาษนั้น ปลอมแปลงลายมือนั้น

    “ที่จริงแล้วเจ้า…ท่านไม่ต้องนำหนังสือแนะนำฉบับนี้ออกมาก็ได้…ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีอารมณ์ขันเสียจริง”

    เขาจ้องมองเฉินฉางเซิง แย้มยิ้มอย่างยากลำบาก อยากจะยื่นมือออกไปตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่กล้า

    ‘ท่าน’ คำนี้ไม่สัมพันธ์กับเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งยากที่จะบอกว่ามีอารมณ์ขัน

    เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงลืมตัวจนเสียกิริยา เขาอธิบายอย่างจนปัญญา “ก่อนหน้านี้ข้าเตรียมนำมันออกมา แต่ท่านไม่ให้โอกาสมาตลอด”

    “เชิญท่านนั่งก่อน คอยสักครู่จะมีน้ำชามาให้ ข้าจะไปทำธุระให้ท่าน”

    นักบวชซินหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น หลังจากนั้นจึงหันกายออกนอกประตูไป ตะบึงวิ่งออกจากทางเดินระเบียงที่กว้างขวางและสง่างาม

    เจ้าของสายตาที่มองตามเฉินฉางเซิงตอนเดินเข้าไปในห้องเหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ พากันตกตะลึงอย่างยิ่ง

     

    ในห้องที่อยู่ลึกที่สุดและเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสำนักการศึกษาห้องนั้นมีพืชพันธุ์มากมาย ที่มีมากที่สุดก็คือต้นเหมย ทั้งล่าเหมย จ้าวสุ่ยเหมย หลงโหยวเหมย ส่าจินเหมย… มีทั้งที่ผลิดอกบานพอดี ทั้งที่ยังตูมเตรียมจะเบ่งบาน ที่มากหน่อยคือต้นที่ยังรอคอยเวลาอยู่เงียบๆ ช่างราวกับว่าต้นดอกเหมยบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ที่นี่ก็มิปาน

    ลึกเข้าไปในเหล่าต้นเหมยมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่สลักเป็นภาพของสุสานเทียนซู ด้านหน้าของภาพสลักคือโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่

    นักบวชซินยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะหนังสือ ลักษณะท่าทางเป็นกังวล หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ต่างกันคนละเรื่องกับความเหลืออดเหลือทนที่แสดงออกตอนอยู่ต่อหน้าเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้ “องค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือสุด…ข้าน้อยสาบานต่อฟ้า ข้าน้อยมิรู้จริงๆ ว่าเขามีหนังสือแนะนำฉบับนั้น…มิเช่นนั้น…”

    “มิเช่นนั้นจะอย่างไร มิเช่นนั้นจะไม่ให้เด็กหนุ่มคนนั้นยืนรออยู่ที่ลานระเบียงครึ่งค่อนวันใช่หรือไม่”

    คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะหนังสือ มองไม่ออกว่าอายุเท่าไร แววตาฉลาดหลักแหลม ลุ่มลึก และอ่อนโยน มองจากเครื่องแบบคงจะเป็นหัวหน้าของสำนักการศึกษา นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในสำนักการศึกษา ทว่าหากมองเพียงลักษณะท่าทางและเสียงหัวเราะเมื่อสนทนา ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะชวนให้เข้าใจเช่นนี้

    “ตราประทับและลายมือบนจดหมายฉบับนั้นล้วนแต่เป็นของจริง ยังมีลักษณะการเขียนตัวอักษรหวัด แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือกระดาษนี่…ฮ่าๆๆ ตัวอักษรของใต้เท้าสังฆราชสามารถทำให้ผู้คนซาบซึ้งถึงความสวยงามของโลกใบนี้ ข้าเคยเห็นมาแล้วหลายครา มองอีกครั้งก็ยังคงประทับใจ ยังจำได้เมื่อปีก่อนใต้เท้าสังฆราชถูกองค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เชิญไปเป็นผู้ฝึกสอนโอรสของเซียงอ๋องและแม่นางโม่อวี่”

    หัวหน้าปกครองสำนักการศึกษาเหมยหลี่ซาจ้องมองนักบวชซินที่อยู่ใกล้ๆ ทันใดนั้นใบหน้าก็หยุดยิ้ม เอ่ยด้วยความเย็นชา

    “เรื่องเก่าๆ เหล่านั้นอย่าได้นำมาพูดถึงอีก เจ้าหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงคนนี้จะมีที่มาอย่างไรก็ได้ สามารถเป็นศิษย์คนแรกของสำนักศึกษาศาสนาหลวงในรอบหลายปีมานี้อย่างไรก็ได้ แต่สำคัญก็คือเจ้าต้องรู้ว่าเรื่องนี้หมายถึงสิ่งใด ใช่เป็นเพราะใต้เท้าสังฆราชเตรียมจะเปิดสำนักศึกษาศาสนาหลวงอีกครั้งหรือไม่ ถ้าหากว่าใช่ แล้วพวกเราที่อยู่ใต้บังคับบัญชาควรทำอย่างไร เรื่องเหล่านี้เจ้าต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ…เข้าใจจิตใจของเขา”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook