• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่19

    ตอนที่ 19

    ศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาศาสนาหลวง (ตอนปลาย)

    เข้าใจจิตใจของใคร แน่นอนว่าต้องของใต้เท้าสังฆราช จิตใจใต้เท้าสังฆราชเป็นอย่างไร เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาตราประทับและลายมือชื่อของเขาอย่างลึกซึ้งเพื่อให้สามารถเข้าใกล้โลกแห่งจิตใจของใต้เท้าสังฆราชที่กว้างใหญ่ไพศาลดังดวงดาวและมหาสมุทรได้สักเล็กน้อย

    นักบวชซินเดินออกจากห้องของหัวหน้าปกครองสำนักการศึกษาพลางใคร่ครวญถึงประโยคสุดท้ายนั้น สีหน้ายังคงขาวซีด จิตใจยังมิคลายความสงบ เขาพยายามที่จะคิดให้ออก แต่กลับไม่รู้เลยว่าอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง ใต้เท้าสังฆราชตัดสินใจที่จะส่งเสริมสำนักศึกษาศาสนาหลวงให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งอย่างนั้นรึ แล้วเพราะเหตุใดในจิงตูถึงไม่มีข่าวคราวใดๆ เพราะเหตุใดถึงเลือกศิษย์ที่อายุน้อยเช่นนี้มาจัดการเรื่องราว จุดสำคัญของปัญหานี้อยู่ตรงที่ประวัติศาสตร์หน้านั้นของสำนักศึกษาศาสนาหลวงยังไม่ได้รับการแก้ไข แล้วผู้ใดกันจะกล้าแตะต้องเรื่องนี้

    เขาสาวเท้ามาถึงเบื้องหน้าของเฉินฉางเซิง การไตร่ตรองทั้งหมดจำต้องสิ้นสุดลงชั่วคราว ตัดสินใจทันทีว่าตนจะทำสิ่งใด รอยยิ้มที่เสแสร้งแต้มอยู่บนใบหน้าขณะเอ่ย “นี่คือสมุดรายชื่อและกุญแจ เพียงแต่ท่าน…เอ่อ เจ้าอาจจะมีบางสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ นั่นคือต่อให้มีชื่อในสมุดรายชื่อของสำนักศึกษาศาสนาหลวง พวกเราก็ยังยากยิ่งที่จะตามพวกเขากลับมา”

    เฉินฉางเซิงรับเอาสมุดรายชื่อมาพลิกไปสองหน้า พบว่ากระดาษของสมุดรายชื่อนั้นเก่าแก่อย่างยิ่ง ที่ต่อท้ายรายชื่อส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคำว่า ‘ออกไปแล้ว’ คำนี้ จึงเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไร”

    นักบวชซินอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องของตนเองไม่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา เขามีวิธีการที่แน่วแน่แล้ว ขอเพียงแค่ไม่เอาตนเองไปป่าวร้องเป็นกำลังใจให้สำนักศึกษาศาสนาหลวง ไม่เข้าไปพัวพันกับแผนการที่เข้าใจยากของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เพียงทำในสิ่งที่สามารถทำได้ในขอบเขตอำนาจของตนก็พอแล้ว หากต้องการเงินเขาก็มีเงินให้ หากต้องการคนเขาก็มีคนให้อีกเช่นกัน

    “แล้ว…เพื่อร่ำเรียนที่สำนักศึกษาศาสนาหลวง ตอนนี้เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่” เขาจ้องไปยังนัยน์ตาของเฉินฉางเซิง หยั่งเชิงถามออกไป

    เฉินฉางเซิงคิดไตร่ตรองก่อนกล่าวว่า “ต้องการอะไรก็บอกได้อย่างนั้นหรือ”

    “เว้นเสียแต่เจ้าต้องการให้อาจารย์ของสำนักเทียนเต้าโยกย้ายมาสำนักศึกษาศาสนาหลวง…เรื่องนั้นเกรงว่าไม่ได้ ฮ่าๆๆ”

    นักบวชซินหัวเราะขณะกล่าวออกไปทั้งที่ตนเองรู้ดีว่าประโยคนี้มิได้น่าขำขันสักนิด กลับฟังเหมือนสิ้นหวังเสียมากกว่า

    เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าต้องการคน”

    ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของนักบวชซินค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เอ่ยถามอย่างจริงจัง “ต้องการกี่คน”

    เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงจังเช่นกัน “ต้องการจำนวนมาก”

    แม้ท่วงท่าของนักบวชซินจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่มือทั้งสองกลับค่อยๆ เย็นลง ในใจใคร่ครวญ มิน่าเล่า เป็นดังเช่นท่านหัวหน้าปกครองได้คาดเดาไว้ ใต้เท้าสังฆราชเปิดสำนักศึกษาศาสนาหลวงขึ้นอีกครั้ง…เพื่ออำพรางจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถบอกให้ผู้คนทราบได้ หาไม่แล้วเด็กหนุ่มคนนี้เพราะเหตุใดถึงได้เอ่ยว่าต้องการคน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องการคนจำนวนมาก หากว่าใต้เท้าสังฆราชคิดทำเรื่องที่เป็นการละเมิดข้อห้ามต่างๆ จริง…เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดี

    “ข้าขอถามสักหน่อย…เจ้าต้องการคนจำนวนมากเพราะเหตุใด”

    เขาจ้องเขม็งไปยังนัยน์ตาของเฉินฉางเซิง กล่าวถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ลักษณะท่าทางเอาจริงเอาจัง เตรียมพร้อมที่จะปฏิเสธทุกเมื่อ

    เฉินฉางเซิงไม่ได้รับรู้ถึงความตื่นเต้นของเขา แต่ถึงแม้จะสามารถรับรู้ได้ก็ไม่เข้าใจ เขาเอ่ยว่า “สำนักศึกษาศาสนาหลวงมีพื้นที่กว้างขวาง สิ่งปลูกสร้างมากมาย หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้รับการซ่อมแซม ถึงแม้การบูรณะจะค่อยๆ ทำได้ แต่หากต้องการที่จะศึกษาตำราอยู่ในนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องทำความสะอาดเสียหน่อย ถ้ากำลังคนไม่มากพอ ข้าเกรงว่าจะใช้เวลานาน”

    นักบวชซินได้ฟังคำพูดนี้ก็ถอนลมหายใจเย็นๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะคิดไม่ถึง และด้วยห่วงว่าเฉินฉางเซิงจะเสียใจภายหลังที่ขอร้องเขาด้วยเรื่องแค่นี้ จึงรีบกล่าวเสริมโดยมิลังเลว่า “ค่าบำรุงที่ควรได้ รวมทั้งกำลังคนที่เจ้าต้องการ ข้าจะรีบให้คนจัดสรรไปให้…ไม่สิๆ ข้าจะนำไปส่งให้เจ้าด้วยตัวเองเลย”

    หลังจากพูดประโยคเหล่านั้นแล้วเขาก็ตบไหล่เฉินฉางเซิงอย่างสนิทสนม ประคองแขนของเฉินฉางเซิงเบาๆ มุ่งไปยังทางเดินระเบียงของสำนักการศึกษา นักบวชซินที่เวลาปกติน่าเกรงขามหาผู้ใดเปรียบคาดไม่ถึงว่าจะให้ความสนิทสนมกับเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างลักษณะเช่นนี้ ภาพนี้ไม่รู้ว่าดึงดูดสายตาผู้คนมากเท่าไร เป็นธรรมดาที่จะก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์

     

    “เฉินฉางเซิงเข้าไปในสำนักศึกษาศาสนาหลวงจริงรึ”

    “ใช่แล้วเจ้าค่ะ…หลังจากที่แม่เฒ่าหนิงจากไปไม่นานเขาก็ไปที่สำนักการศึกษา”

    หลังจากถามตอบสองประโยคง่ายๆ นี้ ห้องหนังสือของจวนขุนพลเทพตงอวี้ก็ตกอยู่ในความเงียบอย่างรวดเร็ว

    สวีซื่อจี้จ้องมองแม่เฒ่าฮวาที่อยู่ในอาการไม่สงบ กล่าวเสียงเย็นว่า “ในเมื่อเป็นความตั้งใจของทางนั้น เช่นนั้นยังไม่ต้องจัดการอะไรชั่วคราว”

    สวีฮูหยินยืนอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยความกังวล “เพราะเหตุใดถึงมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้”

    “ที่ข้าให้นางออกหน้าจัดการปัญหาทางด้านสำนักไจซิงไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กคนนั้น แต่เพราะต้องการนำเรื่องการหมั้นหมายบอกแก่นางอ้อมๆ รายงานจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์โดยผ่านนาง แต่นางกลับจัดการเรื่องนี้เอง ทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผล”

    สวีฮูหยินใบหน้ากลัดกลุ้ม “ปัญหาอยู่ที่แม่เฒ่าหนิงเอ่ยเงื่อนไขข้อที่สองนั่น ‘เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่’ เพราะเหตุใดพระราชวังต้องก้าวก่ายเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ด้วยเล่า”

    สวีซื่อจี้มองแม่เฒ่าฮวาแวบหนึ่ง

    แม่เฒ่าฮวาก้มศีรษะลง กล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อคืนซวงเอ๋อร์เข้าไปในวัง ด้วยคุณหนูเอ่ยถึงเด็กหนุ่มคนนั้นในจดหมายที่ส่งมา”

    สวีฮูหยินได้ฟังประโยคนี้ รู้สึกไม่ยินดี กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เขียนจดหมายถึงบิดามารดา เขียนจดหมายถึงคนนอกเพื่อสิ่งใด”

    สวีซื่อจี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากฟังคำพูดบ่นว่าจำพวกนี้ “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ บิดามารดาถึงจะเป็นผู้ตัดสินใจ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย เจ้าจะกังวลใจกับเรื่องเหล่านี้ทำไมกัน เอาเป็นว่าเพื่อให้เกียรติแม่นางโม่อวี่ จะให้เจ้าเด็กนั่นมีชีวิตอยู่ชั่วคราว หากเขายังคงไม่ยอมอยู่ในขอบเขตแห่งที่ของตน ค่อยมาว่ากันอีกทีก็ยังไม่สาย”

    สวีฮูหยินเอ่ย “ข้ากังวลว่าเจ้าเด็กนั่นเกิดภายภาคหน้ามีตำแหน่งหน้าที่ก้าวไกล จะคิดแก้แค้นคนในจวน”

    ทันใดนั้นสวีซื่อจี้หัวเราะ กล่าวทวนคำพูดของสวีฮูหยิน “ตำแหน่งหน้าที่ก้าวไกล?”

    สวีฮูหยินจ้องมองสามีของตนเองหัวเราะอย่างรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย โบกมือเป็นสัญญาณให้แม่เฒ่าฮวาถอยออกไป “ก่อนหน้านี้องค์ชายเฉินหลิวให้คนมาเชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยง สุดท้ายแล้วท่านได้เข้าร่วมหรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับคำชื่นชมจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่ฐานะเขาถึงอย่างไรก็มีความพิเศษ ข้าคิดว่าไม่ค่อยเหมาะสม”

    หลายปีก่อน หลังจากกบฏกลุ่มสุดท้ายที่วางแผนขับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลงจากบัลลังก์มังกรถูกสำเร็จโทษอย่างโหดเหี้ยม ลูกหลานทั้งหมดตลอดสามรุ่นของเชื้อพระวงศ์เก่าถูกให้เนรเทศออกจากจิงตู มีเพียงแค่องค์ชายเฉินหลิวแห่งวังเซียงอ๋องที่สามารถอาศัยอยู่ในจิงตูต่อไปได้เนื่องจากยังทรงพระเยาว์

    และเป็นเพราะทรงพระเยาว์นี่เอง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงทรงอนุญาตให้องค์ชายเข้าวังมาเรียนกับองค์หญิงที่มีอายุพอๆ กัน มีแม่นางโม่อวี่เป็นอาจารย์สอน เด็กทั้งสองกินดื่มนอนหลับอยู่ในที่เดียวกัน มีความผูกพันลึกซึ้ง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เฝ้ามองเขาเติบโต ให้ความสำคัญและรักใคร่เขา เกรงว่าหลังจากเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วก็คงไม่ให้ออกจากจิงตู ถึงขนาดที่จะให้เขาเป็นองค์รัชทายาทเลยกระมัง

    คนจำนวนมากคิดว่าองค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ดีกับองค์ชายเฉินหลิวเช่นนี้ นอกจากความรักความเอ็นดูที่มีให้แล้วยังเป็นเพราะยามที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองใบหน้าของเขาคงจะทำให้คิดถึงองค์ชายที่ทรงคลอดด้วยองค์เองซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว

    แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม องค์ชายเฉินหลิวสุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์เก่า ในร่างกายของเขายังมีสายเลือดของสกุลเฉินไหลเวียนอยู่ รักใคร่เอ็นดูเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ระแวดระวังในตัวเขา และสวีซื่อจี้เป็นขุนพลเทพตงอวี้ที่มีความสำคัญต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เรื่องอย่างการไปร่วมงานเลี้ยงขององค์ชายเฉินหลิวจึงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรจริงๆ

    ได้ฟังคำพูดของสวีฮูหยิน สวีซื่อจี้เงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง องค์ชายเชื้อเชิญข้าด้วยเจตนาดีครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากข้ายังคงทะนงตน องค์ชายคงไม่ยินดี ในราชสำนักก็คงมองข้าไม่ดีสักเท่าไรเช่นกัน ขุนนางที่ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใดเลยไม่ใช่ขุนนางที่ดี จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปราดเปรื่องปรีชา มองเรื่องทุกอย่างออกได้โดยกระจ่าง รู้ว่าองค์ชายเฉินหลิวเพียงแค่อยากผูกสัมพันธ์กับสกุลชิวซานผ่านทางข้า เพื่อให้พวกเขาดูแลเซียงอ๋องที่ตกระกำลำบากอยู่ทางแดนใต้อันไกลโพ้นอย่างดี กระทำการด้วยใจกตัญญูเช่นนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์น้ำพระทัยกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร จะเก็บมาใส่ใจได้อย่างไร พูดถึงเซียงอ๋องบิดาขององค์ชายเฉินหลิวก็เป็นคนถือสัจจะตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะเรียกเขากลับมาจิงตูก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก”

    สวีฮูหยินมิได้เอ่ยสิ่งใด ความรู้สึกยังคงตึงเครียด นางเข้าใจอุปนิสัยของสวีซื่อจี้มากกว่าผู้ใด ปกติเขาจะพูดน้อย เวลานี้กลับกล่าวคำอธิบายเสียมากมาย แน่นอนว่าไม่ได้อธิบายให้นางฟัง เช่นนั้นแล้วเขากำลังอธิบายให้ใครฟังน่ะหรือ ย่อมต้องอธิบายให้ตัวเองฟัง เพื่อย้ำให้มั่นใจในความคิดนี้ของตน

    แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงตอบรับไปร่วมงานเลี้ยงขององค์ชายเฉินหลิว นี่หมายถึงอะไรเล่า

    หลังจากที่สวีซื่อจี้กล่าวประโยคเหล่านั้นแล้วพลันพบว่าตนเองแสดงท่าทีที่ผิดปกติออกไป จึงสงบจิตใจแล้วจ้องมองไปยังสวีฮูหยิน ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป…เจ้าเด็กคนนั้นไม่สามารถมีอนาคตใดๆ ได้หรอก แม่นางโม่อวี่ให้เขาเข้าสำนักศึกษาศาสนาหลวงก็เพื่อไม่ให้เขาได้มีอนาคตอย่างไรล่ะ”

    สำนักศึกษาศาสนาหลวง ได้ยินแล้วช่างรู้สึกว่าเป็นที่ที่ยอดเยี่ยม สามารถนำคำว่า ‘หลวง’ มาเป็นชื่อได้ ดูอย่างไรก็ไม่ห่างจากสำนักเทียนเต้าและสำนักไจซิง ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เมื่อหลายร้อยปีก่อนสำนักศึกษาศาสนาหลวงเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในจิงตูและยังเป็นสำนักที่สอบเข้าได้ยากที่สุดอีกด้วย

    แต่ภายหลังสำนักศึกษาศาสนาหลวงกลับเสื่อมโทรมร่วงโรยราวกับต้นหญ้าในฤดูสารท ถูกผู้คนลืมเลือน ไม่ได้มีฐานะใดๆ ในกลุ่มสำนักศึกษาด้วยกัน สมัยที่ยังพอมีศิษย์อาจารย์ แม้พวกเขาจะอยู่กันอย่างเงียบๆ แล้ว แต่ขอแค่มีใครระแคะระคายสังกัดของพวกเขา เป็นต้องอับอายขายหน้าไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์เหล่านั้นจึงออกจากสำนักกันไปหมด

    สาเหตุที่สำนักศึกษาศาสนาหลวงเปลี่ยนแปลงเป็นดังเช่นทุกวันนี้ต้องกล่าวถึงเรื่องในอดีตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปีนั้นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาศาสนาหลวงดำรงตำแหน่งหัวหน้าปกครองใหญ่ของศาสนาหลวง เป็นรองก็แต่เพียงสังฆราชเท่านั้น อยู่ภายในศาสนาหลวงได้รับความยกย่องเลื่อมใสอย่างยิ่ง แม้แต่ธิดาเทพของนิกายฝ่ายใต้ยังต้องทำความเคารพเขา กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์แห่งศาสนาหลวง

    ว่ากันตามเหตุผล มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักศึกษาศาสนาหลวงก็ควรที่จะพึงพอใจแล้วถึงจะถูก แต่จิตใจมนุษย์ก็เหมือนกับดวงดาวเดียรดาษบนท้องฟ้า ยากที่จะคำนวณได้ และไม่มีทางที่จะมองเห็นได้ชัดเจน เจ้าสำนักของสำนักศึกษาศาสนาหลวงปรารถนาตำแหน่งสังฆราช แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายเขาจึงสมคบคิดกับบรรดาเชื้อพระวงศ์เก่าทั้งผู้อาวุโสและผู้เยาว์วัย วางแผนโค่นล้มจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับภายในคืนเดียว เจ้าสำนักของสำนักศึกษาศาสนาหลวงถูกใต้เท้าสังฆราชประหาร และผู้ที่สนับสนุนสำนักศึกษาศาสนาหลวงต้องประสบกับเหตุการณ์นองเลือด

    หลังจากวันนั้นมีคนเคยที่จะพยายามฟื้นฟูสำนักศึกษาศาสนาหลวงให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครา ทว่าก็ถูกเพ่งเล็งจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราช ศิษย์ของสำนักศึกษาศาสนาหลวงเมื่อสำเร็จการศึกษาออกมาแล้วล้วนไม่มีอนาคตโดยสิ้นเชิง เพียงแค่สองปีสำนักศึกษาศาสนาหลวงก็ไม่มีใครมาสมัครเข้าศึกษา เป็นธรรมดาที่อาจารย์จะต้องจากไป

    เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ สำนักศึกษาศาสนาหลวงที่เคยมีเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ผีสางอันน่าสะพรึงกลัว

    จนกระทั่งวันนี้ สำนักศึกษาศาสนาหลวงจึงต้อนรับศิษย์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    ศิษย์ใหม่คนนั้นมีนามว่าเฉินฉางเซิง

    “เข้าไปร่ำเรียน? ไม่ใช่เลย นั่นคือการเนรเทศ ศิษย์ใหม่? ย่อมไม่ใช่อีกนั่นล่ะ เพราะที่นั่นคือเหวลึกที่ไม่อาจปีนป่ายออกมาได้ตลอดกาล”

    สวีซื่อจี้สรุปออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook